วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2013, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

รูปภาพ
แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ สำนักชีบ้านห้วยทราย

:b47: :b44: :b47:

คุณแม่ชีแก้ว ผู้รอบรู้พิสดาร

ที่บ้านห้วยทรายแห่งนี้ มีนักปฏิบัติธรรมหญิงท่านหนึ่ง นามว่า คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เวลาภาวนามักจะมีความรู้แปลกพิสดารมาก เมื่อท่านมาจำพรรษาอยู่ที่บ้านนี้ จึงได้มีโอกาสสนทนาและให้อุบายทางจิตตภาวนาอันสำคัญยิ่งต่อคุณแม่ชีแก้ว

หลวงตาเล่าถึงชีวิตการปฏิบัติธรรมอันน่าอัศจรรย์ยิ่งของคุณแม่ชีแก้วไว้ ดังนี้

“...แม่ชีแก้วที่อยู่บ้านห้วยทรายนี้ เป็นลูกศิษย์ดั้งเดิมของท่านอาจารย์มั่นมาตั้งแต่เป็นสาวโน่นนะ แกภาวนาเป็นตั้งแต่เป็นสาวโน่น ถ้าวันไหนภาวนาแปลกๆ พอท่านอาจารย์มั่นบิณฑบาตมาถึงนั้น ท่านจะว่า

“วันนี้ออกไปวัดนะ”

เพราะท่านหยั่งทราบทุกอย่าง...ทีนี้พอท่านจะจากที่นั่นไป ท่านก็บอกตรงๆ เลย บอกว่า

“นี่ถ้าเป็นผู้ชายแล้วเราจะเอาไปบวชเป็นเณรด้วย”

อายุตอนนั้นราว ๑๖-๑๗ ปี


“นี่เป็นผู้หญิงมันลำบากลำบน ไม่เอาไปแหละ อยู่นี่แหละ จะเป็นบ้าครอบครัวเหมือนโลกเขา ก็แล้วแต่เถอะ...”

ว่าดังนี้แล้วท่านก็ไป ก่อนจะไปท่านสั่งว่า “แต่อย่าภาวนานะ”

นี่สำคัญ ท่านสั่งไว้จุดนี้แหละ คือนิสัยแกผาดโผนมาก เรื่องภาวนานี้นิสัยผาดโผนมากจริงๆ เหาะเหินเดินฟ้าดำดินบินบนในหัวใจมันออกรู้ออกเห็นหมด เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเปรตผีนี้มันไปรู้ไปหมดนั่นซิ ทีนี้เวลาไม่มีครูมีอาจารย์คอยแนะคอยบอก กลัวมันจะเสีย ท่านจึงห้ามไม่ให้ภาวนา

“เราไปนี้ไม่ต้องภาวนาแหละ ต่อไปมันก็จะมีครูมีอาจารย์สอนเหมือนกันนั่นแหละ”

ท่านว่าอย่างนี้ ท่านว่าผ่านๆ ไปอย่างนี้แหละ...ทีนี้นานเข้าๆ หนักเข้ามันอดไม่ได้ มันอยากภาวนาอยู่ตลอด แกก็เลยภาวนา ก็พอดีเป็นจังหวะที่เราไปที่นั่น พอเหมาะดีเลยเทียว

พอเราไปถึง แกก็มาเล่าให้ฟัง ตอนที่เราไปนั้นเราไปจำพรรษาบนภูเขา ให้หมู่เพื่อนจำพรรษาข้างล่าง เรากับเณรหนึ่งไปจำพรรษาอยู่บนภูเขา บ้านห้วยทรายนั่นแหละ

พอวันพระหนึ่งๆ พวกเขาจะไป ไปพร้อมกันไปละ ไปทั้งวัดเขาเลยแหละ พวกแม่ชีแม่ขาวหลั่งไหลกันไป ขึ้นบนภูเขาหาเราตอนบ่าย ๔ โมง ๔ โมงเย็นเขาก็ไป ตอนจวน ๖ โมงเย็นเขาก็กลับลงมา พอไปถึงแกก็เล่าให้ฟัง ขึ้นต้นก็น่าฟังเลยนะ พอแกขึ้นต้นก็น่าฟังทันที

“นี่ก็ไม่ได้ภาวนา เพิ่งเริ่มมาภาวนานี่แหละ ญาท่านมั่นท่านไม่ให้ภาวนา”

แกว่าอย่างนั้น “ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา”

เราก็สะดุดใจกึ๊ก มันต้องมีอันหนึ่งแน่นอน ลงหลวงปู่มั่นห้ามไม่ให้ภาวนานี้ ต้องมีอันหนึ่งแน่นอน จากนั้นแกก็เล่าภาวนาให้ฟังนี้ โถ ไม่ใช่เล่นๆ พิสดารเกินคาดเกินหมาย เราก็จับได้เลยทันที

“อ๋อ อันนี้เองที่ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา”

...พอไปอยู่กับเรา...ไปหาเราก็ภาวนา พูดตั้งแต่เรื่องความรู้ความเห็น ไปโปรดเปรตโปรดผีโปรดอะไรต่ออะไร นรกสวรรค์แกไปได้หมด รู้หมด แกรู้ ทีนี้เวลาภาวนามันก็เพลินแต่ชมสิ่งเหล่านี้ ครั้นไปหาเรานานเข้าๆ เราก็ค่อยห้ามเข้า หักเข้ามาเป็นลำดับลำดา ห้ามไม่ให้ออก ต่อไปห้ามไม่ให้ออกเด็ดขาด...นี่แหละ เอากันตอนนี้ ทีแรกให้ออกได้ “ให้ออกก็ได้ไม่ออกก็ได้ ได้ไหม เอาไปภาวนาดู ?” ครั้นต่อมา “ไม่ให้ออก” ต่อมาดัดเลยเด็ดเลย “ห้ามไม่ให้ออกเป็นอันขาด”

นั่น เอาขนาดนั้นนะทีนี้ ให้แกรู้ภายใน อันนั้นเป็นรู้ภายนอกไม่ใช่รู้ภายใน ไม่ใช่รู้เรื่องแก้กิเลส จะให้แกเข้ามารู้ภายใน เพื่อจะแก้กิเลส แกไม่ยอมเข้า เถียงกัน แกก็ว่าแกรู้ แกก็เถียงกันกับเรานี่แหละ ตอนมันสำคัญนะ พอมาเถียงกับอาจารย์ อาจารย์ก็ไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงภูเขาเลย

“ไป...จะไปที่ไหน...ไป สถานที่นี่ ไม่มีบัณฑิตนักปราชญ์ มีแต่คนพาลนะ ใครเป็นบัณฑิตนักปราชญ์ให้ไป ลงไป...”

ไล่ลงเดี๋ยวนั้น ร้องไห้ลงไปเลย เราก็เฉย น้ำตานี้ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร เราเอาตรงนั้น ไล่...ลงไป

“อย่าขึ้นมานะ แต่นี้ต่อไปห้าม" ตัดเด็ดกันเลย ไปได้ ๔-๕ วัน โผล่ขึ้นมาอีก”...ขึ้นมาอะไร !!!...

“เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน” แกว่า

“มันอะไรกัน นักปราชญ์ใหญ่” เราว่าอย่างนั้นนะ ว่านักปราชญ์ใหญ่ แกว่า “เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อนๆ” แกจึงเล่าให้ฟัง คือไปมันหมดหวัง แกก็หวังจะพึ่ง ก็พูดเปิดอกเสียเลย แกหวังว่า


“จะพึ่งอาจารย์องค์นี้ ชีวิตจิตใจมอบไว้หมดแล้วไม่มีอะไร แล้วก็ถูกท่านไล่ลงจากภูเขา เราจะพึ่งที่ไหน ?

แล้วเหตุที่ท่านไล่ ท่านก็มีเหตุมีผลของท่านว่า เราไม่ฟังคำท่าน ท่านไล่นี่ ถ้าหากว่าเราจะถือว่าท่านเป็นครูเป็นอาจารย์แล้วทำไมจึงไม่ฟังคำของท่าน เพราะเราอวดดี แล้วมันก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร

ทีนี้ก็เลยเอาคำของท่านมาสอนมาปฏิบัติ มันจะเป็นยังไง ? เอาว่าซิ มันจะจม ก็จมไปซิ”


คราวนี้แกเอาคำของเราไปสอนบังคับไม่ให้ออกอย่างว่านั่นแหละ แต่ก่อน มีแต่ออกๆ ห้ามขนาดถึงว่าไล่ลงภูเขา แกไม่ยอมเข้า มีแต่ออกรู้อย่างเดียว พอไปหมดท่าหมดทางหมดที่พึ่งที่เกาะแล้ว ก็มาเห็นโทษตัวเอง

“ถ้าว่าเราถือท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ ทำไมไม่ฟังคำท่าน ฟังคำท่านซิ ทำลงไปแล้วเป็นยังไงให้รู้ซิ”

เลยทำตามนั้น พอทำตามนั้นมันก็เปิดโล่งภายในซิ ทีนี้ จ้าขึ้นเลยเชียว นี่ก็สรุปความเอาเลย นี่แหละที่กลับขึ้นมา กลับขึ้นมาเพราะเหตุนี้ ทีนี้ได้รู้อย่างนั้นๆ ละทีนี้ รู้ตามที่เราสอนนะ

“เออ เอาละ ทีนี้ขยำลงไปนะตรงนี้ ทีนี้อย่าออก อย่ายุ่ง ยุ่งมานานแล้วไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เหมือนเราดูดินฟ้าอากาศ ดูสิ่งเหล่านั้นน่ะ

ดูเปรตดูผีดูเทวบุตรเทวดา มันก็เหมือนตาเนื้อเราดู สิ่งเหล่านี้ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ถอนกิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้นี่ ตรงนี้ ตรงถอนกิเลส”

เราก็ว่าอย่างนี้ “เอ้า ดูตรงนี้นะ”

แกก็ขยำใหญ่เลย เอาใหญ่เลย ลงใจไม่นานนะก็ผ่านไป แกบอกแกผ่านมานานนะ...พ.ศ. ๒๔๙๔ เราไปจำพรรษาที่ห้วยทราย ในราวสัก ๒๔๙๕ ละมัง แกก็ผ่าน...”

คำกล่าวอีกตอนหนึ่งของท่านเล่าถึงเรื่องความรู้พิสดารของคุณแม่ชีแก้ว ดังนี้

“...ความรู้ของคุณแม่แก้วแปลกพิสดารมาก สำคัญที่สุดที่เรียกว่าไม่พลาดเลย เวลาเราไปไหนมาไหนนี่นะ ไม่มีพลาดเลย แม่นยำ ไม่มีเคลื่อนเลย พอเราออกจากวัด

“อ้าวญาท่านไปแล้วนะวันนี้นะ” ว่าอย่างนั้นนะ “ไปแล้ว”

ที่เราไปไหนมาไหนนิสัยเราก็อย่างนี้ มันไม่เคยพูดไม่เคยบอกใคร มันเป็นนิสัยอย่างนั้นแต่ไหนแต่ไร ทางนี้ก็รู้แล้วเริ่มแล้วนะนี่

“อบอุ่นเข้าแล้ว ค่อยอบอุ่นเข้ามาๆ”

พอถึงที่ก็ว่า “ถึงแล้ว” ตอนเช้าก็ได้หุงข้าว แล้วเตรียมหมากทุกวันไม่มีพลาด เราถึงได้ถามนะสิ

“นี่เตรียมมาทุกวันหรือ ? หมากนี่ข้าวเนี่ย”

หุงข้าววันละหม้อเล็กมาให้ทุกวันตอนเราอยู่นั่นน่ะ บอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง หุงข้าวเตรียมหมาก แกคอยจัด ตัวแกเองไม่มาหรอก แต่ให้แม่ชีมาจังหัน แม่ชีก็เอามา ส่วนแกนานๆ จะเอามาทีหนึ่ง ถามแม่ชีเรื่องหุงข้าว แม่ชีตอบว่า

“เพิ่งหุงตอนญาท่านมานี่แหละ”

เขาเรียกญาท่าน เป็นความเคารพของเขานะ “หมากนี่เพิ่งทำ ตอนญาท่านไม่อยู่ ข้าวนี่ก็งดหมด”

“แล้วทำไมถึงรู้ว่าจะทำ ?”

แม่ชีตอบว่า “ก็คุณแม่บอกให้ทำไปเถอะ ญาท่านมาแล้ว”

นี่แหละ อันนี้ไม่พลาดนะ สำคัญไม่มีพลาด...กับตอนที่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมรณภาพ โอ๊ย แกแม่นยำของแกขนาดนั้น...

“ญาท่านเสียแล้ว...เมื่อคืนนี้”

แกเล่าว่า “ญาท่านมาบอกว่า มานี่มา ไปดูเสียซากเรา เห็นแต่ซากแล้ว ญาท่านว่า พ่อไปแล้วนะ”


พอคุยพูดกันยังไม่เลิกเลย ไอ้หลานมันก็ไปคำชะอี ไปได้ข่าวเขาออกวิทยุตอนเจ็ดโมงเช้า ประกาศลั่นว่า

“หลวงปู่มั่นเสียแล้ว”

มาถึงมันก็วิ่งถึงวัดเลย วิ่งกระหืดกระหอบมา “อะไร ?”


“โอ๊ย ญาท่านเสียแล้ว นั่นเห็นไหม...เห็นไหม เสียในเวลาเท่านั้นเท่านี้ เขาประกาศลั่น นี่ก็แม่นยำมาก...”

ศิษย์คนสำคัญอีกท่านหนึ่งในระยะที่พักอยู่บ้านห้วยทรายแห่งคือ ตาปะขาว ชื่อ คำตัน

ซึ่งระยะต่อมาไม่นาน ตาปะขาวก็ได้บวชเป็นพระภิกษุ หลวงตาเมตตาเป็นผู้จัดหาบริขาร เครื่องบวชให้ด้วยตนเอง ดังคำกล่าวของท่านว่า

“...หลวงพ่อตันนะ องค์หนึ่งนะ อันนี้ก็เราบวชให้เลยนะ เป็นตาปะขาว แกภาวนาดี แกเล่าภาวนาให้ฟัง เข้าท่านี่ว่ะ เราเลยให้ไปบวชมุกดาหาร เราไม่ไปแหละ แต่ให้โยมพาไป ให้พระพาไป บริขารเราเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว ให้ไปบวชแล้วมาอยู่กับเรา หลวงพ่อตันนี้องค์หนึ่ง...”


รูปภาพ
หลวงปู่คำตัน ฐิตธมฺโม วัดป่าดานศรีสำราญ

:b8: :b8: :b8: คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
หนังสือ...หยดน้ำบนใบบัว คติธรรมและชีวประวัติ
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24738

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2013, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโมทนาด้วยนะคะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2019, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

บูชาคุณกราบไหว้อัฐิธาตุของแม่ชีแก้ว

ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ สำนักชีบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ (บ่าย)


แม่ชีแก้ว พูดตามภาษาของธรรม ไม่เอากิเลสมาแย่งมาชิงมากีดมาขวาง ก็พูดว่าแม่ชีแก้วนี้ก็คือพระอรหันต์องค์หนึ่งนั่นเอง อัฐิของแกได้กลายเป็นพระธาตุอย่างละเอียดลออประจักษ์ใจให้เห็นแล้ว ทางสายตาประชาชนทั่วๆ ไป ทางด้านจิตใจก็สิ้นเสร็จลงไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นปีที่แกผ่านพ้นอุปสรรคแดนนรกของวัฏจักร ไปเป็นเวลาจนกระทั่งถึงป่านนี้ นานมาแล้วแหละ นี่อัฐิของแกเวลาล่วงไปแล้ว ก็ได้กลายเป็นพระธาตุขึ้นมา จึงว่าเป็นผู้สมควรที่จะก่อเป็นเจดีย์ขึ้นมาให้ประชาชนทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา

วันนี้เราเป็นมงคลทั่วหน้ากัน แล้วมาทั้งใกล้ทั้งไกล เราสละชีวิตจิตใจ หน้าที่การงานทุกอย่างมาแล้ว เพื่อบูชาคุณกราบไหว้อัฐิธาตุของแม่ชีแก้ว โดยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นำหน้า หรือเป็นแกนนำอยู่ในนั้นด้วย เรียกว่าเราได้กราบทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ก็คืออย่างแม่ชีแก้วนี่ก็เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ โดยสมบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ว่าผู้หญิงมาเป็นสรณะ ความบริสุทธิ์ของจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นไม่นิยมว่าเป็นเพศหญิงเพศชาย นั่นละเป็นสรณะของโลก เราก็ได้มากราบไหว้บูชาสรณะอันนั้นเข้าสู่ดวงใจของเรา นับว่าสมมักสมหมายที่ได้พากันมาทั้งใกล้ทั้งไกล ไม่เสียท่าเสียที ไม่เสียเวล่ำเวลา มาได้มรรคได้ผลตามเจตนาของเราที่มา



:b8: :b8: :b8: ขอขอบพระคุณที่มาของเนื้อหา :
https://www.luangta.com/thamma/thamma_t ... 28&CatID=2

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2019, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ กับ แม่ชีแพง โลหิตดี
(โยมมารดาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

:b44: :b47: :b44:

อำนาจของจิตที่บริสุทธิ์

ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๕


พูดถึงเรื่องท่านสิงห์ทอง (พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร) วันนี้ได้อัฐิของท่านสิงห์ทอง กลายเป็นพระธาตุแล้ว และอัฐิของผู้เฒ่าแม่แก้ว (แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ) ก็เป็นแล้วนะ เร็วไหมผู้เฒ่าแม่แก้วที่ห้วยทราย เป็นแล้ว ก็สมควรจะเป็น ดูเหมือนจะผ่านมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๕ คิดดูแล้ว เพราะ ๙๔ เราไปจำพรรษาที่ห้วยทราย ๙๓ จำพรรษาที่หนองผือ พอออกพรรษาแล้วก็หนีเที่ยวกลับไปจำพรรษาที่ห้วยทราย หลวงตาบัว (หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดป่าหนองแซง) ก็รุมตาม หลวงตาบัวหนองแซง จำพรรษาที่นั่น ไปก็ได้ไปสอนผู้เฒ่าแม่แก้ว พรรษานี้สอนลากออกจากสมาธิ พรรษาแรกนี่เพราะแกติดสมาธิ

สมาธิของแกพิสดารมากนะ พอรวมลงไปแล้วจะออกรู้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าอะไรไม่มีประมาณจนกระทั่งติด ถ้าวันไหนไม่ได้รู้สิ่งเหล่านี้เหมือนว่าวันนั้นทำงานไม่ได้ผลว่างั้น มันติด เจ้าของพูดอย่างเพลินนะ ผู้ฟังฟังอย่างสลดสังเวชซี ติดขนาดนั้น แล้วก็พ่อแม่ครูจารย์ท่านเวลาท่านจะไป ตั้งแต่แกเป็นสาวอยู่โน่น จนเขายกโทษพ่อแม่ครูจารย์มั่น โลกมันเป็นยังงั้นละ เห่าดะไปยังงั้น คือถ้าวันไหนแกภาวนาดีๆ นี้ พ่อแม่ครูจารย์มั่นบิณฑบาต แกก็มาใส่บาตร แกเป็นสาวอยู่ คนเต็มอยู่เป็นแถวนี่มาใส่บาตร ท่านก็พูดกับเฉพาะเด็กคนนี้เท่านั้น วันนี้ออกไปวัดหน่อยนะ คือท่านเห็นเหตุผลแล้วตอนกลางคืน วันนี้คือแกภาวนาดี พอออกไป ไปก็ไม่ได้ไปคนเดียวนี่นะ พวกผู้เฒ่าผู้แก่ไปกันเป็นพวงๆ นี่ ทีนี้พระเณรก็ล้อมเต็มไปหมดพอเห็นเด็กคนนี้ไปนะ เพราะเคยได้ยินธรรมะท่านพูดท่านสอนเด็กคนนี้


ทีนี้เด็กคนนี้มันแปลกประหลาด คือว่ามันรู้อย่างนั้นแหละ ท่านเป็นคนสอน อันนี้ก็สรุปเอาเลยนะ ตอนที่ท่านจะจากไปท่านบอกว่าอย่าภาวนานะต่อไปนี้ ถ้าอยากจะไปว่ายวัฏฏะกับเขาก็ไปว่ายเสีย ท่านว่างั้นนะ เข้าใจไหมว่ายวัฏฏะก็คือมีผัวมีเมียตามโลกตามสงสารความหมายน่ะ อยากไปแหวกไปว่ายวัฏฏะกับเขาก็ไปเสีย คือแต่ก่อนถ้าว่าเป็นผู้ชายก็จะเอาไปบวชเป็นเณรจะเอาไปด้วยท่านว่ายังงั้น แต่นี้เป็นผู้หญิง...ไม่เอา เราไปนี้อย่าภาวนานะ นั่นสำคัญ ให้หยุดอย่าภาวนานะ เราไปนี้แล้วไม่มีใครแก้ แล้วท่านก็ไป

ทีนี้เวลาเรา (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ไปที่นั่น แกมาพูดให้ฟังถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านห้ามไม่ให้ภาวนา เราก็สะดุดกึ๊ก เอ๊ะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นห้ามนี่ต้องมีเหตุมีผล แล้วพอแกพูดไปๆ มันก็ออกตรงที่แกรู้นั้นรู้นี้ อ๋อ ตรงนี้เอง คือตรงนี้มันล่อแหลมนี่ ผู้ภาวนาไม่มีผู้แนะมันเสียได้จริงๆ นี่ มันผาดโผน พอแกพูดมาถึงจุดนี้แล้วเราก็รู้ทันที จากนั้นมาแล้วเราก็เตือนแกสอนแกไม่ให้แกออก...รวมแล้วให้อยู่ๆ จากนั้นก็จะสอนวิธีต่อไป ทีนี้แกก็ไม่ยอมอยู่ แกเพลินแกว่า ก็มันไม่รู้แล้วก็ไม่เห็นผลอะไร

ผลผีบ้านั่นรึ ลืมตานี้ก็เห็นหมดแล้วนี่ดูอะไรก็ดี จะมาว่าเห็นอะไรอย่างนั้น

มันไม่เหมือนตาใจนะ ยังว่าอีก ยังเถียงอยู่นั่น ตาใจมันเห็นแปลกๆ เห็นเปรตเห็นผีเห็นยักษ์เห็นมาร เห็นเทวบุตรเทวดา มันเห็นหมดนี่ ตานี้ไม่เห็นแกยังว่ายังงั้น แกยังเถียงเราอยู่โน่นแน่ะฟังซิ

ทางนี้ก็เอาเข้าละซี เอ้า ให้อยู่ก็ได้ให้ออกก็ได้ เอาไปปฏิบัติก่อน ๒ ข้อนี้นะ พอรวมลงแล้วให้อยู่ก็ให้อยู่ได้นะ พอปล่อยอันนี้มันออกก็ออกได้ ให้อยู่ก็อยู่ได้ ไม่ให้ออกเลยก็ได้

แกก็คงไม่เต็มใจทำเท่าไรเพราะแกติด ทีนี้หนักเข้าๆ ก็บังคับเลยซิที่นี่ ว่ามันเข้าไม่ได้ ถ้าเข้าไม่ได้ เอ้า ไม่ให้ออก ให้เข้าถ่ายเดียวบังคับเลย คือ รวมแล้วให้อยู่กับที่เลยไม่ให้ออก คราวนี้เอาถึงเด็ดขาดเทียวนะ บอกห้ามไม่ให้ออกเด็ดขาด ไปสักสี่ห้าวันแกกลับมาอีก เป็นยังไงมันเข้าได้ไหม

มันยังออกอยู่

ขนาบใหญ่เลยคราวนี้เพราะคราวที่เด็ดนี่ ไล่หนีลงจากภูเขาจะว่าไง ปีนั้นเราไปจำพรรษาบนภูเขาให้พระเณรจำอยู่ตีนเขาทางด้านโน้น เราจำพรรษาอยู่บนภูเขากับเณรองค์หนึ่ง ไล่ลงภูเขาละ ส่วนมากเขาไปตอนบ่าย ๔ โมง พอค่ำเขาก็ลงจากภูเขาไปสำนักเขา วันนั้นไล่กันเลย ไล่ก็ร้องไห้เลยเทียว ไป...ตั้งแต่นี้ต่อไปอย่ามาเป็นอันขาดนะ สถานที่นี้ไม่มีบัณฑิตนักปราชญ์ละมีแต่คนโง่ คนฉลาดไปตามแถวคนฉลาดอย่ามาหาคนโง่นะ ขนาบใหญ่ ร้องไห้เลย ร้องไห้ก็เฉย น้ำตาแบบนี้เป็นประโยชน์อะไร น้ำตานี้ไม่ใช่น้ำตาเป็นประโยชน์ น้ำตาออกจากความโง่จะตายไปยังไม่รู้ตัว แต่เราไม่ว่า ไล่ไป ขนาบใหญ่เลย จนร้องไห้ลงจากภูเขาเลย ก็จะเอาจริงๆ คราวนี้ ไม่เอาขนาดนั้นจะไม่ได้

สัก ๔ วันโผล่ขึ้นมาแล้ว มาอะไร
โอ๊ย เดี๋ยวๆ ขอให้พูดเสียก่อนๆ
พูดอะไรเอ้าว่าซี เราก็ดุเรื่อย


โอ๊ย นิมนต์ญาท่าน (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ไปนั่งเสียก่อนจะพูด แก (แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ) ไปกับหมู่เพื่อนห้าหกเจ็ดคน พอไปแกก็เล่าให้ฟัง ถูกละที่นี่ แกบอกว่าแกผิดหวังแล้ว คือหมดหวังไม่มีที่พึ่งแล้ว หวังพึ่งอาจารย์องค์นี้ (พ่อแม่ครูจารย์มั่น) แต่ถูกขนาบไล่ลงภูเขาแล้วก็จะไปพึ่งใครที่นี่ แล้วก็ย้อนมา ก็ท่านสอนถ้าว่าจะเชื่อท่าน แล้วท่านสอนทำไมไม่เชื่อท่าน นี่อันหนึ่งนะ ก็เชื่อท่านบ้างซิจะเป็นยังไง เชื่อเราก็เชื่อมานานแล้ว ความเป็นความเห็นของเราอะไรท่านก็อธิบายให้ฟังแล้วมันเป็นขนาดไหน แล้วเราก็ยังติดยังพันอยู่ แล้วส่วนอุบายของท่านสอนควรที่จะเชื่อบ้าง ทำไมไม่เชื่อ ที่ท่านไล่ลงภูเขาก็สมควรแล้ว คือปลอบใจเจ้าของ เอ้าทีนี้ไม่ปฏิบัติตามท่านแล้วก็จะไปหาท่านได้ยังไง ต้องปฏิบัติซิ ลองทำ

ทีนี้ก็มีแต่บังคับให้อยู่ละคราวนี้เพราะมันชินพอ พอบังคับให้อยู่ พอแน่วลงอยู่นี้ก็สว่างจ้าขึ้น แล้วก็ปรากฏเป็นนิมิตเรานี้แหละมา ถือมีดเขาเรียกว่าอะไรไม่รู้ มีดก็มีดคมกริบ แสงออกแพรวพราวๆ ทีนี้ให้พิจารณาอย่างนี้นะ การทำลายกายทำลายอย่างนี้ จุดตะเกียงเจ้าพายุมาด้วยนะ หิ้วตะเกียงเจ้าพายุมาด้วยแกว่า หิ้วตะเกียงเจ้าพายุมาแล้วก็ฟันเลย ฟันตัวแกนั่นแหละในนิมิตภาวนา ฟันพออันนี้ขาดตกอันโน้นขาดตก ฟันนี้ๆ ทำอย่างนี้ๆ แยกกายแยกอย่างนี้ ฟันฟาดมันแหลกไปเลยนะ ฟันแล้วเขี่ยๆ เขี่ยออก นี่ๆ ดูเอาๆ แล้วแยกออกไป อันไหนเป็นสัตว์อันไหนเป็นบุคคล อันไหนเป็นหญิง อันไหนเป็นชาย เอ้าดูเทียบดู อันไหนสวยอันไหนงาม เอ้าดู ฟันออกจนแหลก

ทางนี้ก็ดู เกิดความสลดสังเวชภายในจิตใจ มันเป็นนิมิตอันหนึ่งออกแต่เป็นธรรม พออันนี้แตกกระจัดกระจายไปจนกระทั่งว่าเกิดความสลดสังเวชตัวเอง พอคราวนี้พึ่บลงอีก คราวหลังนี้เงียบเลย พูดไม่ถูกคราวนี้ จะว่าอัศจรรย์ขนาดไหนพูดไม่ถูก ทีนี้พอจิตถอนขึ้นจากนั้นก็หมอบกราบไปทางภูเขาเลยแกว่า


นี่แกมาเล่าให้ฟังวันที่เราขนาบแก ขึ้นมาอะไรเราว่า แกเล่าให้ฟัง เอ้อๆ คราวนี้ถูกต้องแล้ว ทีนี้ให้พิจารณาอย่างนั้นๆ นะ นั่นทางเดิน แกก็ยอมทันที แกลงแล้วนี่ทีนี้ก็บอกง่ายนิดเดียว เอ้าพิจารณาอย่างนั้นๆ จากนั้นปัญญาก็ก้าวเลยเทียว พอไปปี ๙๕ เรื่องหมดปัญหาแกก็ไปเล่าให้ฟัง พิจารณาไปอย่างนั้นๆ มันเป็นอย่างนั้นๆ พอจากนั้นแล้วเราก็ไม่เคยสอนอีกเลยสอนแบบนั้นนะ แกเองก็ไม่เคยถามเลย ตั้งแต่นั้นมาจนป่านนี้มันกี่ปีแล้วล่ะ พ.ศ. ๙๕ ถึงปีนี้ก็ ๔๐ ปี แล้วแกตายไป ๒ ปีนี้แล้วหักออกเสียเป็น ๓๘ ปีใช่ไหม มันก็ควรจะเป็น (อัฐิเป็นพระธาตุ - สาวิกาน้อย) เพราะผ่านไปนานแล้ว


:b8: :b8: :b8: ขอขอบพระคุณที่มาของเนื้อหา :
https://www.luangta.com/thamma/thamma_t ... 95&CatID=2

• ประมวลภาพ “แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42864

• ประวัติและปฏิปทา “คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=37088

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร