วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2015, 11:04 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุปปพุทธะ อริยะขี้เรื้อน
:: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก

=========================

คำว่า “ขี้เรื้อน” มักเป็นคำด่าที่รุนแรง เพราะคนได้ยินมักจะนึกถึงโรคเรื้อน หรือหมาขี้เรื้อน บุคคลที่กล่าวถึงนี้เป็นโรคเรื้อนจริงๆ โรคที่คนรังเกียจนั้นเอง

แต่คนที่เป็นโรคสังคมรังเกียจคนนี้ ในท้ายที่สุดแห่งชีวิตมิใช่คนธรรมดา เขาได้กลายเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบันก่อนสิ้นชีวิต

ที่พระท่านว่าคนเราเป็นไปตามกรรม (ที่ทำไว้) นั้นเป็นความจริง เรื่องราวของ สุปปพุทธะ ท่านนี้ พระอรรถกถาจารย์ขานไขให้เราทราบว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรมที่เขาก่อไว้ทั้งสิ้น

แล้วจะเล่าให้ฟังตอนท้าย

วันหนึ่ง สุปปพุทธะ ไปฟังธรรมที่พระวิหารโดยแอบไปนั่งอยู่ท้ายบริษัท เพราะกลัวคนอื่นเขาเห็น เขาจะตะเพิดไล่ ได้บรรลุโสดาปัตติผล ต้องการจะกราบทูลให้พระพุทธองค์ทราบว่าเขาได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว (ความจริงเขาหารู้ไม่ว่าพระพุทธองค์ทรงทราบแล้ว) นั่งหลบรอให้คนอื่นเขากลับไปหมด ก่อนจะได้เข้าไปถวายบังคมได้สะดวก

ขณะนั้นท้าวสักกเทวราช เข้ามากล่าวกับเขาว่า “สุปปพุทธะ ท่านเป็นคนทุกข์ยาก เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านหาประมาณมิได้ ขอเพียงท่านบอกคืนพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์”

สุปปพุทธะถามขึ้นว่า ท่านเป็นใคร เมื่อทราบว่าเป็นท้าวสักกเทวราช จึงตอบว่า

“เจ้าคนอันธพาล ไร้ยางอาย ถึงข้าจะเป็นคนยากจนเพราะไร้ทรัพย์ แต่ข้าก็ร่ำรวยนะ”

“รวยอะไร” ผู้มาเยือนถาม

“รวยทรัพย์ภายใน (อริยทรัพย์) นั่นไง เจ้าคนอันธพาล ใครเป็นอย่างข้าไม่ควรดูถูกดูหมิ่นว่าไร้ทรัพย์ เพราะทรัพย์ของเรามีค่ามากกว่าทรัพย์ภายนอกใดๆ แล้วเขาก็กล่าวคาถา (โศลก - อ่านว่า สะ-โหฺลก) บทหนึ่งดังนี้

ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือสุตะ (การสดับตรับฟังมาก) ทรัพย์คือจาคะ และทรัพย์คือปัญญา

ทรัพย์ทั้ง ๗ ประการนี้มีแก่ผู้ใดไม่ว่าชายหรือหญิง ผู้นั้นเรียกว่าคนไม่ยากจน และชีวิตของเขาก็ไม่สูญเปล่า”


ท้าวสักกเทวราชได้ฟังดังนั้นก็หายวับไปกับตา มาเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลคำโต้ตอบกัน ระหว่างสุปปพุทธะกับตนให้พระพุทธองค์ทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า สักกะบุคคลเช่นท่าน ต่อให้ร้อยคนหรือพันคนก็ไม่สามารถให้สุปปพุทธะกล่าวปฏิเสธคุณพระรัตนตรัยได้


:b44: ขอแทรกตรงนี้นิดหนึ่ง อ่านวรรคดีพระพุทธศาสนา มักจะมีบทบาทของพระอินทร์แทรกเป็นยาดำเรื่อย แม้กระทั่งพุทธประวัติตอนอดพระกระยาหาร ทำทุกรกิริยาอยู่ พระอินทร์ก็มา “เตือนสติ” โดยหยิบพิณ (วีณา) สามสายขึ้นมาเทียบเสียงให้ฟัง จนพระพุทธองค์ได้คิดว่า ทุกอย่างต้องพอดี จึงจะสำเร็จประโยชน์

จะแปลความตามนั้นก็ไม่ว่ากระไร

แต่ถ้ามองอีกแนวหนึ่ง การที่ทรงคิดได้อย่างนั้น เป็นหัวเลี้ยวสำคัญมากดุจดังเทพมาบอกทีเดียว พูดง่ายๆ ว่าทรงคิดขึ้นเอง แต่เมื่อเป็นการคิดที่ดีมาก จึงเรียกความคิดนั้นว่าดุจเทพมาบอก ดังเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้คิดเมื่อพระชนม์ได้ ๒๙ พรรษา ว่าคนเราย่อมแก่ ย่อมเจ็บ ย่อมตาย เป็นธรรมดา ชีวิตนี้เต็มไปด้วยทุกข์ จริงๆ ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตายไม่รู้จบ

ต่อมาเห็นสมณะแล้วได้คิดต่อไปว่า การครองเพศบรรพชิตอย่างท่านผู้นี้อาจเป็นทางพ้นทุกข์ได้ ความคิดที่ผุดขึ้นนี้เป็นความคิดที่ดี ที่อำนวยประโยชน์ ท่านเรียกว่า “ได้ข่าวดีจากเทพ” หรือเทวทูต


พระอินทร์หรือท้าวสักกเทวราช ที่มาปรากฏต่อหน้าสุปปพุทธะ ผู้มั่นคงต่อพระรัตนตรัย ต้องการลองใจ จึงเอาทรัพย์หาประมาณมิได้มาล่อให้เลิกนับถือพระรัตนตรัย บังเอิญว่าสุปปพุทธะเธอไม่เล่นด้วย แปลความอย่างนี้ก็ไม่น่าเสียหายประการใด

เมื่อปลอดคนแล้วเขาก็เข้าไปถวายบังคมพระพุทธองค์ กราบทูลให้ทราบว่าเขาได้บรรลุธรรมแล้ว พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนาในผลสำเร็จของเขา

เขากราบทูลลากลับยังที่พำนัก ในระหว่างทางถูกแม่โคขวิดตายครับ ตายอย่างอนาถ

แต่ชีวิตเขาไม่อนาถ คือ ไม่ไร้ที่พึ่ง เพราะมีอริยมรรคอริยผลเป็นที่พึ่ง


:b39: ตำราแทรกความตรงนี้ไว้ว่า แม่โคตัวนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่โคแท้ เป็นนางยักษิณีที่มีเวรกันมาก่อนกับบุคคล ๔ คน คือ ปุกกุสาติกุลบุตร พาหิยะ ทารุจีริยะ ตัมพทาฐิกะ (เพชฌฆาตเคราแดง) และสุปปพุทธะกุฏฐิ ตามมาแก้แค้น

ว่ากันว่าในอดีตชาติยาวนานโพ้น บุคคลทั้ง ๔ ดังกล่าวมาเป็นบุตรเศรษฐีเพื่อนรักกัน ได้ร่วมอภิรมย์กับโสเภณีนางหนึ่ง หลังจากอภิรมย์สมใจแล้ว จ่ายค่าชั่วโมงเสร็จแล้ว ก็แย่งทรัพย์ที่ให้แก่นางคืน ไม่แย่งเปล่าฆ่าหมกป่าด้วย

นางโสเภณีนั้นก่อนที่จะขาดใจตาย ได้ผูกอาฆาตจองเวรกับเด็กหนุ่มสี่สหายนั้น หากตายจากชาตินั้นแล้ว จะตามฆ่าคนทั้ง ๔ นี้ไปอีกหลายร้อยชาติ กว่าจะสิ้นเวรสิ้นกรรมกัน


นัยว่าสุปปพุทธะนี้ก็ถูกคู่เวรในร่างโคขวิดตายมาแล้วหลายร้อยชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่จะสิ้นเวร

ส่วนที่เขากลายเป็นโรคเรื้อนนั้น เพราะกรรมเก่าของเขาเช่นกัน เขาเคยด่าพระปัจเจกพุทธะองค์หนึ่งว่า “ขี้เรื้อน” ด้วยคำพูดนั้นคำเดียว แต่บังเอิญพูดกับพระปัจเจกพุทธะ เขาจึงเกิดเป็นขี้เรื้อน หลังจากเสวยผลกรรมในนรกหลายร้อยชาติ


สุปปพุทธะก็ได้ทำกรรมดีในอดีตเหมือนกัน จึงบันดาลให้เขาพบพระพุทธเจ้าขึ้นมา เป็น topic พระพุทธองค์ตรัสอธิบายถึงกรรมเก่าของเขาให้สงฆ์ฟัง แล้วตรัสโศลกธรรมบทหนึ่งว่า

คนพาลปัญญาทรามทั้งหลายย่อมประพฤติเป็นศัตรูกับตนเอง ด้วยการทำบาปหยาบช้า ซึ่งจะนำวิบากอันเผ็ดร้อนภายหลัง

พระธรรมเทศนาสั้นๆ เป็นการเตือนว่า คนเราเมื่อโง่เขลา (ไม่ว่าใครทั้งนั้น) ย่อมประพฤติเหมือนไม่รักตน คือ ก่อศัตรูแก่ตนด้วยการทำแต่ความไม่ดีใส่ตัว แล้วในที่สุดก็เดือดร้อนเพราะผลแห่งความชั่วที่ตัวทำเองนั้นแล


พูดเป็นนัยๆ ว่า ถ้าไม่อยากให้ตัวเองเดือดร้อนภายหลังก็อย่าทำบาปนั้นเองขอรับ

ชีวิตของนายสุปปพุทธะขี้เรื้อน มองในแง่เป็นบทเรียนก็คือ อย่าริทำชั่ว หรือสร้างเวรแก่คนอื่น ดุจดังที่เขาทำมา เมื่อเกิดมาเป็นขี้เรื้อนก็ถือว่าเพราะวิบากแห่งกรรมเก่า เขาก็ไม่ย่อท้อต่อชีวิต พยายามทำความดี จนในที่สุดได้เป็นพระอริยบุคคล นับว่าเกิดมาทั้งทีไม่เสียชาติเกิดแล้ว แม้ภายนอกจะเป็นคนน่าสงสารและสมเพช แต่ภายในเขาเปี่ยมไปด้วยคุณความดี


:b8: :b8: :b8: คัดลอกมาจาก...หนังสือ พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล
เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต


=========================

:b45: อุบาสก ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46457


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร