วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2013, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปาทาน

วศิน อินทสระ


โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 007390 - โดยคุณ : mayrin [ 13 ธ.ค. 2545 ]

โดยทั่วไปชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความยึดมั่น เร่าร้อนอยู่ด้วยความต้องการอันไม่มีขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด ถูกความอยากเผาลนให้เร่าร้อนอยู่ภายใน แม้สิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นความสุขหรือความสนุกสนานเพลิดเพลิน ก็มีความทุกข์เจือปนอยู่ แต่มนุษย์ก็ยังต้องการ

วัตถุแห่งความยึดของบุคคลนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ๔ ประการ เรียกว่า อุปทาน

๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม

๒. ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในทิฐิ

๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรตหรือพิธีรีตองต่าง ๆ

๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในตัวตน

รูปภาพ

๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นในกาม

กามแปลได้ ๒ อย่าง คือ ความใคร่อย่างหนึ่ง สิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนาอย่างหนึ่ง อย่างหลังท่านเรียกว่าวัตถุกาม อย่างแรกเรียกว่ากิเลสกาม

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่น่าปรารถนาน่าพอใจ นั่นเองเป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ตั้งแห่งกามเป็นสิ่งเร้าให้เกิดความใคร่ ส่วนตัวความใคร่เองท่านเรียกว่ากิเลสกาม

มนุษย์ทั้งหลายได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของกามทั้ง ๒ นี้ อย่างไรเห็น ๆ กันอยู่แล้ว มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ว่า ความสุขของเขาจะมีได้ก็ต้องอาศัยกาม คือต้องได้เห็นรูป ได้ฟังเสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้นรสและได้ถูกต้องสิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ

ปราศจากสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเขาจะมีความสุขไม่ได้ แม้ตัวความใคร่เองซึ่งมีสภาพเป็นสิ่งเร่าร้อนกระวนกระวาย ทำปัญญาให้มืดมน ทำจิตให้ตกต่ำ เขาก็ยังเข้าใจผิดไปว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขของเขา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ เขาไม่เคยได้รับความสุขใดที่เหนือกว่านี้หรือแปลกไปกว่านี้

เช่นความสุขอันเกิดจากความสงบ หรือเกิดจากคุณธรรม เหมือนเด็กที่พอใจแต่ในความสุขอันเกิดจากการเล่นทรายหรือโคลนตม แต่พอเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็เลิกพอใจในความสุขอย่างนั้น แต่พอใจในความสุขที่สะอาดกว่า ประณีตกว่า

เขาจะไปจับต้องทรายหรือโคลนตมก็ด้วยความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเกี่ยวกับการงานเป็นต้น แล้วก็รีบล้างมือ ล้างตัวให้สะอาด

ในทำนองเดียวกัน คนที่จิตใจยังเยาว์ยังไม่ได้รับการพัฒนาทางจิตใจ ย่อมพอใจหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในกาม ด้วยความสำคัญผิดและยึดมั่นอยู่ว่า "กามนี้เท่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข" แม้ถูกหนามแห่งกามทิ่มแทงเอา ถูกไฟคือกามเผาลนเอาก็ยังไม่รู้สึก

สำคัญผิดไปอีกว่าเป็นเพราะเหตุอื่นและโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่แท้เป็นเรื่องของความใคร่ในกามคุณของตนเอง เป็นเรื่องความยึดมั่นของตนเอง

ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มรักหญิงสาว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นความใคร่ในกามคุณเสียมากกว่าความรักแท้รักบริสุทธิ์ แต่เขายังเข้าใจผิดว่าความรักของเขาบริสุทธิ์ เขารักด้วยต้องการเชยชม รูป เสียง กลิ่น รสและผัสสะทางกายที่จะพึงได้จากหญิงนั้น

แม้จะมีเรื่องคุณธรรมและความเห็นอกเห็นใจเจืออยู่ด้วยก็ตาม ข้อพิสูจน์ว่าเขารักใคร่ด้วยอำนาจกามคุณก็คือ ถ้าหญิงนั้นไปเกี่ยวข้องกับชายอื่นในแง่เสน่หา เขาจะโกรธมาก อาจทำลายชีวิตของหญิงนั้นเสียก็ได้

นี่หรือรักแท้ รักบริสุทธิ์ ความจริงมันคือกามคุณที่เขาพากันเรียกเสียใหม่ว่า ความรัก เพราะความรักของเขาเต็มไปด้วยความยึดมั่น หวงแหน คับแค้น เร่าร้อน ริษยาและทำให้เกิดโทสะง่ายที่สุด ในกรณีที่หญิงสาวรักชายหนุ่มก็เหมือนกัน

ในรายที่แต่งงานกัน จนมีลูกด้วยกันแล้ว ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปรักคนอื่นอีกก็ถือเป็นเรื่องเดือดร้อนมาก ความริษยา ความชิงชัง ความอาฆาตเคียดแค้น เกิดขึ้นอย่างสุดจะพรรณนาได้ จนถึงกับทำร้าย ทุบตีและประหารชีวิตของฝ่ายหนึ่งเสียก็มี

ความเคียดแค้นเหล่านั้น สืบเนื่องมาจากความใคร่ ความยึดมั่นในกาม ข้อพิสูจน์ก็คือในรายที่เรามิได้มีความใคร่ ความยึดมั่นในกามก็ไม่ทำให้เราเดือดร้อนได้ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะไปทำอะไร อย่างไร กับใครที่ไหน

การทำการแก้แค้น สร้างเวรสร้างกรรมจนเขาเสียชีวิตและตนเองต้องเป็นอาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? ลูกของตนซึ่งมีพ่อหรือแม่ เป็นอาชญากรนั้นเป็นเกียรติยศนักหรือ ? การต้องไปติดคุกติดตาราง ถึง ๒๐ - ๓๐ ปี นั้นเป็นเกียรติหรือ ?

ถ้ามองชีวิตในระยะยาวจะเห็นว่าไม่ควรทำ เมื่อเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นก็ควรจะละอุปาทานในกามเสีย และถือเป็นโอกาสปลีกตนออกจากกาม ซึ่งเป็นของร้อน เข้าหาความสงบเย็นในธรรม หรือการบำเพ็ญคุณงามความดีให้สูงขึ้นไปจนใจพ้นจากความยึดมั่นและจะเห็นคุณค่าของการทำอย่างนี้ด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม กามคุณนี่แหละ คือเสน่ห์ของโลก เพราะมันเป็นเหยื่อของโลก (โลกามิส) ทำนองเดียวกับเหยื่อที่ติดอยู่กับเบ็ดหุ้มเบ็ดอยู่ นั้นแหละคือเสน่ห์ของเบ็ด ปราศจากเหยื่อแล้วจะไม่มีปลาตัวใดติดเบ็ด

เพราะเหยื่อปลาจึงติดเบ็ด ได้กินเหยื่อเพียงนิดเดียว กลืนเบ็ดเข้าไปด้วย ปลาโง่จึงถูกพรานเบ็ดลากไปได้ตามปรารถนา และวัดขึ้นบกต้องทุรนทุราย ทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะสิ้นชีวิตและเป็นเหยื่อของพรานเบ็ดนั่นเอง

ลองนึกดูเถิดว่าคนในโลกที่พอใจติดเหยื่อของโลกแล้วต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกนี้มีประมาณเท่าใด น่าสงสารเพียงใด น่าช่วยเหลือเพียงใด อย่างน้อยช่วยให้เขาได้รู้ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย

ขอให้กินเหยื่อด้วยความระมัดระวัง ถ้าฉลาดขึ้นก็จะกินแต่เหยื่อได้โดยไม่ติดเบ็ด ทำให้พรานเบ็ดต้องเก้อ ยกเบ็ดขึ้นดูบ่อย ๆ เห็นแต่เบ็ด เหยื่อหายไป

แต่จะมีใครสักกี่คนเล่าในโลกนี้ ที่เป็นเช่นปลาฉลาด รอบรู้ และที่ฉลาดขึ้นไปกว่านั้น ก็สามารถรู้ได้ว่าเหยื่ออันใดมีเบ็ดเหยื่ออันใดไม่มีเบ็ด เลือกกินเฉพาะเหยื่อที่ไม่มีเบ็ด ก็จะสามารถรักษาตัวให้ปลอดภัยโดยตลอด

ความกำหนัดในกามเป็นอาสวะ (สิ่งหมักดอง) อย่างหนึ่ง ซึ่งหมักหมมอยู่ในจิตสันดานของสัตว์โลก ยากที่จะละหรือปลดเปลื้องได้ ทั้งนี้เพราะมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ คอยเป็นเหยื่อล่อให้หลง เป็นหลุมพรางให้ก้าวขึ้นไป เมื่อติดหล่มคือกามแล้ว ก็ยากที่จะถอนตนขึ้นมาแล้วก้าวให้พ้นไปได้

สำหรับผู้สำเหนียกรู้ถึงโทษของกามแล้วพยายามออกจากกาม แต่ยังออกไม่ได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นพันธกรณีเกี่ยวกับความรับผิดชอบ หรือกำลังใจยังไม่พอเป็นต้น ก็ไม่น่าวิตก เพราะถึงอย่างไรคนพวกนี้ จะต้องออกไปได้วันหนึ่งเมื่อพันธกรณีสิ้นสุดลง

หรืออบรมจิตและปัญญาจนกำลังใจและกำลังปัญญาเพียงพอแล้ว แต่คนที่ไม่เคยสำเหนียกรู้ถึงโทษของกามเลย ศึกษาเรียนรู้แต่เรื่องคุณของกาม ได้ยินได้ฟังแต่กถาอันเป็นเหตุให้ความกระหายในกามเริงแรงขึ้น มีกิจกรรมอันยั่วยุกามารมณ์อยู่ไม่เว้นวัน

การศึกษา การทำงาน และการเกี่ยวข้องในสังคมล้วนมุ่งเอาความสำเร็จทางกามเป็นผลที่มุ่งหมาย ในฐานะเป็นความสำเร็จของชีวิต ถ้าอย่างนี้แล้วเขาจะออกจากกามได้อย่างไร คงจะต้องยึดมั่นเอากามารมณ์เป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตเป็นแน่แท้

ในขณะที่กำลังแสวงหาอยู่นั้น ดวงจิตของเขาก็จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ คือ ความผิดหวัง ระทมขมขื่น โชกด้วยน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงกระเสือกกระสน แสวงหากามอยู่นั่นเอง เพราะอานุภาพของกามุปาทาน คือยึดมั่นว่ากามนี่แหละเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอันแท้จริง

กามในฐานะเป็นบ่วงที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "กามปาสะ" หรือกามบาสนั้นมีลักษณะคล้องและผูกมัดสัตว์ทั้งหลายไว้ในภพให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏแห่งกามภพนี้

การผูกมัด มีลักษณะที่ผูกหย่อน ๆ ก็จริง แต่แก้ได้ยากมากทีเดียว ผู้ต้องการแก้จะต้องใช้กำลังใจมาก ใช้กำลังสมาธิอย่างแรง เพราะแก้ไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดา เหมือนปมบางอย่างที่แก้ได้ยาก มันยุ่งไปหมด ต้องใช้ดาบฟัน ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกปมชนิดนี้ว่า Gordian Knot* อย่างที่ประเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราชทรงทำ

กามคุณในฐานะเป็นพวงดอกไม้ของมาร มารคือสิ่งที่ล้างผลาญคุณความดี และทำให้เสียคนได้ง่าย มารอาศัยพวงดอกไม้ทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัสทางกายนี่แหละเที่ยวยั่วยวนมนุษย์และสัตว์ในกามโลกทั้งมวล ให้หลงเพลิดเพลินเดินเข้าไปสู่หลุมพรางของตนแล้วกักขังห้ำหั่นย่ำยีเอาได้ตามใจปรารถนา

การควบคุมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การทำจิตให้มั่นคงด้วยกำลังสมาธิ และการพัฒนาปัญญาให้รุ่งเรือง จนสามารถมองเห็นโทษของกามคุณอย่างชัดเจนอยู่เสมอ ๆ ทางนี้แหละจะสามารถเอาชนะกามกิเลสได้ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในกามโลกนี้อีก

ความเร่าร้อนทางใจอันมีกามคุณเป็นเหตุนั้น ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในที่ทั่วไป ทั้งที่เกิดขึ้นแก่ตนเองและเกิดแก่ผู้อื่น น่าจะเป็นสังเวควัตถุ (เรื่องชวนสังเวชสลดจิต) เพื่อถอนใจออกไปจากกามุปาทานได้

สำหรับผู้มีปัญญาจักษุดำเนินชีวิตอยู่ในทางสว่าง แต่สำหรับผู้ไร้ปัญญาจักษุเดินอยู่ในทางมืดและไร้ประสบกราณ์ก็คงมองไม่เห็นอะไรอยู่นั่นเอง

---------------------------------

* เล่ากันว่าเป็นปมที่กษัตริย์กอรดิอุส (Gordius) แห่งไฟรเกีย (Phrygia) ผูกไว้ในสมัยโบราณ กล่าวกันว่าใครแก้ปมนี้ได้จะได้เป็นใหญ่ในเอเชีย อเลกซานเดอร์มหาราช ทรงใช้ดาบของพระองค์ตัดปมนี้

ดังนั้นคำว่า "ตัดกอร์เดียน น้อท" จึงกลายเป็นสำนวนหมายความว่า การแก้ปัญหายุ่งยากโดยฉับพลันด้วยการใช้กำลัง อธิบายนี้จากพจนานุกรมอังกฤษฉบับของ A.S. Hornby หน้า ๕๓๙

http://www.dharma-gateway.com/ubasok/wa ... in-001.htm

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:


เพลงนี้คงจะโดนใจหลายๆ คนนะคะ

รักเอย

รักเอย เจ้าไม่เคยเว้นผู้ใด
ไม่ว่าเกิดอยู่ในฐานะใด
ไม่มีใครหลุดพ้นมันเลย

ตั้งใจจะไม่รัก
ก็ยังต้องรัก แพ้ตัวเองไปอย่างนี้
ต้องยอมทนแลกหัวใจที่มี
เพราะว่ารักคำเดียว

เจ็บยังไงก็ทน
เพราะว่ามันรัก ทำไมเป็นอย่างนี้
ผิดก็ทำก็ยอม
ไม่มีศักดิ์ศรี ก็เพราะรักเธอผู้เดียว

รักเอย
เจ้าบงการทุกทุกอย่าง
ไม่มีหวังก็ยังคิดรักเธอ
ทั้งทั้งที่ก็รู้ตัวดี

ตั้งใจจะไม่รัก
ก็ยังต้องรัก แพ้ตัวเองไปอย่างนี้
ต้องยอมทนแลกหัวใจที่มี
เพราะว่ารักคำเดียว

เจ็บยังไงก็ทน
เพราะว่ามันรัก ทำไมเป็นอย่างนี้
ผิดก็ทำก็ยอม
ไม่มีศักดิ์ศรี ก็เพราะรักเธอผู้เดียว

ตั้งใจจะไม่รัก
ก็ยังต้องรัก แพ้ตัวเองไปอย่างนี้
ต้องยอมทนแลกหัวใจที่มี
เพราะว่ารักคำเดียว

เจ็บยังไงก็ทน
เพราะว่ามันรัก ทำไมเป็นอย่างนี้
ผิดก็ทำก็ยอม
ไม่มีศักดิ์ศรี ก็เพราะรักเธอผู้เดียว

เพราะว่ามันรัก ทำไมเป็นอย่างนี้
ผิดก็ทำก็ยอม
ไม่มีศักดิ์ศรี ก็เพราะรักเธอผู้เดียว


...อ้างอิง http://sz4m.com/t8354

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องความรักมันเป็นเรื่องที่เกิดทุกข์ภายในใจเรา มันต้องแก้ที่ใจเราให้วางเฉยได้ ไม่ใช่ไปแก้ตัวให้คนอื่น
การไปดิ้นรนเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่ง โดยคิดแทนเค้าว่า เค้าคงอย่างนั้นอย่างนี้ คือเห็นว่าเค้าหลอกเราแล้ว
ก็ยังพยายามไปคิดแทนเค้าในแง่ดี เพื่อที่จะได้มีเหตุผลในการที่จะรักกันต่อไป คือ ทิ้งเค้าไม่ได้
ทั้งๆ ที่เค้ามีคนอื่นอยู่แล้ว แต่คุณก็ไม่ผิดคุณไม่รู้ว่าเค้ามีคนของเค้าอยู่แล้วที่บ้าน แล้วไม่ใช่เพิ่งอยู่ด้วยกัน
เค้าอยู่กันมานานแล้วถึง 8 ปี เค้ายังบอกว่าให้คุณรอเค้าเคลียร์ที่บ้านเค้าก่อน เค้าไม่เปิดเผยตัวตนเค้า
ในขณะที่คุณเปิดเผยทุกอย่างที่เป็นคุณ เค้าทำเป็นพยายามพูดแบบคนมีธรรมะว่าให้คุณกับเค้าอยู่กับ
ปัจจุบัน การอยู่กับปัจจุบันนั้นพระพุทธองค์หมายถึงอยู่กับกุศล คำว่าอยู่กับปัจจุบันใช้กับเรื่องที่เป็นอกุศล
ไม่ได้ นี่มันเอาคำธรรมะมาใช้หลอกผู้หญิง เวรกรรมแท้ๆ

การที่ฝ่ายชายมีคู่อยู่แล้วนั้น แล้วมาพูดกับคุณแบบนี้ มาทำเหมือนไม่มีใครเป็นโสด แล้วพูดว่า
รอเค้าก่อนนะ เค้าจะขอเคลียร์คนที่บ้านคนที่เค้าต้องดูแลเพราะสงสารมานาน คนแบบนี้มันเห็นแก่ตัวชัดๆ
คุณไม่ต้องไปหาคำแก้ตัวให้ผู้ชายคนนี้ เพื่อเป็นเหตุผลในการที่จะรักเค้าต่อไป จะรอเค้าเคลียร์กับคนของ
เค้า วันนี้คุณเจ็บคุณเสียใจจนแทบทนไม่ได้ คนที่บ้านของผู้ชายคนนี้เค้าก็เจ็บยิ่งกว่าเพราะเค้าอยู่กัน
มานาน เป็นกรรมของคุณที่โดนผู้ชายคนนี้หลอกทำเป็นพูดไม่เคลียร์เหมือนว่าเค้าไม่มีใคร เหมือนเค้าดูแลญาติอยู่ แต่ไม่เคยบอกคุณว่าเค้าเป็นอะไรกัน มันเป็นเวรกรรมของคุณค่ะที่ต้องโดนหลอกให้รัก

ความทุกข์วันนี้นั้นให้แก้ที่ใจตนเอง คุณไม่สามารถไปแก้ที่ผู้ชายคนนี้ได้ เพราะเค้ามีปัญหามากมาย
ซับซ้อน ทุกอย่างที่เห็นในวันนี้ส่อให้เห็นนิสัยสันดานของเค้าแล้ว ไม่ต้องไปมองเค้าในแง่ดีได้แล้ว
ตัดใจซะตั้งแต่วันนี้เถอะค่ะ ก่อนที่ใจมันยากจะถ่ายถอน ยิ่งนานวันยิ่งยากที่จะตัดใจ

ที่ทำกระทู้นี้เพราะสงสารคุณมากๆ ค่ะ คุณไม่มีความผิดเลยเพราะคุณไม่รู้ว่าเค้ามีใครที่บ้านอยู่แล้ว
แต่ต่อจากนี้คุณรู้แล้วว่าอะไรคืออะไร หากคุณยังจะรักกับเค้าต่อไป คุณก็คิดเองล่ะกันว่า
" มันผิดหรือไม่ "

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ตกลงตามที่ส่งข่าวมานะคะ ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้แล้ว ดีใจด้วยค่ะ
:b27: สู้ๆ คือวิริยะ เพียรทำความดี อะไรไม่ดีอย่าไปทำมัน
:b37: แล้วก็กินอาหารเข้าไปเยอะๆ ด้วยนะ ฝืนๆ กินเข้าไป
ไม่ต้องเสียใจ ผู้ชายดีๆ มีอยู่ ก็ทำใจสบายๆ แล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2013, 19:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2013, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




สำหรับใครบางคนที่แผลเพิ่งหายมาหมาดๆ cool

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2013, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ



:b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50:

:b8: ขอบคุณภาพจากเวป http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 5&gblog=84


---------------------------------------------------

:b53: ข้ามเวลามาดูคู่นี้บ้างค่ะ

รูปภาพ

:b8: ขอบคุณภาพจากเวป manager online ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2013, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ขอบ่นๆ ระบายเรื่องชาวบ้านหน่อยนึงนะคะ คือดิฉันมีอาชีพทำบ้านให้เช่า มีลูกบ้านของดิฉันหลังหนึ่ง
อยู่กันแค่แม่กับลูก 2 คน แม่ก็คงอายุ 40 กว่า ส่วนลูกสาวก็อายุประมาณ 20 อยู่บ้านทุกวัน

เรื่องก็คือ กลางวัน หรือบ่าย จะมีนายทหารเรือ อายุประมาณ 40 ขึ้นไปค่ะ ขี่มอเตอร์ไซร์มาหาเกือบทุกวัน
คือดิฉันจะเห็นคุณทหารขี่มอไซร์มาเกือบทุกวัน เพราะดิฉันจะลงไปดูสวนหน้าบ้านเกือบทุกวัน ยกเว้นวัน
ฝนตกก็อยู่ในบ้าน หรือบางครั้งดิฉันเดินออกจากบ้านไปซื้อของ ก็จะสวนทางกับคุณทหารรูปหล่อยิ้มหวาน
ให้ดิฉัน เพราะรู้จักว่าดิฉันเป็นเจ้าของบ้านที่เมียน้อยของแกเช่าอยู่ พอเวลาใกล้เลิกงานคุณทหารก็ขับ
มอไซร์กลับ ไม่เคยค้างบ้านเมียน้อย

ดิฉันว่า ภรรยาที่บ้านคุณทหารคงไม่ทราบละมั้งว่า สามีมีเมียน้อย
คุณทหารเรือถึงจะอายุมากแล้วก็จริง แต่หน้าตาหล่อยิ้มหวาน หุ่นก็สมาร์ทสมเป็นชายชาติทหารมีกิ๊ก
น่าสงสารคุณภรรยาเน๊อะ คุณทหารสามีก็เนียนมาก ไม่เคยอยู่เกิน 4 โมงเย็นสักครั้ง

รูปภาพ

:b47: ภาพเอามาจากเวปผู้จัดการออนไลน์

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2013, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว



.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2018, 13:28 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2019, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2021, 08:53 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron