วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2009, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เ งื่ อ น ไ ข ข อ ง ชี วิ ต แ ล ะ สั ง ค ม
ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)

ท่านรองอธิการบดี ท่านคณาจารย์
และนักศึกษาผู้สนใจในธรรมบรรยายทั้งหลาย


ถ้าเราจะเปรยขึ้นว่า

เดี๋ยวนี้มนุษย์มิได้ต่างกับสัตว์เท่าใดเลย
ในด้านการบำบัดพื้นฐานของมนุษย์


เช่น การกิน การแสวงหาอำนาจอะไร ๆ ก็ดี

และถ้าจะถามว่า เพราะเหตุใดเล่า
มนุษย์จึงดูเสมือนวิวัฒนาการขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
จนได้แยกสายวิวัฒนาการแตกต่างจากสัตว์มากมาย เห็นปานนี้
มนุษย์มีวัตถุปัจจัย เครื่องอาศัย ที่เราเห็น ๆ กันอยู่ เช่น ตึกรามบ้านช่อง
ในขณะที่สัตว์เหล่านั้นยังอยู่รูอยู่รังเหมือนเดิม

เราอาจจะมีคำตอบหลาย ๆ ประเด็น
แต่ว่าอาตมภาพขอชี้ให้ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลายได้สำนึก
หรือย้อนไปถึงสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นอาวุธวิเศษและร้ายกาจที่สุดในหมู่มนุษย์


สิ่งนั้นคือภาษา จริงอยู่สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นก็มีภาษาของเขาเอง
แต่ภาษาเหล่านั้นไม่อาจที่จะเทียบกับภาษาของมนุษย์ได้
เพราะว่ามนุษย์ก็มีภาษา มีความคิด มีมโนภาพ มีสัญลักษณ์
ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า ภาษา ความคิด และมโนภาพ ไม่ใช่ของที่แตกต่างกัน

แต่เป็นปฏิกิริยาเนื่องถึงกัน
เช่นขณะที่เราพูด ขณะนั้นเรากำลังคิด
หรือขณะที่เรากำลังคิดอยู่คนเดียว
ในขณะนั้นเรากำลังพูดอยู่ข้างในด้วย
ด้วยเหตุนี้ ทั้งภาษา ความคิด มโนภาพ
ซึ่งอาตมภาพจะขอเรียกเพียงคำ ๆ เดียว
เป็นภาษาที่ท่านทั้งหลายก็เคยชินอยู่แล้ว

ขออภัยด้วยสำหรับท่านที่ไม่ประสงค์ให้ภาษาอังกฤษปะปนกับภาษาไทย
แต่เราใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพื่อความหลงใหล
แต่เพียงเพื่อย่นเวลาของท่านผู้คงแก่เรียน
ก็คือว่า ภาษา - ความคิด - และมโนภาพนั้น
เรียกรวมกันว่า concept

มนุษย์มี concept และ concept นั้น
วิวัฒนาการขึ้นตามกาลสมัยเรื่อยมา
ด้วยเหตุนี้ สายวิวัฒนาการแห่งมนุษย์
จึงแยกจากสัตว์อย่างรุนแรง และรวดเร็ว


ภาษา ความคิด และมโนภาพ ซึ่งได้กระจายออกมาสู่
ภาษาพูด ภาษาสัญลักษณ์ในวิชาพีชคณิต หรือ เลขคณิต หรือเรขาคณิต
และในที่สุด จึงเกิดเป็นวิทยาศาสตร์แห่งภาษา
ที่เรียกกันว่า ตรรกเชิงคณิตศาสตร์
ซึ่งท่านทั้งหลายคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว
นั่นก็คือว่า วิทยาศาสตร์แห่งภาษา

ภาษาไม่ได้เป็นเพียงอักษรศาสตร์สามัญเสียแล้ว
ได้กลับกลายเป็นวิทยาศาสตร์ คือการหาข้อมูลที่เป็นญัตติ
และมีบทสรุปเหมือนกับวิชาเลขคณิต
ซึ่งเราท่านทั้งหลายคุ้นหูกันดี
ในวิชาเรื่องของ computer หรืออะไรทำนองนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็พบว่า อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์
ถ้าได้เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ คือ ภาษา ความคิด มโนภาพ สัญลักษณ์
และไปรวมสรุปอยู่ที่ ตรรกเชิงคณิตศาสตร์ (mathematical logic)


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2009, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


มนุษย์มี concept มากเท่าใด มีตรรกเชิงคณิตศาสตร์มากเท่าใด
มนุษย์ก็ใช้สิ่งนั้นเองเข้าไปวิเคราะห์ หรือตีความธรรมชาติ


เหมือนดังที่อาตมภาพได้เคยอุปมาให้ฟังในธรรมบรรยายคราวที่แล้วว่า

สิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาตินั้น เราไม่อาจจัดได้เลยว่า มันเป็นอะไรกันแน่
เราไม่อาจให้ขีดจำกัดว่า ธรรมชาติคืออะไร

อุปมาเหมือนกับระฆังใบหนึ่ง ซึ่งเสียงที่ถูกตีออกมานั้น
ไม่อาจจัดได้ว่าเป็นเสียงของระฆังแต่ประการเดียว
จะต้องสัมพันธ์อยู่กับไม้ที่ตีระฆังนั้นด้วย

ถ้าเราใช้ไม้คอร์คตี เสียงก็ดังเป็นเสียงหนึ่ง
ถ้าเราใช้เหล็ก เสียงก็คงเป็นอีกเสียงหนึ่ง นั้นก็เป็นอุปมา

มนุษย์ใช้ concept ของมนุษย์เข้าไปวิเคราะห์ธรรมชาติ หรือตีความธรรมชาติ
สิ่งที่ออกมานั้น ไม่ใช่ธรรมชาติบริสุทธิ์
แต่เป็นธรรมชาติที่ประสม หรือคลุกเคล้ากับ concept ของมนุษย์เสียแล้ว


เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เรียกว่า concept นั้นเอง
จะปิดบังสัจจะในธรรมชาติเสียเอง
ก็คือมนุษย์พบแต่การงอกงามของ concept ของตัว
ที่แนบเนื่องหรือควบคู่กับธรรมชาติเท่านั้น


อุปมาเหมือนแม่มุกตัวหนึ่งที่เม็ดกรวดเม็ดหนึ่งเข้าไปแหย่ข้างในให้มันรำคาญ
แล้วมันก็พ่นน้ำเมือกออกมาหุ้มเม็ดกรวดนั้น
แล้วก็ออกมาเป็นเม็ดมุกสวย ๆ ให้เราประดับ

นั่นก็คือว่ามนุษย์ project concept เดิมของตัวออกมา
ตามที่ตัวเองถูกปูบัญญัติเอาไว้


ผู้ใดเป็นหมอ ก็ปูบัญญัติด้วยลักษณะของหมอ
ผู้ใดเป็นนักคณิตศาสตร์ ก็ถูกปูบัญญัตินั้นไว้
ผู้ใดเป็นนักอักษรศาสตร์ ก็ปูบัญญัติแห่งวิถีทางแห่งอักษรศาสตร์ไว้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินเรื่องใหม่ ๆ ขึ้นมา
ท่านต้องพ่นน้ำเมือกเดิม คือสิ่งที่เคยเรียนรู้เก่าขึ้นหุ้ม
ในที่สุด การงอกงามของ concept เป็นไปอย่างเชื่องช้าที่สุด
ไม่อาจที่จะลัดพรวดเดียว หรือฉับพลันเข้าไปสู่ตัวธรรมชาติ
และตัวธรรมชาตินั้นไม่ได้ห่างจากตัวเลย

ก็เพราะว่าความคิดก็เป็นธรรมชาติ
มนุษย์ยิ่งเป็นธรรมชาติ ที่มาแห่งความคิดก็มาจากธรรมชาติ


ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงคิดเก่งเท่าใด
มนุษย์ยิ่งไม่รู้จักความคิดเท่านั้น


เพราะว่าเมื่อมนุษย์กำลังคิด
แม้กำลังคิดถึงตัวความคิด มนุษย์ไม่อาจรู้จักความคิด
เพราะยิ่งคิดยิ่งถูกคิด
เหมือนเราว่ายน้ำทวนกระแส
ยิ่งว่ายขึ้นไป มันถูกแทงลงมา
ว่ายขึ้นไป มันถูกแทงลงมา


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2009, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


คราวนี้มาถึงวิธีเรียนของพระพุทธ
หรือวิธีเรียนของบรรพชิตทั้งหลาย ไม่ใช่การคิด
ท่านจะเรียกมันว่า วิธีโยนิโสมนสิการ


คือ การระงับความคิดลง ระงับสำรวมลง จนเห็นกระแสแห่งความคิด
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงค่อย ๆ รู้จักความคิดที่สัมพันธ์กันอยู่กับสิ่งแวดล้อม
และในที่สุดเรามาถึงบทที่ตัดสิน หรือวิเคราะห์ได้ว่า

โลกทุกวันนี้ กำลังมุ่งไปสู่ปรัชญาการเรียนหรือการงอกงามของการศึกษา
ชนิดที่นำไปสู่การยั่วยุอายตนะ ให้ฟุ้งเฟื่องมากมาย ซับซ้อนขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด
อาตมาจะเรียกปรัชญาการศึกษาปัจจุบันนี้ว่า
ปรัชญาการศึกษาแห่งการยั่วยุอายตนะ
ก็คือมนุษย์ยิ่งคิดเก่งขึ้น คิดเก่งขึ้น จนไม่รู้จักตัวเองในที่สุด

ท่านทั้งหลายคงจะเห็นแล้วว่า
เมื่อมนุษย์มีภาษาเท่าใด คิดเก่งเท่าใด
มนุษย์ก็แผ่ขยายอายตนะมากขึ้นเท่านั้น

การแผ่ขยายอายตนะนั้น
เราตีความหมายคลุมไปถึงมนุษย์ค้นพบวิทยาการสมัยใหม่
กล้องจุลทัศน์ โทรศัพท์ โทรทัศน์

วัตถุที่เกิดจากวิทยาการเหล่านั้น
มนุษย์นำเข้ามาประทับ ผนวกกับอายตนะเดิมของมนุษย์
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
แล้วมนุษย์จึงมีอายตนะที่ขยายออกอย่างฟุ่มเฟือย


ที่สุดเรานั่งอยู่ที่นี่อาจรู้เรื่องราวในทวีปแอฟริกา
หรืออาจจะได้ยินเสียงแม้ที่ดวงจันทร์
ซึ่งข้อนี้เราอาจจะวัดว่า นี่คือความเจริญของหมู่มนุษย์

แต่แล้วขอให้ท่านทั้งหลายรำลึกให้ดีสักหน่อย
มนุษย์ยิ่งแผ่ขยายอายตนะออกไปเท่าใด มนุษย์ยิ่งสูญเสียชีวิตเชิงง่าย


ชีวิตเชิงง่ายหมายความว่า
ชีวิตที่อาจให้อายตนะดำเนินชีวิตอย่างง่ายดาย รวดเร็วฉับพลัน
ในการสลัดออกจากอารมณ์ หรือความคุ้นคิดที่ฟุ้งซ่าน

การแผ่ขยายอายตนะ
เราจะเรียกว่า มันทำให้เกิดสวัสดิการ หรือสวัสดิการในสังคมขึ้นก็ได้


เช่น วิทยาการสมัยใหม่ที่เกิดจากภาษา หรือตรรกเชิงคณิตศาสตร์
ทำให้เราเกิดความอบอุ่นปลอดจากอันตรายหลายด้าน จากภัยธรรมชาติ
นี่เป็นอย่างบวกที่มนุษย์หรือความเจริญในหมู่มนุษย์เกิดขึ้น
และการแผ่ขยายอายตนขึ้นเองเป็นอาวุธร้ายของสังคมซึ่งเอามารวมกันอยู่

เช่น นาย ก. ปั่นด้ายด้วยเครื่องจักรชนิดใดชนิดหนึ่ง
นาย ข. เป็นหมอ นาย ค. เป็นทนายความ นาย ง. เป็นครู
ในที่สุดมนุษย์ทุกคนก็สูญเสียการดำเนินด้วยเอกสิทธิ์ในชีวิตของตัวเอง
แล้วก็ต้องอิงกันอยู่ เกาะกลุ่มกันอยู่

เพราะนาย ก. ไม่อาจไปปั่นฝ้ายได้ นาย ก.
จึงต้องหาเงินเพื่อไปซื้อเสื้อมา
และนาย ก. ก็มืดบอดต่อการปั่นฝ้าย นาย ข.
ผู้ปั่นฝ้ายก็ไม่รู้จะรักษาตัวเองอย่างไร
ก็ต้องพึ่งเงิน วัตถุที่เป็นกลาง สิ่งสมมุติที่เป็นกลาง
เพื่อหายาและหมอมารักษาตัว

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2009, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


สังคมไทยแต่เดิม มีภาษิตบทหนึ่ง หรือคำพังเพยหนึ่งว่า

ลูกพ่อคนหนึ่งหุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง
ลูกพ่อคนหนึ่งถากไม้เหมือนหมาเลีย


คำพูดนี้ดู ๆ คล้าย ๆ ตลก แต่ขอให้พิจารณาดูให้ดี

ลูกสาวของพ่อคนหนึ่งนั้นหุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง
คือเก่งถึงขนาดเรียกว่า ข้าวเหนียวที่ต้องนึ่งจึงจะสุกดี เขาหุงเอา
แล้วลกชายคนหนึ่งถากไม้เหมือนหมาเลีย
หมายความว่าไม่ต้องใช้กบไส ลากเอาด้วยผึ่ง
จนกระทั่งเกลี้ยงเหมือนสุนัขเลียจานข้าว
และลูกชายลูกสาวเหล่านั้นรับใช้ตัวเองได้

คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะต้องสร้างบ้านเป็นก่อนแต่งงาน และทำนาเป็น
ทำอะไรสารพัดเป็นหมดทั้งสิ้น

ในที่สุดอาตมาจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า

มนุษย์เมื่อรวมกันขึ้นเป็นสังคมแล้ว
มนุษย์ได้เกิดสวัสดิการอย่างใหญ่หลวง
โดยมีเงินหรือเครดิตเป็นตัวกลาง


และมนุษย์เริ่มแผ่ขยายอายตนะขึ้นไป
มนุษย์เริ่มแสวงหาอำนาจ เพื่อกักตุนวัตถุปัจจัย
หรือแม้แต่ความรู้ที่เรากำลังเร่งเรียนกันทุกวันนี้
แต่มนุษย์ได้สูญเสียอย่างร้ายกาจ คือชีวิตเชิงง่ายที่รับใช้ตัวเอง
หรือชีวิตเชิงง่ายที่พร้อมเสมอที่จะสลัดออกซึ่งอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา

ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตสุนัขให้ดี

เมื่อสุนัขนอนที่ที่หนึ่ง ถูกมดกัดก็ลุกขึ้นสลัดขนย้ายที่
และเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ แม้ต้องกัดกันยับเยิน
แต่พอหมดฤดูแล้ว มันก็หลับสนิท และตื่นขึ้นอย่างง่ายดาย
แต่มนุษย์ไม่อาจทำเช่นนั้นได้

ด้วยเหตุนี้ ใน คัมภีร์ไบเบิล จึงเขียนไว้ว่า

มนุษย์ถูกขับไล่ออกจากสวนสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า
เพราะไปรู้จักแผ่ขยายอายตนะ
แยกแยะเรียกดี เรียกชั่ว เรียกสูง เรียกต่ำ
ในขณะที่สัตว์ทั้งหลายนั้น
พระผู้เป็นเจ้ายังเลี้ยงดูอยู่บนสวนสวรรค์ไม่ได้ถูกขับออกไป

นี่เองคือที่ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย
จำเป็นต้องทำความรู้จักเป็นประการแรก
ไม่เช่นนั้นแล้วการแผ่ขยายอายตนะนั้นเองกลับกลายมาเป็นหอก
ที่ย้อนกลับเสียบแทงมนุษย์

เหมือนที่พระคริสต์ท่านตรัสว่า

พระบิดาในสวรรค์จะทำให้ผู้คงแก่เรียนวางกับไว้งับขาตัวของเขาเอง
ทั้ง ๆ ที่เขาได้วางกับไว้เอง เพราะว่าผู้คงแก่เรียน
มักจะขี้โมโหและจะต้องตายด้วยโรคเส้นโลหิตแตกในสมอง

คือเขาไม่สามารถระงับความคิดของเขาได้ จะมีแต่ความหงุดหงิด
ซึ่งเราพบความจริงว่า ชาวบ้านชาวสวนถึงเวลานอนก็หลับสนิท
ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่า เขาเห็นคนโง่เขลา

นี่สิ่งแรกที่ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลายได้โปรดสำนึกให้ดี
เพราะว่ามันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในทางแห่งชีวิต
ซึ่งอาตมภาพจะสรุปไว้เพียงแค่นี้ว่า

ชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะท่านที่เรียกตัวเองว่าปัญญาชนนั้น
คือชีวิตที่เป็น complex existence เป็นอยู่อย่างซับช้อน
และเต็มไปด้วยความขาดแคลนและรอคอย


เรากำลังคิดว่า เราไม่พอ เรายังขาด เรายังพร่อง
แล้วก็เรียกร้องนี่คือผลของการศึกษาของโลก หรือหลักสูตรการศึกษา
ที่ทำให้นักศึกษาทุกคนรู้สึก หรือเรียกร้อง
และในที่สุดไม่มีทางพ้นจากคำว่ารุนแรงเมื่อไม่ได้ดังใจ

ส่วนชีวิตเชิงง่าย ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดี

เด็กบ้านนอก เอาไปทิ้งไว้ในป่า ไม่เป็นไร หายอดผัก ยอดไม้ กินได้
ชีวิตเชิงง่ายจะเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า common sense
สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น ไม่ใช่อะไรอื่นคือเรื่อง common sense นี่เอง


ธรรมะทั้งหมดเป็นระบบประพฤติเพื่อเรียกกลับมา
ซึ่งสัญชาตญาณอย่างง่ายในการดำเนินชีวิต


ผู้ที่ประพฤติธรรมได้ผล หูของเขาจะเริ่มไวต่อธรรมชาติ
จิตของเขาจะเริ่มไวต่อการตัดสิน
ต่อทางแห่งการสลัดออกจากอารมณ์
ตาของเขาจะตัดสินอะไรอย่างง่ายดาย
ตามธรรมชาติที่เป็นจริงไม่เกี่ยวด้วยเรื่องสมมุติหรือบัญญัติ
แม้ว่าเขาจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอยู่
ในท่ามกลางของการสมมุติหรือบัญญัติแห่งสังคมก็ตาม


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2009, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอสรุปว่า สังคมให้สวัสดิการพร้อม ๆ กันนั้น
สังคมให้วิกฤตการณ์ในชีวิตขึ้นมา

แม้ว่ามนุษย์จะแผ่ขยายอายตนะขึ้น และประดิษฐ์เครื่องจักรกล
ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตในวงกว้างเพื่อรับใช้หมู่มนุษย์
แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย หลับตานึกดูให้ดี ปัญหาของโลกก็เกิดขึ้น
การผลิตวัตถุปัจจัย ที่จะมาเป็นการบำบัดขั้นพื้นฐานนั้นเอง
ได้กลับกลายมาเป็นวิกฤตการณ์ในหมู่มนุษย์

เพราะว่ามนุษย์ได้แผ่ขยายอายตนะขึ้น
และเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า ไม่พอ ไม่พอ ไม่พอ


ด้วยเหตุนี้วิชาการต่าง ๆ เช่นวิชาเศรษฐศาสตร์ก็ดี วิชาอื่น ๆ ก็ดี
จะให้คำนิยามเพื่อสนองตอบต่อปัญหาที่ไม่พอ ไม่รู้จักพอของมนุษย์

เช่น วิชาเศรษฐศาสตร์ ให้คำนิยามว่า

คือการเพิ่มผลผลิตให้พอเพียงแก่ความต้องการมนุษย์
ซึ่งเราไม่ได้ตอบว่า แค่ไหนมนุษย์จึงจะพอเพียง

และเมื่อ concept เป็นผลิตผลของยุคสมัยด้วยแล้ว
มนุษย์อีกร้อยศตวรรษข้างหน้า
คำว่า พอ ของเขาจะแผ่ขยายออกไปอีกสักเท่าไร

ขอให้ท่านทั้งหลายหลับตาตรองดู
และวิกฤตการณ์จะเกิดขึ้นอย่างไรแค่ไหน
และไม่มีทางทางหลีกเลี่ยงได้เลย


อาตมภาพขอสรุปหัวข้อแรก ที่ได้ตั้งต้นของคำบรรยายนี้ว่า

สังคมสร้าง concept หรือถ้าเรียกเป็นภาษาสันสกฤต และบาลี
ก็เรียกว่า อธิพจน์อธิวัจนะ ขึ้นมา


ในทำนองที่ ให้มนุษย์สัมผัสกับสิ่งรอบตัว
และเกิดความหมายในทางกระตุ้นชีวิตให้วิ่งไปข้างหน้า
คือการปลุกเร้าอายตนะ


ชีวิตทุกชีวิตที่ถูกโปรยลงมาในลู่กรีฑาแห่งชีวิตนี้
เด็กหนุ่มสาวทุกคน จะถูกสูตรสำเร็จบีบให้วิ่งอย่างสุดแรงเกิด
ด้วยคำนิยามที่เรียกว่าปรัชญา เงิน เกียรติ ที่ดิน คู่ครอง
อย่างชนิดที่เขาจะไม่มีโอกาสที่จะหยุด แม้แต่คิดว่า สิ่งนั้นคืออะไร

ในที่สุดท่านทั้งหลายก็พบด้วยตนเองว่า
ชีวิตเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยเหลือที่จะกล่าวได้

ทั้งนี้เพราะอะไรเล่า
เพราะว่าการแสวงหาที่ไม่รู้จักเงื่อนไขของชีวิตนั่นเอง


บางคนหาเงินแทบล้มประดาตาย
จนในที่สุดตายแล้วยังไม่รู้ว่า จะเอาเงินไปใช้ทำอะไร
บางคนหาความรู้จนท่วมท้นไปทั้งชีวิต
แต่ไม่อาจจะช่วยชีวิตให้พ้นจากอารมณ์ร้ายแม้แต่สักวินาทีเดียว

เราจะเรียกบุคคลชนิดนี้ว่าอย่างไร
ก็เห็นจะต้องใช้คำของบรรพบุรุษที่ว่า

รู้มากยากนาน นั่นเอง คือ ยิ่งรู้ ยิ่งไม่รู้
ยิ่งมีแต่ความบอดใบ้เข้าทุกที


เพราะความรู้ที่แท้จริงนั้นจะต้องหมายถึงรู้เงื่อนไขของชีวิต
และเป็นอันทำให้การแสวงหานั้นพอดิบพอดีที่จะรับใช้ชีวิต
เพื่อจะมุ่งเข้าไปสู่เป้าหมาย


ที่เราได้สนทนาหรือบรรยายกันแล้วในคราวก่อน
ถึงเรื่อง ความหมาย จุดหมาย ปมปัญหาของชีวิต
แม้จะเป็นการบรรยายที่กระท่อนกระแท่น
เนื่องจากความไม่ปกติบางประการก็ตาม

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2009, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


อาตมภาพขอเลื่อนมาถึงสิ่งที่เรียกว่า การแสวงหาของมนุษย์

ในขณะที่คนคนหนึ่งกำลังแสวงหากามอย่างตามืดตามัวในสังคม
อีกคนหนึ่งกำลังแสวงหาเกียรติอย่างคิดเอาชีวิตเข้าแลก
และมีคนอีกประเภทหนึ่งกำลังเพียรพินิจเพ่งกัมมัฎฐาน
เพื่อแสวงหาวิมุตติอย่างสุดแรงเกิด

ทั้ง ประเภทนี้มุ่งแสวงหาอย่างสุดแรงเกิดเหมือนกัน

เขาแสวงหากาม ก็เพราะเขาคิดว่ากามเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต
ฝ่ายที่แสวงหาเกียรติ ก็เพราะเห็นว่า เกียรติประเสริฐกว่ากาม
ฝ่ายที่แสวงหาพรหมจรรย์ คือวิมุตติ
หรือทางหลุดรอดหรืออิสรภาพอย่างแท้จริง
ก็เหยียดหยามกามและเกียรติว่า
เป็นเรื่องยังต่ำนักการแสวงหาทั้ง ๓ นี้เอง
เป็นจริงอยู่ทุกยุคทุกสมัย นี่คือเงื่อนไขของสังคม


ท่านทั้งหลาย มัวประเมินภาวะ
หรือวิกฤตการณ์แห่งลังคมที่ไหนเล่า
ท่านไปดูที่ปลายเหตุ
เข่น การเดินขบวน การปาระเบิด การโต้เถียง การต่อสู้ทางรัฐสภา

แต่อาตมภาพขอร้อง
ให้ท่านดูไปที่รากเหง้าของการต่อสู้ให้ดีว่า คือการแสวงหา
เขาอาจจะสมาทานอุดมคติของผู้แทนราษฎร
แต่ในส่วนล้ำลึกของเขานั้น
เขากำลังแสวงหากาม เพื่อลูกเพื่อเมียของเขา

หรือบางคนไม่แสวงหาถาม
เพราะเหนื่อยหน่าย หรือเห็นว่ากามเป็นของต่ำ
แต่เขาแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียงเพื่อตัวเอง

แต่ยังมั่นอยู่ไม่ใช่น้อยในโลกนี้
ที่เห็นความเหลวไหลไร้สาระของกามและเกียรติ
มุ่งแสวงหา วิมุตติ หรือพรหมจรรย์


ขอให้ท่านทั้งหลายจำให้ดีว่า คำว่า พรหมจรรย์
ไม่ได้หมายความตามภาษาไทยที่หมายถึงว่า หญิงสาวที่ยังไม่มีคู่
แต่กลับหมายถึงความประพฤติอันประเสริฐที่มุ่งถึง
วิมุตติภาวะ คืออิสรภาพที่แท้จริง

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2009, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ที่จริงแล้ว การแสวงหาทั้งสามนั้น
ก็คือการแสวงหาวิมุตตินั่นเอง
แต่ว่าคนที่แสวงหากามสำคัญผิดว่า
อิสรภาพอยู่ที่มีกามอย่างฟุ่มเฟือย
และสิ่งนี้ถูกเข้าใจผิดมาก่อนพุทธกาลด้วยซ้ำไป
เขาถือว่ากามนี้เองเป็น นิพพาน


เมื่อเกิดความรุ่มร้อน กระสับกระส่ายในจิตใจ ระหกระเหินขึ้นมาแล้ว
ก็ให้แสวงหาวัตถุกามให้เพียงพอ
นี่แหละ เรื่องของ กามสุขัลลิกานุโยค

บุคคลประเภทนี้ แสวงหาฮาเร็มขึ้นมา
เพื่อนิพพานลงของความทุกข์

เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย
อย่าพึงประณามผู้แสวงหากาม โดยไม่รู้มูลฐานของเขา

แต่เพราะความสำคัญผิด
คิดว่ากามเป็นเครื่องระงับทุกข์ได้เด็ดขาด
เขาจึงแสวงหามันเพื่อนิพพานลงของความเร่าร้อนของชีวิต

จนกระทั่งมีพวกอีกพวกหนึ่งถือว่าเกียรติยศ
หรือภพใดภพหนึ่งในสังคม
เกียรติยศที่ตัวเองรู้สึกเป็นความประเสริฐที่สำคัญกว่ากาม
ก็สำคัญสิ่งนั้นว่าเป็นนิพพาน

ส่วนบุคคลอีกประเภทหนึ่งนั้น ถือว่าความสงบเย็น
ซึ่งเป็นภพอีกภพหนึ่งเหมือนกัน
ซึ่งเรียกว่า พรหม รูปพรหม อรูปพรหม อะไรก็ตาม
สิ่งนั้นเป็นสภาวะในใจ
มีใช่อยู่ที่บนท้องฟ้า บนสวรรค์ ดังที่เขาอธิบายกัน

มันคือสถานภาพของจิต
ที่ควบคุมให้ระงับจนเยือกเย็นขึ้นมาระดับหนึ่ง
เช่น ปฐมฌาน ทุติยฌานตติยฌาน เรื่อย ๆ ไป
อย่างนี้เรียกว่า สถานะ หรือภพใดภพหนึ่ง
และสำคัญกันว่าเป็นนิพพานหรือวิมุตติ


พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยทรงแสวงหาวิมุตติชนิดนี้มาแล้ว
จากสำนักของอาจารย์ของท่าน
ในที่สุดก็ไม่อาจที่จะทำให้ทรงพอพระทัยได้เลย

เพราะว่า นิพพานเหล่านั้นเป็นนิพพานที่ไม่จริง
คือมันเกิด ๆ ดับๆ เมื่อออกจากฌานเมื่อใด
เมื่อนั้นก็เป็นทุกข์เร่า ๆ อีก
เมื่อมีกามพร้อมพรั่งขึ้นมาแล้วก็เกิดเบื่อกามขึ้นมาอีก
และความเบื่อนั้นเองเป็นปัญหา


ชีวิตของมนุษย์ปัจจุบันนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดู
แม้เขาจะมีวัตถุกามพรั่งพร้อม เบ็ดเสร็จทุกเรื่อง
สามารถบำบัดกามได้ทุกขณะก็ตาม

แต่อุปสรรคในหมู่มนุษย์ก็มีอยู่
ก็คือว่าความซ้ำซาก จำเจ ระหกระเหินของจิตใจ
ไม่อาจที่จะวางใจเชื่อได้ว่าตัวเองถึงซึ่ง สรณะ
หรืออิสรภาพที่เด็ดขาดสิ้นเชิงไม่มีข้อสงสัยอีก

ด้วยเหตุนี้จึงมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง
จึงเอาเป็นเอาตายกับการแสวงหา วิมุตติ
อิสรภาพที่เด็ดขาด
ที่ไม่เกี่ยวกับกามและเกียรติ
แต่ก็ใช่ว่าบุคคลเหล่านี้จะปฏิเสธกามหรือเกียรติ


ขอให้ท่านทั้งหลายระลึกให้ดี
กามมิได้หมายถึงเรื่องเซ็กส์เพียงอย่างเดียว
กามแปลว่าใคร่ กามมันยังหมายถึงทางลิ้น ทางหู ทางตา
แต่กามแท้ต้องหมายถึงจิตที่กำหนัด ไม่ได้หมายถึงตัววัตถุ

ก็เพราะว่า ผู้หลุดพ้นแล้ว ยังต้องกินอาหาร เรียกว่าวัตถุ
แต่ท่านกินด้วยจิตที่ไม่เป็นกาม


เพราะฉะนั้นเอง กามที่แท้ต้องหมายถึงจิตที่กำหนัดมัวเมา เท่านั้น

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2009, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


การแสวงหาของมนุษย์
ถ้าเกิดความเข้าใจถูกต้อง กาม เกียรติ และพรหมจรรย์แล้ว
จะนำไปสู่การร่วมมือ

เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายมีหัวอกอันเดียวกัน
คือระหกระเหินในด้านจิตใจ


คนรวยก็ดี นายทุนก็ดี กรรมกรก็ดี
คนเหล่านั้นร้องไห้เป็น คร่ำครวญกระเสือกกระสน
เมื่อลูกของตัวเองต้องวายชนม์ลง
หน้าตาของกรรมกรกับหน้าตาของนายทุน ไม่ต่างกันเลย
ก็คือออกมาจากความคับแค้นใจ เสียดแทง
ไม่ได้ดังใจโดยประการทั้งปวง

การแสวงหาด้วยตัณหาเท่านั้น จะนำไปสู่วิกฤตการณ์
คือความขัดแย้งและปะทะกัน
แต่การแสวงหาด้วยการรู้จักเงื่อนไขของการแสวงหาอย่างถูกต้อง
จะเกิดการร่วมมือกันทั้งนายทุนและกรรมกร

เมื่อนั้น concept ของนายทุนและกรรมกรจะเปลี่ยนไป
เราไม่ควรจะเรียกนายทุนว่านายทุนอีก
หากได้เกิดการแสวงหาชนิดร่วมมือ
เราควรจะให้สมญา ท่านผู้มีเงินหรือสถานะเหล่านั้นว่า ทานบดี
คือผู้เป็นใหญ่ในการให้ทาน

และเราอาจจะต้องเรียกพวกกรรมาชีพว่า ชนผู้เข็ญใจ
ซึ่งจะเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากคนรวย
ซึ่งคนร่ำรวยควรจะนึกถึงคนเหล่านี้ขึ้นมา
ในฐานะที่เป็นหน้าที่ของตัว ไม่ใช่กดลงไป

และพวกชนชั้นกรรมาชีพ หรือที่ท่านคานธีเรียกว่า
พวก หริชน คือชนของพระผู้เป็นเจ้า
ชนของพระผู้เป็นเจ้าหรือผู้ที่เข็ญใจนั้น
จำเป็นที่จะต้องมีความเห็นอกเห็นใจตัวทานบดี
อย่างนี้จึงจะเกิดการร่วมมือ
ไม่เช่นนั้นแล้ว สังคมของเราจะนำไปสู่วิกฤตการณ์

และถ้าอาตมาภาพจะถามท่านทั้งหลายว่า

บัดนี้สังคมไทยกำลังรออะไรอยู่
อาตมาคิดว่าท่านทั้งหลายคงจะสำนึกขึ้นมาได้ว่า
กำลังรอถึงจุดเดือด ที่จะฆ่าฟันกันให้ถึงที่สุด
และเคราะห์กรรมอันนี้จะถึงลูกเล็กเด็กแดง
ที่เกิดมาไม่ทันรับรู้รับชี้กับเรื่องทั้งปวง นี่คือความไม่ยุติธรรม

และท่านทั้งหลายก็กำลังสะสมกันขึ้นทุกวันนี้ด้วยโดยไม่สำนึกก็เป็นได้
การแสวงหาที่นำไปสู่การขัดแย้งจะสร้างบุคลิกภาพของบุคคลในสังคมนั้น


สังคมใดที่เป็นสังคมแห่งการขัดแย้งแก่งแย่ง แย่งชิงกันแล้ว
บุคลิกภาพของมนุษย์ในสังคมนิยมจะเต็มไปด้วยมายาสาไถย
ไม่ซื่อตรงต่อจิตใจของเขา
เขาจะพูดปากอย่างหนึ่ง แล้วใจเขาทำอีกอย่างหนึ่ง


มายาสาไถยนั้นแปลว่า เสแสร้งแกล้งทำอวดโอ่
เขาอาจพูดว่า แหม ผมสงสารท่านจริงที่เกิดเคราะห์กรรม
แต่ข้างในเขาอาจจะขบเขี้ยวเคี้ยวกราม หรือหัวเราะร่าว่า
นี่สมน้ำหน้าแกแล้วที่เคราะห์กรรมนั้นได้เกิดขึ้น

มนุษย์เรากำลังเป็นอยู่อย่างนี้
จริงหรือไม่จริงขอให้ผู้คงแก่เรียนได้โปรดสำนึกให้ดี


เราเรียนกันมาก เราได้ปริญญากันมากนั้น
จิตใจของเราอ่อนโยนต่อเพื่อนมนุษย์ขึ้นกี่มากน้อย
ส่วนใหญ่แล้วยิ่งเรียนมาก
ก็คือมีโอกาสที่จะตักตวงกอบโกยเอาเปรียบ
เพราะว่าฉลาดที่จะเอาเปรียบ

ความรู้ชนิดนี้นั้นเป็นความรู้ที่เกิดขึ้น
เพื่อสะสมความเคียดแค้นชิงชัง

แต่ความรู้ที่แท้จริงจะต้องหมายถึงยิ่งรู้เท่าใดแล้ว
สถานะของผู้รู้จะต้องน้อยลง นอบน้อมต่อเพื่อนมนุษย์


คือมันรู้ถึงเงื่อนไขของชีวิตว่า

ชีวิตของมนุษย์ในสังคมนั้นเป็นเกสร
หรือเป็นกลีบของดอกไม้แห่งมนุษยชาติดอกเดียวกัน


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2009, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอให้ท่านทั้งหลายรำลึกให้ดี
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและสังคม


เอกชนมีเงื่อนไขสำคัญคือว่า เราจะต้องตายอีก
ขอให้ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลายสำนึกให้ดี
ถึงขนาดเขียนที่หัวนอนว่า เราจะต้องตายอีก แต่สังคมจะอยู่

เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อรำลึกถึงเงื่อนไขข้อนี้ขึ้นมาได้แล้ว
การแสวงหาจะถูกเงื่อนไขนี้กำกับไว้เมื่อเราจะต้องตาย
การแสวงหาก็จะพอดิบพอดีเท่านั้น เพียงเพื่อจะรับใช้
เพียงเพื่อจะให้เกิดคุณค่าในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง ๆ
ใช่ว่าเราจะปฏิเสธคุณค่าของชีวิตก็หาไม่
แต่เราพึงแสวงหาคุณค่าของชีวิตตามเงื่อนไขของธรรมชาติ


เงื่อนไขที่หยาบที่สุด ที่มองเห็นได้ง่าย
ก็คือว่า คุณจะต้องตายอีก
ขอให้รำลึกถึงข้อนี้ให้ดีเถิด ทุกคนจะต้องล่วงลับ
เหมือนกลีบของดอกไม้จะต้องร่วงโรยไปเมื่อถึงขวบกาลอันนั้น


สังคมคือการสืบต่อของเอกชน จากอนุชนถึงอนุชน

เพราะว่าเอกชนในยุคสมัยของเรานี้
ได้เพาะเชื้อแห่งความเคียดแค้นชิงชังขึ้นมาแล้ว
สิ่งนี้จะหยั่งลงสู่กระแสแห่งวัฒนธรรม
จะเป็นการสืบต่อไปกี่ชั่วช่วงของมนุษย์
ขอให้ท่านระลึกให้ดีก็แล้วกัน

หลังสงครามโลกครั้งที่แล้ว
มนุษย์เริ่มเห็นแก่ตัวขึ้น เพาะเชื้อสิ่งนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้
เราไม่มีทางที่จะผุดฟื้นขึ้นมาได้อีก
ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีสิทธิรับรู้หรือรับผิดชอบกับสังคม

ถ้าเกิดการฆ่ากันตายที่จังหวัดสงขลา เกิดการปล้นกันที่เชียงใหม่
ท่านทั้งหลายมีผิดด้วย ไม่ใช่ว่าท่านเองไม่มีผิด

ถ้าท่านทั้งหลายอ่านคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์
เห็นการข่มขืนชำเราขึ้นแล้ว
นึกกำหนดในกามหรือหัวเราะเยาะหรือขบขัน ท่านเองมีโทษ

เพราะได้ร่วมกันสร้าง concept ขึ้น ให้เป็นบาปในหมู่มนุษย์
ซึ่งมันจะหยั่งลงสู่กระแสวัฒนธรรม


สิ่งที่เรียกว่าความชั่ว หรือความชังนั้น
เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดในหมู่มนุษย์
แล้วออกไปยากที่สุด เลิกยากที่สุด
เพราะว่ามันหยั่งลงสู่กระแสแห่งความช้ำชอก ถ่ายทอดไปสู่อนุชน


เด็กหนุ่มสาวทุกคนจะถูกสูตรสำเร็จอันผิด ๆ นั้นครอบงำ
เด็กทุกคนจะถูกตัดคอให้ไม่ได้คิด


เขาไม่ทันได้คิดว่าเขาเกิดมาเพื่ออะไร
เขาคิดว่าความรุนแรงนี้ เป็นความถูกต้องของสังคม
เขาคิดว่า การที่เขาได้หยาบคายต่อผู้สูงอายุ คือความชอบธรรมแล้ว

นี่เองคือสิ่งที่ท่านทั้งหลายกำลังร่วมรับผิดชอบ แต่เราไม่สำนึก
ตราบใดที่ท่านเห็น หรือได้ยินได้ฟัง
ความชั่วร้ายนี้เกิดขึ้น คือ วิหิงสา เกิดขึ้นในสังคมแล้ว

ถ้าท่านไม่เกิดการต่อต้านในจิตใจ ไม่เกิดการรณรงค์ที่แท้จริงแล้ว
ท่านเองมีบาปร่วมกับทุก ๆ คน
ท่านเองร่วมมือกับอาชญากรทุกคนด้วยเพราะอะไร
ก็เพราะว่า อนุชนต่ออนุชนนั้นมันถ่ายทอดข้อมูลและ concept


ถ้าท่านสร้าง concept ผิด ๆ ขึ้นในยุคสมัยนี้
เด็กรุ่นหลังจะผิด ๆ ไปด้วย


ถ้าท่านเห็นด้วยกับการแต่งกายที่เปลือย อุจาด อนาจาร
และยิ่งเห็นด้วย สนับสนุนเข้า
และเป็นเคราะห์ร้ายเหลือเกิน
ที่ผู้คงแก่เรียนของเราหันไปสนับสนุนเรื่องนั้นขึ้นมา
นั้นเขากำลังฆ่าเยาวชนของเรา

เด็กหนุ่มสาวหมดโอกาสที่จะเกิดขึ้นมาและใช้ความคิดของตัวเอง
และใช่ว่าเพียงใช้ความคิดของตัวเองอย่างเตียวเท่านั้น
ก็คือว่า เขาควรจะสืบต่อวัฒนธรรม หรือกระแส concept ที่ถูกต้อง


concept ที่หยั่งลงสู่กระแสแห่งวัฒนธรรมนั้น
ถ้าว่าเป็น concept ที่ผิด นั้นคือเด็กหนุ่มถูกฆ่า
เหมือนกับดอกไม้ดอกตูมทุกดอกแกร็นหมดตายหมด
แต่ว่าสูตรสำเร็จที่ถูกสร้างถูกต้อง
คิดค่านิยมในสังคมที่ถูกต้องจะทำให้ดอกตูมเหล่านั้น
อวบอ้วนขึ้นทุกที ๆ และเบิกบานถึงที่สุด


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2009, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอให้ท่านทั้งหลายรำลึกถึงอนุชนของเราที่ล่วงลับไปก่อนกาล
เขาเหมือนดอกตูมเล็ก ๆ ของดอกมะลิ
แล้วมันหลุดจากขั้วเสียก่อน หรือถูกจับฉีกให้บาน
ด้วยความเข้าใจผิดของคนรุ่นเรา ระหว่างเอกชนกับสังคมนั้นมีอยู่

เงื่อนไขอยู่ตรงนี้
ตรงที่ว่า เอกชนนั้นต้องตายอีก
และสังคมเป็นความสืบต่อแห่งเอกชน แห่งเยาวชน
แต่ละรุ่นไป เรื่อยไป


ฉะนั้นเองเราอาจจะต้องระลึกถึงเงื่อนไขสิ่งนี้อยู่ทุกค่ำคืน
เพื่อว่าเราจะได้ไม่เผลอกระทำบาปร่วมกับคนสมัยเรา
และในที่สุดเราอาจจะต้องมาถึงสิ่งที่เรียกว่าสังคมและเอกชนนั้น
อาจจะอธิบายได้ด้วยคำคำเดียวเท่านั้น

คือคำว่า สันตติ หรือ continuum ของธาตุตามธรรมชาติ

ดูเหมือนอาตมภาพกำลังจะใช้ศัพท์ภาษาวัดเกินไปเสียแล้ว

ก็คือว่าเอกชนคนหนึ่ง
อาตมภาพขอร้องให้ท่านนึกถึงวันที่บรรยายถึงเรื่อง มิติแห่งชีวิต

ก็คือว่าคนหนึ่ง ๆ นั้นมันเป็น continuum
หรือสันตติของนามรูป คือวัตถุและจิต
ซึ่งมีกฎเกณฑ์อันเดียวกัน สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น


และคุณค่าสังคมนั้นก็คือ สันตติของ concept แต่ละรุ่น
ของอนุชนรวมเป็นกระแสแห่งวัฒนธรรม


จากเงื่อนไขอันนั้นเอง
เราก็มาถึงการกำหนดค่าของเอกชนตามเงื่อนไขมันจำกัด
และคุณค่าของสังคม หรือเป้าหมายของสังคม
และต่อจากนั้นเราพึงกำหนดบทบาทของเอกชน
ที่พึงกระทำต่อตนเอง และสังคมขึ้นมาได้


อาตมภาพจะใช้คำอีกคำหนึ่ง
ขอให้ท่านทั้งหลายถือเสียว่า

เราตกลงกันใช้ ณ ที่นี้ก็คือ
วิมุตติภาวะแห่งเอกชน คืออิสรภาพที่แท้จริง


เมื่อตะกี้นี้ อาตมภาพให้ตั้งต้นว่า
เมื่อเรามารวมกันอยู่ในสังคมนั้น ฝ่ายบวก
คือเราได้สวัสดิการฝ่ายลบ เราได้วิกฤตการณ์ของชีวิต

เช่นว่า เมื่อเรารวมกันอยู่แล้ว ความทุกข์เกิดขึ้น
ก็ต้องอิจฉากันด้วยอาฆาตจองเวร
คนหนึ่งทำให้ลูกหลานเราตายโดยที่เขาไม่มีความผิด
นี่คือวิกฤตการณ์ สิ่งหนึ่งเราได้ แต่สิ่งหนึ่งเราเสียอย่างย่อยยับ

เรามาเสียภาษีร่วมกันอยู่ ถ้าว่าสังคมไม่อาจที่จะรับใช้
ตอบสนองต่อเป้าหมายที่สูงสุดของเอกชนแล้ว
เราจะต้องรวมอยู่กันทำไมให้เสียเวลา


เราไปอยู่ในป่าในเขา
ระหว่างลูกระหว่างเมีย ผัวเมียของเรา
ที่รักใคร่เข้าใจกันมิดีกว่าหรือ

แต่การที่เรามารวมกันอยู่ในสังคมนี้ก็หมายความว่า
สังคมจะต้องกำหนดค่าหนึ่งขึ้นมา
เพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าของเอกชน
นั่นก็คือวิมุตติภาวะของสังคม


จริงอยู่เรามิอาจที่จะเกณฑ์ให้ สังคมหรือเอกชนสมาชิก
หรือกลีบของดอกไม้ของสังคมนั้น เป็นพระอรหันต์
หรือเป็นพระอริยเจ้าทุกคนได้เลย

ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้เราหวัง และควรที่จะหวังเป็นอย่างยิ่งด้วย
นั่นแหละสังคมของ ยูโธเปีย (Uthopia)
หรือพระศรีอาริย์ของพวก นักคิดฝ่ายพุทธ
ซึ่งเป็นเพียงอุดมคติเท่านั้น


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2009, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


แต่บัดนี้เรากำลังพูดถึงเป้าหมายตามขั้นตอน ไม่ได้พูดถึงอุดมคติ

เดี๋ยวนี้เรากำลังคลั่งไคล้อุดมคติ
ดูเหมือนกำลังคลั่งไคล้อุดมคติ เกินกว่าเป้าหมายตามขั้นตอน


และขออภัยด้วย
อาตมภาพกำลังขอใช้คำหยาบคายคือกำลังบ้าอุดมคติ

ที่จริงแล้วอุดมคติไม่จำเป็นต้องไปบ้ากับมัน
เป็นเพียงการมองปราดเดียว
เหมือนศิลปินที่เขียนภาพ
เมื่อถอยและหรี่ตาดู เพื่อหาเป้าหมายที่สูงสุด


เช่นเราอาจจะตั้งอุดมการณ์ที่สูงสุดไว้ได้

ต่อจากนั้นเราควรจะมากำหนดบทบาท
และเป้าหมายขั้นตอนซึ่งยืนพื้นอยู่บนความเป็นจริงของชีวิต


เพราะฉะนั้นเองวิมุตติภาวะของสังคม
เราไม่อาจกำหนดว่า คือทุกคนของสังคมเป็นพระอริยเจ้าได้


แต่ขอให้เราหวังเถิด หวังไว้จะเป็นมงคลอันสูงสุด
แต่โดยสภาพที่แท้จริง โดยภาวะวิสัยแล้ว
เราต้องกำหนดว่า วิมุตติภาวะของสังคมต้องหมายถึงอหิงสา


คือเกิดการไม่เบียดเบียนกันอย่างราบคาบสิ้นเชิงในสังคม
ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเอกชน
หรือสมาชิกของสังคม จะต้องถูกปลุกเร้า
ให้รู้สำนึกถึงเงื่อนไขเรื่องชีวิตว่าตนจะต้องตายอีกนะ
เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจะสำนึกได้ทันที

เพราะฉะนั้น สำนึกจะเกิดขึ้นว่า
การเบียดเบียนนั้นไม่จำเป็น


เดียวนี้อหิงสาประสบความสำเร็จน้อยที่สุด
นักอหิงสาทุกคนจะต้องถูกสังหาร
ด้วยเหตุผลที่ว่าขัดกับผลประโยชน์ทุกฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างรุนแรงฉับพลัน
ฝ่ายหนึ่งต้องการตรึงผลประโยชน์ให้นานที่สุด
เพื่อผลประโยชน์ของพรรคพวกและตัวเอง

นักอหิงสา มีศัตรูอยู่ที่ มิจฉาทิฐิ ไม่มีอยู่ที่คน

ตรงนี้ขอให้ท่านทั้งหลายรำลึกให้ดีว่า
คนทุกคนนั้นไม่มีใครที่เป็นคนเลวที่แท้จริงได้
ตราบใดที่เขายังไม่สมาทานมิจฉาทิฐิเข้า

เมื่อเป็นเช่นนั้น นักอหิงสาไม่มีศัตรูที่เป็นคน
เขาเป็นมิตรกับทุกคน แต่เขาเป็นศัตรูกับระบบที่ผิด ๆ

เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ซ้าย และขวา จะไม่เข้าใจ
หาว่าฝ่ายนี้เป็นประเภทกลับกลอก ลิ้นสองแฉก
ซึ่งภาวะของนักอหิงสานั้นยากที่จะอธิบายได้

ก็คือว่า เขารักความเสมอภาคในสังคม
แต่เขาเกลียดวิธีการของการเข่นฆ่า
เขาไม่อาจจะร่วมมือได้ ที่จะให้ทุกคน
ไม่ว่าคนรวยหรือนายทุนขนาดไหนจะถูกสังหารไปต่อหน้า
แต่เขาสู้ให้ตัวเองถูกสังหารเสียดีกว่า
เพราะต้องการรณรงค์เพื่อสันติสุข

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราอาจจะกำหนดได้ว่า
อหิงสา นั้นแหละคือบรมธรรมของสังคม


เหมือนที่พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า

อหิงฺสา ปรโม ธมฺโม อหิงสาคือบรมธรรม

สังคมจะบรรลุถึงวิมุตติภาพได้ก็ด้วยสิ่งนี้
ก็คือธงชัยที่บรรพบุรุษของเรา
ได้พูดกันมาติดปากจนทุกวันนี้
ซึ่งกำลังจะลางเลือนไปแล้ว

สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์
เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ฯลฯ


นี่แหละคือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด
ที่ท่านทั้งหลายจะต้องจำใส่ใจ
ไม่ว่าท่านจะเป็นปัญญาชนหรือเป็นนักศึกษา
หรือเป็นซ้าย หรือขวา หรือกลาง อะไรทั้งสิ้น
เพราะว่าต้องรำลึกว่า เราต้องตายอีก


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2009, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


คราวนี้ก็ขอเลื่อนมาถึงวิมุตติภาวะของเอกชน
เอกชนจะบรรลุถึงวิมุตติภาวะ
หรืออิสรภาพที่แท้จริงได้นั้น จะต้องมีพื้นฐานที่ดี


คือวิมุตติภาวะของสังคมรองรับ
เมื่อสังคมไม่มีการเบียดเบียนกันแล้ว
เอกชนย่อมได้ฐานที่ดีที่สุด
เขาจะไปที่ไหน ๆ เกิดสวัสดิภาพอย่างแท้จริง


เหมือนที่บรรพบุรุษของเราฝันไว้ว่า
เมื่อลงจากบ้านแล้ว ขึ้นบ้านใคร กินข้าวบ้านนั้น

หรือเหมือนที่ ธอมัส มอร์ (Thomas Moore)
ได้ฝันไว้ถึงสังคมยูโธเปีย
แม้ว่าจะเป็นเพียงความฝัน
ที่จะฝันเป็นอย่างยิ่ง


หมายความว่าไปที่ไหน เราลงไร่ทำงานและกินที่ไหนก็ได้
หญิงทุกคนเป็นมารดาของเรา
หญิงทุกคนที่อายุน้อยเป็นน้องสาวของเรา
ชายทุกคนเป็นพี่ของเรา เป็นพ่อของเรา


เมื่อเป็นเช่นนั้นมนุษย์จะเป็นกลีบแห่งดอกไม้ดอกเดียวแห่งมนุษยชาติ

สังคมเช่นนั้นจะอำนวยแก่ทางแห่งวิมุตติ

ขอให้ผู้ฟังทำความเข้าใจให้ดีว่า
คืออิสรภาพที่แท้จริงมิใช่อิสรภาพจอมปลอม
อิสรภาพจอมปลอม หมายถึงว่า มีกามให้มากที่สุด นั่นคืออิสระ
แล้วสักเดี๋ยวหนึ่งก็ต้องหน้าเหี่ยวเพราะกามมันขบเคี้ยวเอา
หรือมันตอดเอาหรือมันฆ่าเอา หรือมันเสียดแทงเอา ก็คือมันจิตเสียอีก

เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสว่า

ภิกษุทั้งหลาย คุณของกามมีอยู่ก็คือ

บีติโสมนัสใดที่อาศัยกาม นั้นคือคุณของกาม
บีติโสมนัสใดที่อาศัยรูป นั้นคือคุณของรูป
แต่เพราะกามไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
นั้นคือโทษอันต่ำทรามของกาม


เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเกิดเข้าใจผิดต่ออิสรภาพ
เข้าใจว่ากามนี้มีแต่คุณอย่างเดียวคือ
ถึงกับคลั่งหลงใหลกามหรือเกียรติ
กามและเกียรตินั้นเองจะเป็นกับงับขาของผู้ที่หลงใหลเข้า
เพราะเขาผู้นำไม่รู้จักอิสรภาพที่แท้จริง

อิสรภาพที่แท้จริงต้องเกิดจากมีจิตที่เหนือกามหรือเกียรติ
และเหนือคุณความดีโดยประการทั้งปวง


ไม่ว่าเขากำลังจะทำความดี
ไม่ว่าเขากำลังแสวงหาวัตถุเพื่อจุนเจือกับครอบครัว
ไม่ว่าเขากำลังหาเกียรติเพื่อเป็นฐานกำลังในการกระจายความรู้
หรือกระทำงานเพื่อสังคมก็ดี

เขาจำเป็นต้องมีความรู้อีกชนิดหนึ่ง คืออยู่เหนือสิ่งนั้น
ประหนึ่งว่าสิ่งนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ ไม่ใช่เป้าหมาย


มนุษย์จำเป็นจะต้องบรรลุถึงเป้าหมายก่อนบทบาท

ข้อนี้ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดให้ดี
เพราะว่าท่านทั้งหลายคิดว่าเราต้องกระทำ แล้วจึงบรรลุเป้าหมาย

ถ้าเช่นนั้น ท่านไม่รู้เงื่อนไขของชีวิต
เพราะว่าเป้าหมายนั้น ท่านอาจจะไม่บรรลุก็ได้
ถ้าพรุ่งนี้เกิดขาดใจตายเสียก่อน

เช่น หาเงินสัก ๑๐๐ ล้าน
มีโครงการว่า เมื่อมีเงินมาก เราก็จะบรรลุถึงสันติสุข
แต่พรุ่งนี้เกิดตาย สิ่งที่ทุ่มลงทุนไปนั้นเกิดเสียเปล่า

นี่คือว่าท่านทั้งหลายคิดว่า

บทบาทต้องกำหนดโดยยังไม่ต้องรู้เป้าหมาย
เป้าหมายค่อยรู้ทีหลัง
ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย

ส่วนผู้ที่รู้เงื่อนไขของชีวิตนั้น
เขาต้องกำหนดเป้าหมายก่อนตามขั้นตอน
และกำหนดบทบาทตามขึ้นมา


เมื่อเป็นเช่นนั้น
บทบาทจะพาลิ่วไปสู่เป้าหมายชนิดไม่วกวนหรือเนิ่นช้า


สิ่งที่เรียกว่า เป้าหมาย คืออิสรภาพนั้น
ไม่ใช่ความเพ้อฝัน ไม่ใช่สิ่งที่เป็นปรัชญา


อย่างว่ามีคนหนึ่งมาถามว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด
แล้วเราก็ตอบว่านิพพานหรือพระผู้เป็นเจ้า
อย่างนั้นเป็นปรัชญา

ซึ่งถ้าท่านเชื่อก็คงจะดีอยู่หรอก

แต่ว่าความเชื่อเช่นนั้น
ยังต้องอิงอยู่บนความงมงายหาน้อยไม่

ความเชื่อที่แท้จริงที่เรียกว่าวางใจลงนั้น
ต้องหมายถึงผู้นั้นบรรลุถึงเป้าหมายแล้ว


ในปัจจุบันนี้คือบทบาทจะต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย
และเพื่อเป้าหมายนั้นเอง
และเป้าหมายนั้นบรรลุอยู่ในบทบาททุกขณะ


ซึ่งอาตมภาพเคยอุปมาว่า

เหมือนผึ้งตัวหนึ่งกำลังจะจิบน้ำหวาน
ในขณะที่ดอกไม้กำลังปลิวไปตามกระแสลม
ตัวเองก็กำลังบิน
แต่ขณะนั้นก็จิ้มเข้าไปดื่มด้วย และจิ้มเข้าไปทุกครั้ง


เพราะว่าไม่มีใครรับประกันว่า ท่านจะอยู่ได้ถึงพรุ่งนี้

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


อาตมภาพจะถามท่านทั้งหลายว่า

ท่านเชื่อได้อย่างไรว่า

หลังจากคำบรรยายนี้แล้วท่านจะลุกขึ้นยืนได้
ท่านอาจจะตอบว่า ทำไมจะลุกขึ้นยืนไม่ได้
เมื่อตะกี้ข้าพเจ้านั่งลงอยู่เมื่อครู่นี้นี่เอง
นั่นเป็นอดีต สักเดี๋ยวหนึ่งอาจจะลุกไม่ได้ก็ได้

เพราะว่าท่านลืมเงื่อนไขเสียแล้วว่า
ชีวิตตนมันยืนอยู่ได้ด้วยทีละขณะ-ขณะ-ขณะ เท่านั้นเอง


ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า

บ้านที่มีคุณแม่อยู่ไม่ถูกไฟไหม้เสียแล้ว

ท่านก็ต้องเถียงว่า

ก็เมื่อกี้ออกมาจากบ้าน
ท่านยังมาส่งถึงประตูบ้านเลย

แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ ล่วงลับไปแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่เป็นเพียงความคิด
หรือความจำของอดีตเท่านั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่าอนาคตนั้นคืออดีตเท่านั้นเอง
เป็นภาพสะท้อนของอดีตและมนุษย์อาศัยอดีต
และผงกหัวเชื่อต่ออดีต


นั้นคือ ผู้ที่ไม่รู้เงื่อนไขของชีวิตที่สำคัญที่สุดว่า
ชีวิตเหมือนกับเส้นด้ายเท่านั้น


เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสว่า

อดีตํ นานวาคเมยฺย นปฺปฏิกํเข อนาคตํ

อย่างนี้เป็นต้น หมายความว่า

บุคคลไม่ควรตามคิดถึงอดีตด้วยอาลัย
ไม่ควรพะวงถึงอนาคต
ยืนชีวิตอยู่บนปัจจุบันทีละขณะ
แล้วเห็นเงื่อนไขของมัน จะบรรลุถึงเป้าหมาย


ในขณะที่เห็นเงื่อนไขนั้นนั่นเองเช่นเงื่อนไขที่ว่า

มันเกิดดับ เกิดดับ นามรูปนี้เกิดดับ
ทุกสิ่งเพิ่งเกิด และทุกสิ่งต้องดับลงไป


ส่วนภาวะที่ก่อนหน้าที่เกิดดับ นั่นแหละคือภาวะที่สูงสุด
เพราะนั่นคือเป้าหมาย

เหมือนกับว่าผืนผ้าใบที่ขาวสะอาด
ก่อนที่จะเขียนภาพลงไปในนั้น
ถ้าบุคคลไปดูสีสัน เขาก็ไปดูที่สิ่งซึ่งเกิด
และกำลังจะจางลงไปเมื่อเกิดน้ำฝนชะ

แต่ท่านผู้ ใดได้บรรลุถึงเป้าหมายในปัจจุบันนั้นแล้ว
แม้ขณะเขียนรูปอยู่ แม้ขณะดำเนินไปมรรควิถีชีวิต
เขาเห็นผืนผ้าใบ แทงทะลุแหวกหรือเปิดสี
ออกไปไปสู่ภาวะที่ไม่เกิด ไม่ดับ
และภาวะเช่นนี้แหละ คือ อิสรภาพที่แท้จริง


จากปรากฏการณ์ซึ่งเพิ่งเกิดและเพิ่งดับ
คุณสมบัติของสังสารวัฏเพิ่งเกิดและดับ
ภาวะแห่งหญิงและแห่งชาย เพิ่งเกิดและดับ

ท่านทั้งหลายไม่มีใครเลย
ที่มีความเป็นหญิงและชายที่แท้จริงได้
นอกจาก concept ของท่านเองว่า เป็นหญิงและเห็นชาย
และความเข้มข้นของความเป็นหญิง
และเป็นชายนี้ขึ้นกับกาลสมัย

ท่านผู้ชราผมขาวแล้วคงไม่ปฏิเสธว่า
เมื่อ ๒๐ ปีก่อนเด็กสาว ๆ อายุ ๑๔ ขวบ
เปลือยกายกระโดดเล่นน้ำกับเด็กผู้ชาย
โดยไม่มี concept ว่าเป็นเรื่องกามเรื่องเพศใด ๆ ทั้งสิ้น

เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ถูกสอนถูกสร้าง
เพราะว่า concept ของกาม ถูกหยั่งลง ๆ
จนกระทั่งอายุ ๗ ขวบ เริ่มรู้สึกในเรื่องเพศ

นี่ คือความเป็นไปของมนุษย์

ซึ่งความสำคัญของมนุษย์อยู่ที่ concept
concept ของมนุษย์จะย้อนมากำกับมนุษย์ให้ถูกสร้างขึ้น


เขาจะรู้สึกเป็นหญิงอย่างรุนแรง
เพราะแม่สอนความเป็นหญิงให้เขา
เขาจะรู้สึกความเป็นชายอย่างรุนแรง
เพราะแม่สอนความเป็นชายให้เขา

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อชายรักความเป็นชายของตนในตน
จึงสนใจในหญิง สนใจเสียงของหญิง
สนใจเสื้อผ้าของหญิง และไม่มีวันพ้นจากหญิง

เมื่อหญิงรักความเป็นหญิงของตนในตน
หญิงจึงสนใจชาย สนใจเสียงของชาย
สนใจเสื้อผ้าของชาย และไม่มีวันพ้นจากชาย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายหญิงใดไม่รักความเป็นหญิงในตัว
ชายไม่รักความเห็นชายในตัว
เมื่อนั้นหญิงจะพ้นจากชาย ชายจะพ้นจากหญิง


ข้อนี้อาตมภาพจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า

วิมุตติภาพครั้งแรกสุด
จำเดิมแต่มนุษย์ยังไม่สร้างภาวะแห่งหญิง-ชาย หรือสถานภาพใด ๆขึ้น

ขอท่านทั้งหลายระลึกว่า คำว่าจำเดิม
ไม่ได้หมายถึงอดีตกาลครั้ง ปุริมกาล หรือ primitive
แต่หมายถึงเดี๋ยวนี้ ที่นี่ ก่อนหน้าที่จิตจะถูกสร้างอะไรขึ้นมา


ก่อนหน้าที่ concept ช่วง continuum จะเกิดขึ้น
เรียกว่าปุริมกาล หมายความว่า ก่อนหน้านั้นนั้นเอง

คือ สวนสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่
นั่นแหละคือภาวะแห่งความแยกแยะ การแผ่ขยายของอายตนะ

เพราะฉะนั้นทีแรกเดิมสุด
มนุษย์บรรลุถึงวิมุตติอยู่ในตัวของมันเองแล้ว
เราไม่อาจจัดเป็นการบรรลุ


เพราะฉะนั้น อาตมภาพจะพูดให้ท่านทั้งหลายฟังว่า

การที่บรรลุธรรมไม่มี ที่เราเรียกว่า บรรลุ นั้น
เป็นเพียงแต่ภาษาสมมุติเท่านั้น


เพราะว่าพื้นฐานของทุกคนมีสภาวะเช่นนั้นอยู่แล้ว
แต่มนุษย์มาสร้าง concept ผิด ๆ ขึ้น
เมื่อเกิดทำลาย concept ผิด ๆ ลงได้
แล้วสภาวะเดิม คือจิตเดิมแท้ก็โผล่ออกมา
ไม่อาจเรียกว่าบรรลุหรืออะไรได้

นอกจากบรรลุถึงสภาวะเดิมเท่านั้น
และสิ่งนี้เป็นอิสรภาพครั้งแรกและครั้งสุดท้ายด้วย


เพราะฉะนั้นพระศาสดาผู้รู้แจ้งจึงตรัสตรงกันทุกพระองค์ว่า

ถ้าจะดูพระอรหันตขีณาสพแล้ว
ให้ดูฉายาของท่านที่เด็กทารก


วันหนึ่งที่เด็ก ๆ เข้ามารบกวนพระเมชู
และเซนต์บีเตอร์ขับไล่เด็กเหล่านั้นว่า

อย่ามารบกวนพระองค์

พระเยซูท่านอุ้มเด็กขึ้นนั่งบนตักแล้วบอกว่า

ผู้ใดยอมรับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ผู้นั้นก็รับรองเราไม่ได้
เพราะเด็กเหล่านี้เป็นสมาชิกของสวรรค์
สวรรค์ของคริสเตียนนั้นหมายถึงภาวะแห่งความหลุดรอด

ส่วนสวรรค์ของพุทธนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นภาวะแห่งความสุข
ซึ่งไม่ใช่ความหลุดรอด
แต่เกี่ยวกับความหมายแล้ว
เราต้องไปหาคำนิยามให้ดีไม่ใช่ขัดกัน


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ในสูตรสูตรหนึ่งว่า

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย กุมารที่เกิดขึ้นมานั้น
ถ้ากุมารนั้นไม่ยินดี
ไม่กำหนัดในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ไม่ติดใจในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดใจแล้ว
กุมารนั้นย่อมรู้ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติตามที่เป็นจริง


ข้อนี้คำยืนยันของพระศาสดาว่า

บุคคลเมื่อไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
ต่ออารมณ์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาปะทะนั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นสภาวะจิตเดิมจะเปล่งออก
และเปล่งอยู่นานแล้วด้วย

เมื่อเป็นเช่นนั้น เจโตวิมุตติ
ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดิมจะปรากฏออกมา
ก็เห็นจะเป็นคราวเคราะห์ร้ายหรืออย่างไร


ในฝ่ายเถรวาทโดยเฉพาะในประเทศไทยนี้
เกิดสอนกันคลาดเคลื่อนว่า

มนุษย์นี้มีกิเลสดองสันดานมาแสนกัปป์แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้นขอให้ขูดเถิด
แล้วอย่าขวนขวายที่บรรลุถึงนิพพาน หรือวิมุตติเลย
ให้ทำบุญเถิด นี่เป็นประโยชน์ของฝ่ายผู้สอน

เพราะว่าถ้าเผื่อการสอนที่แท้จริง
ให้การประพฤติเพื่อบรรลุถึงอิสรภาพที่แท้จริง
การทำบุญชนิดที่ผิดๆ จะน้อยลง
แต่การบุญที่แท้จริงจะเกิดขึ้น


บุญที่แท้จริงนั้น
เราจะต้องชี้แจงไปถึงบุญชนิดที่เป็นบุญแท้
บัญหาได้อยู่ที่ขึ้นสวรรค์ไม่
หาได้อยู่ที่การขึ้นสวรรค์บนฟ้าไม่
บาปหาได้อยู่ที่ตกลงนรกใต้ดินไม่

บุญก็คือภาวะที่ได้ทำลายความตระหนี่ออกไป
ความตระหนี่ทำจิตให้คับแคบไม่อิสระ
เมื่อได้ให้ทานออกไป จิตเริ่มเป็นอิสระจากวัตถุภายนอก
เช่นนั้นแหละคือ บุญ


บุญเป็นเพียงเครื่องประคับประคองหาใช่วิมุตติเด็ดขาดไม่
แม้บาปจะเป็นอุปสรรค
ทั้งบุญทั้งบาปนั้นเป็นเพียงวิกฤตการณ์


แต่วิกฤตการณ์ที่เรียกว่าบุญนั้น
เป็นวิกฤตการณ์ฝ่ายสวัสดิการ

ดูเหมือนอาตมภาพกำลังใช้คำพูดที่สับสน
แต่ขอให้เราตกลงกันในความหมายในที่นี้เท่านั้น
เพราะว่าในความหมายสูงสุดพระพุทธองค์ท่านตรัสว่า

บาปปุญฺญ ปหินสฺส นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต

เมื่อเพิกถอนทั้งบุญและบาปได้แล้วจักปรินิพพาน
คือจะถึงซึ่งวิมุตติ หรืออิสรภาพโดยสิ้นเชิง

ผู้ที่อยู่เหนือบุญ เหนือบาปแล้ว
ใช่ว่าท่านจะไม่ทำบุญ แล้วย้อนไปทำบาปเข้าอีก

แต่คำว่าอยู่เหนือ
หมายความว่าท่านรู้สมมติและบัญญัติ
เห็นเงื่อนไขอันเด็ดขาดของธรรมชาติ
และท่านยังทำเนินชีวิตในวิถีทางที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคม
ด้วยการทำบุญนั้นแหละ
แต่ท่านไม่ติดบุญ ไม่เมาบุญ
ท่านจึงไม่อาจตกเป็นทาสของบุญได้เลย


นี่คือคุณค่าของผู้ที่บรรลุถึงซึ่ง วิมุตติ

ซึ่งเรากำลังสงสัย
และเป็นข้อสงสัยที่ค่อนข้างจะเขลาสักหน่อยด้วย

เช่น มักจะสงสัยกันว่าขืนให้ทุกคนเป็นพระอรหันต์แล้ว
ใครจะมาขับแท็กซี่ ใครจะมาเป็นคนกวาดถนนเล่า

นี่เป็นคำพูดที่ผิด ๆ เพราะว่าเขาเข้าใจว่า

พระอรหันต์นั้นคือผู้ที่ไม่อาจจะอยู่ในสังคมได้

แต่โดยเนื้อหาแล้ว
ผู้ที่บรรลุถึงจักษุแห่งธรรมนั้นนั่นแหละ
คือหลักชัยที่พึ่งของสังคม


บรรพชิตโดยเนื้อแท้ก็คือผู้ตรึงสันติสุขในสังคม
ไม่ใช่ผู้ตรึงผลประโยชน์เพื่อตัวเอง
บรรพชิตเป็นผู้นำของสังคมมาแต่เดิม
ซึ่งเดี๋ยวนี้กำลังเลอะเลือนเสียแล้ว กลายเป็นผู้ตามไป


(มีต่อ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร