วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2016, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เห็นด้วยกับคุณตา ฯ ครับ

บวช..แล้วทำตามพระวินัยได้...ทางโล่ง

แต่หากทำไม่ได้..ทางนรก..อย่างเดียวเลย

จะบวชนี้....ต้องแน่ใจจริง ๆ..ต้องหนักแน่นจริง ๆ...และต้องเฟ้นหาอุปัชฌาย์อาจารย์ซะหน่อย



จริงค่ะคุณกบ


ตอนสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงชำระสังฆมณฑล จับพระปลอมสึกไปตั้ง ๖๐๐๐๐ รูป
ถ้าประเทศไทยตอนนี้ทำบ้าง จะเหลือกี่รูป

เราเห็นตอนเช้าๆ ใส่บาตรกันเอาตังค์ใส่บาตรกัน ต้องเลิกแล้ว สงสารพระ
เอาเงินใส่บาตรพระ ก็เท่ากับผลักพระลงนรก เป็นพระใช้เงินใช้ทองก็เหมือนโยมบริโภคกามคุณ

พระอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านไม่จับเงินเลย ท่านเดินมาสอนพระอภิธรรม มีโยมมาถวายตังค์ ท่านไม่รับ
โยมบอก ท่านอยู่่กรุงเทพฯไม่มีตังค์ใช้ จะอยู่ได้อย่างไร ก็ไม่รู้สินะ ท่านก็อยู่ของท่านได้

เราก็สงสารพระที่ท่านต้องจัดแจงค่าใช้จ่ายในวัด ท่านก็ต้องจับตังค์เพื่อใช้จ่ายดูแลวัด จะให้ไวยาวัจกรดูแลก็นะ เงินอยู่ในมือใคร มันพาให้คนๆ นั้นเสียเกือบทุกราย ไม่ว่าพระ ไม่ว่าโยม เจอเงินเข้าไปเป็นได้เรื่องทั้งนั้น

เงินทองของบาดใจ พระที่บวชแล้วรวยจากการบวช มีเงินทองมากมาย ทรัพย์สินสะสมอู้ฟู้ บางรูปแก่พรรษา อายุมากจะมรณภาพวันนี้พรุ่งนี้ ภาษาชาวบ้านเรียกว่าจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ก็ยังจะตะกายเอื้อมฟ้าคว้าดาว เพื่อเป็นเกียรติก่อนตายหรือเอาไว้ช่วยพวกพ้อง

เป็นพระรวยเป็นพระสวยส้นสูงตอนนี้ มีนรกให้ฟรุ้งฟริ้งมุ้มมิ้งชาติหน้านะเจ้าคะท่าน

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2016, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)



[196] อคติ 4 (ฐานะอันไม่พึงถึง, ทางความประพฤติที่ผิด, ความไม่เที่ยงธรรม, ความลำเอียง - wrong course of behavior; prejudice)
1. ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะชอบ - prejudice caused by love or desire; partiality)
2. โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง - prejudice caused by hatred or enmity)
3. โมหาคติ (ลำเอียงเพราะหลง, พลาดผิดเพราะเขลา - prejudice caused by delusion or stupidity)
4. ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว - prejudice caused by fear)

D.III.182,228;
A.II.18. ที.ปา. 11/176/196; 246/240;
องฺ.จตุกฺก. 21/17/23.


พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖
http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=196

:b8: :b8: :b8:

ความลำเอียงหรือจะสู้กฏแห่งกรรม

คนที่ชั่วมากๆ นี่น่าเสียดายนะ จะพลาดโอกาสทอง เพราะไม่มีโอกาสแวะคุยกับท่านยมบาล

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2016, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




เฉือดมหาเถร.jpg
เฉือดมหาเถร.jpg [ 33.76 KiB | เปิดดู 7830 ครั้ง ]
โอ๊ว โปรดติดตามตอนต่อไป ยังไม่จบค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2016, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
บุคคลใดไม่ว่าเกิดในชาติไหน
จะดำรงพระพุทธศาสนาไว้ได้
ก็พึงศึกษาให้เข้าใจความจริง
ตามหลักคำสอนให้ถูกให้ตรง
ไม่บิดเบือนพระธรรมคำสอน
ด้วยการสะสมอุปนิสัยการฟัง
เพื่อความเห็รถูกและเข้าใจถูก
เป็นปัญญาของบุคคลนั้นเอง
ชาติคือประชาชนคนในชาติ
คนไทยคนไหนฟังก็คนนั้นที่
ทำให้พุทธศาสนาเป็นศาสนา
ประจำชาติโดยตรงอยู่แล้วค่ะ
https://m.youtube.com/watch?v=CpuGPR3Eo-c
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2016, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุ กับทุกๆ ท่านที่ปฏิบัติดีเพื่อรักษาพระศาสนาไว้ค่ะ

ช่วงที่ว่างเว้นจากพระสังฆราช นาน ๓๘ ปี
ทำไมอยู่กันได้
ถ้ายังหาผู้ที่เหมาะสมไม่ได้ ก็ไม่ต้องมี

-------------------------------

= ในสมัยรัชกาลที่ ๔
มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ๑ พระองค์

๗. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส (พระองค์เจ้าวาสุกรี สุวณฺณรํสี) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ระยะเวลาการสถาปนาประมาณ ๒ ปี (ปี ๒๓๙๒-๑ สิงหาคม ๒๓๙๔)

ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑ ปีเศษ (พ.ศ.๒๓๙๔-๒๓๙๖)
พระชนมายุ ๖๔ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๔


= ในสมัยรัชกาลที่ ๕
มีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ๒ พระองค์

:b39: ๘. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร
ระยะเวลาการสถาปนาประมาณ ๓๘ ปี (๙ ธันวาคม ๒๓๙๖-๒๗ พฤศจิกายน ๒๔๓๔)

ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑๑ เดือนเศษ (พ.ศ.๒๔๓๔-๒๔๓๕)
พระชนมายุ ๘๓ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๕

๙. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว ปธ.๙) วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ระยะเวลาการสถาปนา ๑ ปี ๒ เดือน (๒๙ กันยายน ๒๔๓๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๓๖)

ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๖ ปีเศษ
(พ.ศ.๒๔๓๖-๒๔๔๒) พระชนมายุ ๘๗ พรรษา สมัยรัชกาลที่ ๕

:b8: http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=49539

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2016, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




12743520_952802701478025_8626247248250857957_n.jpg
12743520_952802701478025_8626247248250857957_n.jpg [ 37.36 KiB | เปิดดู 7801 ครั้ง ]
ไม่ขอวิจารเอาภาพมาให้ดูเฉยๆ เห็นว่าเหมาะสมคู่ควรกับกระทู้นี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2016, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...กุสลาทำมาเอง...อกุสลาทำมาเอง...อัพยากตาทำมาเอง...วิปากะตรงผู้รับมากที่สุด...
...ธัมมะก็จะจัดสรรให้เหตุ-ปัจจัย-สถานการณ์ต่างๆเป็นผลตามเหตุที่จิตแต่ละดวงสะสมมา...
...จิตดวงไหนสะสมปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกมามากย่อมพิจารณาเห็นประโยชน์ทั้ง...
...จิตตนและจิตผู้อื่นให้ได้เข้าใจความเป็นจริงตามหลักคำสอนได้เพื่อพิจารณาเลือกทางที่ถูก...
...แต่ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังความจริงที่พระองค์ทรงแสดงหรือฟังแล้วคิดว่ารู้แล้วไม่ไตร่ตรองล่ะ...
...ความไม่รู้มีมากเพราะคิดถึงแต่เรื่องราวที่ดีและไม่ดีที่รับรู้มาจากภายนอกไม่รู้ว่าจิตตนที่ดีกะไม่ดี...
:b1: :b12: :b32:
...ภาพเด็ดมากเลยค่ะลุงหมาน...
:b32: :b32: :b32:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2016, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.
อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค
เวรัญชกัณฑ์
หน้าต่างที่ ๔ / ๑๕.

[พวกเดียรถีย์ปลอมบวชในพระพุทธศาสนา]
เดียรถีย์ทั้งหลาย เสื่อมลาภและสักการะแล้ว ชั้นที่สุดไม่ได้ แม้สักว่าของกินและเครื่องนุ่งห่ม เมื่อปรารถนาลาภและสักการะ จึงปลอมบวชในพระพุทธศาสนา แล้วแสดงทิฏฐิ (ลัทธิ) ของตนๆ ว่า นี้ธรรม นี้วินัย. พวกเดียรถีย์เหล่านั้น แม้เมื่อไม่ได้บวชก็ปลงผมเสียเอง แล้วนุ่งผ้ากาสายะ เที่ยวไปในวิหารทั้งหลาย เข้าไป (ร่วม) อุโบสถบ้าง ปวารณาบ้าง สังฆกรรมบ้าง คณะกรรมบ้าง.
ภิกษุทั้งหลายไม่ยอมทำอุโบสถ ร่วมกับพวกภิกษุเดียรถีย์เหล่านั้น.
คราวนั้น ท่านพระโมคคลีบุตรติสสเถระดำริว่า บัดนี้ อธิกรณ์เกิดขึ้นแล้ว ไม่นานเลย อธิกรณ์นั้นจักหยาบช้าขึ้น ก็เราอยู่ในท่ามกลางแห่งภิกษุเดียรถีย์เหล่านั้น จะไม่อาจระงับอธิกรณ์นั้นได้ ดังนี้ จึงมอบการคณะถวายท่านพระมหินทเถระ ประสงค์จะพักอยู่โดยผาสุกวิหารด้วยตนเอง แล้วได้ไปยังอโธคังคบรรพต.

[พวกเดียรถีย์แสดงลัทธินอกพุทธศาสนา]
พวกเดียรถีย์แม้เหล่านั้นแล ถึงถูกภิกษุสงฆ์ปรามปราบโดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสนา ก็ไม่ยอมตั้งอยู่ในข้อปฏิบัติอันคล้อยตามพระธรรมวินัย ทั้งได้ให้เสนียดจัญไร มลทินและเสี้ยนหนาม ตั้งขึ้นแก่พระศาสนา มิใช่อย่างเดียว บางพวกบำเรอไฟ บางพวกย่างตนให้ร้อนอยู่ในเครื่องอบตน ๕ อย่าง บางพวกประพฤติหมุนไปตามพระอาทิตย์ บางพวกก็ยืนยันพูดว่า พวกเราจักทำลายพระธรรมวินัยของพวกท่าน ดังนี้.
คราวนั้น ภิกษุสงฆ์ไม่ได้ทำอุโบสถหรือปวารณาร่วมกับเดียรถีย์เหล่านั้นเลย. ในวัดอโศการาม อุโบสถขาดไปถึง ๗ ปี. พวกภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นแม้แด่พระราชาแล้ว.

[พระเจ้าอโศกทรงใช้อำมาตย์ให้ระงับอธิกรณ์]
พระราชาทรงบังคับอำมาตย์นายหนึ่งไปว่า เธอไปยังพระวิหาร ระงับอธิกรณ์แล้ว นิมนต์ภิกษุสงฆ์ให้ทำอุโบสถเถิด ดังนี้. อำมาตย์ไม่อาจจะทูลย้อนถามพระราชาได้ จึงเข้าไปหาอำมาตย์พวกอื่นแล้วกล่าวว่า พระราชาทรงส่งข้าพเจ้าไปว่า เธอจงไปยังพระวิหาร ระงับอธิกรณ์แล้ว ทำอุโบสถเถิด ดังนี้ อธิกรณ์จะระงับได้อย่างไรหนอ?
อำมาตย์เหล่านั้นพูดว่า พวกข้าพเจ้ากำหนดหมายได้ด้วยอุบายอย่างนี้ว่า พวกราชบุรุษ เมื่อจะปราบปัจจันตชนบทให้ราบคาบ ก็ต้องฆ่าพวกโจร ชื่อฉันใด ภิกษุเหล่าใดไม่ทำอุโบสถ พระราชาจักมีพระราชประสงค์ให้ฆ่าภิกษุเหล่านั้นเสีย ฉันนั้นเหมือนกัน.
ลำดับนั้น อำมาตย์นายนั้นไปยังพระวิหาร นัดให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้วเรียนชี้แจงว่า พระราชาทรงสั่งข้าพเจ้ามาว่า เธอจงนิมนต์ภิกษุสงฆ์ให้ทำอุโบสถเถิด ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ! บัดนี้ ขอพวกท่านจงทำอุโบสถกรรมเถิด.
พวกภิกษุพูดว่า อาตมภาพทั้งหลายจะไม่ทำอุโบสถร่วมกับเหล่าเดียรถีย์. อำมาตย์เริ่มเอาดาบตัดศีรษะ (ของเหล่าภิกษุ) ให้ตกไป ตั้งต้นแต่อาสนะของพระเถระลงไป. ท่านพระติสสเถระได้เห็นอำมาตย์นั้นผู้ปฏิบัติผิดอย่างนั้นแล.


อ่านต่อที่นี่ค่ะ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... =1&i=1&p=4

:b8: :b8: :b8:

"ใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมายก็จะต้องไปยุ่ง ไม่มีข้อต่อรองใดๆ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาส" พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา
https://www.facebook.com/BLUESKYChannel ... =3&theater


ทหารนั่งบนอาสนะสงฆ์ ไม่มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นแม้แต่น้อย เพราะโดยเจตนาปรารภก็เพื่อรักษา สืบทอด ประเพณีพิธีการต่างๆ ไม่ให้ผิดเพี้ยนจากที่บรรพชนประพฤติปฏิบัติกันมา
http://news.mthai.com/hot-news/general-news/371514.html

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2016, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...ข่าวอัพเดตพระสังฆราชช่วง...
...ใครที่ดูไทยรัฐทีวีไม่ทัน ดูสัมภาษณ์
จอมขวัญ VS หลวงปู่พุทธอิสระ
มันพะยะค่ะ ดูประเด็นร้อนช่องไทยรัฐ
onion onion onion
https://youtu.be/tPXSR3p2vIg


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2016, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
...ข่าวอัพเดตพระสังฆราชช่วง...
...ใครที่ดูไทยรัฐทีวีไม่ทัน ดูสัมภาษณ์
จอมขวัญ VS หลวงปู่พุทธอิสระ
มันพะยะค่ะ ดูประเด็นร้อนช่องไทยรัฐ
onion onion onion
https://youtu.be/tPXSR3p2vIg


ค่ะน้องRosarin
วันนี้มีข่าวอัพเดท ที่น่าตกใจของพระผู้ใหญ่ วัดดัง วัดสายปริยัติและปฏิบัติ
นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นศาสนาประจำชาติ ยังขนาดนี้ ถ้าได้เป็นจะขนาดไหน

การปกครองที่ล้มเหลว เหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ตั้งแต่หัวขบวนยันหางแถว ไม่มีดีจริงๆ
ก็ช่วยกันปกป้องซึ่งกันและกัน ผนึกกำลัง รวมกันเราอยู่ พยายามช่วยกันเรียกร้องหาความยิ่งใหญ่
เพื่อความก้าวไปสู่การครอบครอง ยึคพื้นที่ได้อย่างเด็ดขาด

เอาศาสนาอื่นมาชูประเด็นร้อน แต่งกายเลียนแบบ มันมีก็จริง แต่ก็เทียบไม่ได้กับการทำตนเองให้ตกต่ำกันเอง
เลือกเอาเฉพาะพระธรรมที่กล่าวอย่างถูกต้อง แม้จะกล่าวออกมาจากปากของอลัชชีก็ตาม
เราก็คงต้องเคารพกราบไหว้พระธรรมเท่านั้นจากบุคคลประเภทนี้ค่ะ


ฟังเพลง โลกหมุนเวียน โดยคุณสมัคร สุนทรเวช
https://www.youtube.com/watch?v=0u8aQKq2kiY

ชั่ว ๗ ที
ดี ๗ หน
ก็ขอให้กลับร้ายกลายเป็นดีโดยเร็ว อย่าได้ไหลไปฝ่ายชั่วนานค่ะ

วัฏฏสงสารนี้ ให้โอกาสแก่สรรพสัตว์เสมอ จะชั่วเลวต่ำช้าสุดขีดแค่ไหน เมื่อรับวิปากชั่วหมดแล้ว
วัฏฏสงสารก็ให้โอกาสดีแก่ท่านได้ เมื่อถึงวาระที่วิปากดีส่งผล ก็ขอให้ได้มีโอกาสสร้างบารมีกันต่อไปค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2016, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




unnamed.jpg
unnamed.jpg [ 36.69 KiB | เปิดดู 7378 ครั้ง ]
:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

อรรถกถา จุลลปโลภนชาดก
ว่าด้วย หญิงทำบุรุษให้งงงวย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันจะสึกเหมือนกันรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อภิชฺชมาเน วาริสฺมึ ดังนี้
______________________________
* ในอรรถกถาเป็น จุลลปโลภ ฯ

ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้น ผู้ถูกนำมาที่โรงธรรมสภาว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอเป็นผู้กระสันจะสึกจริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นทูลรับเป็นสัตย์แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ชื่อว่าหญิงเหล่านี้ย่อมทำสัตว์ผู้บริสุทธิ์ให้เศร้าหมอง ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้สัตว์ผู้บริสุทธิ์อันมีในกาลก่อน ก็ทำให้เศร้าหมองเหมือนกัน อันภิกษุเหล่านั้นทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี เป็นผู้ไม่มีพระโอรส จึงตรัสกับนางสนมของพระองค์ว่า เธอทั้งหลายจงกระทำความปรารถนาเพื่อให้ได้บุตร. นางสนมเหล่านั้นจึงพากันปรารถนาบุตร.

เมื่อกาลล่วงไปด้วยอาการอย่างนี้ พระโพธิสัตว์จึงจุติจากพรหมโลก บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี. พระโพธิสัตว์นั้นพอประสูติ พระชนกชนนีให้สรงสนานแล้ว ได้ประทานแก่พระนม เพื่อให้ดื่มถันธารา. พระโพธิสัตว์นั้นอันแม่นมทั้งหลายให้ดื่มน้ำนมอยู่ก็ทรงกรรแสง. ลำดับนั้น จึงได้ทรงประทานพระโพธิสัตว์นั้นให้แก่พระนมอื่น. ในมือของมาตุคาม พระโพธิสัตว์ไม่เป็นผู้นิ่งเฉย.

ลำดับนั้น จึงได้ประทานพระโพธิสัตว์นั้นแก่บุรุษคนหนึ่งผู้เป็นข้าบาทมูลิกา. พอข้าบาทมูลิกาคนนั้นรับเอาเท่านั้น พระโพธิสัตว์ก็หยุดนิ่ง. ครั้นในวันตั้งชื่อพระโพธิสัตว์นั้น พระชนกชนนีได้ทรงขนานพระนามว่า อนิตถิคันธกุมาร. ตั้งแต่นั้นมา บุรุษเท่านั้นจึงจะพาพระกุมารนั้นเที่ยวไป เมื่อจะให้ดื่มน้ำนม จะปิดและคลุมให้ดื่ม หรือวางถันในพระโอษฐ์ตามช่องพระวิสูตร. เมื่อพระกุมารแม้ประพฤติพระองค์ไปๆ มาๆ อยู่ ใครๆ ไม่อาจแสดงมาตุคามให้เห็น ด้วยเหตุนั้น พระราชาจึงให้สร้างสถานที่ประทับนั่งเป็นต้นไว้ในที่ว่าง และให้สร้างฌานาคารหอคอย ไว้ภายนอกเพื่อพระกุมารนั้น. ในเวลาพระกุมารนั้นมีพระชันษา ๑๖ พรรษา พระราชาทรงพระดำริว่า เราไม่มีโอรสองค์อื่นอีก ส่วนกุมารนี้ไม่บริโภคกาม แม้ราชสมบัติก็ไม่ปรารถนา เราได้พระโอรสยากจริงหนอ.

ครั้งนั้น มีหญิงฟ้อนรุ่นสาวผู้หนึ่ง ฉลาดในการฟ้อนการขับร้องและการประโคม สามารถที่เล้าโลมบุรุษให้ตกอยู่ในอำนาจของตนได้ เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์ทรงพระดำริเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสบอกเหตุนั้น. หญิงฟ้อนกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เรื่องนั้นโปรดยกไว้ กระหม่อมฉันจักประเล้าประโลมพระราชกุมารนั้นให้รู้จักกามรส. พระราชาตรัสว่า ถ้าเจ้าจักสามารถประเล้าประโลมอนิตถิคันธกุมารผู้โอรสของเราได้ไซร้ พระกุมารนั้นจักเป็นพระราชา ตัวเจ้าจักเป็นอัครมเหสี.

หญิงฟ้อนกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์เป็นเจ้า การประเล้าประโลมเป็นภาระของกระหม่อมฉัน พระองค์อย่าทรงปริวิตก ดังนี้แล้วเข้าไปหาคนผู้ทำหน้าที่อารักขา แล้วกล่าวว่า ในเวลาใกล้รุ่ง เราจักมายืนที่หอคอยภายนอกพระวิสูตร ใกล้ที่บรรทมของพระลูกเจ้า แล้วจักขับร้อง ถ้าพระราชกุมารจักทรงกริ้ว พวกท่านพึงบอกเรา เราจะหลบไปเสีย ถ้าทรงสดับ พวกท่านช่วยบอกแก่เราเช่นเดียวกัน. คนผู้ทำหน้าที่อารักขาทั้งหลายต่างพากันรับคำนาง. ฝ่ายหญิงฟ้อนนั้น ในเวลาใกล้รุ่งได้ไปยืนอยู่ ณ ประเทศที่นั้น แล้วขับเสียงเพลงประสานกับเสียงพิณ บรรเลงเสียงพิณประสานกับเสียงเพลงขับด้วยเสียงอันไพเราะ. พระกุมารทรงบรรทมฟังอยู่ ทรงยอมรับว่า ดี มีประโยชน์. วันรุ่งขึ้น ทรงสั่งให้นางยืนขับร้องในที่ใกล้ รุ่งขึ้นวันที่สอง รับสั่งให้ยืนขับร้องในหอคอย รุ่งขึ้นวันที่สาม รับสั่งให้ยืนขับร้องในที่ใกล้กับพระองค์

ด้วยวิธีการอย่างนี้ พระองค์ทรงทำตัณหาให้เกิดขึ้นโดยลำดับๆ จนถึงส้องเสพโลกธรรม ได้รู้รสกามเข้าแล้ว ออกพระโอษฐ์ว่า ขึ้นชื่อว่ามาตุคาม เราจักไม่ยอมให้แก่ชายอื่น ถือพระแสงดาบเสด็จลงสู่ท้องถนน เที่ยวไล่ติดตามบุรุษทั้งหลาย.

ลำดับนั้น พระราชารับสั่งให้จับพระกุมารนั้นแล้วให้นำออกไปเสียจากพระนคร พร้อมกับกุมาริกานั้น. ฝ่ายพระกุมารและชายาทั้งสอง เสด็จเข้าป่าไปยังแม่น้ำคงคาด้านใต้ สร้างอาศรมอยู่ในระหว่างแม่น้ำคงคาและมหาสมุทร โดยมีแม่น้ำคงคาอยู่ด้านหนึ่ง และมีมหาสมุทรอยู่ด้านหนึ่ง สำเร็จการอยู่ ณ ที่นั้น ฝ่ายนางกุมาริกานั่งอยู่ในบรรณศาลา กำลังต้มหัวเผือกเหง้าไม้และผลไม้อยู่ พระโพธิสัตว์นำผลาผลทั้งหลายมาจากป่า.

ครั้นวันหนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์แม้นั้นไปเพื่อต้องการผลหมากรากไม้ มีพระดาบสรูปหนึ่งอาศัยอยู่ที่เกาะในมหาสมุทร เหาะมาทางอากาศในเวลาภิกขาจาร เห็นควันไฟนั้นจึงลงยังอาศรม. ลำดับนั้น กุมาริกานั้นเชิญพระดาบสนั้นให้นั่ง โดยกล่าวว่า ท่านจงนั่งรอจนกว่าดิฉันจะต้มเสร็จ แล้วเล้าโลมด้วยความเด่นของหญิง ให้เสื่อมจากฌาน ทำพรหมจรรย์ของดาบสนั้นให้อันตรธานหายไป. พระดาบสนั้นเป็นเหมือนกาปีกหัก ไม่อาจละนางกุมาริกานั้นไปได้ คงอยู่ในที่นั้นเองตลอดทั้งวัน

ในเวลาเย็นเห็นพระโพธิสัตว์มา จึงรีบหนีบ่ายหน้าไปทางมหาสมุทร ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงชักดาบออกไล่ติดตามดาบสนั้นไปด้วยเข้าใจว่า ผู้นี้จักเป็นศัตรูของเรา. พระดาบสแสดงอาการจะเหาะขึ้นในอากาศ จึงตกลงไปในมหาสมุทร.

พระโพธิสัตว์คิดว่า ดาบสผู้นี้จักมาทางอากาศ เพราะฌานเสื่อมจึงตกลงในมหาสมุทร บัดนี้ เราควรจะเป็นที่พึ่งอาศัยของดาบสนี้ แล้วยืนที่ชายฝั่ง ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

เมื่อน้ำไม่กระเพื่อม ดาบสนี้มาได้ด้วยฤทธิ์เอง ครั้นถึงความระคนด้วยหญิง ก็จมลงในห้วงมหรรณพ.
ธรรมดาว่า หญิงเหล่านี้เป็นผู้ทำบุรุษให้งงงวย มีมายามาก และยังพรหมจรรย์ให้กำเริบ ย่อมจมลงในอบาย บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล.
หญิงเหล่านั้นย่อมเข้าไปคบหาบุรุษใด เพราะความรักใคร่พอใจ หรือเพราะทรัพย์เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่ของตนเองฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิชฺชมาเน วาริสฺมึ ความว่า เมื่อน้ำนี้ไม่ไหว คือไม่กระเพื่อม พระดาบสไม่ถูกต้องน้ำ มาด้วยฤทธิ์ทางอากาศด้วยตนเอง. บทว่า มิสฺสีภาวิตฺถิยา ได้แก่ ภาวะที่ระคนกับหญิงด้วยอำนาจการเสพโลกธรรม. บทว่า อาวฏฺฏนี มหามายา ความว่า ธรรมดาหญิงเหล่านี้ ชื่อว่าทำบุรุษให้เวียนมา เพราะให้เวียนมาด้วยกามคุณ ชื่อว่ามีมายามาก เพราะประกอบด้วยมายาหญิงหาที่สุดมิได้.

สมจริงดังที่ท่านโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า :-
หญิงทั้งหลายนี้เป็นผู้มีมายาดุจพยับแดด ความโศก โรคและอันตราย ย่อมเกิดแก่ผู้สมาคมกับหญิงร่ำไป
อนึ่ง หญิงทั้งหลายกล้าแข็ง เป็นดุจเครื่องผูก เป็นบ่วงแห่งมัจจุราช และมีมหาภูตรูปดุจคูหาเป็นที่อาศัย
บุรุษใดคุ้นเคยในหญิงเหล่านั้น บุรุษนั้นเท่ากับคนอาธรรม์ในนรชนทั้งหลาย.


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหฺมจริยวิโกปนา ความว่า ยังความประพฤติอันประเสริฐ คือเมถุนวิรัตพรหมจรรย์ให้กำเริบ. บทว่า สีทนฺติ ความว่า ธรรมดาหญิงเหล่านี้ ชื่อว่าย่อมจมลงในอบายทั้งหลาย เพราะทำพรหมจรรย์ของพวกฤาษีให้กำเริบ.
คำที่เหลือพึงประกอบความโดยนัยก่อนนั่นแล.

ฝ่ายพระดาบส ครั้นได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้ว ยืนอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรนั้นเอง ทำฌานที่เสื่อมให้กลับเกิดขึ้นอีก แล้วไปยังที่อยู่ของตนทางอากาศ.

พระโพธิสัตว์คิดว่า พระดาบสนี้เป็นผู้อบรมมาแล้วอย่างนี้ ไปทางอากาศเหมือนปุยนุ่น แม้เราก็ควรทำฌานให้เกิด แล้วไปทางอากาศเหมือนพระดาบสนี้. ครั้นคิดแล้วก็ไปยังอาศรม นำหญิงนั้นไปส่งยังถิ่นมนุษย์ แล้วส่งไปด้วยคำว่า เจ้าจงกลับไปเถิด เสร็จแล้วก็เข้าป่า สร้างอาศรมในภูมิภาคอันรื่นรมย์ แล้วบวชเป็นฤาษี กระทำกสิณบริกรรม ยังอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิด ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจจธรรม ทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบอริยสัจ ภิกษุผู้กระสันจะสึก ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
ก็อนิตถิคันธกุมาร ในกาลนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อรรถกถาจุลลปโลภนชาดกที่ ๓

.. อรรถกถา จุลลปโลภนชาดก ว่าด้วย หญิงทำบุรุษให้งงงวย จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 385 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 388 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 391 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=27&i=388

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2016, 20:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




cell-33648_960_720.png
cell-33648_960_720.png [ 173.22 KiB | เปิดดู 7355 ครั้ง ]
s004 ฮัดชิ้ววววว จามนิดนึง มีใครบ่นๆ ถึงดิฉันอยู่

วันนี้ไปงานทำบุญมา ชีวิตดี๊ดีค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2016, 20:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1: :b1:

ก็เอาเรื่องราวน่าติดตามมาลงมากมาย

มีคนคิดถึงก็เป็นเรื่องธรรมดา

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2016, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




20170722_064419.png
20170722_064419.png [ 185.41 KiB | เปิดดู 7379 ครั้ง ]
eragon_joe เขียน:
:b1: :b1: :b1:

ก็เอาเรื่องราวน่าติดตามมาลงมากมาย

มีคนคิดถึงก็เป็นเรื่องธรรมดา

:b16: :b16: :b16:


:b4: ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2016, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




พระธุดงค์.jpg
พระธุดงค์.jpg [ 24.99 KiB | เปิดดู 7688 ครั้ง ]
ภาพนี้งดงามมากค่ะ


:b53: พระระดับผู้ใหญ่ท่านออกมาพูด ฟังกันหน่อยเร้ว

"ปฏิรูปสงฆ์ไม่ได้ก็อย่าคิดไปปฏิรูปประเทศ" พระไพศาล วิสาโล 26 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 18:56 น. .... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/349960



เสียงอ่านธรรมนิพนธ์ เรื่องกรณีธรรมกาย โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
https://www.youtube.com/playlist?list=P ... FodYHXIv7A

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร