วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อหนังสือ : ฝึกสมาธิสูตรสนุก มีความสุขทุกวี่ทุกวัน
ชื่อผู้แต่ง : เลียงผา
ISBN : 978-616-440-640-7
พิมพ์ครั้งแรก : ปี 2560
ชื่อผู้จัดพิมพ์แจกเป็นธรรมะบรรณาการ : ทุนสง่า ไทพาณิชย์



คำอนุโมทนา

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้นมีมากมาย แต่ก็ทรงเลือกเฟ้นเอามาแสดงเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์ เป็นสัจจธรรม และเป็นกฎของธรรมชาติ นั่นคือทรงแสดงให้รู้จักทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับไปของทุกข์ การปฏิบัติเพื่อการดับไปของทุกข์ ท่านอาจารย์พุทธทาสแห่งสวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฏร์ธานี ได้ให้คำจำกัดความของธรรมะว่า ธรรมะคือ หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ในทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขาเพื่อความมีชีวิตอยู่อย่างผาสุก ทั้งโดยส่วนตัวและโดยส่วนรวม หรือทั้งโลก

ชาวโลกขาดธรรมะ เพราะไม่รู้จักธรรมะอย่างถูกต้อง การรู้จักธรรมะอย่างถูกต้อง คือ รู้ว่าอะไรเป็นอะไรตามความเป็นจริง เช่นรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร รู้ว่าอะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ รู้ว่าอะไรไม่เป็นทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ เป็นต้น แล้วรู้จักใช้ปัญญาคัดเลือกเอามาเฉพาะแต่สิ่งที่ควร สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ และสิ่งที่ไม่เป็นทุกข์

ธรรมะช่วยให้เรารู้จักชีวิต มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง มีทรัพย์สมบัติถูกต้อง มีเกียรติยศชื่อเสียงถูกต้อง มีมิตรสหายถูกต้อง

เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อให้รู้จักสิ่งทั้งหลายถูกต้องตามความเป็นจริง ว่าอะไรเป็นจริงโดยสมมติ อะไรเป็นจริงโดยแท้ เพื่อไม่ให้ความจริงที่สมมติมาหลอกลวงเอา ไม่ใช่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้เป็นสื่อสำหรับเป็นทาสของกิเลส โลกจะสงบสุขอยู่ได้มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือต้องเดินไปทางธรรม การช่วยให้คนอื่นเดินไปทางธรรมจึงเป็นกุศลอย่างยิ่ง

คุณเลียงผา เป็นบุคคลหนึ่งที่เห็นคุณค่าและประโยชน์ทางธรรมะจากการเรียนรู้และประสบการณ์ทางธรรมะ จึงใคร่อยากให้ญาติมิตรสหายทั้งหลายได้รับประโยชน์จากธรรมะบ้าง จึงได้เขียนและจัดพิมพ์หนังสือธรรมะเล่มนี้ขึ้นมาชื่อ ฝึกสมาธิสูตรสนุก มีความสุขทุกวี่ทุกวัน เพื่อแจกเป็นธรรมทานแก่ญาติมิตรสหาย ตลอดจนถึงผู้ใคร่ธรรมทั้งหลายด้วย

ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดี อนุโมทนาในความหวังดี ความปรารถนาดี ของคุณเลียงผามา ณ ที่นี้ด้วย ขอเจริญพร

พระอธิการสุชาติ ปัญฺญาทีโป
เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม)
อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 21:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำนำผู้พิมพ์แจก

การศึกษาถึงธรรมะ เพื่อให้มีธรรมะ และใช้ธรรมะอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดทุกข์ นับเป็นสิ่งสำคัญในโลกยุคโลกาภิวัตน์ เช่นปัจจุบัน ที่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในมุมโลกหนึ่งแล้ว คนในอีกมุมโลกหนึ่งสามารถรับรู้ข่าวสารได้ ในขณะเดียวกัน

สิ่งที่เกิดมาพร้อมกันกับกระแสการรับรู้ข่าวสารก็คือ กระแสของวัตถุนิยม ที่มีอิทธิพลทำให้เราต้องรับเอาวัตถุเป็นตัวกำหนดวิถีทางการดำเนินชีวิต ในกิจวัตรประจำวันของเราสถานการณ์เช่นนี้ นับเป็นภยันตรายอย่างใหญ่หลวง ถ้าเรารับเอากระแสของวัตถุนิยมมาใช้อย่างไม่มีความรู้

อันตรายของ “ความรู้” ก็คือ ไม่รู้ว่าตนเองไม่มีความรู้ นั่นคือ ไม่รู้ว่าอะไรชักจูงเราไปสู่ความทุกข์ อะไรชักจูงเราไปสู่ความดับทุกข์ อะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง แล้วคิดว่าสิ่งที่ตนเองยึดถือไว้นั้น เป็นสิ่งถูกต้อง จึงไม่ศึกษาต่อ ผลก็คือเกิดความทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่คือความหมายของคำว่า อวิชชา ในพระพุทธศาสนา

อวิชชาในตัวของเรา สามารถขจัดให้หมดไปได้ทุกผู้คน ถ้าหากเราเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของมันในสายของปฏิจจสมุปบาท ที่วิเคราะห์เกี่ยวกับการเกิดขึ้น การตั้งอยู่ และการดับไป ซึ่งเป็นขั้นตอนของการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์

วิธีปฏิบัติให้เข้าถึงการดับทุกข์ได้ดีวิธีหนึ่งก็คือ วิธีที่เรียกว่าอานาปานสติ ซึ่งผู้เขียนได้เขียนถึงแนวปฏิบัติที่สามารถทำได้พร้อมกันกับการอ่านหนังสือ จึงนับว่าเป็นหนังสือแนวใหม่ ที่ผู้อ่านสามารถอ่านไปด้วย ปฏิบัติไปด้วย แล้วเห็นผลโดยวิธีการประเมินผลด้วยตนเองไปด้วยในขณะเดียวกัน

ขออนุโมทนาสาธุกับคุณเลียงผาและท่านผู้อ่าน ที่อ่านแล้วปฏิบัติตามไปด้วยทุกท่าน ขอให้ผลการปฏิบัติของทุกท่านสามารถรักษาโรคที่เกิดจากกาย และโรคที่เกิดจากจิต ที่คิดผิดเห็นผิดจนเกิดทุกข์ ด้วยกันทุกท่านทุกคน

ดนัย ไทพาณิชย์ สมาชิกผู้สูงอายุผู้พักอาศัย
ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์
อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำนำผู้เขียน

เว่ยหล่าง พระสังฆปริณายกองค์ที่ 6 แห่งนิกายเซ็น หรือนิกายธฺยานะ (ฌาน, Ch’an) ของพุทธศาสนามหายานขึ้นธรรมมาสน์และกล่าวกับสานุศิษย์ผู้มาชุมนุมรับฟังการแสดงธรรมว่า

“ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย, สมาธิและปัญญานั้น ควรจะเทียบกับอะไรเล่า? คำตอบก็คือ ธรรมะสองชื่อนี้ ควรเทียบกับตะเกียงและแสงสว่างของมันเอง นั่นหมายถึง สมาธิเทียบกับตะเกียง ปัญญาเทียบกับแสงของมัน ที่ส่องออกมาจากตะเกียง, ตะเกียงนั่นแหละ คือตัวการแท้ของแสงสว่าง ส่วนแสงสว่างนั้นเป็นแค่สิ่งที่แสดงออกของตะเกียง”

จากธรรมะสองชื่อนี้ จุดประกายความคิดให้ผู้คงแก่เรียนทุกท่านได้ทราบต่อไปว่า ตะเกียง ย่อมมีไส้ตะเกียง ไส้ตะเกียงเป็นแหล่งกำเนิดของแสงแห่งตะเกียง ถ้าไส้ตะเกียงดี แสงสว่างที่ส่องออกมาก็จะนวลสวยงาม แต่ถ้าไส้ตะเกียงไม่ดี แสงสว่างที่ส่องออกมาก็จะไม่นวล และจะกระพริบเป็นช่วงๆ

ดังนั้น การบำรุงรักษาไส้ตะเกียงให้ดี สมบูรณ์ เรียบร้อย เพื่อให้แสงสว่างที่ส่องออกมานวลตลอด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะทำให้เราใช้ตะเกียงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อบรรลุผลสำเร็จในการส่องสว่างสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่ง ที่เราต้องการได้

ตะเกียงพร้อมใช้ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราจําเป็นจะต้องดูแลไส้ตะเกียงให้มีสภาพดีอยู่เสมอ

สมาธิพร้อมใช้ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราก็จำเป็นที่จะต้องดูแลไส้ของสมาธิ หรือแกนของสมาธิ หรือแก่นของสมาธิ หรือหัวใจของสมาธิให้ดีอยู่เสมอ เช่นกัน

ไส้ของสมาธิ หรือแกนของสมาธิ หรือแก่นของสมาธิ หรือ หรือหัวใจของสมาธิที่จะทำให้สมาธิ ดี นวล เรียบ ไม่กระพริบเป็นช่วงๆ ในบริบทของงานเขียนเล่มนี้ ก็คือจิต

ดังนั้น ท่านผู้คงแก่เรียนที่ศึกษาศาสตร์ในด้านนี้ จึงจำเป็นจะต้องฟูมฟักจิต ฝึกจิต ให้จิตสามารถเปล่งประกายของพลังออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อที่จะได้ส่องทางไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิต คือการหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏ ต่อไป

ในส่วนของหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้เขียนขึ้นด้วยจิตอันเปี่ยมล้นของความต้องการที่จะเห็นผู้คนฝึกสมาธิกันเพิ่มมากขึ้น เพราะถ้าผู้ใดฝึกสมาธิจนสามารถได้สมาธิมาใช้งานแล้ว ตัวสมาธิอันทรงคุณค่านี้ ก็จะเป็นยาครอบจักรวาล ที่สามารถป้องกันรักษาสรรพโรค สรรพภัย ต่างๆ ทุกชนิดไม่ให้กล้ำกลายเข้ามาสู่ตัวผู้ฝึกได้ ในทุกๆ มิติ

นอกจากจะสามารถป้องกันรักษาสรรพโรค สรรพภัย ไม่ให้กล้ำกรายเข้าสู่ตัวผู้ฝึกในทุกมิติแล้ว สมาธิยังสามารถเปล่งรัศมีออกสู่ภายนอกร่างกายของผู้ฝึกได้ ในรูปของปัญญาที่สว่างไสว ดุจดังตะเกียงที่สาดส่องแสงลงสู่พื้นนำทางแก่ฝูงชนที่ติดอยู่ในความมืดมิด ให้หลุดพ้นออกมาได้

ในส่วนของผู้อ่านนั้น เมื่อท่านสามารถอ่านเรื่องราวต่างๆ จนผ่านจุดนี้ไปได้ ก็แสดงว่าท่านได้ประสบความสำเร็จแล้ว สาเหตุเพราะ ผู้ที่หยิบหนังสือประเภทนี้ขึ้นมาอ่าน ย่อมแสดงว่าท่านต้องเป็นผู้มีจิตโน้มไปสู่ความต้องการที่จะฝึกสมาธิ

ผู้ที่มีจิตโน้มไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็หมายความว่าเราได้เห็นคุณค่าของมัน และพร้อมที่จะพอใจในสิ่งนั้นแล้ว

การพอใจในสิ่งนั้น ก็เป็นคำจำกัดความของคำว่า ฉันทะในอิทธิบาท 4 นั่นเอง

เมื่อมีฉันทะ คือพอใจว่าสมาธิเป็นสิ่งที่ดีจริง มีประโยชน์จริงแล้ว การมีวิริยะ คือความเพียรก็จะมีเพิ่มตามมากขึ้น เมื่อมีความเพียรเพิ่มมากขึ้น ก็มีจิตตะ คือมีใจจดจ่อกับเรื่องการฝึกสมาธิ ต่อด้วยการมีวิมังสา คือการพิจารณาหาเหตุผลว่า ฝึกสมาธิอย่างไรจึงจะให้ผลดี แล้วท้ายที่สุด ผลดีย่อมจะเกิดขึ้นกับท่านอย่างแน่นอน ในไม่ช้านี้

นั่นหมายถึงว่า ท่านได้ประสบความสำเร็จแล้ว เป็นผู้คงแก่เรียนแล้ว นับตั้งแต่ที่ท่านหยิบงานเขียนเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน จนกระทั่งถึงจุดๆ นี้

หวังว่าผู้คงแก่เรียนที่อ่านงานเขียนเล่มนี้ จะได้รับทั้งสาระและบันเทิงตามควรแก่เวลาอันมีค่าของท่าน ที่ได้สูญเสียไปจากการอ่าน และปฏิบัติตามไปด้วยในช่วงขณะการอ่าน ทุกท่านทุกคนเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 21:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สารบัญ

คำอนุโมทนา

คำนำผู้พิมพ์แจก

คำนำผู้เขียน

ภาค 1 สารพันปัญหาในบ้าน

สุดยอดแม่

ลูกในคาถา

ปัญหาโลกแตก

กระบวนทัศน์แบบของศศิวรุณ

ฝันสลายของศศิวรุณ

ศศิวรุณอยากช่วยพ่อ

อำนาจผู้โหยหาอำนาจ

อำนาจผู้ไร้อำนาจ

อำนาจผู้ต่อต้านสังคม

เย็นใจผู้ถือเต๋า

เต๋านั้นเป็นไฉน

ไม่ต้องแสดงอำนาจก็มีอำนาจได้

อาจารย์หนูผู้ปราดเปรื่อง

ภาค 2 การฝึกสมาธิช่วยได้

ศศิวรุณจะเริ่มฝึกสมาธิแล้ว

อานาปานสติ

จิตเหมือนวัวป่า

เจอจิตแล้ว

เอกสารน่าอ่านต่อ

ปกิณกคดีเกี่ยวกับผู้เขียน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2018, 21:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาค 1 สารพันปัญหาในบ้าน

สุดยอดแม่

หม่าม้า คะแนนเฉลี่ยเทอมนี้ของหนูน่าเกี๊ยจ น่าเกียจ

น้ำเสียงค่อนข้างผิดหวังของศศิวรุณดังขึ้น หลังจากที่เธอยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้ แล้ววิ่งเข้าไปกอดแม่ของเธออย่างประจบ เพื่อขอลหุโทษ

ได้เท่าไรเหรอ ลูก

เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดูไม่สู้จะอินังขังขอบต่อคำพูดเกี่ยวกับคะแนนเฉลี่ยของ ศศิวรุณมากนัก

เธอเป็นแม่ประเภทไหนกัน เหตุไฉนจึงไม่สนใจเอาใจใส่ต่อสารทุกข์สุขดิบของลูก ตามมาตรฐานของแม่ที่มีต่อลูก อันมนุษย์ทั่วไปพึงจะมี

เธอเป็นแม่ ที่จะทำให้สถาบันแม่อันยิ่งใหญ่ต้องมัวหมองลง กระนั้นหรือ

แม่ ผู้ที่ทุกวัฒนธรรม ทุกสังคมทั่วโลก ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ปรากฏตามหลักฐานจากคำเรียกขานแม่นั้น มักจะเป็นคำที่สื่อถึงความใกล้ชิดกันระหว่างแม่กับลูกอย่างแนบแน่น เพราะในทุกชาติทุกภาษาจะมีพยัญชนะกลุ่มที่ใช้ริมฝีปากคู่เช่นพวก ม. ม้า พ. พาน ป. ปลา บ. ใบไม้ รวมอยู่ด้วยเป็นหลัก

นักภาษาศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า พยัญชนะเหล่านี้ เป็นพยัญชนะที่เด็กทำเสียงได้ด้วยการใช้ริมฝีปากบน และริมฝีปากล่าง โดยไม่จำเป็นต้องใช้อวัยวะส่วนอื่น เช่น ลิ้น เป็นต้นประกอบการออกเสียง

ดังนั้น เด็กจึงเรียกขานคำเหล่านี้ได้ก่อนคำอื่นใด ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันอบอุ่นขึ้นก่อนใครอื่น ระหว่างแม่กับลูก

คำเรียกขานเหล่านี้เช่นคำว่า mam หรือ mom ในภาษาอังกฤษ คำว่า ม๊ะ หรือ ม้า ในภาษาจีน หรือคำว่าแม่ ในภาษาไทย

ยิ่งกว่านั้น คำว่าแม่ในภาษาไทย ยังถูกยกย่องในหลายฐานะและหลายบทบาท ตัวอย่าง เช่น ยกย่องให้เป็นหัวหน้าหรือเป็นนาย ได้แก่ แม่ทัพ แม่กอง หรือยกย่องให้เป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง ได้แก่ แม่ย่านาง เป็นต้น

แม่ย่านางเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองสรรพสิ่งในทัศนคติของผู้ใหญ่

แต่ในทัศนคติของเด็กแล้ว แม่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองตนเองมาตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว

ในสถานการณ์ที่ลูกประสบปัญหา บุคคลที่ลูกจะนึกถึงก่อนใครอื่นก็คือแม่เสมอ มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของลูกมาโดยตลอด ทุกผู้ทุกคน

ความผูกพันนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่ลูกอยู่ในครรภ์แล้ว ลูกจะอาศัยอาหารจากแม่ ส่วนแม่จะถ่ายทอดความรู้สึกห่วงหาอนาทรต่อลูก เป็นระยะๆ ตลอดเวลาเก้าเดือน ที่ฟูมฟักความสำพันธ์ร่วมกัน

หลังคลอด ลูกยังดูดนมแม่เป็นอาหาร

โตขึ้นเมื่อหิวลูกก็มักคิดถึงแม่ก่อนเสมอ อาหารรสอย่างที่แม่เคยทำให้กินตอนเด็กเป็นรสที่อร่อยที่สุด มันติดลิ้นมาตั้งแต่เล็กจนโต

ไม่มีใครบอกว่าอาหารที่แม่ทำให้เรากิน ไม่อร่อย

แม้ในช่วงเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราคิดจะทำกับข้าว เราก็คิดถึงแม่ ต้องการทำอาหารรสแบบที่แม่เคยทำให้เรากินตอนเด็ก นั่งทบทวนดูว่าแม่ใส่อะไรบ้าง มันจึงอร่อย อยากจะทำอาหารรสอร่อยอย่างที่แม่ เคยเรียกให้เรากินตอนหิว

ปัญหาขี้หมูราขี้หมาแห้งในช่วงวัยเด็กไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็ต้องอาศัยแม่ เมื่อเกิดปัญหาข้อขัดแย้งที่แก้ไขไม่ได้ระหว่างพี่น้อง ก็เรียกร้องให้แม่ลงมาช่วย กลับจากโรงเรียนทำการบ้านไม่ได้ ก็เรียกให้แม่ช่วยอีกเหมือนกัน อะไรๆ ก็ลงที่แม่

พอถึงวัยทำงาน ได้งานทำแล้ว ทำอะไรดีหรือไม่ดีอย่างไรมา ก็ต้องรายงานแม่หมด

ที่น่าตลกที่สุดก็คือ แม้เราโตขึ้นจนมีลูกแล้ว พอเกิดอาการตกอกตกใจอย่างปัจจุบันทันด่วน เราก็มักอุทานออกมาจากจิตใต้สำนึกโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่า ว้าย แม่ช่วย เป็นอย่างนั้นไป ทั้งๆ ที่ตอนนั้นแม่ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นเลย

แม่จึงยิ่งใหญ่เกรียงไกรในทัศนคติของลูกเสมอ

แล้วลูกเล่า ยิ่งใหญ่เกรียงไกรในทัศนคติของแม่ขนาดไหน

มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับความรักระหว่างแม่กับลูก ในหลายแง่หลายมุม หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเรื่อง สุดยอดแม่

ในช่วงวันที่ 12 พฤษภาคม ปี 2551 ที่มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ซึ่งขณะนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงวัดได้ 7.9 ริกเตอร์ ฆ่าชีวิตผู้คนไป 68,516 คน

และหนึ่งในนั้นก็คือ สุดยอดแม่

แม่ผู้นี้ทำหน้าที่แม่ของลูกจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ก่อนจากโลกไป

เรื่องของเรื่องถูกเปิดเผยขึ้นมาเมื่อหน่วยกู้ภัยค้นเข้าไปในซากปรักหักพัง เพื่อเสาะหาผู้ที่คาดว่าจะรอดชีวิต ภายใต้เศษหินดินทรายเหล่านั้น

พลันก็เห็นแผ่นหลังของสตรีผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในท่ากำลังคุกเข่า ดูจากลักษณะท่าทางก็ทราบได้ทันทีว่า สตรีผู้นี้ได้สิ้นใจไปแล้ว

แต่ที่น่าสะเทือนใจสุดๆ ของผู้พบเห็นก็คือในอ้อมอกของเธอผู้นี้มีลูกน้อยถูกโอบกอดอยู่

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ลูกน้อยของเธอยังคงมีชีวิตอยู่ และหลับอยู่ในท่าที่กำลังดูดนมจากอกของแม่

มองย้อนกลับไปในช่วงเวลาวิกฤต เธอคงใช้แผ่นหลังกำบังซากของหิน ดิน ทราย ที่พังทลายลงมาให้แก่ลูก

เมื่อเหตุการณ์สงบ เธอรู้ว่าหนทางรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ คงเป็นเรื่องเหลือวิสัย สำหรับเธอและลูก

ดังนั้น เธอจึงพยายามรักษาชีวิตลูกน้อยของเธอให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยให้ลูกดูดนมเพื่อยืดอายุลูก แทนที่จะเก็บนมเหล่านี้ไว้เป็นพลังงานเพื่อยืดอายุของตัวเธอเอง

เธอพยายามทำหน้าที่ของแม่จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย เพื่อหวังให้ลูกชายของเธอมีชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนชีวิตของเธอ เธอสละแล้วเพื่อลูก

“ลูกรักของแม่ ถ้าลูกมีชีวิตรอดออกไปได้ แม่อยากจะบอกลูกให้ทราบว่า แม่รักลูกมาก”

นี่เป็นข้อความสั้นๆ ที่กลั่นออกมาจากหัวใจของแม่ผู้ใกล้จะหมดลมหายใจ ผ่าน SMS ในมือถือของเธอที่ตกอยู่ในบริเวณนั้น สั่งลาลูกน้อยก่อนสิ้นใจ เพื่อประกาศเจตนารมณ์ให้โลกรู้ว่า เธอรักลูกมากเพียงใด

ใช่แล้ว คำว่ารักมิใช่คำนาม ซึ่งเป็นคำที่บ่งบอกถึงชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ ที่พอบ่งบอกออกไปแล้ว ก็แล้วกันไป

แต่คำว่ารักเป็นเป็นคำกริยา คำกริยาจะต้องมีกริยาอาการต่อเนื่อง

กริยาอาการต่อเนื่องที่มีการแสดงออก

และเป็นการแสดงออกที่มีการกระทำ

ดังเช่นท่วงท่าห่วงหาอนาทรในลักษณะที่เธอให้แก่ลูกน้อยก่อนสิ้นใจ ที่ทิ้งไว้เป็นประจักษ์พยานแก่ผู้พบเห็น

เธอทำหน้าที่ของแม่อย่างสมบูรณ์แล้ว

แม่ที่ประเทศจีนได้ทำหน้าที่ของแม่อย่างสมบูรณ์แล้ว ด้วยการแสดงท่วงท่าห่วงหาอนาทรต่อลูกน้อยที่ทิ้งไว้ ก่อนสิ้นลมหายใจ

แล้วแม่ของศศิวรุณเล่า เธอแสดงท่วงท่าห่วงหาอนาทรต่อศศิวรุณมากน้อยเพียงใด

เธอได้ปฏิบัติหน้าที่ของแม่อย่างสมบูรณ์แล้วหรือ

ประเด็นนี้ เป็นเรื่องที่เราจะต้องติดตามดูพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของแม่รายนี้ ต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 19:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกในคาถา

ศศิวรุณ เป็นนักศึกษาปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 ช่วงนี้เป็นเวลาปิดเทอม เธอจึงกลับบ้าน

บ้านของศศิวรุณอยู่ใน กทม. มหาวิทยาลัยที่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ ก็อยู่ใน กทม. แต่แทนที่ ศศิวรุณจะเลือกวิธีเดินเรียนแบบเช้าไปเย็นกลับเป็นกิจวัตร อันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาทำกันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่หม่าม้ากลับส่งเธอให้ไปอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัยแทน

การตัดสินใจในลักษณะนี้เป็นการตัดสินใจแบบคิดนอกกรอบ คนที่คิดคนแรกมักจะถูกต่อต้านจากสมาชิกในครัวเรือนอยู่เสมอว่า ไม่ควรอนุญาตให้ไปอยู่แบบนั้น

มีบ้านทำไมไม่อยู่บ้าน ปลอดภัยกว่ากันแยะ ในหอเป็นที่ชุมนุมของคนร้อยพ่อพันแม่ อาจเจอะเจอกับเพื่อนที่ไม่ดี แล้วชักชวนกันไปทำกิจกรรมในทางที่ไม่ดี ทำให้เกิดผลเสียต่อการเรียนได้

อันที่จริง บางครั้งคนที่คัดค้านก็อยู่ในบ้านนั้นแหละ แล้วก็ลืมคิดไปด้วยว่าถ้าบ้านเรามีสมาชิกที่เป็นคนไม่ดีมันก็เหมือนอยู่ในนรก ก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อการเรียนเหมือนกัน เพราะกลับบ้านมา ก็ไม่มีสมาธิที่จะอ่านหนังสือและทบทวนสิ่งที่ร่ำเรียนมาในช่วงตอนกลางวัน พอรุ่งขึ้นกลับไปเรียนต่อ จึงเรียนไม่รู้เรื่อง ไม่ทันเพื่อน ก็เลยเครียด

วิธีแก้เครียดของคนก็จะมีหลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปเที่ยว ดูหนังฟังเพลงหรือ ช๊อปปิ้งผลาญเงินพลาญทองของพ่อแม่ไปตามเรื่องตามราวของเด็ก ที่เพิ่งพ้นจากระบบระเบียบอันเคร่งครัดของโรงเรียน มาเป็นระบบที่มีความเป็นอิสรเสรีในการดำเนินชีวิตส่วนตัวในมหาวิทยาลัย

พอไปเที่ยวก็แน่นอน ย่อมเจอะเจอเพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันคบหาสมาคมและมั่วสุมกับคนที่มีปัญหาเหมือนกัน

เมื่อไปมั่วสุมกับคนมีปัญหา ไม่คบกับคนมีปัญญา ปัญหาก็เกิดขึ้นกับตัวเรา บางครั้งก็เสียทั้งกายทั้งทรัพย์ เพราะถูกหลอก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หมดอนาคตไปเลย

แต่สำหรับคนที่เสนอแนวคิดนี้กับศศิวรุณแล้ว เธอกลับไม่กลัวว่าศศิวรุณจะไปคบกับคนที่มีปัญหานอกบ้าน เพราะเธอมั่นใจว่าคนที่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาเป็นอย่างดี ถูกเลี้ยงมาอย่างอบอุ่นจากเธอเป็นอย่างดี ปัญหาเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น ดูตามสถิติแล้วเด็กที่มีปัญหา ส่วนใหญ่จะถูกเลี้ยงมาในวัยเด็กแบบขาดความอบอุ่นจากครอบครัว

ในส่วนตัวของศศิวรุณเองแล้ว ก็ไม่ได้คิดว่าสังคมในบ้านที่อาศัยอยู่ในขณะนี้จะมีปัญหามากมายจนกระทั่งเธอคิดว่าเป็นนรก

เพราะถ้าเธอคิดว่ามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว พอได้รับอนุญาตให้ไปอยู่หอ เธอก็ เฮ แล้ว จะได้ขึ้นจากนรก แล้วโบยบินไปสู่โลกภายนอกเสียที

แต่นี่ พอเธอทราบว่าจะอนุญาตให้ไปอยู่หอ กลับรู้สึกต่อต้าน ไม่อยากอยู่ห่างจากครอบครัวเลย ครอบครัวที่เคยอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เล็กจนโต

นึกแล้วมันน่าน้อยใจ เราอุตส่าห์พยายามดูหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ จะได้ทำให้พ่อแม่ชื่นใจ แต่พอเราเอนทร้านได้แล้ว กลับถูกผลักไล่ใสส่งให้ไปอยู่หอ ไม่เข้าใจจริงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมหม่าม้าจึงคิดเช่นนี้

หม่าม้าให้เหตุผลสนับสนุนแนวคิดของเธอสั้นๆ ว่า บ้านกับมหาวิทยาลัยมันอยู่ไกลกัน เวลาที่เสียไปในแต่ละวันจะอยู่บนรถที่เป็นพาหนะในการเดินทางเสียมากกว่าที่จะอยู่ในห้องสมุด ภาวะเช่นนี้ จะทำให้เธอทำหน้าที่ของนิสิตนักศึกษาไม่สมบูรณ์

หน้าที่ของนักศึกษาก็คือ ต้องศึกษาให้เต็มที่ ทำให้เต็มความสามารถ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
นอกห้องเรียนก็ต้องทบทวนเรื่องราวที่เรียนมา ถ้าพักอยู่ที่บ้านน่าจะไม่สะดวก เพราะนั่งรถกลับถึงบ้านก็เพลียแล้ว นอนดีกว่า ไม่มีแรงอ่านหนังสือ

แม้ศศิวรุณจะฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก แต่เธอก็เป็นลูกในคาถา จึงปฏิบัติตามแต่โดยดี

เพราะเธอคิดและเชื่อว่าการเดินตามหลังผู้ใหญ่หมาจะไม่กัด

แล้วกระบวนการคิดแบบเดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัดของศศิวรุณนั้น จะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ในสังคมโลกยุคไอทีเช่นปัจจุบัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 19:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาโลกแตก

เบื่อแม่ ห่วงจัด เราขอถามหน่อยนะ ไปดูคอนเสิร์ตกับเพื่อนแล้วมันผิดด้วยเหรอ เพื่อนเราก็ไปกันหลายคน ไม่เห็นใครมีปัญหาเลย นี่แม่ถ้าจะตกยุคแล้ว

แล้วเนียะนะ แม่ตกยุคคนเดียวไม่พอ ยังมาสอนให้ลูกตกยุคอีกเครียดด..อยากตาย

เพื่อนบ่นกับศศิวรุณเป็นชุด อย่างสุดอัดอั้นตันใจ

ที่บ้าน แม้ศศิวรุณจะมีปัญหากับพ่อ ไม่ใช่แม่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องความต้องการที่จะไปดูคอนเสิร์ต ดังนั้น จึงไม่สู้จะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มากนัก ว่าคอนเสิร์ตเจ้านี้ดีกว่าเจ้าโน๊นอย่างไร แต่ก็เคารพในความคิดของเพื่อน ยอมรับฟังเพื่อนบ่นเพื่อระบายความทุกข์แต่โดยดี

บางครั้งการระบายความทุกข์กับเพื่อน ก็ช่วยคลายความอึดอัดขัดข้องใจของผู้ระบายลงได้ ถ้าเพื่อนเป็นคนดี ไม่แนะนำส่งเดช แบบไม่รู้แต่ชี้แล้วชี้แบบส่งๆ ให้คนถูกชี้ลงเหวลงนรกไป

ธรรมดาแล้ว คำสั่ง คำสอน หรือคำเตือนที่ออกจากปากของแม่ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดอย่างไร มักจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบจากลูกได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ

ลูกไม่เชื่อ ไม่อยากปฏิบัติตาม เพราะมันไม่ถูกต้อง แม่มีความคิดโบร่ำโบราณไม่ทันสมัย เดี๋ยวนี้โลกเขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ตอนนี้มันเป็นเรื่องของโลกยุคไอที แม่ยังมางมโข่งอยู่อีก เหมือนดังเช่นกรณีเหตุการณ์ที่เพื่อนของศศิวรุณ บ่น

ใช่แล้ว ปัจจุบันเป็นโลกยุคไอที ที่ข่าวสารสามารถส่งผ่านถึงกันได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยเทคโนโลยีข่าวสาร (Information technology=IT) ผลกระทบของมันก็คือ คนที่เข้าถึงไอที และรู้ข่าวสารก่อนใครมักได้เปรียบเสมอ โดยเฉพาะคนในแวดวงธุรกิจ

หรือถ้าไม่อ้างในแง่ธุรกิจ เราอาจจะอ้างในแง่บันเทิงก็ได้ เช่น เขาประกวดนางงามโลกกันในอีกซีกโลกหนึ่ง ถ้าเราเปิดอินเตอร์เน็ตเข้าไปดู เราก็จะสามารถรู้ผลได้ก่อนใครอื่นว่าผู้ใดเป็นนางงามได้ในขณะเดียวกันกับคนที่ดูข้างเวทีในขณะนั้น

แม่เข้าอินเตอร์เน็ตไม่เป็น ไม่รู้เรื่อง แม่อย่ามาสอนดีกว่า แม่ตกยุคแล้ว

ความจริงแล้วคำว่าตกยุคที่ลูกอ้างเถียงแม่นั้น บางครั้งแม่ก็เคยเถียงแม่ของแม่ หรือยายมาแล้วเหมือนกัน
แต่ตกยุคที่แม่กับยายเถียงกันนั้นเป็นเรื่องของการตกยุคอุตสาหกรรม

เรื่องเกี่ยวกับคำว่ายุคๆ นี้ นายอัลวิน ทอฟฟ์เลอร์ (Alvin Toffler) ได้เขียนหนังสือที่เป็นหนังสือขายดิบขายดีติดอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ชื่อเรื่องว่า The Third Wave ไว้เมื่อปี ค.ศ. 1980 แล้ว

เขาได้แบ่งยุคต่างๆ ของโลกไว้เป็นสามยุคคือยุคเกษตร ยุคอุตสาหกรรมและยุคไอที

ยุคเกษตร เป็นยุคที่เราปลูกพืชเลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร ปลูกกันเองกินกันเอง เรียกว่าอยากกินอะไรก็ปลูกสิ่งนั้นตามสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศของแถบนั้น

พอปลูกมากไป หรือดินฟ้าอากาศดีให้ผลผลิตสูง ก็เอาไปแจกจ่ายผู้อื่นบ้าง แลกเปลี่ยนบ้าง หรือขายบ้างเล็กๆ น้อยๆ

การดำรงชีวิตก็เป็นไปตามวิถีธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพณีที่เกิดขึ้นก็สอดคล้องเกี่ยวเนื่องกับวิถีชีวิตของชุมชนที่ประกอบอาชีพทางการเกษตร

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น แถบที่ปลูกข้าวพอเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จก็ดีใจมีการเต้นรำฉลองชัยกันอย่างสนุกสนาน ท่าเต้นรำก็ใกล้เคียงกับกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วยข้าวติ๋งต่างว่าชื่อท่ารำตำข้าว

แล้วการรำท่ารำตำข้าวที่รำฉลองกันนั้นมันก็รำแบบคนตำข้าว รุ่นแม่ก็เห็นรำแบบนี้ รุ่นลูกก็เห็นรำแบบนี้ ก็เลยไม่มีใครว่าใครตกยุค

เมื่อไม่มีใครว่าใครตกยุคมันก็เกิดความสงบสันติในครอบครัว จึงทำให้ครอบครัวอยู่กันได้อย่างมีความสุข

ความจริงแล้ว เรื่องมันก็น่าจะจบๆ กันได้แล้ว เพราะครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุข

แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะมันเป็นเรื่องของมนุษย์ มันเป็นเรื่องของคน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าคน

สรุปกันไว้ก่อนได้เลยว่าที่ไหนมีคนที่นั่นยุ่ง ยุ่งเพราะแต่ละคนก็คนกันไปคนละทิศละทาง

โดยปกติแล้ว แต่ละคนที่เข้าไปคนก็พยายามที่จะคนให้มันดีตามแบบฉบับที่ตนเองคิด

คราวนี้ความคิดของคนเรานั้นมันก็คิดไปเรื่อยๆ จะให้หยุดคิดยาก ในช่วงปลายๆ ศตวรรษที่ 17 ถึง กลางๆ ศตวรรษที่ 20 ก็เลยมีนักวิทยาศาสตร์หลายคน รวมทั้งนายเจมส์ วัตต์ (James Watt) คิดเครื่องจักรไอน้ำขึ้นมา แล้วก็ยังมีอีกหลายคนมาช่วยพัฒนาต่อยอด ร่วมกันแต่งเสริมเติมแต่งเครื่องจักรไอน้ำกันขนานใหญ่

แล้วเค้าก็สรุปออกมาว่า เครื่องจักรไอน้ำนี้มีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์อย่างมหาศาล เลยเรียกยุคนี้ว่ายุคอุตสาหกรรม เพราะสามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้น โดยใช้เครื่องจักรช่วย

นายทอฟฟ์เลอร์ เขาเขียนในหนังสือของเขาบอกว่า ยุคนี้เป็นยุคที่เรียกว่าต้องผลิตกันมากๆ บริโภคกันมากๆ (Mass production, Mass consumption) มันถึงจะดี

ยิ่งมาช่วงปลายยุคอุตสาหกรรมแล้วยิ่งผลิตสินค้าเร็วขึ้นไปใหญ่ เพราะมีคนๆ หนึ่งชื่อนายฟอร์ด คิดวิธีการประกอบชิ้นส่วนขึ้นมาใหม่ ทำให้ระยะเวลาการผลิตสินค้าพร้อมใช้ในแต่ละชิ้นลดลงไปอีก

ตัวอย่างเช่น การผลิตสินค้าชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบเล็กๆ จำนวน 10 ชิ้น แต่เดิมก็มักใช้คน10 คน ผลิต โดยให้แต่ละคนผลิตส่วนประกอบชิ้นเล็กๆ เหล่านี้ พอผลิตเสร็จก็จะเอามากองรวมไว้ในที่ใดที่หนึ่ง แล้วให้นายคนที่ 11 ไปนำเอาส่วนประกอบเหล่านี้มาประกอบเป็นสินค้าชิ้นใหม่พร้อมใช้ขึ้นมา เพื่อรอการจัดจำหน่าย

แต่นายฟอร์ดบอกว่า เอ๊ะ อย่างนี้มันถ้าจะช้าเขาก็เลยสั่งให้คนที่ผลิตสินค้าทั้ง 10 ชิ้นนี้มานั่งเรียงแถวกัน แล้วผลิตเหมือนเดิม แต่นายฟอร์ดไม่ให้คนที่ 11 เอาชิ้นส่วนเหล่านี้ไปประกอบแล้ว นายฟอร์ดจะทำเอง

ว่าแล้วนายฟอร์ดก็เข็นรถเข็นเข้ารับของจากคนที่ 1 รับเสร็จแล้วก็เข็นต่อไปให้นายคนที่ 2 ใส่ส่วนประกอบชิ้นที่ 2 แล้วเข็นต่อให้นายคนที่ 3 ใส่ส่วนประกอบชิ้นที่ 3 ไปเรื่อยๆ จนครบ 10 ชิ้น

วิธีการประกอบแบบใหม่นี้มันก็ได้สินค้าชิ้นใหม่พร้อมจัดจำหน่ายเหมือนเดิม แต่จะทำให้การผลิตสินค้าเร็วขึ้น หรือพูดง่ายๆ ว่า ในสินค้าแต่ละชิ้นใช้เวลาการผลิตลดลง เพราะแต่ละคนจะต้องรีบผลิต จะทำแบบโอ้ละเหยลอยชายไม่ได้แล้ว มันมีรถเข็นมารออยู่ตรงหน้า

วิธีคิด แล้วก็วิธีทำแบบแปลกประหลาดของนายฟอร์ดในยุคนั้น ก็เลยกลายมาเป็นต้นแบบของระบบสายพานการผลิต ที่ทำให้มีการผลิตสินค้ากันได้เพิ่มมากขึ้นไปอีก สมมติสินค้าชนิดนี้เป็นรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ดก็ได้ นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะเนียะ แต่มันก็มีอยู่ในตำราการบริหารจัดการจริงๆ

รถยนต์ฟอร์ดของนายฟอร์ดก็เลยผลิตได้รวดเร็วแล้วก็ได้ปริมาณมากกว่าชาวบ้านเค้า แล้วต้นทุนการผลิตมันก็น้อยกว่าชาวบ้านอีก เมื่อต้นทุนการผลิตน้อยราคามันก็ถูกกว่าชาวบ้าน ดังนั้น เค้าก็เลยยิ่งผลิตกันเป็นการใหญ่

เมื่อมีการผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้ตลาดในท้องถิ่นรองรับสินค้าไม่หมด ผู้ผลิตจึงจำเป็นต้องออกขายต่างท้องถิ่นไปเรื่อยๆ

การขายก็จำเป็นจะต้องมีคนออกไปขาย เพราะในสมัยนั้นเขายังไม่มีการซื้อขายกันทางอินเตอร์เน็ต แบบในเวปของอเมซอน (http://www.amazon.com) อีเบย์ (http://www.ebay.com) หรือ เฟสบุ๊ค (http://www.facebook.com) อย่างในยุค ไอที เช่นปัจจุบัน

เมื่อมีคนไปขาย คนที่ไปขายก็เห็นโลกกว้างขึ้น

ความจริงแล้วในโลกกว้างที่เราเห็นมา มันก็มีทั้งส่วนที่ดีของเขา แล้วก็ส่วนที่ไม่ดีของเขา เราไปเห็นแว๊ปๆ ไม่ได้ไปคลุกคลีกับเขา เราจึงอาจเห็นแต่ส่วนดีของเขามาเป็นส่วนใหญ่ เพราะส่วนที่ไม่ดีของเขา เขาก็ต้องพยายามปกปิดเอาไว้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคน

แต่ที่สำคัญนี่เป็นเรื่องของเรา บางครั้งเราไปเห็นสิ่งที่ดีของเขาแล้วไม่ได้มองสิ่งที่เราเห็นอย่างมีปัญญา กลับนำเอามาเปรียบเทียบกับท่ารำตำข้าวของเรา ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ต้องมีจุดที่ไม่ดีอยู่บ้าง แล้วบอกแม่ว่า แม่ตกยุคไปแล้ว แม่รู้จักแต่ท่ารำตำข้าว เดี๋ยวนี้เขามีท่าเต้นที่ทันสมัยกว่านั้น เขาเรียกว่าท่ารำสีข้าว

คำว่าตกยุคที่แม่บอกยายไปนั้น จึงหมายถึงยายตกยุคอุตสาหกรรม เพราะท่ารำตำข้าวนี้เป็นยุคเกษตร เลียนแบบท่าของตักแตนตำข้าวผสมผสานไปกับท่าที่เราเหยียบกระเดื่องครกเพื่อตำข้าวไว้กิน หลังจากการเก็บเกี่ยว

ตอนนี้เป็นยุคอุตสาหกรรมไม่ต้องตำข้าวกินแล้ว เอาไปส่งโรงสีสีเป็นข้าวสารกินแทน ดังนั้นท่ารำตำข้าวจึงไม่จำเป็น ควรเต้นท่ารำสีข้าวจะดีกว่า แม่ว่ายายไปแบบนั้น

เรียกว่าเป็นกงกำกงเกวียน ว่ากันไปว่ากันมาเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคน ที่เราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

แต่ศศิวรุณไม่เหมือนคนปกติธรรมดา

เธอเป็นคนในลักษณะที่ 2 คือไม่เถียงแม่ เธอเชื่อและปฏิบัติตามแต่โดยดี แต่เธอก็รู้ว่าคนที่ไม่เถียงแต่เชื่อและปฏิบัติตามคำสั่งนั้นมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย

ข้อดีก็คือถ้าคำสั่งนั้นถูกต้อง ก็ปฏิบัติได้ถูกต้องให้ผลดีตามมา

แต่ถ้าเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องมักให้ผลเสีย หรืออย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่สามารถเปล่งประกายความสามารถได้เต็มที่ตามศักยภาพของตนที่มีอยู่

แล้วส่วนใหญ่ก็จะเป็นเช่นนั้น เพราะความคิดของคนตกยุค ถ้าคิดในยุคนี้ มันมักนำพาอนาคตของเยาวชนในครัวเรือน หรือเยาวชนของชาติดิ่งเหวลงนรกมานักต่อนักแล้ว

แล้วศศิวรุณมีความมั่นใจอะไรบางอย่างหรือ เธอจึงไม่เถียงแม่ อย่างเช่นในกรณีให้เธอไปอยู่หอทั้งๆ ที่เธอไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ใช่แล้ว เธอมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้

เธอมั่นใจว่าเธอสามารถทำสิ่งที่ยากให้เป็นสิ่งที่ง่ายได้ ถ้าสิ่งๆ นั้นผ่านเข้ามาในมือเธอ

ในสมองของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมเธอจึงมั่นใจมากมายได้ถึงขนาดนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 19:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระบวนทัศน์แบบของศศิวรุณ

“เอ๊ะ เช้านี้เรามีเรียนอะไรหว่า..”

ศศิวรุณนอนนึกอยู่บนเตียงหลังจากตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันอังคาร เมื่อคืนวันจันทร์นอนดึกไปนิด เพราะดูตำราวิชาที่เพิ่งเริ่มเรียนใหม่เพลินไปหน่อย เช้าตื่นขึ้นมาเลยรู้สึกหนักหัว งัวเงีย อยากนอนต่อ ขี้เกียจลุก

แล้วเธอก็นึกออก

“อ๋อ จุลชีววิทยา”

วันนี้เป็นชั่วโมงแรกของวิชานี้ เธอเพิ่งนึกออกว่าได้ลงทะเบียนไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ว่าแล้วเธอก็จัดการอาบน้ำแต่งตัว คว้าสมุดจดคำบรรยาย แล้วเดินตัวปลิวออกจากหอไป

“แล้วอาจารย์จะสอนเรื่องอะไรเนียะ”

เธอคิดในเรื่องเนื้อหาของวิชานี้ คิดเท่าไรๆ ก็คิดไม่ออก เดินคิดเรื่อยไปจนถึงห้องบรรยาย ก็เลยนั่งลงไปที่เก้าอี้ของผู้รับฟังคำบรรยาย แล้วคิดต่อ แต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี

สิ่งที่ศศิวรุณนึกว่าวันนี้เรียนอะไร เป็นเรื่องของอดีต เพราะเธอนึกในสิ่งที่เธอเคยทำมาแล้ว คือเคยลงทะเบียนเรียนไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน เพราะฉะนั้นคำว่านึกในที่นี้ จึงเป็นเรื่องของการระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

สิ่งที่ศศิวรุณคิดว่าอาจารย์จะสอนอะไร เป็นเรื่องของอนาคต เพราะเธอยังไม่เคยเจออาจารย์ หรือรับแจกหัวข้อบรรยายเลย เพราะฉะนั้นการคิด จึงเป็นเรื่องของการคิดคาดคะเนถึงเหตุการณ์ในอนาคต

ผลจากการระลึก นึก คิด ก็คือการทำหรือการกระทำหรือการปฏิบัติ นั่นคือขณะนี้ ศศิวรุณเข้าไปนั่งรอฟังคำบรรยายในห้องบรรยายเรียบร้อยแล้ว ตามอดีตที่ระลึกนึกออกว่าเคยลงทะเบียนไว้ และกำลังนึกคิดถึงอนาคตเพื่อจะได้ทราบว่าอาจารย์จะสอนเรื่องอะไร

กระบวนการระลึก นึก คิด ทำนี้ คนส่วนใหญ่เขาจะเรียกกันว่า Paradigm ตามคำอ้างของนายคูนห์ และคำว่า Paradigm นี้ ในภาษาไทยใช้คำแทนว่า กระบวนทัศน์

นายคูนห์ (Thomas Samuel Kuhn) เป็นนักประวัติศาสตร์และนักปรัชญาผู้มี ชื่อเสียงชาวอเมริกา เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม แต่เล่มที่ทรงอิทธิพลต่อแนวความคิดของคนทั้งโลกนั้นเขาเขียนไว้เมื่อปี ค.ศ. 1962 มีชื่อว่า The Structure of Scientific Revolutions ใครที่เคยเรียนเคยศึกษาในด้านนี้แล้วไม่รู้จักนายคูนห์ และหนังสือเล่มนี้แล้วละก็ ตั้งฉายาให้เลยว่า คุณเชยแหลก

จะไม่เชยได้ไง ก็ขนาดนายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หนึ่งในผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊กที่เราเล่นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น ตอนปี ค.ศ. 2008 ขณะมีอายุได้ 32 ปี เขาถูกบันทึกไว้ว่าเป็นมหาเศรษฐีที่มีอายุน้อยที่สุดของโลก แล้วก็ข้อมูลหลังสุดในขณะนี้เขามีรายได้ถึง 55.9 พันล้าน USD แล้ว (ค.ศ. 2017) เขาก็ยังบอกว่าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยเหมือนกัน

นายคูนห์ ได้ให้ความหมายของคำว่า Paradigm ไว้เป็นสิบความหมาย เรียกว่าเลียบค่ายไปตามบริบทต่างๆ ไปเรื่อยๆ ดังนั้น เราจึงสามารถดัดแปลงเหตุการณ์ต่างๆ ให้เข้ากับคำว่า Paradigm ของเขาไปได้เรื่อยๆ อีกเหมือนกัน

แล้วคำว่า Paradigm คืออะไร หรือมีความหมายอย่างไรกันเล่า เพราะมันมีเป็นสิบๆ คำจำกัดความ

เราจะมาลองดูสักบริบทหนึ่งก็แล้วกัน คำจำกัดความของ Paradigm ในที่นี้อาจจะสื่อออกมาในรูปของตัวอย่าง

ตัวอย่างเช่น คนที่มี Paradigm ว่าโลกแบน เขาจะไม่คิดเดินเรือรอบโลก เพราะเขากลัวว่าจะตกขอบโลกไป

แต่ถ้าเมื่อไรที่ Paradigm เขาเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง (Paradigm shifts) คือเขาคิดว่าโลกกลม เขาก็จะวางแผนเดินเรือรอบโลก เพราะเขาคิดว่าอย่างไรเสีย มันก็จะต้องวกกลับมาที่เดิมจนได้

แต่ก่อนที่เขาจะเชื่อว่าโลกกลม หรือโลกแบน แล้วคิดตัดสินใจว่าจะเดินเรือรอบโลกหรือไม่นั้น เขาก็ต้องระลึกนึกถึงเรื่องราวในอดีต ว่าคนในกลุ่มโน้น เขาเคยพูดเรื่องโลกกลมโลกแบนในกรอบของเขาว่าอย่างไร คนในกลุ่มนี้ เขาเคยพูดเรื่องโลกกลมโลกแบนในกรอบของเขาอย่างไร แล้วก็รวบรวมหลายๆ กรอบ หลายๆ กลุ่ม นำมาประมวลเป็นกรอบกลุ่มของตนเอง แล้วก็ตัดสินใจว่าจะเดินเรือรอบโลกหรือไม่

เราอาจจะกล่าวได้ว่า สิ่งที่เราเรียกว่า Paradigm นั้น เป็นสิ่งที่เรา คิด นึก ทึกทักขึ้นมาเองก็ได้ (Paradigm = A Framework containing the Basic Assumptions)

แต่สิ่งที่เราคิดนึกทึกทักขึ้นมาเองนั้นจะถูกต้องหรือไม่ ก็อาจจะต้องอ้างอิงกับเหตุการณ์ต่างๆ หลายเหตุการณ์ อย่างเช่นเพศ สิ่งแวดล้อม การปลูกฝัง ระยะเวลา ความสามารถในการประมวลเรื่องราวในกรอบในกลุ่มต่างๆ ของเรา ความสามารถในการวิเคราะห์ของเรา แล้วอีกอย่างก็ต้องดูเป็นกรณีๆ ไป แต่อย่างน้อยๆ มันก็จะถูกในบริบทนั้น ในช่วงเวลานั้น ที่เราคิดนึกทึกทักขึ้นมาเอง นั่นแหละ

ในกรณีของศศิวรุณ ที่มีพฤติกรรมแสดงออกในลักษณะยอมตามคำแนะนำของ หม่าม้าที่ให้มาอยู่หอ ก็เพราะศศิวรุณ คิดนึกทึกทักขึ้นมาเองว่า เชื่อหม่าม้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จึงเดินตามทางที่หม่าม้าชี้ไว้ เพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็เชื่อฟังหม่าม้ากันทั้งนั้น

แล้ว Paradigm ที่เชื่อว่าหม่าม้าเป็นสิ่งถูกต้องของศศิวรุณ จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่

ประเด็นนี้ เป็นประเด็นที่เราจะต้องจับตามองกันต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 20:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝันสลายของศศิวรุณ

อันที่จริงแล้ว ศศิวรุณไม่ได้ตั้งใจที่จะเรียนในสาขาวิชานี้เลย แต่จับพลัดจับพลูสอบเข้ามาได้ เธอจึงเรียนต่อมาเรื่อยๆ

ในอดีตเธอเคยมีความคิดใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักออกแบบ หรือดีไซเนอร์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

ตอนช่วงเวลาที่ยังเป็นเด็ก เธอมีความรู้สึกว่า เมื่อไรที่เกิดความเครียดคิดอะไรไม่ออก เช่นทำการบ้านไม่ได้แล้วละก็ เปลี่ยนมาวาดรูปดู จินตนาการไปเรื่อยกับรูปภาพที่วาดไว้ สักพักเธอก็จะมีความสุข แล้วพอกลับมาทำการบ้านต่อ บางครั้งก็ทำการบ้านได้ อย่างนี้ก็มี

พอโตขึ้น ก็ใช้โปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์วาดรูป ออกแบบ ดัดแปลง สร้างสรรค์สิ่งที่มันธรรมดาๆ ให้มันสวยงามไปตามจินตนาการในขณะนั้น รู้สึกว่าทำแล้วมีความสุขสรรหรรษาดี

ความจริง การออกแบบก็มีหลายชนิด เช่น การออกแบบพวกอัญมณีเครื่องประดับทั้งหลาย ออกแบบกราฟิก ออกแบบตบแต่งภายในบ้าน แต่สำหรับศศิวรุณแล้ว เธอกลับชอบออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือสิ่งที่เรียกกันว่าเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์

แล้วเธอก็ฝันไปตามแบบของเธอต่อว่า ถ้าเราจบมาแล้วเราก็จะไปสมัครงานตามบริษัทต่างๆ สักพัก ไปเป็นลูกจ้างเขา ให้เขาใช้ เขาใช้อะไรมาเราทำหมด เผลอๆ ไม่ใช้ก็ยังอยากจะทำเพื่อหาประสบการณ์ แล้วเราก็เรียนรู้ระบบงานของเขาไป อยู่ทำงานปีสองปีก็ลาออก แล้วไปสมัครบริษัทอื่นต่อ หาประสบการณ์และรู้ระบบของบริษัทอื่นต่ออีกซักปีสองปี คราวนี้พอแล้ว ชีวิตลูกน้องเค้า

เคยอ่านหนังสือเจอว่ามันมีอิสรภาพไม่มากนัก ต้องฟังคำสั่งหัวหน้าตลอด เจอหัวหน้าดีเราก็ดี เจอหัวหน้าไม่ดีเราก็แย่ตามบังเหียนไม่ดีที่จูงเรา ว่างั้นเหอะ

แต่เราจะไม่แย่ เพราะเราทำงานแบบเข้าไปศึกษางานในด้านต่างๆ เช่น เก็บข้อมูลว่าหัวหน้าดีเป็นอย่างไร หัวหน้าไม่ดีเป็นอย่างไร ระบบการบริหารของเค้าเป็นอย่างไร แล้วเราก็ทำงานให้เค้าเต็มที่ ทั้งกับหัวหน้าดีแล้วก็หัวหน้าไม่ดีนั่นแหละ

พอเราทำงานเต็มที่ เพราะเราเป็นลูกน้องเค้าแบบอยากจะเป็นลูกน้อง ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อหาประสบการณ์ เราก็รู้ทางหนีทีไล่ของระบบงานของพวกดีไซเน่อร์ดี คราวนี้แหละ สบายเรา

เราก็จะไปหางานทำแบบฟรีแลนซ์ ที่เป็นงานอิสระ ไม่ต้องขึ้นกับใคร เพราะไปรับงานลูกค้ามาเป็นชิ้นๆ เสร็จเป็นเสร็จ ไม่ต้องฟังคำสั่งของหัวหน้าตลอด

งานออกแบบนี่มันไม่ใช่จะคิดกันออกตอนชั่วโมงทำงานหรือตามเวลาราชการซะเมื่อไร คือไม่ว่าหัวหน้าจะบังคับให้รีบๆ คิดให้ออกซิ คิดให้ออกเร็วๆ แต่เรากลับคิดเท่าไรๆ มันก็คิดไม่ออก แต่บางครั้งพอกลับถึงบ้านไปแล้ว ความคิดมันแว๊ปขึ้นมาซะเฉยๆ อย่างนั้นแหละ

เรียกว่างานแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สถานที่ ไม่ต้องใช้ออฟฟิศ เพราะมันไม่ใช่งานประจำ ที่ต้องไปนั่งจำเจอยู่กับที่ เพื่อทำงานนั้นๆ ให้สำเร็จ

พอเราทำงานเป็นฟรีแลนซ์ได้สักพัก เราก็ชักจะปีกกล้าขาแข็งแล้ว เพราะเราตัดสินใจเองไม่ต้องฟังคำสั่งหัวหน้าในทุกขั้นทุกตอน

ความจริงการฟังคำสั่งนี่มันก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่งานดีไซเนอร์มันเป็นเรื่องของนามธรรมเกี่ยวกับความสวยงาม คือบางทีหัวหน้าบอกสวยดี ลูกค้ากลับบอกว่าไม่สวย

แต่ถ้าเราตัดสินใจเอง เราก็เอาไปให้ลูกค้าดูเลย ลูกค้าคือพระเจ้า ให้ลูกค้าเค้าเป็นคนสอนเรา ลูกค้าจะสอนเราเองว่าแบบโน๊นแบบนี้มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร สวยหรือไม่สวยอย่างไร พอลูกค้าบอกว่าสวยดีแล้วก็จบ เพราะปลายทางของเราก็คือลูกค้า

พอเรามีลูกค้ามากๆ ขึ้น เราก็ได้เงินมากขึ้น คราวนี้เราก็จะเปิดร้านของเราเองเลย เรียกว่ามีธุรกิจส่วนตัวเป็นของตนเอง

ส่วนว่าธุรกิจของเรามันจะใหญ่หรือเล็ก ก็ยังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าถ้าเราขยันขันแข็ง แล้วก็อดทน สักวันหนึ่งมันก็คงประสบความสำเร็จ

โดยหลักแล้วในการทำงานทุกชนิด ถ้าเราชอบมัน กับมีเวลาให้มัน เราก็จะประสบความสำเร็จในงานชนิดนั้นๆ ได้

เพราะว่าในการทำงานทุกชนิดย่อมมีปัญหา แต่ถ้าเราชอบมัน เราก็ไม่ท้อกับมัน แม้มีปัญหาอย่างไร เราก็ชอบที่จะแก้ปัญหา ไม่ยอมราข้อกับมัน มันก็ต้องสำเร็จสักครั้งจนได้

ในการแก้ไขปัญหา บางครั้งมันก็ต้องแก้หลายครั้ง ดังนั้นเราก็ต้องมีเวลาให้มันด้วย ทำซ้ำทำซากอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวมันก็ได้เอง

เรียกว่าพอเรามีธุรกิจส่วนตัวก็น่าพอใจที่สุดแล้ว เพราะนั่นหมายถึงว่าเราเป็นนายตัวเอง แม้จะต้องรับผิดชอบ และทำงานหนักกว่าเป็นการลูกจ้างเค้า แต่ก็สบายใจมากกว่า

ยิ่งเห็นผลงานที่เราทำประสบความสำเร็จ มันก็หายเหนื่อย

แต่ถ้าเป็นลูกน้องเขา พอเราทำงานเสร็จแต่ละชิ้น ก็จะมีคนมาแย่งผลงานของเราไปอยู่เรื่อย

คือมันก็เป็นกันทุกชาติทุกภาษา มันเป็นธรรมชาติของคน ที่สหรัฐอเมริกาเขาเคยมีการสำรวจแล้วระบุว่า ลูกจ้างและพนักงานเอกชนทั่วสหรัฐมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน ส่วนที่เหลือร้อยละ 90 ขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน เพราะผลงานไม่ใช่ของเรา เราก็ทำไปเรื่อยๆ

นี่ขนาดอเมริกาที่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แล้วคนของเขาก็มีความรับผิดชอบในการทำงานมากกว่าเรา เพราะประชาชนของเขา ร่วมมือร่วมใจกันพัฒนา จนทำให้ประเทศเขาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วนะ ตัวเลขยังเป็นขนาดนี้ ถ้าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาแบบเรา ตัวเลขคนที่มุ่งมั่นในการทำงานคงน้อยกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย

สถิติที่เห็นยืนยันได้ว่า ถ้าเราเป็นลูกน้องเขา เราคงใช้ประสิทธิภาพในตัวของเราได้ไม่เต็มที่แน่ ดังนั้นการเป็นลูกน้องเขาเราคงไม่เลือกแน่ เราจะต้องเป็นดีไซเนอร์ที่มีกิจการเป็นของตนเองให้ได้

ศศิวรุณวาดฝันไว้อย่างมุ่งมั่น

แต่อนิจจา ความฝันที่เราต้องการกับความเป็นจริง มันมักตรงกันข้ามเสมอ

พ่อต้องการให้ศศิวรุณเรียนหมอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 20:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศศิวรุณอยากช่วยพ่อ

เป็นหมอก็เท่ดีนะลูก

พ่อพยายามโน้มน้าว

จบแล้วไม่ตกงาน งานที่ทำก็เป็นงานที่มีรายได้สูง มีเกียรติ มีคนนับหน้าถือตา ไปไหนๆ ก็มีคนเคารพเกรงใจ คนเก่งๆ เค้าเรียนหมอกันทั้งนั้นแหละลูก พ่อจะดีใจมากเลยถ้าลูกได้เป็นหมอ

อย่าว่าแต่เป็นหมอเลย แค่คิดสอบเข้าเรียนหมอ ศศิวรุณก็ไม่อยากคิดแล้ว ไม่ชอบ

เริ่มไม่ชอบที่การผ่าตัดก่อนเลย รุ่นพี่เล่าว่าตอนเรียนวิชา Lab Gross [Gross Anatomy Laboratory (ปฏิบัติการมหกายวิภาคศาสตร์)] ที่ต้องผ่าร่างอาจารย์ใหญ่ด้วยแล้ว มันเสียว

แม้รู้ว่าจะต้องทำได้ เพราะเห็นเพื่อนๆ ยังทำได้ แต่มันก็คงทำได้อย่างไม่สนุกนัก เพราะไม่ชอบเรื่องเกี่ยวกับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือถูกดองไปแล้วตั้งแต่จำความได้ แต่รู้สึกชอบแฟชั่นสวยๆ งามๆ มากกว่า

สถานที่เรียนหมอนี่มันเป็นที่ชุมนุมของคนเรียนเก่งๆ จึงต้องเรียนหนัก แล้วมันก็เกี่ยวกับชีวิตของคน ที่เขามอบความไว้วางใจในชีวิตของเขา มาให้เราช่วยดูแลรักษาอีกด้วย

ดังนั้น แม้เราจะเคยเรียนได้คะแนนดีๆ ตอนเรียนมัธยมปลายก็ใช่ว่าเราจะได้คะแนนดีๆ ตอนเรียนหมอ แล้วถ้าเราเรียนได้คะแนนไม่ดีอยู่หางแถว ก็แน่ใจได้เลยว่าเราจะเกิดทุกข์

เรื่องเท่ห์ที่พ่อว่ามานี้ คนอื่นที่ไม่ได้เรียนก็คิดว่าเท่ห์ แต่เราคงไม่เท่ห์ในกลุ่มเพื่อนพ้องร่วมห้องของเรา ที่เขาเรียนได้คะแนนดีๆ เป็นแน่แท้

นึกดูแล้วเราไม่น่าจะชอบรักษาคนโน๊นคนนี้เลย มีแต่คนไม่สบายมาหาเรา แล้วเราก็ไม่รู้จะห่อเหี่ยวตามไปด้วยหรือเปล่าก็ยังเดาไม่ออก เพราะยังไม่ได้ผ่านการเรียนทางคลินิกตอนฝึกดูแลคนไข้

สมมติเราผ่านหมด เวลาเราทำงานเราก็คิดว่าเราไม่น่าจะมีความสุขนะ

ศศิวรุณก็คิดไปเรื่อย ตามแบบฉบับของคนช่างคิด

เคยไปในโรงพยาบาลบางที่ เห็นคนไข้นอกมารอเป็นร้อยๆ มีหมออยู่ไม่กี่คน ก็เลยตรวจกันไม่กี่นาที คนไข้บางคนก็รับได้ เห็นใจหมอ แต่คนไข้บางคนก็บ่นว่าหมออะไรหว่า ตรวจแป๊บเดียว คนไข้เสียเวลาเดินทางมาตั้งไกล หมอถามสองสามคำ ไล่ให้ไปรอรับยาแล้ว กลับบ้านก็ไม่รู้จะหายหรือเปล่า

แล้วถ้าเราเป็นหมอ บางกรณีที่ต้องตรวจนาน ก็คงถูกคนที่รอข้างนอกต่อว่าเอาอีกเหมือนกันว่าหมออะไรตรวจนานเหลือเกิน รอตั้งนานแล้วเนี่ยะ บริหารจัดการกันอย่างไร เรียกว่าหมอนี่ถูกด่าทั้งขึ้นทั้งล่อง

ก็วันๆ หมอตรวจกันเป็นสิบเป็นร้อยทั้งคนไข้ในคนไข้นอก แถมต้องอยู่เวรอีกต่างหาก งานเยอะ มันก็ต้องมีคนด่ามั่งแน่นอน ที่พ่อบอกว่าคนเกรงใจก็ไม่ใช่แล้ว เพราะบางคนด่าหมอเอาเลย สถานะของหมอชักจะไม่ใช่พระเอกนางเอกอีกต่อไป

แล้วปัจจุบันนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ วัฒนธรรมอะไรก็ไม่รู้ คนไข้ฟ้องเรียกค่าเสียหายหมอได้ หมอรักษาไปก็กังวลกับคดีความไป เรียกว่าขาข้างหนึ่งเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว คือลอกของฝรั่งเขามาไม่หมด เพราะบางเรื่องที่เราเห็นเค้าฟ้องๆ กันนั้น หมอเขาอาจจะทำงานน้อยชั่วโมง แล้วคนไข้เขาต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลแพง อย่างนี้ก็สมควร แต่บางทีเรารักษาฟรี แต่ก็จะฟ้อง เป็นงั้นไป เค้าพูดถึงแต่การคุ้มครองสิทธิของคนไข้ แต่ไม่ค่อยพูดถึงการคุ้มครองสิทธิของหมอเท่าไรนัก บางทีหมอก็เลยตัดปัญหา ส่งต่อโรงพยาบาลศูนย์ซะเลย ปลอดภัยดี

ดูท่าแล้วเราไม่เรียนดีกว่าขืนเรียนจบออกมากลายเป็นหมอแบบแพทย์พาณิชย์แน่ๆ

คือมันเหนื่อย แล้วก็ไม่ได้มีความสุขใจไปกับการเป็นหมอเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เลย จึงต้องเอาเงินมาเป็นเครื่องล่อใจเราให้มีความสุขไปวันๆ กับวัตถุ หมดอุดมคติในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยแล้ว เพราะหมอป่วยซะเอง

เราคงไปทำให้จรรยาบรรณแพทย์แบบหมอดีๆ มีคุณภาพที่เขาปฏิบัติกัน เบี่ยงเบนไปหมด

ถ้าเราทำแบบนี้แทนที่จะเป็นอาชีพที่มีเกียรติตามแบบที่พ่อบอก มันจะกลายเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจเสียมากกว่า

ถ้าเราอยากจะได้เงินแยะนี่เป็นดีไซเนอร์ดีกว่า มันพอใจด้วยกันทั้งผู้ให้และผู้รับ เพราะลูกค้าเห็นสิ่งที่เราดีไซน์ให้สวย เค้าก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วให้เงินเรามาด้วยความพึงพอใจ ศศิวรุณก็ฝันไปเรื่อยๆ

แต่อนิจจา สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มันเป็นไปตามกฎของตถตา ที่แปลว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง

สิ่งที่เราหวังต้องการจะทำ กับสิ่งที่เราจะต้องทำมันมักจะเดินตรงกันข้ามเสมอ

ศศิวรุณก็เช่นกัน

แม้เธอไม่ต้องการที่จะเรียนหมอ แต่เธอก็ต้องไปสอบเอนทรานซ์เข้าหมอ ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อต้องการช่วยลดปมด้อยของพ่อ ตามกำลังความสามารถของตนเอง

อดีตที่ฝังใจเธอมาตั้งแต่ช่วงวัยเด็กสมัยเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น มันเป็นสิ่งที่ชักนำเธอให้ต้องตัดสินใจดำเนินชีวิตในลักษณะเช่นนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อำนาจผู้โหยหาอำนาจ

ปรี๊น ปรี๊น

เสียงแตรรถยนต์ดังลั่นมาตั้งแต่ต้นซอย พ่อกลับมาแล้ว

พ่อมักจะบีบแตรส่งเสียงดัง เรียกร้องความสนใจจากคนในบ้านก่อนถึงประตูบ้านเสมอ

ในโลกของคนที่เปี่ยมล้นไปด้วยอัตตา (Ego) การส่งสัญญาณล่วงหน้ามาก่อนหน้าว่าข้ามาแล้ว เพื่อให้ได้รับการต้อนรับจากคนในบ้านนั้น มักเป็นเรื่องปกติธรรมดา

แต่สำหรับเพื่อนบ้านผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยย่อมไม่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ถ้าใครมีคนประเภทนี้เป็นเพื่อนบ้าน ก็เรียกได้ว่าถึงคราวเคราะห์ เพราะมันหนวกหู เราอาจจะต้องไปรดน้ำมนต์เจ็ดวัดเจ็ดวาเอาเลยทีเดียวที่เลือกบ้านผิด บรรยากาศแถวนี้มันไม่น่าอยู่เอาซะเลยจริงๆ

ศศิวรุณดูจะไม่ค่อยชอบพฤติกรรมของพ่อมากเท่าไรนัก เคยไปเล่าให้เพื่อนฟังตอนอยู่มัธยมศึกษาตอนต้นเหมือนกัน ทั้งเรื่องที่พ่อชอบทำความรำคาญให้กับคนข้างบ้านเรื่องแตรรถยนต์และคนในบ้านเรื่องขี้บ่น

เบื่อ เบื่อ เบื่อ พ่อเราชอบมาหาเรื่องบ่นเราน่ะ บ่นนู่น บ่นนี่ สรุปคือว่าจะให้เราผิดให้ได้

เข้ามาถึงบ้านก็บ่นแล้ว เนี่ยะ รองเท้าของใคร วางเกะกะ ไม่รู้จักเก็บเอาไปวางไว้ให้เป็นที่เป็นทาง

คือพอลงจากรถจะเข้าบ้านเห็นรองเท้าก่อน ก็เลยบ่นก่อนเลย

อ้าว ก็รองเท้ามันก็วางอยู่หน้าบ้านตามปกติน่ะ จะให้วางที่ไหน เคยเอามาวางไว้ในบ้าน ก็บ่นอีกเหมือนกัน ว่าทำไมไม่วางไว้ให้เรียบร้อย

เข้ามาในบ้านเห็นเรานั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ ก็บ่นอีกแหละ อยู่บ้านทำไมไม่เช็ดกวาดถูบ้าง มัวแต่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่นั่นแหละ

แล้วการบ้านที่ครูให้มา ทำไมไม่รู้จักไปทำให้มันเสร็จๆ

อยากจะตอบอยู่เหมือนกันว่า ก็กำลังทำอยู่นี่ไง แต่ไม่อยากพูด เพราะพอพูดไปแล้วเดี๋ยวเรื่องยาว สาวไปสาวมาก็ไปหาเรื่องอื่นมาด่าเราอีกจนได้แหละ เบื่อ

อยากจะบอกว่า การบ้านเดี๋ยวนี้ครูเค้าให้ค้นหาโน่น ค้นหานี่ไปเรื่อย เราก็ต้องมาเปิดเนตดูโหลดโน่นโหลดนี่ เพื่อทำรายงาน พอทำเสร็จแล้ว เราก็พิมพ์แล้วก็พริ้นส่งครู ไม่ต้องไปจ้างร้านเค้าพิมพ์แล้วก็พริ้น ให้เสียตังพ่อมากไง

พ่อก็น่าจะพอใจนะ กลับมาบ่นเราอีก การบ้านสมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยพ่อ ที่ต้องเขียนใส่กระดาษส่งอย่างเดียว สมัยนี้มันต้องทำอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นี่แหละ ยังไม่ทันดูอะไรเลย บ่นแล้ว

แล้วเรื่องกวาดบ้านเนี่ย จะให้กวาดทั้งวันเลยหรือไง เราก็กวาดบ่อยนะ เล่นมาถึงบ้านก็รีบเดินไปส่องหาฝุ่นตามโต๊ะเลย มันก็เจอบ้างน่ะซิ พ่อนี่ถ้าจะเป็นโรคประสาทแน่เลย

วันก่อนก็ว่าเรา ก่อนหน้านี้เราก็มีสิวขึ้นนะ เราก็ไปซื้อครีมมาใส่หน้าเรา มันก็ขาวและสวยขึ้น

แล้วพ่อก็มาว่าเราว่า จะใช้อะไรกันนักกันหนา หน้ามันขาวไม่เป็นธรรมชาติ ขาวเว่อร์ ขาวเกิน

เราก็เลยไม่ใช้ แล้วพอเราไม่ใช้  สิวเราก็ขึ้น มันก็เป็นจุดดำด่างเต็มไปหมด

อ้าว ก็มาว่าเราให้อีกว่า สิวขึ้น ทำไมไม่รู้จักรักษา

แล้วเราจะทำไงดี ไปเปลี่ยนหน้าใหม่เลยดีไหมเนียะ เครียด...

พอเพื่อนได้ฟังปัญหาของศศิวรุณแล้ว ก็เลยวิเคราะห์พ่อให้ศศิวรุณฟังเพียงสองสามคำ

แต่สองสามคำนี้ มันทำให้ศศิวรุณเปลี่ยนกระบวนการ คิดนึกทึกทักขึ้นมาเอง ว่าพ่อเป็นคน ขี้บ่น เป็นคนน่าเบื่อ เป็นคนเป็นโรคประสาท กลายเป็นว่า พ่อเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะเพื่อนโพล่งออกมาว่า

พ่อของเธอกำลังโหยหาอำนาจ จึงต้องการแสดงอำนาจ

คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานนอกบ้าน ไม่มีอำนาจนอกบ้านส่วนใหญ่มักจะเครียด จึงหาทางที่จะระบายอารมณ์ เพื่อชดเชยสิ่งที่ตนเองขาดหายไป โดยการเข้ามาแสดงอำนาจ สร้างอำนาจ สร้างความวุ่นวายภายในบ้านอยู่เป็นนิตย์

ศศิวรุณได้ยินเข้า ก็ปิ้งขึ้นมาทันทีเลยว่า ใช่แล้ว หนูรู้แล้ว หนูรู้ปมด้อยของพ่อแล้ว พ่อเป็นคนน่าสงสาร

ต่อไปนี้หนูจะให้พ่อมีอำนาจเหนือหนูโดยไม่ต่อต้าน หนูสงสารพ่อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 20:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อำนาจผู้ไร้อำนาจ

“ปีนี้เราจะจัดงานฉลองปีใหม่กันที่ไหนดี เสนอขึ้นมาได้นะครับ”

เสียงหัวหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมกล่าวขึ้นเพื่อซาวเสียงเกี่ยวกับเรื่องการจัดงาน ที่หน่วยงานเคยจัดกันมาเป็นประจำทุกปี

“จัดแล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาครับ”

เสียงของอำนาจขัดทะลุกลางปล้องขึ้นมากลางที่ประชุม ท่ามกลางสายตาที่แสดงความเบื่อหน่ายของผู้เข้าร่วมประชุม

“เฮ่ย! มันเป็นธรรมเนียม แล้วพวกเราก็จะได้พบเจอะเจอสังสรรค์กันด้วย ทำงานหนักกันมาตลอดทั้งปีแล้ว เฮฮากันบ้างก็ท่าจะดี”

เสียงของหัวหน้าชี้แจง

“แต่พวกเราก็เจอะเจอกันทั้งปีอยู่แล้วนี่ครับ”

เสียงอำนาจอีกเช่นเคย

เจอแบบนี้เข้า ผู้คนที่พบเห็นมักเอือมระอา

อำนาจมักมองอะไรที่ชาวบ้านเขาทำกันขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็คิดว่าเขาทำไม่ดี ไม่เข้าท่า ไม่เข้ามาตรฐาน ไปเสียทั้งหมดทุกอย่าง

แล้วที่สำคัญก็คือ เห็นสิ่งใดที่ผู้อื่นทำไปแล้วไม่ตรงกับที่ตนคิดก็จะไม่หุบปาก มักพูดวิจารณ์ไปเรื่อย จึงสร้างปัญหาให้กับผู้บังคับบัญชาและผู้ร่วมงานมาโดยตลอด

เวลาได้รับมอบหมายงานมา อำนาจก็มักโต้เถียงก่อนเสมอ หรือไม่ก็ให้เหตุผลอื่นๆ เข้าโต้แย้ง แถมบางครั้งก็เสนอขึ้นมาว่าทำไมไม่ทำแบบโน้นแบบนี้ ทั้งๆ ที่งานที่ได้รับมอบหมายมานั้นตนเองก็ยังไม่เคยทำ จนทำให้ผู้ใช้งานเกิดความรำคาญ ไม่อยากใช้งาน เพราะเสียทั้งเวลาและอารมณ์

อำนาจเป็นสมาชิกของหน่วยงานที่ผู้คนที่ทำงานในหน่วยงานนี้ ถูกสังคมส่วนหนึ่งตราหน้าว่าเป็นพวกเช้าชามเย็นชามหรือที่สมัยก่อนฝรั่งเรียกระบบของมนุษย์พวกนี้ว่าระบบเรดเทป(Red Tape)

เรียกว่าพองานผ่านมนุษย์ประเภทนี้ไปเมื่อไหร่ ก็นอนรอกันได้เลย เพราะพวกพ่อมหาจำเริญพวกนี้เขาจะเอาริบบิ้นสีแดงผูกงานเก็บไว้บนหิ้งบนชั้น อย่างเรียบร้อย

ในหน่วยงานแห่งนี้ อำนาจมิได้มีตำแหน่งหน้าที่ในการตัดสินใจในระดับสูง แต่ก็เป็นบุคคลที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆ ของหน่วยงานที่คนอื่นๆ เคยทำมาก่อน แล้วตนเห็นว่าไม่ดีเลย

แต่ข้อเสนอของอำนาจที่เสนอขึ้นมาใหม่ๆ ในหลายๆ เรื่อง จะดีหรือไม่ดีก็ยังไม่มีใครทราบได้ เนื่องจากยังมิได้รับการพิสูจน์จากการปฏิบัติ เพราะข้อเสนอในเรื่องต่างๆ ของเขา มักมีความคิดเห็นที่ผิดแปลกแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ ดังเช่นข้อเสนอไม่จัดงานปีใหม่ที่เขาเสนอโพล่งขึ้นมากลางที่ประชุม

ไม่จัดงานปีใหม่ แม้มีหลายคนเห็นชอบด้วยร่วมกับอำนาจ แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วย่อมเป็นไปไม่ได้
ขืนไม่จัด ตัวหัวหน้าเองนั่นแหละจะโดนด่า เพราะคนไทยชอบสนุก เรื่องเฮ แล้วชอบ

แม้แต่คนที่ไม่ชอบเฮ ก็เออ ออ ตามเขาไป เพราะอย่างน้อยๆ วันนั้นทั้งวันก็ไม่ต้องทำงาน ใครมาติดต่องานก็บอกเขาไปว่า วันนี้จัดงานปีใหม่

ดูท่าแล้ว เพื่อนร่วมงานเขาคงจะไม่เห็นด้วยกับอำนาจ ในเรื่องการไม่จัดงานปีใหม่ในครั้งนี้เป็นแน่

สังคมรอบตัวของอำนาจเขาไม่เอากับอำนาจแล้ว เค้าไม่ชอบความคิดของอำนาจ

ไม่ว่าอำนาจจะทำอะไรอย่างไรเพื่อนร่วมงานเค้าก็ไม่ชอบ มันกลายเป็นว่าอำนาจไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสังคมของเขา อำนาจจึงพาลไม่ชอบเพื่อนร่วมงานพวกนี้ตามไปด้วย

อำนาจเดินหัวเสียกลับกลุ่มงานที่ตนเองรับผิดชอบอยู่อย่างหงุดหงิด

กลับมาที่กลุ่มงานที่ตนรับผิดชอบและตนก็มีอำนาจบังคับบัญชาสูงสุด แทนที่ลูกน้องจะชอบจะรัก ก็ไม่ใช่
พอลูกน้องเห็นอำนาจเดินมาแต่ไกลก็กระซิบกันว่า

เสี่ยเล้งมาแล้ว

พลางส่งสัญญาณให้เพื่อนลูกน้องด้วยกันรับทราบ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาขีดโน่นเขียนนี่กันต่อ

ตอนแรกอำนาจชอบมากที่ลูกน้องตั้งฉายาให้ตนว่าเสี่ยเล้ง มันน่าภาคภูมิใจหยอกซะเมื่อไร ที่ลูกน้องมาเรียกเราว่าเสี่ย มันน่าภูมิฐานดี ใครนะที่ตั้งชื่อนี้ให้เรา เผื่อคราวหน้ามีโอกาสจะได้ตอบแทนน้ำใจกันบ้าง

ไม่สืบว่าใครตั้งฉายาให้ก็คงไปกันได้ด้วยดี มีความภาคภูมิใจด้วยกันทั้งคู่ คือมีความภาคภูมิใจทั้งผู้ที่ได้รับฉายาคืออำนาจ และภาคภูมิใจของผู้ที่ตั้งฉายาคือลูกน้อง

ตัวลูกน้องคนตั้งนี่ภาคภูมิใจอยู่แล้ว เพราะกว่าจะคิดฉายาขึ้นมาได้นี่ก็เหนื่อยเหมือนกัน แถมเพื่อนๆ ยังยอมรับฉายาตามที่ตนตั้งให้อีกด้วย มันน่าภาคภูมิใจหยอกซะเมื่อไร ที่เพื่อนฝูงลูกน้องด้วยกันยอมรับความคิดเรา ใครตั้งก็รู้ๆ กันในกลุ่มอยู่แล้ว

แต่ตัวอำนาจไม่รู้จึงพยายามสืบ พอสืบไปสืบมาเมื่อทราบทั้งคนตั้งและความหมายของฉายาแล้ว อำนาจก็โกธรเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะคำว่าเสี่ยเล้งนั้นมันไม่ใช่คำยกย่องในทางที่ดี

แต่มันย่อมาจากคำว่า โล้งเล้ง

เรียกว่าพอเข้ามาถึงห้องทีไร ก็จะระบายอารมณ์ใส่ลูกน้อง เห็นลูกน้องทำอะไรก็ไม่ดีทุกอย่าง ก็เลยส่งเสียงโล้งเล้งโวยวายออกไป ท่ามกลางความอิดหนาระอาใจของลูกน้องตลอดจนผู้พบเห็น

ลูกน้องจึงตั้งฉายาให้ว่า เสี่ยเล้ง

น่าสมเพทเวทนาอำนาจเป็นยิ่งนัก

อำนาจผู้ต้องการอำนาจ จึงพยายามแสดงอำนาจ แต่คนรอบข้างกลับไม่ยอมรับอำนาจนั้น

อนิจจา อำนาจ ผู้ไร้อำนาจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 22:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อำนาจผู้ต่อต้านสังคม

เมื่ออำนาจเป็นคนที่หัวหน้า เพื่อนร่วมงานและลูกน้อง ไม่ยอมรับ เขาก็เลยกลายเป็นคนต่อต้านสังคมขึ้นมาอย่างไม่มีทางเลือกอื่น

พวกนี้เขาไม่ยอมรับเราเพราะเขาไม่ใช่คนดี ไม่เก่ง หัวไม่ก้าวหน้า สู้เราไม่ได้ อำนาจคิดตามแบบฉบับของคนต่อต้านสังคม ที่มีอยู่อย่างดาษดื่นในสังคมปัจจุบัน

เรียกว่าเป็นพวกเห็นองุ่นเปรี้ยว คือทำแบบเขาไม่ได้ก็เลยว่าโน่นว่านี่ ว่าเขาไม่ดีไปเรื่อยๆ ต่อต้านเขาไปเรื่อยๆ ปกปิดปมด้อยของตัวเอง

อันที่จริง อำนาจมีความคิดต่อต้านสังคมมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว

ในช่วงที่เป็นเด็ก เขาคิดว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมกับเขาเอาเสียเลย

พ่อแม่ของอำนาจมีลูก 3 คน อำนาจเป็นลูกคนกลาง เป็นคนวันพุทธหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Wednesday child

ดังนั้น พ่อแม่ญาติพี่น้องจึงทุ่มความรักความสนใจไปให้กับพี่และน้องเป็นส่วนใหญ่

ซึ่งมันก็มีปัญหากันแบบนี้ในทุกชาติทุกภาษา เพราะมันเป็นธรรมชาติของคนที่มีความลำเอียงต่อลูก โดยจะเห่อลูกคนแรก คนที่สองก็เฉยๆ ไม่ตื่นเต้น คนที่สามก็ชื่นชม เพราะจะไม่มีอีกแล้ว

ที่บ้านมีพี่ชายอยู่แล้ว พออำนาจเกิดมาพ่อแม่ท่านก็เฉยๆ เฉยจนเงียบเพราะผิดหวัง เหตุเพราะ พ่อกับแม่อยากได้ลูกผู้หญิงบ้าง

แม้เป็นผู้ชาย แต่พ่อกับแม่ก็เลี้ยงดูตามควรแก่อัตภาพเป็นปกติ เพราะพ่อแม่ก็ต้องรักลูกอยู่แล้วตามธรรมชาติ

เท่าที่อำนาจจำความได้ แม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอำนาจมากเท่าไรนัก เพราะแม่มัวไปให้ความสนใจกับพี่ชายซึ่งอ่อนแอกว่า ขี้โรคมากกว่า และน่าสงสารมากกว่า

ดังนั้น ถ้ามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับพี่ชายขึ้นมาเมื่อไร อำนาจก็คาดเดาเอาไว้ได้เลยว่า แม่จะต้องเข้าข้างพี่ชาย

แม่มักจะพูดเสมอว่า ลูกชื่ออำนาจนะลูก อีกหน่อยเมื่อโตขึ้นลูกก็จะมีอำนาจในโลกกว้างแน่นอน แต่ลูกอย่ามามีอำนาจในบ้าน เก่งแต่ในบ้าน เพราะบ้านเรามีระบบอาวุโสของพ่อแม่พี่น้องอยู่แล้ว

อำนาจฟังแล้วฟังอีก ฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ

ยิ่งไม่เข้าใจเพิ่มมากขึ้นมาอีก เมื่อมีน้องเกิดขึ้นมา

ไม่ว่าจะเล่นอะไรก็ตาม ของเล่นที่ทำขึ้นมาเอง หรือแม่ซื้อให้ หรือเก็บเงินซื้อเอง ต้องโดนเจ้าน้องสาวตัวแสบเอาไปเป็นเจ้าของหมด บางอย่างทำเสร็จเล่นแป๊บเดียว เจ้าน้องสาวก็มายึดไปเป็นเจ้าของแล้ว

พอไปแย่งกลับคืนมา มันก็ร้องไห้เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน พ่อก็ต้องเข้ามาห้ามทัพ

ผลก็คือถูกพ่อตี

ตีไปพ่อก็พูดสอนไปว่า หัดเสียสละเสียบ้างซิ น้องยังเด็ก ให้น้องเล่นก่อน พูดกับน้องดีๆ หัดใช้วิธีเจรจาไว้ ไม่ใช่ใช้แต่กำลังอย่างเดียว เป็นพี่ชายก็ใช่ว่าจะมีอำนาจเหนือน้องไปเสียทั้งหมดทุกอย่างนะ

ตอนนั้นอำนาจก็งงว่า อ้าว แล้วน้องมันทำไมไม่เสียสละให้พี่บ้างหว่า พี่เสียสละให้น้องทุกทีเลย แต่ก็เถียงไม่ออก เพราะยิ่งเถียงก็จะยิ่งโดนตีหนักเข้าไปอีก

มีเหตุการณ์ช่วงหนึ่ง ซึ่งอำนาจจำได้อย่างติดตาตรึงใจนั่นก็คือ พ่อได้ขนมคล้ายๆ โดนัทมาจากต่างประเทศเพราะเพื่อนให้ พ่อก็เลยเอามาฝากทั้งสามคน คนละอัน

อำนาจก็อยากกินมากๆ แต่ก่อนกินก็ขอนั่งมองอย่างชื่นชมก่อนละ แล้วก็จะได้กินให้อร่อยชื่นใจไปเลย

แต่เจ้าน้องสาวตัวแสบรีบกินจนหมด ของมันกินหมดไปแล้วมันยังไม่พอ มันจะมาขอกินอีก พ่อก็เลยบอกว่า แบ่งให้น้องอีกหน่อยนะ

อำนาจยัง งง งง กับเหตุการณ์อยู่เลย อ้าว เผลอแป๊บเดียว มันเอาไปกินหมดเลย

อำนาจโมโหน้องมาก น้อยใจพ่อด้วย พอพ่อเผลอ ก็เลยโดดเตะมันเข้าให้ป๊าบหนึ่ง น้องก็เลยร้องจ๊ากลั่นบ้าน

ผลก็ไม่ต้องคาดเดาอยู่แล้ว พ่อต้องตีแน่นอน แต่คราวนี้พอตีเสร็จ ยังเพิ่มโทษจับไปขังในห้องมืดอีกด้วย คราวนี้เลยกลัวสุดๆ จนแม่ต้องไปแอบเปิดประตูปล่อยออกมาให้

โลกมันไม่ยุติธรรมกับเราเอาเสียเลย อำนาจคิดอย่างที่เด็กขาดความอบอุ่นจากครอบครัวเช่นตนมีปัญญาคิดได้ในขณะนั้น

และก็เป็นจริงเช่นนั้น เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของของอำนาจจากการมองคนในแง่ดี ให้กลายเป็นคนมองคนในแง่ร้าย

อันที่จริง พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ลำเอียงและเลวร้ายไปหมดอย่างที่อำนาจคิด พ่อแม่ก็เปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนกันได้อย่างไม่ขัดขวาง ใครสามารถสอบแข่งขันกับชาวบ้านเค้าแล้วชนะเข้าเรียนต่อได้ คือเก่งแบบเก่งนอกบ้านได้ ก็เรียนต่อกันไปเลย

แล้วอำนาจก็สามารถเปลี่ยนแนวความคิดที่ว่าพ่อแม่ลำเอียงต่อตน ผลักดันให้เป็นพลังในการเรียน จนสามารถสอบเข้าคณะดีๆ ในมหาวิทยาลัยดีๆ ของรัฐได้

ในสมัยนั้น การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก มันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของชีวิตเอาเลยทีเดียว ใครสอบเข้าไม่ได้ นั่นหมายถึงไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย หรือถ้าอยากจะเรียน ก็ต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

หลังจากที่สอบเข้าได้ อำนาจก็มุมานะเรียนจนจบมหาวิทยาลัย

แต่พอจบออกมาแล้วนี่ซิ รู้สึกว่าไม่มีใครดีใจด้วยเลย จัดเลี้ยงให้ก็ไม่จัดเลี้ยง ทุกคนเฉยๆ มันน่าเศร้าแท้ๆ เลยเรา อำนาจคิด

อันที่จริงพ่อแม่เขาอาจจะดีใจและชื่นชมก็ได้ ที่ลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ไม่ได้ไปเป็นโจร แต่บางครั้งเขาอาจจะไม่ได้แสดงอาการดีใจอย่างเอิกเกริก เพราะอาจไม่จำเป็น จบก็จบ จบปริญญาก็ดีแล้ว ไม่ต้องจัดเลี้ยงอะไรกันให้ใหญ่โต

แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อำนาจโหยหา อยากได้ อยากให้คนอื่นห้อมล้อม อยากให้ผู้อื่นยกย่องว่าตนเองเก่ง เหนือผู้อื่น มีความสำคัญเหนือผู้อื่น มีอำนาจเหนือผู้อื่นในบ้าน

อำนาจจึงมีปัญหาในเรื่องการมองคนในแง่ร้ายมาตั้งแต่เด็ก จนจบมหาวิทยาลัย เลยไปถึงที่ทำงาน รวมไปถึงที่บ้าน คือเรียกว่ามองใครๆ ไม่ดีหมด เราดีคนเดียว เราเก่งคนเดียว แต่คนอื่นเขามองไม่เห็นเรา

อย่างนี้ต้องไปฝึกนั่งสมาธิ แม่ของศศิวรุณเคยแนะนำ

อำนาจเฉย....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2018, 23:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เย็นใจผู้ถือเต๋า

จนถึงปัจจุบัน เย็นใจก็ยังไม่ได้มีความรู้สึกว่าตนคิดผิด ที่ตัดสินใจแต่งงานอยู่กินกับอำนาจเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา

คิดผิดหรือคิดไม่ผิด เธอประเมินเอามาจากการคิด นึก ทึกทักขึ้นมาเอง (Paradigm) ของตน

ชีวิตของคนเราจะดีหรือไม่ ประสบความสำเร็จสมหวังตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ มักจะมีจุดหักเหอยู่สองสามจุดคือ ช่วงการเรียนเพื่อประกอบอาชีพ ช่วงการแต่งงาน และช่วงการใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุจากงาน

เธอแบ่งการประเมินออกเป็นช่วง คือ

การเรียนเพื่อประกอบอาชีพ เทียบช่วงก่อนเรียนจบและหลังเรียนจบ ก่อนเรียนจบก็เป็นช่วงที่เราได้รับการทำนุเลี้ยงดูจากบิดามารดา ซึ่งท่านก็พยายามให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกอยู่แล้ว ตามกำลังทรัพย์ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่เรามีความอบอุ่นอยากจะย้อนกลับไปมีชีวิตแบบนี้อีก เพราะเราไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องเงิน

เราเทียบกับช่วงจบแล้วหางานทำได้แล้ว รับผิดชอบเรื่องเงินของตนเอง ไม่ต้องแบมือขอสตางค์จากครอบครัว เรามีความสุขกว่าเดิมหรือไม่ ซึ่งเราสามารถประเมินเองได้ แบบรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่บริสุทธิ์ที่สุด

เพราะถ้าบอกคนอื่นหรือให้คนอื่นรู้ เราก็มักจะมีอัตตา (Ego) กลัวคนอื่นจะรู้ว่าเราไม่เก่ง เป็นขยะสังคม ดังนั้น เพื่อลดปมด้อยของตนเอง จึงบอกคนอื่นว่า มีความสุขดี แถมคุยโม้โอ้อวดไปเรื่อย

แต่สำหรับเย็นใจ แม้เธอไม่ได้ป่าวประกาศว่าเธอมีความสุขดีกว่าเดิม แต่เธอก็มอบเงินรายได้จากการประกอบอาชีพคืนครอบครัวเป็นประจำ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีดังนั้น ในจิตใจส่วนลึกๆ ของเธอ เธอคิดว่าประสบความสำเร็จตามที่หวังตั้งใจไว้แล้ว

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตช่วงต่อมาก็คือช่วงการแต่งงานที่นำคนจากร้อยพ่อพันแม่มาอยู่ร่วมกัน เราสามารถเปรียบเทียบได้ว่าก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน เราประสบความสำเร็จหรือไม่ หรือไม่แต่งดีกว่า

ชีวิตคู่ในโลกยุควัตถุนิยมนี่ก็แปลก เรามักใช้ความคล่องตัวของการมีเงินใช้เป็นหลักในการวัดความสุขของการอยู่ร่วมกัน กัดก้อนเกลือกินเดี๋ยวนี้หายาก บางคนเป็นเพลย์บอยเป็นไฮโซก่อนแต่งงาน ใช้เงินใช้ชีวิตได้อย่างอิสรเสรี พอแต่งงานแล้วหงอย ขาดอิสระในการใช้ชีวิต เพราะตนเองเลือกคู่ครองผิด คู่ครองที่ถูกต้องคือทั้งคู่จะต้องเกื้อกูลกันและกันในสิ่งที่ดี ไม่ชักจูงสุมหัวกันไปทำในสิ่งที่ชั่ว

เลือกคู่ผิดคิดจนตัวตาย ในยุคปัจจุบันอาจไม่จริงเสมอไป เราอาจจะย้อนกลับไปสู่ชีวิตแบบไม่แต่งดีกว่า คือแยกทางกันเดินก็แล้วกัน เพราะสถิติในปัจจุบันคู่แต่งาน 3 คู่ ก็แยกทางกัน 1 คู่แล้ว

ที่ไม่แยกทางกันเดินต้องตกบันไดพลอยโจนก็มีหลากหลายเหตุผลในแต่ละคน บางคนรู้ว่าตนตัดสินใจผิด แทนที่จะแก้ไข กลับพยายามปกปิดความผิดของตนเอง โดยไปคุยโม้โอ้อวดไปเรื่อยว่าคู่ของตนดีอย่างโน้นอย่างนี้ ทำให้ปัญหาชีวิตพอกพูนขึ้น เป็นภัยต่อทั้งตนเอง เพื่อนฝูงญาติพี่น้องเพิ่มมากขึ้น มนุษย์พวกนี้เป็นอันตรายต่อผู้ที่จะเข้าคบหาสมาคมด้วย ต้องหนีให้ห่างไว้

เย็นใจได้พบเห็นและมีประสบการณ์รู้แจ้งในคนประเภทนี้ดี เพราะลูกค้าของเธอมาเล่าให้เธอฟังเสมอ เธอจึงรู้ว่าคนกลุ่มนี้เคยเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นมาก่อนในอดีต

เมื่อเย็นใจรู้แจ้งในเรื่องเด็กขาดความอบอุ่น จึงพยายามเลี้ยงดูลูก และพยายามบอกลูกให้หนีให้ไกลคนประเภทนี้ให้มาก ชีวิตจะได้ร่มเย็นเป็นสุข

เย็นใจรู้สึกสมเพชคนประเภทนี้ เลยย้อนกลับมาดูคู่ชีวิตของตนคืออำนาจ แล้วประเมินวิถีชีวิตก่อนแต่งและหลังแต่งของตนว่า แม้ว่าอำนาจจะไม่ใช่คนดีสมบูรณ์นักแต่อำนาจก็ไม่เคยชักจูงให้เธอทำในสิ่งที่ชั่ว ไม่เคยให้ร้ายนินทาครอบครัวผู้ให้กำเนิดเธอเลย เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นเรื่องของความกตัญญูกตเวที ซึ่งเย็นใจเน้นเรื่องนี้มากกว่าเรื่องการมีเงินมากๆ

การมีเงินมากๆ เพื่อเก็บไว้ใช้หลังเกษียณอายุจากงาน เรื่องนี้เย็นใจยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะต้องใช้เท่าใด เพราะอายุยังไม่ถึงช่วงนั้น แต่ทราบจากลูกค้าที่มาเล่าให้ฟังว่า ถ้าต้องการค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตประจำวันประมาณเดือนละ 15,000 บาท สมมติต้องการมีชีวิตไปอีก 25 ปี อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 3 ต่อปี ช่วงนี้จะต้องมีเงินเก็บไว้ประมาณ 8.4 ล้านบาท

ดูแล้วมันช่างมากเหลือเกินสำหรับเย็นใจผู้ไม่ได้ยึดถือเงินเป็นสรณะ แต่ยึดเรื่องความรู้ความสามารถของตนในการจัดการเพื่อที่จะได้ทรัพย์มาเพื่อเลี้ยงชีพตนเองมากกว่า

เธอคิดว่าวิชาความรู้ที่ได้มาในสาขาวิชาที่ครอบครัวส่งเสียให้เรียนจนจบนั้น ได้มาจากอานิสงส์ของหยาดเหงื่อแรงงานที่เตี่ยกับแม่ประทานให้ และเธอก็ได้ประกอบอาชีพในสาขาวิชานั้น จนเธอประสบความสำเร็จและสามารถส่งเงินกลับไปให้ครอบครัว จนคนทั้งครอบครัวชื่นใจกันทั่วหน้านั้น เธอทำมาแล้ว

อันที่จริงแค่นี้ก็น่าจะพอแล้วสำหรับชีวิตนี้ แต่สำหรับเธอแล้ว เธอเป็นคนชอบพัฒนาตนเอง เธอคิดว่าอาชีพที่ทำอยู่นี้พออายุมากขึ้นเธออาจจะทำไม่ได้ ดังนั้นจึงน่าจะอาศัยประสบการณ์จากงานเดิมที่มีต้นทุนมาจากเงินส่งเสียของครอบครัวต่อยอดไปสู่สาขาอื่นได้ เช่นการขายตรง ที่ต้องอาศัยการเจรจากับคนที่เธอรู้จักมักคุ้นมากมาย เป็นต้น

ถ้าเธอทำได้สำเร็จ เธอก็จะเป็นคนเหนือคน คือเป็นคนเกษียณอายุที่เหนือคนเกษียณอายุในรุ่นราวคราวเดียวกัน

อาชีพเดิมเราทำพร้อมกับแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ เมื่อหมดหน้าที่คือเกษียณอายุแล้วเราก็หาอาชีพอื่นตามที่เราชอบ โดยอาศัยฐานประสบการณ์จากอาชีพเดิม

ความกตัญญูกตเวที เป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญสูงสุด

การแต่งงานอยู่กินกับอำนาจก็เช่นกัน

ก่อนแต่งงาน แม่ของอำนาจเคยเล่าให้เธอฟังอย่างภาคภูมิใจว่า อำนาจเป็นเพียงลูกคนเดียวในจำนวนสามคน ที่เรียนจบแล้วจัดการแบ่งเงินเดือน เดือนแรกส่วนหนึ่ง นำมามอบไว้ให้กับพ่อและแม่ เพื่อทดแทนบุญคุณที่พ่อแม่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก

เธอคิดว่าคำบอกเล่าของแม่ของอำนาจจุดนี้ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอตัดสินใจแต่งงานอยู่กินกับอำนาจ

อำนาจเป็นคนมีความกตัญญูกตเวที เธอคิด

กตัญญูแปลว่ารู้คุณท่าน กตเวทีแปลว่าสนองคุณท่าน

อำนาจรู้ว่าพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด ถ้าไม่มีพ่อแม่ก็คงไม่มีอำนาจ ถ้าไม่มีหนึ่ง ย่อมไม่มีสอง

แม้จะคลอดอำนาจออกมาแล้ว ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงดูปกป้องรักษาพยาบาลยามเจ็บไข้ หรือไม่ให้การศึกษาปรัชญาการดำรงชีวิตอย่างมีคุณธรรม หรือไม่ได้ให้การศึกษาแบบส่งไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ ก็จะไม่มีอำนาจที่มีเงินเดือนๆ แรกสำหรับเลี้ยงชีวิตของตนเองได้ ดังเช่นปัจจุบัน

นี่เป็นการคิดแบบคนมีความกตัญญู คือรู้คุณท่านของอำนาจ

อำนาจอยากจะสนองคุณท่าน คือสนองคุณพ่อแม่ จึงนำเงินเดือนๆ แรกที่ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ตนเองมีความภาคภูมิใจสูงสุด มาแบ่งปันให้กับพ่อแม่ได้ใช้ นี่เป็นความคิดแบบคนมีความกตเวที

กตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา เป็นการกตัญญูกตเวที ต่อผู้ที่อยู่ในทิศเบื้องหน้า (ปุรัตถิมทิส) ของหลักธรรมทางพุทธศาสนาในหัวข้อทิศ 6

ดังนั้น พฤติกรรมที่แสดงออกโดยทางการกระทำของอำนาจ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรม

การปฏิบัติเช่นนี้จะส่งผลให้คนที่มีความกตัญญูกตเวที สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข

นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อไปยังบุคคลรอบข้างให้มีความสุขตามไปด้วย เพราะทิศเบื้องขวาคือ ครูบาอาจารย์ เบื้องซ้ายคือมิตรสหาย เบื้องบนคือพระสงฆ์ สมณพราหมณ์ เบื้องล่างคือลูกจ้างนายจ้าง และทิศเบื้องหลัง (ปัจฉิมทิส) คือสามีภรรยา

เย็นใจเป็นทิศเบื้องหลัง เธอคิดว่าการได้อยู่กินกับคนที่มีความกตัญญูกตเวที คงทำให้เธอมีความสุข
เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี

เหตุที่เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีเพราะเธอคลุกคลีอยู่ในโลกแห่งความสวยงามของทั้งตัวเองและของคนรอบข้าง

เธอมีอาชีพเป็นช่างเสริมสวย

ช่างเสริมสวยมีหน้าที่แต่งเติมเสริมความงามให้กับลูกค้าผู้มาใช้บริการ ให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการแต่งหน้า แต่งผม สระผม แต่งเล็บ เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

แม้อาชีพนี้จะไม่ทำให้เธอร่ำรวยเพิ่มมากขึ้น แต่เธอก็รักมัน ชอบมัน และให้เวลากับมัน

ในแต่ละวัน เธอจะไม่หยุดนิ่ง พัฒนาค้นคว้าหาเทคนิคใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสวย แล้วนำมาปรับใช้เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เป็นการจูงใจให้ลูกค้ามาใช้บริการเป็นประจำ

เธอเป็นคนมีความสามารถ ขยัน อดทน อุปนิสัยดีและเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เครื่องสำอางตลอดจนเครื่องประทินผิวพรรณต่างๆ ที่เธอเป็นตัวแทนจำหน่าย จึงมักถูกลูกค้าซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วยเสมอ

เธอประสบความสำเร็จในวิชาชีพนี้

ในอาชีพนี้แต่ละวัน เธอจะได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับสารทุกข์สุกดิบของลูกค้าคนแล้วคนเล่า ที่มาเล่าให้เธอฟัง ความสำเร็จหรือล้มเหลวของแต่ละครัวเรือนที่มาเล่าให้เธอฟังนั้น เธอรับรู้รับทราบหมด ไม่พยายามทำให้ครอบครัวพ่อแม่ลูก ของผู้อื่นแตกแยก วิจารณ์แต่พองามในทางที่ดี ส่วนใหญ่แล้วเธอจะหนักไปในทางรับฟังเสียมากกว่า ลูกค้าจึงชอบเธอ เพราะเธอเป็นคนเก็บความลับของลูกค้า และที่สำคัญคือเธอเป็นคนมีอารมณ์เย็น เหมือนชื่อของเธอ

เธอถือเต๋าเป็นสรณะ

เต๋ามีน้ำเป็นองค์ประกอบ

เธอจึงทำตัวได้ดุจน้ำ ตามเต๋า

โดยปกติแล้ว น้ำในธรรมชาติเข้าได้กับทุกสรรพสิ่ง

ดังนั้น เธอจึงเข้าได้กับทุกผู้ทุกคนอย่างกลมกลืน ไม่ขาดตกบกพร่อง

อันที่จริง เธอก็ถือตามๆ เตี่ยของเธอมา แม้เตี่ยจะไม่บังคับให้เธอถือ แต่เธอเห็นเตี่ยปฏิบัติแล้วได้ผลดี ไม่มีอะไรเสียหาย มันก็เลยซึมซับอยู่ในทุกอนูแห่งอุปนิสัยส่วนตัวของเธอมาอย่างไม่รู้ตัว

ที่สำคัญคือตอนแรกเธอไม่รู้ว่า นี่คือเต๋า

เพราะเต๋าที่เรียกขานได้ย่อมไม่ใช่เต๋าที่แท้จริง

ในคัมภีร์บทที่หนึ่งของเต๋าเต๋อจิง (Tao Te Ching) ของท่านเหลาจื้อ (The Loa Tzu) ลิขิตเอาไว้อย่างนั้น

คัมภีร์เล่มนี้ได้เขียนมาสองพันแปดร้อยกว่าปีแล้วประกอบด้วยอักษร 5001 คำ มี 81 บท

ท่านเขียนขณะที่ท่านออกจากรัฐโจวในประเทศจีน ท่านจะหนีโลกแล้ว เบื่อ เพราะคาดคะเนล่วงหน้าได้เลยว่ารัฐโจวจะเสื่อมแน่ๆ ท่านก็เลยออกเดินทางมุ่งตรงไปยังเขตชายแดนของรัฐที่ยิน-ไฮ (Yin-Hi) เจ้าหน้าที่ด่านตรวจชายแดนเห็นท่านเข้า ก็เลยขอร้องให้ท่านเขียนหนังสือทิ้งไว้สักเล่มหนึ่ง

พอเขียนจบมอบให้แล้ว ท่านก็จากไป ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปตายในที่แห่งหนตำบลใด คือตำราเขาว่าไว้อย่างนั้น

แล้วทำไมเต๋าจึงเป็นสิ่งที่เรียกขานด้วยชื่อไม่ได้

ก็เพราะสิ่งที่เรียกขานด้วยชื่อได้ (Namable) มันจะต้องมีการรับรู้หรือเห็นได้เป็นแบบรูปธรรม คือ มีลักษณะ มีรูปร่าง

แต่กระนั้นเวลาเราจะเรียกขานชื่อมัน เราก็จะเรียกขานมันได้เฉพาะในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าผ่านช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งตามเต๋าไปแล้ว เราก็จะเรียกขานชื่อเดิมนั้นไม่ได้อีกต่อไป

ตัวอย่างเช่น พอเราลงมาจากรถเมล์ปั๊บ รู้สึกว่าอากาศวันนี้มันร้อนชะมัด อย่ากระนั้นเลย ซื้อน้ำแข็งแห้งจากร้านหน้าปากซอยใส่ถุงเตรียมหิ้วขึ้นรถมอเตอร์ไซรับจ้างกลับบ้าน กะเอาไว้ว่าเมื่อถึงบ้าน จะไปแช่น้ำหวานกินให้ชื่นใจสักหน่อย

แต่พอถึงบ้านปรากฏว่าน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำหมดแล้ว เพราะก่อนขึ้นมอเตอร์ไซ เจอเพื่อนเก่าพอดี เลยคุยกันนานหน่อย

สิ่งที่เราหิ้วใส่ถุงมาจากร้านหน้าปากซอย มันเป็นวัตถุมีรูปร่าง มันมีลักษณะเป็นของแข็ง เห็นเป็นรูปธรรม เราเลยเรียกขานชื่อมันว่า น้ำแข็ง

พอถึงบ้านแล้ว เวลามันล่วงเลยไปจากตอนที่เราซื้อที่ร้านหน้าปากซอย เรากลับเห็นสิ่งที่เราหิ้วอยู่ในถุงเปลี่ยนไป

เราเห็นว่ามันมีรูปร่าง แต่กลับมีลักษณะเป็นของเหลว

แม้มีรูปร่างลักษณะเป็นของเหลว มันก็ยังเป็นรูปธรรม เพราะเราสัมผัสมันได้ด้วยประสาททั้ง 5

แต่ครั้งนี้เราไม่เรียกวัตถุในถุงนั้นว่าเป็นน้ำแข็งอีกแล้ว เรากลับเรียกมันว่าน้ำ

สิ่งๆ เดียวกันนี้ในถุง พอมีมิติเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ชื่อมันถูกเปลี่ยนไป

แม้ชื่อจะถูกเปลี่ยนไป แต่มันก็ยังเป็นรูปธรรม เราก็เลยเรียกขานชื่อสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงไป นี้ได้

แต่เต๋าเป็นนามธรรม เราจึงเรียกขานชื่อมันไม่ได้ (Unnamable)

หรือพูดอีกแบบหนึ่งตามที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ ก็คือ เต๋าที่เรียกขานได้ย่อมไม่ใช่เต๋าที่แท้จริง

ปัญหาที่ยากของเราก็คือ แล้วจะไปหาเต๋าที่แท้จริงกันอย่างไร เพราะเราสื่อสารกันด้วยชื่อไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2018, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 17:07
โพสต์: 23

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เต๋านั้นเป็นไฉน

คำว่าเต๋า (Tao) นั้น ตามรากศัพท์แปลว่า เส้นทาง (Path)

ถ้าเราพิจารณาดูแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ก็จะมีเส้นทางของมัน ในทุกๆ สิ่ง

ตามตัวอย่างแบบที่เคยยกมาในบทที่แล้วว่า ถ้าเราหิ้วน้ำแข็งจากหน้าปากซอยมาบ้าน น้ำแข็งก็จะกลายเป็นน้ำไปหมด

คราวนี้สมมติว่า เราทิ้งน้ำไว้ในถุงสักสี่ห้าวัน น้ำในถุงมันก็จะระเหยหมดถุงไปเลยเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เราไม่ได้นำไปเททิ้ง

อย่างนี้เราเรียกว่า มันหายไปตามเต๋า หรือตามเส้นทางของมัน

เส้นทางนี้ เราสามารถอธิบายได้ยาวเหยียด หรือเขียนหนังสือเป็นเล่มตามหลักวิทยาศาสตร์เลยว่า น้ำ ก็จะระเหยกลายเป็นไอน้ำ ไอน้ำกลายเป็นเมฆ เมฆกลายเป็นฝน ฝนกลายเป็นน้ำอีกครั้ง อย่างนี้เป็นต้น

แต่ถ้าเราอธิบายสั้นๆ ตามแบบเต๋า เราก็บอกว่าน้ำหายไปตามเต๋า

คือเรามองเต๋าในฐานะกฎของธรรมชาติ (Toa as the Invariable Law of Nature)
อย่างนี้ก็ได้

ท่านอาจารย์พุทธทาสแห่งสวนโมกขพลาราม เคยเทศน์ถึงเรื่องเต๋าไว้ว่า

ในยุคเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ทางประเทศจีนมีบุคคลสำคัญผู้หนึ่งนามว่า “เหลาจื้อ” ได้บัญญัติคำสอนเกี่ยวกับ “เต๋า” เอาไว้ว่า มีสิ่งอยู่สิ่งหนึ่ง มีอยู่ก่อนโลก ไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่จิตใจ สิ่งๆ นั้นเรียกว่า “เต๋า” อันหมายถึงสิ่งที่มีอยู่ก่อนโลกเกิด

แล้วคำว่า “เต๋า” นี้มีความหมายตรงกับคำว่า “ธรรม”

ปกติแล้ว คำว่าธรรมะ ในกรอบของอาจารย์พุทธทาสที่ท่านเทศน์บ่อยๆ นั้น ท่านได้ให้ความหมายไว้ 4 ความหมายคือ ความหมายที่หนึ่ง ธรรมะ หมายถึงตัวธรรมชาติ ความหมายที่สอง ธรรมะ หมายถึงกฎของธรรมชาติ ความหมายที่สาม ธรรมะ หมายถึง หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และความหมายที่สี่ ธรรมะหมายถึงผลจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ

แต่ธรรมะในบริบทที่เกี่ยวกับเรื่องของเต๋านั้น ท่านเขียนไว้ในหนังสือเรื่องธัมมิกสังคมนิยมว่า ใครจะเรียกเต๋า หรือใครจะเรียกกฎของธรรมชาติ มันก็คือสิ่งๆ เดียวกัน

จึงเป็นการตอกย้ำว่า เต๋าก็คือกฎของธรรมชาติอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ในบทที่ 14 ของคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงบันทึกไว้ว่า

“เต๋ามองแล้วไม่เห็น เรียกว่าไร้รูป
ฟังแล้วไม่ได้ยิน เรียกว่าไร้เสียง
จับแล้วไม่ได้ เรียกว่าไร้ร่าง
แต่ก็สามารถควบคุมสรรพสิ่งได้
.....นี่คือเต๋า”

ดังนั้น เราจึงพอจะอนุมานเอาว่า เต๋าก็คือกฎของธรรมชาตินั่นเอง

กฎของธรรมชาติหรือเต๋านี่มันยิ่งใหญ่ เพราะมันมีมาตั้งแต่ก่อนเกิดโลก พอกฎของธรรมชาติทำให้โลกเกิดแล้ว มันก็มีกฎเล็กๆ ตามมาอีกมากมาย อย่างเช่นกรณีที่เราหิ้วน้ำแข็งกลับบ้านแล้วกลายเป็นน้ำ พอทิ้งน้ำไว้ น้ำก็ระเหยจะกลายเป็นไอน้ำ แล้วก็หายไปในอากาศ

เย็นใจศึกษามาถึงจุดนี้ก็ร้อง อ๋อเลย เต๋าเป็นเช่นนี้เอง

จบครบถ้วนกระบวนความ

แต่ เอ ถ้ามันจบแค่นี้แล้วเตี่ยเราทำไมจึงถืออยู่ แล้วดูในตำราเค้าก็บอกว่าในปี ค.ศ. 2002 มีคนถือเต๋าทั่วโลกประมาณ 220 ล้านคน ถ้าไม่มีอะไรดีแล้ว คนคงถือไม่มากขนาดนี้ มันน่าจะมีวิธีปฏิบัติด้วย

เหมือนธรรมะหมายถึงกฎของธรรมชาติ แล้วก็หมายถึงหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ อะไรแบบนี้

ใช่แล้ว มันมีสิ่งอื่นที่ลึกลับซับซ้อนมากไปกว่านั้นจริงๆ เราเรียกมันว่า เต๋อ

เต๋อ (Te) ตามรากศัพท์แปลว่าพลังอำนาจ (Power) หรือแปลว่าคุณธรรม (Virtue)

เหมือนเราหิ้วน้ำแข็งกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านน้ำแข็งกลายเป็นน้ำ อย่างนี้มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ หรือเป็นไปตามเต๋า แต่กระบวนการที่น้ำแข็งกลายเป็นน้ำนี่มันก็ต้องมีอะไรซักอย่างแน่ๆ

อะไรซักอย่างที่ว่านี้มันก็คือพลังอำนาจ (Power) ที่มีอยู่หรือเต๋อ (Te) ที่มีอยู่นั่นเอง

เราอาจจะกล่าวได้ว่า เต๋อ นี่คือความร้อน ความร้อนเป็นพลังอำนาจ ให้น้ำแข็งกลายเป็นน้ำ อย่างนี้ก็ได้

นี่เป็นการยกตัวอย่างแบบง่ายๆ จริงๆ แล้วมันไม่ง่ายขนาดนั้น แต่อาจเป็นการยกดูเพื่อเทียบเคียงให้เห็นชัดเจนขึ้นมาอีกนิด

นี่เป็นการกล่าวถึงพลังอำนาจที่มีอยู่รอบๆ ตัวเรา

แต่เต๋าเป็นเรื่องของวิธีปฏิบัติ เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข มันจึงเน้นวิธีปฏิบัติของเรา ที่อยู่ในตัวเรา ที่เป็นคนปฏิบัติ

ดังนั้นเต๋อในที่นี้จึงหมายถึงคุณธรรม (Virtue) ที่อยู่ในตัวเรา

ถ้าเราปฏิบัติตัวให้มีคุณธรรมตามเต๋อ เราก็จะประสบความสำเร็จในชีวิต ดังเช่นที่น้ำประสบความสำเร็จในการอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งอื่น

ในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง บทที่ 8 อ้างถึงน้ำไว้ว่า น้ำทำประโยชน์ให้กับสรรพสิ่งอื่นโดยไม่เกี่ยงแย่ง อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำได้ อยู่ที่ไหนก็หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งอื่นรอบข้างได้โดยไม่ขัดแย้ง ทุกสรรพสิ่งชุ่มชื่นไปหมด

คนที่ถือน้ำก็เช่นกัน เป็นผู้ทำความดีสูงส่ง เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตัว สามารถวางตัวได้ในตำแหน่งต่ำ มีความสามารถในการรองรับผู้คนและเรื่องราวต่างๆ ได้ จึงสามารถทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นและสังคม

เย็นใจใช้ประโยชน์จากเต๋าในบทนี้

ดังนั้น เมื่อเย็นใจทราบปัญหาเรื่องคะแนนเฉลี่ยของศศิวรุณไม่ดี จึงไม่ตีโพยตีพาย แต่แนะนำศศิวรุณด้วยความใจเย็นดุจดังน้ำว่า

หัดฝึกนั่งสมาธิก็ดีนะลูก มันทำให้หัวดี แล้วอาจจะลดความสับสนในชีวิตของลูกได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร