วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2013, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หนังสือเรื่อง "ธรรมะชาวบ้าน"
โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


คลิก Link เพื่อดาวน์โหลด

http://www.kallayanatham.com/book/LTbua4.pdf


หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนประสงค์ให้เป็นธรรมทาน
แก่พุทธบริษัทและผู้สนใจทุกท่านอย่างแท้จริง
ฉะนั้น หากท่านใดหรือคณะใด
มีความประสงค์จะนำไปพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน
โดยไม่มีการเรียกร้องหรือขอรับค่าตอบแทน
ไม่ว่าในรูปแบบใดทั้งสิ้นก็ให้กระทำได้
โดยมิต้องขออนุญาตผู้เขียนแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับหนังสือเล่มอื่นๆ ทุกเล่ม
ที่ผู้เขียนได้เขียนหรือเรียบเรียงขึ้น
และได้พิมพ์แจกจ่ายไปแล้ว

แต่หากเป็นการพิมพ์เพื่อจำหน่ายหรือมีค่าตอบแทน
ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ทุกๆ เล่มดังที่ได้ถือปฏิบัติมาโดยตลอด
ทั้งนี้ด้วยเจตนาที่จะเทิดทูนพระศาสนาและครูอาจารย์
ตามกำลังด้วยความบริสุทธิ์ใจ

พระอาจารย์บัว ญาณสัมปันโน

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2015, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ทาน

คำว่า ทาน การเสียสละ
แบ่งปันสมบัติเงินทอง เรี่ยวแรง วิชาความรู้
ตลอดจนอุบายและความคิดเห็นต่างๆต่อกัน
นี้เป็นเรื่องประทับใจแก่ผู้ได้รับอย่างจับใจ
ซาบซึ้งและสนิทติดใจ ไม่มีวันหลงลืมตลอดกาล
แลยังเป็นเครื่องหมายที่หวังฝากชีวิตจิตใจ
ฝากเป็นฝากตาย ด้วยความเชื่อถืออย่างฝังใจอีกด้วย



ศีล

ศีล มีอำนาจกำจัดความประพฤติที่ไม่ดี
ทางกาย วาจา ให้สะอาด
กลายเป็นความประพฤติเรียบร้อย
สวยงาม ทางกาย วาจา ใจ

คนที่มีศีล พูดมีที่จบลง
มีสาระแก่นสารในคำพูด
พูดมีเหตุมีผล



ภาวนา

การภาวนา คือ วิธีอ่านตัวเรา
ให้รู้ความผิด ถูก ชั่ว ดี ได้อย่างถูกต้อง
ยิ่งกว่าผู้อื่นจะมาคอยชี้แจง
ความบกพร่องของเราให้เราทราบเสียอีก

ในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีกำจัด
หรือลดละความผิดของตัวที่เคยมีมา
และปิดกั้นสิ่งไม่ดีทั้งหลายมิให้เกิดขึ้นอีกต่อไปด้วย

"การไม่หัดอ่านตัวเองทำให้เกิดเรื่องยุ่งบ่อยๆ"

การภาวนานี้แลเป็นวิธีการ
ของผู้แสวงหาความสุขโดยถูกต้องอย่างแท้จริง
และเป็นวิธีที่ไม่หลอกลวงให้เกิดความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปในทางที่ผิด

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2015, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ความหมายของคำศัพท์

ท่านผู้อ่านควรศึกษาความหมายของคำศัพท์ที่ปรากฏอยู่นี้
ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนทั้งนี้เมื่ออ่านบทความคำสอนของท่านอาจารย์
จะได้เข้าใจบทความนั้นได้อย่างละเอียดถูกต้อง

กิเลส : สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด

เกสา-โลมา-นขา-ทันตา-ตโจ : ผม ขน เล็บ ฟัน และหนัง

ขันธ์ : กอง, พวก, หมวด, หมู่ ของรูปธรรม นาฒธรรม
แบ่งเป็น ๕ กอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ญาณ : ความรู้ ปรีชาหยั่งรู้ ปรีชากำหนดรู้ มี ๓ หมวด
หมวด ๑ : รู้ในอดีต-อนาคต-ปัจจุบัน
หมวด ๒ : หยั่งรู้ในอริยสัจแต่ละอย่าง หยั่งรู้กิจในอริยสัจ หยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจ
หมวด ๓ : คือ วิชชา ๓-ความรู้ที่ให้ระลึกชาติได้,
ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย, ความรู้ที่ทำให้อาสวะสิ้น

ตัณหา : ความทะยานอยาก ความปรารถนา มี ๓ คือ
๑.) กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม
๒.) ภวตัณหาความอยากเป็นนั่นเป็นนี่
๓.) วิภาวตัณหา ความอยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่

ไตรลักษณ์ : ลักษณะที่เป็นสามัญทั่วไป ๓ ประการ คือ
ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความมิใช่ตัวตน
(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

ธาตุ : คือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งดั้งเดิมมาผสมกันเข้า
มีจิตเป็นตัวการเข้ายึดเป็นเจ้าของ เลยเรียกว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคลไป

นิพพาน : การดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตตรธรรม
และเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา

บาป : สิ่งที่ทำให้จิตตกสู่ความชั่ว คือ ทำให้เลวลง ให้เสื่อมลง

บุญ : ความดี ความสุข ความประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ

พระปัจเจกพุทธเจ้า : เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าจำพวกหนึ่ง
ที่ตรัสรู้เฉพาะตัว มิได้สั่งสอนผู้อื่น

พระองค์ : (คำแทนเรียก) สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระอรหันต์ : ผู้กำจัดข้าศึก คือ กิเลสหมดสิ้นแล้ว

พระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน : บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น

ภพชาติ : การเกิดที่อยู่ในวัฏฏสงสาร

วัฏฏวน : การเวียนเกิด เวียนตาย

สมุทัย : เหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา

สามแดนโลกธาตุ : โลกทั้งสาม ได้แก่
๑.) กามภพ คือ ภพของเทวดาลงมา
๒.) รูปภพ คือ ภพของพรหมที่มีรูป
๓.) อรูปภพ คือ ภพของพรหมที่ไม่มีรูปหรือสวรรค์ มนุษยโลกและบาดาล

โสดาบัน : ผู้แรกถึงกระแสธรรม เป็นชื่อพระอริยบุคคลชั้นต้น

หลวงพ่อ, หลวงตา, อาจารย์ : พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
หรือพระธรรมวิสุทธิมงคล (คำแทนตัวองค์ท่าน)

ห้องพระ : เป็นห้องพิเศษจัดตั้งพระพุทธรูป เครื่องบูชา
และนิยมใช้เป็นที่สวดมนต์ภาวนาสงบจิตใจ ฯลฯ

อจลศรัทธา : [อะจะละ-] ศรัทธาที่ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลน

อริยสัจ : ความจริงของพระอริยะ ความจริงอันประเสริฐ,
ชื่อธรรมะสำคัญในพระพุทธศาสนา มี ๔ ข้อ คือ
๑.) ทุกข์
๒.) ทุกขสมุทัย (ที่เกิดแห่งทุกข์)
๓.) ทุกขนิโรธ (ความดับทุกข์)
๔.) มรรค (ทางแห่งความดับทุกข์)


อวิชชา : ความไม่รู้แจ้ง หมายถึง ไม่รู้แจ้งอริยสัจสี่ ความเขลา
ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

อายตนะ : ความสืบต่อ
อายตนะภายใน คือ หู-ตา-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ
อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องที่มาสัมผัส

อุบัติ : เกิดขึ้น เหตุให้เกิด

อุปาทาน : การยึดมั่นถือมั่น โดยนึกเอาเองว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ



:b45: สารบัญ

● คุณค่าของทาน-ศีล-ภาวนา
● บุญ-บาป
● อุบายวิธีทำให้จิตสงบ กิเลสสงบ (สติ-ปัญญา)
● อุบายวิธีการหลุดพ้น
● ธรรมะประทับใจบนศาลา
● หนังสืออ้างอิง
● บทส่งท้ายจากใจถึงผู้อ่าน

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2015, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

คุณค่าของทาน-ศีล-ภาวนา

พระพุทธเจ้าจึงสอนธรรมะนี้เพื่อให้เป็นคุณธรรม ให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า
เป็นเครื่องประดับมนุษย์ให้มีความสวยงาม สวยงามภายนอก สวยงามภายใน
เช่น ดอกไม้ทั้งสวยงามด้วย ทั้งกลิ่นหอมด้วย น่าทัดน่าทรงมาก

ธรรมเป็นทั้งแว่นดวงใจคอยส่องทาง
เป็นทั้งเครื่องป้องกันและเป็นทั้งโอชารสที่ปรากฏอยู่กับใจ
จะอยู่จะไปไม่ลำบากทรมาน มีแต่ความสุข อาจหาญ และสำราญบานใจ
ไปตามภพชาติที่ตนอุบัติและอยู่อาศัย

"ทาน ศีล ภาวนา" ธรรมทั้ง ๓ นี้เป็นรากแก้วของความเป็นมนุษย์
และเป็นรากเหง้าของพระศาสนา ผู้เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องเป็นผู้เคยสั่งสมธรรมเหล่านี้มา
อยู่ในนิสัยของผู้จะมาสวมร่างเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษยสมบัติอย่างแท้จริง

ผู้มีปัญญาได้เห็นธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนืองๆ ควรรีบทำเสีย

วิธีปฏิบัติเพื่อความสุขความเจริญเป็นขั้นๆ และประจักษ์ใจ คือ การอบรมภาวนา
คุณงามความดีอื่นย่อมเป็นเครื่องอุดหนุนกันไป ขึ้นชื่อว่าเป็น ความดี แล้ว
ต้องเป็นเครื่องหนุนกันไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดจากกุศลกรรมบถประเภทใด
รวมกันแล้วจะกลายเป็นกองบุญอันใหญ่โตเช่นเดียวกัน

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2015, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านซึ่งมีความมุ่งหวังในธรรมอย่างเต็มใจ
นำไปปฏิบัติดัดแปลงตัวเองตามฐานะ
ให้ถูกเข็มทิศทางเดินของธรรมในขณะที่มีชีวิตอยู่
แม้ถึงคราวจำเป็นทุกคนจำต้องเผชิญ
จิตจะมีหลักยึด ไม่รวนเรในทางผิด
ขึ้นชื่อว่า ความสุขความเจริญที่เรารำพึงรำพันถึงอยู่ทุกขณะจิตนั้น
จะกลายมาเป็นสมบัติเครื่องครองใจในภพของตนๆโดยไม่ต้องสงสัย

ทาน..ศีล..ภาวนา จึงเป็นทางข้ามแดนทุกข์ได้โดยสวัสดี

ผู้มีภาวนาเป็นหลักใจ จะทำอะไรชอบใช้ความคิดอ่านเสมอ ไม่เสี่ยง
และไม่เกิดความเสียหายแก่ตนและผู้เกี่ยวข้อง
การภาวนาจึงเป็นผลเพื่อในปัจจุบันและอนาคต

คนคึกคะนองยิ่งร้ายกว่านั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งบั่นทอนทั้งหญิงทั้งชายทำให้เสียไป
ถ้าต่างคนต่างประพฤติตัวให้ดีตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้แล้ว
ไม่มีอะไรจะร่มเย็นยิ่งกว่าครอบครัวของเราที่มีศีลธรรม

วิธีภาวนา ก็คือ วิธีสังเกตตัวเอง สังเกตจิตที่มีนิสัยหลุกหลิกไม่อยู่เป็นสุข
ต้องมีสติตามระลึกรู้ความเคลื่อนไหวของจิต โดยมีธรรมบทใดบทหนึ่งเป็นคำบริกรรม
เพื่อเป็นยารักษาจิตให้ทรงตัวอยู่ได้ด้วยความสุขและในขณะภาวนา

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


แท้จริง การภาวนา คือ วิธีแก้ความยุ่งยากลำบากใจทุกประเภท
ที่เป็นภาระหนักให้เบาและหมดสิ้นไป

ได้อุบายมาแก้ไขไล่ทุกข์ออกจากตัว
การอบรมใจด้วยการภาวนาก็เป็นวิธีหนึ่งแห่งการรักษาตัว
เป็นวิธีที่เกี่ยวกับ "จิตใจ-ผู้เป็นหัวหน้างาน" ทุกด้าน

ส่วนผู้ได้รับการอบรมจากศาสนาอย่างถึงใจแล้ว
ความประพฤติทั้ง ๓ ทวารย่อมกลมกลืนกับศาสนาได้อย่างสนิท

ร่างกายกับจิตใจต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ มีโทษต่างๆ
ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียน ไม่หวั่นไหว
ไม่มีเรื่องหลงหา-หลงขอ
คนที่หา-คนที่ขอต้องเป็นทุกข์
ขอเท่าไรยิ่งไม่มี ยิ่งอดยิ่งอยากยากเข็ญ

ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข
จักมั่งคั่ง บริบูรณ์-สมบูรณ์ ไม่อด-ไม่อยาก ไม่จน
ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์
จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา
(ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวร หมดภัย)

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2015, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อจิตมีความสงบเป็นอารมณ์สืบต่อกันโดยลำดับ
เรียกว่า จิตมีความตั้งมั่น ความดั้งมั่นของจิตเรียกว่า "สมาธิ"

สมาธิทั้งสาม คือ "ขณิกสมาธิ" จิตรวมอยู่ได้ชั่วครู่ชั่วขณะ
รวมได้นานกว่านั้นเรียกว่า "อุปจารสมาธิ"
รวมอยู่ได้ละเอียด แนบแน่นและอยู่ได้นาน เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ"
ในสมาธิทั้งสามนี้เป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนา

เราชาวพุทธ..เวลาจะเป็นจะตายก็เข้าห้องพระ
ระลึกถึง "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์"
แล้วกราบลงชั่วขณะหนึ่งก็เย็นใจ
นั่งภาวนารำพึงถึงความตาย ความได้ความเสีย
ความเป็นมาของตน ตลอดจนความที่จะเป็นไปข้างหน้า
จะได้มีอะไรติดเนื้อติดตัวของตนไปบ้าง


เวลานี้มีแต่ความหมุนเวียนไปตามอำนาจของกิเลส
ความหมุนมาเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อแก้ตนเอง
ถอดถอนตนเองให้หลุดพ้นจากสิ่งพัวพันทั้งหลาย
เหล่านี้มีหรือไม่มี..ก็ได้คำนึงในห้องพระบ้าง

สำหรับชาวพุทธเรา..ถ้าไม่ได้คำนึงอย่างนี้แล้ว
ก็ตายทิ้งเหมือนสัตว์นั่นแล

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2015, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


สมบัติในโลก..ไม่มีอะไรมีคุณค่ายิ่งกว่าตัวเรา
จงประคองรักษาด้วยดี


การปฏิบัติบูชาภาวนาเป็นสิทธิของบุคคลเรา
เราต้องการเร็ว เราก็ไปให้เร็ว เดิน-วิ่งให้เร็ว
ก็ถึงจุดหมายปลายทางเร็ว

ถ้ามัวช้า เก็บดอกไม้ข้างทางอยู่
ดอกนั้นก็สวย ดอกนี้ก็สวย
เลยไปไม่ถึงไหน..อยู่แค่นั้นแหละ

เมื่อจิตก้าวสู่ความสงบ คือ สมาธิแล้ว
อย่าพึงติดความสงบ คือ สมาธิ
เมื่อพิจารณาธรรมทั้งหลายก็อย่าให้เกินกว่าเหตุ

ให้มีเวลาพักเข้าความสงบบ้าง
เพื่อเป็นกำลังหนุนปัญญาให้คมกล้าแก่การตัดฟันกิเลส
ซึ่งเป็นเหมือนยางเหนียว

เมื่อสมถะกับวิปัสสนาดำเนินเคียงคู่กันไปโดยความสม่ำเสมอ
ไม่ให้ยิ่งหย่อนข้างใดข้างหนึ่ง..จะพึงถึง "สันติธรรม"
โดยปราศจากอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น

การบำเพ็ญจิตภาวนาเป็นกิจจำเป็น
สำหรับบุคคลผู้หวังพึ่งตน
ตามธรรมมีว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ
ตนเป็นที่พึ่งของตน

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2015, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณมาเรียนธรรมกับอาจารย์ ขอให้ธรรมติดตัวไปถึงบ้านถึงเรือน
อย่าให้ธรรมหลุดหายกลางทางยังเหลือแต่กิเลสล้วนๆ ไปอวดลูกอวดสามี

ถ้าคุณมีกิเลสดังกล่าวอยู่ในใจและเคยระบายออกเป็นยาพิษ
โปรยรมครอบครัวอยู่บ้าง ก็กรุณากำจัดเสียบัดนี้

:b45:

ท่านได้บอกไว้หรือเปล่าล่ะ นี่นิพพานของศีล ๕
นี่นิพพานของศีล ๘ นี่นิพพานของพระ ๒๒๗
ถ้าไม่ได้บอกไว้ เราก็อุตริล่ะสิ

เราจะตอบตามความเป็นจริงว่า นิพพานมีอันเดียวเท่านั้น
ธรรมแท้มีอันเดียวเท่านั้น ไม่มีสอง

ใครจะปฏิบัติในศีลในธรรมข้อใดก็ตาม
ธรรมแท้นั้นสามารถจะปฏิบัติได้ด้วยกัน ถึงได้ด้วยกันทั้งนั้น

:b45:

การภาวนาจะได้ผลหรือไม่นั้น ไม่คิดคำนึงให้เสียเวลา
ทำความพยายามรักษาจิต คิดอย่างเดียวว่า
ทำอย่างไรสติกับจิตจึงจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

คือ ระลึกรู้ทันกันในขณะที่จิตเคลื่อนไหวออกสู่อารมณ์ต่างๆ
ไม่ปล่อยให้จิตเที่ยวกอบโกยเอาอารมณ์มาเผาผลาญตน
โดยไม่มีสติตามรักษา ทั้งการรักษาจิตด้วยสติ
ทั้งการพิจารณาอารมณ์ดีชั่วที่เกี่ยวข้องกับใจด้วยปัญญา
ผลย่อมเห็นประจักษ์ใจในทุกขณะที่อารมณ์กับจิตเข้าสัมผัสกัน
และแยกจากกันด้วยอำนาจของสติ-ปัญญาที่ตามรักษา
และแก้ไขกันไปเป็นระยะ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2015, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


การภาวนาจะดีหรือไม่ดี ละเอียดหรือไม่ละเอียด
จงถือเป็นกิจจำเป็นประจำอิริยาบถและประจำวัน
เราเป็นศิษย์ตถาคต บุกหน้าเรื่อยๆไป
จงตั้งหน้ารับความตายด้วยความเพียรของเรา
จะมีชัยชนะไปเป็นลำดับ


:b46:

รากแก้วของศาสนา คือ อริยสัจ
ใครถ้าได้ผ่านนี้แล้วไม่หมอบราบต่อความจริงไม่มี


:b42:

มองโลก เราอย่ามองด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
อย่ามองด้วยความชมเชยสรรเสริญ และอย่าตำหนิติฉินนินทา
แต่ให้มองดูตามหลักความจริง มีความจริงเป็นที่ตั้ง
มีธรรมเป็นจุดศูนย์กลาง สรุปลงในธรรม
ยุติลงในธรรมเป็นยุติได้


:b44:

ทางเรามีวิธีสอนด้วยการมอบหนังสือให้แล้ว
นั่นเป็นวิธีสอนแต่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติ
แล้วมันจะใช้ได้อย่างไรล่ะ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2015, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ของเยอะน่ะของใคร? มีของเราไหม?..ไม่มี..
นั่น..ดูตรงนี้ซิ ใครทำบุญคนนั้นก็ได้บุญ
เราไม่ได้ทำเราได้ไหมล่ะ?
เฮ่อ..ของง่ายๆ ลูกศิษย์พระกรรมฐานทำไมเป็นอย่างนี้นะ

ใครเขาจะทำมากน้อยเพียงไรไม่ใช่เรื่องของเรา
แต่เราไม่ถอยซิเรื่องทำบุญ เราทำความดีเพื่อตัวเราเอง
แยกออกไปให้เป็นให้มันเห็น ของง่ายๆ แท้ๆ

:b44:

การสร้างความดีนั้นนับเป็นอุปสรรคอยู่ในตัวเสมอ
คำว่า อุปสรรคคืออะไร คือ กิเลสที่มีอำนาจบังคับเรา
อยู่เหนือหัวใจเราอยู่เสมอนั่นแหละ มันหาอุบายกีดกัน
จะทำบุญทำทานสักเล็กน้อย มันก็กลัวจะสิ้นจะเปลืองหมด

ผู้ที่ตระหนี่เหนียวแน่น ไม่สามารถที่จะสละสิ่งของ
ทำบุญให้ทานแก่ผู้หนึ่งผู้ใดได้
มันสร้างอุปสรรคให้คนเห็นแก่ตัวได้มาก
ยังสร้างงานส่งเสริมจิตใจคนให้โลภมากอีกด้วย
ความเอารัดเอาเปรียบก็มีมาก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว
จิตก็แห้งผาก เข้าใกล้ใครไม่ได้ เข้ากับใครไม่ติด
เป็นฟืนเป็นไฟไปหมด

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2015, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเราอยู่ด้วยกันต้องมีเหตุผล ต่างคนต่างมีเหตุผลแล้วอยู่ด้วยกันเถิด
มนุษย์เรานี้เป็นได้ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก ไอ้เรื่องความมั่งมี ความร่ำรวย
ความเด่นดังอะไรนั้นไม่สำคัญไปกว่าใจที่มีความปรองดองสามัคคี
ความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันระหว่างสามีภรรยานั้นเป็นแก้วสารพัดนึก
เป็นรากเหง้าเค้ามูลแห่งความอยู่เย็นเป็นสุขในครอบครัว
นี้เป็นรากฐานสำคัญมาก ขอให้พากันรักษาให้ดี


:b45:

การทำบุญมีสองอย่าง หนึ่งคือ การสละทรัพย์สินเงินทอง
เพื่อสร้างถาวรวัตถุในพระศาสนาหรือการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนข้าวของ
เรียกว่า "อามิสบูชา" ส่วนบุญอีกอย่างหนึ่งนั้น
คือ การถือศีล ภาวนา การทำสมาธิวิปัสสนาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งแทงตลอด
ให้เกิดเป็นปัญญา เป็นผู้รู้ ดังที่เราภาวนา "พุทโธ" ซึ่งแปลว่า "ผู้รู้ผู้ฉลาด"
อันนี้เรียกว่า "ปฏิบัติบูชา" เป็นบุญอันสูงสุด อันจะนำตนเอง
ให้พ้นจากกองทุกข์ในโลกนี้ได้ ช่วยตัวเองได้
มิให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

บุญข้อนี้เป็นบุญอันสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญผู้ปฏิบัติ
ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชานี้ เป็นเสมือนแม่น้ำสองสายที่ใสสะอาด
ไหลมารวมกันลงสู่แอ่งน้ำใหญ่อันอยู่ในห้วงหัวใจของเราเอง
เป็นแหล่งน้ำอันเต็มเปี่ยมสมบูรณ์
พร้อมที่จะนำความฉ่ำชุ่มเย็นไปทั่วทุกหัวระแหง
เกิดคุณค่าและประโยชน์อันประมาณมิได้
ที่สายน้ำนั้นได้ซึมซาบผ่านไปยังถิ่นต่างๆ
แอ่งน้ำในหัวใจเราเป็นเสมือนเขื่อนกักน้ำไว้เพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่น


พรของท่านยประเสริฐนำ ผู้ใดอยู่ในศีลธรรม
เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านย่อมสมความปรารถนา

ไปที่ไหนก็อย่าลืมพุทโธภายในใจ ให้พุทโธๆ เสมอไป
ใจจะจะสงบเย็นเป็นสุขอยู่กับตัวตลอดกาลสถานที่

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2015, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

บุญ-บาป

แทบทุกสิ่งในโลกย่อมมีประโยชน์แก่ผู้ใช้
แต่ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ไม่สนใจและไม่รู้จักใช้
คุณธรรมมีประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกก็เช่นเดียวกัน
ย่อมขึ้นอยู่กับผู้สนใจปฏิบัติรักษา คุณธรรมก็อำนวยประโยชน์แก่ผู้นั้นๆ
กตัญญูกตเวทิตาคุณที่ใครๆ ก็ตามเคยบำเพ็ญต่อท่านผู้เคยมีคุณแก่ตน
เมื่อถึงคราวจำเป็นและต้องการระลึกถึงก็ย่อมมีหวัง
ได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกับสิ่งที่มีคุณภาพด้านอื่นๆ

:b44:

ท่านว่าดี-ชั่ว มิได้เกิดขึ้นเองแต่อาศัยการทำบ่อยก็ชินไปเอง
เมื่อชินแล้วก็กลายเป็นนิสัย ถ้าเป็นฝ่ายชั่วก็แก้ไขยาก
คอยแต่จะหลงใหลไปตามนิสัยที่เคยทำอยู่เสมอ
ถ้าเป็นฝ่ายดีก็นับว่า คล่องแคล่วแกล้วกล้าขึ้นเป็นลำดับ

สัตว์ใดก็ตาม บุคคลใดก็ตาม ถ้าลงเชื่อว่า ตายแล้วสูญคน..
ก็ฉิบหายทั้งเป็น ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ เท่านั้น
ใครจะแก้ต้องรีบแก้ ไม่แก้ไขไม่ได้ อันนี้จะจมแน่ๆ เพราะมันไม่สูญล่ะซี
กิเลสวัฏฏ์นั่นแหละมันให้ทำกรรมอยู่นั้นมันจะเอาอะไรมาสูญ

ถ้าทำกรรมด้วยอำนาจของกิเลส มันก็จะบอกให้ทำแตบาปแต่กรรมชั่วลามกทั้งหลาย
แล้วตายลงไปก็ไปจมอยู่ในนรก ไม่เคยได้ยินว่า บาปสูญบุญสูญ นรกสูญ สวรรค์
พรหมโลก นิพพานสูญ ไม่เคยมี มีแต่กิเลสนั่นแหล่ะมันอุตริมาหลอกโลกว่า ตายแล้วสูญ

อำนาจแห่งความดีมีศีลธรรม นี่แหละมนุษย์จะสามารถทำได้ด้วยความฉลาด
เราสามารถทำตนให้ร่มเย็นเป็นสุขได้ เพราะอำนาจแห่งความฉลาดของตน

คำว่า "บาป" ก็เป็นความจริง บุญก็เป็นความจริงอันหนึ่งที่มีอยู่แล้ว
ทรงรู้เห็นมาแล้วด้วยพระจักษุญาณหยั่งทราบตลอดทั่วถึงว่า
นรกก็ดีไม่ว่าหลุมใด สวรรค์ก็ดีไม่ว่าชั้นใด ตลอดพรหมโลกถึงนิพพาน
พระองค์ทรงผ่าน ทรงรู้ทรงเห็นไว้หมดเรียบร้อย
แล้วนำมาสั่งสอนสัตว์โลก ให้รู้เห็นตามนั้นแล้ว
ให้มาประพฤติปฏิบัติดัดกาย วาจา ใจ ของตน
ด้วยการกระทำ คือละบาป บำเพ็ญบุญ ให้เกิดประโยชน์แก่ตน
เพื่อเป็นการส่งเสริมจิตใจซึ่งกิเลสวัฏฏ์มันรุมล้อมอยู่นี้
ให้ค่อยจืดจางและหายไปโดยลำดับ
ยังไม่ขาดภพชาติเพราะมีกิเลสอยู่ในจิตสันดาน
ก็ให้ได้ไปเกิดในสถานที่ดี คติที่เหมาะสมเป็นขั้นๆภูมิๆขึ้นไป
สามแดนโลกธาตุนี้ทรงแสดงไว้แล้วทั้งนั้น

:b45:

ผลที่เกิดจากการอบรมฝึกฝนตนด้วยธรรม ไม่ลดละความพยายาม
ทำให้คนชั่วกลายเป็นคนดี ใจชั่วกลายเป็นใจดี
และทำให้ผู้มีคุณธรรมอยู่แล้วกลายเป็นคนดีขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างน้อย..ใจมีเหตุผลอย่างเดียว ภาระที่เกี่ยวข้องกับตัวน้อยหรือมาก
ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของใจเป็นผู้ดำเนินงาน
ย่อมกลายเป็นสิ่งที่มีเหตุผล และสะดวกราบรื่นไปตามเราผู้เป็นเจ้าของ

:b45:

การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง
เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับทุกข์
จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน
งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย
ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว
แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง

:b45:

การทำความดีใส่ตัวเป็นสิ่งที่ทำยากมาแต่กาลไหนๆ
มิใช่จะมายากเฉพาะวันนี้ และยากเฉพาะเราคนเดียว
แต่ทำยากมาทุกยุคทุกสมัยและยากมาด้วยกันทุกคน
เพื่อเป็นการเตือนตนที่เข้าใจว่ามีความยุ่งยากลำบากและฝืนใจ
ยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย พอมีช่องเดินได้ ไม่ปิดทางตัวเอง

:b45:

กรรม คือ การกระทำดี-ชั่ว ทางกายวาจาใจ ต่างหาก
ผลจริงคือ ความสุข-ทุกข์ ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก กระทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักรรม
รู้แต่การกระทำ คือ หากินหาอยู่ ทางศาสนาเรียกว่า กรรมของสัตว์ ของบุคคล
และผลกรรมของสัตว์ของบุคคล




.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2015, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว



:b45:


ความรู้สึกในพระคุณ การยอมรับคำตักเตือนสั่งสอนด้วยความเต็มใจ
และปฏฺิบัติตามไม่ฝ่าฝืน ยึดถือท่านเป็นเส้นชีวิตและทางดำเนินโดยชอบธรรม
ภาระหนักเรายอมรับ แม้ท่านห้ามเราในขณะทำผิดเราก็ยอมจำนน
ปฏิบัติตนต่อท่านประหนึ่งผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าฉะนั้น

:b45:

การตำหนิติเตียนผู้อื่นถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจของตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย

:b45:

ผู้เห็นคุณค่าของสัตว์จึงควรเห็นคุณค่าของผู้อื่น
ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน

:b45:

บุคคลควรพยายามคบแต่บัณฑิต เพื่อเลื่อนภูมิวาสนาของตนให้สูงขึ้น

:b45:

ถ้าหากว่าหมดบุญวาสนาลงไปเมื่อใดแล้ว รูปร่างกายนี้ก็ตั้งอยู่ไม่ได้
ต้องแตกดับทำลายไปโดยเหตุใดเหตุหนึ่ง




.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2015, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ท่านเรียก "วัฏฏวน" กรรมดีกรรมชั่วนี่เป็นเชื้อสำคัญ
ที่ยังสัตว์ทั้งหลายให้ไปเกิดและมีความสุขความทุกข์ โง่ ฉลาด ต่างกัน มีอยู่ตรงนี้

ความมั่งมีศรีสุขจะไม่บังเกิดแก่ผู้ทุจริตสร้างกรรมชั่ว มีมากเท่าไรย่อมหมดไป
พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายที่สร้างบาปกรรมไว้ ผลกรรมนั้นย่อมตกอยู่กับลูกหลานรุ่นหลัง
ให้มีอันเป็นไป ผู้ทุจริตเบียดเบียน รังแกผู้อื่น จะหาความสุขความเจริญไม่ได้เลย

เมื่อมนุษย์เราเกิดเสวยชาติเป็นคน มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง ตามวาระของกรรมที่อำนวย
มนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่งที่พามาให้เป็นเช่นนี้ ซึ่งล้วนผ่านกำเนิดต่างๆมาจนนับไม่ถ้วน
ให้ตระหนักในกรรมของสัตว์ว่ามีต่างๆกัน เพราะฉะนั้นไม่ให้ดูถูกเหยียดหยาม
ในชาติกำเนิดความเป็นอยู่ของกันและกัน
และสอนให้รู้ว่า
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมดีกรรมชั่วเป็นของของตน

การทำบาปหยาบคาย มีมาประจำแทบทุกคน ทั้งให้ผลเป็นทุกข์ตนยังไม่อาจรู้ได้
และตำหนิมันบ้าง พอมีทางแก้ไข แต่กลับตำหนิคำสั่งสอนว่า หยาบคายก็นับเป็นโรคที่หมดหวัง

บรรดากุศลทั้งมวลที่บำเพ็ญ การทำภาวนาเป็นเยี่ยมกว่าทุกวิธี
และเป็นเหมือนก้นอ่างเก็บน้ำ คือ ความดีทั้งหลายซึ่งจะไหลรวมมาสู่จุดนี้แห่งเดียว
ผู้บำเพ็ญภาวนาทางจิตจนได้รับความสงบแน่วแน่ ย่อมเป็นผู้มีคติอันแน่นอน
ทั้งเวลาปกติและเวลาจวนตัว เป็นผู้องอาจกล้าหาญต่อคติธรรมดา คือ ความตาย

ทั้งที่ยังมาไม่ถึงและขณะที่กำลังถูกมรณภัยคุกคาม
สามารถวางตน (ใจ) อย่างสม่ำเสมอตลอดวาระสุดท้าย



.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร