วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2014, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กล้วยไม้ม่วง เขียน:
s006
นั่นนะสินะ จริงๆๆคืออะไรกันแน่??
ของจริง ของปลอม ความรู้สึก ภายใต้ความรู้สึก คืออะไร?
รู้ว่านิ่งมากขึ้น อยู่กับลมหายใจมากขึ้น ทำกุศลกรรม มากกว่าอศุลกรรม ยังมีความอยาก แต่ตัดเร็วว่าช่างมันไม่เกี่ยวกับเราอะไรจะเกิดก็ช่าง ประมาณนี้ค่ะ แฮ่ๆๆๆ s005


จิตคุณคงหลบไปทำสมาธิในระหว่างที่ทำหน้าที่การงาน ก็ดีค่ะ ในช่วงที่ทำได้ก็ทำ
แต่ในช่วงที่ต้องใส่ใจกับหน้าที่การงานก็ควรจะทำงาน พอว่างก็ให้จิตหลบไปพักในสมาธิ ดีแล้วค่ะ

จิตที่เฉยมีทั้งกุศล และ อกุศล เฉยที่เป็นอกุศลนั้นคือเฉยอย่างไร? ต้องรู้
และจิตอย่างไรที่ทำให้กุศลเกิดได้ง่าย ก็ต้องรู้
ธรรมะพระพุทธเจ้ามีอย่างหนึ่งที่คนต้องใส่ใจ คือเข้าใจแล้วต้องจำได้ด้วย คือ ตัวสัญญา(ความจำได้หมายรู้ หมายรู้เมื่อไร ก็หมายรู้ในอนาคตค่ะ)
ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีความจำได้ในธรรมะ อะไรเกิดก็มีแต่ความไม่รู้ค่ะ ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมีสุตะ คือ ฟังให้เข้าใจ จะเป็นผู้ที่ปฏิบัติไปด้วย ฟังไปด้วยยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายกว่าผู้ฟังอย่างเดียวหรือปฏิบัติอย่างเดียวค่ะ (ฟังหมายถึงเรียนและฟังธรรมะ) แต่ก็มีบางท่านที่ปฏิบัติอย่างเดียวก็ไปโลด อันนี้ก็คงเป็นเพราะบารมีสั่งสมมามาก จึงเหนือกฏเกณฑ์ของคนธรรมดา

บางคนก็ยึคความนิ่งว่าดี บางคนก็จะอยู่นิ่งบอกไม่ฟุ้งซ่านทำใจนิ่งๆ ไป บางคนก็ว่าไม่คลุกคลีกับผู้อื่นดีกว่าแต่ก็คลุกอยู่กับอกุศลภายในใจคือความนิ่งเฉย มีญาติของดิฉันเป็นแบบนี้คนหนึ่ง วันๆ เค้าจะนิ่ง ดิฉันก็ไปอธิบายให้เค้าฟังว่า นิ่งเฉยนั้นมีทั้งกุศล และอกุศลนะ ให้มีสติกำหนดรู้ว่าเฉยอยู่ขณะนั้นกุศลเกิดค่ะ

คนธรรมดาทำงานวันๆหนึ่งมีสติไปรู้บัญญัติบ้าง ไปรู้ปรมัตถ์บ้างสลับไปสลับมา ใครทำได้เยอะก็สาธุด้วยค่ะ :b20:


จิตคนเรานั้นมีแค่ 2 ขั้วเท่านั้น จิตไม่เป็นกุศล ก็เป็นอกุศล/ จิตไม่เป็นอกุศล ก็เป็นกุศล

มีคำพูดที่พูดกันว่า กุศลเป็นเหมือนแขกมาเยือน แต่อกุศลนั้นเป็นเจ้าเรือนค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2014, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

สุตะ คำนี้มีความหมาย ๕ อย่าง คือ
๑. สุตฺวา ฟัง
๒. อุคฺคหิตฺวา เรียน
๓. สุปธาริตฺวา ทรงจำไว้อย่างแม่นยำ
๔. วาจาปลิกฺขิตฺวา เข้าไปกำหนดรู้ด้วยวาจาที่สั่งสมไว้ด้วยปาก
๕. มนสาปนิชฺฌายิตฺวา เข้าไปเพ่งให้รู้ด้วยใจ

(มหานิทเทสสูตร)

:b8: :b8: :b8:

คนเรียนทำไมจึงต้องท่องออกเสียง เพราะปากก็ท่องหูก็ฟังสิ่งที่ตนเองท่อง
จิตก็จะจำไว้ได้อย่างแม่นยำ

ค่าของชีวิตอยู่ที่การกระทำ การกระทำกุศลอย่างไร ก็จะได้รับผลดีเกิดขึ้นตามเหตุนั้น
ผู้ที่กระทำกุศลนั้นควรเป็นผู้ที่ตรงไปตรงมา อาจหาญร่าเริง ไม่มีมายา ไม่ยกตนข่มใคร ไม่โอ้อวด ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2014, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกล้วยไม้ม่วงเขียน

อ้างคำพูด:
กำลังถามตนเองอยู่ว่า ตัวเราเป็นอะไรไป........ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีอารมณ์ เบื่อหน่าย ....
ไม่อยากคุยกับใคร....แต่ภายนอกก็ปกติ....ฟัง ยิ้ม เฉยๆ ไม่โต้ตอบมากเท่าที่ควร.... แต่ในใจ รู้สึกเบื่อ....มากกกกกก.....


พึ่งรู้ว่ามีคนเป็นแบบเราด้วย...ดีจัง ..คิดว่าตนเองผิดปกติไปหรือเปล่า...หรือว่า จะเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า.........



เป็นยังไงบ้างค่ะคุณกล้วยไม้ม่วง เริ่มหายเบื่อบ้างหรือยังค่ะ สำหรับพี่เต้ก็อย่างเก่า
แต่จะมีความสุข ถ้าได้อ่านหนังสือธรรมหรือฟังCDธรรมค่ะ
ก็เลยทำให้เข้าใจว่า ทำไมพระบางท่านออกบวชแล้ว ถึงได้เข้าไปปฎิบัติธรรมในป่า

ว่าแต่คุณกล้วยไม้ม่วง-คุณโสมฯ พอจะแนะนำหนังสือธรรมที่ไหนให้เราอ่านบ้างมั๊ยค่ะ
(ตอนจบมาแบบเนียนๆ) :b12: :b32: :b41: :b55: :b49:


คุณโสมฯเขียน


อ้างคำพูด:
ผู้ที่กระทำกุศลนั้น ควรเป็นผู้ที่ตรงไปตรงมา อาจหาญร่าเริง ไม่มีมายา ไม่ยกตนข่มใคร ไม่โอ้อวด ค่ะ


แล้วคุณโสมฯ คิดว่าต้องทำแบบไหนค่ะ เพื่อที่อารมณ์จะไปอยู่ณ.จุดนั้นได้ :b1: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2014, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณกล้วยไม้ม่วงเขียน

อ้างคำพูด:
กำลังถามตนเองอยู่ว่า ตัวเราเป็นอะไรไป........ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีอารมณ์ เบื่อหน่าย ....
ไม่อยากคุยกับใคร....แต่ภายนอกก็ปกติ....ฟัง ยิ้ม เฉยๆ ไม่โต้ตอบมากเท่าที่ควร.... แต่ในใจ รู้สึกเบื่อ....มากกกกกก.....


พึ่งรู้ว่ามีคนเป็นแบบเราด้วย...ดีจัง ..คิดว่าตนเองผิดปกติไปหรือเปล่า...หรือว่า จะเริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า.........



เป็นยังไงบ้างค่ะคุณกล้วยไม้ม่วง เริ่มหายเบื่อบ้างหรือยังค่ะ สำหรับพี่เต้ก็อย่างเก่า
แต่จะมีความสุข ถ้าได้อ่านหนังสือธรรมหรือฟังCDธรรมค่ะ
ก็เลยทำให้เข้าใจว่า ทำไมพระบางท่านออกบวชแล้ว ถึงได้เข้าไปปฎิบัติธรรมในป่า

ว่าแต่คุณกล้วยไม้ม่วง-คุณโสมฯ พอจะแนะนำหนังสือธรรมที่ไหนให้เราอ่านบ้างมั๊ยค่ะ
(ตอนจบมาแบบเนียนๆ) :b12: :b32: :b41: :b55: :b49:


คุณโสมฯเขียน


อ้างคำพูด:
ผู้ที่กระทำกุศลนั้น ควรเป็นผู้ที่ตรงไปตรงมา อาจหาญร่าเริง ไม่มีมายา ไม่ยกตนข่มใคร ไม่โอ้อวด ค่ะ


แล้วคุณโสมฯ คิดว่าต้องทำแบบไหนค่ะ เพื่อที่อารมณ์จะไปอยู่ณ.จุดนั้นได้ :b1: :b41: :b55: :b49:


คุณเต้ผ่านมาอย่างไร ถึงได้รู้สึกสุขกับการปฏิบัติตนเพื่องานกุศล ก็อารมณ์ต่างๆ เหล่านั้นค่ะ
ก็ขอเชิญช่วยกันแนะนำผู้ที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ เพราะการที่เป็นผู้ที่ปฏิบัตินั้นรู้เห็นมาจากสภาวะของตนเองแล้ว จึงดำเนินไปสู่ความสุขที่อยู่กับสิ่งที่ทำได้ยาก เช่น ฟังพระธรรม เชิญแนะนำเพื่อนๆ ได้ค่ะ

ส่วนหนังสือที่แนะนำ ก็อ่านในห้องพระอภิธรรมได้ค่ะ
มีหลายกระทู้ที่พิมพ์มาจากหนังสือ เพราะหนังสือบางเล่มก็ไม่มีขายในร้านหนังสือทั่วไป
เชิญเข้าไปอ่านกันค่ะ อ่านกันสะดวกง่ายๆ ก็มี หนังสือวิสุทธิมรรคด้วยค่ะ ตอนนี้มีลิงค์ใส่ไว้ ให้อ่านได้ทั้งเล่มค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2014, 09:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์รอบห้องนะคะ

ขออนุโมทนาในส่วนที่คุณโสมได้เอาสิ่งที่มีสาระที่สำคัญที่สุด มาได้ให้หนู๋
ได้อ่าน ได้เอาส่วนที่อ่าน ที่ฟังเอาไปปฎิบัติแล้วทำให้เข้าใจว่า มนุษย์เรามีสภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

มีสุข มีทุกข์ สรรเสิญ เยินยอ นินทา โกรธ โลภ หลง หรือการที่มีใจประทุษร้ายบ้าง ยกหางกระพือ พึบๆๆ

หรือการเมตตา ให้อภัย ปล่อยวางในสิ่งที่เกิดขึ้น ให้รู้จักมีสติให้มากเมื่อเกิดสภาวะทางจิตเกิดดับเกิดดับ
เพราะเราไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ยังไงหนู๋ขอขอบคุณที่คุณโสมสอนหนู๋ถึงแม้หนู๋จะไม่มีเวลาเรียน แต่คุฯโสมก็สละเวลาเพื่อหนู๋

และสามารถทำให้หนู๋มีชีวิตที่ดี และเพื่อนๆหนู๋อีกหลายคนฝากขอบคุณคุณโสม(แม่โสม)

ยังไงก็พิมพ์มาให้หนู๋และเพื่อนๆและอีกหลายคนได้อ่านต่อไปนะค่ะ จะเป็นกำลังใจให้เสมอ

หนู๋ชอบเข้าไปอ่านห้องพระอภิธรรม เพื่อนหนู๋บอกว่าคุณโสมเก่งมากๆเลยค่ะ
:b29: :b29:
:b8: :b8: :b8: ถ้าหนู๋พูดอะไรผิดๆหรือคำพูดแปลกหนู๋ขอโทษด้วยนะค่ะคือ หนู๋ใช้ภาษาสละสลวยไม่ค่อยเก่งเท่าไรอ่ะค่ะ แหะๆๆ :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2014, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


JIT TREE เขียน:
ขอกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์รอบห้องนะคะ

ขออนุโมทนาในส่วนที่คุณโสมได้เอาสิ่งที่มีสาระที่สำคัญที่สุด มาได้ให้หนู๋
ได้อ่าน ได้เอาส่วนที่อ่าน ที่ฟังเอาไปปฎิบัติแล้วทำให้เข้าใจว่า มนุษย์เรามีสภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

มีสุข มีทุกข์ สรรเสิญ เยินยอ นินทา โกรธ โลภ หลง หรือการที่มีใจประทุษร้ายบ้าง ยกหางกระพือ พึบๆๆ

หรือการเมตตา ให้อภัย ปล่อยวางในสิ่งที่เกิดขึ้น ให้รู้จักมีสติให้มากเมื่อเกิดสภาวะทางจิตเกิดดับเกิดดับ
เพราะเราไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ยังไงหนู๋ขอขอบคุณที่คุณโสมสอนหนู๋ถึงแม้หนู๋จะไม่มีเวลาเรียน แต่คุฯโสมก็สละเวลาเพื่อหนู๋

และสามารถทำให้หนู๋มีชีวิตที่ดี และเพื่อนๆหนู๋อีกหลายคนฝากขอบคุณคุณโสม(แม่โสม)

ยังไงก็พิมพ์มาให้หนู๋และเพื่อนๆและอีกหลายคนได้อ่านต่อไปนะค่ะ จะเป็นกำลังใจให้เสมอ

หนู๋ชอบเข้าไปอ่านห้องพระอภิธรรม เพื่อนหนู๋บอกว่าคุณโสมเก่งมากๆเลยค่ะ
:b29: :b29:
:b8: :b8: :b8: ถ้าหนู๋พูดอะไรผิดๆหรือคำพูดแปลกหนู๋ขอโทษด้วยนะค่ะคือ หนู๋ใช้ภาษาสละสลวยไม่ค่อยเก่งเท่าไรอ่ะค่ะ แหะๆๆ :b29:



:b13: สรรเสริญ กับ นินทา มีค่าเท่ากันค่ะ
ถ้าตนเองพอจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ก็ยินดีค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2014, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

:b42: พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต



[๑๕๙] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมือง
โกสัมพี ครั้งนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งเรียกบุรุษคนหนึ่งมาว่า บุรุษผู้เจริญ พ่อจงมา
พ่อจงเข้าไปหาพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ จงไหว้เท้าพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ด้วยเศียรเกล้า
ตามคำของเราว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ภิกษุณีชื่อนี้กำลังอาพาธ ได้รับทุกข์
เป็นไข้หนัก นางย่อมไหว้เท้าของพระผู้เป็นเจ้าอานนท์ด้วยเศียรเกล้า และพ่อ
จงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอโอกาส ขอพระผู้เป็นเจ้าอานนท์
จงอาศัยความอนุเคราะห์ เข้าไปหาภิกษุณีนั้น ยังสำนักของภิกษุณีนั้นด้วยเถิด
บุรุษนั้นรับคำภิกษุณีนั้นแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง
ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบเรียนท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ภิกษุณีชื่อนี้กำลังอาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก นางไหว้เท้าของพระผู้เป็น
เจ้าอานนท์ด้วยเศียรเกล้า และกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอโอกาส
ขอพระผู้เป็นเจ้าอานนท์จงอาศัยความอนุเคราะห์ เข้าไปหาภิกษุณีนั้น ยังสำนักของ
นางภิกษุณีด้วยเถิด

ท่านพระอานนท์รับคำด้วยดุษณีภาพ ครั้งนั้นแล ท่านพระ
อานนท์ครองผ้าในเวลาเช้า ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังสำนักของนางภิกษุณี
ภิกษุณีนั้นได้เห็นท่านพระอานนท์ มาแต่ไกลแล้ว จึงนอนคลุมผ้า ตลอดศีรษะ
อยู่บนเตียง ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปหาภิกษุณีนั้น แล้วนั่งบนอาสนะ
ที่แต่งตั้งไว้ ครั้นแล้วได้กล่าวกะภิกษุณีนั้นว่า

ดูกรน้องหญิง กายนี้เกิดขึ้นด้วยอาหาร อาศัยอาหารแล้วพึงละอาหารเสีย
กายนี้เกิดขึ้นด้วยตัณหา อาศัยตัณหาแล้วพึงละตัณหาเสีย
กายนี้เกิดขึ้นด้วยมานะ อาศัยมานะแล้วพึงละมานะเสีย
กายนี้เกิดขึ้นด้วยเมถุน ควรละเมถุนเสีย การละเมถุน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เสตุฆาต ๑- ดูกรน้องหญิง ก็คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยอาหาร อาศัย
อาหารแล้วพึงละอาหารเสีย ดังนี้ เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรน้องหญิง
@๑ การฆ่ากิเลสด้วยอริยมรรค


ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว บริโภคอาหาร ไม่บริโภค
เพื่อเล่น ไม่บริโภคเพื่อมัวเมา ไม่บริโภคเพื่อประเทืองผิว ไม่บริโภคเพื่อประดับ
บริโภคเพียงเพื่อความตั้งอยู่แห่งกายนี้ เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป เพื่อระงับความ
หิวกระหาย เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ด้วยคิดว่า ด้วยการบริโภคนี้
เราจักกำจัดเวทนาเก่าได้ด้วย และจักไม่ยังเวทนาใหม่ให้เกิด ความดำเนินไป
ได้ ความไม่มีโทษ และความผาสุก จักมีแก่เรา สมัยต่อมา ภิกษุนั้นอาศัยอาหาร
แล้วละอาหารเสียได้ ดูกรน้องหญิง คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยอาหาร
อาศัยอาหารแล้วพึงละอาหารเสีย ดังนี้ เราอาศัยข้อนี้กล่าว

ดูกรน้องหญิง ก็คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยตัณหา อาศัยตัณหาแล้วพึงละตัณหาเสีย
ดังนี้ เราอาศัยอะไรกล่าว ดูกรน้องหญิง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้ยินว่า ภิกษุ
ชื่อนี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ
ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดังนี้ เธอคิด
อย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ แม้เราจักกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่ ดังนี้ สมัยต่อมา เธออาศัยตัณหาแล้วละตัณหาเสียได้ ดูกรน้องหญิง
คำที่กล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยตัณหา อาศัยตัณหาแล้วพึงละเสีย ดังนี้
เราอาศัยข้อนี้กล่าว

ดูกรน้องหญิง ก็คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยมานะ
อาศัยมานะ แล้วพึงละมานะเสีย ดังนี้ เราอาศัยอะไรกล่าว ดูกรน้องหญิง
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ได้ยินว่า ภิกษุชื่อนี้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ
ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดังนี้ เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ก็ท่านผู้มีอายุ
ชื่อนั้น กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ
ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดังนี้ ไฉนเรา
จักกระทำไม่ได้ สมัยต่อมา เธออาศัยมานะแล้วย่อมละมานะเสียเอง ดูกรน้องหญิง
คำที่เรากล่าวว่า กายนี้เกิดขึ้นด้วยมานะ อาศัยมานะแล้วพึงละมานะเสีย ดังนี้
เราอาศัยข้อนี้กล่าว ดูกรน้องหญิง กายนี้เกิดขึ้นด้วยเมถุน ควรละเมถุนเสีย
การละเมถุนพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เสตุฆาต ดังนี้ ฯ


ครั้งนั้นแล ภิกษุณีนั้นลุกขึ้นจากเตียง กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้าง
หนึ่ง หมอบลงแทบเท้าของท่านพระอานนท์ด้วยเศียรเกล้า แล้วกล่าวกะท่าน
พระอานนท์ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ดิฉันเป็นคนพาล เป็นคนหลง
ไม่ฉลาด ได้ล่วงเกินไปแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าอานนท์จงยกโทษแก่ดิฉันซึ่งได้
กระทำอย่างนี้ เพื่อสำรวมต่อไป ท่านพระอานนท์กล่าวว่า เอาเถอะน้องหญิง
เธอเป็นคนพาล เป็นคนหลง ไม่ฉลาด ได้ล่วงเกินไปแล้ว เมื่อเธอซึ่งได้ทำ
อย่างนี้ เห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้วทำคืนตามธรรม เราย่อมยกโทษให้เธอ
ดูกรน้องหญิง การเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวม
ต่อไป นี้เป็นความเจริญ ในวินัยของพระอริยะ ฯ

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ บรรทัดที่ ๓๙๕๗ - ๔๐๑๕. หน้าที่ ๑๗๐ - ๑๗๒.
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... agebreak=0
อ่านโดยใช้เครื่องหมาย [เลขข้อ] เป็น เกณฑ์แบ่งข้อ ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/read/byit ... de=bracket
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=21&i=151

สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๒๑
http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_21

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2014, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

http://84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=31

นานาปัญหา
โดย คณะสหายธรรม


๓๑. ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด

ถาม ที่ว่ารัก รักนั้นประการใด

ตอบ ตั้งแต่จำความได้ ทุกคนรู้จักคำว่า “รัก รัก รัก” กันทั้งนั้น รักพ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน วงศาคณาญาติ รักเพื่อนพ้อง ญาติสนิทมิตรสหาย รักสินทรัพย์ เงินทอง ข้าวของ ตลอดจนสัตว์เลี้ยง แต่ก็ไม่มีรักใดที่ยิ่งใหญ่กว่ารักตนเอง

ดังที่พระพุทธพจน์ที่ว่า “ความรักเสมอด้วยตนไม่มี” ที่พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อสอนให้ทุกคนรู้ว่าเมื่อเรารักตัวของเราเองยิ่งกว่าใครๆ คนอื่นเขาก็รักตัวของเขายิ่งกว่าใครๆ เหมือนกัน ฉะนั้นจึงไม่ควรทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้ต้องได้รับทุกข์ฉันนั้น

พระพุทธองค์ตรัสเรื่องเกี่ยวกับความรักไว้ว่า

“ความโศกเกิดแต่ความรัก ภัยคือความกลัวเกิดแต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจากความรัก ความกลัวจักมีแต่ที่ไหน”

ก็ความรักอันเป็นเหตุให้เกิดความโศกและความกลัวนี้ เป็นความรักที่เนื่องด้วยโลภะตัณหาอันเป็นบาปอกุศล เป็นความรักที่เกิดจากความต้องการผูกพันรักใคร่

แต่ยังมีความรักอีกชนิดหนึ่งซึ่งปรารถนาจะให้ผู้อื่นได้รับความสุขโดยประการเดียว รักโดยไม่ต้องการผลตอบแทนใดๆ เป็นความรักที่บริสุทธิ์สะอาดเพราะมีอโทสะ ความไม่โกรธเป็นมูลราก จึงเป็นบุญกุศลความรักชนิดนี้คือ เมตตา

ความรัก ๒ อย่างนี้ มีเหตุเกิดต่างกัน ผลที่ได้รับจึงต่างกัน ความรักชื่อว่าเมตตา เป็นประเสริฐ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน ถ้าทุกคนมีเมตตาต่อกัน โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข เพราะไม่มีใครเบียดเบียนประทุษร้ายใครๆ ให้เดือดร้อน

พระพุทธเจ้านั้นมากไปด้วยพระเมตตา ทรงรักทุกคนแม้แต่ศัตรู เหมือนกับทรงรักพระราหุลราชโอรส พระองค์ทรงปรารถนาให้ชาวโลกได้อยู่เย็นเป็นสุข จึงทรงสอนให้มีศัลห้าเป็นประการแรกนั่น คือไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มสุราเมรัย เพราะเพียงการมีศีลห้าเพียงอย่างเดียว ชาวโลกก็จะมีแต่ความสุขหาประมาณมิได้ เพราะการไม่ฆ่าสัตว์นั้น ไม่ทำให้สัตว์ต้องบาดเจ็บล้มตายด้วยน้ำมือเรา เป็นการเอื้อเอ็นดูต่อสัตว์ เป็นการให้ชีวิตแก่สัตว์

รองลงมาจากรักชีวิต ทุกคนรักทรัพย์สินสิ่งของของตน การไม่หยิบฉวยลักขโมยทรัพย์สินสิ่งของผู้อื่นโดยที่เขาไม่อนุญาต เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สิ่งของของผู้อื่น

คนที่มีบุตรภรรยาสามี ก็รักบุตรภรยาสามีของตน การไม่ล่วงละเมิดในบุตรภรรยาสามีของผู้อื่น เป็นการให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น

การไม่พูดเท็จ พูดแต่คำจริง เป็นการให้ความจริงแก่ผู้อื่น

การงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย สิ่งเสพติดมึนเมาทั้งปวง เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง คือให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ แก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ให้ความบริสุทธิ์แก่บุตรภรรยาสามีของผู้อื่น ให้ความจริงแก่ผู้อื่น เพราะผู้ที่มึนเมาย่อมขาดสติ ขาดความยับยั้งชั่งใจ สามารถจะทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าบุตร ภรรยา สามีของตน ในที่สุดแม้แต่การฆ่าตนเองก็มิได้เว้น

เพราะฉะนั้น การมีศีลห้าจึงเป็นการรักษาตนเองและรักษาผู้อื่นให้พ้นจากภัยเวร ผู้มีศีลห้าจึงต้องมีเมตตาประจำใจ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าเรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นเขาก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น ทุกคนในโลกนี้ก็จะอยู่เป็นสุข แม้จากโลกนี้ไปแล้วก็อยู่เป็นสุขในโลกอื่น

สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน พระคาถาธรรมบท ปิยวรรค ว่า

บุญทั้งหลายย่อมต้อนรับบุคคลที่ทำบุญไว้ซึ่งจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น เหมือนพวกญาติเห็นญาติที่รักที่จากไปต่างถิ่นแล้วกลับมา ย่อมต้อนรับด้วยความยินดี ฉะนั้น

คือย่อมต้อนรับด้วยเครื่องบรรณาการอันเป็นทิพย์ คืออายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์และความเป็นใหญ่ทิพย์ ตลอดจนรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะอันเป็นทิพย์

ชาวโลกทุกวันนี้ต่างอ้างว่ามีศาสนาประจำใจตน แต่ยังมากไปด้วยความโลภ อยากได้ทั้งอำนาจและทรัพย์สินที่มิใช่ของตนโดยไม่ชอบธรรม แม้เมื่อไม่ได้หรือได้ไม่พอก็ทำลายล้างกัน ไม่สนใจว่าใครจะเป็นจะตาย พิกลพิการ ขอให้ตนได้ในสิ่งที่ตนอยากได้เท่านั้น

ความริษยา อาฆาต พยาบาท ก็เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงไม่แพ้ความโลภ การไม่ชอบหน้ากันเพียงคนสองคน ก็สามารถทำลายล้างคนเป็นแสนๆ ล้านๆ ได้ โลกทั้งโลกที่ต้องวุ่นวายเดือดร้อน ลุกเป็นไฟอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะความโลภและความริษยาอาฆาตของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คน รวมทั้งผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ประพฤติผิดธรรม ทอดทิ้งพ่อแม่ที่แก่เฒ่า แม้ผู้เป็นพ่อแม่ก็ทอดทิ้งลูกได้ตั้งแต่ยังแบเบาะ เพียงเพื่อให้พ้นความอับอายขายหน้าเท่านั้น

ภัยอันตรายร้ายแรงที่เราคาดไม่ถึงว่าจะเกิด ก็ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเหตุให้ผู้คนนับแสนนับล้านต้องตายไปอย่างน่าสยดสยอง จะโทษใครเล่าถ้าไม่โทษการกระทำอันไร้เมตตาปราณีของพวกเราเองซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

ขอมอบ พระพุทธภาษิต เป็นเครื่องเตือนใจเราทั้งหลายว่า

เมื่อโลกสันนิวาสอันไฟ (คือราคะ โทสะ โมหะเป็นต้น) ลุกโพลงอยู่เป็นนิตย์ พวกเธอยังจะมัวร่าเริงบันเทิงอะไร เธอทั้งหลายอันความมืดคืออวิชชาปกคลุมแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีป(คือญาณปัญญา) เพื่อขจัดความมืดคืออวิชชานั้นเสียเล่า

________________________________________
ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

ราชสูตร
http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=2856&Z=2880



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

คาถาธรรมบท ปิยวรรค
http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=830&Z=861



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๒

ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส

ข้อ [๖๖๘] ถึง [๖๗๑]
http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=30&A=6281&Z=6413



พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑
http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=662&Z=691



อรรถกถา กุมภชาดก
http://84000.org/tipitaka/atita100/jataka.php?i=272292



พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

คำว่า พรหมวิหาร 4
http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=พรหมวิหาร_4

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2014, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


อาหารที่ทอดขายกันตามที่เห็นๆนั้น นอกจากจะใช้น้ำมันซ้ำๆจนดำเกิดสารก่อมะเร็งแล้ว บางร้านเมื่อนำถุงพลาสติกที่ใส่น้ำมันมาเพื่อเทใส่กระทะนั้น ก็ไม่เท แต่จะทำกันง่ายๆ คือกระทะร้อนนั้นก็เอาถุงที่ใส่น้ำมันพืชวางลงในกระทะโดยไม่แกะหนังยางออกแล้วเทน้ำมันให้เสียเวลา วางถุงน้ำมันไปในกระทะเดี๋ยวทุกอย่างก็ละลายรวมกับน้ำมัน

อาหารบางอย่างก็นำสิ่งที่สกปรกมาผสม ไม่อยากจะเชื่อนะว่าจะนำอุจจาระมาผสมในส่วนผสมเพื่อให้น้ำปลาร้านั้นนัว ดิฉันก็ไม่เข้าใจนะคำว่านัวนี้หมายถึงอย่างไร เรื่องนี้อาจารย์ที่โรงเรียนของลูกเตือนมาว่าต่อไปนี้ห้ามกินส้มตำปลาร้าเด็ดขาด เมื่อก่อนเคยได้ยินขนมจีนน้ำยาใส่ทิชชู่ ก็คิดว่ายังไม่น่าขนลุกเท่าส้มตำปลาร้า

ซูชิข้างถนนบางที่น้ำช้อสญี่ปุ่นก็ถูกคิดค้นสูตรใหม่โดยนำเอาน้ำอัดลมประเภทโค้กสีออกดำใกล้เคียงกันกับช้อสแล้วนำมาปรุงรสเลียนแบบ เราซื้อช้อสญี่ปุ่นมากินคงจะรู้กันดีว่าแพงมาก ก็คงไม่ได้กำไรอะไรถ้าใช้ช้อสของจริงส่วนข้าวญี่ปุ่นก็ใช้ข้าวไทยทำ อันนี้ไม่ว่ากันอย่างน้อยก็เอาของที่กินได้มาให้กิน แต่เบื้องหลังการทำนั้นบางบ้านที่ทำซูชิส่งนั้นสกปรกมาก บ้านที่ทำชูชิส่งนั้นสกปรกขนาดนั้นเหมาะทำของกินหรือไม่ ทำส่งขายตามแผงขายข้างถนน

กล่องกระดาษที่ใส่อาหาร แผ่นกระดาษถูกส่งไปตามชุมชนเพื่อจ้างพับขึ้นเป็นกล่อง

ผลไม้นั้น ก็เว้นไว้ต้นหนึ่งไม่ฉีดยาฆ่าแมลงกระหน่ำเข้าไป ต้นที่ถูกเว้นนั้นเพื่อเอาไว้แจกญาติและกินเอง

แม้แต่ลูกชิ้นปลาก็ยังเรืองแสงได้ เป็นอาหารที่พกเอาความอลังการมาด้วยคือเรืองแสงได้

การที่ผู้ผลิตอาหารไม่ทำให้อาหารปลอดภัยและสะอาดนั้นก็เป็นอกุศล คือโลภะ อยากได้รายได้มากๆโดยไม่นึกถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค

รูปภาพ

http://www.thairath.co.th/content/edu/407808

สุ่มตรวจ 'เนื้อย่าง-จิ้มจุ่มอีสาน' พบยาฉีดศพอื้อ!
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 5 มี.ค. 2557 13:15


อย.ลงพื้นที่สุ่มตัวอย่างอาหารสด พบลักลอบใช้น้ำยาฟอร์มาลินร้านเนื้อย่าง-จิ้มจุ่มในภาคอีสาน เตือนประชาชนบริโภคมากอาจรับพิษอันตรายถึงตาย...

นางสาวนราพร สกลพิทักษ์ ผู้ช่วยวิจัยหน่วยเคลื่อนที่เพื่อความปลอดภัยด้านอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ได้ทำการสุ่มสำรวจเก็บตัวอย่างอาหารสด รวมทั้งผักสดทุกชนิดในพื้นที่รับผิดชอบ 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย จังหวัดสกลนคร นครพนม มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ พบปัญหาการใช้สารปรุงแต่งอันตราย ลักลอบนำมาถนอมอาหาร ใช้สารฟอร์มาลินที่ใช้ฉีดศพดองอาหารทั้ง 4 จังหวัด

โดยเฉพาะร้านอาหารเนื้อย่างและจิ้มจุ่ม มีการใช้น้ำยาฟอร์มาลินในปริมาณที่สูง สำหรับหมวดอาหารที่พบเป็นกลุ่มอาหารทะเล ปลาหมึก ปลาหมึกกรอบ ในเนื้อวัวก็จะเป็นสามสิบกลีบ ซึ่งนักเปิบนิยมรับประทาน แม่ค้าจะนำมาดองให้คงความสด แต่เมื่อรับประทานเข้าไปมากๆ ก็จะทำให้เกิดท้องร่วงบิดอย่างรุนแรง บางรายร่างกายไม่แข็งแรง ก็จะทำให้เสียชีวิตได้ อีกทั้งยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาจากการบริโภค ยังเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และเยื่อบุทางเดินหายใจ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง และหากรับพิษสะสม ก็จะทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ในอนาคต สำหรับการตรวจพบนั้นเฉพาะที่ จ.กาฬสินธุ์ พบในร้านเนื้อย่างและจิ้มจุ่ม ทั้ง 18 อำเภอ ทั้งนี้ เชื่อว่าเกิดจากความมักง่ายของแม่ค้า ซึ่งจำหน่ายไม่หมดก็จะนำกลับมาขายใหม่ จึงเลือกใช้ฟอร์มาลิน ซึ่งเป็นน้ำยาดองศพมาถนอมอาหารแทน ซึ่งได้รายงานไปยังสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อร่วมหามาตรการป้องกันต่อไปแล้ว

ด้านนายแพทย์พิสิทธิ์ เอื้อวงศ์กูล นายแพทย์สำนักงานสาธารณสุขกาฬสินธุ์ กล่าวว่า การดูแลด้านอาหารปลอดภัย ทาง สสจ.กาฬสินธุ์ ได้ให้เจ้าหน้าที่กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ และโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ ลงพื้นที่สุ่มตรวจหาสารปนเปื้อนในตลาดสด ร้านจำหน่ายอาหาร และร้านเนื้อย่าง หรือร้านหมูกระทะอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ได้เน้นการตรวจสารฟอร์มาลิน สารบอแร็กซ์ สารเร่งเนื้อแดง สารฟอกขาวและกันรา ซึ่งผลตรวจตามตลาดสดไม่พบสารดังกล่าว แต่ผลการตรวจของเจ้าหน้าที่ สสจ.กาฬสินธุ์ กับเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่ อย. กลับพบว่า มีสารฟอร์มาลินซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับที่ใช้ฉีดศพปะปนอยู่ในอาหารทะเล เช่น ปลาหมึกดอง ปลาหมึกกรอบ เนื้อวัว อยู่ในร้านเนื้อย่างตามต่างอำเภอ หากตรวจพบ ขั้นแรกตักเตือน หากยังละเมิดอีกจะลงโทษยึดใบอนุญาต.

:b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50:



ที่จริงเรื่องนี้ก็นานแล้ว แต่ก็ยังมีอีกจนมีข่าวฮือขึ้นมาอีกครั้ง

สาหร่ายปลอมระบาดหนัก http://hilight.kapook.com/view/110669

:b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49:

ผักก็เจอทั้งยาฆ่าแมลงในตอนปลูก พอส่งมาขายก็เจอแช่ฟอร์มาลินอีก
คนยุคนี้กินฟอร์มาลินเข้าไปเยอะเหมือนกัน ตายแล้ว ศพจะเน่ามั้ยคะ?

เราควรคัดสรรอาหารที่มีพิษภัยน้อยที่สุดมากิน และกินอย่างผู้มีสติ
การมีเงินซื้อหาอาหารมากินนั้น ก็ต้องกินอย่างรู้ค่า ไม่กินทิ้งกินขว้าง เพราะแม้จะเป็นเงินของเราที่ซื้อมาก็ตาม แต่อาหารนั้นเป็นสมบัติของโลก เราควรบริโภคอย่างรู้คุณค่าและไม่ทิ้งขว้างค่ะ และใช้ประโยชน์จนถึงที่สุด มีหลายๆ ท่านที่กินอาหารแล้ว เอาน้ำละลายเศษอาหารที่ติดก้นจาน สาดให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยกินต่ออีก นี่ก็ทำบุญกันจนหยดสุดท้ายเลยค่ะ หรือแบ่งอาหารแก่เพื่อนบ้านที่ยากจนไม่มีเงินซื้ออาหาร ข้าวสุกก็โปรยให้นกกินบ้าง มีผลไม้ก็แบ่งแก่สัตว์อื่นด้วย พวกกระรอก พวกนก สัตว์เหล่านี้บางครั้งก็หาอาหารกินเองยากในบางแห่ง บางครั้งเราเดินไปตามถนนเห็นนกกางเขนเล่นน้ำดำสกปรกอยู่ เราก็เอาน้ำใส่อ่างวางตั้งไว้ตามที่นกชอบมาในบริเวณบ้านเราบ้างก็ได้ อยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้อย่างผู้ที่รู้คุณค่าและแบ่งปันกันค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2014, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ในขณะที่เราเกิดมานั้นมีตัณหาเกิดขึ้นในวิถีจิตแรกที่เกิดขึ้นในภพนั้นครั้งแรก ในชวนะจิต ๕ ดวงแรกนั้นมีโลภะเจตสิกเกิดประกอบกับจิตและเจตสิกอื่นๆ ด้วย เราเกิดมาก็มีโลภะเกิดขึ้นทันที คือ ภวนิกันติโลภชวนะ และชีวิตที่ดำเนินต่อๆ ไปนั้นก็ไม่พ้นโลภะแม้ในยามจะไปทำกุศล ก็ยังมีตัณหานำไป แต่ตัณหาไม่สามารถครอบงำได้ตอนใดก็คือตอนที่ผู้นั้นมีจิตจดจ่ออยู่กับกุศล เมื่อใดที่ผู้นั้นมีจิตเป็นกุศลเมื่อนั้นตัณหาครอบงำไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปวิ่งหนีตัณหา แต่จงใช้ตัณหานั้นสร้างตนเองให้เปลี่ยนเป็นผู้มีฉันทะมีความพอใจที่จะทำกุศล อกุศลก็เป็นปัจจัยให้กุศลเกิดได้ และถ้าคิดว่าจะทำกุศลแล้วมีตัณหาแทรก ตัณหาไม่เกิดเมื่อมีกุศลเกิด ควรทำอย่างไรให้กุศลเกิดขึ้นได้จริงต่างหากที่ควรใส่ใจ ไม่ใช่ไปกังวลไปกลัวตัณหา กลัวว่าทำอะไรก็จะติดข้อง กลัวติดข้องก็ออกจากข้องมาซะ มาปฏิบัติให้ถูกไม่ว่าจะทำทาน ศีล ภาวนา ทำอย่างไรอกุศลทั้งหลายจะแทรกเข้ามาไม่ได้ หรือแทรกได้น้อยที่สุด เมื่อนั้นแหละจะหลุดออกมาจากข้องได้ชั่วคราว ตัณหาไม่สามารถเกิดพร้อมกับกุศลได้ ผู้ที่ประหาณตัณหาได้หมดเป็นสมุจเฉท คือ พระอรหันต์ ส่วนพวกเราๆ หยุดตัณหาได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นค่ะ

คนอย่างเราๆ นี้ อย่าไปห่วงว่า ทำอย่างนี้เป็นตัณหา ทำอย่างโน้นก็ตัณหา ตัณหามันนำหน้าพวกเราเสมออยู่แล้วอย่าห่วงเลยค่ะ อะไรเป็นกุศลหาวิธีทำให้ถูกต้องได้ตามที่พระพุทธองต์ตรัสสอนไว้ ก็ทำไปเลยค่ะ อย่ามัวมานั่งคิดห่วงตัณหาจะลากไปกิน ห่วงว่าทำกุศลอย่างไรให้เป็นกุศลจริงๆ ต่างหากที่ควรห่วงว่าทำเป็นหรือยัง ทำกุศลให้เป็นกุศลให้ได้อย่าห่วงเลยค่ะ พวกเราเกิดมาพร้อมกับตัณหา มีชีวิตอยู่ก็คลุกเคล้าไปด้วยตัณหา ตายก็ตายไปพร้อมกับตัณหา มีตอนใดที่สลัดตัณหาได้ชั่วคราว สลัดอกุศลได้ชั่วคราวต่างหากที่ควรทำค่ะ การปฏิบัติด้วยการฝึึกเจริญสติไปจนถึงขั้นวิปัสสนา เป็นการเข้าสู่ขบวนการที่จะดับตัณหาได้ชั่วคราว ดังนั้นควรเริ่มฝึกสติ การฝึกเจริญสติไม่ใช่การติดข้องว่าจะไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่เป็นการฝึกทำกุศลค่ะ ซึ่งตัณหาก็นำไปทำดี ทำดีไปในที่สุดก็ทิ้งตัณหาได้ชั่วคราว และสั่งสมไปเพื่อที่จะทิ้งให้หมดให้เด็ดขาดไปได้ในอนาคตชาติใดชาติหนึ่งข้างหน้า การดับตัณหาได้ชั่วคราวในขณะนี้ต่างหากที่ดีเพราะวงจรของสังสารวัฏฏ์ ได้ถูกตัดขาดไปบางส่วนคือ ตทังคนิพพุติ และจะตัดขาดได้ตลอดไปเมื่อบุคคลนั้นพ้นจากตัณหาอย่างเด็ดขาด คือ พระอรหันต์ ซึ่งในขณะที่ได้อรหัตตมรรคนั้นสามารถตัดตัณหาได้เด็ดขาดเรียกว่า สมุจเฉทนิพพุติ คือดับตัณหาได้สนิทแบบไม่มีส่วนเหลือค่ะ

ความไม่รู้ว่าการปฏิบัติอย่างไรถูกต้องนั้น จัดเป็นอวิชชาที่มีโทษมาก และเห็นว่าการปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นการปฏิบัติผิด การปฏิบัติแบบเข้าใจอะไรผิดๆ เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ในหนทางที่ถูกต้องนั้นตนเองไม่ทำก็เที่ยวห้ามคนอื่นไม่ให้ทำ พอใครทำแตกต่างจากตนเองเข้าใจผิดก็หาว่าเค้าทำผิด หาว่าไปทำอะไรขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนเป็นโลภะไปซะหมด พระป่าบางรูปนั้นท่านเข้มข้นในด้านปฏิบัติจนได้ฌานนั้น ท่านลงมือปฏิบัติจริงๆ ท่านรู้ว่าต้องทำอย่างไร ท่านรู้ว่าอย่างไรเรียกว่าหลงทาง เท่านั้นท่านก็ลงมือทำได้แล้ว ไม่ต้องมาสัมบัติสำนวนว่าการปฏิบัติคืออะไร ไม่ใช่มัวคิดว่าจะต้องมานั่งฟังอย่างเดียว ทำอะไรก็เป็นโลภะซะหมด แล้วที่นั่งฟังกันมึนงง งงงวยกันนั้นเป็นโลภะมั้ย ่จะบอกให้นะว่าเป็นยิ่งกว่าโลภะเสียอีก เข้าขั้นอุปาทานยึคแน่น เพราะว่าอยากที่จะไม่ผิดจึงอยากจะฟังอย่างเดียว อยากไม่ผิดจึงยึคว่าต้องฟังๆๆ อย่าไปทำอะไรมาฟังให้เข้าใจก่อน เดี๋ยวมันเป็นโลภะเกิดขึ้น หารู้ไม่นั่นแหละอุปาทานกำลังยึคแน่น แน่นจนจะฟังอย่างเดียว แล้วก็บอกว่าตนยังไม่สามารถทำได้ เพราะปัญญายังไม่มากพอ ทำได้อย่างเดียวคือฟังเท่านั้นไปยึคว่าสติเกิดได้จากการฟังอย่างเดียวเท่านั้นจึงไม่ฝึกให้สติเกิด สติก็ไม่ทำเพราะเดี๋ยวโลภะเกิด ต้องฟังจนสติเกิดเอง ใครนั่งสมาธิ เดินจงกรมก็คัดค้าน สวดมนต์ก็ว่าไม่มีปัญญา สติยังไม่เกิดแล้วจะเอาปัญญาระดับเห็นไตรลักษณ์มาเป็นไฮไลท์ของพวกตน ก็เป็นได้แค่วิปัสสนึกหลอกตนเอง ่บางคนระดับสุตมยปัญญาก็ยังไม่ผ่านนะคะ เพราะอะไร? เพราะปัญญาระดับสุตะนั้นจะต้องจำได้ เข้าใจได้ถูกต้องจนอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ มิใช่ฟังแล้วลืม ฟังแล้วเล่าไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ใส่ความเข้าใจผิดให้สังคม เข้าใจผิดมีความเห็นว่าสติฝึกไม่ได้ นี่ต่างหากที่ถูกอวิชชาครอบงำจนมืดบอดทำให้คิดผิดๆ ซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าการมีตัณหานำไปทำความดีนำไปปฏิบัติสติปัฏฐานเสียอีกค่ะ

การทำสมาธิิไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่หากได้ฌานแล้ว จะยกฌานเป็นบาทเจริญวิปัสสนา จะไปได้รวดเร็วกว่าคนที่ไม่ได้ฌาน เพราะสามารถตัดนิวรณ์ที่กลุ้มรุมคอยรังควานออกไปได้ เรียกได้ว่าไม่เกิน ๗ วัน, ๗ เดือน, ๗ ปี ถ้าลงมือปฏิบัติอย่างเข้มข้น ไม่พ้นไปจากเวลาเหล่านี้ค่ะถ้าไม่มัวแต่หลงติดอยู่กับสุขกับอภิญญา ก็สามารถบรรลุได้ง่ายกว่าคนธรรมดาที่ไม่มีฌาน คนมีปัญญาจึงจะได้ฌาน และปัญญาระดับนี้สามารถทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ สำหรับพวกเราในชาตินี้แม้จะไม่ได้ฌานแต่เราสร้างเหตุได้ค่ะ ด้วยการไม่รังเกียจที่จะทำด้านสมถะควบคู่ไปกับวิปัสสนา เป็นการสร้างเหตุไว้ เรียกว่า สหชาตกัมมปัจจัย และจะส่งผลเป็นพลวนานักขณิกกัมมปัจจัยในภายภาคหน้า เพื่อสะดวกแก่การบรรลุมรรคผลนิพพานในภายภาคหน้าชาติใดชาติหนึ่งค่ะ เราได้เกิดเป็นคนแล้วมีโชคดีกว่าเทวดาในเรื่องการสั่งสมบุญได้เต็มที่ อย่าให้ใครมาพูดจำกัดสิทธิ์ของเราค่ะในการสร้างกุศล รู้จักวิธีทำและข้อควรระวังให้ได้ถูกต้องตามคำสอนพระพุทธองค์แล้วทำไปเลยค่ะ เกิดมาในยุคแบบนี้ไม่มีใครบอกเราได้ว่าอะไรเหมาะสมกับเราแล้วเราควรเดินไปทางนั้นๆ เท่านั้น ดังนั้นเราจึงควรต้องสร้างเหตุทุกอย่างไว้ค่ะ ไม่ว่า ปริยัติ ปฏิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนา ต้องทำไว้ให้ดีและถูกต้องที่สุด เพราะกรรมนั้นก็คือการกระทำของเราในวันนี้ไม่หายไปไหน สิ่งเหล่านี้จะสะสมไว้นี้เพื่อเป็นเชื้อเป็นเหตุให้ชาติต่อไปให้ได้กระทำต่อไปอีก สั่งสมไว้ทุกภพทุกชาติรอเวลาสุกงอม เมื่อนั้นเราถึงจุดหมายแล้วก็จะพ้นๆไปเสียจากวัฏฏะนี้เสียทีค่ะ


.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ธรรมรักษา เทวดาคุ้มครองนะเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20:

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2015, 16:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าของกระทู้หายไปไหนค่ะ

คิดถึงนะคะ........


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2015, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 621


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2016, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

โลภะเหมือนแม่น้ำที่มีกระแสเชี่ยวพัดพาขยะ คือ ท่อนไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ และหญ้าแห้งทั้งหมดไปสู่มหาสมุทร ด้วยเป็นสภาวะที่เจริญเพิ่มพูนกลายเป็นแม่น้ำตัณหาซึ่งพัดพาไปสู่อบาย

จากหนังสืออภิธัมมัตถสังคหะ และ ปรมัตถทีปนี (โครงการแปลคัมภีร์พุทธศาสน์วัดท่ามะโอ) หน้า ๓๑๓

:b8: :b8: :b8:

เหมือนภาพแม่น้ำลำคลองในปัจจุบันในบางประเทศที่เต็มไปด้วยขยะจากน้ำมือมนุษย์ ที่ทิ้งลงไปด้วยความมักง่าย แล้วขยะก็ทยอยไหลลงสู่ทะเล รวมทั้งเรือเดินทะเล เรือต่างๆ ในทะเลที่จงใจทิ้งขยะและน้ำมันลงในทะเลโดยตรง ตอนนี้บนโลกมนุษย์จึงล้นไปด้วยตัณหา ทั้งในอวกาศก็ยังมีขยะล่องลอยไปมา ตัณหาเป็นสภาวะอยากได้ เมื่อได้มาแล้วก็เหมือนผ้าที่เปื้อนน้ำมันที่สลัดออกไม่ได้ เราได้สิ่งประดิษฐ์มามากมาย เมื่อได้มาแล้วก็ไม่เคยหยุดได้ เหมือนผ้าที่เปื้อนน้ำมันที่สลัดออกไม่ได้ ความอยากได้เหมือนคราบน้ำมันบนผ้าที่สลัดเท่าไรก็สลัดออกไม่ได้ เราสลัดตัณหาออกจากใจเราไม่ได้ เรายิ่งอยากได้เพิ่มมากกว่าเดิม การมีทีวีขาวดำ ก็พัฒนาเป็นทีวีสี แล้วก็พัฒนาเป็นทีวีดิจิตอล โทรศัพท์เรามีโทรศัพท์บ้าน ก็เป็นโทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์มือถือก็พัฒนารุ่นไปเรื่อยๆ ขยะบนโลกตอนนี้ก็มีหลายระดับตั้งแต่ขยะย่อยสลายได้ ขยะรีไซเคิลได้ ขยะทั่วๆไปจนถึงระดับขยะมีพิษขยะอันตราย เป็นผลมาจากความสร้างสรรขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์

โลกใบนี้เป็นโจทก์ เราทั้งหมดเป็นจำเลยของโลกใบนี้ ใครที่ใช้สอยสิ่งต่างๆ อย่างประหยัดและคุ้มค่าที่สุด ก็เป็นจำเลยที่มีคดีติดตัวน้อยหน่อย ใครที่ไม่เคยที่จะคิดลดอะไรลง ไม่เคยซ่อมของใช้เพื่อใช้ต่อไป ไม่่เคยหยุดก่อขยะอะไรเลย คนๆ นั้นก็เป็นจำเลยอย่างสมบูรณ์ทุกคดี ธรรมชาติเป็นศาลที่ตัดสินอย่างยุติธรรม และให้บทลงโทษเกิดขึ้นแก่เรา เราผจญกับความผันแปรของธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ภัยธรรมชาติลงโทษอย่างรุนแรง

เราก็ต้องเลือกแล้วล่ะว่า เราจะเป็นจำเลยที่ทำผิดให้น้อยที่สุดด้วยการ ลดขยะ เป็นอันดับแรก เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เราใช้ถุงผ้าเพื่อลดการใช้ถุงพลาสติก ในวันหนึ่งๆเราเคยปฏิเสธถุงพลาสติกแก่ร้านค้าบ้างหรือไม่ เราลดการซื้อของฟุ้มเฟื่อยลงมั้ย เราใช้สอยเสื้อผ้าที่มีอยู่อย่างรู้คุณค่าหรือว่าซื้อตามแฟชั่นตลอดเวลา เราใช้รองเท้าจนพังถึงระดับซ่อมไม่ได้แล้วจึงทิ้งหรือไม่ เราสะสมอะไรไว้บ้าง เจออะไรก็ซื้อๆๆ มาสะสมไว้ ซื้อจนในบ้านแทบไม่มีที่ว่าง อาหารก็สะสมไว้จนเน่าจนหมดอายุโดยที่บางครั้งไม่ได้แกะออกมากินเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทีวียังเป็นตู้ใหญ่แบบเดิมที่ยังดูได้แต่ไม่ดูแล้ว แต่เรากลับไปซื้อทีวีดิจิตอลมาดูแทนทีวีตู้ใหญ่ๆเทอะทะเครื่องเก่าหรือเปล่า เราซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่มาใช้แทนเครื่องเก่าที่ตกรุ่นแต่ยังไม่พังหรือเปล่า เราเคยแยกขยะรีไซเคิลออกจากขยะที่ทิ้งไปหรือไม่..ฯลฯ

เราทุกคนต้องร่วมมือกันเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยน ธรรมชาติก็จะมีบทลงโทษที่ทวีความรุนแรงเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเราไม่สามารถแก้ไขได้ค่ะ

เรามาอ่านกันค่ะ
ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับสากล
https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/en ... sakoln.htm
ขอขอบคุณค่ะ :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2016, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




พระสังฆราช.jpg
พระสังฆราช.jpg [ 34.53 KiB | เปิดดู 6943 ครั้ง ]


สาธุ สาธุ สาธุ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร