วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ
:b44: :b44: :b44:

กรรม หมายความว่า การกระทำที่เกี่ยวด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งทางที่ดี และทางไม่ดี ชื่อว่ากรรม

ในความเข้าใจของคนทั่วไป ไปคิดเอาคำว่ากรรมนี้เฉพาะการกระทำชั่วเท่านั้น ซึ่งในการสนทนากันถ้าเอ่ยว่า เป็นกรรมของฉันเอง ก็ไปหมายเอาว่า ขณะนั้นคนๆ นั้นกำลังได้รับความทุกข์ที่เกิดจากการกระทำชั่วไว้ในอดีต จะเป็นจากชาติก่อน หรืออาจจะเป็นการกระทำในชาติปัจจุบันตามส่งผลทัน ก็กำลังทำให้ผู้นั้นกำลังได้รับความทุกข์อยู่ ซึ่งจะพูดให้ถูกต้องจริงๆ ก็ต้องบอกว่า คนๆ นี้นั้นกำลังได้รับอกุศลวิปากอยู่ ทำให้เกิดความทุกข์

กรรม คือการกระทำ ในศาสนาพุทธนั้นเน้นเรื่อง การกระทำในปัจจุบัน เพราะการกระทำในอดีตนั้นก็ผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้ การกระทำในอนาคตก็ยังไม่มาถึง ไม่ใช่เรื่องที่จะให้เกิดการกระทำได้เลย ดังนั้น ณ ขณะปัจจุบันนี้ต่างหากที่คนเรากระทำดี หรือ ทำชั่ว ทางกาย วาจา และใจ ซึ่งการกระทำในปัจจุบันนี้ต่างหากที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้รับความสุข หรือ ความทุกข์ในภายหน้า หรือให้ผลเป็นความสุขทันทีในปัจจุบันเห็นๆ กันทันที เช่นการทำสมาธิ การทำสมาธิจะทำให้ผู้ที่กำลังภาวนาอยู่นั้นได้รับความสุขสงบทันที

ดังนั้น กรรม คือการกระทำในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจงทำเวลาในปัจจุบันนี้อย่างมีค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คนส่วนมากจะพ่ายแพ้ต่อกิเลส เพราะไม่เคยรู้ว่าการกระทำใดเป็นความดี การกระทำใดเป็นความชั่ว ขาดการฟังธรรม หรือ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังจะลงมือกระทำไปนั้นเป็นความชั่ว แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกิเลสด้วยความอ่อนแอของจิตใจ เพราะขาดการฝึกฝนตนเอง ขาดการฟังธรรม ตั้งตนอยู่ในความประมาท ขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดการคิดพิจารณาด้วยเหตุผล ไม่เคยตั้งจิตตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำแต่ความดี เมื่อไม่เคยฝึกฝนตนเองก็ทำให้จิตใจอ่อนแอรวนเร คราวใดกิเลสจรมาก็ไหลไปตามกิเลสนั้นอย่างง่ายดาย กระทำกรรมชั่ว ให้ได้รับผลเป็นความทุกข์ในอนาคต

การกระทำในปัจจุบันนี้ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญ ว่าเราจะทำความดี หรือ ความชั่ว เราจะทำอะไรให้มากกว่ากันในช่องทางการกระทำให้เกิดกุศลหรืออกุศลทั้ง 3 ทวารคือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 15:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ดังนั้น กรรม คือการกระทำในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจงทำเวลาในปัจจุบันนี้อย่างมีค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คนส่วนมากจะพ่ายแพ้ต่อกิเลส เพราะไม่เคยรู้ว่าการกระทำใดเป็นความดี การกระทำใดเป็นความชั่ว ขาดการฟังธรรม หรือ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังจะลงมือกระทำไปนั้นเป็นความชั่ว แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกิเลสด้วยความอ่อนแอของจิตใจ เพราะขาดการฝึกฝนตนเอง ขาดการฟังธรรม ตั้งตนอยู่ในความประมาท ขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดการคิดพิจารณาด้วยเหตุผล ไม่เคยตั้งจิตตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำแต่ความดี เมื่อไม่เคยฝึกฝนตนเองก็ทำให้จิตใจอ่อนแอรวนเร คราวใดกิเลสจรมาก็ไหลไปตามกิเลสนั้นอย่างง่ายดาย กระทำกรรมชั่ว ให้ได้รับผลเป็นความทุกข์ในอนาคต

การกระทำในปัจจุบันนี้ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญ ว่าเราจะทำความดี หรือ ความชั่ว เราจะทำอะไรให้มากกว่ากันในช่องทางการกระทำให้เกิดกุศลหรืออกุศลทั้ง 3 ทวารคือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ


.....ค่ะ......ได้ตั้งสัจจะอธิฐานจิตไว้...หลังสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น......
ว่า ตั้งใจจะเป็นคนดี....ครองตน ครองคน ครองงาน อย่างดีเยี่ยมเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาสืบต่อไป.รักษาศีล ให้ทาน ภาวนา รับประทานมังสวิรัสในวันพระและวันเกิด ตลอดไป...นำส่งผลบุญให้ข้าพเจ้าเจริญขึ้นทั้งการงาน การเงิน ความรัก โภคะ ความสมบูรณ์พูลผลทุกภพทุกชาติไป........ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กล้วยไม้ม่วง เขียน:
SOAMUSA เขียน:
ดังนั้น กรรม คือการกระทำในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจงทำเวลาในปัจจุบันนี้อย่างมีค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่คนส่วนมากจะพ่ายแพ้ต่อกิเลส เพราะไม่เคยรู้ว่าการกระทำใดเป็นความดี การกระทำใดเป็นความชั่ว ขาดการฟังธรรม หรือ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังจะลงมือกระทำไปนั้นเป็นความชั่ว แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกิเลสด้วยความอ่อนแอของจิตใจ เพราะขาดการฝึกฝนตนเอง ขาดการฟังธรรม ตั้งตนอยู่ในความประมาท ขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดการคิดพิจารณาด้วยเหตุผล ไม่เคยตั้งจิตตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำแต่ความดี เมื่อไม่เคยฝึกฝนตนเองก็ทำให้จิตใจอ่อนแอรวนเร คราวใดกิเลสจรมาก็ไหลไปตามกิเลสนั้นอย่างง่ายดาย กระทำกรรมชั่ว ให้ได้รับผลเป็นความทุกข์ในอนาคต

การกระทำในปัจจุบันนี้ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญ ว่าเราจะทำความดี หรือ ความชั่ว เราจะทำอะไรให้มากกว่ากันในช่องทางการกระทำให้เกิดกุศลหรืออกุศลทั้ง 3 ทวารคือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ


.....ค่ะ......ได้ตั้งสัจจะอธิฐานจิตไว้...หลังสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น......
ว่า ตั้งใจจะเป็นคนดี....ครองตน ครองคน ครองงาน อย่างดีเยี่ยมเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาสืบต่อไป.รักษาศีล ให้ทาน ภาวนา รับประทานมังสวิรัสในวันพระและวันเกิด ตลอดไป...นำส่งผลบุญให้ข้าพเจ้าเจริญขึ้นทั้งการงาน การเงิน ความรัก โภคะ ความสมบูรณ์พูลผลทุกภพทุกชาติไป........ :b8: :b8: :b8:


ดีค่ะ วันๆ หนึ่งทำให้ครบ ทาน ศีล ภาวนา เป็นอาจิณณกรรมทุกวัน

การอธิษฐานขณะทำบุญกุศลนั้นมี 3 ระดับ
-ระดับแรกเป็นระดับที่ต่ำสุด คือ ขอให้รวย ขอให้สวย ขอให้สมหวังในความรัก หน้าที่การงาน ทุกภพทุกชาติ อันนี้ไม่ต้องขอค่ะ อย่างไรเสียทำเหตุไว้ ผลย่อมมี
-ระดับที่สอง คือขอให้ได้เกิดในที่ดีๆ ในชาติต่อไป คือสุคติภูมิ มีสวรรค์เป็นต้น ขอให้ได้เกิดบนสวรรค์ ก็ยังเป็นการขอในระดับที่สูงกว่าการขอในข้อแรก เรียกว่าข้อสองดีกว่าข้อแรก
-ระดับที่สาม คือการทำกุศลที่เป็นกุศลระดับสูง คือ ขอออกจากสังสารวัฏฏ์ เป็นกุศลชั้นสูง คือขอบรรลุมรรค ผล นิพพาน

ดังนั้นการทำกุศลเพื่อให้ได้เป็นกุศลชั้นสูงสุดคือระดับที่สามควรอย่างยิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรม ควรอธิษฐานค่ะ
แต่ระดับแรกไม่ควรจะไปอธิษฐานเพราะทำให้กุศลที่ทำไปขณะนั้นเสียหาย กลายเป็นกุศลชั้นต่ำไปค่ะ ซึ่งได้เคยอธิบายไว้แล้วว่า การทำกุศลที่เจือด้วยอกุศล คือ โลภะ โทสะ โมหะ นั้น ทำให้กุศลที่ทำเกิดความเสียหายไปอย่างน่าเสียดายค่ะ

การอธิษฐานในระดับสามคือ มรรค ผล นิพพาน นั้นจะมีอานิสงส์ให้คุณสวย รวย เกิดในสุคติภูมิ เป็นต้นค่ะ
เพราะเป็นกุศลชั้นสูง ผลของกุศลที่เป็นเหตุดีก็ทำให้คุณได้พบแต่สิ่งที่ดีๆิค่ะ คุณไม่ต้องขอ แต่ย่อมได้สิ่งดีๆ เพราะคุณได้ทำเหตุไว้อย่างดีเป็นกุศลชั้นสูงค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 12:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
การอธิษฐานในระดับสามคือ มรรค ผล นิพพาน นั้นจะมีอานิสงส์ให้คุณสวย รวย เกิดในสุคติภูมิ เป็นต้นค่ะ
เพราะเป็นกุศลชั้นสูง ผลของกุศลที่เป็นเหตุดีก็ทำให้คุณได้พบแต่สิ่งที่ดีๆิค่ะ คุณไม่ต้องขอ แต่ย่อมได้สิ่งดีๆ เพราะคุณได้ทำเหตุไว้อย่างดีเป็นกุศลชั้นสูงค่ะ



สาธุ...สาธุ...สาธุ.... :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2014, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวนากับงูเห่า

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเองค่ะ ดิฉันมีบ้านให้เช่าอยู่ 5 บล๊อก เป็นบ้านแบบธรรมดาไม่ได้เลิศหรู แต่จัดให้ไม่แออัด โล่งโปร่งสบายๆ มีลานเอนกประสงค์ให้เดินเล่นพักผ่อนหรือตากผ้ากว้างพอสมควร บางคนทีี่เคยมาเช่าบ้านก็เคยขอใช้ลานนี้จัดงานแต่งงานเล็กๆ หรือบางคนก็ขอจัดเลี้ยงปีใหม่ที่ลานเอนกประสงค์นี้ เรียกว่าทำให้อยู่กันสบายๆ ห้องน้ำก็ทำให้สวยงาม เรียกว่าน่าอยู่ทีเดียว

ดิฉันจะเป็นคนประเภทที่คนเข้ามาเช่า บอกว่าไม่มีเงิน จะขอย้ายเข้ามาก่อน แล้วค่อยจ่ายล่วงหน้าได้มั้ย
ถ้าพูดมาอย่างนี้ ดิฉันไม่เคยปฏิเสธ เพราะว่าอย่างไรเสียเค้าก็ต้องจ่ายเงินค่าเช่าให้เรา รอช้าอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ช่วยๆ กันไป เห็นใจว่าเค้าไม่มีเงินกำลังเดือดร้อน ซึ่งดิฉันก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไร ดิฉันจะไม่ให้เช่าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร รอคนมาขอเช่ารายใหม่ก็ได้ แต่ด้วยความสงสารที่เค้าไม่มีเงิน ก็ให้เช่าไป แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันเจอกับคนเช่าแบบนี้คือ จะสร้างปัญหาให้มากที่สุด คนที่มาขอเข้าอยู่ก่อนแล้วค่อยจ่ายค่าเช่านี้จะสร้างปัญหาให้มากๆ และจะออกจากบ้านดิฉันไปแบบฉุกเฉิน คือ หนีไปเบี้ยวค่าเช่า ทิ้งค่าน้ำค่าำไฟไว้ ไม่จ่ายค่าเช่านั้นดิฉันไม่เสียหาย แต่ไม่จ่ายค่าน้ำค่าไฟนี้ ดิฉันต้องควักตังค์ในกระเป๋าจ่ายเอง บางคนค้างค่าเช่าค่าน้ำไฟไว้ถึง 2 เดือน ก็ย้ายหนีด้วยการ ค่อยๆ ทยอยขนของทีละเล็กทีละน้อย และหลังบ้านเช่านั้นติดถนนที่รถเข้าได้ก็ขนของย้ายข้ามรั้ว

ส่วนคนเช่าบ้านหลังอื่น ก็ไม่มีใครมาส่งข่าวบอกดิฉัน เพราะอยู่กันแบบไม่ใช่เรื่องของตนต้องเอาหาเรื่องใส่ตัว อยู่เฉยๆ หรือบางคนก็สงสารกันไม่มีเงินจ่าย ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่บอกเจ้าของบ้าน

ซึ่งการติดค้างค่าเช่าสำหรับดิฉันนั้นคุยกันได้ บางคนติดค้างอยู่หลายเดือนก็มี ก็ให้ค่อยๆ ผ่อนทยอยจ่ายแล้วเวลามาจ่ายนั้น ดิฉันก็ลดให้เค้าแบบชนิดลดกระหน่ำสุดๆ

คนส่วนใหญ่ที่ย้ายหนีนั้น คิดว่าต้องการจะโกงเงินเป็นประการสำคัญ เพราะช่องทางการหลบหนีค่าเช่านั้นสะดวก หนีไปก็ไม่ต้องจ่ายเงิน พวกนี้ไม่อยากจ่ายเงินให้ใครเวลาตนเองมีเงิน และที่สำคัญยืมถังน้ำพลาสติกขนาดใหญ่ของดิฉันไป ราคาก็700กว่าบาท ดิฉันบอกว่าให้ยืมนะ ถ้าจะย้ายก็ขอคืนด้วย ปรากฏว่าย้ายหนี ก็เอาถังน้ำไปด้วยค่ะ...บางคนก็เข้ามายืมเงินดิฉันถึงในบ้านก่อนจะย้ายหนี บอกว่าไม่มีเงินกินข้าวไปทำงาน ดิฉันก็ให้ยืมไป 500 บาท พอย้ายหนีก็หนีทั้งค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ แล้วก็เิงินที่มาหลอกยืมก่อนย้ายหนี

บางคนเข้ามาอยู่แบบยังไม่มีงานทำทั้งผัวทั้งเมีย ขออยู่ก่อนกำลังรองาน พอเข้าทำงานแล้วจะเอาค่าเช่ามาให้ เค้าก็อ่อนน้อมถ่อมตนกับดิฉันดี แต่พอมีงานทำมีเงินเดือนทั้งผัวทั้งเมีย หยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก เริ่มเรื่องมาก วางท่าว่ามีตังค์ ทำนองว่าดิฉันต้องตามใจ มีเรื่องต่อรองขอโน้นขอนี้ ดิฉันทำให้ได้ก็ทำให้ตามที่ขอ ดิฉันบอกกติกาของการเช่าบ้านว่า ควรอยู่ร่วมกันแบบเกรงใจแบบมีกติกา ก็ทนไม่ได้จะอยู่แบบไม่เกรงใจใคร อยากทำอะไรก็จะทำ จอดรถจักรยานขวางทางเข้าออก นึกอยากจะเอาที่ตากผ้าขวางถนนก็ขวางออกมาตั้งครึ่งถนน วางตะกร้าผ้ากลางถนนก็วาง เอาของมาวางระเกะระกะตามทางเดินก็วาง ดิฉันก็หย่วนๆ เอ้าอยากวางอะไรก็เชิญวาง แต่ไปเตือนว่าขอให้วางแบบชิดด้านซ้ายหรือชิดด้านขวา เว้นทางเดินให้คนเดินผ่านเป็นแนวตรง อย่าให้คนเดินผ่านต้องเดินซิกแซกสลับไปสลับมาเป็นฟันปลา ดิฉันบอกเค้าว่าต้องอยู่แบบสำรวมบ้าง ไม่ใช่นึกจะวางอะไรตรงไหนก็วาง ก็ไม่พอใจ ย้ายออกถือว่ามีเงินเช่าอยู่ที่ไหนก็ได้ คนประเภทนี้ย้ายออก ดิฉันก็ดีใจค่ะ

ดิฉันว่าเท่าที่ผ่านมา ดิฉันเหมือนชาวนาที่อุ้มงูเห่า คนไม่มีเงินมาขอเช่าบ้าน รอได้งานทำรายไหนรายนั้น ช่วยไว้กี่ราย สุดท้ายก็ลงเอยด้วยประโยคนี้ทุกราย ชาวนากับงูเห่า

แต่คนเช่าบางบ้าน ดีชนิดใจหาย ดีจริงๆ อยู่กันเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ จะเปิดเพลงเปิดโทรทัศน์ก็เบามาก ไม่ออกมาดีดดิ้น ใช้สิทธิ์หน้าบ้านตนเอง ปล่อยให้เป็นทางเดินที่ผู้เช่ารายอื่นเดินผ่านสะดวก หรือไม่เคยเอาเก้าอี้หรือข้าวของไปวางจับจองเป็นกรรมสิทธิ์ลานเอนกประสงค์

สารพัดรูปแบบ บางคนมาเช่าบ้าน พอไปกู้เงินกับแก๊งเงินกู้รายวันแล้วบอกกับแก๊งเงินกู้ว่าเป็นญาติกับดิฉัน บางคนจะเอาลูกเข้าทะเบียนบ้านของดิฉัน ก็บอกว่า ขอให้ลูกเข้าทะเบียนบ้านกรุงเทพสักหนึ่งอาิทิตย์เพื่อจะได้ทำเบิกกับที่ทำงาน จนป่านนี้กี่ปีมาแล้ว ลูกคนเช่าก็ยังเป็นผู้อาศัยในทะเบียนบ้านของดิฉัน บางคนก็ออกไปหาเรื่องกับคนงานก่อสร้างแล้วประกาศลั่นว่าเป็นญาติกับดิฉัน มันก็หมายถึงว่าเป็นญาติกับนายทหารด้วย เพราะพี่ชายดิฉันเป็นทหารระดับผู้กอง คนเช่าก็ไปอาละวาดคนงานหลังบ้าน คนงานหลังบ้านก็ไม่มีใครกล้าเล่นงานกลับ เพราะคิดว่าเป็นญาติกับผู้กอง บางคนบอกอยู่กันสองคนผัวเมียจะขอเข้าออกผ่านอีกด้านของบ้านเช่าซึ่งข้ามมาในเขตบ้านส่วนตัวของดิฉัน แต่ที่ไหนได้ เด็ก4 คนแก่อีก1 วิ่งกันในป่วนในบริเวณบ้านของดิฉัน ดิฉันก็เอาวะ ช่างหัวมันไหนๆ ก็ไหนๆ ยังไม่เดือดร้อนอะไร แถมคนเช่ายังบอกดิฉันว่า ดุว่าเด็กๆ ได้ นับวันเด็กก็ล้ำเข้ามาวิ่งเล่นใกล้บ้านดิฉันทุกที เรียกว่า ค่อยๆ ขยายพื้นที่เล่น โอโหพอสั่งสอนเด็กไป ผู้ใหญ่เต้นเลยค่ะ บางคนเสียเงินค่าเช่าแล้วก็แทบจะมาขี่หัวดิฉัน เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการบ่งการว่าตรงนี้ต้องติดไฟทางเพิ่ม ตรงนี้ต้องสร้างที่กั้นไม่ให้คนปีนกำแพง ดิฉันก็บอกว่าทีนี้บริการไม่ดีค่อยๆ หาที่อยู่ใหม่ดีกว่านะ คราวนี้ก็เงียบกริบบอกจะขอเช่าต่อไป พี่ค่อยๆ ทำตามที่ผมขอล่ะกัน ค่าเช่าก็ราคาถูก ค่าน้ำค่าไฟก็ถูกกว่าใครในซอย แต่คนเช่าจะเอาบริการระดับห้าดาว บางคนเข้ามาเช่า ก็ดัดแปลงบ้าน เจาะจนข้างฝาปูนพรุนไปหมด บางคนไม่บอกว่าจะเอากองทัพสัตว์เลี้ยงมาอยู่ด้วย แอบขนกองทัพแมวส่งเข้ามาทางรั้วหลังบ้านที่ติดถนนตอนกลางคืน แอบส่งแมวข้ามรั้วมาเลี้ยงเกือบ 20 ตัว กลิ่นฉี่อึแมวส่งกลิ่นทั่วทั้งหมู่บ้าน สร้างปัญหาวุ่นวายอยู่พักใหญ่

คนเรานี้มันหลากหลายมากๆ เพราะวาสนาที่สั่งสมมาประกอบกับการเลี้ยงดูก็มีส่วนทำให้คนแตกต่างกันไป การที่จะอยู่ร่วมกับคนพวกนี้ได้อย่างสงบคือคิดว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ใครกระทำอะไรไว้ ก็ต้องได้รับผลของการกระทำนั้น

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2014, 21:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอนก็คิดจะทำบ้านเช่านะ ... :b14:

แต่...สงสัย...คงไม่เอาดีก่า...

:b32: :b32: :b32:

...

เขาจะไปสู้หน้ายมบาลได้ยังไง
ในเมื่อจะสู้หน้าคุณโสม...ยังยาก...เรย

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2014, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบ้านให้เช่า ไม่ใช่เรื่องสนุก กว่าจะทำเสร็จกว่าจะใช้หนี้หมด
พอเป็นบ้านขึ้นมาก็ต้องรักษา นี่กระจกแตก 2 หลัง ต้องหาช่างมาเปลี่ยนกระจก
บานแรกเด็กเตะบอลใส่ บานที่สองเด็กเอาหินปากระจกเล่น
ด้านหลังบ้านเป็นหมู่บ้านคนงานก่อสร้าง มีพวกลูกคนงานก่อสร้างเยอะค่ะ

นี่ว่าเมื่อไหร่ลูกเรียนจบ มีงานทำ ก็จะรื้อทิ้งค่ะ จะอยู่แบบสัปปายะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2014, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


บางครั้งคนเรามีทรัพย์
ทรัพย์ก้อนำความทุกข์มาให้เช่นกันนะ
คุณโสมฯคิดว่าเป็นอย่างนั้นมั๊ย! :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2014, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
บางครั้งคนเรามีทรัพย์
ทรัพย์ก้อนำความทุกข์มาให้เช่นกันนะ
คุณโสมฯคิดว่าเป็นอย่างนั้นมั๊ย! :b41: :b55: :b49:


คิดค่ะ ไม่มีเลยก็ทุกข์หนัก
มีขึ้นมาก็ทุกข์ต้องดูแล รักษา
จะอย่างไร อย่างไร ก็ทุกข์ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2014, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ความอยากที่ไม่เคยสิ้นสุด คนเรานั้นมีความอยากได้ใคร่ดี มีความต้องการไม่เคยสิ้นสุด ถ้าเราหยุดความอยากลงได้บ้าง เราจะพบความสุขขึ้น แต่ทุกวันนี้มนุษย์ไล่ล่าหาความสุขจากวัตถุภายนอก ใจจะสุขได้ก็วิ่งหาอารมณ์ต่างๆ มาปรนเปรอให้ใจมีความสุข เมื่อไม่ได้มาอย่างใจปรารถนาก็เกิดความเสียใจเป็นทุกข์

คนเรานั้นจะวิ่งหาความสุขใส่ตนเอง แล้วยังไม่วายถ้าหันไปเห็นคนอื่นกำลังจะมีความสุข กำลังจะได้ดีกว่าตน ก็ไม่วายเดือดร้อนใจอีก อยากให้เค้าแย่กว่าตน กลัวว่าเค้าจะได้ดิบได้ดีกว่าตน คนเรามันไม่ได้อยากแค่ธรรมดานะคืออยากให้ตนได้ดิบได้ดีมีความสุข แต่ยังอยากให้คนอื่นอย่าได้ดิบได้ดีเหนือกว่าตนเอง เรียกว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย เพราะไม่มีใครอยากเห็นใครเด่นเกิน อันนี้คงยอมรับกันว่าทุกคนจะต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในใจกันถ้วนทั่ว แต่ไม่แสดงออกมาเพราะว่ารู้ผิดชอบชั่วดี เพราะรู้ว่าแสดงออกมาจะดูไม่งาม เพราะเป็นผู้ฝึกตนมาดีเป็นผู้ที่มุทิตาเมื่อผู้อื่นได้ดีเป็น หรือว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง ความริษยาเบาบางมากในใจฯ

คนเรานั้นตนเองก็อยากให้ตนได้ดีมีความสุข แล้วก็ยังอยากให้คนอื่นได้ดีมีความสุขน้อยกว่าตน กลัวคนอื่นจะได้ดีเกินหน้าเกินตาตนเอง

สิ่งหนึ่งที่เราต้องฝึกกันบ้างคือ ใจ ให้ใจกล้าแข็งที่จะดีใจกับคนอื่นเป็น ดีใจด้วยความจริงใจ รู้จักให้ใจกับคนอื่นเป็น เวลาเราได้ดิบได้ดี ครอบครัวสมหวังมีความสุขเราเองกลับชอบอกชอบใจ แต่เวลาผู้อื่นได้รับบ้าง ก็ควรหัดดีใจกับเค้าให้เป็น จิตใจเราจะสูงขึ้นเป็นการให้ทานกันด้วยสายตาเมตตาปราณีเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมด้วยวาจาที่ไพเราะที่ชมเชยกันและกล่าวดีใจด้วยกับเค้า นี่ก็คือการให้ทานแก่กันอย่างหนึ่ง คือการให้ทานด้วยใจด้วยสายตาและด้วยวาจาที่เมตตาปราณีมุทิตากับเค้า ที่เค้าได้ดี

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2014, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่คุณโสมฯเขียนมาทั้งหมดนั้น เราคิดว่าผู้ที่เข้าหาธรรม ไม่น่าที่จะมีเข้ามาในสมองหรือใจนะ
สำหรับตัวเรานะ เรามองว่าของพวกนี้เป็นของปลอมค่ะ ยึดไปก็ไม่มีอะไร
พูดง่ายๆคือ ตายไปก็เอาติดตัวไปไม่ได้ค่ะ ไปยึดติดมากก็ปวดหัวเปล่าๆ
เห็นแล้วก็เอาแค่รู้ หรือไม่ก็ดีใจกับเค้า ที่เค้าสมหวังในสิ่งที่เค้าอยากได้


สำหรับตัวเราช่วงนี้นะคะ ไม่รู้เป็นไงค่ะ เฉยๆกับสิ่งอะไรๆ
คือตอนนี้ เราแสวงหาแต่สิ่งที่ตายไปแล้วเราเอาติดตัวไปได้นะคะ
หรือว่าวาระของเรา จะมาถึงแล้วก็ไม่รู้สินะ

ช่วงนี้เราไม่รู้เป็นไงค่ะ รู้สึกแปลกๆ อยากแต่จะสวดมนต์-นั่งสมาธิ-
อยากจะคุยหรือฟังในเรื่องทางธรรม เรื่องทางโลกเราไม่อยากจะฟัง หรืออยากจะรู้เลย
นึกแปลกตัวเองเมือนกันค่ะ คุณโสมฯ-คุณน้ำ เคยเป็นหรือปล่าวค่ะ

:b12: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2014, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
สิ่งที่คุณโสมฯเขียนมาทั้งหมดนั้น เราคิดว่าผู้ที่เข้าหาธรรม ไม่น่าที่จะมีเข้ามาในสมองหรือใจนะ
สำหรับตัวเรานะ เรามองว่าของพวกนี้เป็นของปลอมค่ะ ยึดไปก็ไม่มีอะไร
พูดง่ายๆคือ ตายไปก็เอาติดตัวไปไม่ได้ค่ะ ไปยึดติดมากก็ปวดหัวเปล่าๆ
เห็นแล้วก็เอาแค่รู้ หรือไม่ก็ดีใจกับเค้า ที่เค้าสมหวังในสิ่งที่เค้าอยากได้


สำหรับตัวเราช่วงนี้นะคะ ไม่รู้เป็นไงค่ะ เฉยๆกับสิ่งอะไรๆ
คือตอนนี้ เราแสวงหาแต่สิ่งที่ตายไปแล้วเราเอาติดตัวไปได้นะคะ
หรือว่าวาระของเรา จะมาถึงแล้วก็ไม่รู้สินะ

ช่วงนี้เราไม่รู้เป็นไงค่ะ รู้สึกแปลกๆ อยากแต่จะสวดมนต์-นั่งสมาธิ-
อยากจะคุยหรือฟังในเรื่องทางธรรม เรื่องทางโลกเราไม่อยากจะฟัง หรืออยากจะรู้เลย
นึกแปลกตัวเองเมือนกันค่ะ คุณโสมฯ-คุณน้ำ เคยเป็นหรือปล่าวค่ะ

:b12: :b41: :b55: :b49:



ก็ดีใจกับคุณเต้ด้วยค่ะที่ใจคุณไม่มีความริษยาใคร คำว่าริษยาก็คืออิสสาเจตสิก ซึ่งเป็นบริวารของโทสะ
ถ้าหมดริษยาใครแล้ว ก็ดีแล้วแหละค่ะ

ส่วนดิฉันนั้น อกุศลจิต12 เจตสิก27 ยังอยู่ครบค่ะ เกิดมาก เกิดน้อย หรือบางครั้งนิ่งๆ ก็คงแล้วแต่ว่าตอนนั้นมีการกดข่มไว้หรือไม่ค่ะ ดิฉันยังชั่วอยู่มากค่ะ ยิ่งช่วงไหนปล่อยปละละเลยการปฏิบัติ ก็เป็นคนชั่วๆ คนหนึ่งไม่ต่างจากคนอื่นค่ะ เพียงแต่มีศีลคอยกั้นไม่ให้ทำเลวเท่านั้นค่ะ แต่ในใจนั้นก็ชั่วปกติค่ะ

การเขียนของดิฉันทั้งหมดนั้น เขียนสอนตนเองและเตือนสติเด็กๆ ไว้ค่ะ เพราะก็มีเด็กจำนวนหนึ่งที่ขอให้ดิฉันเขียนให้เค้าอ่านค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2014, 15:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

กำลังถามตนเองอยู่ว่า ตัวเราเป็นอะไรไป........ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีอารมณ์ เบื่อหน่าย ....
ไม่อยากคุยกับใคร....แต่ภายนอกก็ปกติ....ฟัง ยิ้ม เฉยๆ ไม่โต้ตอบมากเท่าที่ควร.... แต่ในใจ รู้สึกเบื่อ....มากกกกกก.....


พึ่งรู้ว่ามีคนเป็นแบบเราด้วย...ดีจัง ..คิดว่าตนเองผิดปกติไปหรือเปล่า...หรือว่า จะเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า.........

bbby เขียน:
สำหรับตัวเราช่วงนี้นะคะ ไม่รู้เป็นไงค่ะ เฉยๆกับสิ่งอะไรๆ
คือตอนนี้ เราแสวงหาแต่สิ่งที่ตายไปแล้วเราเอาติดตัวไปได้นะคะ
หรือว่าวาระของเรา จะมาถึงแล้วก็ไม่รู้สินะ

ช่วงนี้เราไม่รู้เป็นไงค่ะ รู้สึกแปลกๆ อยากแต่จะสวดมนต์-นั่งสมาธิ-
อยากจะคุยหรือฟังในเรื่องทางธรรม เรื่องทางโลกเราไม่อยากจะฟัง หรืออยากจะรู้เลย
นึกแปลกตัวเองเมือนกันค่ะ คุณโสมฯ-คุณน้ำ เคยเป็นหรือปล่าวค่ะ


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2014, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กล้วยไม้ม่วง เขียน:
:b12:

กำลังถามตนเองอยู่ว่า ตัวเราเป็นอะไรไป........ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีอารมณ์ เบื่อหน่าย....
ไม่อยากคุยกับใคร....แต่ภายนอกก็ปกติ....ฟัง ยิ้ม เฉยๆ ไม่โต้ตอบมากเท่าที่ควร.... แต่ในใจ รู้สึกเบื่อ....มากกกกกก.....


พึ่งรู้ว่ามีคนเป็นแบบเราด้วย...ดีจัง ..คิดว่าตนเองผิดปกติไปหรือเปล่า...หรือว่า จะเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า.........

bbby เขียน:
สำหรับตัวเราช่วงนี้นะคะ ไม่รู้เป็นไงค่ะ เฉยๆกับสิ่งอะไรๆ
คือตอนนี้ เราแสวงหาแต่สิ่งที่ตายไปแล้วเราเอาติดตัวไปได้นะคะ
หรือว่าวาระของเรา จะมาถึงแล้วก็ไม่รู้สินะ

ช่วงนี้เราไม่รู้เป็นไงค่ะ รู้สึกแปลกๆ อยากแต่จะสวดมนต์-นั่งสมาธิ-
อยากจะคุยหรือฟังในเรื่องทางธรรม เรื่องทางโลกเราไม่อยากจะฟัง หรืออยากจะรู้เลย
นึกแปลกตัวเองเมือนกันค่ะ คุณโสมฯ-คุณน้ำ เคยเป็นหรือปล่าวค่ะ


:b8:




เฉยเพราะจิตอยู่ในสภาวะใด ลองหาคำตอบให้ตนเองกันค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2014, 17:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s006
นั่นนะสินะ จริงๆๆคืออะไรกันแน่??
ของจริง ของปลอม ความรู้สึก ภายใต้ความรู้สึก คืออะไร?
รู้ว่านิ่งมากขึ้น อยู่กับลมหายใจมากขึ้น ทำกุศลกรรม มากกว่าอศุลกรรม ยังมีความอยาก แต่ตัดเร็วว่าช่างมันไม่เกี่ยวกับเราอะไรจะเกิดก็ช่าง ประมาณนี้ค่ะ แฮ่ๆๆๆ s005


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron