วันเวลาปัจจุบัน 08 ส.ค. 2025, 21:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
ทั้งเก่ง ทั้งขยัน จริงๆ
ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
:b8:


รีบอ้างอิงก่อน กลัวคุณโรสแก้ไข :b1:

ขอบคุณครับ ที่ชื่นชม ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า คุณโรสจะพูดคำนี้ กลางวันไม่กินข้าวก็ได้ ไปกินมื้อเย็นทีเดียว :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
ทั้งเก่ง ทั้งขยัน จริงๆ
ขออนุโมทนาด้วยค่ะ
:b8:


รีบอ้างอิงก่อน กลัวคุณโรสแก้ไข :b1:

ขอบคุณครับ ที่ชื่นชม ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า คุณโรสจะพูดคำนี้ กลางวันไม่กินข้าวก็ได้ ไปกินมื้อเย็นทีเดียว :b14:

:b6:
ประชด
:b32:
ล้อเล่น จริงใจ ไม่ไก่กา 555
ชมอีกจะไม่อดตายกันล่ะทีนี้
:b13:
แบบว่ามีสาระมากหน่อย
ทั้งใจดี ทั้งมีวิสัยทัศน์
:b27:
:b4: :b4:


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อ้างคำพูด:
ปฏิรูป แปลว่า สมควร เช่น ปฏิรูปปเทส อยู่ในประเทศอันสมควร อยู่ในถิ่นอันสมควร ถ้าอยู่หลังศัพท์อื่น แปลว่า เทียม, ปลอม

:b1:
อธิบายชัดเจนกว่านี้อีกได้ไหมคะ
แล้วไอ้ปฏิรูปที่ดินจะแปลว่ายังไง
ที่ดินปฏิรูปแปลว่าที่ดินปลอมไหม
:b32:


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
อ้างคำพูด:
ปฏิรูป แปลว่า สมควร เช่น ปฏิรูปปเทส อยู่ในประเทศอันสมควร อยู่ในถิ่นอันสมควร ถ้าอยู่หลังศัพท์อื่น แปลว่า เทียม, ปลอม

:b1:
อธิบายชัดเจนกว่านี้อีกได้ไหมคะ
แล้วไอ้ปฏิรูปที่ดินจะแปลว่ายังไง
ที่ดินปฏิรูปแปลว่าที่ดินปลอมไหม
:b32:



อ้างคำพูด:
ปฏิรูปที่ดิน, ที่ดินปฏิรูป


บาลีเถื่อน ปฏิรูปเป็นบาลี ที่ดินเป็นไทย

เมื่อให้อธิบาย ก็ว่าเมื่อเรายืมเขามาผสมใช้ ทางรัฐจะให้ความหมายไปทางไหน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ก็พอให้ความหมายกล้อมแกล้มไปได้ "ปฏิรูปที่ดิน" คือ ทำที่ดินซึ่งมิได้ใช้ประโยชน์ ทำให้เป็นประโยชน์ คือ ทำให้เป็นที่ดินอันสมควรเสีย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ภายหน้า, ประโยชน์ ชั้นสูงขึ้นไป อันได้แก่ ความมีจิตใจเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมความดี ทำให้ชีวิตนี้มีค่าและเป็นหลักประกันชีวิตในภพหน้า ซึ่งจะสำเร็จได้ด้วยธรรม ๔ ประการ คือ

๑. สัทธาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศรัทธา

๒. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล

๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการบริจาค

๔. ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา

ธรรม ๔ อย่างนี้ เรียกเต็มว่า สัมปรายิกัตถสังวัตตนิกธรรม (ธรรมอันเป็นไปเพื่อสัมปรายิกัตถะ)

สัมปรายภพ ภพหน้า


สัมมสนญาณ ญาณหยั่งรู้ด้วยพิจารณาหรือตรวจตรานามรูปหรือสังขาร มองเห็นตามแนวไตรลักษณ์ คือ รู้ว่า ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน (ข้อ ๓ ในญาณ ๑๖)

สัมมัตตะ ความเป็นถูก, ภาวะที่ถูก มี ๑๐ อย่าง ๘ ข้อต้นตรงกับองค์มรรคทั้ง ๘ ข้อ เพิ่ม ๒ ข้อท้าย คือ ๙. สัมมาญาณ รู้ชอบ ได้แก่ผลญาณ และปัจจเวกขณญาณ ๑๐. สัมมาวิมุตติ หลุดพ้นชอบ ได้แก่ พระอรหัตตผลวิมุตติ, เรียกอีกอย่าง อเสขธรรม ๑๐ ตรงข้ามกับ มิจฉัตตะ ๑๐


สัมพุทธะ ท่านผู้ตรัสรู้เอง, พระพุทธเจ้า


สัมมา โดยชอบ, ดี, ถูกต้อง, ถูกถ้วน, สมบูรณ์, จริง, แท้ ...ตรงข้ามกับมิจฉา


สัมมาญาณ รู้ชอบ ได้แก่ ผลญาณ คือ ญาณอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมรรคญาณ เช่น โสดาปัตติผล เป็นต้น และปัจจเวกขณญาณ (ข้อ ๙ ในสัมมัตตะ ๑๐)

สมฺมาสัมพุทฺโธ (พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น) เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ คือรู้อริยสัจ ๔ โดยไม่เคยได้เรียนรู้จากผู้อื่น จึงทรงเป็นผู้เริ่มประกาศสัจธรรม เป็นผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนา และจึงได้พระนามอย่างหนึ่งว่า ธรรมสามี คือ เป็นเจ้าของธรรม (ข้อ ๒ ในพุทธคุณ ๙)

สมฺมาสัมโพธิญาณ ญาณเป็นเครื่องตรัสรู้เองโดยชอบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันเยี่ยม ได้แก่ การฝึกอบรมในอธิศีล อธิจิตต์ และอธิปัญญา (ข้อ ๔ ในอนุตตริยะ ๖)


สีลัพพตปรามาส ความยึดถือว่าบุคคลจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ด้วยศีล และวัตร (คือถือว่าเพียงประพฤติศีล และวัตรให้เคร่งครัดก็พอที่จะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ไม่ต้องอาศัยสมาธิ และปัญญาก็ตาม ถือศีลและวัตรที่งมงายหรืออย่างงมงายก็ตาม) ความถือศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆกันไปอย่างงมงาย โดยนิยมว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่เข้าใจความหมาย และความมุ่งหมายที่แท้จริง, ความเชื่อถือศักดิ์สิทธิ์ด้วยเข้าใจว่าจะมีได้ด้วยศีล หรือพรตอย่างนี้ล่วงธรรมวิสัย (ข้อ ๓ ในสังโยชน์ ๑๐ ข้อ ๖ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม)

สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นศีลและวัตรด้วยอำนาจกิเลส, ความถือมั่นศีลพรต คือธรรมเนียมที่ประพฤติกันมาจนชิน โดยเชื่อว่าขลังเป็นเหตุให้งมงาย, คัมภีร์ธัมมสังคณีแสดงความหมายอย่างเดียวกับ สีลัพพตปรามาส (ข้อ ๓ ในอุปาทาน ๔)

สีลานุสติ ระลึกถึงศีลของตนที่ได้ประพฤติมาด้วยดีบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อย (ข้อ ๔ ในอนุสติ ๑๐)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัญญมะ การยับยั้ง, การงดเว้น, (จากบาป หรือจากการเบียดเบียน) การบังคับควบคุมตน, โดยทั่วไป ท่านอธิบายว่า สัญญมะ ได้แก่ "ศีล" บางทีแปลว่า "สำรวม" เหมือนอย่าง สังวร

เพื่อความเข้าใจชัดเจนในเบื้องต้น พึงเทียบความหมายระหว่างข้อธรรม ๓ อย่าง คือ

สังวร เน้นความระวังในการรับเข้า คือปิดกั้นสิ่งเสียหายที่จะเข้ามา จากภายนอก

สัญญมะ ควบคุมตนในการแสดงออก มิให้เป็นไปเพื่อากรเบียดเบียน เป็นต้น

ทมะ ฝึกฝนแก้ไขปรับปรุงตน ข่มกำจัดส่วนร้ายและเสริมส่วนที่ดีงามให้ยิงขึ้นไป

สังยมะ ก็เขียน

สมาจาร ความประพฤติ, มักใช้ในความหมายที่เป็นกลางๆ ว่า ความประพฤติโดยมีคำอื่นประกอบขยายความ เช่น กายสมาจาร วจีสมาจาร ปาปสมาจาร เป็นต้น


สันทัสสนา การให้เห็นชัดแจ้ง หรือชี้ให้ชัด คือ ชี้แจงให้เข้าใจชัดเจน มองเห็นเรื่องราว และเหตุผลต่างๆ แจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูเห็นประจักษ์กับตา, เป็นลักษณ์อย่างแรกของการสอนที่ดี ตามแนวพุทธจริยา (ข้อต่อไป คือ สมาทปนา)

สมาทปนา การให้สมาทาน หรือชวนให้ปฏิบัติ คืออธิบายให้เห็นว่าเป็นความจริง ดีจริง จนใจยอมรับที่จะนำไปปฏิบัติ, เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการสอนที่ดี (ข้อต่อไป คือ สมุตเตชนา)

สมุตเตชนา การทำให้อาจหาญ คือเร้าใจให้แกล้วกล้า ปลุกใจให้คึกคัก เกิดความกระตือรือร้น มีกำลังใจแข็งขันมั่นใจที่จะทำให้สำเร็จ ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยหรือยากลำบาก , เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการสอนที่ดี ( ข้อสุดท้ายคือ สัมปหังสนา)

สัมปหังสนา การทำให้ร่าเริงหรือปลุกให้ร่าเริง คือ ทำบรรยากาศให้สนุก สดชื่น แจ่มใส เบิกบานใจ ให้ผู้ฟังแช่มชื่นมีความหวัง มองเห็นผลดีและทางสำเร็จ เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการสอนที่ดีตามแนวพุทธจริยา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมถะ ธรรมเป็นเครื่องสงบระงับจิต, ธรรมยังจิตให้สงบระงับจากนิวรณูปกิเลส, การฝึกจิตให้สงบเป็นสมาธิ (ข้อ ๑ ในกรรมฐาน ๒ หรือภาวนา ๓)


สมถกัมมัฏฐาน กรรมฐานคือสมถะ, งานฝึกจิตให้สงบ,


สมถภาวนา การเจริญสมถกัมมัฏฐานทำจิตให้แน่วแน่เป็นสมาธิ


สมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นยาน หมายถึงผู้เจริญสมถกัมมัฏฐาน จนได้ฌานก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อ


สกทาคามิมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล คือความเป็นพระสกทาคามี, ญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กับ ทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง, สกิทาคามิมรรค ก็เขียน


สกทาคามิผล ผลที่ได้รับจากการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กับ ทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบาง ซึ่งสืบเนื่องมาแต่สกทาคามิมรรค, สกิทาคามิผล ก็เขียน


สกทาคามี พระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุสกทาคามิผล, สกิทาคามี ก็เขียน


สกสัญญา ความสำคัญว่าเป็นของตน, นึกว่าเป็นของตนเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
ขอบพระคุณที่อธิบายเพิ่มเติมค่ะ
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2016, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศึกษา การเรียน, การฝึกฝนปฏิบัติ, การเล่าเรียนให้รู้เข้าใจ และฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นคุณสมบัติที่เกิดมีขึ้นในตนหรือให้ทำได้ทำเป็น ตลอดจนแก้ไขปรับหรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปจนกว่าจะสมบูรณ์, ในการศึกษาทางพระธรรมวินัย นิยมใช้รูปที่เขียนอย่างบาลี คือ "สิกขา"

ศัพท์ เสียง, คำ, คำยากที่ต้องแปล, คำยากที่ต้องอธิบาย


ศาสนา คำสอน, คำสั่งสอน, ปัจจุบันใช้หมายถึงลัทธิความเชื่อถืออย่างหนึ่งๆ พร้อมด้วยหลักคำสอน ลัทธิ พิธี องค์การและกิจการทั่วไปของหมู่ชนผู้นับถือลัทธิความเชื่อถืออย่างนั้นๆทั้งหมด


ศีล ความประพฤติดีทางกาย และวาจา, การรักษากายและวาจาให้เรียบร้อย, ข้อปฏิบัติสำหรับควบคุมกายและวาจาให้ตั้งอยู่ในความดีงาม, การรักษาปกติตามระเบียบวินัย, ปกติมารยาทที่ปราศจากโทษ, ข้อปฏิบัติในการฝึกหัดกายวาจาให้ดียิ่งขึ้น, ความสุจริตทายวาจาและอาชีพ, มักใช้คำเรียกอย่างง่ายสำหรับคำว่า อธิศีลสิกขา (ข้อ ๑ ในไตรสิกขา ข้อ ๒ ในบารมี ๑๐ ข้อ ๒ ในอริยทรัพย์ ๗ ข้อ ๒ ในอริยวัฑฒิ ๕)

ศีล ๕ สำหรับทุกคน

ศีล ๘ สำหรับฝึกตนให้ยิ่งขึ้นไปโดยรักษาในบางโอกาส หรือมมีศรัทธาจะรักษาประจำก็ได้ เช่น แม่ชีมักรักษาประจำ หัวข้อเหมือนศีล ๕ แต่เปลี่ยนข้อ ๓ และ เติมข้อ ๖, ๗, ๘ คือ ๓ เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ คือเว้นจากการร่วมประเวณี ๖. เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คือเที่ยงแล้วไป ๗. เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ การทัดทรงดอกไม้ ของหอมและเครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง ๘. เว้นจากที่นอนอันสูงใหญ่หรูหราฟุ่มเฟือย

ศีล ๑๐ สำหรับสามเณร แต่ผู้ใดจะรักษาก็ได้

ศีล ๒๒๗ ศีลสำหรับพระภิกษุ มีในภิกขุปาฎิโมกข์

ศีล ๓๑๑ ศีลสำหรับพระภิกษุณี มีในภิกขุณีปาฎิโมกข์

ศีลอุโบสถ คือ ศีล ๘ ที่สมาทานรักษาพิเศษในวันอุโบสถ

อุโบสถศีล ศีลที่รักษาเป็นอุโบสถ หรือศีลที่รักษาในวันอุโบสถ ได้แก่ ศีล ๘ ที่อุบาสกอุบาสิกาสมาทานรักษาเป็นการจำศีลในวันพระ คือ ขึ้นและแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ (แรม ๑๔ ค่ำ ในเดือนขาด)


ศีลธรรม ความประพฤติที่ดีงามทางกายวาจา, ความประพฤติที่ดีที่ชอบ, ความสุจริตทางกายวาจา และอาชีวะ, โดยทางศัพท์ ศีลธรรม แปลว่า "ธรรมคือศีล" หมายถึงธรรมขั้นศีล หรือธรรมในระดับศีล เพราะศีลเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ในบรรดาธรรมภาคปฏิบัติ ๓ อย่างคือ ศีล สมาธิ และปัญญา ดังนั้น ต่อจากธรรมขั้นศีล จึงมีธรรมขั้นสมาธิ และธรรมขั้นปัญญา , ได้มีผู้พยายามแปล ศีลธรรม อีกอย่างหนึ่ง่ว่า "ศีลและธรรม" (ถ้าแปลให้ถูกต้องจริงต้องว่าศีลและธรรมอื่นๆ นอกจากศีล เช่น สมาธิ และปัญญา เพราะศีลก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ถ้าแปลอย่างนี้ จะต้องเข้าใจว่า ศีลธรรม มิใช่เป็นเพียงความประพฤติดีงามเท่านั้น แต่รวมถึงสมถะวิปัสสนา ขันธ์ ๕ ปฏิจจสมุปบาท ไตรลักษณ์ เป็นต้น ด้วย, เทียบ จริยธรรม


จริยธรรม "ธรรมคือความประพฤติ" "ธรรมคือการดำเนินชีวิต" หลักความประพฤติ, หลักการดำเนินชีวิต. ๑. ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม หรือกฎศีลธรรม (ความหมายตามบัญญัติสมัยปัจจุบัน ซึ่งกำหนดให้ จริยธรรม เป็นคำแปลสำหรับคำภาษาอังกฤษว่า ethics) ๒. จริยะ (หรือจริยธรรม) อันประเสริฐ เรียกว่า พรหมจริยะ (พรหมจริยธรรม หรือ พรหมจรรย์) แปลว่า "ความประพฤติอันประเสริฐ" หรือ การดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐ หมายถึง มรรคมีองค์ ๘ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา


ศีลวัตร ศีลพรต, ศีลและวัตร, ศีลและพรต, ข้อที่จะต้องสำรวมระวังไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่า ศีล ข้อที่พึงถือปฏิบัติชื่อว่า วัตร หลักความประพฤติทั่วไปอันจะต้องรักษาเป็นพื้นฐานเสมอกัน ชื่อว่า ศีล ข้อปฏิบัติพิเศษเพื่อฝึกฝนตนให้ยิ่งขึ้นไป ชื่อว่า วัตร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2016, 08:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สอุปาทิเสสบุคคล บุคคลผู้ยังมีเชื้อกิเลสเหลืออยู่ ผู้ยังไม่สิ้นอุปาทาน ได้แก่ พระเสขะ คือ พระอริยบุคคลทั้งหมด ยกเว้นพระอรหันต์ เทียบ อนุปาทิเสสบุคคล


อนุปาทิเสสบุคคล บุคคลผู้ไม่มีเชื้อกิเลสเหลือ, ผู้หมดอุปาทานสิ้นเชิง ได้แก่ พระอเสขะ คือ อรหันต์


สังโยชน์ (สัญโญชน์) กิเลสที่ผู้มัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ อย่าง คือ ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ -ความเห็นว่าเป็นตัวของตน ๒. วิจิกิจฉา - ความลังเลสงสัย ๓. สีลัพพตปรามาส -ความถือมั่นศีลพรต ๔. กามราคะ - ความติดใจในกามคุณ ๕ ปฏิฆะ - ความกระทบกระทั่งในใจ

ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่ ๖. รูปราคะ - ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต ๗. อรูปราคะ - ความติดใจในอรูปธรรม ๘. มานะ - ความถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ ๙. อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน ๑๐ อวิชชา - ความไม่รู้จริง


พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้, พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย, พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด, พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ


ในพระอภิธรรม ท่านแสดงสังโยชน์อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. กามราคะ ๒. ปฏิฆะ ๓. มานะ ๔ ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๕. วิจิกิจฉา ๖ สีลัพพตปรามาส ๗. ภวราคะ (ความติดใจในภพ) ๘. อิสสา (ความริษยา) ๙. มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ๑๐. อวิชชา


อวิชชา ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี ๔ คือ ความไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์)


อวิชชา ๘ คือ อวิชชา ๔ นั้น และเพิ่ม ๕ ไม่รู้อดีต ๖ ไม่รู้อนาคต ๗. ไม่รู้ทั้งอดีตทั้งอนาคต ๘. ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท (ข้อ ๑๐ ในสังโยชน์ ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม ข้อ ๗ ในอนุสัย ๗)


สำเหนียก กำหนด, จดจำ, คอยเอาใจใส่, ฟัง, ใส่ใจคิดที่จะนำไปปฏิบัติ, ใส่ใจสังเกตพิจารณาจับเอาสาระเพื่อจะนำไปปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ (คำพระว่า สิกขาหรือศึกษา)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2016, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัญเจตนา ความจงใจ, ความแสวงหาอารมณ์, เจตนาที่แต่งกรรม, ความคิดอ่าน มี ๓ คือ

กายสัญเจตนา วจีสัญเจตนา และ มโนสัญเจตนา มี ๖ คือ รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา และ ธัมมสัญเจตนา (ดู ปิยรูป สาตรูป)


ปิยรูป สาตรูป สภาวะที่น่ารักน่าชื่นใจ มุ่งเอาส่วนที่เป็นอิฏฐารมณ์ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งตัณหา มี ๑๐ หมวด หมวดละ ๖ อย่าง คือ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ วิญญาณ ๖ สัมผัส ๖ เวทนา ๖ สัญญา ๖ สัญเจตนา ๖ มี มี รูปสัญเจตนา เป็นต้น วิตก ๖ มี รูปวิตก เป็นต้น วิจาร ๖ มี รูปวิจาร เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2016, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของคนทั้งนั้น ลงๆแล้วนึกเบือ

แต่แปลกใจ โฮฮับว่าพุทธธรรมไม่ใช่เรื่องของคน :b32:

อ้อนึกได้แระ เพราะไม่เข้าใจความหมายภาษาของเขา เมื่อตนนำศัพท์แสงเขามาพูดมาอ้างอิงแล้ว แต่ไม่รู้สื่อถึงอะไร ก็คิดวาดภาพเอาเอง แล้วก็่ว่าที่ตนคิดนั่นแหละธรรมะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2016, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เรื่องของคนทั้งนั้น ลงๆแล้วนึกเบือ

แต่แปลกใจ โฮฮับว่าพุทธธรรมไม่ใช่เรื่องของคน :b32:

อ้อนึกได้แระ เพราะไม่เข้าใจความหมายภาษาของเขา เมื่อตนนำศัพท์แสงเขามาพูดมาอ้างอิงแล้ว แต่ไม่รู้สื่อถึงอะไร ก็คิดวาดภาพเอาเอง แล้วก็่ว่าที่ตนคิดนั่นแหละธรรมะ :b1:

:b12:
นึกเบื่อเป็นธัมมะ
แปลกใจเป็นธัมมะ
ไม่เข้าใจเป็นธัมมะ
ที่ตนคิดนั่นแหละธัมมะ
เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะ
:b32:
:b55: :b55:


โพสต์ เมื่อ: 27 มิ.ย. 2016, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เรื่องของคนทั้งนั้น ลงๆแล้วนึกเบือ

แต่แปลกใจ โฮฮับว่าพุทธธรรมไม่ใช่เรื่องของคน :b32:

อ้อนึกได้แระ เพราะไม่เข้าใจความหมายภาษาของเขา เมื่อตนนำศัพท์แสงเขามาพูดมาอ้างอิงแล้ว แต่ไม่รู้สื่อถึงอะไร ก็คิดวาดภาพเอาเอง แล้วก็่ว่าที่ตนคิดนั่นแหละธรรมะ :b1:

:b12:
นึกเบื่อเป็นธัมมะ
แปลกใจเป็นธัมมะ
ไม่เข้าใจเป็นธัมมะ
ที่ตนคิดนั่นแหละธัมมะ
เพราะทุกอย่างเป็นธัมมะ
:b32:
:b55: :b55:


อ้างคำพูด:
Rosarin
ทั้งหมด ทั้งปวง ทั้งสิ้น เป็นธรรมะ
ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา
ธรรมะเป็นสาธารณะ
ธรรมะไม่ทุกข์
แต่ทุกข์ที่จิตใจค่ะ


viewtopic.php?f=1&t=52588&start=30

นั่นนี่โน่นเป็นธรรมะ ธรรมะเป็นสาธารณะ ธรรมะไม่ทุกข์ แต่มันทุกข์ที่จิตใจค่ะ :b15:

บางครั้งคุณโรสเหมือนนักมวยมีครู

แต่บางครั้งบางเวทีชกเหมือนมวยทะเล :b32: หลับหูหลับตาเหวียงซ้ายเหวียงขวาหวีดวาดๆๆ เล่นเอาคู่ชกฮงเหมือนกัน เอายังไงดีนะ คิกๆๆ :b32: กรรมการก็ปล่อยให้ชกไปได้ เห็นแล้วก็สงสาร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron