วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2017, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แถมท้ายค่ะ...ตั้งแต่เรากลับมารักษาตัวกับแพทย์ปัจจุบัน เราใช้บัตร 30 บาท ในการรักษา ไม่เสียเงินเลย ทุกอย่างฟรีทุกขั้นตอน


เจ้าของไอเดียประกันสุขภาพ 30 บาท

https://pbs.twimg.com/media/Czw6jUMVQAEa2kl.jpg

ปัจจุบันคุณหมอเสียชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนยากไร้

คนไทยเก่งๆความคิดดีๆเยอะ แต่ขาดการสนับสนุนจากรัฐบาล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2017, 05:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะอะไร การทำสมาธิ จึงทำให้อาการเจ็บป่วยสงบรำงับลงได้ชั่วคราวคะ ?

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเป็นหวัดหนักมาก เวลาหายใจเข้าออกแสบจมูกมากๆ
ทั้งปวดหัว ทั้งไอหนักๆ เรียกว่าอาการแย่เลยค่ะ
ด้วยที่วันเสาร์เป็นวันพระ เราถือศีลแปด พอมีเวลาว่างจึงเข้าห้องพระ
ตั้งใจจะนั่งสมาธิสักแป๊บนึง เพราะคิดว่าคงนั่งได้ไม่นาน เนื่องจากป่วยอยู่
แต่พอหายใจเข้าออกได้สักสามสี่ครั้ง รู้สึกได้เลยค่ะ ว่าวันนี้จะนั่งได้ดีแน่ๆ
เพราะลมหายใจละเอียด แน่น หนึบ (อธิบายไม่ค่อยถูก)

ในขณะที่เราทำสมาธิอยู่นั้น อาการแสบจมูกหายไป อาการปวดหัวหายไป
ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง เราไอเบาๆ ไม่เกิน 5 ครั้งค่ะ
จากเดิมที่ป่วย 100% ในขณะนั้นเหลืออาการป่วยไม่เกิน 10%
และในการทำสมาธินั้น เราก็เกิดนิมิต เกิดปีติตามปกติ
น่าจะอยู่แค่ในชั้นอุปจารสมาธิเท่านั้น

เราเลยสงสัยว่า ทำไมสมาธิแค่นี้ถึงทำให้เราสงบจากความเจ็บป่วยได้

ทำให้นึกภาพ ผู้ที่เข้าอัปปนาสมาธิหนีเวทนาได้เลย ว่าก็คงเป็นเช่นนี้ในระดับที่สูงกว่า

พี่ๆ ท่านใดพอมีคำอธิบายในเรื่องนี้ได้บ้าง ขอทานเป็นความรู้ด้วยนะคะ
ขอบพระคุณค่ะ

ปล. หลังจากออกจากสมาธิพักใหญ่ๆๆๆ ก็ป่วยหนักเหมือนเดิมค่ะ TT

https://pantip.com/topic/36091416

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2017, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่งสมาธิแล้วลมหายใจสั้นมากๆ บางครั้งลมหายใจหาย สภาวะแบบนี้ควรปฏิบัติยังไงดีคะ

เราทำสมาธิเองที่บ้าน ไม่มีครูบาอาจารย์อย่างเป็นทางการค่ะ

หลังวันพระใหญ่ที่ผ่านมา เรานั่งสมาธิ จนจิตสงบทิ้งคำบริกรรม (เดี๋ยวนี้ไม่มีนิมิตแล้วค่ะ)
จากนั้นก็เกิดปีติ เป็นแบบน้ำตาไหล ตัวยืดไปข้างบนแล้วหดลงมา
จากนั้นจิตก็ไปจดจ่อที่ลมหายใจ ลมหายใจละเอียด เบา และสั้นมากๆ ค่ะ
จนเกือบจะเรียกได้ว่า ยาวไม่เกินครึ่ง ซม.

บางครั้งลมหายใจหายไป ตอนหายไปเราไม่รู้ว่าหายไปตอนไหน
มารู้อีกที คือหายแล้ว แต่ด้วยความที่เรา (คิดว่า) มีสติตลอดเวลา
พอรู้ว่าหาย เราไม่ตกใจ แต่ค่อยๆ คลำหาลมหายใจ

สักแป็ป ก็อ้อ อยู่นี่เอง แล้วก็มารู้ลมต่อ
หายๆ เจอๆ แบบนี้อยู่หลายรอบเลยค่ะ

เราอยากทราบว่า ถ้าเราต้องการสมาธิ การที่ลมหายใจหาย แล้วเราคลำหานี่
เราทำถูกต้องหรือไม่คะ
แนะนำด้วยนะคะ

https://pantip.com/topic/36117918

โยคีจะเห็นลึกขนาดนี้ได้ ต้องฝึกมานานพอสมควร ... จึงไม่ตื่นเต้นไม่ตกอกตกใจ ทั้งนิมิตก็ดับไปแล้ว

"รู้ตามที่มันเป็น" :b1: เมื่อมันหายก็เกาะอารมณ์ที่ปรากฏชัดตอนนั้นไปก่อน เมื่อลมคืนก็ตามลมต่อไป มันยาว มันสั้นมันหายมันคืน เป็นธรรมดาของนามรูป สรุปก็คือ มันเป็นยังไงก็รู้ยังงั้น ทั้งร่างกายและความรู้สึกนึกคิด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2017, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำพุทธพจน์ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้วางเทียบไว้ (ตัดมา)


“สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ ชื่ออิจฉานังคละ ใกล้อิจฉานังคลนคร ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจะปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส ใครๆไม่พึงเข้ามาหาเรา เว้นแต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาตรูปเดียว....


“ครั้งนั้นแล เมื่อล่วงเวลาสามเดือนแล้ว พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้นแล้ว ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย หากว่า อัญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายจะพึงถามพวกเธอ อย่างนี้ว่า พระสมณโคดมอยู่จำพรรษา ด้วยวิ หารธรรมใดโดยมาก เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่อัญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคประทับจำพรรษา ด้วยอานาปานสติสมาธิ โดยมาก
(สํ.ม.19/1373-4/415)

“ดูกรอานนท์ ธรรมเอก คือ อานาปานสติสมาธิ ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์
(สํ.ม.19/1381/417)

“ดูกรราหุล เมื่อเจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ แม้แต่ลมอัสสาสะปัสสาสะ ซึ่งมีในท้ายสุด ก็ดับไปโดยรู้ มิใช่ดับโดยไม่รู้” *

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2017, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัมภีร์อ้างอิง คาถาสุดท้ายข้างบน

* ม.ม.13/146/142 วิสุทธิมัคค์อธิบายว่า เมื่อจะสิ้นชีพ สามารถรู้ลมหายใจเข้า-ออกสุดท้ายของตน ตั้งแต่เริ่ม จนดับไปพร้อมกับจุติจิต และท่านอธิบายต่อไปด้วยว่า ภิกษุที่บรรลุอรหัตด้วยเจริญกัมมัฏฐานอย่างอื่น ย่อมกำหนดระยะกาลแห่งอายุของตนได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ท่านที่เจริญอานาปานสติครอบกระบวนแล้วบรรลุอรหัต สามารถกำหนดระยะกาลแห่งอายุของตนได้ (ว่าจะอยู่ไปอีกนานเท่าใด จะสิ้นชีพเมื่อใด)

ดู วิสุทธิ. 2/85-86

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2017, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ควรลงมือทำ จึงนำมาพอเป็นตัวอย่าง มากไปจะเฝือ

........

- พุทธพจน์แสดงวิธีปฏิบัติ

พึงทราบวิธีปฏิืบัติตามแนวพุทธพจน์ ดังนี้

"ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ เจริญอย่างไร ทำให้มากอย่างไร จึงจะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ก. ไปสู่ป่า ก็ดี ไปสู่โคนไม้ ก็ดี ไปสู่เรือนว่าง ก็ดี

ข. นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า (= เอาสติมุ่งต่อกรรมฐาน คือ ลมหายใจที่กำหนด)

ค. เธอมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก

๑) เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว

๒) เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น

ฯลฯ

มันเป็นยังไง ก็รู้ยังงั้นคือรู้ตามที่มันเป็นของมัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2018, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เมื่อเราเป็นมะเร็งและเกือบตาย เพราะเชื่อ และรักษาตัวแบบผิดๆ (สมาธิช่วยได้จริงๆ)

เมื่อต้นปี 2558 เดือนมกราคม เราตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 2 และรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลและคุณหมอก็ได้ทำการนัดผ่าตัด วันที่2 กุมภาพันธ์ ซึ่งคุณหมอก็หาคิวให้แบบเร็วที่สุด (เราใช้บัตร 30 บาทในการรักษา) ตอนพบหมอก่อนผ่าตัด หมอก็บอกว่า (หมอขออย่างเดียว อย่ากินยาต้มหรือยาหม้อสมุนไพร นอกนั้นกินได้หมด หมอไม่ห้าม)

- ระยะเวลาก่อนที่จะผ่าตัด เราจิตตกไปมากเลย ไม่บอกใครว่าเราเป็นมะเร็ง เก็บตัวอยู่แต่บนเตียงไม่อยากทำอะไร ตื่นมาก็คิดแต่ว่า ฉันเป็นมะเร็งและทำไมต้องเป็นฉัน ช่วงระยะเวลานั้นห่อเหี่ยวไปหมดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์

- ระหว่างรอที่จะผ่าตัด เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์ ตลอดเวลา (วันหนึ่งๆนั่งสมาธิหลายรอบ) จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้ ย้อนหลังกลับไปดูตัวเอง ตอนที่รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่ มันช่างหน้ากลัวจริงๆ คนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็งและถ้าท้อแท้หรือจิตใจเศร้าหมอง และถ้าตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆ และคิดไม่ได้ มันหน้ากลัวมากๆ พลอยทำให้โรคกำเริบไปด้วย

ฯลฯ (ข้ามตอนรักษาวิธีของพระ)

เราโทรไปสอบถามกับพระว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็ไม่รับสายเรา ได้แต่พิมพ์ทางข้อความ facebook ว่าไม่สะดวกรับสาย ให้พิมพ์ถาม เราเริ่มลังเลใจมากๆ ใจสุดท้าย ท่านก็พิมพ์บอกเราว่า แนะนำให้เราไปผ่าตัดและให้คีโม และค่อยกลับมารักษาตัวกลับที่วัดใหม่

จนเดือนมกราคม 2559 อาการเริ่มไม่ดี น้ำเหลืองจากใสๆ กลายเป็นน้ำเหลืองข้นๆ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง และรอบๆแผลเริ่มเปื่อย ถ้าหากว่าโดนหรือสะกิดก็จะเลือดไหล ต้องคอยซับทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั้งปวดแผล ปวดลึกๆ ตุบๆ ในบางครั้ง

- ปลายเดือนมกราคม 2559 เลยติดสินใจ มาโรงพยาบาล พบคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาครั้งแรก พอหมอเห็นแผลท่านก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า รักษาผ่าตัดให้ไม่ได้ เพราะแผลใหญ่เกิน แถมท่านยังต่อว่าอีกคือ หมอเคยขอแล้วใช่ไหมว่า อย่าไปกินยาต้มยาหม้อยาสมุนไพร แต่คุณก็ไปกิน ไม่เชื่อหมอ

-เราได้แต่นั่งร้องไห้ต่อหน้าหมอ เพราะเราผิดเองที่ไม่เชื่อหมอแต่แรก โรคเลยเป็นมากถ้าผ่าตัดตอนนั้น ก็คงไม่ทรมานแบบนี้

- เราทรมานมากๆ จากเดือน มกราคม-พฤษภาคม ระยะเวลาเกือบ 5 เดือน เราไม่เคยได้นอนหลับ (เราต้องใช้ท่านั่งหลับ เพราะถ้านอนราบ น้ำเหลืองจะไหลย้อนกลับทั้งเลือดด้วย) เราต้องนั่งหลับเอา ทรมานสุดๆ ไหนจะเลือดไหล ไหนจะน้ำเหลืองไหลตลอด คิดย้อนไปแล้ว มันช่างน่าสงสารตัวเองจริงๆ

และระยะเวลาการให้คีโมนี้เองที่เราก็ปฏิบัติธรรมแบบเร่งความเพียรมากๆ จิตใจไม่ท้อแท้ตามร่างกาย กลับสดชื่นในจิตใจลึกๆ ทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ เราแผ่เมตตาให้ตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวร และอธิฐานว่า เราไม่รู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ แต่เราขอชดใช้ให้

ถ้าหากว่าไม่พอใจที่เราทำยังไม่พอคือนั่งสมาธิ ก็เอาเราตายไปเลย เราไม่กลัวตาย

แต่ถ้าหากว่าเราไม่ตาย เราก็จะนั่งสมาธิต่อไป (เราอธิฐานแบบนี้ทุกครั้ง) และเราคิดว่าชีวิตที่เหลือคือโบนัส ถ้าไม่ตายก็ จะสร้างบุญใส่ตัวไปเรื่อยๆ เพราะว่าตายแล้วอะไรเอาไปไม่ได้นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น

- เวลาที่เรานั่งสมาธิ เหมือนถึงจุดที่สงบแล้ว เราจะเพ่งไปที่ก้อนเนื้อ และแผ่เมตตาให้ตัวเอง ค่อยๆไล่ลมออกทางปลายเท้า

- สรุปเราก็ไม่ต้องให้คีโมต่อ แต่ว่าฉายแสง25 แสง ก็จบกระบวนการรักษาทานยาวันเม็ด ต้านโฮโมน (5 ปี)

- เราดีใจมากที่ไม่ต้องให้คีโมต่อ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทุกวันนี้เราไปพบหมอ หมอก็ได้แต่บอกว่า คุณต้องทำบุญมามาก หรือมีบุญเก่ามาช่วย เพราะว่าในเคสของเรา ทุกอย่างมันหน้าจะแย่กว่านี้ แต่ของเราพอผ่าตัดเสร็จ ทุกๆอย่าง ปรกติดีหมด

- หลังผ่าตัดจนถึงปัจจุบัน ร่างกายเราแข็งแรงมากๆ ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ สดชื่นตลอดเวลา และระหว่างเราเป็นมะเร็ง เราไม่เคยปวดหัวเลย (ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง จะปวดหัวบ่อยๆ ต้องทานยาแก้ปวด) 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยปวดหัวสักครั้ง เป็นไข้ก็ไม่เป็น ปวดท้องก็ไม่ปวด ไม่ติดเชื้อเลย

- แต่เราก็ไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราผ่านความเจ็บปวดทรมานมากๆมาแล้ว ทนทุกข์กับร่างกายสังขารที่แย่สุดๆ เราต่อสู้ความเจ็บปวดด้วยสมาธิและการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวความตายเลย ยิ่งภาวนามากๆ จิตใจยิ่งเข้มแข็ง มองเห็นความตายแค่เอื้อม

เรากลับรู้สึกขอบคุณ มะเร็งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทำให้เราไม่ประมาท ไม่เสียใจที่เป็นโรคมะเร็งเลย ภูมิใจด้วยซ้ำที่เราต่อสู้มาได้ คำว่ามะเร็งเรารู้สึกเฉยๆ ถ้าใจเราดีแล้ว ร่างกายก็แค่นั้น
(เราคิดแบบนั้นจริง)

เราใช้ชีวิตได้ปรกติแล้วตอนนี้ เราเป็นโรคมะเร็ง มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราไม่สบายถ้าเราไม่บอก ก็ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ใกล้ๆบ้านเรา ไม่มีใครรู้เลย เวลาที่เราเห็นคนเป็นมะเร็ง และท้อแท้หดหู่และไม่สู้กับชีวิต เราอยากจะบอกว่า ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย ก็อย่าได้ไปท้อแท้เลย สู้กับมัน ไม่แพ้ก็ชนะ อย่างดีก็แค่ตายเท่านั้น ใจนั้นสำคัญที่สุด ถ้าใจเราเข้มแข็งแล้ว อะไรก็ทำอะไรเราไม่ได้

- เราไม่โกรธทางวัดที่แนะนำเราแต่แรกแบบผิดๆในการรักษา ที่ทำให้เราเกือบเอาชีวิตไม่รอดและต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่างกาย เราคิดแค่ว่า มันเป็นวิบากกรรม ที่เราต้องเจอ ต่อให้ต่อไปนี้ ถ้าเราต้องเจออะไรอีก เราก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน และต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ

- เรายอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวตัวเอง เพราะว่าต้องการให้คนที่กำลังตัดสินใจในการรักษาตัวเอง ถ้าเกิดเป็นโรคแบบเรา จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมาน และเสี่ยงกับความตาย ถ้ารักษาไม่ทัน หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ได้อ่านเรื่องราวของเรา

- แถมท้ายค่ะ...ตั้งแต่เรากลับมารักษาตัวกับแพทย์ปัจจุบัน เราใช้บัตร 30 บาท ในการรักษา ไม่เสียเงินเลย ทุกอย่างฟรีทุกขั้นตอน

ทุกวันนี้ ใครให้กินยาบำรุง หรือยาอะไรที่ว่า แก้มะเร็งได้ เราไม่กิน ต่อให้กินฟรีเราก็ไม่กิน เสียเงินเราก็ไม่กิน 30% เรารักษาตามที่หมอบอกให้ทำ ส่วนอีก 70% เรารักษาใจเรา ปฏิบัติธรรมให้ใจเข้มแข็งดีที่สุด

https://pantip.com/topic/36077522



สภาพกาย จิต สัมพันธ์ อาจแบ่งได้เป็น สามระดับ ตามขั้นของพัฒนาการทางจิต

ขั้นต่ำสุด ทุกข์กาย ซ้ำทุกข์ใจ คือ ผลต่อกาย กระทบจิตด้วย พอไม่สบายกาย ใจก็พลอยไม่สบายด้วย ซ้ำเติมตัวเองให้หนักขึ้น

ขั้นกลาง ทุกข์กาย อยู่แค่กาย คือ จำกัดขอบเขตของผลกระทบได้ ความทุกข์ความไม่สบายมีอยู่แค่ไหน ก็รับรู้ตามที่เป็นแค่นั้น วางใจได้ ไม่ให้ทุกข์ทับถมลุกลาม

ขั้นสูง ใจสบาย ช่วยกายคลายทุกข์ คือ เมื่อร่างกายทุกข์ ไม่สบาย นอกจากไม่เก็บไปก่อทุกข์แก่ใจแล้ว ยังสามารถใช้สมรรถภาพที่เข้มแข็ง และคุณภาพที่ดีงามของจิต ส่งผลดีกลับมาช่วยกายได้อีกด้วย

(พุทธธรรมหน้า ๗๘๙)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2018, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปริญญา การกำหนดรู้, การทำความเข้าใจโดยครบถ้วน มี ๓ คือ

๑. ญาตปริญญา กำหนดรู้ขั้นรู้จัก
๒. ตีรณปริญญา กำหนดรู้ขั้นพิจารณา
๓. ปหานปริญญา กำหนดรู้ถึงขั้นละได้

ปรีชา ความรอบรู้, ความหยั่งรู้, ความกำหนดรู้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2018, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เมื่อเราเป็นมะเร็งและเกือบตาย เพราะเชื่อ และรักษาตัวแบบผิดๆ (สมาธิช่วยได้จริงๆ)

เมื่อต้นปี 2558 เดือนมกราคม เราตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 2 และรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลและคุณหมอก็ได้ทำการนัดผ่าตัด วันที่2 กุมภาพันธ์ ซึ่งคุณหมอก็หาคิวให้แบบเร็วที่สุด (เราใช้บัตร 30 บาทในการรักษา) ตอนพบหมอก่อนผ่าตัด หมอก็บอกว่า (หมอขออย่างเดียว อย่ากินยาต้มหรือยาหม้อสมุนไพร นอกนั้นกินได้หมด หมอไม่ห้าม)

- ระยะเวลาก่อนที่จะผ่าตัด เราจิตตกไปมากเลย ไม่บอกใครว่าเราเป็นมะเร็ง เก็บตัวอยู่แต่บนเตียงไม่อยากทำอะไร ตื่นมาก็คิดแต่ว่า ฉันเป็นมะเร็งและทำไมต้องเป็นฉัน ช่วงระยะเวลานั้นห่อเหี่ยวไปหมดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์

- ระหว่างรอที่จะผ่าตัด เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์ ตลอดเวลา (วันหนึ่งๆนั่งสมาธิหลายรอบ) จนวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า เรายังไม่ตายนี่ ยังเดินได้ยังขับรถได้ ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม มะเร็งก็มะเร็งเถอะ ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้ ย้อนหลังกลับไปดูตัวเอง ตอนที่รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่ มันช่างหน้ากลัวจริงๆ คนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็งและถ้าท้อแท้หรือจิตใจเศร้าหมอง และถ้าตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆ และคิดไม่ได้ มันหน้ากลัวมากๆ พลอยทำให้โรคกำเริบไปด้วย

ฯลฯ (ข้ามตอนรักษาวิธีของพระ)

เราโทรไปสอบถามกับพระว่าควรทำอย่างไรดี พระท่านก็ไม่รับสายเรา ได้แต่พิมพ์ทางข้อความ facebook ว่าไม่สะดวกรับสาย ให้พิมพ์ถาม เราเริ่มลังเลใจมากๆ ใจสุดท้าย ท่านก็พิมพ์บอกเราว่า แนะนำให้เราไปผ่าตัดและให้คีโม และค่อยกลับมารักษาตัวกลับที่วัดใหม่

จนเดือนมกราคม 2559 อาการเริ่มไม่ดี น้ำเหลืองจากใสๆ กลายเป็นน้ำเหลืองข้นๆ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง และรอบๆแผลเริ่มเปื่อย ถ้าหากว่าโดนหรือสะกิดก็จะเลือดไหล ต้องคอยซับทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั้งปวดแผล ปวดลึกๆ ตุบๆ ในบางครั้ง

- ปลายเดือนมกราคม 2559 เลยติดสินใจ มาโรงพยาบาล พบคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาครั้งแรก พอหมอเห็นแผลท่านก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า รักษาผ่าตัดให้ไม่ได้ เพราะแผลใหญ่เกิน แถมท่านยังต่อว่าอีกคือ หมอเคยขอแล้วใช่ไหมว่า อย่าไปกินยาต้มยาหม้อยาสมุนไพร แต่คุณก็ไปกิน ไม่เชื่อหมอ

-เราได้แต่นั่งร้องไห้ต่อหน้าหมอ เพราะเราผิดเองที่ไม่เชื่อหมอแต่แรก โรคเลยเป็นมากถ้าผ่าตัดตอนนั้น ก็คงไม่ทรมานแบบนี้

- เราทรมานมากๆ จากเดือน มกราคม-พฤษภาคม ระยะเวลาเกือบ 5 เดือน เราไม่เคยได้นอนหลับ (เราต้องใช้ท่านั่งหลับ เพราะถ้านอนราบ น้ำเหลืองจะไหลย้อนกลับทั้งเลือดด้วย) เราต้องนั่งหลับเอา ทรมานสุดๆ ไหนจะเลือดไหล ไหนจะน้ำเหลืองไหลตลอด คิดย้อนไปแล้ว มันช่างน่าสงสารตัวเองจริงๆ

และระยะเวลาการให้คีโมนี้เองที่เราก็ปฏิบัติธรรมแบบเร่งความเพียรมากๆ จิตใจไม่ท้อแท้ตามร่างกาย กลับสดชื่นในจิตใจลึกๆ ทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ เราแผ่เมตตาให้ตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวร และอธิฐานว่า เราไม่รู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้ แต่เราขอชดใช้ให้

ถ้าหากว่าไม่พอใจที่เราทำยังไม่พอคือนั่งสมาธิ ก็เอาเราตายไปเลย เราไม่กลัวตาย

แต่ถ้าหากว่าเราไม่ตาย เราก็จะนั่งสมาธิต่อไป (เราอธิฐานแบบนี้ทุกครั้ง) และเราคิดว่าชีวิตที่เหลือคือโบนัส ถ้าไม่ตายก็ จะสร้างบุญใส่ตัวไปเรื่อยๆ เพราะว่าตายแล้วอะไรเอาไปไม่ได้นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น

- เวลาที่เรานั่งสมาธิ เหมือนถึงจุดที่สงบแล้ว เราจะเพ่งไปที่ก้อนเนื้อ และแผ่เมตตาให้ตัวเอง ค่อยๆไล่ลมออกทางปลายเท้า

- สรุปเราก็ไม่ต้องให้คีโมต่อ แต่ว่าฉายแสง25 แสง ก็จบกระบวนการรักษาทานยาวันเม็ด ต้านโฮโมน (5 ปี)

- เราดีใจมากที่ไม่ต้องให้คีโมต่อ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทุกวันนี้เราไปพบหมอ หมอก็ได้แต่บอกว่า คุณต้องทำบุญมามาก หรือมีบุญเก่ามาช่วย เพราะว่าในเคสของเรา ทุกอย่างมันหน้าจะแย่กว่านี้ แต่ของเราพอผ่าตัดเสร็จ ทุกๆอย่าง ปรกติดีหมด

- หลังผ่าตัดจนถึงปัจจุบัน ร่างกายเราแข็งแรงมากๆ ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ สดชื่นตลอดเวลา และระหว่างเราเป็นมะเร็ง เราไม่เคยปวดหัวเลย (ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง จะปวดหัวบ่อยๆ ต้องทานยาแก้ปวด) 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยปวดหัวสักครั้ง เป็นไข้ก็ไม่เป็น ปวดท้องก็ไม่ปวด ไม่ติดเชื้อเลย

- แต่เราก็ไม่ประมาทในชีวิต เพราะเราผ่านความเจ็บปวดทรมานมากๆมาแล้ว ทนทุกข์กับร่างกายสังขารที่แย่สุดๆ เราต่อสู้ความเจ็บปวดด้วยสมาธิและการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวความตายเลย ยิ่งภาวนามากๆ จิตใจยิ่งเข้มแข็ง มองเห็นความตายแค่เอื้อม

เรากลับรู้สึกขอบคุณ มะเร็งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทำให้เราไม่ประมาท ไม่เสียใจที่เป็นโรคมะเร็งเลย ภูมิใจด้วยซ้ำที่เราต่อสู้มาได้ คำว่ามะเร็งเรารู้สึกเฉยๆ ถ้าใจเราดีแล้ว ร่างกายก็แค่นั้น
(เราคิดแบบนั้นจริง)

เราใช้ชีวิตได้ปรกติแล้วตอนนี้ เราเป็นโรคมะเร็ง มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราไม่สบายถ้าเราไม่บอก ก็ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่ใกล้ๆบ้านเรา ไม่มีใครรู้เลย เวลาที่เราเห็นคนเป็นมะเร็ง และท้อแท้หดหู่และไม่สู้กับชีวิต เราอยากจะบอกว่า ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย ก็อย่าได้ไปท้อแท้เลย สู้กับมัน ไม่แพ้ก็ชนะ อย่างดีก็แค่ตายเท่านั้น ใจนั้นสำคัญที่สุด ถ้าใจเราเข้มแข็งแล้ว อะไรก็ทำอะไรเราไม่ได้

- เราไม่โกรธทางวัดที่แนะนำเราแต่แรกแบบผิดๆในการรักษา ที่ทำให้เราเกือบเอาชีวิตไม่รอดและต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่างกาย เราคิดแค่ว่า มันเป็นวิบากกรรม ที่เราต้องเจอ ต่อให้ต่อไปนี้ ถ้าเราต้องเจออะไรอีก เราก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน และต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ

- เรายอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวตัวเอง เพราะว่าต้องการให้คนที่กำลังตัดสินใจในการรักษาตัวเอง ถ้าเกิดเป็นโรคแบบเรา จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมาน และเสี่ยงกับความตาย ถ้ารักษาไม่ทัน หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ได้อ่านเรื่องราวของเรา

- แถมท้ายค่ะ...ตั้งแต่เรากลับมารักษาตัวกับแพทย์ปัจจุบัน เราใช้บัตร 30 บาท ในการรักษา ไม่เสียเงินเลย ทุกอย่างฟรีทุกขั้นตอน

ทุกวันนี้ ใครให้กินยาบำรุง หรือยาอะไรที่ว่า แก้มะเร็งได้ เราไม่กิน ต่อให้กินฟรีเราก็ไม่กิน เสียเงินเราก็ไม่กิน 30% เรารักษาตามที่หมอบอกให้ทำ ส่วนอีก 70% เรารักษาใจเรา ปฏิบัติธรรมให้ใจเข้มแข็งดีที่สุด

https://pantip.com/topic/36077522


อ้างคำพูด:
แต่ถ้าหากว่าเราไม่ตาย เราก็จะนั่งสมาธิต่อไป (เรา อธิฐาน แบบนี้ทุกครั้ง)



อธิษฐานมีหลายความหมาย อธิษฐานทางวินัย ก็มี ทางธรรม ก็มี ให้ดูความหมายทางธรรมนัยที่ 2.


อธิษฐาน 2. ความตั้งใจมั่น, การตัดสินใจเด็ดเดี่ยว, ความตั้งใจมั่นแน่วที่จะทำการให้สำเร็จลุจุดหมาย, ความตั้งใจหนักแน่นเด็ดเดี่ยวว่าจะทำการนั้นๆ ให้สำเร็จ และมั่นคงแน่วแน่ในทางดำเนินและจุดมุ่งหมายของตน เป็นบารมีอย่างหนึ่ง เรียกว่า อธิษฐานบารมี หรืออธิฏฐานบารมี

ความหมายอธิษฐานเต็มๆที่

viewtopic.php?f=1&t=55960

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2019, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปฤษฎี

ตอนล่าสุดคือดีมากคุณโรส
สัมภาษณ์จากอดีตแม่ชี อดีตวิปัสสนาจารย์
ได้รับใบประกาศมากมาย

ผมเองก็เคยทำมา ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ
ช้าไปหมด แต่ไม่ได้รู้ไม่ได้มีปัญญาเข้าใจอะไร
หนอๆ ทั้งวัน ก็ได้แต่หนอๆ แต่ไม่รู้ความจริงอะไร
รู้แต่หนอๆๆ

viewtopic.php?f=1&t=58326&p=454135#p454135



แปะไว้ด้วย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2019, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสนำมาให้ฟังให้ดูลิงค์นี้

viewtopic.php?f=1&t=58326&p=454135#p454135


ฟัง/ดู ถึงท่าคุกเข่าแล้ว :b32:



ไว้ฟังต่อ ดูต่อ บอกคุณโรสกับคุณปฤษฎีก่อนเดี๋ยวเข้าใจผิด ฟังใช้หูสองข้างฟังเอา ดูใช้ตาสองข้างดู ไม่ใช่ใช้ตาฟัง ใช้หูดูนะ ไม่ใช่ อย่าเข้าใจผิด

แต่เมื่อทวนข้อสนทนาโต้เถียงกับท่านอโศกแล้ว มีคำตอบลิงค์สนทนากันนั่นแล้ว เลยเอามารวมกันสะที่นี่เลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2019, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณโรสนำมาให้ฟังให้ดูลิงค์นี้

viewtopic.php?f=1&t=58326&p=454135#p454135


ฟัง/ดู ถึงท่าคุกเข่าแล้ว :b32:



ไว้ฟังต่อ ดูต่อ บอกคุณโรสกับคุณปฤษฎีก่อนเดี๋ยวเข้าใจผิด ฟังใช้หูสองข้างฟังเอา ดูใช้ตาสองข้างดู ไม่ใช่ใช้ตาฟัง ใช้หูดูนะ ไม่ใช่ อย่าเข้าใจผิด

แต่เมื่อทวนข้อสนทนาโต้เถียงกับท่านอโศกแล้ว มีคำตอบลิงค์สนทนากันนั่นแล้ว เลยเอามารวมกันสะที่นี่เลย


แต่เมื่อพิจารณาดูทั้งสี่ท่านสนทนากันแล้ว ก็อยากสื่อสารกับแม่คนที่เคยบวชชีนานนับปีด้วย

อย่าไปเลยบางกอก

https://www.youtube.com/watch?v=yqw3i4--O7w


อย่าเกลียดบางกอก

https://www.youtube.com/watch?v=-wCDf3iswtY


พอใจเข้าใจนะ :b13: ไม่อยากพูดตรงๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2019, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูตัวอย่างที่เขาใช้พอง-ยุบเป็นอารมณ์ สังเกตความแตกต่างระหว่างบุคคล คนหนึ่งทำตั้งนานไม่ได้ผล อีกคนหนึ่งทำไม่นานได้ผล สังเกตดู


แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ
แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย
มันน่าน้อยใจนัก!!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2020, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเที่ยวพันทิพมา เห็น กท.ถามเรื่องหนอกันเหมือนกัล แปะไว้ด้วย

อ้างคำพูด:
สอบถามเรื่อง การกำหนดรู้รูปนาม และกำหนดคำว่าหนอ

อยากสอบถามว่าการปฏิบัติเจริญสติในสายหนอนั้น เราสามารถจะประยุกต์เติมคำว่า รูป หรือ นาม ลงไปนำหน้ากิริยาอาการนั้นๆได้หรือไม่

เช่น นั่งหนอ ก็เป็น รูปนั่งหนอ
เห็นหนอ ก็เป็น นามเห็นหนอ
โกรธหนอ เป็น นามโกรธหนอ
ดังนี้เป็นต้น...

หรือ กำหนดโดยความเป็นธาตุ ขันธ์ อายตนะ
เช่น เห็นหนอ เป็น วิญญาณจิตเห็นหนอ
ฟุ้งหนอ เป็น สังขารเจตสิก/สังขารขันธ์ฟุ้งหนอ
เดินหนอ เป็น รูปธาตุเดินหนอ
ดังนี้...

คือสรุปความว่า เอาศัพท์ทางอภิธรรมมาผสมผสานกับการกำหนดหนอได้ไหมครับ เพราะส่วนตัวผมเป็นคนมีจริตรักในการศึกษาอภิธรรมเป็นพิเศษ
พอเรากำหนดแต่อาการกิริยาอย่างเดียวก็รู้สึกโหวงๆเหมือนเปิดช่องให้อัตตาเข้ามา
กลายเป็นว่า "เราเดินหนอ เรานั่งหนอ" แบบนี้
ผมกลัวอัตตสัญญาในระหว่างการภาวนา จึงเอาประธานมาเติมหน้าเป็น รูปบ้าง นามบ้าง ขันธ์บ้าง เพื่อทำลายความเป็น "เรา" ครับ

แต่ก็ไม่ทราบว่ามันจะได้ผลการปฏิบัติตามอย่างครูบาอาจารย์ในสายนี้เขาหรือไม่

จึงขอสอบถามความเห็น และความรู้ครับ

https://pantip.com/topic/38718856

คนถามๆเพราะอยากรู้ ไม่รู้จึงถาม ส่วนคนตอบ ที่พอเข้าใจการปฏิบัติอยู่บ้างก็ คคห.4

อ้างคำพูด:
ผมจะกล่าวในแง่การปฏิบัติ

การใช้คำบริกรรม จะใช้กี่พยางค์ก็ได้ ไม่สำคัญ จะ 1 2 3 หรือ เท่าใดก็ได้ เอาทีสดวก
แต่ควรเข้าใจก่อนว่า
.
พอมีการกระทบสัมผัส สิ่งทีสำคัญคือ มีการรู้ เกิดขึ้น
เช่น ตาเห็นภาพ ก็คือ มีการรู้ทางตาเกิดขึ้นแล้ว
พอมีการรู้เกิดขึ้น ก็จะทำการสำทับการรู้ โดยการให้บริกรรมว่า เห็นหนอ
การบริกรรม เพื่อให้เตือนตนเองว่า บัดนี้ มีการรุ้ว่า มีการกระทบสัมผัสเกิดขึ้นทีตาแล้ว
.
ส่วนการรู้ทีอื่น ก็เช่นกัน รู้ทางหู รู้สัมผัสทางกาย เป็นต้น
ก็ทำเช่นเดียวกัน


ส่วน คคห. 2 นี่ว่า :b32:

อ้างคำพูด:
คำว่า หนอ เป็นการเรียกให้ดูร่าเริง เบิกบาน สนุก ตลกขบขัน
แต่ต้องระลึก อาการเก๊กหล่อ วางมาด


เขาโฟกัสไปที่ หนอ :b32: ไม่โฟกัสที่ขณะ เห็น, ได้ยิน, ได้กลิ่น, รู้รส, โผฏฐัพพะ, คิด. แต่ละขณะๆ ไม่มีเลย ไม่เห็นมีใครพูดประเด็นนี้กันเลย แล้วมันจะทันขณะปัจจุบันได้อย่างไรกันเล่า

สหายเฉลิมศักดิ์ก็ปักหลักถาวรอยู่ที่นั่น ไม่มาโพสต์ที่นี่อีกเลย :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2020, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในทางธรรม เมื่อว่าถึงการปฏิบัติทางจิต ปัจจุบัน หมายถึงขณะเดียวที่กำลังเกิดขึ้นเป็นอยู่.

หมายถึงมีสติทันอยู่กับสิ่งที่รับรู้ เกี่ยวข้อง หรือ ต้องทำในเวลานั้นๆ แต่ละขณะ ทุกๆขณะ ถ้าจิตรับรู้สิ่งใดแล้ว เกิดความชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจขึ้น ก็ติดวนเวียนอยู่กับภาพของสิ่งนั้นที่สร้างขึ้นใจ เป็นอันตกไปในอดีต (เรียกว่า ตกอดีต) ตามไม่ทันของจริง หลุดหลงพลาดไปจากขณะปัจจุบันแล้ว หรือ ถ้าจิตหลุดลอยจากขณะปัจจุบัน คิดฝันไปตามความรู้สึกที่เกาะเกี่ยวกับภาพเลยไปข้างหน้าของสิ่งที่ยังไม่มา ก็เป็นอันฟุ้งไปในอนาคต.

ตัวอย่างเทียบเคียง เช่น ขณะเดินจงกรม. ซ้าย ย่าง หนอ. ขวา ย่าง หนอ. สมมติเท้าขวา ก้าวไป แต่ใจไปคิดถึงเรื่องอื่น เช่น คิดถึงแฟน :b12: เป็นต้น นั่นก็พลาดจากปัจจุบันธรรมในขณะนั้นแล้ว พลาดจากขณะปัจจุบันแล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นทำไงดี ก็ให้กำหนดความคิดนั่นเสียด้วย คิดหนอ แล้วก็ดึงให้สติมาอยู่กับการเดินจงกรม ขวา ย่าง หนอ ซ้าย ย่าง หนอ ต่อไปใหม่ นี่คือการฝึกจิตใจให้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์

เมื่อเราฝึกให้จิตอยู่กับอารมณ์ได้บ้างแล้ว เขาก็เรียกว่า จิตมีสมาธิ เมื่อจิตมีสมาธิบ้าง ความสุขก็เกิดตามมา สุขนี้เขาเรียกว่า นิรามิสสุข เรื่องของเรื่องมันก็เท่านี้

นอกจากนี้ โยคีทำอะไรอยู่ก็ตาม เช่น อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ซักผ้า รีดผ้า ก็ให้สติเกาะจับรับรู้สิ่งที่กำลังทำนั่น. ฟังดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงมันยาก ไม่ง่ายหรอก ไม่เชื่อลองทำดูปฏิบัติดูดิ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร