วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 75 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2015, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๑๘. พรรษา ๑๐ จำพรรษาที่โคราช (พ.ศ. ๒๔๗๕)

จังหวัดนครราชสีมา พระกัมมัฏฐานคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่นไม่เคยไปกล้ำกรายเลยแต่ไหนแต่ไรมา เพราะเคยได้ยินมาว่า คนในจังหวัดนี้ใจอำมหิตเหี้ยมโหดมาก กลัวจะไม่ปลอดภัย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สมัยดำรงสมณศักดิ์เป็น พระธรรมปาโมกข์ ได้นิมนต์ท่านอาจารย์สิงห์ พระมหาปิ่นลงไปแล้ว พ.ต.ต.หลวงชาญนิคม ผู้กองเมืองสองเกิดศรัทธาเลื่อมใสได้ถวายที่สร้างวัดป่าข้างหัวรถไฟโคราช

ท่านอาจารย์สิงห์จึงได้เรียกลูกศิษย์ที่อยู่ทางขอนแก่นลงไป เราพร้อมด้วยคณะได้ออกเดินทางไปพักที่สวนของหลวงชาญฯ พาหมู่จัดเสนาสนะชั่วคราวขึ้น ซึ่งเวลานั้นท่านอาจารย์สิงห์ไปกรุงเทพฯ ยังไม่กลับ พอท่านกลับถึงแล้ว เราได้ไปช่วยพระอาจารย์มหาปิ่น สร้างเสนาสนะในป่าช้า แล้วได้อยู่จำพรรษา ณ ที่นั้น (วัดศรัทธารวม) พรรษานั้นมีพระผู้ใหญ่ด้วยกันหลายองค์ คือเรา อาจารย์ฝั้น อาจารย์ภูมี อาจารย์หลุย อาจารย์กงมา

โดยมีท่านอาจารย์มหาปิ่นเป็นหัวหน้า พรรษานี้เราและอาจารย์ฝั้นได้รับภาระช่วยท่านอาจารย์มหาปิ่นรับแขกและเทศนาอบรมญาติโยมตลอดพรรษา ปีเดียว เกิดมีวัดป่าพระกัมมัฏฐานขึ้นสองวัดเป็นปฐมฤกษ์ของเมืองโคราช และเป็นปีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตย

ออกพรรษาแล้ว เราพร้อมด้วยคณะออกเที่ยววิเวกไปทางอำเภอกระโทก กิ่งแฉะ แล้วย้อนกลับมาที่อำเภอกระโทกอีก ได้พานายอำเภอขุนอำนาจฯ สร้างที่พักสงฆ์ขึ้น ณ ดอนตีคลี แต่ยังไม่เรียบร้อยดี มีเหตุจำเป็นต้องกลับมาจำพรรษาที่ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ในพรรษานั้นได้ทราบว่าท่านอาจารย์สิงห์ให้อาจารย์ลีไปอยู่พรรษาแทนที่อำเภอกระโทก

๑๘.๑ ความปริวิตกที่ไม่เป็นธรรม

ในขณะที่เราได้พาหมู่เพื่อนจัดเสนาสนะอยู่ที่วัดป่าสาลวันนั้น อากาศมันร้อนเป็นบ้าเลย เราไม่ชอบอากาศร้อน แต่กัดฟันอดทนต่อสู้ทำความเพียรไม่ท้อถอย สติที่เราอบรมดีแล้วสงบอยู่ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น บางครั้งก็รวมเข้าภวังค์แล้วก็หายไปเลยเป็นเวลานานนับชั่วโมงก็มี แล้วไม่ทำให้เกิดปัญญาอะไรเลย

เราพยายามแก้ด้วยตนเองแลให้ผู้อื่นแก้เป็นเวลานานก็ไม่เป็นผลสำเร็จ มาคราวนี้เราแก้ได้แล้วด้วยตนเองนั่นคือ คอยจับจิตที่มันจะรวมเข้าเป็นภวังค์ ซึ่งมีอาการเผลอๆ สติ แล้วน้อมส่งไปยินดีในความสงบสุขจนเผลอสติ แล้วก็รวมเข้าภวังค์ เมื่อเราจับตรงที่มันกำลังเผลอๆ น้อมไปหาความสงบสุขอันละเอียดนั้นแล้ว รีบตั้งสติให้แข็งแกร่งปรารภอารมณ์ที่หยาบๆ เพ่งพิจารณานอกๆ อย่าให้เข้าไปหาความสงบสุขได้ก็จะหายทันที พูดง่ายๆ ว่า อย่าให้จิตรวมได้ ให้เพ่งพิจารณาอยู่เฉพาะกายนี้แห่งเดียว อาการอย่างนี้เราเป็นมาตั้งแต่ออกป่าครั้งแรก พึ่งมาแก้ตนเองได้ ถ้าจะคิดรวมเวลาประมาณถึง ๑๐ กว่าปี

เราหัดได้ถึงขนาดนั้นแล้วเมื่อมีอารมณ์มากระทบเข้าจิตของเราก็ยังหวั่นไหวได้ ผู้ปฏิบัติบางคนแม้แต่ความสงบสุขของจิตก็ยังไม่ทราบเสียเลย เมื่อมีอารมณ์กระทบเข้าแล้วจะเป็นอย่างไรกัน เกิดความสงสัยในธรรมวินัยขึ้นมาว่า ความบริสุทธิ์มรรคผลนิพพาน อันสุดยอดในพุทธศาสนานี้เห็นจะไม่มีเสียแล้วกระมัง คงยังเหลือแต่ฌานสมาบัติอันเป็นโลกีย์เท่านั้นเอง แต่เราก็ปรารภความเพียรไม่ท้อถอยทั้งๆ ที่อากาศร้อนแทบเป็นบ้าตาย

วันหนึ่งจิตรวมอย่างน่าประหลาดใจ คือรวมใหญ่เข้าสว่างอยู่คนเดียว แล้วมีความรู้ชัดเจนจนสว่างจ้าอยู่ ณ ที่เดียว จะพิจารณาอะไรๆ หรือมองดูในแง่ไหนในธรรมทั้งปวง ก็หมดความลังเลสงสัยในธรรมวินัยนี้ทั้งหมด คล้ายๆ กับว่าเรานี้ถึงที่สุดแห่งธรรมทั้งปวงแล้ว แต่เราก็มิได้สนใจในเรื่องนั้น มีแต่ตั้งใจไว้ว่า ไฉนหนอเราจะชำระใจของเราให้บริสุทธิ์หมดจด เราทำได้ขนาดนี้แล้วจะมีอะไรแลดำเนินอย่างไรต่อไปอีก

เมื่อมีโอกาสจึงเข้าไปศึกษากับท่านอาจารย์สิงห์ ท่านแนะให้เราพิจารณาอสุภะเข้าให้มาก เพ่งให้จนเป็นของเน่าเปื่อย แล้วสลายเป็นธาตุสี่ในที่สุด เราได้สอดขึ้นโดยความสงสัยว่า ก็เมื่อจิตมันวางรูปยังเหลือแต่นาม แล้วจะกลับมายึดเอารูปอีก มันจะไม่เป็นของหยาบไปหรือ แหม ตอนนี้ท่านทำเสียงดังมาก หาว่าเราอวดมรรคอวดผลเอาเสียเลย ความจริงนับตั้งแต่ออกปฏิบัติมา เราไม่มีความชำนาญในการพิจารณาอสุภะจริงๆ อะไรๆ ก็กำหนดเอาที่จิตเลยโดยเข้าใจเอาเองว่ากิเลสเกิดที่จิต

เมื่อจิตไม่ส่งส่ายวุ่นวายสงบดีแล้ว สิ่งอื่นใดๆ มันก็บริสุทธิ์ไปหมด เมื่อเราสอดแทรกขึ้นด้วยความสงสัยเท่านั้น เป็นเหตุให้ท่านขึ้นเสียงดังตามอุดมคตินิสัยของท่านอย่างนั้นแล้วจะทำอย่างไร เราก็นิ่งนึกขยิ่มอยู่ในใจแต่ผู้เดียว โดยคิดว่า มติของท่านทำไมไม่ตรงตามความคิดเห็นของเราเสียนี่กระไร เรื่องนี้อย่างไรเสีย นอกจากท่านอาจารย์มั่นแล้วเราคงไม่มีที่พึ่งแน่

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2015, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๑๙. พรรษา ๑๑ จำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี ท่าบ่อ หนองคาย (พ.ศ. ๒๔๗๖)

ในพรรษานี้ เราเตรียมพร้อมที่จะไปตามท่านอาจารย์มั่นที่จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดพรรษาเราปรารภความเพียรและอุบายแนวเดิมที่ใช้อยู่วัดป่าสาลวัน โคราช แล้วก็ยึดเหนี่ยวเอาท่านอาจารย์มั่น มาเป็นเครื่องเร่งเร้าทำความเพียร แต่จิตก็ไม่ละเอียดเหมือนเดิม

เมื่อออกพรรษาจึงปรารภกับท่านอ่อนสี (พระครูสีลขันธ์สังวร) ว่า ผมจะไปตามท่านอาจารย์มั่น ที่จังหวัดเชียงใหม่ ท่านจะไปด้วยผมไหม ถ้าจะไปด้วยผมขอกติกาไว้ก่อนว่า

(๑) การไปอย่าได้บ่นถึงความทุกข์ลำบากต่างๆ เป็นต้นว่า การเดินทาง อาหาร ที่อยู่อาศัย แม้ที่สุดถ้าอาพาธ เราสงเคราะห์กันจนสุดความสามารถแล้วตายเป็นตายกัน
(๒) เมื่อคิดถึงบ้าน หรือหมู่คณะ มีบิดามารดา เป็นต้น จะไม่ยอมนำส่ง
(๓) ต้องเป็นผู้ยอมสละตายในที่ทุกสถาน ไม่ว่าจะเพราะกรณีใด


ถ้าท่านตัดสินตกลงปลงใจจะทำตามกติกาทั้ง ๓ ข้อนี้ได้จึงไป ถ้ายังไม่สามารถทำตามได้ก็อย่าไปเลยท่านจะเสียใจภายหลัง และก็จะเป็นเรื่องทำให้ผมเป็นทุกข์อีกด้วย

ท่านบอกว่า ผมชอบใจผมขอไปด้วย ยังมีโยมอีกคนหนึ่งบวชเป็นชีปะขาวขอร่วมเดินทางไปกับเรา พวกเราได้ลงเรือยนต์จากนครเวียงจันทน์ ทวนกระแสน้ำขึ้นไปนครหลวงพระบาง พักแรมคืนตามบ้านบ้าง กลางหาดทรายบ้าง สามคืนสี่วันจึงถึงนครหลวงพระบาง

ตามระยะทางสองข้างริมแม่น้ำโขง เราชมวิวธรรมชาติ อากาศเยือกเย็นทำให้ใจเราวิเวกวังเวงมีความสุขมาก ประกอบกับคนโดยสารน้อย เขาพากันนอนหลับหมด ยังคงเหลือแต่กัปตันกับลูกเรือไม่กี่คน ภาพทิวทัศน์อันปราศจากหมู่บ้าน มีแต่ป่าดงพงไพรและชะโงกหินที่ยื่นออกมาคลุมแม่น้ำ ทั้งบางทีมีสัตว์ เช่น ลิง ค่าง กระโดดโลดโผนไล่เย้าหยอกกันสนุกตามประสาสัตว์

พอเรือเข้าไปใกล้ต่างก็จับกลุ่มชุมนุมกันมองดูพวกเรา ภาพอันนั้นทุกวันนี้เราเข้าใจว่าหาดูได้ยาก เราอนุสรณ์ถึงภาพอันนั้นแล้วทุกวันนี้ก็ยังวิเวกใจอยู่เลย พวกเราถึงนครหลวงพระบางแล้ว ได้ขอเข้าพักที่วัดใหม่ใกล้กับพระราชวังพระเจ้ามหาชีวิต ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบาง อันเป็นมิ่งขวัญของชาวนครหลวงพระบาง พอดีเป็นวันที่อัครมเหสีท่านทรงฉลองแท่นพระบางอีกด้วย นับว่าเป็นโชคดีของพวกเราที่จะได้ชมประเพณีการทำบุญของชาวหลวงพระบาง แต่เราจะไม่ขอกล่าวในที่นี้

หลังจากฉลองแท่นพระบางเสร็จแล้ว เราขอลาท่านสมภารไปพักวัดหนองสระแก้ว ซึ่งอยู่บนภูเขาคนละฟากฝั่งแม่น้ำโขง ตรงกันข้ามกับนครหลวงพระบาง เพื่อรอเรือที่จะขึ้นไป อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พวกเรารออยู่ ๔ คืนจึงได้ลงเรือขึ้นไปอำเภอเชียงแสน ระยะทางก็สี่คืนเท่ากันกับลงมานครเวียงจันทน์ พวกเราพักอยู่ที่อำเภอเชียงแสน ๔-๕ คืน จึงได้เดินทางไปเชียงราย ลำปาง แล้วได้อยู่ที่สวนของแขกพระบาทตากผ้า ปากทางจะเข้าเขา

เวลานั้นปะขาวที่ไปด้วยป่วยไม่มีไข้แต่เมื่อยอ่อยเพลีย น้ำปัสสาวะข้นแดงคล้ายน้ำล้างเนื้อ พวกเราไกลหมอ ใช้ยาพระพุทธเจ้ารักษากันเอง กล่าวคือให้เธอฉันน้ำมูตรของตนเอง ทั้งๆ ที่มีสีแดงร่าๆ นั้น พอถ่ายออกมาอุ่นๆ ก็ดื่มเข้าไปเลย แหมวิเศษจริงๆ ดื่มอยู่ไม่ถึง ๑๐ วันหายเป็นปกติเลย หลังจากนั้นพวกเราออกเดินทางด้วยเท้าเปล่าได้ระยะทางราว ๓๕ กิโลเมตร ต่อจากนั้นขึ้นรถบ้างเดินบ้างถึงลำพูน เชียงใหม่

เมื่อเข้าไปที่วัดเจดีย์หลวง สืบถามดูเรื่องราวของท่านอาจารย์มั่นก็ไม่ค่อยได้ความ มิหนำซ้ำพระบางองค์ยังพูดเป็นอาการดูถูกเหยียดหยามท่านเสียด้วยซ้ำไป

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2015, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๑๙.๑ ชีวิตผจญภัยในสมณเพศ

เราขออภัยท่านผู้อ่านสักเล็กน้อย ในการที่จะเล่าเรื่องชีวิตผจญภัยในสมณเพศนี้ ดูจะหาสาระอันใดมิได้ และเมื่อกล่าวไปก็เป็นที่อับอายขายขี้หน้าตนเอง หากจะไม่กล่าวหรือ ชีวประวัติก็จะไม่สมบูรณ์

อตีเต กาเล ขณะเมื่อเราพักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่นั้น รู้สึกว่าสุขภาพของเราสมบูรณ์ดี ซึ่งไม่เคยดีมาแต่กาลก่อนเลย เห็นจะเพราะเราชอบอากาศเย็นก็ได้ เราได้ไปถ่ายภาพเป็นอนุสรณ์ หลังจากนั้นมาสองวันเราได้ไปรับภาพที่ร้านด้วยตนเอง ขณะที่เราเอาภาพมาดูอยู่นั้นเอง มีผู้หญิงคนหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นคนชนิดไหนเดินมาข้างหลังแล้วพูดว่า คุณพี่ขา ดิฉันขอสักแผ่นบ้าง พร้อมทั้งแสดงกิริยาส่อไปในทางยั่วยุ เราได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกใจ เพราะเราเพิ่งมาไม่รู้จักกับใครทั้งนั้น พอมองไปดูอาการ ดังนั้นเราจึงทำปฏิกิริยาที่ตรงกันข้าม แล้วเขาก็หันกลับหลบหน้าหนีไป

หลังจากได้ฟังคำพูดและเห็นอากัปกิริยาของเขานั้นแล้ว เหมือนกับได้รับฟังธรรมเทศนากัณฑ์ใหญ่ เราจึงมาจินตนาการถึงเรื่องของมาตุคามอย่างกว้างขวาง ซึ่งกิริยาในทำนองนี้ของมาตุคามเราได้พบเห็นมามากต่อมากแล้ว แต่หากเราไม่สนใจ เพราะเรามุ่งมั่นอยู่แต่ในธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า เห็นมาตุคามเป็นภัยของพรหมจรรย์อย่างเดียว

เมื่อมาประสบเหตุการณ์ครั้งนี้เข้า จึงเป็นเหตุให้เราทบทวนย้อนหลังกลับไปถึงเหตุการณ์ในอดีตเป็นตอนๆ ไป คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเราก็นับถือเขาว่าเป็นผู้มีจิตศรัทธาแลเขาก็มีอายุมากพอสมควร เราได้หัดให้เขาอบรมภาวนาตามวิธีของเราดังได้เคยอบรมคนอื่นๆ มาแล้ว ทีหลังเขาบอกว่า ถ้ามาอยู่ใกล้ๆ เรา จิตค่อยหายกลุ้มหน่อย บางทีหมู่มาอยู่ด้วยเรามากๆ เขาก็มานั่งอยู่ด้วยเป็นเวลานานๆ ตอนนี้เรารู้เล่ห์ของเขาแล้ว เราได้สอนให้เขาแก้จิตด้วยวิธีภาวนา แต่ก็ไม่ได้ผล

เราใช้วิธีพูดขู่และกล่าวคำหนักๆ เพื่อให้เขาโกรธก็ไม่ได้ผลอีก วันหนึ่งเป็นเวลาจวนจะค่ำโพล้เพล้ เขาได้ผลุนผลันขึ้นไปบนกุฏิของเรา เราจะห้ามอย่างไรๆ ก็ไม่เชื่อ ขึ้นไปแล้วนั่งซึมไม่พูดอะไร เราได้เรียกให้ญาติของเขามากระชากแขนลงไป เขาโกรธใหญ่ ตอนเช้าเรากำลังเดินจงกรมอยู่ เขาได้เดินตรงขึ้นมาหาเราแล้วยืนอยู่ในที่ไม่ไกลนัก แล้วตะโกนใส่เราบอกว่า สอนกัมมัฏฐานทำไมแบบนี้ สอนให้คนเป็นบ้า อาจารย์ไหนๆ ก็ไม่พ้นจากกามกิเลส ว่าแล้วก็หันหลังกลับไป เราเห็นแล้วไม่สบายใจเลย

ญาติของเขาได้เอาไปที่โรงพยาบาล หมอตรวจดูแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไร ต่อจากนั้นก็ได้ไปอยู่ในสำนักชีอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาเคยสนิทคุ้นเคยมาแต่เมื่อก่อน สามเดือนล่วงไปแล้วเขาจึงได้กลับมาหาเราอีก ตอนนี้เขารู้สำนึกรู้สึกความผิดของเขาเอง ได้มาสารภาพรับผิดโดยคิดว่า เรามีมหานิยม ได้ทำให้เขาหลงรักเรา แล้วเขาก็ได้ขอขมาโทษเราไปแล้ว เป็นอันจบเรื่องที่หนึ่ง


เรื่องที่สอง หลังจากนั้นอีกนาน เราได้อบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนไปตามชนบทในที่ต่างๆ โดยความเมตตาปรารถนาดีด้วยความจริงใจ ไม่เห็นแก่ความลำบากตรากตรำ ตอนกลางคืนบางทีเราอบรมสั่งสอนเขาสองยามสามยามเราก็ทนได้ โดยเฉพาะสงสารผู้หญิงที่ยังสาวๆ ไม่มีพันธะอะไร อยากให้เขาเห็นทุกข์ในภาวะเพศของตน แล้วรักษาศีลพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ เมื่อตายแล้วเกิดใหม่จะได้พ้นจากภาวะเดิม หรือเกิดเป็นผู้ชายแล้วจะได้บวชเป็นพระเณรต่อไป

ความนึกคิดอันโง่ๆ ของเรานี้ได้มีต่อสตรีเพศทั่วไป มิใช่เฉพาะคนนั้นคนนี้ ความเมตตานั้นได้กลายเป็นมหานิยมไปโดยเราหาได้รู้ตัวไม่ กล่าวคือมีผู้คนนิยมนับถือเรามาก จนมีผู้หญิงผู้ชายทั้งหนุ่มแก่แลเป็นสาวมาบวชอยู่ป่ากับเราด้วยเป็นอันมาก ซึ่งบางคนภาวนาก็ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ประจักษ์แก่ตนเองและหมู่คณะด้วย

แต่ผู้ที่ภาวนาไม่เป็นนั่นซิมาทำเหตุกลับมาสร้างกิเลสให้หนักขึ้น วันหนึ่งเรามีธุระต้องจากที่นั้นไป มีแม่ชีคนหนึ่งมาขอติดตามไปด้วย เราได้ห้ามแล้วก็ออกเดินทางไป หลังจากนั้นแม่ชีคนนั้นงงเซ่อไปเลย ไม่พูดอะไรทั้งหมด ใครจะถามอย่างไรๆ ก็ไม่พูด มีแต่ยิ้มๆ อย่างเดียว เราไปเสียหลายวัน พอกลับมาเห็นอาการอย่างนั้น เราได้พยายามพูดคำหนักๆ ให้แกโกรธ เพื่อให้ลืมอารมณ์เดิม แกก็ยิ้มอยู่อย่างนั้น เราใช้วิธีทางศาสนาช่วยก็ไม่ได้ผล เราจึงใช้ให้คนนำไปส่งญาติๆ ของเขา ตอนนี้เราไม่สนใจอะไรมาก คิดได้แต่ว่า เหตุทั้งหลายนี้เกิดจากความใคร่ในกามเท่านั้น

หลังจากนั้นเราได้อบรมศีลธรรมแก่พุทธศาสนิกชนด้วยความเมตตาปรารถนาดีเป็นทุนมาโดยลำดับ เรื่องภัยอันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราเล็กๆ น้อยๆ โดยทำนองนี้เราได้ผ่านมามาก แต่เราไม่สนใจและไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ทั้งในใจก็ละอายต่อเหตุการณ์เช่นนี้มากเสียด้วย จึงไม่ขอกล่าว

จะไปกล่าวถึงเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวที่สุดในชีวิตพรหมจรรย์ คือเมื่อครั้งเราเข้ามาในเพศบรรพชิตใหม่ๆ ปกติกลางคืนเวลาว่าง บางทีเราก็พาเด็กไปเยี่ยมบรรดาโยมซึ่งเคยอุปัฏฐากค้ำจุนเรามา มาวันหนึ่ง พอเราขึ้นไปบนบ้านของโยมผู้หนึ่ง แกออกมาปิดประตูเลย เราตกใจ เวลานั้นแกอยู่กับลูกเล็กๆ คนหนึ่ง แล้วเราก็เริ่มคุยสนทนากันในเรื่องที่ต่างๆ ตามประสาของคนนับถือกัน

แต่ไหนแต่ไรมาไปทีไรแกมักถามเสมอว่า เราอยากสึกไหม เราคนใจซื่อแล้วก็ขี้อาย จะบอกทุกครั้งว่า ไม่ แล้วก็พูดเรื่องธัมมะธัมโมเรื่อยไป มาคราวนี้ก็เช่นกันแกถามอย่างเดิมแล้วแกยังคุยถึงเรื่องอดีตของแกว่า เมื่อก่อนแต่งงานมีพระมารักมาชอบแกแต่ไม่ได้แต่งงานกัน สามีคนปัจจุบันแต่งงานกันเพราะญาติทั้งสองฝ่ายเห็นชอบด้วยกัน แล้วจัดการให้ แล้วก็อยู่กันไปอย่างนั้นแหละ ไม่ทราบว่าจะแตกร้าวกันเมื่อไร เราก็นั่งฟังเฉยๆ โดยถือว่าคนคุ้นเคยกัน พูดกันโดยความสุจริตใจ

แต่แปลกที่กิริยาของแกมีกระเถิบเข้ามาใกล้ทุกที แสงไต้หรี่จวนจะดับไม่ดับแหล่ บอกให้เขี่ย แกก็ยิ้มๆ เฉยๆ (สมัยจุดไต้) เราชักใจไม่ดีแลร้อนด้วยความใคร่ขึ้นมาบ้าง แลความกลัวบาปพร้อมทั้งกลัวคนจะรู้เข้าก็มาก ในขณะนั้นถึงแม้จะให้เราพูดเวลานี้ก็พูดอะไรไม่ถูกเลย มันตื้อไปหมด ถึงตัวแกเองเท่าที่สังเกตดูก็เป็นอันมากๆ ทีเดียว ดูสีหน้าแล้วเกือบจะไม่มีสติเอาเสียเลย แกทนไม่ไหวต้องลุกออกไปข้างนอกดื่มน้ำ เอาน้ำลูบหน้า แล้วจึงกลับเข้ามาใหม่ตั้งหลายหน

แต่กลับเข้ามาทีไรนั่งใกล้ชิดเราเข้าทุกที เราใจไม่ดี มันงงมึนไปหมด ทำให้เราหงุดหงิดรำคาญจึงลากลับวัด ที่ไหนได้มองดูเด็กที่ไปด้วยนั่งพิงฝาหลับแล้ว แกขอร้องให้เรานอนพักที่บ้านด้วย เช้าจึงกลับ เรายิ่งงงใหญ่พร้อมด้วยความกระดากใจเอามากๆ ทีเดียว เราบอกให้ปลุกเด็ก ครั้งที่สองจึงยอม

เด็กตื่นแล้ว เราสองคนกับเด็กเดินลงบันไดบ้านด้วยความมึนงงและละอายแก่ใจตนเองมาก กลัวหมู่เพื่อนแลครูบาอาจารย์จะรู้เข้าด้วย ถึงวัดราวเที่ยงคืนแล้วปรารภถึงเรื่องนั้นว่า อะไรหนอๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น นอนไม่หลับจนสว่าง เป็นอันว่าเราตลอดปลอดภัยพ้นอันตรายมาได้อย่างปาฏิหาริย์

เรื่องทั้งหลายแหล่ในอดีตที่เราเล่ามาทั้งหมดนั้น เกิดจากผู้หญิงสาวที่เราไม่เคยรู้จักหน้าตาเขามาก่อนเลย ซึ่งเดินเข้ามาขอรูปภาพของเราในวันนั้นเท่ากับเทศนาให้เราฟังแท้ๆ อ๋อเล่ห์เหลี่ยมของหญิงทั้งหลายผู้ยังหลงมัวเมาอยู่ในกามโลกีย์ในโลกนี้เป็นอย่างนี้แลหนอ เราจึงขอขอบพระคุณเขาไว้เป็นอย่างมาก ณ โอกาสนี้ด้วย

เรื่องแรกที่เรายกมาเล่านั้นเกิดขึ้นเหมือนเราได้ฟังเทศน์เขา จึงไม่มีแปลกอะไร สองเรื่องหลังต่อไปนั้นจะเป็นเพราะเราไม่สนใจในเรื่องโลกีย์วิสัย หรืออีกทีเขาก็เรียกกันว่าโง่ก็ได้ แต่เรายอมเป็นคนโง่ในเรื่องพรรค์นั้นแล้ว จึงยอมสละชีวิตออกบวช แล้วก็บวชอย่างชนิดที่ยอมถวายชีวิตเพื่อบูชาพระพุทธศาสนาเอาจริงๆ ด้วย อนึ่ง หากเราไม่โง่เช่นนั้นก็ดี หรือบุญกุศลของเราไม่ช่วยค้ำจุนไว้ก็ดี และเราไม่ยอมสละชีวิตเพื่อบูชาพระศาสนาก็ดี ป่านนี้ตัวของเราคงจะเป็นมูลเหยี่ยวมูลกาไปแล้วแต่นานก็ได้

เมื่อเราได้อนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ที่ได้ผ่านพ้นอันตรายมาอย่างน่าหวาดเสียวแล้ว ทำให้เราเกิดความปลื้มปีติอิ่มใจจนทำให้ร่างกายสั่นสะท้านอยู่หลายวัน แม้หลังจากนั้นแล้วเมื่อเราปรารภถึงเรื่องนั้นขึ้นมาทีไร ก็เกิดปีติขึ้นมาเช่นเคยตลอดเวลาเกือบยี่สิบปีทีเดียว เราละอายแก่ใจมาก ไม่อยากจะพูดเลยว่ามาตุคามเป็นภัยอันตรายมากแก่พรหมจรรย์ เพราะมารดาของเราก็เป็นผู้หญิงและพุทธศาสนาที่เราซุกหัวพึ่งร่มเงาอยู่ในขณะนี้ โดยมากก็อาศัยผู้หญิงค้ำจุนไว้แท้ๆ

ถึงสมัยพุทธกาลนางวิสาขาก็มีนามกระเดื่องเลื่องลือว่าเป็นมหาอุบาสิกาในพระพุทธศาสนาคนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นเมื่อพระพุทธองค์จะเตือนพระสาวกให้ระวังสังวรในพรหมจรรย์แล้ว ก็เตือนให้ระวังสังวรในเพศตรงข้ามโดยส่วนมาก เช่น ในปัจฉิมโอวาทคราตรัสตอบคำถามของพระอานนท์ที่เกี่ยวถึงการปฏิบัติต่อสตรีเพศหลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้ว

"การที่ไม่ได้เห็นไม่ได้ยินนั้นแลดี หากจะมีการได้เห็นได้ยิน ก็อย่าทำความสนิทแลพูดคุยด้วย หากจำเป็นจะต้องพูดคุยด้วยแล้ว ก็จงสำรวมใจไว้ให้ดี" ดังนี้เป็นต้น ส่วนสตรีเพศเล่าผู้อบรมใจของตนให้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ก็มาปรารภบุรุษเพศที่ตรงกันข้ามอันเป็นอิฏฐารมณ์จนให้เห็นโทษแล้วเบื่อหน่ายเหมือนกัน

ดังเรื่องนางอุบลวรรณาเถรีภิกษุณีกล่าวตอนหนึ่งใจความว่า "เราเห็นโทษในกามทั้งหลาย เมื่อกามเข้าไปกลุ้มรุมอยู่ในหัวใจของคนใดแล้วย่อมทำให้บอดให้มืด แม้บิดาก็สามารถสังวาสกับบุตรสาวของตนได้"

เป็นอันสรุปได้ว่า ภัยอันตรายที่ร้ายกาจของพรหมจรรย์ตัวสำคัญตัวหนึ่งคือ กามโลกีย์ แต่มิได้หมายเอาเพศตรงข้ามแต่อย่างเดียว เพราะมนุษย์สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในกามภูมินี้ย่อมเกิดจากบิดามารดาสองคนจึงเกิด ฉะนั้น ใครๆ จะทำอย่างไรๆ ก็ต้องหนีไม่พ้นเพศตรงข้ามอยู่ดีๆ นี่เอง แต่ผู้จะไปให้พ้นจากกามทั้งหลาย ต้องยกเอากามมาเป็นเหตุมาเป็นเครื่องปรารภทั้งนั้น

โดยเฉพาะก็คือเพศตรงข้าม อันเป็นวัตถุที่ตั้งเครื่องหมายของกามราคะ เพราะความใคร่ความกำหนัดเป็นนามธรรมซึ่งมีอยู่แล้วในจิตของทุกๆ คน เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็จะต้องเพ่งลงไปในรูปธรรม ให้เป็นเครื่องหมายแล้วก็ยึดเอาเป็นอารมณ์ อนึ่งรูปธรรมที่จิตไปเพ่งเล็งอยู่นั้น ก็มีพร้อมที่จะสนองความใคร่ความกำหนัดทุกประการ เป็นต้นว่า รูป เพศ สี สัณฐาน กิริยา มารยาท และวาจา

ฉะนั้น เพศที่ตรงกันข้ามก็ดี หรือวัตถุกามทั้งหลายก็ดี จึงได้ชื่อว่าเป็นของมีอุปการะแก่ผู้ซึ่งเห็นโทษในกามทั้งหลายแล้วจะทำตนให้พ้นจากกามโลกนี้ได้เป็นอย่างดี ถ้าหาไม่แล้วพระธรรมวินัย พุทธบัญญัติ หรือการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานทั้งหลาย ตลอดถึงอุบายและปัญญาทั้งปวง ก็จะไร้ค่าหาประโยชน์มิได้

มนุษย์สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในกามภพนี้ ทุกคนจำจะต้องต่อสู้กับภัยอันตรายพรรค์นี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าผู้อยู่ในสมณะเพศหรือฆราวาส อย่างน้อยถึงจะไม่มีอาวุธทันสมัย ก็ต้องใช้อาวุธที่บิดามารดาปั้นให้ (คือกำปั้น) ต่อสู้ ผู้ใดไม่ลุกขึ้นทำการต่อสู้ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ไร้สาระในชีวิตที่เกิดมา แต่ยุทธวิธีของสมณะกับของฆราวาสมีผิดแผกกันอยู่ที่ ตรงสมณะต่อสู้เพื่อชิงชัย ฆราวาสต่อสู้เพื่อปราชัย ผู้ไม่ต่อสู้เสียเลย คือผู้ที่เน่าทั้งเป็นๆ

เรื่องทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้บวช เพื่อรักษาซึ่งพรหมจรรย์ อันจะสืบศาสนาของพระพุทธเจ้าต่อไป อันมาตุคามเป็นภัยแก่พรหมจรรย์อย่างมหันต์ แต่ก็มีคุณอนันต์แก่พระศาสนาเท่ากัน เพราะมาตุคามเป็นเรือนร่างที่เกิดของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายและยังเป็นที่ปรารภให้เกิดธรรมของท่านเหล่านั้นด้วย

ในทัศนะของเราแล้ว ภิกษุผู้ล่วงละเมิดในพระวินัยที่น่าเกลียดที่สุด คือสิกขาบทที่เกี่ยวด้วยรูปิยะ เรื่องความรักๆ ใคร่ๆ ที่เรียกว่ากามโลกีย์นี้ นับประสาอะไรแต่สมณะผู้ละกามทั้งหลายแล้วออกบวช แม้แต่ฆราวาสผู้หมกมุ่นข้องใจอยู่ในกามคุณ ๕ แท้ๆ หากผู้ใดไปปรารภหรือแสดงปฏิกิริยาออกมาในที่ประชุมชนผู้ดีแล้วเขาถือกันว่าเป็นคนเลว

เราได้นำท่านผู้อ่านเข้าบุกป่าฝ่าภัยอันตรายที่ร้ายแรงมาจนอ่อนเพลียแล้ว บัดนี้ขอวกเข้ารายการติดตามท่านอาจารย์มั่นต่อไป

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2015, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๑๙.๒ ตามท่านอาจารย์มั่นเข้าเขตพม่า (พ.ศ. ๒๔๗๖)

พวกเราพากันอยู่วัดเจดีย์หลวง ๒-๓ คืน แล้วก็ลาสมภารท่านออกเดินทางเพื่อตามหาท่านอาจารย์มั่นต่อไป เมื่อสืบถามดูตามสำนักต่างๆ ที่ท่านเคยพักอาศัยไม่ได้เรื่องแล้วเพื่อสิ้นความสงสัย พวกเราจึงตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศ เข้าเขตพม่าไปทางเมืองหาง-เมืองต๋วนหมอกใหม่รางเครือ ขึ้นไปถึงผาฮังฮุ้ง (รังรุ้ง) ติดเขตเมืองปั่นแม่น้ำสาละวิน แต่ก็ผิดหวัง ไม่ปรากฏวี่แววว่าท่านจะไปทางนั้น

พวกเราทนหนาวไม่ไหว พักอยู่ด้วยชาวเขาเผ่าปะหล่อง ๒ คืน แล้วก็กลับลงมาหนาวอะไรถึงขนาดเดือนมีนา-เมษาแท้ๆ นอนกองไฟตลอดกลางวันกลางคืนเลย หากเป็นฤดูหนาวหรือปีที่หนาวจัดแล้วจะขนาดไหนกัน เหตุที่ท่านอาจารย์มั่นจะหนีเข้าป่า เนื่องด้วยเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) นับถือท่านอาจารย์มั่นมาก เมื่อท่านเห็นว่าจะมีชีวิตอยู่ไม่รอดแล้ว พร้อมทั้งขณะนั้นพระผู้ใหญ่ผู้ซึ่งสมควรจะครองวัดเจดีย์หลวงไม่มี ท่านจึงมอบภาระวัดเจดีย์หลวงให้ท่านอาจารย์มั่นต่อไป

ท่านอาจารย์มั่นท่านชอบสงบไม่ต้องการความยุ่ง ท่านได้อยู่จำพรรษาเพื่อสนองเจตนาของเจ้าคุณอุบาลีฯ เพียงพรรษาเดียว ออกพรรษาแล้วก็ลาเข้าป่าหายไป พอดีกับท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านก็มรณภาพในพรรษานั้น ต่อจากนั้นสองพรรษาไม่มีใครทราบข่าวคราวว่าท่านไปอยู่ไหน เราทั้งสองกับท่านอ่อนสีจึงได้ค้นหาตามไปพบท่าน

การเดินรุกขมูลคราวนี้ เป็นการแสวงหาท่านอาจารย์มั่นไปในตัว อยู่ในเขตเมืองไทยของเราถึงแม้จะกันดารด้วยนานัปการก็เป็นธรรมดาของผู้เดินรุกขมูล พอออกนอกเขตเมืองไทยเราไปแล้วแสนจะรำคาญและกันดารหลายอย่าง เช่น คำพูดและขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งบางอย่างทั้งๆ ที่ถือพุทธด้วยกัน แต่การถือผิดแผกจากที่เราเคยถือมาจนบางอย่างไม่ตรงกับธรรมวินัยพุทธบัญญัติเลยก็มี

มันลำบากใจแก่เราผู้เป็นอาคันตุกะอย่างยิ่ง ยิ่งเที่ยวไปตามหมู่บ้านชาวเขาต่างๆ แล้วแสนจะกันดาร หนทางยิ่งแล้วใหญ่ บางแห่งต้องเดินตามลำธารหุบเขา มิฉะนั้นก็เดินเลียบหน้าผาที่สูงชัน ตอนขากลับลงมาลื่นก้อนหินหกล้มหัวเข่าแตกเหวอะหวะ ต้องอุตส่าห์เดินกะเผลกๆ จึงถึงบ้านโป่งป่าแขม อันเป็นเขตแดนไทยพม่าติดต่อกัน แล้วมานอนรักษาตัวอยู่ที่ถ้ำปล่อง ๑๐ คืน

เมื่อเราเข้าไปในพม่ามีสิ่งที่น่าชมคือ เขาเป็นชอบสงบ ใจบุญ ไม่มีขี้ขโมย ขี้โกง แม้เป็ดไก่สุกรเขาก็ไม่เลี้ยง เพราะเขาไม่ฆ่าสัตว์ รับประทานผักปรุงด้วยพริกเกลือและถั่วงาเป็นพื้น นานทีปีครั้งจะมีปลากรอบจากเขมรขึ้นไปให้ชิม ได้ข่าวว่าหลังสงครามญี่ปุ่น จอมพล ป. บังคับให้เลี้ยงสัตว์เดือดร้อนกันมาก เราชอบใจน้ำใจศรัทธาเขามาก และความสงบเรียบเขาก็ดี ขนาดวัดติดเขตรั้วบ้านเขา กลางคืนก็ไม่มีเสียงอึกทึกเลยเหมือนกับไม่มีบ้านอย่างนั้นแหละ

แผลที่หัวเข่าเราหายพอเดินได้แล้ว เราสองคนเดินตัดข้ามเขาม่อนอางขาง (ขาง หมายความว่า หวง เขาผีหวงหรือดุ) วันนั้นพวกเราเดินไม่ถึงหมู่บ้านชาวเขา เพราะภูเขาลูกนี้สูงมากเที่ยงวันถึงยอดเขา ขาลงมาชันมากถึงตีนเขามืดพอดี เดินมากลางทางได้ยินเสียงเสือร้องอยู่ไม่ไกลนักจากพวกเรา เรากลัวเสือแทบตายแต่ก็ไม่บอกให้เพื่อนของเรารู้ว่าเป็นเสียงเสือ เพราะท่านเป็นคนบ้านทุ่ง ไม่รู้จักเสียงเสือ

หากเราบอกให้ท่านทราบ เดี๋ยวท่านจะกลัวไปด้วยอีกคน พ้นจากเสือร้องไปแล้วสักครู่หลงทางเลยพากันแวะนอนในป่านั้นเอง คืนนั้นเรากลัวเสือจนนอนไม่หลับตลอดคืน น้ำค้างก็แรง หนาวก็หนาว เพื่อนเรานอนกรนโครกๆ ตลอดคืน เรากลัวเสือได้ยินจะตาย ท่านนอนสบายไปเลย เช้ามืดพากันเก็บเครื่องบริขารแล้วก็หอบทั้งเปียกๆ นั่นเองออกเดินทางต่อไป

ขณะเดินทางเราได้บอกท่านว่า ที่ร้องเมื่อคืนนี้ทำเสียงดังเหมือนกับสุนัขเจ็บจะตายนั่นแหละ คือเสียงเสือโคร่ง เมื่อมันได้กินอาหารอิ่มแล้ว มันก็สนุกร้องอย่างนั้นเอง พวกเราเดินทางราว ๒ โมงเช้าจึงถึงหมู่บ้าน เตรียมตัวออกบิณฑบาต ฉันจังหันแล้วก็ออกเดินทางต่อไปอีก มาพักอยู่ที่ถ้ำตับเต่าชั่วระยะหนึ่ง เพื่อพักเอากำลัง หายเหนื่อยแล้วจึงออกเดินทางไปทางอำเภอพร้าว

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2015, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๑๙.๓ ลางร้ายของผู้เดินทาง

สิ่งที่ไม่น่าเชื่อแต่มันได้เป็นไปแล้ว กล่าวคือ วันนั้นพวกเราฉันจังหันแล้วออกเดินทางจากถ้ำตับเต่า มีอีเก้งวิ่งผ่านหน้าพวกเราออกจากข้างบ้านสองหลังคาเรือน ซึ่งเขาปลูกอยู่กลางทุ่งหญ้าแฝกริมประตูวัดนั้นเอง แล้วเขาวิ่งช้าๆ อย่างขี้เกียจอย่างนั้นแหละ พวกเราก็ไม่สนใจถือเสียว่าเรามาหาบ้านเมืองของเขา

พอเดินผ่านหมู่บ้านแล้วตัดข้ามทุ่งนา ซึ่งจะไปเข้าปากทาง อีเก้งสองผัวเมียปนฝูงควายอยู่ เห็นพวกเราก็วิ่งออกหน้าอีกแล้วพวกเราก็ไม่สนใจเช่นเคย พอพ้นจากนั้นไปไม่กี่เส้น ทั้งๆ ที่พวกเราก็เดินเข้าทางเดินเท้า แล้วทำไมพากันแวะออกจากทางเดิมแล้วเข้าทางเก่าๆ เข้าไปในหุบเขาได้

พวกเราเดินตามลำธารไปไม่มีทางขึ้นตลิ่งเลย อยู่ราว ๑๐ ชั่วโมง เพราะสองข้างเป็นภูเขาสูงชัน ตลอดเวลาเดินทางแดดไม่ส่องเลย พวกเราไม่ได้พักแม้แต่ฉันน้ำ พอเหนื่อยเพลียชวนเพื่อนกลับทางเก่าเพื่อนก็ไม่ยอม ในใจเรานึกว่ายอดห้วยมันต้องเกิดจากน้ำไหลจากโคกมารวมกัน

เหมือนห้วยทางภาคอีสาน ที่ไหนได้ พอเดินไปถึงยอดห้วยมันเป็นหน้าผาเสียฉิบไปเจาะรอยกวางและหมูป่านอนปลัก เราหมดหนทางเดินต่อ พอย้อนหลังกลับเท่านั้นแหละ เจ้ากรรมเราเหยียบก้อนหินพลาดหกล้มหินบาดพื้นเท้าแผลลึก พอดีจวนจะมืดอยู่แล้ว หยิบเอาผ้าอังสะมาพันแผล แล้วตัดสินใจพากันปีนป่ายขึ้นตลิ่งชันๆ กอปรด้วยหินลูกรัง แม่เอ๋ย เหยียบลงตรงไหนคอยแต่จะกลิ้ง

พอถึงยอดเขาราวหนึ่งทุ่ม ได้เห็นทางคนเดินวกไปวนมาตามยอดเขาพอรางๆ เราดีใจว่ามีทางคงใกล้ถึงหมู่บ้านแล้ว ทันใดนั้นกวางมันเห็นแสงเทียนโคมผ้าพวกเรา มันตื่นตกใจร้องปี๊บปี๊บพร้อมทั้งกระทืบเท้า

เราก็ตกใจแทบหัวใจหยุดเต้น พอตั้งสติได้เอ๊ะนี่เสียงกวางแน่ แล้วมองไปที่เสียงเห็นหน้าอกมันขาวๆ จึงเชื่อแน่ชัดลงไปอีกว่ากวาง ทีหลังมันร้องปี๊บอีกแล้วมันก็กระโดดลงเขาหายไป เมื่อพิจารณาดูทับนอนของเขาที่อยู่ตามทางที่ผ่านๆ ไปแล้วเห็นว่ายังไกลบ้านคนนัก

อนึ่งก็เป็นเวลาดึกพอพักนอนแล้วจึงได้พากันจัดหาที่นอนตามชอบใจในป่าหญ้าที่รกๆ นั้นเอง แต่ตลอดคืนนอนไม่หลับ กลดมุ้งกางไม่ได้ ลมแรง ทางพื้นดินนอกจากปลวกจะมารบกวนแล้ว เจ้ามดก็พากันแห่มารุมกินเลือดที่แผลและเหงื่อตามตัว ที่ตาต้องเอาผ้าพันไว้ มิฉะนั้นแล้วมันจะมารุมกินน้ำตาเรา

พอสว่างมาลุกขึ้นมองดูข้างหลังทางเข้ามาเห็นทุ่งนาเท่าบิ้งนานิดเดียว เรากำหนดทิศได้ว่าถ้าตรงไปทางนี้คงเจอะทางที่เราหลงนั้นแน่ จึงเดินลัดป่าลัดโคกตามกำหนดหมายไว้ แหมเท้าเจ็บ เราเดินฝ่าก้อนกรวดหินลูกรังกลางโคกแทบจะไปไม่รอดอยู่แล้ว แต่กัดฟัน จำเป็นจำใจต้องเดินเพราะไม่มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ เดินไปพักใหญ่ๆ ก็ไปตกทางที่คาดไว้จริงๆ เดินไปกว่าจะถึงหมู่บ้านก็ราว ๓ โมงเช้า เราค่อยโล่งใจหน่อยแล้วได้พากันปลงเครื่องบริขารไว้ริมท่าน้ำข้างๆ บ้านเขานั้นเอง สักครู่มีคนเดินออกมาหา


เราได้เล่าพฤติการณ์ทั้งปวงให้เขาทราบ เราคิดจะขอข้าวเขาฉันโดยตรงๆ ก็กลัวจะเป็นโทษ จึงพูดเป็นอุบายว่า พวกเรายังไม่ได้ฉันข้าวเลย แล้วก็เจ็บเท้าจะไปบิณฑบาตก็ไม่ได้ เราอยู่ ณ ที่นี้จะได้ฉันข้าวไหม เขาบอกว่า ได้ฉันเจ้า แล้วเขากลับเข้าไปในบ้าน

พวกเราเชื่อว่าเขาคงจะนำข้าวมาให้ฉันแล้วก็พากันลงอาบน้ำ พอลงอาบน้ำแล้วขึ้นมาเท่านั้นแหละ แม่โอ๊ย แผลที่เท้าเจ็บเดินไม่ได้เลย เมื่อคืนนี้ตลอดคืนมันก็ไม่เจ็บ เช้านี้เดินมาก็พอทนไหว นี่ทำไมจึงเจ็บเอาจนลุกไม่ได้

ท่านอ่อนสีเพื่อนคู่ทุกข์ก็เป็นลมหน้ามืดลุกไม่ขึ้น คอยเขาจะเอาข้าวมาให้ฉันก็หายเงียบ ความหิวความเพลียก็ประดังเข้ามา ดีที่มียาแก้ลมติดถุงย่ามไปด้วย ช่วยกันพยาบาลท่านอ่อนสี กว่าจะลุกขึ้นได้ก็สายร่วม ๑๐ โมงเช้าแล้ว เราจึงให้ท่านไปถามเขาดู เห็นแต่เด็กสองคนเฝ้าบ้านอยู่ ถามได้ความว่าผู้ใหญ่เข้าป่าไปหากินหมดแล้ว หมู่บ้านนี้มีสองหลังคาเรือน อาชีพเขาไปหาตัดยอดตองอ่อนมารีดขายมวนบุหรี่กิน พอท่านอ่อนสีมารายงานแล้ว

เราให้ท่านไปตามเอาเด็กสองคนนั้นมา แล้วถามแลกข้าวด้วยไม้ขีดไฟ เพราะสมบัติอะไรเราไม่มี ยังเหลือแต่ไม้ขีดไฟคนละสองกล่อง แลกข้าวได้ข้าวเหนียวสองกระติบ น้ำพริกถั่วเน่าสองจาน กับผักต้มชะอมสองมัด พวกเราพากันฉันอย่างเอร็ดอร่อยนี่กระไร

พอฉันเสร็จแล้วเท้าเรายิ่งเจ็บใหญ่ เจ็บเอาจนเนื้อแข็งเต้นเลย เราพากันทนทรมานอยู่ที่นั้นจนตะวันบ่ายสามโมงเศษๆ จึงได้พากันเดินเขยกๆ ไปอีกราว ๓ กิโลเมตร จึงถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง แล้วพยาบาลแผลและพักเอาแรงอยู่ ณ ที่นั้น ๑๑ คืน จึงได้เดินข้ามเขาบ้านกะเหรี่ยงมาตกเขตอำเภอพร้าว ณ ที่บ้านมโนรา (ลูกสั้น)


เย็นวันนั้นพวกเราได้ทราบข่าวดี มีคนมาบอกว่าท่านอาจารย์มั่นอยู่ที่ป่าเมี่ยง แม่ปั๋ง ท่านอาจารย์สานอยู่ที่ปากทางเข้าไปถ้ำคอกคำ พวกเราดีใจคิดว่าสมความปรารถนาแล้วครั้งนี้ ฉันเช้าแล้วเตรียมตัวออกเดินทาง ค่ำถึงถ้ำคอกคำที่อาจารย์สานอยู่พอดี พักอยู่ด้วยท่านคืนหนึ่ง สนทนาธรรมสากัจฉาและเรื่องราวต่าง ๆ พอควรแล้ว เช้าฉันแล้วท่านแนะทางให้พวกเราสองคนจึงได้ลาท่านไป

พวกเราไปถึงที่อยู่ของท่านอาจารย์มั่นราวบ่าย ๔ โมง ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ พอท่านมองมาเห็นเราท่านจำได้แม่น เรียกชื่อเราเลย แล้วท่านก็พักเดินจงกรม เดินเข้าไปนั่งที่อาศรมของท่าน พวกเราปลงเครื่องบริขารไว้ข้างนอก ท่านไม่ยอมท่านให้เอาไปไว้ที่เฉลียงอาศรมของท่าน แล้วพวกเราเข้าไปกราบนมัสการท่าน ท่านได้ถามสารทุกข์สุกดิบพอเป็นเครื่องระลึกเล็กน้อย

แล้วเราจึงได้กราบเรียนท่านว่า "ที่ต้องตามหาท่านอาจารย์ในครั้งนี้ ด้วยจุดประสงค์อยากจะมาขอความกรุณาให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยแก้อุบายภาวนาให้ เพราะกระผมได้คิดและได้ศึกษาจากหมู่คณะมามากแล้ว เห็นว่านอกจากท่านอาจารย์แล้ว คงไม่มีใครแก้อุบายนี้ของกระผมได้แน่"

แล้วก็ได้เล่าความเป็นมาของเราถวายให้ท่านทราบทุกประการ เริ่มต้นแต่ได้ปฏิบัติมาจนกระทั่งถึงเรื่องที่ได้นำเข้าเรียนท่านอาจารย์สิงห์ที่โคราช ท่านจึงเล่าถึงการที่ท่านได้อบรมสานุศิษย์มาแล้วเป็นทำนองว่าให้เราทบทวนดูหมู่เพื่อนที่ท่านอบรมว่า

"ถ้าองค์ไหนดำเนินตามรอยของผมจนชำนิชำนาญมั่นคงองค์นั้นย่อมเจริญก้าวหน้า อย่างน้อยก็คงตัวอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าองค์ไหนไม่ดำเนินตามรอยของผม องค์นั้นย่อมอยู่ไม่ทนทานต้องเสื่อมหรือสึกไป ผมเองหากมีภาระมากๆ ยุ่งกับหมู่คณะ การประกอบความเพียรไม่สม่ำเสมอ เพ่งพิจารณาในกายคตาไม่ละเอียด จิตใจก็ไม่ค่อยจะปลอดโปร่ง

การพิจารณาอย่าให้จิตหนีออกนอกกาย อันนี้จะชัดเจนแจ่มแจ้ง หรือไม่ก็อย่าได้ท้อถอย เพ่งพิจารณาอยู่ ณ ที่นี่ละ จะพิจารณาให้เป็นอสุภหรือให้เป็นธาตุก็ได้ หรือจะพิจารณาให้เห็นเป็นขันธ์หรือให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ได้ทั้งนั้น


แต่ให้พิจารณาเพ่งลงเฉพาะในเรื่องนั้นจริงๆ ตลอดอิริยาบถทั้งสี่ แล้วก็มิใช่ว่าเห็นแล้วก็จะหยุดเสียเมื่อไร จะเห็นชัดหรือไม่ชัดก็พิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อพิจารณาอันใดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยใจตนเองแล้ว สิ่งอื่นนอกนี้จะมาปรากฏชัดในที่เดียวกันดอก"

ท่านบอกว่าอย่าให้จิตมันรวมเข้าไปภวังค์ได้

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2015, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๐. พรรษา ๑๒ จำพรรษาที่ป่าเมี่ยง แม่ปั๋งเราตั้งต้นเรียนกัมมัฏฐานใหม่ (พ.ศ. ๒๔๗๗)

พอท่านพูดจบ เรานึกตั้งปณิธานไว้ในใจว่า เอาละคราวนี้เราจะเรียนกัมมัฏฐานใหม่ ผิดถูกเราจะทำตามท่านสอน ขอให้ท่านเป็นผู้ดูแลและชี้ขาดแต่ผู้เดียว

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราตั้งสติกำหนดพิจารณาอยู่แต่เฉพาะกาย โดยให้เป็นอสุภเป็นธาตุสี่ เป็นก้อนทุกข์อยู่ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เราใช้เวลาปรารภความเพียรอยู่ด้วยความไม่ประมาท สิ้นเวลา ๖ เดือน (พรรษานี้เราจำพรรษาอยู่ที่นี้) โดยไม่มีความเบื่อหน่าย ใจของเราจึงได้รับความสงบและเกิดอุบายเฉพาะตนขึ้นมาว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นเพียงสักแต่ว่าเป็นธาตุสี่เท่านั้น แต่คนเราไปสมมติแล้วหลงสมมติตนเองต่างหาก มันจึงต้องยุ่งและเดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง

เราได้อุบายครั้งนี้ทำให้จิตหนักแน่นมั่นคง ผิดปกติกว่าเมื่อก่อนๆ มาก แล้วก็เชื่อมั่นในตัวเองว่าเราเดินถูกทางแล้ว แต่ยังไม่ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ เพราะความเชื่อในอุบายของตนเองว่า เราจะกราบเรียนท่านเมื่อไรก็คงได้

ปีนั้นอากาศเย็นจัดมากจนได้สุมไฟนอน ไม้บาดที่มือ เลือดไม่มีเลย ออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์มั่นลงมาที่บ้านทุ่งหมากข้าว เราสองคนกับพระอ่อนสี (พระครูสีลขันธ์) ยังคงอยู่ที่เดิมแต่เปลี่ยนที่กัน คือเราลงมาอยู่ที่ท่านอาจารย์มั่นกับพระอ่อนสีจำพรรษา พระอ่อนสีขึ้นไปอยู่บนเขาที่เราอยู่จำพรรษา

กลางคืนเสือมานั่งเฝ้าพระอ่อนสีที่นอนข้างกองไฟ พอไฟดับมันหนาวลุกขึ้นจะใส่ไฟ เสือร้องโฮกแล้วก็กระโดดเข้าป่าไป ท่านเป็นชาวทุ่งไม่รู้จักเสียงเสือ เราก็ไม่บอกให้ทราบเลย กลัวท่านจะกลัว

ต่อมาท่านอาจารย์มั่นมีหนังสือให้พวกเราลงไปหา เราไปช่วยทำธุระท่านอยู่ ๑๐ คืน เอ๊ะ อุบายที่เราเคยพิจารณาอยู่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ชักจะไม่ค่อยชัดเจนเสียแล้ว นี่เห็นคนเป็นคนไปตามสมมติเสียอีกแล้ว พอเสร็จธุระเรากับอาจารย์แหวนขอลาท่านออกเที่ยววิเวกอีก ส่วนท่านอ่อนสีให้อยู่อุปัฏฐากท่านอาจารย์มั่น

เราพากันออกเดินทางราวสามร้อยเส้นก็แวะเข้าป่าพักรุกขมูลแห่งหนึ่ง คืนวันนั้นได้ยินเสียงเสือร้องบนยอดเขาทำให้ใจเราวิเวกมาก ระลึกเอาพุทธคุณมาเป็นอารมณ์ ต่อนั้นก็ทำให้เกิดความรู้มหัศจรรย์แปลกๆ อยู่หลายอย่างๆ ไม่คิดและไม่เคยเป็นมาแต่เมื่อก่อนเลย

พวกเราพัก ณ ที่นั้นสองคืนแล้วออกเดินทางต่อไปพบท่านอาจารย์สานที่อำเภอพร้าว แต่เราอยู่กับท่านไม่ได้นาน เพราะคิดถึงวิเวก จึงได้ลาท่านขึ้นไปบนภูเขามูเซอ ไปทำความเพียรอยู่ ๙ คืน โดยคิดว่าเราจะไปอยู่กับหมู่คนที่พูดไม่รู้ภาษากัน แล้วจะได้ประกอบความเพียรให้เต็มที่ ส่วนอาหารเราทราบดีแล้วว่าเขาใจบุญพอ จะได้ฉันแน่

๒๐.๑ เกิดวิปลาส

เราได้ปรารภความเพียรอย่างสุดความสามารถจนเกิดวิปลาสขึ้นว่า พระพุทธเจ้าพระสงฆ์ไม่มี มีแต่พระธรรม เพราะพระพุทธเจ้าก็คือ พระสิทธัตถะกุมาร มารู้พระธรรมจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า แม้ตัวพระพุทธเจ้าเองก็เป็นรูปธรรมนามธรรม พระสงฆ์ก็เช่นเดียวกัน ที่ได้มาเป็นพระสงฆ์ทั้งที่เป็นอริยและปุถุชนก็มาดำรงอยู่ในพระธรรมนี้ทั้งนั้น

แต่เราได้ย้อนมาตรวจดูความสมมติบัญญัติแล้ว เอ นี่มันไม่ตรงกันนี่ ความเห็นของเราสองแง่นี้ได้โต้กันอยู่หลายวันไม่ตกลง ดีที่เราไม่ยอมทิ้งสมมติบัญญัติ ถ้าหาไม่แล้ว ดูเหมือนจะสนุกใหญ่เหมือนกัน พอดีท่านอาจารย์สานให้คนมานิมนต์ให้ลงไปรับไทยทาน ใจหนึ่งมันก็ยังไม่อยากไป

แต่มาคิดถึงบริขารผ้าสบงว่าเราใช้มาร่วมสามปีแล้ว เกรงจะใช้ได้ไม่คุ้มพรรษา ไหนๆ เราไปแสวงหาบริขารให้สมบูรณ์แล้วจึงกลับขึ้นมาใหม่ จึงรับนิมนต์ท่าน เมื่อลงมาก็ได้สมประสงค์ทุกอย่าง แลความเห็นวิปลาสนั้นก็หายไปเอง

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2015, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๑. พรรษา ๑๓ จำพรรษาที่บ้านมูเซอ (บ้านปู่พญา) (พ.ศ. ๒๔๗๘)

เมื่อตัดเย็บสบงย้อมเสร็จแล้วเราจึงได้ขึ้นไปใหม่ แต่ไปคราวนี้มิได้ไปที่เดิม ขึ้นไปทางบ้านปู่พญา เมื่อเราไปถึงเขาพากันใจดีจัดเสนาสนะให้เราอยู่อย่างพร้อมใจกัน โอ้โฮ เบื้องต้นเราผิดหวังไปถนัดทีเดียว เรานึกว่าพูดไม่รู้ภาษากันคงไม่มีใครมายุ่งเกี่ยว ที่ไหนได้ขึ้นไปครั้งแรกพักบ้านร้าง

เขาไม่เคยเห็นพระธุดงค์ ทั้งเด็กเล็กหนุ่มแก่พากันมายืนมองดูเรา จากไกลจนใกล้เข้าชิดขนาดจะเหยียบเท้าเราเลย มึงไปกูมา จากเที่ยงถึงราวบ่ายสี่โมงเย็น จากยืนลงนั่ง จากนั่งลงนอน ความสกปรกเหม็นสาบ ไม่ทราบว่าอะไรต่ออะไร ทำเอาเราเป็นลมมืดหน้าแทบตาย

เขาทำทางให้เดินจงกรม พอเราออกเดินเท่านั้นแหละ แม่เอ๊ยพากันกรูตามเป็นหางยาวเหยียดสุดทาง เราทนไม่ไหวกลับมานั่งลง เขายังพากันเดินเป็นกลุ่มสนุกอยู่เลย

ทีหลังทำความเข้าใจกันกับหัวหน้าเขา (ปู่พญาเท่ากับกำนัน) ว่า ไม่ควรเดินตามท่านหาก ต้องการบุญเมื่อเห็นท่านเดินอยู่เราต้องพากันปึ๊ (ประนมมือ) ก็ได้บุญดอก คราวนี้เมื่อเห็นเราออกเดินจงกรมทีไร พากันมาปึ๊เป็นแถวๆ ผู้ที่ยังไม่มาก็ไปเรียกกันมาเป็นกลุ่มๆ

คิดดูแล้วก็น่าสงสารคนบ้านป่าไกลความเจริญแต่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีใครไปอบรมเขาเป็นสิบๆ ปี หากไม่มีคดีอุกฉกรรจ์แล้ว เจ้านายก็ไม่ขึ้นไปให้เขาเห็นหน้าเลย เขาบริหารกันเอง เชื่อถือหัวหน้ากันเคร่งครัด ใครไม่ดี เช่น เป็นคนหัวแข็งหาเรื่องทะเลาะวิวาทเพื่อนบ่อยๆ หัวหน้าตักเตือนไม่เชื่อฟัง หัวหน้าต้องขับหนีจากหมู่บ้าน เมื่อแกไม่ไปเขาก็ต้องหนีจากแกไป ส่วนการขโมยรับรองไม่มีเด็ดขาด

เมื่อเราเดินทางไปตามภูเขา เห็นบ้านหนึ่งหลังหรือสองหลัง เราทายได้เลยว่าแค่นี้อยู่กับเขาไม่ได้เลย ชาวเขาแถบนี้เขาอดข้าวทำไร่ไม่ได้ผลมาแต่ปีกลาย หมู่บ้านที่เราไปอาศัยอยู่นี้มี ๑๒ หลังคาเรือน มีข้าวกินเพียง ๓ เรือนเท่านั้น เขามีศรัทธาดีมาก เวลาเราออกบิณฑบาตมีคนตักบาตรเพียงสามคนเท่านั้น แต่เขาใส่มากเราก็พอฉันอิ่ม ทีหลังหัวหน้าเขามาเล่าให้เราฟังว่า ทุกคนมีศรัทธาอยากใส่บาตรอยู่ แต่เขาละอายไม่มีข้าว เขาพากันรับประทานมันป่าต้มแทนข้าว

เราเกิดความสงสารเขา พอดีเราก็ชอบมันนึ่งอยู่แล้ว จึงบอกเขาว่า ฉันชอบมันนึ่งจึงได้ขึ้นมาอยู่ด้วยพวกเธอ ถ้าหาไม่แล้วฉันไม่ได้มาดอก พอเขารู้เรื่องนั้นแล้ว วันหลังเขาพากันขุดมันป่ามานึ่งตักบาตรเราเต็มบาตรทุกวันๆ แล้วก็พากันชอบใจหัวเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างน่าเอ็นดู เขากลัวเราจะไม่ฉันให้เขาตามมาดูถึงที่เลย เราได้แล้วก็ตั้งใจฉันให้เขาเห็น

แม้ปีนั้นปลูกข้าวแล้วฝนไม่ดี ทำให้ข้าวที่ปลูกไว้เหี่ยวแห้งเหลืองซีดไปหมด ยังเหลือสิบวันจะเข้าพรรษา เขาพากันจัดเสนาสนะให้เราอยู่เสร็จเรียบร้อย ฝนตกลงมาอย่างน่าอัศจรรย์ เขาพากันดีใจอย่างล้นพ้นว่า เป็นเพราะบุญของเขาที่ทำวัดให้เราอยู่ ข้าวได้เขียวขจีงามทันหูทันตา ปีนั้นเขาทำไร่ได้ข้าวมากจนเหลือบริโภค บางคนจนได้ขายก็มี แท้จริงแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีพระไปอยู่จำพรรษากับมูเซอ เราอาจเป็นพระองค์แรกในเมืองไทยก็ได้ที่ได้ไปจำพรรษาอยู่ด้วยมูเซอ

เมื่อเขาจัดเสนาสนะให้เราเรียบร้อยแล้ว เราได้ระลึกถึงพุทธประวัติว่า พระสิทธัตถะบำเพ็ญเพียรได้ตรัสรู้เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ปีนี้อายุของเราก็เท่ากับพระชนมายุของพระองค์ในกระโน้น (คือเราอุปสมบทเมื่ออายุย่าง ๒๒ ปี) ฉะนั้น ปีนี้เราจะบำเพ็ญภาวนาเพื่อบูชาการตรัสรู้ของพระองค์ แม้ชีวิตของเราจะแตกดับเพราะการภาวนา เราก็จะยอมทุกๆ วิถีทาง ชีวิตนี้ของเราขอให้เป็นเหมือนดอกบัวบูชาพระฉะนั้นเถิด

แล้วเราก็ทำความเพียรตามที่เราได้ตั้งปณิธานไว้ตลอดพรรษา แต่แล้วการภาวนาของเราก็ไม่เจริญก้าวหน้า เป็นแต่ทรงอยู่ เพื่อให้สาสมแก่เจตนาของเรา จึงได้ทรมานตนด้วยการอดอาหารอยู่ ๕ วัน ชาวมูเซอเขาไม่เคยเห็น กลัวเราจะตาย พากันมาขอร้องให้เราฉันตามปกติ เราได้ปฏิเสธเขาไป แล้วทำตามปณิธานของเราอยู่จนครบ ๕ วัน

เขาได้ผลัดเปลี่ยนกันแอบมามองดูเรา ถ้าเราปิดประตูทำความเพียรอยู่ในห้อง เขาจะมาเรียกให้เราขานตอบเมื่อเห็นเราขานตอบแล้ว เขาก็กลับไป แท้จริงการอดอาหารมิใช่ทางให้ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว บอกว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค แม้ครูบาอาจารย์ของเราทุกๆ ท่านก็บอกเราเช่นนั้นเหมือนกัน

ตัวเราเองก็เคยได้กระทำมาแล้ว มันเป็นเพียงเครื่องทรมานกายเท่านั้น หาได้เกิดปัญญาฉลาดค้นคว้าในธรรมให้ฉลาดเฉียบแหลมอะไรไม่ แต่นี่เราทำเพื่อทดสอบกำลังใจของตนเองดูว่า ความอาลัยในชีวิตกับความเชื่อมั่นในคุณธรรมที่เราเห็นแล้ว อะไรจะมีน้ำหนักกว่ากัน

เมื่อเราได้ความจริงด้วยใจตนเองแล้ว เราก็กลับฉันอาหารตามเคย แต่เราไม่ฉันข้าว ฉันแต่หัวมัน หัวเผือกนึ่ง ฉันอยู่ ๔-๕ วัน แล้วจึงฉันข้าว ชาวมูเซอเห็นเรากลับฉันอาหารแล้วเขาพากันดีใจ ในพรรษานี้เราได้นิมิตในภาวนาอันแสดงถึงความมั่นคงในด้านอุบายภาวนาเป็นที่พอใจของเรามาก

มูเซอคุยโม้อวดเราว่า ตุ๊เจ้า (ท่าน) มาอยู่ด้วยดีมาก ข้าวไร่อุดมได้มากเหลือกิน บางคนจนได้ขายวัว ควาย (เขาเลี้ยงไว้ไม่ได้ใช้งาน) ที่ไม่เคยได้ขายก็ได้ขาย (ปกติเขาเลี้ยงหมูขายเป็นรายได้ประจำครอบครัว) พริกแห้งเป็นรายได้ประเภทหนึ่ง นอกนี้แล้วไม่มีรายได้อะไรเลย เงินทองเราก็เก็บไว้ได้เหลือใช้

ตุ๊เจ้ามาสอนไม่ให้เราเล่น ไพ่ ถั่ว เบี้ย เราก็ไม่เล่น เมื่อก่อนมีพวกกะเราะ (ชาวเมือง) เขามาหลอกให้เราเล่น บัดนี้เราฟังคำตุ๊เจ้าสอน เราไม่เล่นแล้ว ออกพรรษาแล้วหัวหน้าเขาคนเดียวได้นำผ้าขาวหนึ่งพับมาทอดผ้าป่าเรา แล้วเราได้ลาชาวมูเซอเพื่อกลับลงไปเยี่ยมนมัสการท่านอาจารย์มั่น ที่บ้านทุ่งมะข้าว ตำบลแม่ปั๋ง เขาพากันอาลัยเรามาก พากันร้องไห้ขอให้เรากลับมาอีก


เราไม่แน่ใจได้บอกกับเขาไปว่า ให้ไปหาอาจารย์ดูก่อน บางทีอาจได้กลับมาอีก เมื่อเราไปถึงท่านอาจารย์มั่นแล้ว ได้เล่าพฤติการณ์ต่างๆ ถวายท่านทุกประการ ท่านชอบใจ ชวนเรากลับไปอีก การกลับไปครั้งนี้เป็นสามองค์ด้วยกัน คือ ท่านอาจารย์ เรา ท่านอ่อนสี เมื่อจะขึ้นไปจริง ท่านอ่อนสีไม่สบายให้รออยู่ข้างล่างก่อน

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2015, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๒. พรรษา ๑๔ จำพรรษาที่เดิมสามองค์ด้วยกัน (พ.ศ. ๒๔๗๙)

การกลับไปครั้งนี้ทำให้เราลำบากใจ เพราะเขาทำความสนิทสนมกับเรามากกว่าท่านอาจารย์
อนึ่ง ท่านอาจารย์ท่านไม่ค่อยถูกกับอากาศเย็น เมื่อไปถูกกับอากาศเย็นเข้าอาพาธของท่านก็กำเริบแทบจะอยู่ไม่ไหว แต่ด้วยใจนักต่อสู้ท่านก็เอาชนะจนอยู่ได้ตลอดพรรษา

คราวนี้เราทำความเพียรดีมากเพราะนอกจากใช้อุบายของตนเองแล้ว ก็ได้อาจารย์ช่วยให้อุบายเราศึกษากับท่านอยู่ตลอดเวลา พอจวนเข้าพรรษาท่านอาจารย์ให้เราลงมาเอาท่านอ่อนสีไปอยู่ด้วย พอเราจากท่านไป ๕ คืน ท่านอยู่องค์เดียวได้วิเวกปรารภความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ท่านกลับได้อุบายดีโด่งเลย อาพาธของท่านก็หายไปพร้อมๆ กัน

พรรษานี้เราทั้งสาม ต่างก็ตั้งใจปรารภความเพียรจนเต็มความสามารถของตนๆ แม้เหตุการณ์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภายนอกหรือเนื่องด้วยอุบายในทางธรรม ใครมีอะไรเกิดขึ้นเกือบจะเรียกได้ว่ารู้ด้วยกันทั้งนั้น พรรษานี้ท่านอาจารย์ได้พยากรณ์อายุของท่านอย่างถูกต้อง บางครั้งท่านก็พยากรณ์ลูกศิษย์ของท่านรูปนั้นบ้าง รูปนี้บ้างต่างๆ นานา ตามนิมิตและความรู้อันเกิดเองเป็นเองในภาวนาของท่าน แต่แล้วท่านก็บอกว่า อย่าได้หลงเชื่อทั้งหมด อาจผิดได้ สำหรับเรานั้นตั้งตัวเป็นกลางเฉยๆ

เพราะเรื่องเหลานั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ไม่เหมือนกัน เรื่องนั้นมิใช่จุดประสงค์ของผู้กระทำความเพียรภาวนาอย่างแท้จริง จุดประสงค์ที่แท้จริงคือ การกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปโดยไม่มีเหลือต่างหาก ในพรรษานี้ท่านอาจารย์ได้อบรมด้วยเล่ห์เหลี่ยมแลอุบายต่างๆ อย่างไม่เคยเห็นท่านทำมาแต่ก่อนเลย เราก็ได้ทำตามแลทำทันถูกต้องตามอุบายนั้นๆ ของท่านทุกประการ จนท่านออกอุทานเปรยๆ ว่าท่านเทสก์นี้ใจร้อน แล้วท่านแสดงนิสัยตามความจริงของท่านออกมาตรงๆ เลย

นับว่าเป็นโชคดีของเราที่ได้อาจารย์ผู้อบรมเช่นนั้นให้แก่เรา เราเข้าใจว่าท่านอบรมลูกศิษย์ผู้เช่นอย่างเราคงจะหาโอกาสได้น้อย เพราะบุคคล สถานที่ และโอกาส เวลาไม่อำนวยเช่นนั้น

ถึงแม้ท่านจะอำนวยพรให้เราอยู่ในฐานะธรรมทายาท เราก็ไม่เคยจะลืมตัวและยอมรับเลย เราถือเสียว่าความจริงมันก็อยู่แค่ความจริงนั่นแหละ หาพ้นความจริงไปได้ไม่

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2015, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๒.๑ เรื่องแทรกของคนป่าเข้าบ้าน

ในพรรษานี้มีคนป่าซึ่งเรียกกันว่า "ผีตองเหลือง" แต่พวกเขาเองไม่ชอบคำคำนั้น เขาบอกว่าอย่าได้เรียกเขาว่า "ผีตองเหลือง" เพราะพวกเขากลัวผีเหมือนกัน ให้เรียกพวกเขาว่าคนป่า ชาวมูเซอเขาบอกว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้ ๕๐ กว่าปีมาแล้ว เขาไม่เคยเห็นพวกเหล่านี้เข้ามาหาเลย คนเผ่านี้เป็นคนไทยเดิม

เท่าที่เคยสนทนากับชาวเมืองยอง เมืองรวง ซึ่งอยู่เหนือเชียงตุงขึ้นไปสำเนียงคำพูดภาษาเหมือนๆ กัน ที่อพยพลงมาทำมาหากินอยู่เชียงใหม่ด้วยการจักสาน ทำขันโตกขันพาน เรียกว่าขันเขิน (คือฝีมือของคนเผ่าเขินนั้นเอง) เรื่องของคนป่าเผ่านี้แต่เดิมเขาบอกว่ามีราว ๖๐ คน มาภายหลังเกิดไข้ทรพิษตาย เดี๋ยวนี้มีหญิงชายรวมกันราว ๓๐ คน พอจะสรุปเรื่องของเขาดังนี้

ความเป็นอยู่ ไม่มีหลักแหล่ง ตัดไม้เล็กๆ สักแต่ว่าเป็นเสาปัก แล้วเอากิ่งไม้ใบไม้อะไรปกคลุมพอนอนบังน้ำฝนน้ำค้างเล็กๆ น้อยๆ บางทีก็นอนตามถ้ำเพิงหินหรือใต้ต้นไม้โคนต้นไม้ สักแต่พอบังๆ ผ้านุ่มห่มไม่มี ที่ไปขอมาได้ไว้ปกปิดกายในเวลาเข้าไปในหมู่บ้าน อยู่เป็นกลุ่มๆ กัน กลัวผี กลัวเสือเหมือนกัน ที่อยู่เขาในขณะที่เขาอาศัยอยู่ไม่ค่อยมีคนไปเห็น

หากบังเอิญมีคนไปเห็นเข้าผู้หญิงจะต้องวิ่งหนี ถ้าวิ่งไม่ทันก็ล้มตัวนอนกลิ้งไป ถ้ามีผู้ชายจะต้องวิ่งออกมาต่อสู้ด้วยอาวุธหอก (เข้าใจว่าเนื่องจากผู้หญิงไม่มีผ้าหุ้มตัวนั่นเอง) เขาถือกันว่าผู้หญิงเห็นผู้อื่นนอกจากหมู่ของเขาแล้วเป็นเคราะห์ร้าย เสือกินตาย อยู่ที่ไหนถ้าอาหารอุดมสมบูรณ์ก็อยู่ได้นาน อาหารหมดก็อพยพกันไปอยู่ที่อื่น เขาจึงเรียกชื่อนิมิตว่า ผีตองเหลือง คือพอใบไม้เครื่องมุงเหี่ยวแห้งเหลืองก็หนีไป

อาหารการกิน อยู่ได้ด้วยเนื้อสัตว์และหัวมันป่า รวงผึ้ง น้ำผึ้ง สัตว์บางชนิดเขาไม่รับประทาน เช่น งู เป็นต้น แล้วก็กินสุก จี่เผาแล้วจึงกิน กินแต่กับ ไม่มีข้าวและข้าวสาลีเป็นหลักอย่างพวกคนธรรมดา ถ้าเป็นผึ้งก็จะเอามาคลุกกับไม้ผุหรือดินเพื่อให้มีเนื้อมากๆ แล้วจึงจะกิน ไฟใช้เหล็กตีกับหิน (ที่เรียกเหล็กไฟพราน) หรือมิฉะนั้นก็ใช้ไม้สีกัน เอาไม้ขีดกล่องให้ก็กลัวเพราะเวลาขีดมันฟู่

วิธีล่าสัตว์ ล่าด้วยหอกป้ายน้ำยาพิษ (ยางน่อง) เมื่อเห็นรอยสัตว์ก็จะค่อยๆ ย่องตามไป พอเห็นสัตว์นอนกลางวันเข้าใกล้แล้วค่อยพุ่งหอกใส่เลย ถ้าเห็นสัตว์กำลังหากินอยู่ก็จะค่อยๆ หาที่กำบัง แอบเข้าไปให้ใกล้เท่าที่จะใกล้ได้ แล้วพุ่งหอกขึ้นบนอากาศให้ตกใส่เอง เขาบอกว่าระยะไกลราว ๒๐-๓๐ เมตรก็ได้กิน หากหอกเข้าลึกถึง ๑ นิ้วฟุตแล้ว เนื้อสัตว์เป็นพิษกินไม่ได้ เข้าตื้นกว่านั้นกินได้ เขาเคยเอามาให้เรา เนื้อย่างเหม็นเขียวควันไฟมาก เขาเอามาวางไว้คาคบต้นไม้ไกลขนาด ๑๐ เมตร เหม็นเขียวตลอดคืนแทบนอนไม่หลับ ท่านอาจารย์บอกให้มูเซอเอาไปต้มดู แหมเป็นดินเกือบครึ่งหนึ่ง ฉันไม่ได้เลย

ขนบธรรมเนียมประเพณี อยู่ป่าเป็นพื้น โดยไม่ยอมออกมาให้คนเห็น โดยมากหากจะออกมาก็จะมาขอผ้าขอข้าวแลเกลือแลเหล็กไปทำเหล็กไฟ คนเผ่านี้บรรพบุรุษเดิมเขาเข้าใจว่าคงจะหนีเจ้าหนีนายเข้าป่ามานานแล้ว ดังจะเห็นได้จากประเพณีเขาที่ว่า ห้ามเดินผ่านที่เตียนโล่ง และที่ซึ่งเขาปลูกฝัง ไม่ว่าอะไรทั้งหมด แม้แต่ของปลูกในไร่ หรือไร่ที่ได้ปลูกพืชลงแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะไม่เดินเข้าไปกล้ำกรายเลย

ไร่จะกว้างทางแสนจะกันดารเขาก็จะต้องเว้น ทั้งๆ ที่ไม่มีใครห้ามเขา นี่แสดงถึงคนเก่าเฒ่าแก่เขาจะหลอกลวงไม่ให้ออกไปในที่โล่ง กลัวคนจะเห็นเอานั้นเอง และที่ว่าผู้หญิงเห็นคนเข้าแล้วจะต้องถูกเสือกินก็เหมือนกัน การเข้ามาขอกินข้าวหรือข้าวสาลี หัวเผือกมันต่างๆ เขากินจนหมดไม่มีเหลือ

เราได้บอกให้เขาเอาไปปันผู้หญิงกินบ้าง เขากลับตอบว่าไม่ได้ เขาได้กินแล้วมันจะติดรสเคยตัว เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในสังคมคนมูเซอ ดูท่าทีของเขาเหล่านั้นแสดงอาการกลัวคนแปลกหน้าโดยเฉพาะคือกลัวเจ้านายนั้นเอง เดินไปช้าๆ มีการสำรวมระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาอย่างน่าสงสาร เวลาเข้าป่าจะคล่องตัวเรามองตามแทบไม่ทัน เห็นแต่ใบไม้ปลิวกับเสียงควบคาบๆ เท่านั้นเอง

การสมรส หญิงชายต่างมีอิสระในตัวของตนเองเช่นคนธรรมดาสามัญของคนทั่วไป ต่อเมื่อชายมีโชคลาภร่ำรวยได้เนื้อได้อาหารมา หญิงใดชอบรักก็จะไปนอนเป็นคู่เคียงด้วย ส่วนจะแบ่งกันอย่างไรเราลืมถามเขา การเลี้ยงลูกจะเป็นภาระของผู้หญิงแต่ฝ่ายเดียว เขาเคยเข้ามาหาเรา เราได้สัมภาษณ์เขาหลายเรื่องจึงรู้เรื่องของเขาดี

เราเห็นเขาแล้วคิดสงสาร เพราะเขาเป็นคนเผ่าไทยเดียวกับเรา พูดรู้เรื่องกันทุกๆ คำ รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกันกับพวกเราทั้งสิ้นทุกอย่าง ในใจเราคิดอยากสงเคราะห์เขาให้มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง อย่างน้อยก็ให้เหมือนกับเผ่ามูเซอหรือเผ่าอื่นๆ ที่อยู่บนเขา หากเขาจะรับสงเคราะห์แล้วเราจะตั้งใจจะรายงานเป็นทางการไปหาเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อจะได้สงเคราะห์เขาต่อไปด้วยเครื่องมือและเครื่องใช้ตลอดจนพืชพันธุ์ต่างๆ ทีหลังเขามาหาเรา

เราได้ทาบทามเขาดูว่า การที่ได้บริโภคข้าวก็ดี บริโภคข้าวโพดและเผือกมัน ตลอดถึงพริกเกลือก็ดี รู้สึกอย่างไร อร่อยไหม เขาตอบว่า อร่อยดี เราบอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้พากันมาอยู่เป็นกลุ่มอย่างมูเซอเหล่านั้น แล้วทำไร่ปลูกข้าวและเผือกมันกินเสียจะดีไหม พอเราพูดได้เท่านั้น เขารีบพูดสวนค้านขึ้นมาทันทีว่า พวกข้าน้อย (ผม) เป็นคนป่า ทำไม่ได้ ถ้าทำเข้า แผ่นดินจะปลิ้น (เป็นคำพูดของคนรุ่นเก่าที่พูดคัดค้านอย่างรุนแรง) คือหมายความว่าสิ่งนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าทำได้ก็ต้องทำให้แผ่นดินพลิกกลับเอาข้างล่างขึ้นมาเป็นข้างบน) พอเราได้ยินเขาพูดดังนั้น โครงการของเราก็เลยยุติลงเพียงแค่นั้น

เป็นที่น่าเสียดายผู้ที่ได้มนุษย์สมบัติอันล้ำค่า แต่หาได้ทำให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควรไม่ เพราะเกิดในถิ่นอันไม่สมควร แต่บุคคลที่น่าสงสารมากกว่านั้น คือผู้ที่เกิดมาแล้วได้รับความสมบูรณ์พูนสุขพร้อมด้วยประการทั้งปวง ตลอดถึงการศึกษาแล้วประมาทจมอยู่ในความสุขนั้นๆ อันหาสาระมิได้ นอนให้กาลเวลาเขมือบอายุชีวิตให้สิ้นไปโดยไร้ประโยชน์ก็ยังมีเป็นอันมาก

ในพรรษานี้ นอกจากท่านอาจารย์จะพยากรณ์สิ่งต่างๆ แล้ว ยังปรารภว่า ท่านยังมีภาระที่จะต้องรับหมู่คณะต่อไปอีก แล้วก็ปรารภที่จะตั้งสำนักทางเชียงใหม่เสนอให้เราพิจารณาอีกด้วย เราดีใจที่ท่านคิดจะรับเป็นภาระหมู่อีก แล้วเราจึงปรารภถึงคนทางภาคอีสานว่า เหมาะสมควรแก่การปฏิบัติธรรมมากกว่าทุกๆ ภาค โดยเฉพาะภาคเหนือแล้วได้ผลน้อย

เราได้ชี้ให้ท่านเห็นว่า ดูแต่ท่านอาจารย์มาอยู่ทางนี้ได้ ๗-๘ ปีแล้ว มีใครบ้างที่ออกปฏิบัติตาม หมู่ที่ต่างๆ ท่านอาจารย์มานี้ล้วนแต่ลูกศิษย์เก่าคนภาคอีสานทั้งนั้น บัดนี้คนทางภาคอีสานไม่ว่าพระและฆราวาส มีเจ้าคุณธรรมเจดีย์ เป็นต้น ต่างก็พากันบ่นถึงท่านอาจารย์ กระผมมานี้ทุกคนร้องขอให้กระผมอาราธนาให้ท่านอาจารย์กลับทั้งนั้น ส่วนการจะกลับทางไหนเขายอมยินดีรับภาระทั้งหมด ขอให้กระผมบอกข่าวเขาก็แล้วกัน

แล้วท่านก็ปรารภถึงภูเขาทางอำเภอนาแกว่าน่าอยู่น่าสบายมาก ท่านชอบภูเขาเช่นนี้ พวกเราพากันไปอยู่ทางโน้นเถอะ แต่ว่าท่านต้องเป็นนายประตูให้ผมนะ หากใครมาหาถ้าท่านเห็นไม่สมควรขออย่าได้ปล่อยให้เข้ามาหาผม

หลังจากออกพรรษาแล้วท่านได้กลับลงมาทางอำเภอพร้าวอีก (ตามที่เพื่อนๆ เล่าให้ฟังว่า ท่านได้มาปรารภกับหมู่คณะในทำนองนั้นอีกเหมือนกัน) ส่วนเรากับท่านอ่อนสีได้ขออนุญาตท่านอาจารย์อยู่ประกอบความเพียรในบริเวณนั้นต่อไปเพื่อให้สาสมแก่ใจอีก ต่อมาไม่กี่วันท่านได้พาอาจารย์สาน อาจารย์แหวน อาจารย์ขาว กลับคืนมาหาเราอีก แล้วท่านก็ปรารภในการที่จะจัดตั้งสำนักรับหมู่คณะอีก เราได้ยืนกรานตามคำเดิม หากตั้งทางภาคนี้ผมไม่เห็นด้วย แต่ถึงอย่างไร ถ้าท่านอาจารย์ตั้งอยู่ทางภาคนี้จริงแล้ว หลังจากท่านอาจารย์ตั้งสำนักแล้วสามปีผมจึงจะไปช่วยเหลือ

คณะของท่านอาจารย์ได้พักอยู่ด้วยสองคืนแล้วก็แยกย้ายกันไป ท่านอาจารย์สาน อาจารย์แหวน และอาจารย์ขาว กลับลงมาอำเภอพร้าว ท่านอาจารย์มั่น กับท่านมนูเลยลงไปทางอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แล้วจำพรรษาทางโน้นเลย ส่วนเรากับท่านอ่อนสียังพากันประกอบความเพียรอยู่ ณ ที่นั้นต่อไป เมื่อท่านแยกย้ายกันไปหมดแล้ว

เรากับท่านอ่อนสีได้แยกกันอยู่คนละแห่ง คือท่านอ่อนสีอยู่ที่เดิม เราได้แยกไปอยู่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2015, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๒.๒ จิตมีกิเลสใต้สำนึกหรืออนุสัยกิเลส

ที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ เมื่อพูดแล้วก็ขายขี้หน้าตัวเองแต่กิเลสมันยังขายขี้หน้าตัวมันเองเสียยิ่งกว่าเราเสียอีก นั่นคืออะไร กล่าวคือ เมื่อเราแยกจากท่านอ่อนสีไปอยู่องค์เดียวแล้ว คือวันหนึ่งเสือร้องเรากลัวเสียงเสือจนตัวสั่นสะท้านนอนไม่ได้ ภาวนาไม่ลงเลย ผู้คนก็ช่วยไล่ขนาดยิงปืนขู่เอาดุ้นฟืนติดไฟแดงโร่อยู่นั้นแหละขว้างใส่แล้วมันก็หนีไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาอีก บางทีตื่นเช้ามาเขาออกไปทำงาน เห็นนั่งตงโมงดักหน้าอยู่แล้วก็มี

เขาเห็นแล้วก็พากันวิ่งหนี แต่มันก็ไม่เห็นทำอะไรใคร เรานั่งภาวนาอย่างไรๆ ก็ไม่รวมลงได้ แต่เราก็หาได้รู้ตัวไม่ว่ามันกลัวเสือเหงื่อเปียกโชกหมดทั้งตัว เอ๊ะ นี่อะไรนะ หนาวทำไม่จึงมีเหงื่อ ลองเอาผ้าห่มออกดูก็ยังสั่นเทาอยู่ เมื่อภาวนาไม่ลงแล้วมันเหนื่อยมาก นึกว่าเอนหลังลงนอนพักเอาแรงสักหน่อยก่อนแล้ว จึงจะลุกขึ้นมาภาวนาใหม่

ขณะนั้นเองพอดีได้ยินเสียงเสือร้องขึ้น เลยสั่นสะบั้นกันใหญ่เหมือนกับเป็นไข้จับสั่น จึงได้รู้ว่านี่มันกลัวเสียงเสืออย่างไรเล่า เราได้ลุกขึ้นตั้งสติกำหนดจิตให้อยู่นิ่งในอารมณ์เดียวยอมสละชีวิตว่า เรายอมสละความตายแล้วมิใช่หรือ จึงได้มาอยู่ ณ ที่นี้ เสือกับคนก็ก้อนธาตุ ๔ เหมือนกันมิใช่หรือ ตายแล้วก็มีสภาพเช่นเดียวกัน แล้วใครกินใคร ใครเป็นผู้ตายและใครเป็นผู้ไม่ตาย เมื่อยอมสละพิจารณาด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวอยู่นั้น เสียงเสือก็ไม่ได้ยิน ภายหลังเมื่อได้ยินเสียงมันใจก็เฉยๆ เห็นเป็นลมกระทบวัตถุอันหนึ่งแล้วมันเกิดเสียงออกมาเท่านั้น

นิสัยของเราขี้ตกใจเป็นโรคประสาทมาตั้งแต่เด็กแล้ว เมื่อมีเสียงเสือสัญญาเดิมมาปรากฏ จึงทำให้เรากลัวโดยไม่รู้ตัว กิเลสานุสัยที่นอนจมอยู่ในห้วงลึกของดวงใจจึงยากที่จะละได้ ถ้าหากไม่ยอมสละความยึดถืออุปาทานในสังขารอันไร้สาระ แลกเอาอมตรสที่ปรากฏอยู่เฉพาะกับใจแล้วก็จะเอาชนะกิเลสไม่ได้เลย แม้พระสารีบุตรอัครสาวก ผู้ถึงพระอรหันต์แล้วก็ละได้ แต่วาสนานิสัยยังละไม่ได้เลย ไม่เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในช่วงระยะที่เรากำลังทำความเพียรด้วยความกล้าหาญอยู่นั้น ได้เกิดมีภาพนิมิตอันน่าเกลียดขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่น่าเอามาประจานขายขี้หน้ากิเลสให้กับท่านผู้อ่านได้รู้บ้าง บางทีอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้เห็นโทษของกิเลสจำพวกนี้แล้วจะได้ระวังสังวรต่อไป ภาพนั้นปรากฏเป็นหญิงวัยกลางคนซึ่งเมื่อปรากฏขึ้นเราก็จำได้ชัดเจน

เพราะเมื่อราว ๕-๖ ปีล่วงมาแล้วเราได้เห็นเขาแล้วเขาก็ได้อุปัฏฐากเราด้วยเจตนาศรัทธาอันจริงใจ เรานึกว่าเขาเป็นคนดีมีศีลธรรม สุภาพเรียบร้อยน่าคบ สมเป็นอุบาสิกาในพระพุทธศาสนาโดยแท้ ส่วนรูปร่างเราก็เห็นว่าเป็นธรรมดาอย่างสามัญชนหญิงทั่วไป จากนั้นแล้วเราก็ไม่นึกคิดอะไรอีก นอกจากจะระลึกถึงอุปการคุณของเขาตามวิสัยของพระผู้มีชีวิตเนื่องด้วยคนอื่น

ขณะที่ปรากฏภาพของเขามานั่งแอบสนิทเคียงข้างขวาอยู่นั้น ภายในใจของเราในขณะนั้น มันให้รู้สึกว่าเป็นกันเองนี่กระไร ทั้งตัวเราและตัวเขาดูเหมือนว่าเคยได้อยู่กินร่วมกันมานานเป็นสิบๆ ปี แต่หาได้มีความใคร่กำหนัดอะไรไม่ เราตกใจออกจากภาวนาแล้วตรวจดูจิตของตนก็ไม่มีสัญญาอารมณ์ในเรื่องนั้น แล้วก็ลืมไม่เคยนึกถึงเลยตั้ง ๕-๖ ปีมาแล้ว ทำไมถึงมาเป็นเช่นนี้ได้ เมื่อมาพิจารณาไปๆ ก็มารู้เรื่องของกามกิเลสนุสัยที่มันจมดิ่งอยู่ในก้นทะเลลึกจนเหลือวิสัยของผู้ประมาทแล้วจะตามจับตัวมันได้

- ผู้มีปัญญา แต่ขาดศรัทธา ความเพียร แลความอดทนกล้าหาญ ก็ไม่สามารถจะค้นคว้าจับเอาตัวของมันออกมาประจันหน้าได้

- ผู้มีศรัทธา มีความเพียรกล้าหาญแต่ขาดปัญญา ก็ไม่สามารถจะประหารมันได้เหมือนกัน

- ผู้มีศรัทธา มีความเพียรด้วย และมีความอดทนกล้าหาญประกอบด้วยปัญญา ประกอบความเพียรรักษาความดีนั้นๆ ไว้ติดต่อกันอย่าให้ขาด นั่นแลจึงสามารถขจัดกิเลสานุสัยให้หมดสิ้นไปได้


แล้วเรายังพิจารณาต่อไปอีกว่า นักภาวนาผู้ได้ฌานทั้งหลาย กามกิเลสมันลวงให้ตกหลุมลึกด้วยเหตุนี้เอง กล่าวคือเมื่อปรากฏภาพนิมิตดังกล่าว ก็เลยถือเอาเป็นจริงเป็นจังว่า เคยเป็นบุพเพเสน่หาสันนิวาสแต่ชาติก่อน แล้วก็เกิดความเอ็นดูสงสารกำหนัดรักใคร่เป็นไปตามสายของมัน จนกระทั่งเสาะแสวงหาภาพนั้น แล้วก็เล่าความจริงในสิ่งที่ไม่น่าเล่าสู่กันฟัง ไฟฟ้าสายคู่ไฟมันเดินอยู่แล้ว แม้โลหะของแข็งเมื่อเข้าใกล้กันแล้วไหนจะทนอยู่ได้ จำจะต้องดึงดูดสัมพันธ์ให้เข้าหากันจนได้

เรื่องในทำนองนี้นักภาวนาโดยเฉพาะพระ บางทีถึงขนาดเป็นคณาจารย์ก็เคยตกหลุมทะเลลึกมากต่อมากแล้ว เมื่อเห็นภาพปรากฏเช่นนั้นแทนที่จะกลัวเห็นเป็นภัยอันน่ากลัว แล้วจับเอาอาวุธลุกขึ้นต่อสู้เพื่อชิงชัย กลับไปสวามิภักดิ์ข้าศึกอย่างน่าเสียดาย พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนแต่ได้เกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องหรือเป็นผัวเป็นเมีย แลเป็นญาติซึ่งกันและกันทั้งนั้นไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง บางทีเนื้อไก่และสุกรที่เราบริโภคนี้อาจเป็นเนื้อบิดามารดาของเราก็ได้ เพราะคนเรายังมีกิเลสอยู่ยอมตายแล้วเกิดตายแล้วเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน นับประสาอะไรเมื่อมาเห็นภาพปรากฏยั่วยุเพียงครั้งเดียวแล้วตามมันไป

ไหนๆ ก็ได้ประจานขายขี้หน้าข้าศึกมารร้ายมาแล้ว จึงขอนำเอามาเล่าอีกสักเรื่อง คือ มีหญิงสาวสวยคนหนึ่ง ซึ่งเขาและญาติพ่อแม่ก็เคารพนับถือเรามาก และเราก็ได้สงเคราะห์ด้วยการอบรมศีลธรรม โดยเฉพาะก็อยากให้เขาเห็นโทษในภาวะเป็นหญิง แล้วรักษาพรหมจรรย์ให้ตลอดชีวิตสมตามเจตนาของเรา แต่เหตุการณ์หาได้เป็นอย่างนั้นไม่ เขากลับยอมทำความชั่วเสียตัว เมื่อมารู้สึกแล้วเสียใจร้องไห้

เราบังเอิญไปรู้เรื่องนั้นเข้า แล้วเกิดความเบื่อหน่ายอย่างยิ่งในความใจเบาของหญิง จากนั้นมาตัวเขาเองทั้งเคารพและละอายเรามาก เราได้แต่คิดว่าอะไรหนอๆ ทำไมจึงได้เป็นไปถึงเพียงนั้น มองดูตัวเขาแล้วดูเหมือนเป็นรูปคนแต่ร่าง ส่วนใจเป็นสัตว์ดิรัจฉานไปเลย ยิ่งคิดคำนึงถึงเรื่องนั้นขึ้นมาแล้ว มันทำให้เบื่อหน่ายผู้หญิงคนนั้น ขนาดคลื่นไส้แทบอาเจียนออกมาเลย

อาการเช่นนั้นเป็นอยู่นานปี คำนึงเรื่องนั้นขึ้นมาเมื่อไรก็ให้เกิดอย่างนั้น เบื่อหน่ายแบบนี้ซึ่งเราไม่เคยเป็นมาแต่ก่อน แล้วก็มิใช่เป็นทางมรรคปฏิบัติแน่ แต่มันได้เกิดเป็นมาแล้ว ภายหลังเรามาคิดถึงโทษของตัวกามว่ามันร้ายกาจถึงเพียงนี้ เมื่อมันเกิดขึ้นในสันดานของใครเว้นพระอรหันต์และสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะมีศีลธรรมหรือเป็นอันธพาล แม้แต่ท่านผู้ได้ฌานสมาบัติแล้วก็ตาม มันจะต้องใช้อำนาจขม้ำเอาเป็นเหยื่อของมันถ่ายเดียว โดยปราศจากเมตตาปรานีเอาเสียเลย เหมือนเสือตะครุบลูกสุนัขอันไม่มีทางต่อสู้กินอย่างใจเย็น


แล้วทำให้เอ็นดูผู้หญิงคนนั้นว่า แท้จริงตัวเขาเองก็ยังตั้งใจหวังดีต่อความดีอยู่ แต่ตัวกามกิเลสนั้นสิมันร้ายกาจมาก ใช้อำนาจขม้ำ ไม่เลือกหน้าใคร จึงน่าตำหนิตัวกามอย่างยิ่งแลไม่น่าให้อภัยในที่ใดๆ ทั้งนั้น แล้วเกิดสงสารผู้หญิงคนนั้นเป็นกำลัง

ผู้ที่ยังตกอยู่ในห้วงของกามโอฆะแล้วจะต้องมาเกิดในกามภพอันนี้ กามภพหรือกามภูมินี้เป็นที่บำเพ็ญบารมีของผู้ต้องการความเจริญก้าวหน้าด้านจิตใจก็ได้ เป็นสนามต่อสู้ของผู้ต้องการชิงชัยก็ได้ หรืออาจเป็นหลุมฝังศพของพวกอันธพาลก็ได้ กามภพหรือกามภูมิอันนี้มีทรัพยากรธรรมชาติทั้งภายนอกและภายในครบเสร็จสรรพ เป็นแหล่งของผู้มีปัญญาสามารถหามาใช้เป็นประโยชน์ได้ตามต้องการ

ต้นไม้ในป่าไม่มีแล้วจะไปหารากยามาจากไหน หมอไม่มีรากยาก็หาประโยชน์ไม่ได้ รากยามีหมอก็มีแต่คนไข้ไม่ยอมรักษาหรือรับประทานยาโรคก็ไม่หาย ผู้เห็นคุณในกามภพแล้วเพลิดเพลินอยู่ในกามทั้งหลาย เรียกว่า กามคุณ ผู้ได้รับพิษสงของกามทั้งหลายเห็นเป็นภัยอย่างร้ายแรง เรียกว่า กามโทษ ผู้สละกามได้ทั้งหมดเรียกว่า เนกขัมมะ

ทีหลังเราได้กลับมาอยู่ที่เดิม เปลี่ยนให้ท่านอ่อนสีไปอยู่ที่เราอยู่ คราวนี้เราได้ผจญภัยกับเสืออย่างจังเลย คือคืนวันหนึ่งเสือได้มาตะครุบกินควายริมกุฏิเรานั้นเอง เราได้เคาะไม้ช่วยไล่ทั้งตะโกนแรงๆ ด้วย แต่เสือก็ไม่ยอมปล่อย ลากไปกินจนได้ คราวนี้เราไม่กลัว แต่ไม่กล้าออกมาช่วยควายได้ เพราะกลัวมันจะขม้ำเราเข้าไปอีกคน

เราสองคนอยู่บำเพ็ญเพียร ณ ที่นั้นพอสมควรแล้ว ก็ย้ายไปตามหมู่บ้านมูเซอซึ่งอยู่ตามแถวนั้นโดยลำดับ

เมื่อปลูกศรัทธาปสาทะเขาพอควรแก่เวลาแล้วจึงได้กลับลงมาทางอำเภอพร้าว แล้วเที่ยวไปทางอำเภอเชียงดาว วกกลับมาทางอำเภอแม่แตง

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2015, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๓. พรรษา ๑๕ จำพรรษาที่บ้านโป่ง อำเภอแม่แตง (พ.ศ. ๒๔๘๐)

บ้านโป่งเป็นสำนักที่ท่านอาจารย์มั่นเคยไปจำพรรษาแล้ว เจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ก็เคยไปพักบ้านนี้ ญาติโยมนับว่าฉลาด เข้าใจธัมมะธัมโมได้พอสมควร ปีนี้เราจำพรรษาด้วยกัน ๕ รูป คือ อาจารย์บุญธรรม ๑ พระเขื่อง ๑ พระเมืองเลย ๑ (จำชื่อไม่ได้) พระอาจารย์ชอบ ๑ และเรา

เราเป็นหัวหน้าได้เลือกสรรอุบายต่างๆ มาเทศน์อบรมหมู่เพื่อนเพื่อให้ได้หลักธรรมปฏิบัติแน่นแฟ้นมั่นคง เป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ต่อไป ในหมู่นั้นท่านอาจารย์ชอบเป็นผู้เคร่งในธุดงค์กว่าเพื่อน เป็นการหาได้ยากกัลยาณมิตรเช่นในพรรษานี้ เราเทศน์อบรมเกือบแทบทุกคืน ขณะที่เราเทศน์อบรมอยู่นั้นหมู่เพื่อนก็ตั้งนมสิการทำความสงบรับฟังด้วยดี

หลังจากเราอบรมแล้วได้เปิดโอกาสให้เพื่อนซักถามความข้องใจและออกความเห็นต่างๆ ในหมู่นั้น นอกจากท่านอาจารย์ชอบแล้ว ก็มีพระเขื่องเป็นผู้เก่งในด้านปรจิตตวิชา ใครจะมีอารมณ์อะไรข้องอยู่ภายในจิต หรือไปทำความผิดอันใดก็ตามพระธรรมวินัยแล้ว ทั้งสองท่านนี้จะต้องตามไปรู้เห็นทั้งนั้น ในหมู่นั้นผู้ที่น่าสงสารกว่าเพื่อนคือ ท่านอาจารย์บุญธรรม (เป็นชาวสุรินทร์) มีพรรษามากแต่ยังภาวนาไม่เป็น ทั้งสองท่านนี้จะตามไปรู้เรื่องอะไรต่ออะไรของท่านหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็มิใช่เป็นเรื่องที่น่าจะเป็นไปเสียด้วย

พอเพื่อนทักเข้าก็ยอมรับสารภาพโดยดี จนยอมลงกราบพระผู้อ่อนพรรษากว่าเสียด้วย ท่านทั้งน้อยใจและอับอายหมู่เพื่อนมาก แล้วก็ไม่เคยพบท่านอาจารย์มั่นเลย แต่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์สิงห์ อยากฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่นมาก โดยท่านสำคัญตัวว่าท่านมีความรู้พอ หากได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่นแล้วจะรู้เห็นธรรมโดยพลัน เราเคยเตือนท่านเสมอว่า ให้ระวังเมื่อเห็นและฟังเทศน์ของท่านแล้วจะเกิดความประมาทท่าน

ออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์มั่นได้ย้อนกลับมาหาพวกเราอีก ท่านอาจารย์บุญธรรมได้ฟังธรรมเทศนาของท่านอาจารย์มั่นเท่านั้นแหละ กลับตาลปัตรตรงกันข้ามเลย คือไม่พอใจในอุบายของท่านอย่างน่าเสียดาย ภายหลังท่านน้อยใจอย่างไรก็ไม่ทราบ ได้หนีจากหมู่ไปเที่ยววิเวกรูปเดียว แต่โชคไม่อำนวยไปเป็นไข้ป่ามาลาเรียขึ้นสมอง ท่านอาจารย์เหรียญไปเจอเข้าจึงได้หอบกันมา เลยมามรณภาพที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ โดยญาติและลูกศิษย์ไม่มีใครได้ไปปฏิบัติรับใช้

ส่วนเราและพระเขื่องเมื่ออยู่อบรมกับท่านอาจารย์มั่นพอสมควรแก่เวลาแล้ว ได้ขอลาท่านออกไปวิเวกตามลำแม่น้ำแตงขึ้นไป ได้ไปพักวิเวกอยู่ใกล้ป่าเมี่ยงเขาแห่งหนึ่ง พอไปถึงเราได้ให้พระเขื่องอยู่เฝ้าเครื่องบริขารที่วัดร้างเชิงเขา ส่วนเราได้ขึ้นไปหาที่พักบนเขา มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาเที่ยวเย้าหยอกกับผู้ชายหนุ่มๆ ที่อยู่ในนั้น พระเขื่องเห็นเข้าเกิดความกำหนัดอย่างร้ายแรง เรากลับลงมาจากที่พักเห็นอาการอย่างนั้น เราได้พยายามอบรมและให้อุบายต่างๆ นานา อันจะเป็นทางระงับอารมณ์นั้นแต่ก็ไม่ได้ผล

เรื่องนี้เราเข้าใจดีแล้วตั้งแต่เมื่อเธอจะมาอยู่ด้วยเราทีแรก เธอเล่านิมิตก่อนแต่เธอจะมาหาเรา ขณะที่เธออยู่อำเภอแม่สรวยกับท่านอาจารย์มั่นว่า เธอได้ทราบข่าวเราแล้วทำให้เกิดศรัทธามากอยากจะมาหาเราเธอได้นิมิตว่า ปรากฏเป็นถนนจากที่อยู่ของเธอตรงแน่วพุ่งมาหาเรา เธอได้เดินตามถนนมาถึงที่อยู่ของเราโดยราบรื่น หัวถนนจดเชิงบันกุฏิเราพอดี แล้วเธอเกาะบันไดขึ้นไปหาเราสูงมาก พอถึงได้กราบเราแล้ว เราได้มอบผ้าให้เธอหนึ่งไตร แต่เธอไม่ยอมรับ พอดีเหตุการณ์ได้มาตรงกับนิมิตของเธอพอดี เราเองก็หมดเยื่อใยในตัวเธอลงเพียงเท่านั้น

ตอนเช้าเมื่อฉันเช้าอยู่ เธอแสดงความโกรธให้เราด้วยเหตุเล็กน้อย พอตอนเย็นจึงเข้าไปหาเราแล้วได้แสดงโทษต่อเราและบอกว่า เย็นวานนี้มีผู้หญิงมาพูดเย้าหยอกกับผู้ชายหนุ่มให้เห็นแล้วจึงเกิดความกำหนัด จากนั้นภาวนาไม่ลงตลอดคืนเลย แล้วขอลาแยกทางเราเที่ยวไปตามลำพัง หลังจากนั้นมาราวสามเดือนได้เจอเธออีก เราได้ชักชวนให้เธอเริ่มต้นทำภาวนากันใหม่อีก หากตั้งใจทำกันจริงจังก็คงไม่เหลือวิสัยนา

ขอเริ่มทำกันใหม่อีกทีเถอะ แต่เธอก็ไม่ยอม ภายหลังทราบว่าเธอได้ลาสิกขาออกจากสมณเพศไปแล้วอย่างน่าเสียดาย เธอเป็นคนใจเด็ด ทำอะไรทำจริง มีทิฐิจัด แม้แต่ท่านอาจารย์มั่นเทศน์ก็ไม่ยอมลงด้วย เคยเป็นนักเลงโตมาแล้ว พอบวชก็หนีจากบ้านไปโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง บ้านเดิมเธออยู่บ้านน้ำก่ำ อำเภอธาตุพนม

อภิญญา ๖ เช่น ปรจิตตวิชา รู้จักวาระจิตของผู้อื่นนี้ เป็นต้น เป็นของอสาธารณ์ หาได้เกิดมีแก่ผู้ปฏิบัติทั่วไปไม่ บางท่านปฏิบัติเอาจนจิตละเอียดบริสุทธิ์สักเท่าไรๆ อภิญญาไม่เกิดเลยสักอย่างก็มี บางท่านปฏิบัติพอจิตรวมเป็นขณิกะ อุปจาระนิดหน่อยก็เกิดแล้ว สำหรับพระเขื่องคนที่ว่านี้ เธออบรมจิตให้สงบได้ดีมาก จะทำให้จิตสงบตลอดวันยังค่ำคืนยังรุ่งก็ทำได้

เธอเดินไปตามธรรดามันปรากฏในใจของเธอเหมือนกับเดินอยู่บนอากาศ หรือมิฉะนั้นก็เหมือนกับอยู่ใต้บาดาลโน่น เพราะจิตของเธอไม่ถอนออกจากสมาธิ แต่ไม่มีปัญญาพิจารณาพระไตรลักษณ์ เรียกว่า โลกิยอภิญญา เกิดจากโลกิยฌาน

นับประสาอะไรแต่พระเขื่อง พระเทวทัตขนาดเหาะเข้าช่องพระแกลไปปรึกษากิจการกับเจ้าชายอชาตศัตรูได้ ก็ยังเสื่อม

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2015, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๔. พรรษา ๑๖ จำพรรษาที่บ้านหนองดู่ อำเภอปากบ่อง (อำเภอป่าซางในปัจจุบัน) จังหวัดลำพูน (พ.ศ. ๒๔๘๑)

บ้านหนองดู่เป็นบ้านชาวมอญ พระที่วัดดู่เหมือนจะเคร่งครัดในวินัยพอควร แต่สมภารตามที่ชาวบ้านว่าท่านขลังพอดูเหมือนกัน ชาวบ้านจะไปในงานใด ท่านเสกน้ำมันงาให้เขากิน ให้ทาแล้วแทงไม่เข้า ตีไม่แตก คนแถบนั้นเมื่อเห็นชาวหนองดู่ไปในงานไหนแล้วต่างก็จะพากันจ้องจับตาดูกันเป็นแถว

ส่วนชาวบ้านได้อาจารย์ดีแล้วก็กำเริบไม่กลัวใครทั้งนั้น เคยมีบ้านแถบนั้นเขารวมหัวกันมีอาวุธครบมือยกขบวนมาล้อมบ้าน จะแก้แค้นเอาให้ตายหมดทั้งบ้าน ผู้ชายรู้ตัวพากันวิ่งเข้าไปในป่าหัวซุกหัวซุนต่างเอาตัวรอด สมภารอาจารย์ดีองค์นี้แหละอายุได้ ๘๐ ปีแล้ว ถูกพระกัมมัฏฐานเที่ยวธุดงค์มาขอพักอาศัยได้อบรมเอาเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างน่าอัศจรรย์เลยเกิดความเลื่อมใสยอมสละมานะทิฐิขอเป็นลูกศิษย์ท่าน

ภายหลังพร้อมกันทั้งวัดโดยการสนับสนุนของชาวบ้านด้วย ได้เปลี่ยนแปลงเป็นคณะธรรมยุต สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์) เมื่อครั้งเป็นพระญาณดิลก ไปรักษาการที่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ ได้ขอร้องให้เราไปเป็นสมภารวัดหนองดู่เป็นองค์แรก มีพระปลัดทองสุกเป็นรองสมภาร ในพรรษานี้พระมหาขันธ์หัดเทศน์เป็นปฐมฤกษ์ เป็นครูสอนปริยัติธรรมด้วย

ในพรรษานี้เรา ได้อบรมประชาชนให้เกิดศรัทธาปสาทะเข้ามารักษาศีลอุโบสถมากเป็นประวัติการณ์ บางบ้านปิดประตูบ้านแล้วพากันมานอนรักษาศีลอุโบสถที่วัดหมดครอบครัวเลยก็มี ประเพณีคนมอญเด็กสาวๆ จะไม่มีการรักษาศีลอุโบสถเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับชายหนุ่ม ชายหนุ่มสึกจากพระแล้วจะเข้าวัดรักษาอุโบสถไม่ขาดเลย น่าชมเชยเขา

คนบ้านนี้ถึงแม้อาชีพเขาจะไม่ค่อยคล่องแต่เขาก็ศรัทธาดีมาก นอกจากนี้เรายังได้สอนให้เขามั่นอยู่ในพระไตรสรณาคมน์ ละมิจฉาทิฐิถือผีเสีย ได้มีผู้เห็นดีเห็นชอบด้วยพากันยอม แล้วเราจำเป็นจะต้องเดินทางกลับภาคอีสานเสีย จึงเป็นอันยุติไว้เพียงเท่านั้น

สละผีมอญ มาขอรับเอาพระไตรสรณาคมน์เป็นสรณะแทนเป็นจำนวนมาก แต่ออกพรรษา ความเป็นเศรษฐีมีจนคนอนาถาก็มิได้เป็นอุปสรรคแก่การจับจ่ายอริยทรัพย์ของผู้มีศรัทธาปัญญา ฉะนั้น อริยทรัพย์จึงเป็นของมีคุณค่าเหนือกว่าทรัพย์ทั้งปวง

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2015, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๕. พรรษา ๑๗-๒๕ จำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี ท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย (พ.ศ. ๒๔๘๒-๙๐)

ก่อนจะกลับเราได้ไปกราบนมัสการลาท่านอาจารย์มั่น ซึ่งได้จำพรรษาอยู่ ณ ที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ตามคำขอร้องของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เช่นเดียวกัน แล้วเราได้อาราธนาให้ท่านกลับภาคอีสานอีกวาระหนึ่ง คือก่อนเข้าพรรษาเราได้อาราธนาท่านครั้งหนึ่งแล้ว ท่านก็ปรารภว่า เจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ก็มีหนังสือมานิมนต์เหมือนกัน แท้จริงเราได้เคยทาบทามท่านเห็นมีทีท่าท่านจะกลับ เราจึงได้มีหนังสือแนะให้เจ้าคุณพระธรรมเจดีย์มีหนังสือมานิมนต์ท่าน

เมื่อเราย้ำว่า แล้วท่านอาจารย์จะกลับไหม ท่านบอกว่า ดูกาลก่อน แล้วกราบเรียนท่านว่า ผมขอลากลับละ เพราะมาหาวิเวกทางนี้ก็เป็นเวลานานพอสมควร จะดีชั่วขนาดไหนก็พอจะพิสูจน์ตัวเองได้แล้ว

แล้วเราก็ได้มีจดหมายเรียนท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์อีกฉบับหนึ่ง การเดินทางกลับครั้งนี้เขาให้เด็กคนหนึ่งมาเป็นเพื่อน ส่วนท่านอ่อนสียังอยู่ติดตามท่านอาจารย์มั่นต่อไป เมื่อกลับมาถึงท่าบ่อ จังหวัดหนองคายแล้ว เราตั้งใจจะอบรมหมู่เพื่อนให้เคร่งในด้านปฏิบัติ แต่ก็ทำมาได้ราว ๓-๔ ปี ได้ผลราว ๒๐-๓๐% ควบคู่กันไป พร้อมกันนี้เราได้นำหมู่ไหว้พระสวดมนต์ประจำ หลังจากไหว้พระสวดมนต์แล้ว ได้ซ้อมสวดมนต์ทั้งมคธสังโยคและร้อยแก้วทั้งปาฏิโมกข์ก็สวดต่อท้ายสวดมนต์ประจำ เราผลิตนักสวดได้มากทีเดียว เราเห็นคุณประโยชน์ประจักษ์แล้วจึงได้ทำเช่นนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้

อนึ่ง ขณะเราได้กลับมาอยู่วัดอรัญญวาสีได้ ๒ พรรษา คือระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๔๘๕ เราได้พาลูกหลานญาติโยมไปสร้างสำนักขึ้นที่ตะวันตก บ้านกลางใหญ่ ยังเป็นสำนักถาวรมีพระเณรอยู่จำพรรษาตลอดมาทุกปีมิได้ขาดจนกระทั่งทุกวันนี้ ปัจจุบันมีชื่อว่า วัดนิโรธรังสี ในระยะนี้ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์กำลังสนใจในกัมมัฏฐานและในตัวของท่านอาจารย์มั่นมาก

แท้จริงเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์เมื่อเป็นสามเณรก่อนจะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก็เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่นมาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้สนใจในธรรมปฏิบัติ หลังจากนั้นมาก็เห็นจะเป็นครั้งผูกพัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์นั้นกระมังที่ท่านได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์ทั้งสอง

มาตอนนี้ท่านสนใจมากถึงกับถามปฏิปทาและนิสัยใจคอของท่านอาจารย์ทั้งสองกับเราเสมอ บางครั้งยังให้เราแสดงธรรมที่ได้ยินได้ฟังมาจากท่านทั้งสองให้ฟังอีกด้วย เมื่อเรานำเอาธรรมของท่านอาจารย์มาแสดง รู้สึกว่าท่านตั้งใจฟังโดยความเคารพสงบนิ่งอย่างน่านับถือมาก

ภายหลังท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ได้ให้อาจารย์อุ่น ธัมมธโร ไปนิมนต์ท่านอาจารย์มั่นที่เชียงใหม่ แต่ก็ไม่เป็นผล ไปเล่าเรื่องฉันเจ (มังสวิรัติ) ให้ท่านฟังจนเป็นเหตุให้หมู่คณะทะเลาะแตกแยกกัน ท่านอาจารย์มั่นบอกว่า พระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่ทะเลาะกันเพราะเรื่องกินเรื่องขี้ดอก อะไรพวกเราจะมาทะเลาะกันเพราะเรื่องพรรค์นี้ เมื่อเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ฯ ลงไปกรุงเทพฯ ด้วยกิจคณะสงฆ์ พอเสร็จแล้วท่านจึงเลยไปเชียงใหม่แล้วนิมนต์ด้วยตนเอง ท่านอาจารย์มั่นบอกว่า เออ! อย่างนี้ซิ นิมนต์ด้วยหนังสือใหญ่ (คือนิมนต์ด้วยตนเอง)

เรามีโอกาสได้จำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี ท่าบ่อ เป็นเวลานานครั้งแรกถึง ๙ ปี เป็นประวัติการณ์ในชีวิตของการบวชมา เมื่อก่อนเราไม่สนใจในการก่อสร้างเพราะถือว่าเป็นเรื่องยุ่ง และไม่ใช่กิจของสมณะ ผู้บวชจำต้องประพฤติเฉพาะสมณกิจเท่านั้น เมื่อเราได้มาอยู่ ณ ที่วัดนี้แล้ว มองดูเสนาสนะที่อยู่อาศัยล้วนแล้วแต่เป็นมรดกของครูบาอาจารย์ได้ทำไว้ให้เราอยู่ทั้งนั้น แล้วมาคิดค้นถึงพระวินัยบางข้อ ท่านอนุญาตให้บูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะได้ แล้วเกิดความละอายแก่ใจว่า เรามานอนกินของเก่าเฝ้าสมบัติเดิมของครูบาอาจารย์แท้ๆ


ต่อจากนั้นจึงได้เริ่มพาญาติโยมทำการก่อสร้างมาจนกระทั่งบัดนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามไม่ว่า ณ ที่ใดๆ เราไม่เคยทำการเรี่ยไรมาก่อสร้างเลย ละอายแก่ใจมาก มีก็ทำ ไม่มีก็ไม่ทำ แล้วก็ไม่ยอมติดในงาน ถึงงานไม่เสร็จ เมื่อทุนไม่มีเราทิ้งได้โดยไม่มีเยื่อใยเลย เรามาอยู่ ณ ที่นี่ได้พาญาติโยมทำการก่อสร้างกุฏิใหม่สองหลัง และศาลาการเปรียญหนึ่งหลัง แล้วก็หลังเล็กๆ อีกหลายหลัง จำเดิมแต่เราออกเที่ยวรุกขมูลมาไม่เคยจำพรรษาที่เก่าถึง ๓ ปีสักทีเพิ่งมาอยู่นานที่ท่าบ่อนี่เอง

จะเป็นเพราะเราอยู่นานหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ภายหลังโรคเส้นประสาทของเรากำเริบ แต่เราก็กัดฟันอดทนอยู่มาเพื่อหวังประโยชน์แก่หมู่คณะซึ่งต้องการอยากจะศึกษาในธรรมปฏิบัติ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านเกต (พี่ชาย) ได้มาอยู่จำพรรษาด้วย แล้วท่านได้มามรณภาพเสียในกลางพรรษานั้นเองด้วยโรคไส้ติ่ง แต่อุปสมบทมาท่านมีพรรษาได้ ๑๔ พรรษา อายุ ๔๘ ปี ท่านเกต (พี่ชายคนติดกัน) นับแต่บวชมาไม่เคยจำพรรษาด้วยกันสักที ปีนี้ได้มาอยู่ด้วยกัน

ดูเหมือนจะเทพนิมิตสังหรณ์อะไรไม่ทราบ พอมาอยู่ด้วยเราก็ไม่ได้เทศนาสั่งสอนญาติโยมอะไร ให้อยู่ภาวนาทำความเพียรสบายๆ ในพรรษานี้ เราเป็นโรคประสาทอย่างร้ายแรง ขนาดเทศนาอบรมญาติโยมอยู่บนธรรมาสน์ ไม่รู้ตัวเลยว่าเราพูดอะไรต่ออะไร แต่ก็พูดได้ เมื่อพูดจบแล้วถามญาติโยมผู้ฟังว่า เราพูดอะไร ได้ความไหม เขาก็ตอบว่า ได้ความดีอย่างเดิมไม่ผิดแปลกอะไร

วันหนึ่งเราได้นิมิตฝันว่า เรากับท่านเกต (พี่ชาย) ได้เดินรุกขมูลไปในป่าด้วยกัน ไปถึงลำธารแห่งหนึ่งได้พากันเดินตามลำธารนั้นไป น้ำไม่ลึกเพียงสะเอว แต่เดินไปก็ไม่ปรากฏผ้าเปียก เราเห็นน้ำใสจืดสนิทดีอยากวักมาบ้วนปากดู จึงเอามือวักใส่ปากอมแล้วก็พ่นทิ้ง โอ้โฮ ที่ไหนได้ฟันในปากของเราหลุดออกมากับน้ำ ตื่นขึ้นมานึกว่าเป็นจริง พอคลำดูในปากจึงรู้ว่าเป็นความฝัน

เราไม่ค่อยเชื่อความฝันว่ามันเป็นจริงเป็นจัง ฝันเพราะเรารักษาจิตไม่ได้มันกวัดแกว่งหลับไป มันจึงฝันไปตามอารมณ์ของมัน ถ้าเรารักษาสติให้ดีแล้วจะไม่มีฝันเลย ถึงแม้ฝันก็รู้ตัวว่าเราฝันอยู่ แต่ลุกไม่ได้เพราะกายยังไม่เคลื่อนไหวเมื่อกายเคลื่อนไหวแล้วจึงลุกขึ้นได้ จิตไม่มีหลับ ที่ฝันคือจิตมันไม่หลับ มันส่งส่ายนั่นเอง

เมื่อเราไม่เชื่อในความฝัน คราวนี้นิมิตมาปรากฏให้เห็นด้วยตาใน (คือใจ) ก่อนถึงเดือนสิบเพ็ญซึ่งเขานิยมทำบุญกันตามประเพณี เรียกว่าบุญข้าวสลากภัต เราได้ป่วยล่วงหน้ามาก่อน ๔-๕ วันแล้ว ดังกล่าวมาข้างต้น คราวนี้เป็นหนักมากลุกไม่ได้ ลุกขึ้นก็อาเจียน นอนหลับตาอยู่พอลืมตามองเห็นท้องฟ้า มีเมฆเคลื่อนผ่านพระอาทิตย์ ก็เจ็บนัยน์ตาทำให้อาเจียน วันนั้นพอดีเป็นวันพระเราลงเทศน์ไม่ได้ เขาจึงนิมนต์ให้ท่านเกตลงเทศน์

ท่านเทศน์อยู่ชั่วโมงครึ่งจึงจบ ญาติโยมได้ยินแล้วพากันแปลกใจมาก ไม่นึกว่าท่านจะเทศน์ได้ถึงขนาดนั้น พอดีรุ่งเช้าขึ้นเราก็หายจากโรคประสาท แล้ววันนั้นเขานิมนต์เราไปประชุมในราว ๑๑ โมงเช้ามีคนไปบอกว่าท่านเกตปวดท้องเราจึงกลับมา เมื่อมาแล้วก็มองดูอยู่เฉยๆ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่มียา อนึ่งโรคนี้ท่านเคยเป็นมาสิบกว่าปีแล้ว บางทีฉันยาตามมีตามได้ก็หาย บางทีไม่มียาฉันมันก็หายเอง มีครั้งหนึ่งไปป่วยอยู่บ้านนาสีดา (บ้านเดิม) ๕ วัน ๕ คืน นอนไม่ได้ฉันไม่ได้ เวลาจะหายเอานิ้วมือล้วงเข้าที่ทวารหนัก มีอะไรไม่ทราบออกมาเป็นก้อนเล็กๆ สามสี่ก้อนจากนั้นก็หายเลย

ในสมัยนั้นการแพทย์แผนปัจจุบันยังเจริญไม่ทั่วถึง ปวดท้องก็หายาแก้ปวดท้องมากิน ไม่ทราบว่าไส้ติ่งเป็นอย่างไร ถ้าปวดท้องเพราอาหารเป็นพิษหรือของแสลงหรือท้องมีลมก็หายไป ถ้าเป็นไส้ติ่งอย่างนี้ก็ไม่หาย คนตายเพราะไส้ติ่งนี้นับไม่ถ้วน ท่านเกตปวดท้องครั้งนี้เป็นเรื่องไส้ติ่งโดยแท้และไม่มียา เจ็บเอาเหลือจะทนดิ้นคลั่กๆ แต่ไม่เคยได้ยินเสียงร้อง ในที่สุดพูดหลุดปากออกมาประโยคหนึ่งว่า อดทนไม่ไหวแน่ คิดว่าเดินจงกรมมันจะสบายบ้าง ให้พยุงขึ้นเดินจงกรม เดินไปได้ประมาณ ๔-๕ ก้าวเลยอ่อนพับลง

พระเณรที่เอาไปเดินเห็นอาการดังนั้นจึงเอามานอนลงที่เดิม เวลานั้นเราอ่อนเพลียมากเพราะดูกันเป็นเวลานานแล้ว จึงขออนุญาตจากเพื่อนไปพักผ่อน พอดีมีเณรไปเรียกว่า ท่านเกตอ่อนเพลียมากสลบลงเราจึงรีบมาดู เห็นนอนนิ่งเฉยๆ ไม่พูดอะไร เราเตือนสติอยู่ใกล้ๆ บอกว่าได้ยินไหม พูดว่าได้ยิน จนเวลาราว ๒ ทุ่มจึงมรณภาพไป

ท่านเกตเป็นคนอดทนอย่างยิ่ง ทั้งที่ยามปกติและยามโรคกำเริบ โรคมิใช่อย่างเดียว โรคไส้ติ่ง โรคนิ่ว และโรคมาลาเรีย โดยเฉพาะโรคไส้ติ่งนี้ เวลามันอักเสบเป็นตั้งหลายๆ วันจึงจะหายแต่ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใครเลย เวลาเป็นมาก็นอนนิ่งอยู่คนเดียว อาหารฉันได้ก็ฉัน ฉันไม่ได้นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปกติท่านก็ฉันน้อยอยู่แล้ว ฉันง่ายด้วย ฉันข้าวกับเกลือก็อยู่ได้ตั้งเป็น ๑๐ วันกว่าๆ ได้รับความยกย่องจากครูบาอาจารย์ทุกองค์ว่ามีความอดทนดีมาก

เราทำฌาปณกิจศพท่านแล้วออกพรรษาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ โยมมารดาก็มาเสียไปอีกคนหนึ่ง ในปีนั้นเขาเป็นโรคแผลเปื่อยกันทั้งบ้านทั้งเมือง โยมเราก็เป็นที่แข้งกับเขาบ้าง เขาเป็นพากันรักษาหายหมด โยมเราเป็นรักษาไม่หาย ยาอะไรดีๆ เขารักษาหายเราก็ไปเอามารักษา ก็ไม่หาย เปื่อยจนกระทั่งเนื้อหนังหลุดออกยังเหลือแต่กระดูกแต่ไม่รู้สึกเจ็บ

เราอยู่จำพรรษาที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย โยมแม่ของเราป่วยอยู่ที่บ้านนาสีดา ตำบลกลางใหญ่ โรคที่ไม่เชื่อความฝันว่าจะเป็นจริงก็พลอยหายไปโดยฉับพลัน ในเมื่อฝันว่าฟันหลุดออกจากปาก พอรุ่งเช้ามาเราพยากรณ์ได้เลยว่าวันนี้เราจะต้องออกเดินทางแน่นอน กลับจากบิณฑบาตเห็นคนมารอท่าอยู่แล้ว บอกว่าโยมมารดาป่วยหนัก ใครจะหาว่าความฝันเป็นเรื่องเหลวไหลไม่เชื่อก็ตามใจ แต่เราเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ถ้าฝันว่าฟันหลุดออกจากปาก ไม่บิดาก็มารดาหรือพี่น้องคนใดคนหนึ่งจะต้องเจ็บหนักหรือถึงแก่ความตายแน่ ถ้ามิฉะนั้นก็คนใกล้ชิดสนิทคุ้นเคยกับเรา

เราได้พยาบาลโยมมารดาด้วยธรรมโอสถและยาภายนอกจนสุดกำลัง แต่สังขารมันแก่หง่อมเต็มที ได้ ๘๒ ปีแล้ว เอายาอะไรมาใส่รักษามันก็ไม่ทุเลา กินไม่ได้ มีแต่ทรุดลงๆ จนทนไม่ไหวร่วงโรยไปเหมือนใบไม้แก่ฉะนั้น แต่ด้านจิตใจ เราได้พยาบาลรักษาให้อยู่ในความสงบอย่างยิ่ง จนวาระสุดท้ายเกือบจะไม่มีลมแล้ว เราจึงหยุดให้สติ

เราได้ทำหน้าที่อุตมบุตรอย่างยิ่ง ในขณะที่ปกติอยู่ท่านถือเราเสมออาจารย์คนหนึ่ง ขัดข้องต้องการสิ่งใดปรึกษาหารือเรา เมื่อเราออกความเห็นให้ก็ยอมรับทั้งนั้น ยามป่วยไข้เราได้ให้สติ บางทีถึงกับไม่ต้องรับประทานยาเลย ก็หายด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในคำสอนของเรา ตอนจะถึงแก่กรรมก็เหมือนกัน อาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นในคำสอนของเราก็ได้ทำให้ไม่เจ็บแผลที่ขา


:b44: หมายเหตุ : หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สอนเรื่องการกินเจ
เทศน์แก่พระอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่าน

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=42002

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2015, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๖. พรรษา ๒๖-๒๗ จำพรรษาที่เขาน้อย ท่าแฉลบ จังหวัดจันทบุรี (พ.ศ. ๒๔๙๑-๒๔๙๒)

ภูเขาลูกนี้ก่อนที่เราจะไปอยู่ เราได้ภาพนิมิตแล้วตั้งแต่อยู่วัดอรัญญวาสี อำเภอท่าบ่อ แต่เราก็ไม่ยักเชื่อว่ามันจะมีเช่นนั้น อนึ่งภูเขาลูกนี้มันไม่น่าจะวิเวกเลย เพราะเป็นภูเขาเล็กๆ อยู่กลางทุ่งมีหมู่บ้านอยู่รอบเชิงเขา แต่เป็นที่แปลกใจมากๆ ไม่ว่าใครจะเป็นพระเป็นเณรหรือแม้แต่คฤหัสถ์ชาวบ้าน เมื่อมาอบรมภาวนา ณ ที่นั้นแล้วจะได้รับผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ทุกๆ คนไปไม่มากก็น้อยตามกำลังของตนๆ

ที่น่าแปลกที่สุดก็คือ มีตาแก่คนหนึ่งอายุ ๗๐ กว่าปีแล้ว อาศัยเขาอยู่ แกเป็นนักดื่มเมาเป๋ตลอดวัน เขาจ้างให้แกไปอุปัฏฐากพระประจำ ให้เดือนละ ๕๐ บาท แกไม่ยอม พอเราไปอยู่แกเกิดศรัทธาเลื่อมใสไม่ต้องจ้าง แกมาภาวนากัมมัฏฐานเกิดภาพนิมิตให้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ ละสุราเข้ามารักษาอุโบสถได้

ชาวบ้านใครๆ ก็นิยมนับถือแก เข้าบ้านใคร ร้านไหน เขาให้อาหารแกกินฟรีๆ ไม่ต้องซื้อ แกยิ่งเห็นอานิสงส์มากขึ้นและปฏิบัติพระตลอดมา ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ คนใบ้ที่ท่าแฉลบนั้นเองนี่ก็อาศัยอยู่กับเขาเหมือนกัน เราได้สอนภาษาใบ้ให้เขารักษาอุโบสถและภาวนาจนเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจของเขา แล้วเขาได้สอนคนอื่นด้วยภาษาใบ้ ให้เห็นโทษของการดื่มสุรา

เขาภาวนาอยู่ที่บ้านยังสว่างเห็นตัวของเราที่อยู่วัดเลย เวลานี้คนคนนี้ได้ข่าวว่ายังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ได้สร้างวัดเฉพาะส่วนตัวอยู่ ได้นิมนต์พระไปอยู่และปฏิบัติด้วยตนเองด้วย

ส่วนตัวของเราเองก็รู้สึกแปลกมาก คือค้นธรรมที่ไม่เคยคิดและรู้ธรรมที่ยังไม่เคยรู้ ลำดับอุบายและแนวปฏิบัติได้ละเอียดถี่ถ้วน จนวางแนวปฏิบัติได้อย่างเชื่อตนเอง จึงได้เขียนหนังสือส่องทางสมถะวิปัสสนาเป็นเล่มแรก

เราอยู่บำเพ็ญเพียร ณ ที่นั้นสองพรรษาตามที่เราได้กำหนดเอาไว้พอดี พรรษาสองออกพรรษาแล้วได้ข่าวการอาพาธของท่านอาจารย์มั่น เราจึงจากเขาน้อยไปด้วยการระลึกถึงคุณของเขาลูกนี้อย่างยิ่ง เราได้ไปเยี่ยมอาการไข้ของท่านอาจารย์มั่นจนท่านมรณภาพ แล้วทำฌาปนกิจศพของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เราไม่ได้กลับไปอีกทั้งๆ ที่มีผู้ปวารณาจะให้อุปการะแก่เราอย่างดียิ่งถ้ากลับไปอีก เป็นแต่ได้ส่งพระไปรอท่า ด้วยความไม่แน่นอนของเรา

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2015, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


๒๖.๑ ความวิตกของผู้คิดมาก

หลังจากฌาปนกิจศพของท่านอาจารย์มั่นแล้ว เรามารำพึงถึงหมู่คณะว่า เมื่อก่อนเรามีหมู่คณะยังไม่มากและยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนกว้างขวาง อนึ่งพระผู้ใหญ่ที่เป็นร่มเงา เช่น เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ก็ยังมีเป็นที่พึ่งอาศัยอยู่ หากมีเรื่องเกี่ยวข้องทางคณะสงฆ์ท่านก็รับเอาเป็นภาระเสีย

เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) ก็รับภาระแทน เมื่อท่านนั้นมรณภาพไปแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ก็เป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของพระผู้ใหญ่เป็นอันมาก เวลานี้ท่านอาจารย์มั่นก็มามรณภาพไปเสียแล้ว คงยังเหลือแต่พวกเราในคณะของพวกเรานี้ก็ไม่กี่องค์ที่พระผู้ใหญ่รู้จัก และจะรับเอาภาระของหมู่คณะอย่างจริงจัง

ต่อไปนี้พระคณะลูกศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ก็นับวันแต่จะเป็นที่รู้จักของคนเป็นอันมาก (แต่เรามันโง่ไปหารู้ไม่ว่าท่านที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ ณ บัดนี้ต่อไปท่านก็จะเป็นพระผู้ใหญ่ และมีความสามารถด้วยกันทั้งนั้น ความวิตกนี้มันอาจจะเลอะเลือนไปก็ได้) อย่าเลยถ้ากระนั้นเราจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หากมีโอกาสจะได้สังสรรค์กับพระผู้ใหญ่ เพื่อฟังมติและอุบายของท่านเหล่านั้นว่า ท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างในหมู่คณะของพวกเรา


เราได้ออกเดินมาพักที่วัดบ้านจิก อุดรฯ เมื่อเราได้มาพักรวมกันกับอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พักวัดทิพยรัตน์ (วัดบ้านจิก) ที่อุดรฯ ท่านอาจารย์อ่อนเข้าใจว่า เราหนีหมู่คณะเอาตัวรอด เราชี้แจงข้อเท็จจริงให้ท่านฟังทุกประการ ท่านจึงเข้าใจความหมายของเรา อนึ่งในพรรษานี้ได้ทราบว่า ท่านอ่อนเองก็ได้ไปจำพรรษาที่ถ้ำเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีเหมือนกัน ไม่ทราบว่าท่านจะเข้าใจในคำพูดของเราอย่างไรก็ไม่ทราบ

เมื่อเราเข้าไปกรุงเทพฯ แล้วก็ได้มีโอกาสเข้าไปกราบนมัสการพระเถระหลายรูป แล้วก็ได้รู้และเข้าใจในทัศนะของท่านแต่ละรูปที่มีต่อคณะของพวกเราพอสมควร อันเป็นเหตุให้เรามั่นใจในตัวของตนเองและหมู่คณะเป็นอย่างดี แต่เรายังต้องการอยากจะชมปฏิปทาและแนวปฏิบัติของสำนักที่มีชื่อเสียงต่างๆ เช่น ที่ราชบุรีและเพชรบุรี เป็นต้น

เราจึงได้ออกเดินทางไปขอพักเพื่อศึกษาในสำนักนั้นๆ จนกระทั่งถึงจังหวัดสงขลา ขณะนั้นพระขุนศิริเตโชดม (อำพัน) ซึ่งเคยเป็นอดีตนายอำเภอ แล้วก็เคยอยู่ด้วยเรามาแล้ว เธอไปเผยแพร่พระธรรมปฏิบัติทางภูเก็ต พังงา ภายหลังมีพระมหาปิ่น ชลิโต (พระครูวิโรจน์ธรรมาจารย์) เป็นชาวนครปฐม ซึ่งไม่ใช่คณะของเราไปช่วยประโคมเข้าอีกหนึ่งแรง ทำให้ผู้คนตื่นเต้นแลเอิกเกริกจนเลยขอบเขต

เป็นเหตุให้เกิดความแตกร้าวเป็นกลุ่ม เป็นก๊ก พระมหาปิ่นคุมสถานการณ์ไว้ไม่อยู่และหมู่ก็ไม่มี เมื่อเธอได้ทราบข่าวว่าเรามาอยู่ที่สงขลา เธอจึงได้ไปขอร้องให้คณะของเราไปช่วยแก้ไขสถานการณ์

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 75 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร