วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 75 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2014, 15:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:

ไปเยี่ยมชมกระทู้ความรักความพลัดพรากก่อนนะคะ

เรื่องช่วยชาวบ้านคลายทุกข์ คืองานของเราค่ะ บังเอิญ ได้เป็น จนท.ห้องค่ะ


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนา สาธุ ค่ะ

บางทีเอกอนก็อยากเข้าไปช่วย
แต่... :b9: ...เป็นสมาชิกที่ขาดประสบการณ์
ต้องขอโทษด้วยนะคะ
ที่เอกอนเป็นสมาชิกลานที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยแบ่งเบา...
ดีแต่เข้ามาอาศัยหาประโยชน์จากลานแห่งนี้
เป็นที่ให้ได้ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยจากภาระทางโลกเท่านั้น...
...

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2014, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
SOAMUSA เขียน:

ไปเยี่ยมชมกระทู้ความรักความพลัดพรากก่อนนะคะ

เรื่องช่วยชาวบ้านคลายทุกข์ คืองานของเราค่ะ บังเอิญ ได้เป็น จนท.ห้องค่ะ


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนา สาธุ ค่ะ

บางทีเอกอนก็อยากเข้าไปช่วย
แต่... :b9: ...เป็นสมาชิกที่ขาดประสบการณ์
ต้องขอโทษด้วยนะคะ
ที่เอกอนเป็นสมาชิกลานที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยแบ่งเบา...
ดีแต่เข้ามาอาศัยหาประโยชน์จากลานแห่งนี้
เป็นที่ให้ได้ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยจากภาระทางโลกเท่านั้น...
...

:b8: :b8: :b8:


ดีแล้วล่ะค่ะคุณเอกอน ได้มาอ่านธรรมะ :b8: สาธุบุญด้วยค่ะ
ชีวิตคนทำงานก็เหนื่อยอยู่แล้ว ปล่อยคนว่างงานอย่างดิฉันมีงานทำดีกว่าค่ะ

ดิฉันก็ใจรักเรื่องชาวบ้านค่ะ พูดง่ายๆ ก็คือเจือกค่ะ
หลักเกณฑ์การตอบคือ ทำความดีตามที่พระพุทธเจ้าสอนค่ะ
ชีวิตส่วนตัวของดิฉันก็มีสามีน้อยเหลือเกินในชาตินี้ มีแค่คนเดียวเองค่ะ หล่อด้วย
แต่ได้ประสบการณ์จากสามีมีกิ๊กบ่อย ดิฉันเลยเข้าใจคนที่กำลังเสียใจ ว่าเค้าต้องการกำลังใจค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2014, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโสมฯเขียน


อ้างคำพูด:
ดิฉันนี่ชอบจังเลยค่ะ ใครที่ทำกุศลไว้ดีแล้ว เวลาตายมีอะไรมาบ่งบอกให้รู้ว่าเค้าไปภพภูมิไหน
อย่างเช่นท่านธัมมิกอุบาสก และ พระเจ้าทุฏฐคามิณิ เมื่อใกล้ตายมีคตินิมิตดีมาปรากฏ




เล่าเรื่องท่านธัมมิกอุบาสก และ พระเจ้าทุฏฐคามิณิให้ฟังบ้างสิค่ะ
เป็นยังไงเหรอ :b41: :b55: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2014, 06:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:

เล่าเรื่องท่านธัมมิกอุบาสก และ พระเจ้าทุฏฐคามิณิให้ฟังบ้างสิค่ะ
เป็นยังไงเหรอ :b41: :b55: :b47:


:b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51:

:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
:b44: :b44: :b44:
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... &i=11&p=11

๑๑. เรื่องธัมมิกอุบาสก [๑๑]

ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภธัมมิกอุบาสก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
“ อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ ” เป็นต้น.


อุบาสกและครอบครัวบำเพ็ญกุศลเป็นนิตย์
ได้ยินว่า ในเมืองสาวัตถี ได้มีอุบาสกผู้ปฏิบัติธรรมประมาณ ๕๐๐ คน. บรรดาอุบาสกเหล่านั้น คนหนึ่งๆ มีอุบาสกเป็นบริวารคนละ ๕๐๐. อุบาสกที่เป็นหัวหน้าแห่งอุบาสกเหล่านั้นมีบุตร ๗ คน ธิดา ๗ คน. บรรดาบุตรและธิดาเหล่านั้น คนหนึ่งๆ ได้มีสลากยาคู สลากภัต ปักขิกภัต สังฆภัต อุโปสถิกภัต อาคันตุกภัต วัสสาวาสิกภัต อย่างละที่. ชนแม้เหล่านั้น ได้เป็นผู้ชื่อว่า อนุชาตบุตรด้วยกันทั้งหมดทีเดียว.

(เป็นอันว่า) สลากยาคูเป็นต้น ๑ ที่ คือของบุตร ๑๔ คน ของภรรยาหนึ่ง ของอุบาสกหนึ่ง ย่อมเป็นไปด้วยประการฉะนี้. เขาพร้อมทั้งบุตรและภรรยา ได้เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม มีความยินดีในอันจำแนกทาน ด้วยประการฉะนี้. ต่อมา ในกาลอื่น โรคเกิดขึ้นแก่เขา. อายุสังขารเสื่อมรอบแล้ว.


อุบาสกป่วยนอนฟังธรรม
เขาใคร่จะสดับธรรมจึงส่ง (คน) ไปสู่สำนักพระศาสดา ด้วยกราบทูลว่า “ขอพระองค์ได้โปรดส่งภิกษุ ๘ รูปหรือ ๑๖ รูป ประทานแก่ข้าพระองค์เถิด.”
พระศาสดาทรงส่งภิกษุทั้งหลายไป. ภิกษุเหล่านั้นไปแล้วนั่งบนอาสนะที่ตบแต่งไว้ ล้อมเตียงของเขา อันเขากล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ การเห็นพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จักเป็นของอันกระผมได้โดยยาก, กระผมเป็นผู้ทุพพลภาพ, ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงสาธยายพระสูตรๆ หนึ่ง โปรดกระผมเถิด. ”
จึงถามว่า “ท่านประสงค์จะฟังสูตรไหน? อุบาสก”
เมื่อเขาเรียนว่า “สติปัฏฐานสูตร๑- ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละแล้ว”,
จึงเริ่มสวดพระสูตรว่า
“ เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา ” เป็นต้น
(ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางไปอย่างเอก เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย).
____________________________
๑- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๗๓; ม. ม. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๓๑


เทวดานำรถมารับอุบาสกไปเทวโลก
ขณะนั้น รถ ๖ คันประดับด้วยอลังการทุกอย่าง เทียมด้วยม้าสินธพพันตัวใหญ่ประมาณได้ ๑๕๐ โยชน์ มาจากเทวโลก ๖ ชั้น. เทวดายืนอยู่บนรถเหล่านั้น ต่างก็เชื้อเชิญว่า “ข้าพเจ้าจักนำไปยังเทวโลกของข้าพเจ้า; ข้าพเจ้าจักนำไปยังเทวโลกของข้าพเจ้า, ท่านผู้เจริญขอจงเกิดในที่นี้ เพื่อความยินดีในเทวโลกของข้าพเจ้า เหมือนคนทำลายภาชนะดินแล้วถือเอาภาชนะทองคำ.”
อุบาสกไม่ปรารถนาจะให้เป็นอันตรายแก่การฟังธรรม จึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย จงรอก่อน จงรอก่อน.”


พวกภิกษุและบุตรธิดาอุบาสกเข้าใจผิด
ภิกษุต่างหยุดนิ่ง ด้วยเข้าใจว่า “อุบาสกพูดกับพวกเรา.”
ลำดับนั้น บุตรและธิดาของเขาคิดว่า “บิดาของพวกเราแต่ก่อน เป็นผู้ไม่อิ่มด้วยการฟังธรรม, แต่บัดนี้ ให้นิมนต์ภิกษุมาให้ทำสาธยายแล้ว ห้ามเสียเองเทียว, ชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่กลัวต่อมรณะไม่มี” ดังนี้แล้ว ได้ร้องไห้.
พวกภิกษุปรึกษากันว่า “บัดนี้ไม่เป็นโอกาสแล้ว” จึงลุกจากอาสนะหลีกไป. อุบาสกยังเวลานิดหน่อยให้ล่วงไปแล้ว กลับได้สติถามลูกๆ ว่า “เพราะเหตุไร พวกเจ้าจึงคร่ำครวญกันเล่า?”
พวกบุตรจึงบอกว่า “พ่อ พ่อให้นิมนต์ภิกษุมาแล้ว ฟังธรรมอยู่ ห้ามเสียเองเทียว, เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกผมจึงคิดว่า ‘ชื่อว่าสัตว์ผู้ไม่กลัวต่อมรณะไม่มี’ ดังนี้ จึงคร่ำครวญ.”
อุ. ก็พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายไปไหนเสีย?
บุตร. พ่อ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ท่านพูดกันว่า ‘ไม่เป็นโอกาส’ ลุกจากอาสนะหลีกไปแล้ว.
อุ. พ่อมิได้พูดกับพระผู้เป็นเจ้า.
บุตร. ถ้าเช่นนั้น พ่อพูดกับใคร?
อุ. เทวดาประดับรถ ๖ คัน นำมาจากเทวโลก ๖ ชั้น พักอยู่ในอากาศ ต่างเปล่งเสียงว่า ‘ขอท่านจงยินดีในเทวโลกของข้าพเจ้า ขอท่านจงยินดีในเทวโลกของข้าพเจ้า’, พ่อพูดกับเทวดาเหล่านั้น (ต่างหาก).
บุตร. พ่อ รถที่ไหน? พวกผมไม่เห็น.
อุ. ก็ดอกไม้ที่ร้อยเป็นพวงเพื่อพ่อ มีไหม?
บุตร. มี พ่อ.
อุ. เทวโลกชั้นไหน? ควรเป็นที่รื่นรมย์.
บุตร. ภพดุสิต อันเป็นที่ประทับอยู่ของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ของพระพุทธมารดา และของพระพุทธบิดา เป็นที่รื่นรมย์ซิ พ่อ.
อุ. ถ้ากระนั้น พวกเจ้าจงเสี่ยงว่า ‘ขอพวงดอกไม้ จงคล้องที่รถมาจากภพดุสิต’, ดังนี้แล้ว เหวี่ยงพวงดอกไม้ไปเถอะ.
บุตรเหล่านั้นได้เหวี่ยงไปแล้ว. พวงดอกไม้นั้นได้คล้องที่แอกรถห้อยลงในอากาศ. มหาชนเห็นแต่พวงดอกไม้นั้น หาเห็นรถไม่.
อุบาสกพูดว่า “เจ้าทั้งหลายเห็นพวงดอกไม้นั่นไหม?”
เมื่อบุตรตอบว่า “เห็นจ้ะ” จึงกล่าวว่า “พวงดอกไม้นั่น ห้อยที่รถซึ่งมาจากดุสิต, เราจะไปสู่ภพดุสิต, พวกเจ้าอย่าวิตกไปเลย, พวกเจ้ามีความปรารถนาจะเกิดในสำนักเรา ก็จงทำบุญทั้งหลาย ตามทำนองที่เราทำแล้วเถิด” ดังนี้แล้ว ทำกาละ ดำรงอยู่บนรถที่มาจากภพดุสิต, อัตภาพของเขาสูงประมาณ ๓ คาวุต ประดับด้วยอลังการหนักได้ ๖๐ เล่มเกวียน เกิดในทันใดนั้นเอง, นางอัปสรพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว. วิมานแก้วประมาณ ๒๕ โยชน์ปรากฏแล้ว.

พระศาสดาตรัสถามภิกษุแม้เหล่านั้น ผู้มาถึงวิหารแล้วโดยลำดับว่า “ภิกษุทั้งหลาย อุบาสกได้ฟังธรรมเทศนาแล้วหรือ?”
ภ. ฟังแล้ว พระเจ้าข้า แต่อุบาสกได้ห้ามเสียในระหว่างนั่นแลว่า ‘ขอท่านจงรอก่อน’, ลำดับนั้น บุตรและธิดาของอุบาสกนั้นคร่ำครวญกันแล้ว, พวกข้าพระองค์ปรึกษากันว่า ‘บัดนี้ไม่เป็นโอกาส’, จึงลุกจากอาสนะออกมา.
ศ. ภิกษุทั้งหลาย อุบาสกนั้นหาได้กล่าวกับพวกเธอไม่, ก็เทวดาประดับรถ ๖ คัน นำมาจากเทวโลก ๖ ชั้น เชื้อเชิญอุบาสกนั้นแล้ว, เธอไม่ปรารถนาจะทำอันตรายแก่การแสดงธรรม จึงกล่าวกับเทวดาเหล่านั้น.
ภ. อย่างนั้นหรือ? พระเจ้าข้า.
ศ. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย.
ภ. บัดนี้เขาเกิดแล้ว ณ ที่ไหน?
ศ. ในภพดุสิต ภิกษุทั้งหลาย
ภ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสกนั้นเที่ยวชื่นชมในท่ามกลางญาติในโลกนี้แล้ว เกิดในฐานะเป็นที่ชื่นชมนั่นแลอีกหรือ?
พระศาสดาตรัสว่า “อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย เพราะคนผู้ไม่ประมาทแล้วทั้งหลาย เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ย่อมบันเทิงในที่ทั้งปวงทีเดียว”
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
๑๑. อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ
โส โมทติ โห ปโมทติ ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธิมตฺตโน.
ผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละไปแล้ว
ก็ย่อมบันเทิง ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง เขาเห็น
ความหมดจดแห่งกรรมของตน ย่อมบันเทิง,
เขาย่อมรื่นเริง.


แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตปุญฺโญ เป็นต้น ความว่า บุคคลผู้ทำกุศลมีประการต่างๆ ย่อมบันเทิง ด้วยความบันเทิงเพราะกรรมในโลกนี้ว่า “กรรมชั่ว เราไม่ได้ทำเลย, กรรมดี เราทำแล้วหนอ”, ละไปแล้ว ย่อมบันเทิง ด้วยความบันเทิงเพราะวิบาก, ชื่อว่า ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสองอย่างนี้.
บทว่า กมฺมวิสุทฺธึ เป็นต้น ความว่า แม้ธัมมิกอุบาสกเห็นกรรมอันหมดจด คือความถึงพร้อมแห่งบุญกรรมของตนแล้วก่อนแต่จะทำกาลกิริยา ย่อมบันเทิงแม้ในโลกนี้, ทำกาละแล้ว บัดนี้ ก็ย่อมบันเทิง คือย่อมบันเทิงยิ่งแท้ แม้ในโลกหน้า.
ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมากได้เป็นพระอริยบุคคลมีพระโสดาบันเป็นต้น.
พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.

เรื่องธัมมิกอุบาสก จบ.
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ไปไหนกันหมดค่ะ ไม่มีใครว่างเลยเหรอค่ะ
คุณโสมฯ คุณเอกอนพี่เต้คิดถึงจ๊ะ :b12: :b41: :b55: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2014, 23:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ไปไหนกันหมดค่ะ ไม่มีใครว่างเลยเหรอค่ะ
คุณโสมฯ คุณเอกอนพี่เต้คิดถึงจ๊ะ :b12: :b41: :b55: :b47:


ช่วงนี้เอกอนทำงานหนักค่ะ... :b1:

เมื่อคืนเอกอนฝันดีด้วยล่ะ

ฝันว่าในที่ทำงาน จะมีพื้นที่ลับอยู่ส่วนหนึ่ง
เป็นแดนพิศวงก็ว่าได้ มีแต่ผู้บริหารที่รู้ และเข้าไปได้
บังเอิญเอกอนเข้าไปได้ยังไงก็ไม่รู้
เข้าไปก็มีสภาพเก่าแก่เหมือนเมืองโบราณ
และเมื่อเดินเข้าไปก็มีบ่อน้ำหลายบ่อเลย
และในบ่อก็เต็มไปด้วยงูหลากสี เกล็ดงี๊มันเป็นประกายสวย
และความสวยก็มาพร้อมกับความดุ และพิษสงอันร้ายกาจรุนแรง
ทันทีที่ใครเข้าใกล้บ่อน้ำ เขาก็จะกรูพุ่งมาทำร้ายทันที

ซึ่งเอกอนก็เดินไปที่สระ และหย่อนตัวลงไป
พวกงูต่างก็กรูเข้ามาทันที
เอกอนก็โค้งตัวน้อมหัวลงให้กับเขาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพวกเขา
และพวกเขาต่างก็ผงะตัวออก และก็ว่ายอยู่ห่าง ๆ แสดงอาการอารมณ์ดีไม่เป็นภัยต่อเรา

และ ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิญญาณที่กำกับอยู่ตรงขอบสระก็บอกว่า
พวกเขาทำอะไรคนที่มีจิตใจที่แสดงความอ่อนน้อมต่อเขาออกมาไม่ได้

ในฝันเอกอนดีใจ
เพราะ จำได้ว่า เอกอนฝันว่าต้องเผชิญหน้ากับงูบ่อย ๆ
ซึ่งเอกอนจะหวาดกลัว และเผลอลงมือทำร้ายพวกเขาทุกครั้ง
ซึ่งทุกครั้งก็จะมีผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิญญาณมาคอยดูแลกำกับตลอด
เอกอนก็คอยฝึกที่จะควบคุมอารมณ์มาตลอด

ซึ่ง นัยยะก็คือ ใจเราก็คือภัยของเราเอง
ประมาณว่า ถ้าเราเป็นภัยต่อสิ่งรอบข้าง สิ่งรอบข้างก็จะเป็นภัยต่อเรา

ฝันแบบออกแนว...ผจญภัยให้ได้หวาดเสียว...ก็เลยดูจะเป็น ฝันดี สำหรับเอกอน... :b32: :b32: :b32:

ฝันแนวโหด ๆ

เอกอนเคยฝันว่าถูกฆ่าตายในฝันเรื่อย ๆ ซึ่งเอกอนไม่เคยผวาตื่นเลย
ถูกฆ่าซ้ำ ๆ อยู่หลายรอบ
เคยฝันว่าเป็นทหารและถูกเชือดคอ ฝันวนอยู่สามรอบ ก็ไปให้โดนเชือดคอทั้งสามรอบ
จนรอบที่สาม ก็กระดึบ ๆ ตัวออกไปหาผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิญญาณ
เขาก็จะถามไถ่ตามประสา "เป็นไงบ้าง...?"(หมายถึงความรู้สึกตอนถูกเชือดน่ะ)
และเขาก็ขำขำ
คือ เอกอนฝันอย่างกะว่าตัวเองกำลังเข้าคอร์สฝึกการทรงตัวกับอารมณ์ที่น่าหวาดกลัวต่าง ๆ
แม้แต่สภาวะอารมณ์ที่ถึงตาย

วันก่อนฝันว่ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก...อีกแล้ว... :b17: :b17: :b17:

มนุษย์ต่างดาวจะวิ่งเข้ามาจัดการผู้คน ผู้คนหนีตายแตกตื่นมาก
กองทัพก็ออกมาต่อสู้แต่ก็ ต้านทานไม่ได้ มนุษย์ต่างดาวเก่งกว่า
และเอกอนก็เผชิญหน้ากะมนุษย์ต่างดาว
แต่มนุษย์ต่างดาวก็วิ่งผ่านไป อย่างไม่สนใจ
เอกอนก็หันไปถามผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิญญาณ(ขาประจำ) "ทำไมพวกเขาไม่จัดการเราล่ะ"
เขาบอกว่า "พวกเขาทำงานตามตัวอ่านรังสี เขาจะจัดการเฉพาะรังสีที่แสดงออกมาว่าเป็นภัยน่ะ"

ฝันแบบนี้เป็นฝันที่ ตื่นเต้น ดี
...
เวลาฝันทำนองนี้ทีไร ... คือ มันสย๋องแบบสุดขั้วหัวใจ

ฝันเห็นผี ก็ :b32: :b19:

แทบจะไม่ค่อยได้ฝันเห็นผี ...
ก็เห็นนะ ... แต่ไม่ค่อยมีอะไร
เพราะตอนแรก ๆ ก็หลบ ๆ ไล่ ๆ แหย่กันอยู่นั่นล่ะ
แต่พอหลัง ๆ เอกอนจะหันไปสู้จนเคยชิน
ซึ่งวิธีสู้ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ก็เอาเท้ายันมันบ้าง ปิดประตูหนีบมันบ้าง :b5: :b6:
คือ...แค่หยุดวิ่ง และหันไปเผชิญหน้า ผีก็เปลี่ยนแปลงไปเองน่ะ
เหมือนว่า พอเราหันกลับไปจะสู้ เขาก็หมดความสามารถในการเป็นผีไปเลย... :b9:

...

เวลาตื่นขึ้นมา...เอกอนก็ชอบที่จะนั่งทบทวน
อาการจิตที่แสดงในฝัน...

...ใจเรา...ยังไงกันนะ...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2014, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ฝันว่างูมารุม ทายว่า หนุ่ม ๆ ซิมารุมเกี้ยวเด้ออ
ฝันว่าถูกฆ่าตาย ทายว่า ที่มีเคราะห์หรือหนี้สินจะหมดสิ้นไป
ฝันว่ามนุษย์ต่างดาวบุก จะมีโชคลาภ ถ้าแต่งงานแล้วจะมีบุตร
ฝันเห็นผี ทายว่า จะหมดเคราะห์และจะมีโชค มีลาภลอย (หวยหรือล็อตเตอรี่)

หมอดู(เดา)แม่น ๆ 555

:b32: :b32: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2014, 22:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:

ฝันว่างูมารุม ทายว่า หนุ่ม ๆ ซิมารุมเกี้ยวเด้ออ
ฝันว่าถูกฆ่าตาย ทายว่า ที่มีเคราะห์หรือหนี้สินจะหมดสิ้นไป
ฝันว่ามนุษย์ต่างดาวบุก จะมีโชคลาภ ถ้าแต่งงานแล้วจะมีบุตร
ฝันเห็นผี ทายว่า จะหมดเคราะห์และจะมีโชค มีลาภลอย (หวยหรือล็อตเตอรี่)

หมอดู(เดา)แม่น ๆ 555

:b32: :b32: :b13:


ไม่ตีเป็นเบอร์มาให้ด้วยล่ะ ... :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2014, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

ไม่ตีเป็นเบอร์มาให้ด้วยล่ะ ... :b32:

จจ. เด้ออ ..

:b32: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2014, 12:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าพูดถึงเรื่องความฝันนี่ พี่เต้ก็ไม่อยากจะคิดว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระเสมอไปนะ
ก็ไม่รู้ว่า ในขณะที่เราหลับ แล้วร่างของคนเราไปท่องนิมิต เค้าเรียกว่ากายอะไร
พี่เต้เล่าให้ฟังเรื่องหนึ่งค่ะ ทุกวันนี้ยังสงสัยอยู่เลย :b10: ว่าคืออะไร

มีอยู่คืนหนึ่ง ก็นอนหลับอยู่บนที่นอนดีๆนะ ห้องนอนก็ไม่มีอะไรรกรุงรัง
ห้องโล่งๆ ฝันว่าไปเห็นทุ่งหญ้าสวยนะ ก็เดินดู ก็ไปเจอญาติที่เสียชีวิตหลายปีแล้ว
เป็นผู้ชายก็ยืนคุยกับเค้า ตาก็มองไปที่ทุ่งหญ้า ทีนี้ก็มีลมพัดมา
ก็รู้สึกว่าที่ตาข้างซ้าย โดนก้อนหินปลิวมา โดนที่ตาเสียงดัง " ปุ๊ "

ก็สดุ้งตื่น ที่ตาข้างซ้ายรู้สึกเจ็บ ก็คิดว่าขนตาคงจะหลุดเข้าไป ไปลืมตาในน้ำ
เอายามาหยอดตาก็ไม่หาย รู้สึกเจ็บมากเลยนะ ช่วงนั้นประมาณตี5กว่าๆ
พอตอนเช้า เหมือนในตามันยิ่งบวม แล้วก็เจ็บ เวลามองอะไรจะเจ็บมาก
ต้องเอาผ้ามาปิดที่ตา

พอแฟนกลับมา ให้แฟนดูที่ในตาซิ มันเป็นยังไง มันถึงเจ็บ
แฟนบอก " เต้ไปโดนก้อนหินหรืออะไรใส่ตาหรือปล่าว เพราะที่ตามีจุดแดงๆ
เหมือนมีอะไรมาโดนที่ตา "

เราเงียบอย่างเดียว ใจก็นึกอะไรนะ นอนหลับอยู่บนเตียงนอนดีๆ หลับแล้วก็ฝัน
แล้วก็ไม่คิดว่า กายของเราจริงๆที่นอนอยู่ จะโดนไปด้วย แปลกเน๊อะ :b12: :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2014, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
ถ้าพูดถึงเรื่องความฝันนี่ พี่เต้ก็ไม่อยากจะคิดว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระเสมอไปนะ
ก็ไม่รู้ว่า ในขณะที่เราหลับ แล้วร่างของคนเราไปท่องนิมิต เค้าเรียกว่ากายอะไร
พี่เต้เล่าให้ฟังเรื่องหนึ่งค่ะ ทุกวันนี้ยังสงสัยอยู่เลย :b10: ว่าคืออะไร

มีอยู่คืนหนึ่ง ก็นอนหลับอยู่บนที่นอนดีๆนะ ห้องนอนก็ไม่มีอะไรรกรุงรัง
ห้องโล่งๆ ฝันว่าไปเห็นทุ่งหญ้าสวยนะ ก็เดินดู ก็ไปเจอญาติที่เสียชีวิตหลายปีแล้ว
เป็นผู้ชายก็ยืนคุยกับเค้า ตาก็มองไปที่ทุ่งหญ้า ทีนี้ก็มีลมพัดมา
ก็รู้สึกว่าที่ตาข้างซ้าย โดนก้อนหินปลิวมา โดนที่ตาเสียงดัง " ปุ๊ "

ก็สดุ้งตื่น ที่ตาข้างซ้ายรู้สึกเจ็บ ก็คิดว่าขนตาคงจะหลุดเข้าไป ไปลืมตาในน้ำ
เอายามาหยอดตาก็ไม่หาย รู้สึกเจ็บมากเลยนะ ช่วงนั้นประมาณตี5กว่าๆ
พอตอนเช้า เหมือนในตามันยิ่งบวม แล้วก็เจ็บ เวลามองอะไรจะเจ็บมาก
ต้องเอาผ้ามาปิดที่ตา

พอแฟนกลับมา ให้แฟนดูที่ในตาซิ มันเป็นยังไง มันถึงเจ็บ
แฟนบอก " เต้ไปโดนก้อนหินหรืออะไรใส่ตาหรือปล่าว เพราะที่ตามีจุดแดงๆ
เหมือนมีอะไรมาโดนที่ตา "

เราเงียบอย่างเดียว ใจก็นึกอะไรนะ นอนหลับอยู่บนเตียงนอนดีๆ หลับแล้วก็ฝัน
แล้วก็ไม่คิดว่า กายของเราจริงๆที่นอนอยู่ จะโดนไปด้วย แปลกเน๊อะ :b12: :b41: :b55: :b48:


แปลกค่ะ
:b1: คุณเต้มีฝันที่เกิดขึ้นตรงกับเหตุการณ์ในขณะนั้นนะคะ
จิตเรามันก็รับอารมณ์อยู่เสมอ ในขณะที่หลับไม่สนิท ก็จะฝัน จิตมันก็รับอารมณ์ไปได้ตลอดค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2014, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

ก่อนจะดับจิต ทำใจให้เกิดศรัทธาเลื่อมใส ใจของตนจะผ่องใส

ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้มีปัญญาย่อมเห็นประโยชน์จากทรัพย์สินที่ตนมีอยู่ ไม่ตระหนี่ในการทำทาน
เพราะรู้ว่า บุญบาปต่างหากที่จะติดตามเราไป ดุจเงาติดตามตัว

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

บุญนำสุขมาให้เมื่อสิ้นชีิวิต โดย จักรินทร์ สินศุข
(จากปกหลังหนังสือลักขณาทิจตุกะแห่งปรมัตถธรรม โดยขุนสรรพกิจโกศล)

บุญนำสุขมาให้เมื่อสิ้นชีวิต
บุญ.....กุศล ผลกรรม ที่ทำไว้
นำ......ทางให้ ก้าวสู่ ประตูสวรรค์
สุข.....ทั้งปวง ล่วงถึง ซึ่งจิตพลัน
มา......กางกั้น กลบาป ปราบเวรภัย
ให้......มีทรัพย์ นับอนันต์ มันก็ของ
เมื่อ.....มาตรอง ตรึกดู รู้ข้อไข
สิ้น......ลมปราณ มานร่าง แยกทางไป
ชีวิต.....ไซร้ จากทรัพย์ ลับมืดมน


:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2014, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
:b44: :b44: :b44:

จากหนังสือ โมหวิจเฉทนี แปล... คณะสงฆ์ พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล
งานพระเมรุพระศพ สมเด็จพระสังฆราช ปุณณสิริมหาเถระ

๔.๑.๑ ว่าด้วยจุติ
ดังจะกล่าวโดยพิสดาร: ในเวลาจะตาย กรรมที่ล่วงแล้วอันแต่งปฏิสนธิในภพอื่น หรืออารมณ์ที่สมมติว่า กรรมนิมิต อันต่างโดยประเภทมีอารมณ์ที่ล่วงแล้วเป็นต้น และอันพ้นจากกาล แม้ทั้ง ๖ อย่าง มีรูปเป็นต้น, หรือคตินิมิตรมีต้นกัลปพฤกษ์ ท้องมารดา และไฟนรกเป็นต้น อันสมควรแก่ภพที่จะบังเกิด แฝงในจิตสันดานปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลายเว้นอสัญญีสัตว์ ในทวาร ๖ ทวารใดทวารหนึ่งตามควร ด้วยกำลังของกรรม ราวกะว่าเงาภูเขาปรากฏที่แผ่นดินในเวลาเย็นฉะนั้น. และจุติจิตเกิดแก่สัตว์นั้นๆ ผู้มีจิตตสันดานอันเป็นไปอยู่หาระหว่างคั่นมิได้ ด้วยกำลังแห่งกรรม ผู้มีมรณะกระชั้นชิดโดยสิ้นอายุ หรือสิ้นกรรม หรือสิ้นทั้งสอง หรือโดยอุปัจเฉทกกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ในลำดับวิถีจิตและภวังค์ ในเพราะอารมณ์นั้นที่ปรากฏแล้วอย่างนั้น

๔.๑.๒ ว่าด้วยปฏิสนธิ
ในลำดับแห่งจุติจิตนั้น ปฏิสนธิจิตอย่างใดอย่างหนึ่งปรารภอารมณ์มีกรรมและกรรมนิมิตรเป็นต้น ตามที่ตนถือเอาแล้ว เป็นจิตดวงแรกเกิดในภพอื่น ในภพ ๓ ตามสมควร. ก็บรรดาจิต (๑๙ ดวงนั้น) กามาวจรปฏิสนธิเท่านั้นเกิดได้ในลำดับของทุเหตกะ-อเหตุกจุติ; ปฏิสนธินอกนี้เกิดไม่ได้. ปฏิสนธิแม้ทั้งสิ้นเกิดได้ใน ลำดับของจุติที่เป็นกามารวจรติเหตุกะ. ส่วนปฏิสนธิที่เหลือเว้น อเหตุกปฏิสนธิเกิดได้ในลำดับของรูปาวจรจุติ. อารุปฺปฏิสนธิเว้นอารุปปะเบื้องล่าง และกามาวจรติเหตุกะปฏิสนธิ เกิดในลำดับของจุติที่เป็นอรูปาวาจร. แต่กามาวจรปฏิสนธิเว้นอเหตุกะเท่านั้น ปรารภอารมณ์มีกรรมเป็นต้นที่เคยถือเอาเกิดได้ในภพอื่นเบื้องหน้าแต่รูปจุติของอสัญญีสัตว์ทั้งหลาย; ปฏิสนธินอกนี้เกิดไม่ได้. ก็ปฏิสนธิในชั้นสุทธาวาสทั้งหลาย ไม่เกิดแก่ปุถุชน แก่พระโสดาบัน และแก่พระสกทาคามี. ปฏิสนธิของอสัญญีสัตว์ที่เป็นทวิเหตุกะ ก็เหมือนกัน คือ ไม่เกิดแก่พระเสขะทั้งหลาย. อนึ่ง ปฏิสนธิแม้ทั้งสิ้นไม่เกิดแก่พระอเสขะทั้งหลาย เพราะพระอเสขะทั้งหลายนั้น เป็นผู้ถึงอนุปาทาปรินิพพาน โดยนิรุปธิเสสนิพพานเบื้องหน้าแต่จุติจิต.


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2014, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

:b47: จากหนังสือ พระอรหันต์ของลูก
อนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ นางมณี เพ็งอาทิตย์
ณ จิตกาธานวัดมเหยงคณ์ อยุธยา วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕

ชีวิต มีความตายในที่สุด
มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ
พุทธภาษิต ธรรมบท ๒๕/๒๙
:b47: :b47: :b47:

โลกถูกความตายครอบงำเอาไว้
มจฺจุนา ปิหิโต โลโก
พุทธภาษิต ปิหิตสูตร ๑๕/๕๕
:b47: :b47: :b47:

ผู้ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตายไม่มี
นตฺถิ ชาตสฺส อมรณํ
พุทธภาษิต ปฐมอายุสูตร ๑๕/๑๕๓
:b47: :b47: :b47:

วันคืนล่วงไป ชีวิตของคนก็พร่องลงไปจากประโยชน์ที่จะทำ
ยํ ยํ วิวหเต รตฺติ ตทูนนฺตสฺส ชีวิตํ
เถรภาษิต สิริมัณฑเถรคาถา ๒๖/๓๒๙
:b47: :b47: :b47:

เมื่อความตายมาถึงตัว ก็ไม่มีใครป้องกันได้
น มิยฺยมานสฺส ภวนฺติ ตาณา
เถรภาษิต รัฐปาลสูตร ๑๓/๓๔๒
:b47: :b47: :b47:


ในขณะที่คนอีกจำนวนไม่น้อยในอีกประเทศหนึ่งกำลังวุ่นวายว่าจะทำจมูกให้โด่งที่ไหนดี จะไปเที่ยวที่ไหนคืนนี้ หรือว่าจะกินอาหารที่โปรดปรานที่ไหนดีมื้อต่อไป ฯลฯ แต่ประชาชนอีกประเทศหนึ่งกำลังหาทางที่จะมีชีวิตอยู่ กำลังหนีระเบิดและลูกปืนจากฝ่ายที่รุกรานที่ต้องการขับไล่พวกเขาออกจากประเทศตนเอง


.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2014, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

ยามอยู่เราหมั่นฝึกเอาไว้ ตอนจะไปใจจะเข้าถึงความสงบ
พระมานพ อุปสโม





:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 75 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron