วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

รูปภาพ

ญาติโยมส่วนใหญ่มักบ่นกันว่าปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล..เพราะ??

ผู้ที่ต้องการความเจริญในการปฏิบัติจิตตภาวนา จึงจำเป็นต้องไม่มีภารกิจอย่างอื่น ถ้ายังมีภารกิจอย่างอื่นอยู่ก็อย่าไปหวังผลมากเลย ส่วนใหญ่ฆราวาสญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมกันนั้น มักจะบ่นกันว่า ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลกัน ก็เพราะว่าไม่สามารถที่จะรักษาใจให้อยู่กับเรื่องเดียวได้อย่างต่อเนื่อง ใจจะแว้บไปหาเรื่องนั้นเรื่องนี้จะปรุงเเต่งเรื่อยเปื่อยไป เมื่อใจมีการปรุงเเต่งแบบเรื่อยเปื่อยก็จะไม่มีความสงบ ไม่มีความตั้งมั่น ดังนั้น ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมได้ผลจริงๆ จึงเป็นพวกนักบวชเท่านั้น พวกนักบวชนี้เขายอมสละสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในโลกนี้ไปให้หมด เพราะเขารู้ว่าเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญจิตตภาวนานั่นเอง มีสมบัติข้าวของเงินทองก็ยินดีที่จะสละ มีสามีภรรยามีบุตรธิดาก็ยินดีที่จะสละ ขออย่างเดียว ขอให้มีเวลาอยู่คนเดียว แล้วเจริญสติอย่างต่อเนื่องเท่านั้น บุคคลเหล่านี้แหละจึงเป็นบุคคลที่บรรลุมรรคผลนิพพานกัน

ผู้ที่ต้องการจะบรรลุมรรคผลนิพพานจำเป็นจะต้องตัดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากใจให้หมด ถ้ายังมีความผูกพัน มีความรัก ความหวง ความห่วงใย สิ่งเหล่านั้นก็จะกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นการดำเนินสู่มรรคผลนิพพาน ผู้ที่จะไปสู่มรรคผลนิพพานนั้นจึงเป็นเหมือนผู้ที่ตายแล้วเกิดใหม่ คือตายจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีอยู่เป็นอยู่ เหมือนคนตายจากโลกนี้ไป จากพ่อจากแม่จากพี่จากน้องจากสามีจากภรรยา จากทรัพย์สมบัติจากข้าวของเงินทอง จากทุกสิ่งทุกอย่างแล้วไปเกิดอยู่ในป่าคนเดียว ไปเจริญสติอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้จิตนี้ตั้งมั่นให้จิตนี้เข้าสู่ความสงบ เป็นอุเบกขา พอจิตตั้งมั่นสงบเป็นอุเบกขาแล้ว เวลาฟังธรรมหรือเวลาพิจารณาธรรม ก็จะเกิดความเข้าใจขึ้นมาได้ ก็จะสามารถดับตัณหาความอยาก ละตัณหาความอยากได้ ละตัณหาความอยากได้ก็จะดับความทุกข์ที่เกิดจากตัณหาได้

ทุกข์จะไม่มีสำหรับผู้ที่ไม่มีตัณหาความอยาก คือมีปัญญาเห็นแล้วว่าอยากไม่ได้ อยากไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ก็เป็นไม่ได้ ถ้าเป็นได้ก็เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ครั้งนี้อาจจะทำตามที่เราสั่งได้ แต่ครั้งต่อไปก็อาจจะไม่ทำตามที่เราสั่งก็ได้ เวลาที่เขาทำความอยากของเรา ก็รอดตัวไปไม่ทุกข์ แต่เวลาไหนที่เขาไม่ทำตามความอยากของเรา เวลานั้นเราก็ทุกข์ไม่สบายใจ ก็เป็นความทุกข์ที่เกิดจากเราเอง เราไปยุ่งกับเขาเอง ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับเขา เราก็จะไม่ทุกข์กับเขา ทำไมเราต้องไปยุ่งกับเขา ก็เพราะเราไปหลงคิดว่าเขาเป็นของเรา เช่น เขาเป็นสามีเรา เป็นภรรยาเรา เป็นลูกของเรา

พออะไรเป็นของเรา เราก็มักจะเจ้ากี้เจ้าการขึ้นมาทันที ต้องให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ขึ้นมาทันที แต่ทำไมคนอื่นเราไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการด้วย คนอื่นที่เราไม่ได้ถือว่าเป็นของเรา เขาจะทำอะไรเราไม่เห็นจะเดือดร้อนเลย แต่พอคนที่มาเป็นของเราขึ้นมานี้ เป็นเรื่องขึ้นมาทันที ก็เพราะใจของเราถูกอำนาจของความหลงหลอกให้คิดว่า ถ้าเขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้แล้ว เขาจะดีแล้วเราก็จะสบายใจ แต่เราไม่เคยมองว่าเขาจะทำอย่างไรในที่สุดเขาก็ต้องแก่เจ็บตายไปอยู่ดี ต่อให้ทำดีขนาดไหน เรียนดีขนาดไหน ทำมาหากินได้เงินเดือนมากขนาดไหนก็ตาม เป็นมหาเศรษฐีระดับไหนก็ตาม ก็ในที่สุดมันก็แก่เจ็บตาย ไม่ต่างกับขอทานก็ตายเหมือนกัน แก่เจ็บตายเหมือนกัน ไปเหนื่อยทำไมแทบเป็นแทบตาย อยู่แบบขอทานมันก็แก่เจ็บตายเหมือนกัน ดิ้นรนเพื่อเป็นมหาเศรษฐีมันก็แก่เจ็บตายเหมือนกัน อันนี้คือสิ่งที่เราไม่ยอมคิดกัน พอเรามีอะไรนี้เราจะฝันว่า อยากจะให้เขาดี อยากจะให้เขามีความสุข มีแต่ความเจริญ ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเจริญขนาดไหน เขาจะดีขนาดไหน จะมีความสุขขนาดไหน ในที่สุดเขาก็ต้องแก่เจ็บตายไปอยู่ดี

นี่คือเรื่องของปัญญา ถ้าเราฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วเรายังไม่สามารถบรรลุได้ในขณะที่ฟัง ก็แสดงว่าสติของเราไม่ต่อเนื่อง จิตของเราไม่สงบพอไม่เป็นอุเบกขาพอ สามปัญญาของเรายังไม่ฉลาดแหลมคมพอที่จะมองเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างที่ผู้แสดงได้แสดงเอาไว้ ยังเห็นว่าเป็นนิจจัง สุขัง อัตตาอยู่ ยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่คงเส้นคงวาเที่ยงแท้แน่นอน ยังเห็นว่าเป็นสุขอยู่ ยังเห็นว่าเป็นของเราอยู่ เราสามารถสั่งให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ได้ สามารถสั่งให้เขาทำให้เรามีความสุขได้ แต่พอไปเจอของจริงเข้า ไปเจอเวลาที่เขาไม่ยอมรับคำสั่งของเรา เวลานั้นก็จะกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา เพราะว่าเราไม่มองอย่างต่อเนื่องนั่นเอง เราไม่มองทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างต่อเนื่อง เรายังมองว่าเป็นสุขัง อัตตาอยู่เป็นส่วนใหญ่ มากกว่าเห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ถ้าเวลาใดเราเห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวลานั้นเราจะไม่ทุกข์กับสิ่งนั้นเลย หรือบุคคลนั้นเลย แต่เวลาใดที่เรามองไม่เห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวลานั้นเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นทันที.



ธรรมะบนเขา วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
“ปฏิเวธ” : พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

https://www.facebook.com/Suchart.Abhijato

:b47: รวมคำสอน “พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=47981


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2019, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1012


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2019, 14:31 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2019, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron