วันเวลาปัจจุบัน 08 ส.ค. 2025, 15:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2018, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ พระธรรมคุณบทต่อไป

โอปะนะยิโก เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว ดูแล้วอย่าดูเฉยๆ น้อมเข้ามาใส่ตัว เอามาเตือนใจ เห็นความชั่วก็น้อมเข้ามาคิด นึก ตรึกตรอง เพื่อเตือนตัวเองไว้ว่า อย่าทำเช่นนั้น อย่าทำเช่นนั้น เพราะการทำเช่นนั้น จะเกิดความเสียหาย จะสร้างความทุกข์ความเดือดร้อน นี่เรียกว่า น้อมเข้ามาใส่ตัว

ทุกเรื่องทุกประการควรน้อมเข้ามาใส่ตัว จึงจะได้ประโยชน์จากการเห็น

ถ้าไม่เอามาใส่ตัวมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร เหมือนกับไก่แจ้คุ้ยเขี่ยไปในลานบ้าน ไปพบพลอยเข้าเม็ดหนึ่ง มันไม่รู้ค่า ข้าวสารเม็ดหนึ่งยังดีกว่า แล้วก็คุ้ยเขี่ยในแปลงอื่นต่อไป นี่คือเรื่องของไก่แจ้
แต่มนุษย์เราไม่ใช่ไก่แจ้ แต่เป็นผู้มีปัญญา เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นอะไรแล้วก็ต้องน้อมมาใส่ตัว เหมือนกับเห็นเทวทูต ก็น้อมมาเตือนตัวเอง เห็นดีก็น้อมเข้ามา เห็นชั่วก็น้อมเข้ามา เพื่อคิดทั้งนั้น น้อมมาคิดมานึก มาตรึกมาตรอง เพื่อให้รู้ชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่เป็นจริง แล้วเราก็ลงมือปฏิบัติตามเรื่องต่อไป อย่างนี้ ได้ประโยชน์ เข้ากับบทว่า โอปะนะยิโก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2018, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน อันนี้เป็นเรื่องในใจ ผู้ใดรู้ ผู้ใดเห็น ผู้ไม่รู้ก็ไม่เห็น ไม่เกิดขึ้นในใจ เป็นเรื่องเฉพาะเหมือนกัน หมายความว่า เป็นเรื่องเฉพาะผู้รู้ผู้เห็น เช่น ว่า มรรค ผล นิพพาน เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ สี่ชั้น

ชั้นของพระอริยบุคคล ๔ ชั้น ผู้ใดลุถึง ผู้นั้นก็รู้เฉพาะตัว เป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตัวของเรา คนอื่นจะพลอยรู้ไม่ได้ รู้ได้เฉพาะตัวเท่านั้น

ถ้าเราฟังคำสอนของบุคคลอื่นอย่างนี้เรียกว่า รู้โดยสัญญา จำได้หมายรู้ เมื่อเอาไปปฏิบัติแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในใจของเรา เราจึงเห็นชัดในเรื่องนั้นว่า อ้อ เป็นอย่างนี้ เช่น ความโลภไม่ดี เราก็สังเกตดูที่ตัวเรา ว่าเวลาโลภเกิดขึ้น นี่มันเป็นอย่างไร สภาพจิตใจเป็นอย่างไร
ความโกรธเกิดเกิดขึ้น สภาพจิตใจเป็นอย่างไร
ความหลงเกิดขึ้น สภาพจิตใจเป็นอย่างไร
ถ้าไม่โลภเกิดขึ้นแล้วเป็นอย่างไร
ไม่โกรธเกิดขึ้นเป็นอย่างไร
ไม่หลงเกิดขึ้นเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ควรจะรู้ด้วยเหมือนกัน เป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณาให้รู้เห็น

หรือว่า เราเจริญสมาธิ จิตใจมันสงบเยือกเย็น เราก็รู้เฉพาะตัว เราจะไปบอกให้ใครฟังสักเท่าใด ไม่ได้เรื่อง บอกให้เขาฟังเหมือนกับดูหนังในจอ พอจบแล้วก็ไม่มี เห็นเป็นภาพแต่ว่าจับไม่ได้ พอเห็นนางเอกยืนสวย แหม จับหน่อยเถอะ มันก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน มันไม่ถูกนางเอกไปถูกผ้าขาว นี่เรียกว่าบ้าเงา ไม่ได้เรื่องอะไร เรื่องใดๆ ที่เราพูดให้คนฟัง เขาเห็นแต่เงา ไม่เห็นตัว

เมื่อใดเขาไปปฏิบัติ จึงจะเห็นชัดด้วยตนเองในเรื่องนั้น ประจักษ์แก่ตัว เรียกว่า ปัจจัตตัง เฉพาะตัว. ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตัว เรียกว่า พระธรรมคุณ คุณของพระธรรม หรือลักษณะของพระธรรมในทางศาสนา

ทีนี้ เราต้องเอาหลักนี้ไปวินิจฉัยในเรื่องอะไรๆ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ให้เราปฏิบัตินั้น ต้องเป็น สันทิฏฐิโก เป็นสิ่งที่เห็นได้ด้วยตนเอง ต้องเป็นอะกาลิโก ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล สองอันนี้สำคัญ เราไปวัด ได้ธรรมะที่เราได้ยินได้ฟัง เราก็จะรู้ว่าธรรมนั้นเป็นอะไร ต้องรู้ต้องเห็นด้วยตนเอง แล้วต่อไปก็เรียกกันมาดู น้อมเข้ามาใส่ตัว แล้วได้ผลอย่างไรก็รู้เฉพาะบุคคลนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2018, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

นี่เป็นเรื่องของพระธรรม เรากราบไหว้พระธรรม กราบไหว้พระธรรม หมายความว่า นึกถึงคุณงามความดีของพระธรรมว่ามีลักษณะอย่างนี้

แล้วจากนั้น จะทำอย่างไรต่อไป ก็ต้องทำใจให้เข้าถึงธรรมะ ทำกายให้เป็นธรรมะ ทำวาจาให้เป็นธรรมะ จะคิดก็ให้เป็นธรรมะ ถ้าคิดจะไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่เป็นธรรม เป็น อกุศลวิตก
กามวิตก คิดไปทางกาม ไม่เป็นธรรม
วิหิงสาวิตก คิดเบียดเบียนเขา ก็ไม่เป็นธรรม
พยาบาทวิตก เคียดแค้นคนอื่น ก็ไม่เป็นธรรม

ต้องคิดในทางเมตตา ในทางไมตรีเผื่อแผ่แก่คนอื่น ประสงค์ช่วยเหลือเขาให้พ้นความทุกข์ความเดือดร้อน เรียกว่า คิดเป็นธรรม เห็นใครมาก็คิดเป็นธรรมต่อคนนั้น อย่าเพ่งมองความชั่วของเขาให้มันมากไป เราต้องมองหาความดีไว้ อันนี้ ก็สำคัญอันหนึ่งเหมือนกัน คือว่าเราเข้าไปหาใคร พบใคร อยู่กับใคร อย่ามองกันในแง่ร้ายเกินไป มองหาความดีเขาบ้าง การมองความชั่วคนอื่น กิเลสของตัวเจริญ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เหมือนกันว่า ผู้ใดมีปกติเพ่งโทษผู้อื่น กิเลสย่อมเจริญแก่ผู้นั้น เพราะการเพ่งดูความชั่วผู้อื่นเป็นกิเลส เห็นแต่ความชั่ว ไม่เห็นความดี กิเลสมันก็เจริญละ แต่ถ้าเรามองความดีของผู้อื่น ความดีมันก็เจริญในตัวเรา


คนบางคนดี มีปกติเห็นความดีของคนอื่น ไม่ว่าอะไรมองแล้วก็ดีไปทั้งนั้น ไม่มีเสียทั้งนั้น เหมือนกับหลวงพ่อที่อุดรองค์หนึ่ง เขาเรียกว่า หลวงพ่อดีหนอ ดีทั้งนั้น ท่านชื่อว่าดีเสียด้วย แต่ปกติท่านมักจะพูดว่าดีหนอ ใครมาหา เอ้อ ดีน้อ
ถ้าเขามาบอกว่าหลวงพ่อแย่แล้ว เมื่อคืนนี้ขโมยลักวัวไป ๓ ตัว เอ้อ ดีน้อ ดีทั้งนั้น

อีกสองวันต่อมา วัวที่หายได้คืนแล้วหลวงพ่อ เอ้อ ดีน้อ ไม่มีเสีย ท่านไม่เคยพูดเรื่องเสีย ตั้งแต่ท่านเป็นพระมาจนกระทั้งหมดลมหายใจ เมื่ออายุ ๙๙ ปี
ผมไปอุดรก็ไปพบท่านบ่อยๆ ไปครั้งแรกว่า เอ้อ มาจากไหน พอเห็นหน้า ดีหนอก่อน เอ้อ ดีหนอ พอเห็นหน้าว่าดีแล้ว มาจากไหน มาจากกรุงเทพฯ เอ้อ ดีหนอ มาธุระอะไร จะมาเทศน์ให้โยมแถวนี้ฟัง เอ้อ ดีหนอ แล้วก็จัดที่จัดทางให้พักเรียบร้อย รุ่งเช้าขึ้นไปลา บอกว่า ไม่สมหวังขอรับ มาแล้วไม่ได้เทศน์ เขาไม่ได้ป่าวร้องคนให้มาฟัง เอ้อ ดีหนอ ไอ้เราก็นึกว่า เอ ดีทั้งนั้น ไม่มีเสียเลย คือท่านไม่ได้มองอะไรว่าเสีย เพราะใจท่านมองแต่เรื่องดี ท่านไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่อะไรใคร จิตใจดีอายุจึงยืน เพราะมีแต่เรื่องดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2018, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกองค์หนึ่ง สมมติว่านั่งอยู่ตรงนี้ รกเชียว ที่นั่งสมภารมักจะรก ไอ้โน่นไอ้นี่มากองไว้ กองอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ปัดไม่กวาด เราไปเห็นสมภารว่า แหม สะสมจริง เปล่าเขาเอากองๆแล้วมันก็กองอยู่นั่นแหละ ท่านไม่เก็บ ถ้าเก็บ ท่านก็เอาเข้าห้องซิ คนมาถึงบอกว่า ข้างที่นั่งหลวงพ่อนี่มันรกเหลือเกิน อื้อ ดีเหมือนกัน ตะเข็บตะขาบมันได้อาศัยบ้าง
นายคนนั้นนั่งๆก็ชักจะรำคาญ ผมขออนุญาตหลวงพ่อกวาดตรงนี้ได้ไหมครับ เออ ดีเหมือนกันแหละ มันจะได้เตียนเสียบ้าง ท่านไม่เสีย ไม่ว่าเสีย เขาว่ารกก็ว่าดี พอเขาจะกวาด เออ ดีเหมือนกัน จะได้เตียนเสียบ้าง รกมานานแล้ว นี่มันเป็นอย่างนี้
วันหนึ่ง แม่ชีชงกาแฟ เกลือป่นกับน้ำตาลอยู่ใกล้กัน แม่ชีแก่แล้ว ตาแกไม่ค่อยเห็นดอก เอาเกลือป่นใส่ในกาแฟ พระหนุ่มๆ ฉัน ซดเข้าไปวางแก้วกันตามๆกัน อะไรเค็มอย่างนี้ พอหลวงพ่อยกขึ้นฉัน อือ ฉันกาแฟใส่น้ำตาลมานานแล้ว ใส่เกลือเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน
พระหนุ่มก็เลยหัวเราะไป ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อน สบายใจ แล้วก็ในโบสถ์มีตู้ เขามีตู้ไว้เวลาคนมาฟังเทศน์เขาใส่สตางค์ให้ คนก็มาหยอดสตางค์ไว้
เช้าขึ้นมาคนมาบอกว่า หลวงพ่อครับ หีบใส่เงินบริจาคในโบสถ์ คนเอาไปเสียแล้ว เออ ดีเหมือนกันแหละ มันจะได้เอาไปใช้บ้าง ไม่มีเสีย แล้วองค์นี้ก็เหมือนกัน อารมณ์ดี จิตใจสบาย ไม่บ่นเรื่องร้อน เรื่องหนาว เรื่องอะไรต่ออะไร ไม่บ่น เป็นคนอยู่ง่ายๆ อารมณ์ดีตลอดเวลา อายุมั่นขวัญยืน นี่เขาเรียกว่า ใจดี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2018, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรามองอะไร อย่ามองในแง่ร้าย มองแง่ดี แง่งาม คนคนหนึ่ง ต้องมีดีสักอย่าง หาของดีในคนนั้นให้พบความดีเขา แล้วเอาความดีนั้นมาใช้ ถ้าเราไปมองหาว่า ไอ้นี่มันชั่วอย่างไรบ้าง มันจะดีไปได้อย่างไร ต่างคนต่างมองความชั่วกัน เรียกว่า เพ่งโทษกัน ก็เป็นทุกข์ คนมองก็เป็นทุกข์ คนถูกมองก็เป็นทุกข์ เมื่อรู้ว่าคนอื่นเพ่งโทษตัว เพราะฉะนั้น มองกันในแง่ดีมันสบาย เป็นอุบายของการประพฤติธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกันในเรื่องนี้ อะไรๆ ก็มองกันในแง่ดีไว้ก่อน ฝนตกก็นึกว่าเรื่องดีไว้ก่อน แดดออกก็นึกว่าเรื่องดีไว้ก่อน ไอ้เรื่องเสียค่อยว่าทีหลัง สบายไม่วุ่นวาย

นี่เรื่องพระธรรมคุณในบทสวด จะได้รู้ความหมายไว้

(จบตอนหนังสือนี้ http://g-picture2.wunjun.com/6/full/9d4 ... s=614x1024หน้า ๑๔๓)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2018, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ” - พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม

พระธรรมเป็น ธรรม ตรงนี้แปลว่า “สิ่ง” ก็ได้ พระธรรมเป็น สิ่ง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ใช้ว่า “สิ่ง” ก็ได้ “ธรรม” ก็ได้ พระธรรมเป็น ธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ดีอย่างไร ? ดี และ เป็นประโยชน์ด้วย

ของบางอย่างดีแต่ว่าไม่เป็นประโยชน์ พระธรรมดีและเป็นประโยชน์ ดีทางไหน ? ดีในทางที่จะทำคนให้พ้นทุกข์พ้นความเดือดร้อนได้ในแง่นั้น คือทำให้ผู้ปฏิบัติตามพ้นจากความทุกข์ พ้นจากความเดือดร้อน

ธรรมนี้ดีในแง่คุ้มครองรักษาคนไม่ให้ตกลงไปสู่นรกหรืออบาย อบาย หมายถึง นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือที่ไม่สบาย ทั้งในเวลานี้และต่อไปข้างหน้า

ธรรมสร้างคน ป้องกันคนไม่ให้ตกลงไปในอบาย ถ้าท่านมีความชั่ว ควรละทิ้งเสีย ยืดพระธรรม เป็นตามธรรม ธรรมจะคุ้มครองและรักษาท่านได้ สำคัญอยู่ที่การปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็คุ้มครองไม่ได้ ท่านตรัสไว้ดี ไพเราะเบื้องต้นได้แก่ ศีล ไพเราะท่ามกลาง ได้แก่ สมาธิ ไพเราะที่สุด ได้แก่ ปัญญา ใช้คำบาลีว่า อาทิกัลยาณัง กัลยาณัง แปลว่า ไพเราะ เพราะพริ้ง ดี ก็ได้ เป็นประโยชน์ ก็ได้ กัลยาณมิตร มิตรที่ดี กัลยาณธรรม หมายถึงธรรมฝ่ายดี
ธรรมของพระพุทธเจ้า อาทิกัลยาณัง ดีเบื้องต้น คือดีที่ศีล มัชเฌนกัลยาณัง ดีด้วยสมาธิ ปะริโยสานะกัลยาณัง ดีด้วยปัญญา เป็นทางเดินของชีวิต ที่จะทำให้ผู้เดิน เดินไปสู่ความพ้นทุกข์
แต่ว่าธรรมะจะช่วยใครไม่ได้ถ้าผู้นั้นไม่ช่วยตัวเอง การช่วยตัวเอง ก็คือต้องปฏิบัติตัว ต้องศึกษาธรรมะให้เข้าใจ ต้องเดินตามทางธรรมะ

การเดินนั้น เรียกว่า การปฏิบัติธรรม เมื่อเราปฏิบัติ เราก็ไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจ จุดหมายของการปฏิบัติธรรมอยู่ที่ใด ? อยู่ที่วิมุตติ ท่านเรียกว่า วิมุตติ วิมุตติ แปลว่า แปลว่า ความพ้นทุกข์

เราปฏิบัติในศีลก็ดี ในสมาธิก็ดี ในปัญญาก็ดี เพื่อไปสู่จุดแห่งความพ้นทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทางของการปฏิบัติ ถ้าเราเดินไปมันก็ต้องถึง ไม่ช้าก็เร็ว บางคนอาจเดินช้า บางคนอาจเดินเร็ว ชาวบ้านเดินช้า เพราะลูกถ่วงมันมาก นั่นถ่วง นี่ถ่วง พระเราไปได้เร็ว เพราะไม่มีลูกถ่วง เรามันคนเดียว ไปคนเดียว แต่ชาวบ้านนั้นทั้งครอบครัวหลายคนเหลือเกิน เช่น มีลูกออกมาเป็นภาระผูกพัน ไม่สามารถจะไปได้เร็ว แต่นักบวชนี้ไปเร็วได้ เพราะไม่มีภาระผูกพัน ไปสู่จุดหมายปลายทาง จุดหมายนั้นเป็นที่ตั้งของความพ้นทุกข์ ทุกคนไปถึงได้ ช้าหรือเร็วไปถึงทั้งนั้นถ้าว่าไป แต่ถ้าไม่ไปแล้วมันก็ไม่ถึง จุดหมายมันอยู่ตรงนั้น
การปฏิบัติธรรมะก็เพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ใช่เรื่องอะไร ให้เข้าใจอย่างนั้น ระลึกถึงพระธรรมว่า เป็นทางเดินของชีวิต เป็นยารักษาใจ เป็นเครื่องประดับใจ เป็นอาหารใจ ช่วยให้ใจเราสบาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร