วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


เวสสันดรชาดก และ เทศน์มหาชาติ

:b44: อ า รั ม ภ บ ท

บทความทุกตอนต่อไปนี้ คัดลอกมาจาก
หนังสือที่ระลึก : เทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติ
ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐

ซึ่งจัดขึ้นโดย มูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ เพื่อเยาวชน ในพระบรมราชินูปถัมป์

โดยมีการจัดเทศน์มหาชาติพร้อมกันทั่วประเทศ
ตั้งแต่วันที่ ๑๒-๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ เวลา ๑๖.๐๐ เป็นต้นไป


และที่กรุงเทพมหานคร จัดขึ้น ณ
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง

:b8: :b8: :b8:

:b44: ป ฐ ม เ ห ตุ เ ว ส สั น ด ร ช า ด ก

พระพุทธองค์สมัยเมื่อเสด็จละจากมหาวิหารเวฬุวัน
ใกล้กรุงราชคฤห์อันเป็นราชธานีแห่งมคธ สู่ นครกบิลพัสดุ์ แขวงสักกชนบท
เพื่อบำเพ็ญญาตัตถจริยาโปรดพระญาติ
มี พระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาเป็นประธาน
อันพระกาฬุทายีเป็นผู้สื่อสาร
และนำเสด็จไปประทับยังนิโครธาคาม ไม่ห่างจากมหานคร
ตามที่ศากยราชจัดถวายต้อนรับพร้อมด้วยหมู่ภิกษุบริวารเป็นอันมาก (๑ แสน)
ยังความยินดีให้แผ่ไปทั่วทั้งกบิลพัสดุ์ในกาลนั้นความมหัศจรรย์ได้บังเกิดขึ้น
เป็นเหตุให้ทรงประกาศเรื่อง เวสสันดรชาดก

โดยปกติพระตถาคตเจ้า เสด็จสู่ ณ ที่ใด
ก็บังเกิดสู่ความสงบสุข ณ ที่นั้น
เพราะอานุภาพคำสั่งสอนที่ตรัสประทานด้วยพระมหากรุณา
อุปมาเหมือนมหาเมหหลั่งโปรยสายฝนอันเย็นฉ่ำลงมายังโลก
ยังความอ้าวระอุของไอแดดไอดินให้ระงับ
ชุบชีพพฤกษชาติที่เหี่ยวเฉาให้ฟื้นฟู
สู่ความชื่นบานตระการด้วยดอกช่อและก้านใบฉะนั้น


แต่สำหรับกบิลพัสดุ์ดินแดนที่ทรงถือพระกำเนิดและเจริญวัยมา
มวลพระญาติและญาติประชา
หาได้ยินดีต่อพุทธวิสัยธรรมานุภาพไม่


พระองค์ทรงอุบัติมาเป็นความหวังของคนทั้งแว่นแคว้น
ทุกคนพากันรอคอยอย่างกระหายใคร่จะชมพระบารมีพระจักรพรรดิราช

แต่แล้วท่ามกลางความไม่นึกฝัน
ทรงอยู่ในพระเยาวกาลเกศายังดำสนิท
ไม่ปรากฏความร่วงโรยแห่งสังขารแท้สักน้อย
ทั้งสมบูรณ์พูนพร้อมทุกอย่าง
เท่าที่สมบัติประจำวิสัยบุรุษจะพึงมี
พระชายาทรงสิริโฉมเป็นเลิศ
ซ้ำเป็นโชคอันประเสริฐให้กำเนิดโอรสอันเป็นสิริแห่งวงศ์ตระกูลอีกเล่า

พระองค์ก็ยังตัดเยื่อใยแห่งโลกีย์เสด็จแหวกวงล้อมเหล่านี้ออกสู่ไพรพฤกษ์
ประพฤติองค์ปานประหนึ่งพเนจรอนาถา
สร้างความผิดหวังและวิปโยคแก่คนทั้งแคว้นเป็นเวลานานปี ๖ ปี

ทรงกระทำงานชีวิต และสำเร็จกิจโดยได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
จากนั้นก็ทรงใช้ไปเพื่องานสงเคราะห์สัตว์โลก
เสด็จเที่ยวแจกจ่ายอุบายพ้นทุกข์
ด้วยเทศนาสั่งสอนจนชาวโลกยอมรับและเทิดทูนไว้ในฐานะองค์ศาสดาเอก


บัดนี้ พระพุทธองค์เสด็จคืนกลับกบิลพัสดุ์แล้ว
แต่ชาวกบิลพัสดุ์มิได้ต้อนรับในฐานะศาสดา
เขาพากันปีติต่อพระองค์ในฐานะที่เคยเป็นขวัญจิตขวัญใจของเขาเลยต่างหาก
(จากหนังสือเรื่องเพลงศาสนา ของหลวงตาแพรเยื่อไม้)

ในวันแรกที่เสด็จถึงดินแดนแห่งมารดร
ทรงเห็นว่ายังไม่ใช่โอกาสที่จะประทานธรรมเทศนาแก่หมู่พระญาติ
เพราะวันนี้เป็นวันที่วิถีประสาทและจิตใจตลอดทั้งร่างกายของเหล่าศากยะ
เต็มไปด้วยอาการปีติตื่นเต้น และอิดโรยด้วยความยินดี
และภารกิจไม่อยู่ในสภาพที่ควรแก่การรองรับกระแสธรรม

ทรงรอวันรุ่ง แต่แล้วในตอนบ่ายของวันต่อมา
เมื่อบรรดาศากยราชญาติประยูร
พากันเสด็จไปเฝ้าที่นิโครธาราม ก็ทรงประจักษ์ว่า
พระทัยของประยูรญาติบางส่วน ยังไม่อยู่ในฐานะควรแก่การรับคำสั่งสอน
เพราะมีพระญาติวงศ์รุ่นสูงชันษาบางพระองค์
แสดงอาการทระนงเป็นเชิงว่า “ข้าเกิดก่อน”

เจ้าชายสิทธัตถะจะแสดงความคารวะนบไหว้
หรือสนพระทัยต่อพระพุทธโอวาทก็เกรงจะเสียเชิงของผู้เห็นโลกมาก่อน
จึงพากันประทับอยู่ห่างๆ ด้วยพระอาการเคอะเขิน
หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามซุ้มไม้และฉากกั้น
ปล่อยแต่บรรดากุมารกุมารีรุ่นเยาว์ชันษาให้ได้เฝ้าอย่างใกล้ชิด

พระอาการอันกระด้างเคอะเขินของพระญาติรุ่นสูงอายุนั้น
พระพุทธองค์ทรงสังเกตว่า
เกิดจากมูลเหตุอันจะเป็นอุปสรรคสกัดกั้นผลดีที่จึงเกิดที่เกิดแก่เขาเสีย
มูลเหตุอันปิดกั้นความงอกงามจำเริญแก่ดวงจิตนั้นก็คือ “ทิฐิมานะ”
ความเห็นอันเป็นให้ถือตน ถ้าลงจับจิตสิงใจผู้ใดเข้าแล้ว
ก็รังแต่จะทำให้สภาพจิตวิปริตไป เสมือนรากต้นไม้ที่เป็นโรค

แม้ฝนจะฉ่ำน้ำจะโชก แผ่นดินจะฟูอยู่ด้วยรสปุ๋ย
รากที่ปิดตันเสียแล้วด้วยอำนาจเชื้อโรค
ก็ย่อมไม่ดูดซับเอาโอชะเข้าบำรุงลำต้น
เกรียนโกร๋นยืนตายไปในที่สุดฉันใด
อนาคตของคนที่มีจิตมากอยู่ด้วยมานะทิฐิก็ฉันนั้น


(มีต่อ)


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 12 ก.ย. 2010, 13:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[พระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์เหาะให้เห็น
หมู่พระญาติก็สิ้นทิฐิมานะถวายบังคมพร้อมกัน]



ทรงพิจารณาดังนี้ จึงเห็นว่ากิจอันควรก่อนอื่น
คือ ทำลายความแข็งกระด้าง
ล้างความถือดีเสียด้วยอำนาจอิทธิปาฏิหาริย์
ทรงกำหนดจิตเจริญฌาน มีอภิญญาเป็นภาคพื้น
ลอยขึ้นสู่ห้วงนภากาศเสด็จลีลาศจงกรมไปมาน่าอัศจรรย์

เพียงเท่านี้เอง
ความคิดข้องใจที่ว่าใครอาบน้ำร้อนก่อนหลังก็เลื่อมสูญอันตรธาน
พากันอาเศียรคารวะแสดงถึงการยอมรับนับถืออย่างเต็มใจ
เมื่อเสด็จลงที่ประทับ ณ พุทธอาสน์ เบื้องนั้น
ฝนอันมหัศรรย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนก็ตกลง
ความมหัศจรรย์มีลีกษณะดังนี้

สีเม็ดน้ำฝน แดงเรื่อ เหมือนแก้วทับทิม
ผู้ใดปรารถนาให้เปียกก็เปียก
ผู้ไม่ปรารถนา แม้ละอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย
ไม่เลอะเทอะขังนอง ก่อให้เกิดโคลนตมอันปฏิกูล
พอฝนหาย แผ่นดินก็สะอาด
ตกลงเฉพาะในสมาคมพระญาติ ไม่มีผู้อื่นอยู่ร่วมประชุมด้วย

อนึ่ง คติในความมหัศจรรย์โดยอุปมา มีดังนี้

ข้อที่ ๑ สีของน้ำฝน

ได้แก่ สีโลหิตแห่งความชื่นชมยินดี
วันนี้เป็นวันที่ศากยราชทั้งปวงรอคอย ก็สมหวังแล้ว
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับคืนมา
ให้เขาได้เห็นพระรูปพระโฉม จึงพากันชื่นบาน
ผิวพรรณก็ซ่านด้วยสายเลือด
อย่างที่เรียกว่าราศีของผู้มีบุญ ผิวพรรณอมเลือดฝาด

ข้อที่ ๒ ความชุ่มชื่นของสายฝน

ก็ได้แก่พระธรรมเทศนาที่พุทธองค์ทรงประกาศออกไป
มีเหตุมีผลสมบูรณ์ด้วยหลักการ
ถ้าผู้ใดตั้งใจฟังด้วยความเคารพ ธรรมก็เข้าสัมผัสจิตสำนึก
และสามารถจะปรับปรุงจิตของตนตามหลักแห่งเหตุผลนั้น
จนกระทั่งจิตตั้งอยู่ในภาวะเยือกเย็นเหมือนผิวกายต้องละอองฝน

แต่สำหรับบุคคลที่ฟังสักแต่ว่าฟัง ธรรมะนั้นก็จะไม่กระทบใจ
เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อุปมาด้วยฝนไม่เปียก

ข้อที่ ๓ ปกติธรรมเป็นของสะอาด

ไม่ก่อทุกข์โทษอันพึงรังเกียจแก่ใครๆ ไม่ว่ากาลไหนๆ

ข้อที่ ๔ พระพุทธจริยา

ครั้งนี้ ทรงมุ่งบำเพ็ญเฉพาะพระญาติศากยะล้วนๆ

เมื่อเหล่าศากยะ ผู้ได้รับความเย็นกายด้วยสายฝน เย็นใจด้วยกระแสธรรม
และกราบถวายบังคมลาพากันคืนสู่พระราชนิเวศน์แล้ว
แต่นั้นก็ย่างเข้าสู่เจตสนธยากาล
แสงแดดอ่อนสาดฝาละอองฝนที่เหลือตกค้างมาแต่ตอนบ่าย
ทำให้เกิดบรรยากาศราวกับจะกลายเป็นยามอรุณ
ดอกไม้ในสวนเริ่มเผยอกลีบอย่างอิดเอื้อนเหมือนหลงเผลอ
แม้นกก็บินกลบรวงรังอย่างลังเล

ภิกษุทั้งหลายกำลังชุมนุมสนทนาถึงฝนอันมหัศจรรย์และสายัณห์อันเฉิดฉาย
ลงท้ายก็พากันเทิดทูนพุทธบารมีที่บันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปแล้วอย่างพิศวงยิ่ง


พระพุทธองค์เสด็จสู่ลงสนทนาของภิกษุพุทธสาวก
เมื่อทรงทราบถึงมูลเหตุอุเทศแห่งการสนทนานั้น ก็ตรัสแย้มว่า
ฝนนี้เรียกว่า “ฝนโบกขรพรรษ”

ที่ตกลงมาในปัจจุบันนี้ หาชวนอัศจรรย์ไม่
แม้ในอดีตกาล เมื่อทรงอุบัติเกิดเป็นพระโพธิสัตว์
นามว่า “เวสสันดร” ก็ทรงบำเพ็ญบารมีธรรม
จนเป็นเหตุให้ฝนโบกขรพรรษได้ตกลงมานั่นสิ อัศจรรย์กว่า

ภิกษุทั้งหลายต่างพากันกราบทูลพระมหากรุณาให้นำเรื่องครั้งนั้นมาแสดง
ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงเรื่องราวพิสดาร แบ่งเป็นสิบสามกัณฑ์พันพระคาถา

:b8: :b8: :b8:

(จากหนังสือ : เทศน์มหาชาติ-เทศน์มหาชนก-ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ
แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญ
พระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา,
หน้า ๔๒-๔๕.)


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
บรรยากาศงานบุญเทศน์มหาชาติ

เ ท ศ น์ ม ห า ช า ติ
เรียบเรียงโดย อาจารย์วัฒนะ บุญจับ *

การเทศน์มหาชาติเป็นบุญพิธีที่นิยมจัดให้มีกันมาแต่โบราณ
สันนิษฐานว่ามีมาแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
ดังหลักฐานปรากฏตามความในศิลา
จารึกสมัยสุโขทัยหลักที่ ๓ หรือ จารึกนครชุม
ซึ่งจารึกไว้ในสมัยพญาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ ๑) เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๐ ว่า

“ธรรมเทศนาอันเป็นต้นว่า พระมหาชาติหาคนสวดแลมิได้เลย”

งานเทศน์มหาชาตินี้ นิยมทำกันหลังออกพรรษาพ้นหน้ากฐินแล้ว

โดยทั่วไปนิยมจัดงานสองวัน

คือ วันเทศน์เวสสันดรชาดกทั้ง ๑๓ กัณฑ์วันหนึ่ง
และวันเทศน์จตุราริยสัจจกถา ท้ายเวสสันดรชาดกอีกวันหนึ่ง


ระยะเวลาจัดงานอาจทำในวันขึ้น ๘ ค่ำกลางเดือน ๑๒ หรือในวันแรม ๘ ค่ำก็ได้
ซึ่งในช่วงนี้น้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์
จึงพร้อมใจกันทำบุญทำทานและเล่นสนุกสนานรื่นเริง

แต่ในภาคอีสานนั้นนิยมทำกันในเดือน ๔ เรียกว่า “งานบุญผะเหวด”
ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จจากการทำบุญลานเอาข้าวเข้ายุ้ง

ในภาคกลาง บางท้องถิ่นทำกันในเดือน ๕ ต่อเดือน ๖ ก็มี
งานเทศน์มหาชาตินั้นจะทำในกาลพิเศษ
จะทำในเดือนไหนก็ได้ไม่จำกัดฤดูกาล โดยมากเพื่อเป็นการหาเงินเข้าวัด

บางแห่งนิยมทำกันในเดือน ๑๐
ส่วนทางดินแดนล้านนาทางภาคเหนือ
จะเรียกการเทศน์มหาชาติว่า “การตั้งธรรมหลวง”
ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนยี่เพง (ยี่เป็ง) คือ วันเพ็ญเดือน ๑๒

เรื่องที่นำมาใช้ในการเทศน์มหาชาตินั้น
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดร
อันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรมโพธิสัตว์
ก่อนที่จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
และออกบวชจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ส่วนการที่เรียก มหาเวสสันดรชาดกว่า “มหาชาติ” นั้น
เนื่องด้วยเวสสันดรชาดกนี้ เป็นเรื่องใหญ่และยืดยาว
ท่านจึงจัดรวมไว้ในมหานิบาติชาดก คือรวมเรื่องใหญ่ ๑๐ เรื่อง เรียกว่า “ทศชาติ”

แต่เหตุที่อีก ๙ เรื่องไม่เรียกว่ามหาชาติเช่นเดียวกับเวสสันดรชาดกนั้น
ข้อนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า

พุทธศาสนิกชนชาวไทย ตลอดจนประเทศใกล้เคียง นับถือกันมาแต่โบราณว่า
เรื่องมหาเวสสันดรชาดก สำคัญกว่าชาดกอื่นๆ
ด้วยปรากฏบารมีของพระโพธิสัตว์บริบูรณ์
ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกทั้ง ๑๐ อย่าง คือ


๑) ทานบารมี
ทรงบริจาคทรัพย์สิน ช้างม้า ราชรถ พระกุมารทั้งสองและพระมเหสี

๒) ศีลบารมี
ทรงรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ระหว่างทรงผนวชอยู่ ณ เขาวงกต

๓) เนกขัมมบารมี
ทรงครองเพศบรรพชิตตลอดเวลาที่ประทับ ณ เขาวงกต

๔) ปัญญาบารมี
ทรงบำเพ็ญภาวนามัยปัญญาตลอดเวลาที่ทรงผนวช

๕) วิริยะบารมี
ทรงปฏิบัติธรรมมิได้ย่อหย่อน

๖) สัจจะบารมี
ทรงลั่นวาจายกสองพระกุมารให้ชูชก เมื่อพระกุมารหลบหนี ก็ทรงติดตามมาให้

๗) ขันติบารมี
ทรงอดทนต่อความยากลำบากต่างๆ ขณะที่เดินทางมายังเขาวงกต
และตลอดเวลาที่ประทับ ณ ที่นั่น
แม้เมื่อทอดพระเนตรเห็นชูชกเฆี่ยนตีพระกุมารอย่างทารุณ
พระองค์ก็ทรงข่มพระทัยไว้ได้

๘) เมตตาบารมี
เมื่อพราหมณ์เมืองกลิงคราษฏร์ มาทูลขอช้างปัจจัยนาเคนทร์
เพราะเมืองกลิงคราษฏร์ฝนแล้ง ก็ทรงพระเมตตาประทานให้
และเมื่อชูชกมูลขอสองพระกุมาร โดยอ้างว่าตนได้รับความยากลำบากต่างๆ
พระองค์ก็มีเมตตาประทานให้ด้วย

๙) อุเบกขาบารมี
เมื่อทรงเห็นสองพระกุมารถูกชูชกเฆี่ยนตี วิงวอนให้พระองค์ช่วยเหลือ
พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญอุเบกขา คือ ทรงวางเฉย
เพราะทรงเห็นว่าได้ประทานเป็นสิทธิ์ขาดแก่ชูชกไปแล้ว

๑๐) อธิษฐานบารมี
คือ ทรงตั้งมั่นที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อให้สำเร็จโพธิญาณเบื้องหน้า
แม้จะมีอุปสรรคก็มิได้ทรงย่อท้อ จนพระอินทร์ต้องประทานความช่วยเหลือต่างๆ
เพราะตระหนักในน้ำพระทัยอันแน่วแน่ของพระองค์

ดังนั้น จึงเรียกพระชาติสำคัญนี้ว่า “มหาชาติ”
ส่วน พันเอกพระสารสาส์นพลขันธ์ (เยรินี) กล่าวว่า

พระโพธิสัตว์ในกำเนิดพระเวสสันดร
ได้สร้างแบบของมนุษย์ผู้ก้าวถึงขั้นสูงสุดแห่งการดำเนินในทางวิวัฒนาการ
อันนำไปสู่ความเต็มเปี่ยมทางจริยธรรมและความรู้
เหมาะแก่การข้ามพ้นโอฆะห้วงสุดท้าย
ซึ่งจะแยกออกเสียได้จากการเกิดเป็นเทวดา
เพราะเหตุนี้กำเนิดสุดท้ายจึงได้นามว่า “มหาชาติ”
คือเป็นพระชาติที่บำเพ็ญบารมีขั้นสูงสุดนั่นเอง


เวสสันดรชาดกนี้ คัมภีร์ธัมมบทขุททกนิกายกล่าวว่า
เป็นพุทธดำรัสที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสแก่ภิกษุสงฆ์ขีณาสพสองหมื่น
และมวลหมู่พระประยูรญาติที่นิโครธารามมหาวิหาร
ในนครกบิลพัสดุ์ในคราวเสด็จโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา และพระวงศ์ศากยะ
เพราะปรารภฝนโบกขรพรรษให้เป็นเหตุ จึงตรัสเวสสันดรชาดกในที่นี้

:b44: มหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ประกอบด้วย

ทศพร
หิมพานต์
ทานกัณฑ์
วนประเวศน์
ชูชก
จุลพน
มหาพน
กุมาร
มัทรี
สักกบรรพ
มหาราช
ฉกษัตริย์
นครกัณฑ์


มหาชาติในสมัยปัจจุบันแบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ

๑. มหาชาติประยุกต์

ท่านพระครูพิศาลธรรมโกศล (หลวงตาแพรเยื่อไม้) วัดประยูรวงศาวาส
เป็นผู้คิดและให้คำๆ นี้เมื่อ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว
จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ผู้ฟังได้ประโยชน์
คือ ฟังรู้เรื่อง เข้าใจ ได้สาระ ไม่ง่วงน่าเบื่อหนาย อีกทั้งประหยัดเวลาในการแสดง

๒. มหาชาติทรงเครื่อง

มี ๓ ลักษณะ คือ
มีการปุจฉา-วิสัชชนา ถาม- ตอบในเรื่องเทศน์
มีการสมมติหน้าที่ เช่น องค์โน้นเป็นพระเวสสันดร องค์นี้เป็นพระนางมัทรี
ในเทศน์มีแหล่ ทั้ง แหล่นอก แหล่ใน มิใช่ว่าแต่ทำนองประจำกัณฑ์เท่านั้น

แหล่นอก หมายถึง แหล่นอกบทนอกเนื้อความจากหนังสือ
เป็นการเพิ่มเติมเข้ามา

แหล่ใน หมายถึง แหล่ในเรื่อง เนื้อความตามหนังสือที่ยอมรับกัน
เช่น ฉบับวชิรญาณ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ

๓. มหาชาติหางเครื่อง

มีการแสดงประกอบที่เรียกว่า บุคลาธิษฐาน
มีเฉพาะฆราวาสล้วนๆ เช่น เอาชูชกมาออกฉาก
แต่ปัจจุบัน ชาวบ้านนิยมหาลิเกมาแสดง แล้วนิมนต์พระมาเทศน์ประกอบ

:b44: ความเชื่อ

เชื่อกันว่า หากผู้ใดได้ฟังมหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์จบภายในวันเดียว
หรือบูชาธูปเทียนดอกไม้จำนวน ๑๐๐๐ เท่ากับจำนวนพระคาถา
จะได้พบกับศาสนาพระศรีอาริย์

:b8: :b8: :b8:

หมายเหตุ : นักอักษรศาสตร์ ๘ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 15 ก.ย. 2009, 12:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[ภาพจำลองบรรยากาศงานบุญผะเหวด
ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดร้อยเอ็ด]



ค า ถ า พั น *
พระครูวิวิธธรรมโกศล (ชัยวัฒน์ ธมฺมวัฑฺฒโน)
วัดประยุรวงศาวาสวิหาร กรุงเทพมหานคร


การเทศน์คาถาพัน หมายถึง การเทศน์มหาชาติที่เป็นภาษาบาลีล้วนๆ
จำนวน ๑,๐๐๐ พระคาถา
ซึ่งเป็นความรู้ที่สืบต่อกันมาว่า เป็นจำนวนคาถาในเวสสันดรชาดก

พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์
ได้นับเทียบจำนวนคาถาในบทเทศน์คาถาพันที่ใช้เทศน์กันอยู่
กับจำนวนคาถาในเวสสันดรชาดก และในทีปนีเวสันดรชาดก
ปรากฏว่าไม่เท่ากัน ได้ทรงอธิบายว่า

“ที่จริงจะมีจำนวนเท่าไรไม่สำคัญ
แต่ได้คิดว่าจะนับก็เลยลองนับดู
มีจำนวนนับได้ ๘๕๒ คาถา กับ ๑ บท
แต่จำนวนที่เทศน์อยู่บัดนี้ นับได้ ๑,๐๐๐ คาถา
อันที่จริงจำนวนมากเท่านี้เป็นอเนกสังขยา
ควรแปลว่าประดับด้วยคาถาประมาณ ๑,๐๐๐
แม้จะเกินไปบ้าง ขาดไปบ้างก็ไม่เป็นไร”


:b44: อานิสงส์คาถาพัน

เมื่อครั้งพระมาลัยเถรเจ้ารับดอกอุบลจากบุรุษเข็ญใจแล้ว
ได้นำขึ้นไปบู่ชาพระจุฬามณีเจดียสถานในดาวดึงสโลก
และมีโอกาสสนทนากับพระศรีอาริยเมตไตรย์ พระองค์ได้ตรัสแก่พระเถรเจ้าว่า

ขอพระคุณเจ้าได้บอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า
ผู้ใดใคร่อยากพบปะพระศรีอาริย์เจ้า
ผู้นั้นพึงงดเว้นอนันตริยกรรม ๕ ประการ มีฆ่าบิดามารดา เป็นต้น
และพึงอุตสาหะ หมั่นก่อสร้างกองการกุศล
มีให้ทาน รักษาศีลเจริญภาวนา
และสดับตรับฟังพระธรรมเทศนามหาเวสสันดรชาดก
อันประกอบด้วยคาถาพันหนึ่ง
กระทำสักการบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้ต่างๆ และดอกไม้ธูปเทียนอย่างละพัน
ตั้งใจฟังให้จบเพียงวันเดียวครบบริบูรณ์ทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ดังนี้แล้ว
จะได้พบพระศรีอาริย์พุทธเจ้าในอนาคตโดยแท้
หากดับขันธ์แล้วก็จะได้ไปเกิดในสุคติสวรรค์เสวยทิพยสมบัติอันมโหฬาร
ครั้นถึงพุทธกาล พระศรีอาริย์พุทธเจ้า เทพบุตร เทพธิดาเหล่านั้น
ก็จะได้จุติลงไปเกิดเป็นมนุษย์
ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนา ก็จักได้บรรลุมรรคผล
มีพระโสดาปัตติผล เป็นต้น เป็นพระอริยะบุคคลในพระพุทธศาสนาดังนี้”


:b8: :b8: :b8:

จากหนังสือ : “กะเทาะเปลือกเวสสันดร” ของพระครูวิวิธธรรมโกศล
(ชัยวัฒน์ ธมฺมวัฑฺฒโน) วัดประยุรวงศาวาสวิหาร กรุงเทพมหานคร


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ ท ศ พ ร

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

ในมหาชาติเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ ๑๐๐๐ คาถา
กัณฑ์ทศพร นับเป็นกัณฑ์แรก กัณฑ์ทศพร ประดับด้วยคาถา ๑๙ คาถา
เป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “สาธุการ”
ประกอบกิริยาน้อมนมัสการรับพรทั้ง ๑๐ ประการของพระนางผุสดี

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

การทำบุญจะได้ดังประสงค์ ต้องอธิษฐานจิต
ตั้งเป้าหมายชีวิตที่ตนปรารถนาไว้ตั้งมั่นและบริบูรณ์ในศีล
ได้แก่ การทำความดี รักษาความดีนั้น และหมั่นเพิ่มพูนความดีให้มากยิ่งขึ้น

:b44: เนื้อความโดยย่อ

อดีตกาลโพ้น ก่อนสมัยพุทธกาลนานหลายกัปป์
กล่าวถึงพระเจ้ากรุงสญชัย พระโอรสพระเจ้าสีวีราชแห่งกรุงสีพี
ทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาพระเจ้ากรุงมัททราช พระนาม “ผุสดี”
ผู้ซึ่งได้รับพร ๑๐ ประการ หรือทศพร จากพระอินทร์ เทพผู้เป็นใหญ่

ด้วยมูลเหตุดังนี้
พระนางผุสดีเมื่อสิ้นพระชาติที่ทรงกำเนิดเป็นพระนางสุธรรมา
และด้วยพระบารมีแก่กล้า พระนางเสด็จสู่สวรรค์อุบัติเป็นเทพธิดาผุสดี
เป็นพระอัครมเหสีแห่งอินทรเทพ

ครั้งถึงคราต้องทรงจุติจากสวรรค์
พระอินทรเทพได้ประทานพร ๑๐ ประการให้ตามที่พระนางมีพระประสงค์ดังนี้

๑. ได้บังเกิดในปราสาทแห่งพระเจ้ากรุงสีพี
๒. มีพระเนตรดำขลับประดุจตาลูกเนื้อทราย
๓. พระขนงดำสนิท
๔. ทรงพระนามว่า ผุสดี
๕. มีพระโอรสทรงพระเกียรติยศยิ่งกษัตริย์ทั้งปวง
และมีพระศรัทธาในพระกุศลทั้งปวง
๖. เมื่อทรงพระครรภ์ อย่าให้พระครรภ์โย้นูนดังสตรีมีครรภ์ทั่วไป
๗. พระถันงาม เวลาทรงพระครรภ์ก็มิดำและหย่อนคล้อย แม้กาลเวลาล่วงไป
๘. พระเกศาดำสนิทประดุจสีปีกแมลงค่อมทอง
๙. พระฉวีละเอียดงามเป็นนวลละออง ดังทองธรรมชาติปราศจากราคี
๑๐. ขอให้ทรงบารมี ทรงอำนาจไว้ชีวิตนักโทษประหารได้


มิใช่เพียงพร ๑๐ ประการ
ที่หนุนเนื่องให้พระนางผุสดีได้เป็นพระพุทธมารดาในชาติกาลต่อมา


ครั้งอดีตชาติ พระนางเคยเฝ้าถวายแก่นจันทร์แดงเป็นพุทธบูชา
แก่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งทรงอธิษฐาน
ตั้งพระปรารถนาให้ได้เป็นพระพุทธมารดาในอนาคตชาติด้วย


:b44: ตัวละครสะท้อนคุณธรรม

พระเจ้ากรุงสญชัย-พระนางผุสดี ทรงเป็นแบบอย่างของผู้ปกครองที่ดี
ฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน รู้จักผ่อนปรนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ หิ ม พ า น ต์

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

กัณฑ์หิมพานต์ ประดับด้วยคาถา ๑๓๔ พระคาถา
เป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
วัดพระเชตุพนวิมลสังคลาราม กรุงเทพมหานคร

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “ตวงพระธาตุ”
ประกอบกิริยาอวยทานของพระเวสสันดรที่ทรงบริจาคทาน

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

การทำความดี มักมีอุปสรรค

:b44: เนื้อความโดยย่อ

เทพธิดา “ผุสดี” พระอัครมเหสีแห่พระอินทรเทพ
ทรงจุติจากสวรรค์ลงมาถือกำเนิดเป็นพระธิดากษัตริย์มัททราช
มีพระนาม “ผุสดี” ดังทศพรประการที่ ๔ ที่ทรงขอไว้

ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชยแห่งกรุงสีพี
เมื่อมีพระโอรสนามว่า “พระเวสสันดร”
ด้วยทรงประสูติในตรอกพ่อค้า
ก็ทรงได้สมพระปรารถนาในทศพรประการที่ ๕

ด้วยพระกุมารเวสสันดรนั้น
ทันที่ประสูติจากพระครรภ์ ก็ทรงทูลขอทรัพย์บริจาคทันที
และเมื่อทรงขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา
ก็ทรงสร้างทานศาลาขึ้น ๖ แห่ง สำหรับบริจาคทานแก่ผู้ยากไร้โดยถ้วนหน้า

ในวันที่ พระเวสสันดร ประสูตินั้น
ทรงได้ช้างเผือกขาวบริสุทธิ์
ที่แม่ช้างชาติฉัททันต์นำมาถวายไว้ในโรงช้าง
ชาวสีพีขนานนามช้างว่า “ปัจจัยนาเคนทร์”
ด้วยเป็นช้างมงคลที่แม้ขับขี่ไปในที่ใด
ก็จะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล

กาลต่อมา เมื่อเมืองกลิงคราษฎร์ เกิดข้าวยากหมากแพง
ด้วยฝนฟ้าแล้งมิตกต้องตามฤดูกาล
พระเจ้ากลิงคราษฎร์มิอาจทรงแก้ไขได้

แม้จะทรงรักษาอุโบสถศีลครบกำหนด ๗ วันแล้วก็ตาม
จนต้องทรงแต่งตั้งพราหมณ์ ๘ คน
ไปทูลขอ ช้างปัจจัยนาเคนทร์ จาก พระเวสสันดร
พระเวสสันดรก็ประทานให้
เป็นเหตุให้ชาวเมืองสีพีไม่พอใจ
ถึงขั้นกราบทูลพระเจ้ากรุงสญชัยให้เนรเทศพระเวสสันดรออกจากบ้านเมืองไป

พระเวสสันดร แม้จะประทาน ช้างปัจจัยนาเคนทร์
จนต้องถูกเนรเทศก็มิทรงย่อท้อที่จะบำเพ็ญทาน
ยังทรงทูลขอโอกาสบริจาคทานครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “สตสดกมหาทาน”

ก่อนที่จะทรงจากไป ทรงให้พระนางมัทรีบริจาคทรัพย์ถวายแด่ผู้ทรงศีล
และให้พระนางทรงอยู่บำรุงรักษาพระโอรสพระธิดา
ทั้งทรงอนุญาตให้อภิเษกสมรสใหม่ได้

แต่พระนางมัทรีขอตามเสด็จไปพร้อมพระโอรสและพระธิดา
และได้ทรงพรรณนาถึงความสวยงามและน่าทัศนาของป่าหิมพานต์ถึง ๒๔ พระคาถา
เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่า พระนางเต็มพระทัยโดยเสด็จ
มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องทุกข์ทรมานแต่ประการใด

:b44: ตัวละครสะท้อนคุณธรรม

พระเวสสันดร เป็นแบบอย่างของผู้เสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ไม่ยึดติดกับอำนาจวาสนา บริบูรณ์ใน พรหมวิหาร ๔ ประการ
ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 15 ก.ย. 2009, 12:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ ท า น กั ณ ฑ์

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

กัณฑ์ทานกัณฑ์ ประดับด้วยคาถา ๒๐๙ คาถา
เนื้อความเป็นของสำนักวัดถนน จังหวัดอ่างทอง มิได้ระบุชื่อผู้นิพนธ์

กัณฑ์นี้มีจำนวนพระคาถามากที่สุดในจำนวนมหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “พระยาโศก”
ประกอบกิริยาโศกสลดรันทดใจของพระบรมวงศานุวงศ์
ที่ พระเวสสันดร ถูกเนรเทศออกจากเมือง

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

พึงยอมเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม

:b44: เนื้อความโดยย่อ

เมื่อพระเวสสันดรทรงบริจาค สัตสดกมหาทาน
เป็นทาน ๗ สิ่ง สิ่งละ ๗๐๐ ตามที่ทรงทูลขอพระเจ้ากรุงสญชัยพระราชบิดาแล้ว
ทรงนำเสด็จพระนางมัทรี และสองพระกุมารกราบทูลลาพระบิดา

พระเจ้ากรุงสญชัยทรงทัดทานมิให้นางมัทรีและพระนัดดาที้งสองไว้
พระนางมัทรีก็ไม่ทรงยอมอีก
ด้วยทรงตั้งพระทัยมั่นที่จะขอตามเสด็จพระสวามี
ไปพร้อมพระโอรสพระธิดา ทรงกราบทูลว่า

เมื่อเป็นมเหสีแล้วก็ถือพระองค์เป็นประดุจทาสทาสี
ย่อมจงรักภักดีต่อพระสวามี
ขอตามเสด็จไปปรนนิบัติประหนึ่งทาสติดตามรับใช้
มิยอมให้พระสวามีไปตกระกำลำบาก
ทุกข์ยากพระวรกายแต่เพียงลำพัง
ส่วนพระโอรสธิดาเป็นประดุจแก้วตาดวงใจจะทอดทิ้งเสียกระไรได้


พระเจ้ากรุงสญชัยต้องทรงเลิกทัดทานในที่สุด

เมื่อ พระเวสสันดร ทรงกราบบังคมทูลลาพระชนกชนนีแล้ว
ทรงเบิกแก้วแหวนเวินทอง บรรทุกราชรถเทียมม้า
และทรงโปรยเป็นทานไปตลอดทาง

แม้แต่รถทรง ม้าเทียมรถทรง
ก็ประทานให้แก่พราหมณ์ที่มาทูลขอไปจนหมดสิ้น
แล้วทั้งสองพระองค์ทรงอุ้มพระโอรสและพระธิดา
ทรงพระดำเนินไปสู่มรรคาเบื้องหน้า

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ ว น ป ร ะ เ ว ศ น์

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

กัณฑ์วนประเวศน์ประดับด้วยคาถา ๕๗ คาถา
เป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “พระยาเดิน”
ประกอบกิริยาเดินป่าของ พระเวสสันดร พระนางมัทรี พระชาลี และพระกัณหา

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

มิตรแท้ย่อมไม่ทอดทิ้งเมื่อยามเพื่อนทุกข์
ช่วยปลอบปลุกยามเพื่อนอ่อนล้า
ช่วยฉุดดึงยามเพื่อนตกต่ำ
และช่วยชูค้ำยามเพื่อนขึ้นสู่ที่สูง

:b44: เนื้อความโดยย่อ

พระเวสสันดร พระนางมัทรี และสองพระกุมาร
เสด็จโดยพระบาทเป็นระยะทางถึง ๓๐ โยชน์
จึงลุ มาตุลนคร แคว้นเจตราษฎร์

ด้วยพระบารมีเทวดาจึงทรงย่นระยะทาง
ให้เสด็จถึงตัวเมืองภายในเวลาเพียงวันเดียว
ทั้งสี่พระองค์ได้ประทับแรมที่แคว้นเจตราษฎร์นี้

เมื่อ กษัตริย์เจตราษฎร์ ทรงทราบ
ได้กราบทูลขอถวายความอนุเคราะห์ทุกประการ
ทั้งเชิญเสด็จเสวยราชสมบัติแทนพระองค์
แต่ พระเวสสันดร มิทรงรับ ด้วยผิดพระประสงค์

ทรงขอเพียงให้ชี้ทางไปเขาวงกต
สถานที่ที่พระองค์ตั้งพระทัยมั่น
จะประทับรักษาพระจริยวัตรของนักพรตโดยเคร่งครัดสืบไป

กษัตริย์เจตราษฎร์ สุดที่จะโน้มน้าวพระทัยพระเวสสันดรได้
จำต้องทำตามพระประสงค์
ทรงทำได้เพียงตามส่งเสด็จจนสุดแดนแคว้นเจตราษฎร์
และทรงให้ พรานเจตบุตร ถวายงานเป็นผู้พิทักษ์ระวังระไว
มิให้ภยันตรายใดใดแผ้วพาน และมิให้สิ่งใดหรือใครเข้าไปรบกวนความสงบได้

ณ เขาวงกต ทั้ง ๔ พระองค์ทรงประทับในพระอาศรม
ที่พระอินทรเทพทรงบัญชาให้พระวิษณุกรรมเทพบุตร
เนรมิตไว้ให้พร้อมด้วยเครื่องบรรพชิต บริขารครบถ้วน

พระเวสสันดร ประทับในพระอาศรมหนึ่งโดยลำพัง
พระนางมัทรีกับสองพระกุมารประทับพักพระอาศรมหนึ่ง
ทั้งสี่พระองค์ทรงผนวชเป็นพระฤาษี
ต่างพระองค์ต่างทรงรักษาพระจริยวัตรของผู้ถือบวชโดยเคร่งครัด
สมดั่งพระหฤทัยตั้งมั่นทุกประการ

:b44: ตัวละครสะท้อนคุณธรรม

กษัตริย์เจตราษฎร์ เป็นแบบอย่างของมิตรแท้ที่มีน้ำใจ
พร้อมจะช่วยเหลือยามมิตราตกทุกข์ได้ยาก

รูปภาพ
[ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส]

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ ชู ช ก

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

กัณฑ์ชูชกประดับด้วยคาถา ๗๙ คาถา
พระเทพโมลี วัดสังข์กระจาย เป็นผู้นิพนธ์

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “เซ่นเหล้า”
ประกอบกิริยากินอย่างตะกละตะกรามของ ชูชก

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

อย่าฝากของมีค่า ของสำคัญ หรือของหวงแหนไว้กับผู้อื่น

:b44: เนื้อความโดยย่อ

ในละแวก บ้านทุนวิฐ แคว้นกลิงคราษฏร์
มี ชูชก พราหมณ์เข็ญใจเที่ยวขอทานเขากิน
เมื่อเก็บเงินได้มากถึง ๑๐๐ กษาปณ์ ก็นำไปฝากเพื่อนพราหมณ์ผัวเมียคู่หนึ่งไว้
แล้วเที่ยวตระเวนขอทานต่อไป

ชูชก หายไปนานา จนพราหมณ์ผัวเมียคิดว่าพราหมณ์ ชูชก ไม่กลับมาแล้ว
ประกอบกับเกิดขัดสนยากจนลง ชวนกันใช้เงินของชูชกกันหมด

เมื่อชูชกกบลับมาทวงไม่มีจะคืนให้
จึงยก นางอมิตตดา ใช้หนี้แทน

ชูชก ได้ นางอมิตตดา ซึ่งนอกจากจะเป็นลูกที่ดี คือกตัญญูต่อพ่อแม่
ทดแทนพระคุณโดยยอมตัวเป็นของชูชกแล้ว ยังเป็นเมียที่ประเสริฐ
แม้ชูชกจะแก่คราวปู่ นางก็ปรนนิบัติชูชกเป็นอย่างดี มิได้ขาดตกบกพร่อง

ทำให้พราหมณ์หนุ่มในละแวกนั้นไม่ได้พอใจพราหมณีภรรยาของตน
ต่างไปต่อว่าด่าทอทุบตีภรรยาตอน นางพราหมณีทั้งหลายโกรณแค้นจึงไปรุมขับไล่
และด่าว่า นางอมิตตดา อย่างรุนแรง นางทั้งเสียใจและอับอายจนสุดจะทน
จึงร้องบอก ชูชก ว่า จะไม่ทำงานรับใช้สามีอีก ชูชก ขอทำงานแทน
นางก็ยอมไม่ได้ ด้วยเทือกเถาเหล่ากอของนางไม่เคยใช้สามีต่างทาส

ด้วยเทพยดาฟ้าดินจะทรงให้การบำเพ็ญทานบารมีของ พระเวสสันดร เพิ่มพูนขึ้นอีก
จึงดลใจให้ นางอมิตตดา รู้เรื่องของ พระเวสสันดร
และคิดขอสองพระกุมารมาเป็นข้ารับใช้ โดยให้นางแนะ ชูชก ไปขอสองพระกุมาร

ชูชก จำใจจากนางเดินทางไปตามหา พระเวสสันดร
จนกระทั่งไปถึงเขาวงกต เพราะเทพยดาดลใจให้หลงทางไป

ชูชก พบพรานเจตบุตรเพราะใช้อุบายลวงล่อจนพรานเจตบุตรหลงเชื่อว่า
เป็นผู้ถือพระราชสาส์น พระเจ้ากรุงสญชัย
มากราบทูลเชิญทั้งสี่พระองค์เสด็จกลับ กรุงสีพี
จึงต้อนรับ ชูชก เต็มที่
ทั้งเตรียมเสบียงและเตรียมชี้ทางไปสู่พระอาศรม พระเวสสันดร แต่โดยดี

:b44: ตัวละครสะท้อนคุณธรรม

ชูชก เป็นตัวอย่างของคนมัธยัสถ์ รู้จักเก็บหอมรอมริบ รักครอบครัว
แต่มีนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ
ติดอยู่ในกาม เข้าลักษณะ “วัวแก่กินหญ้าอ่อน”

นางอมิตตดา เป็นตัวอย่างของลูกที่อยู่ในโอวาท กตัญญูต่อพ่อแม่
เป็นภรรยาที่ดีของสามี แต่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ จุ ล พ น

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

จุลพน หมายถึง ป่าที่มีต้นไม้น้อยๆ หรือป่าโปร่ง
กัณฑ์จุลพน ประดับด้วยคาถา ๓๕ พระคาถา

เป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “คุกพาทย์” หรือ “รัวสามลา”
ประกอบกิริยาการแสดงอิทธิฤทธิ์ หรือการข่มขวัญ ซึ่งพรานเจตบุตรได้แสดงแก่ชูชก

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

มีอำนาจ แต่หากขาดปัญญา ย่อมถูกหลอกได้ง่าย

:b44: เนื้อความโดยย่อ

พรานเจตบุตร ซึ่งได้รับคำสั่งจากกษัตริย์เจตราษฏร์
ให้ทำหน้าที่เป็นนายด่านประตูป่า
คอยห้ามมิให้ผู้ใดไปพบกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์ เว้นแต่ราชทูตเท่านั้น

รู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของชูชก
จึงหลงเชื่อ ให้ที่พักอาศัยและเลี้ยงดูจนอิ่มหนำสำราญ

ครั้นรุ่งเช้าก็จัดเตรียมเสบียงให้ชูชก
พร้อมทั้งนำชูชกไปยังต้นทางที่จะไปยังเขาวงกต
และชี้บอกเส้นทางที่จะต้องผ่านว่า
ต้องผ่าน เขาคันทมาทน์ อันอุดมด้วยไม้หอมนานาชนิด

ถัดไปจะเห็นเขาสีเขียวคราม คือ เขาอัญชัน
ซึ่งอุดมไปด้วยไม้ผลและสมุนไพรชนิดต่างๆ
เดินต่อไปอีกสักครู่จะถึงสวนอัมพวันใหญ่ คือป่ามะม่วง
ถัดไปเป็นป่าตาล ป่ามะพร้าวกับต้นแป้ง

จากนั้นจะเป็นป่าไม้ดอกนานาพันธุ์ ที่มีกลิ่นหอมตระหลบอบอวลไปทั้งป่า
แล้วจะถึงสระอันอุดมไปด้วยสัตว์น้ำหลากหลายชนิด
มีขัณฑสกรที่เป็นน้ำตาลที่เชื่อกันว่าเกิดขึ้นบนใบบัว และเป็นเครื่องยาอย่างดีที่หาได้ยาก

พรานเจตบุตร ยังได้แนะทางที่จะไปยังอาศรมของ พระอัจจุตฤาษี
เพื่อให้ชูชกถามถึงหนทางที่จะไปยังพระอาศรมของ พระเวสสันดร

ชูชกจำเส้นทางที่ พรานเจตบุตร บอกไว้
แล้วอำลาโดยทำประทักษิณ ๓ รอบ จากนั้นจึงออกเดินทางต่อไป

:b44: ตัวละครสะท้อนคุณธรรม

พรานเจตบุตร เป็นแบบอย่างของคนดี คนซื่อ
แต่ขาดความเฉลียวฉลาดจึงถูกหลอกได้ง่าย

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ ม ห า พ น

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

มหาพน หมายถึง ป่าใหญ่ หรือไพรกว้าง
กัณฑ์มหาพนประดับด้วยคาถา ๘๐ พระคาถา
พระเทพโมลี (กลิ่น) วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เป็นผู้นิพนธ์

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “เชิดกลอง”
ประกอบกิริยาเดินอย่างเร่งรีบของ ชูชก

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

คนฉลาดแต่ขาดเฉลียว คนมีปัญญาแต่ขาดสติย่อมพลาดท่าเสียทีได้

:b44: เนื้อความโดยย่อ

ชูชก เดินทางผ่านสถานที่สำคัญๆ ตามที่พรานเจตบุตรบอก
จนกระทั่ง อัจจุตฤาษี จึงสอบถามที่อยู่ของ พระเวสสันดร

พระอัจจุตฤาษี เห็นท่าทีและพฤติกรรมของ ชูชก ครั้งแรกก็ลังเล
กลัวว่า ชูชก จะมาขอพระชาลี พระกัณหาไปเป็นทาส
หรือไม่ก็ขอพระนางมัทรี

จึงไม่บอกทาง ชูชก แก้ตัวด้วยมธุรสวาจา
ยกเหตุผลว่าจะมาเที่ยวขอให้เสื่อมเสียพงศ์พราหมณ์ทำไม
การมาครั้งนี้เพื่อเยี่ยมเยียน พระเวสสันดร จริงๆ
ขอให้ได้เห็นจะได้เป็นกุศล

ทั้งยังอ้างว่าตั้งแต่พระเวสสันดร จากเมืองมา
ตนยังไม่ได้พบ พระเวสสันดร เลย

ทำให้ พระอัจจุตฤาษี ใจอ่อน
หลงเชื่อว่า ชูชก มาด้วยเจตนาดี

เมื่อเห็นว่า พระอัจจุตฤาษี ใจอ่อนหลงเชื่อแล้ว
ชูชก จึงขอค้างแรมที่อาศรมหนึ่งคืน

รุ่งขึ้น พระอัจจุตฤาษี จัดหาผลไม้ให้
และบอกทางไปพระอาศรมของ พระเวสสันดร อย่างละเอียด
พรรณนาถึงป่าเขา ฝูงสัตว์ร้ายต่างๆ
ด้วยเป็นป่าใหญ่ สมกับที่เรียกว่า ป่ามหาพน

ชูชก จดจำคำแนะนำเส้นทางไว้
แล้วอำลามุ่งหน้าเดินทางไปสู่พระอาศรมของ พระเวสสันดร

:b44: ตัวละครสะท้อนคุณธรรม

พระอัจจุตฤาษี เป็นแบบอย่างของนักพรตผู้ฉลาด
แต่ขาดเฉลียว หูเบาเชื่อง่าย

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ กุ ม า ร

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

คำว่า “กุมาร” ในกัณฑ์นี้ หมายความถึง พระชาลีและพระกัณหา
กัณฑ์กุมารประดับด้วยคาถา ๑๐๑ พระคาถา
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้นิพนธ์

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “โอดเฉิดฉิ่ง”
ประกอบกิริยาที่ ชูชก พา พระชาลีและพระกัณหา
เดินทางเข้าไปในป่า และเฆี่ยนตีไปตลอดทาง

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

ความเป็นผู้รู้จักกาละเทศะ รู้จักโอกาส รู้ความควรไม่ควร
จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา

:b44: เนื้อความโดยย่อ

ชูชกเดินทางไปยังอาศรม พระเวสสันดร ในเวลาจวนค่ำ
แต่ไม่คิดจะเข้าเฝ้าทูลขอสองพระกุมารในเวลานั้น
ด้วยเกรงว่าพระนางมัทรีจะขัดขวางตามวิสัยผู้เป็นแม่
รอให้พระนางมัทรีเสด็จไปหาผลไม้
และ พระเวสสันดร ประทับอยู่โดยลำพังในเวลารุ่งขึ้น จึงค่อยเข้าไปขอ

ในคืนนั้น พระนางมัทรีทรงพระสุบิน ด้วยเทวดามาบอกเหตุว่า

มีบุรุษร่างกายกำยำ ผิวดำ ถือดาบสองมือ
พังประตูอาศรมเข้าไปฉุดกระชากพระนาง
ควักพระเนตร ตัดพระพาหาสิ้นทั้งซ้ายขวา
ท้ายสุดผ่าพระอุระ ควักดวงพระหทัยแล้วหนีไป


พระนางทรงตระหนักดีว่าทรงฝันร้าย
จึงกังวลพระทัยยิ่งนัก และไม่วางพระทัย
แม้ พระเวสสันดร จะทรงทนายเลี่ยงไปว่า เป็นธาตุวิปริต
และทรงปลอบพระนางให้ทรงหายหวาดกลัวและคลายกังวล

ครั้นรุ่งเช้า พระนางก็ยังคงเสด็จไปหาผลไม้ ดังเช่นที่ทรงปฏิบัติทุกวัน

ฝ่าย ชูชก สบโอกาสดังคิด
จึงเร่งเข้าเฝ้า พระเวสสันดร แล้วทูลขอสองพระกุมาร

แม้ พระเวสสันดร จะทรงอาลัยพระโอรสพระธิดาเพียงใด
ก็ต้องตัดพระทัยเพื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณ
อันจะยังประโยชน์สุขให้แก่มวลมนุษย์
ยิ่งกว่าสุขของพระองค์เอง
ทั้งสองพระกุมารก็เข้าพระทัยในเหตุผลของพระบิดา
จึงยอมเสด็จไปกับ ชูชก

ทั้งสามพระองค์ต้องทรงกลั้นอาลัย
พระเวสสันดร ต้องสะกดพระโทสะ
ด้วย ชูชก ลงมือเฆี่ยนตีสองพระกุมาร
ตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นพระอาศรม

ก่อนจะทรงให้สองพระกุมารกับชูชกไป
ได้ทรงตั้งค่าตัวไว้ว่า

หากมีผู้ใดต้องการไถ่ตัวสองพระกุมารให้พ้นทาส
พระชาลี นั้นทรงตั้งไว้พันตำลึงทอง
พระกัณหา เป็นหญิง นอกจากทรัพย์พันตำลึงทองแล้ว
ยังต้องประกอบด้วยข้าทาสชายหญิง ช้าง ม้า โคคาวี และโคอศุภราชอีกอย่างละร้อย

:b44: ตัวละครสะท้อนคุณธรรม

พระชาลี พระกัณหา เป็นแบบอย่างของลูกที่ดี
เชื่อฟังพ่อแม่มีเหตุผล ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน จากการถูก ชูชก เฆี่ยนตีก็ตาม

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ มั ท รี

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

กัณฑ์มัทรี ประกอบด้วยคาถา ๙๐ คาถา
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นผู้นิพนธ์

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “ทะยอยโอด”
ประกอบกิริยาใคร่ครวญหวนไห้ของ พระนางมัทรี
เมื่อตามหาพระโอรสและพระธิดาไม่พบ

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่กว่าความรักของพ่อและแม่

:b44: เนื้อความโดยย่อ

เมื่อ ชูชก พาสองพระกุมารไปแล้ว พระอินทรเทพทรงเกรงว่า
พระนางมัทรี จะทรงเสด็จกลับจากป่าเร็วกว่าปกติ
ด้วยความกังวลที่ทรงฝันร้าย
และพระนางจะเสด็จตามสองพระกุมารทัน

จึงทรงบัญชาให้เทพยดาสามองค์ แปลงกายเป็นสัตว์ร้ายที่น่ากลัว
คือ เสือโคร่ง เสือเหลือง และราชสีห์
นอนขวางทางเสด็จกลับพระอาศรม จนค่ำจึงหลีกทางให้พระนาง

ครั้น พระนางมัทรี เสด็จกลับถึงพระอาศรม
ไม่ทรงเห็นสองพระกุมารทรงตามหาไม่พบ
ก็กันแสงอ้อนวอนทูลถาม พระเวสสันดร ถึงสองพระกุมาร

พระเวสสันดร ไม่ทรงตอบ
และทรงแกล้งกล่าวตำหนิที่พระนางทรงกลับมืดค่ำ
ให้พระนางเจ็บพระทัย
จะได้คลายทุกข์โศกถึงสองพระกุมาร

แม้พระนางจะทรงอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่ทรงตอบ
จนพระนางน้อยพระทัย
ทรงออกติดตามพระโอรสพระธิดาทั้งราตรี

ลุรุ่งอรุณวันใหม่
พระนางมัทรี จึงเสด็จกลับพระอาศรมด้วยความอิดโรยอ่อนพระทัย
อ่อนล้าพระกำลังถึงกับทรงสลบไป

เมื่อ พระเวสสันดร ทรงแก้ไขให้ทรงฟื้นแล้ว
จึงทรงบอกความจริงว่า

ได้ประทานพระโอรสพระธิดาให้ชูชกไปแล้ว
ทรงขอให้พระนางอนุโมทนากับ “ปิยบุตรทาน” ด้วย
อันจะส่งผลให้พระองค์เสด็จสู่พระสัมมาสัมโพธิญาณ
พระนางมัทรี เมื่อทรงทราบความจริงก็ทรงบรรเทาโศก
และทรงอนุโมทนาด้วย

:b44: ตัวละครสะท้อนคุณธรรม

พระนางมัทรี เป็นแบบอย่างของภรรยาที่ดี ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อสามี
รวมถึงเป็นแม่ที่รักและเป็นห่วงลูกมาก เปรียบลูกเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจ

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 15 ก.ย. 2009, 13:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ สั ก ก บ ร ร พ

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

“สักกบรรพ” แปลว่า ตอนที่ว่าด้วย พระอินทร์
คือ ท้าวโกสินทร์สักรินทร์เทวราช ผู้เป็นจอมเทพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

กัณฑ์สักกบรรพ ประดับด้วยคาถา ๑๓ พระคาถา
เป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “กลม” หรือ “เหาะ”
ประกอบกิริยาเหาะลงมา และการแปลงกายของพระอินทร์

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

การทำความดี แม้ไม่มีคนเห็น แต่เทพยดาอารักษ์ย่อมรู้ย่อมเห็น

:b44: เนื้อความโดยย่อ

เมื่อ พระเวสสันดร ประทานสองพระกุมารให้ชูชกไปแล้ว
พระอินทรเทพ ทรงดำริว่า

แม้นมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรี พระเวสสันดร ก็จะทรงยกให้อีก
จะทำให้ พระเวสสันดร ขาดผู้ปฏิบัติดูแล

จึงทรงนิรมิตองค์เป็นพราหมณ์แก่เข้าไปทูลขอพระนางมัทรี
และเป็นดังที่ทรงคาด

เมื่อพราหมณ์จำแลงรับพระนางมัทรีมาแล้ว
จึงกลับร่างเป็น พระอินทรเทพถวาย พระนางคืน
พร้อมประทานพร ๘ ประการ
ตามที่ พระเวสสันดร ทรงแสดงพระประสงค์คือ

๑. ให้พระบิดาทรงรับพระองค์ กลับไปทรงครองราชย์สมบัติดังเดิม

๒. ให้พระองค์มีพระกรุณาและพระปัญญา ที่จะไม่ต้องเข่นฆ่าผู้มีทุจริตร้ายกาจ

๓. ให้พระองค์ทรงกอปรด้วยพระเมตตาและพระอำนาจ เป็นที่พึ่งและเป็นที่รักแก่ปวงชน

๔. ให้พระองค์ทรงพอพระทัย ตั้งมั่นอยู่แต่พระชายาพระองค์เดียว
แม้มีสตรีเป็นที่รักมากเพียงใด ขออย่าให้ทรงลุอำนาจของสตรี
จนเป็นทางที่ทุจริตผิดตามมาได้

๕. ให้พระโอรสได้ปกครองแผ่นดิน ทรงอำนาจด้วยธรรมปฏิบัติ

๖. ให้เกิดภักษาหารมากเพียงพอที่จะบริจาคเป็นทานมิได้ขาด

๗. ให้มีทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องอุดหนุนเป็นเครื่องไทยธรรมทานการกุศลของพระองค์
มีแต่เพิ่มพูนมิรู้หมดสิ้น เช่นเดียวกับน้ำพระทัยในทางกุศลของพระองค์

๘. เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ไป ขอให้บังเกิดในสวรรค์ชั้นสูง
มีพระบารมีและมิมีวันเสื่อมถอยลดลง จากพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญ


:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2009, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กั ณ ฑ์ ม ห า ร า ช

:b44: สาระน่ารู้สู่ผู้สดับ

กัณฑ์มหาราช ประดับด้วยคาถา ๖๓ พระคาถา
เป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
และกวีอีก ๒ ท่าน คือ พระยาธรรมปรีชา (บุญ) และขุนวรรณวาทวิจิตร

เพลงประจำกัณฑ์ คือ เพลง “กราวนอก”
ประกอบกิริยาการยกพล และเคลื่อนพลที่พระเจ้ากรุงสญชัย
ทรงยกไปรับ พระเวสสันดร และพระนางมัทรี กลับเมือง

:b44: ข้อคิดจากกัณฑ์

คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้

:b44: เนื้อความโดยย่อ

ชูชก ตั้งใจพาสองพระกุมารกลับไปหา นางอมิตตดา ที่เมืองกลิงคราษฎร์
แต่เทพยดาดลใจให้ชูชกเดินทางผิด
กลายเป็นเดินทางเข้าสู่กรุงสีพีของ พระเจ้ากรุงสญชัย

ฝ่าย พระเจ้ากรุงสญชัย
คืนก่อนที่จะได้พบสองพระกุมารได้ทรงพระสุบินนิมิตว่า

มีบุรุษรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวนำดอกบัวสองดอกมาถวาย
ซึ่งโหรหลวงทำนายว่า
จะมีพระญาติใกล้ชิดที่พลัดพรากไปกลับสู่พระนคร

รุ่งขั้น ชูชก ก็มีโอกาสนำสองพระกุมาร
เข้าเฝ้า พระเจ้ากรุงสญชัยและพระนางผุสดี
ทั้งสองพระองค์ดีพระทัยยิ่งนัก
พระราชทานสิ่งของไถ่องค์พระนัดดาทั้งสอง
ตามที่ พระเวสสันดร ทรงกำหนดไว้

และทรงให้จักเลี้ยง ชูชก ด้วยอาหารคาวหวานมากมาย
ชูชก บริโภคเกินขนาดจนไฟธาตุไม่อาจเผาผลาญได้ อาหารไม่ย่อย
สุดท้ายก็ถึงแก่จุกตาย

ทรัพย์ที่ได้รับก็ถูกริบเข้าคลังหลวง
หลังจากที่ประกาศให้วงศาคณาญาติให้มารับ แล้วไม่มีผู้ใดมารับ

หลังจากที่ พระเจ้ากรุงสญชัย ทรงสดับเรื่องราวจากพระนัดดาทั้งสอง
ที่ต้องระกำลำบากกับพระชนกชนนี
พระเจ้ากรุงสญชัย ก็ทรงเตรียมยกพยุหยาตรา
ไปรับ พระเวสสันดรกับพระนางมัทรี กลับพระนคร
ในวันรับเสด็จ พราหมณ์ชาวเมืองกลิงคราษฎร์ ๘ คน
นำ ช้างปัจจัยนาเคนทร์ มาถวายคืน
จึงโปรดให้ พระชาลี ทรง ช้างปัจจัยนาเคนทร์ นำขบวนสู่เขาวงกต

:b8: :b8: :b8:

(มีต่อ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร