วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 355 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 24  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2018, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/36840949_1445229332287556_4393209488870473728_n.jpg?_nc_cat=0&oh=af5528f45453231ca1dc30d2bd71d693&oe=5BA7914B

......หลวงพ่อท่านก็ได้อธิบายโดยย่อว่า...

เฟสบุคก็เหมือนมีดมีคมปลายแหลม
.....

ใช้หั่นผักผลไม้ได้ ใช้แทงตัวเองก็ได้ ใช้เผยแพร่ธรรมก็ได้ ภาพและข้อความไหน?ดีก็เซฟไว้ในสมอง ภาพและข้อความไหนไม่ดีทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็ลบทิ้งไป

.....

ทั้งโยมสุจินต์กับพระ คงไม่ใช้มีด หรือเฟสบุคแทงตัวเองเป็นแน่แท้

.....

กิเลสก็ขัดเกลา ดูเฟสก็ดูว่าใครเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา

.....

เหมือนเงินตรา จะใช้บริจาคทำบุญก็ได้ จะใช้จ้างมือปืนยิงคนก็ได้ จะใช้ทำบุญก็ได้ จะใช้ทำบาปก็ได้ จะดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่เงิน อยู่ที่ตัวบุคลนั้นจะเห็นคุณค่าของเงิน

.....

เฟสก็เช่นกัน พระจะใช้เป็นสะพานบุญก็ได้ จะใช้เป็นสะพานบาปก็ได้ ถ้าพระท่านไม่ปรารถนานิพพานชาตินี้
ก็ใช้สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาในชาตินี้ได้

.....

พระที่เผยแพร่ธรรมทางโซเชียลมีเดียก็รวดเร็วถึงห้องนอนได้ นอนฟังได้
มันไม่เหมือนสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ คือต้องจาริกไป เดินไป แล้วไปเทศนา มันก็ต้องเหนื่อย

.....

อย่างเรานี้ ถ้าอยากเทศน์เฟสบุคไลฟ์ ก็เทศน์ได้เลย คนฟัง 5 คน อาตมาก็พอใจ ในสมัยครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้คนฟัง 100 คน ได้ดวงตาเห็นธรรมเพียง 1 คน พระองค์ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปไลฟ์ในทางที่ไม่ดี และโยมไม่ต้องให้ใครเสียเงินติดกันเทศน์ โยมสุจินต์ควรมองสองด้าน คือด้านคุณและด้านโทษ ด้านบวกและด้านลบ

ด้านคุณก็มีมาก ด้านโทษก็มีเยอะถ้าพระใช้ไม่ถูกธรรมวินัย
.....
คนเรามีอิสระคิดในกรอบที่ดีงาม เมื่อพระใช้เฟสในกรอบที่ดีงาม ในการเผยแพร่พระธรรมก็ย่อมทำได้
มิใช่มีแต่โยมจะใช้เผยแพร่ธรรมได้เฉพาะโยมป้าสุจินต์เท่านั้น พระสงฆ์องค์เณรถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องเผยแผ่ธรรม
......

โยมอย่ามีโมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง ใช้อัตโนมติของตนติเตียนพระ

.....

เรื่องเห็นภัยในวัฏสงสาร...มันก็เป็นเรื่องต้องไปเรื่อยๆ ในระหว่างเดินทางในสังสารวัฏ
พระก็เห็นภัย แต่เมื่อยังไม่บรรลุธรรมเกิดชาติใหม่ก็ค่อยว่ากันต่อไป
โยมตัดภัยในวัฏสงสารได้ก่อนพระ อาตมาก็ขออนุโมทนาบุญกับโยมป้าสุจินต์ด้วย
แต่อาตมานี้ของดการเสพผู้หญิง (งดการมีเพศสัมพันธุ์) งดการอยู่การครองเรือน เสียสละจากเพศฆราวาส ก็รู้สึกอดทนมากมายหลายประการ และจางคลายความกำหนัดที่เคยเป็นเมื่อก่อนครั้งยังไม่ได้บวช หรืออาจจะเป็นด้วยอำนาจเนกขัมมะบารมีที่ได้สั่งสมมาก็อาจจะเป็นได้

https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8 ... =feed_text

rolleyes
ทีวีวิดีโอเฟสบุคไลน์อินเทอร์เน็ตเป็นของโลกนะคะ
การเสพข่าวจากสื่อต่างๆเป็นการส่งจิตออกถูกไหมคะ
คิดสิคะคิดครั้งพุทธกาลความสะดวกคือกันดารกว่าปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันเครื่องส่งเสริมกิเลสมีมากกว่าถูกไหมคะคิดให้ตรงปกติ
ถ้าปัจจุบันส่งเสริมการเสพคุ้นกับโลกผู้บวชก็ไปตามโลกดีกว่าชาวโลกไหม
พิจารณาสิคะสละอะไรไม่ได้เลยกิเลสเห่อเหิมจนจะแก้ไขคำสอนเอาสะดวกเข้าว่า
มันเกินเลยคำสอนไหมคิดเป็นไหมเพราะไม่คิดตามคำตถาคตมีเกินอัฏบริขารบวชทำลายคำสอนตรงไหม
คำของตถาคตทุกคำส่องถึงจิตผู้ที่กำลังฟังคำสอนแล้วรู้ตัวเพราะดูที่กายใจตนเองไม่ส่งออกไปตามกิเลสค่ะ
บวชไปเถอะพากันไปอบายภูมิเป็นว่าเล่นทำผิดไม่รู้ว่าทำผิดไปนรกแล้วกลับมาบอกได้ไหมคะฟังให้เข้าใจนะ
:b32: :b32:



คอเดียวกับบริหารสุวรรณเขตเลย คิดทื่อๆ คิกๆๆ

Kiss
:b12:
อริยบุคคลมีสติตลอดเวลาแล้วยังขาดฟังไม่ได้ประมาทไหมคะ
สาวกของพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ฟังคำสอนเข้าใจจนเข้าถึงความจริง
และทราบว่าคำจริงเปลี่ยนไม่ได้พลิกแพลงไม่ได้กลับไปกลับมาไม่ได้
ไม่ตรงคือผ่านไปแก้ไม่ได้คืออดีตผ่านไปเดียวนี้ก็ไม่ตรงก็ไม่รู้ตลอดอ่ะ
จะให้ว่าไงคะ...ทุกคำในพระไตรปิฎกคือคำจริงตรงขณะของจิตทีละ1ดวง
หลากหลายตามการสะสมแต่ละ1ไม่ซ้ำเดิมดับแล้วไม่ย้อนกลับมาให้รู้ได้เลยค่ะ
มีวิบากจิตขณะใหม่มาปรากฏตลอดเวลาไม่ทันเลยแม้1คำที่จิตมีคือตนมีอวิชชาแล้ว
ใครจะทำอะไรได้เอาแค่เห็นอย่างเดียวที่กำลังเห็นอยู่นี้แหละตอนกะพริบตาเห็นอันใหม่แระ
เอาสิเอาเห็นก่อนกะพริบตาออกมาถอนกิเลสหน่อยสิหรือถอนกิเลสของเห็นตอนไหนมิทราบคะ
กะพริบตาเนี่ยมันดับครบ6ทางอายตนะแล้วทันสัก1ทางไหมคะ :b32: แค่กะพริบตากิเลสนับไม่ถ้วน
รู้รึป่าวว่าปัญญาโผล่ขึ้นมานิดนึงท่ามกลางกิเลสตอนเข้าใจความจริงถูกตามได้มันเกิดปัญญาอาจ1ในล้าน
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/36840949_1445229332287556_4393209488870473728_n.jpg?_nc_cat=0&oh=af5528f45453231ca1dc30d2bd71d693&oe=5BA7914B

......หลวงพ่อท่านก็ได้อธิบายโดยย่อว่า...

เฟสบุคก็เหมือนมีดมีคมปลายแหลม
.....

ใช้หั่นผักผลไม้ได้ ใช้แทงตัวเองก็ได้ ใช้เผยแพร่ธรรมก็ได้ ภาพและข้อความไหน?ดีก็เซฟไว้ในสมอง ภาพและข้อความไหนไม่ดีทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็ลบทิ้งไป

.....

ทั้งโยมสุจินต์กับพระ คงไม่ใช้มีด หรือเฟสบุคแทงตัวเองเป็นแน่แท้

.....

กิเลสก็ขัดเกลา ดูเฟสก็ดูว่าใครเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา

.....

เหมือนเงินตรา จะใช้บริจาคทำบุญก็ได้ จะใช้จ้างมือปืนยิงคนก็ได้ จะใช้ทำบุญก็ได้ จะใช้ทำบาปก็ได้ จะดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่เงิน อยู่ที่ตัวบุคลนั้นจะเห็นคุณค่าของเงิน

.....

เฟสก็เช่นกัน พระจะใช้เป็นสะพานบุญก็ได้ จะใช้เป็นสะพานบาปก็ได้ ถ้าพระท่านไม่ปรารถนานิพพานชาตินี้
ก็ใช้สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาในชาตินี้ได้

.....

พระที่เผยแพร่ธรรมทางโซเชียลมีเดียก็รวดเร็วถึงห้องนอนได้ นอนฟังได้
มันไม่เหมือนสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ คือต้องจาริกไป เดินไป แล้วไปเทศนา มันก็ต้องเหนื่อย

.....

อย่างเรานี้ ถ้าอยากเทศน์เฟสบุคไลฟ์ ก็เทศน์ได้เลย คนฟัง 5 คน อาตมาก็พอใจ ในสมัยครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้คนฟัง 100 คน ได้ดวงตาเห็นธรรมเพียง 1 คน พระองค์ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปไลฟ์ในทางที่ไม่ดี และโยมไม่ต้องให้ใครเสียเงินติดกันเทศน์ โยมสุจินต์ควรมองสองด้าน คือด้านคุณและด้านโทษ ด้านบวกและด้านลบ

ด้านคุณก็มีมาก ด้านโทษก็มีเยอะถ้าพระใช้ไม่ถูกธรรมวินัย
.....
คนเรามีอิสระคิดในกรอบที่ดีงาม เมื่อพระใช้เฟสในกรอบที่ดีงาม ในการเผยแพร่พระธรรมก็ย่อมทำได้
มิใช่มีแต่โยมจะใช้เผยแพร่ธรรมได้เฉพาะโยมป้าสุจินต์เท่านั้น พระสงฆ์องค์เณรถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องเผยแผ่ธรรม
......

โยมอย่ามีโมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง ใช้อัตโนมติของตนติเตียนพระ

.....

เรื่องเห็นภัยในวัฏสงสาร...มันก็เป็นเรื่องต้องไปเรื่อยๆ ในระหว่างเดินทางในสังสารวัฏ
พระก็เห็นภัย แต่เมื่อยังไม่บรรลุธรรมเกิดชาติใหม่ก็ค่อยว่ากันต่อไป
โยมตัดภัยในวัฏสงสารได้ก่อนพระ อาตมาก็ขออนุโมทนาบุญกับโยมป้าสุจินต์ด้วย
แต่อาตมานี้ของดการเสพผู้หญิง (งดการมีเพศสัมพันธุ์) งดการอยู่การครองเรือน เสียสละจากเพศฆราวาส ก็รู้สึกอดทนมากมายหลายประการ และจางคลายความกำหนัดที่เคยเป็นเมื่อก่อนครั้งยังไม่ได้บวช หรืออาจจะเป็นด้วยอำนาจเนกขัมมะบารมีที่ได้สั่งสมมาก็อาจจะเป็นได้

https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8 ... =feed_text

rolleyes
ทีวีวิดีโอเฟสบุคไลน์อินเทอร์เน็ตเป็นของโลกนะคะ
การเสพข่าวจากสื่อต่างๆเป็นการส่งจิตออกถูกไหมคะ
คิดสิคะคิดครั้งพุทธกาลความสะดวกคือกันดารกว่าปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันเครื่องส่งเสริมกิเลสมีมากกว่าถูกไหมคะคิดให้ตรงปกติ
ถ้าปัจจุบันส่งเสริมการเสพคุ้นกับโลกผู้บวชก็ไปตามโลกดีกว่าชาวโลกไหม
พิจารณาสิคะสละอะไรไม่ได้เลยกิเลสเห่อเหิมจนจะแก้ไขคำสอนเอาสะดวกเข้าว่า
มันเกินเลยคำสอนไหมคิดเป็นไหมเพราะไม่คิดตามคำตถาคตมีเกินอัฏบริขารบวชทำลายคำสอนตรงไหม
คำของตถาคตทุกคำส่องถึงจิตผู้ที่กำลังฟังคำสอนแล้วรู้ตัวเพราะดูที่กายใจตนเองไม่ส่งออกไปตามกิเลสค่ะ
บวชไปเถอะพากันไปอบายภูมิเป็นว่าเล่นทำผิดไม่รู้ว่าทำผิดไปนรกแล้วกลับมาบอกได้ไหมคะฟังให้เข้าใจนะ
:b32: :b32:



คอเดียวกับบริหารสุวรรณเขตเลย คิดทื่อๆ คิกๆๆ

Kiss
:b12:
อริยบุคคลมีสติตลอดเวลาแล้วยังขาดฟังไม่ได้ประมาทไหมคะ
สาวกของพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ฟังคำสอนเข้าใจจนเข้าถึงความจริง
และทราบว่าคำจริงเปลี่ยนไม่ได้พลิกแพลงไม่ได้กลับไปกลับมาไม่ได้
ไม่ตรงคือผ่านไปแก้ไม่ได้คืออดีตผ่านไปเดียวนี้ก็ไม่ตรงก็ไม่รู้ตลอดอ่ะ

จะให้ว่าไงคะ...ทุกคำในพระไตรปิฎกคือคำจริงตรงขณะของจิตทีละ1ดวง
หลากหลายตามการสะสมแต่ละ1ไม่ซ้ำเดิมดับแล้วไม่ย้อนกลับมาให้รู้ได้เลยค่ะ
มีวิบากจิตขณะใหม่มาปรากฏตลอดเวลาไม่ทันเลยแม้1คำที่จิตมีคือตนมีอวิชชาแล้ว
ใครจะทำอะไรได้เอาแค่เห็นอย่างเดียวที่กำลังเห็นอยู่นี้แหละตอนกะพริบตาเห็นอันใหม่แระ
เอาสิเอาเห็นก่อนกะพริบตาออกมาถอนกิเลสหน่อยสิหรือถอนกิเลสของเห็นตอนไหนมิทราบคะ
กะพริบตาเนี่ยมันดับครบ6ทางอายตนะแล้วทันสัก1ทางไหมคะ :b32: แค่กะพริบตากิเลสนับไม่ถ้วน
รู้รึป่าวว่าปัญญาโผล่ขึ้นมานิดนึงท่ามกลางกิเลสตอนเข้าใจความจริงถูกตามได้มันเกิดปัญญาอาจ1ในล้าน
:b32: :b32: :b32:




นี่แหละคิดอย่างนิครนถ์ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้

คุณโรสตอบคำถามนะ เอาตรงๆประเด็น ไม่ต้องอ้อมโลก

องคุลิมาลฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพัน แล้วทำไมเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/36840949_1445229332287556_4393209488870473728_n.jpg?_nc_cat=0&oh=af5528f45453231ca1dc30d2bd71d693&oe=5BA7914B

......หลวงพ่อท่านก็ได้อธิบายโดยย่อว่า...

เฟสบุคก็เหมือนมีดมีคมปลายแหลม
.....

ใช้หั่นผักผลไม้ได้ ใช้แทงตัวเองก็ได้ ใช้เผยแพร่ธรรมก็ได้ ภาพและข้อความไหน?ดีก็เซฟไว้ในสมอง ภาพและข้อความไหนไม่ดีทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็ลบทิ้งไป

.....

ทั้งโยมสุจินต์กับพระ คงไม่ใช้มีด หรือเฟสบุคแทงตัวเองเป็นแน่แท้

.....

กิเลสก็ขัดเกลา ดูเฟสก็ดูว่าใครเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา

.....

เหมือนเงินตรา จะใช้บริจาคทำบุญก็ได้ จะใช้จ้างมือปืนยิงคนก็ได้ จะใช้ทำบุญก็ได้ จะใช้ทำบาปก็ได้ จะดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่เงิน อยู่ที่ตัวบุคลนั้นจะเห็นคุณค่าของเงิน

.....

เฟสก็เช่นกัน พระจะใช้เป็นสะพานบุญก็ได้ จะใช้เป็นสะพานบาปก็ได้ ถ้าพระท่านไม่ปรารถนานิพพานชาตินี้
ก็ใช้สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาในชาตินี้ได้

.....

พระที่เผยแพร่ธรรมทางโซเชียลมีเดียก็รวดเร็วถึงห้องนอนได้ นอนฟังได้
มันไม่เหมือนสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ คือต้องจาริกไป เดินไป แล้วไปเทศนา มันก็ต้องเหนื่อย

.....

อย่างเรานี้ ถ้าอยากเทศน์เฟสบุคไลฟ์ ก็เทศน์ได้เลย คนฟัง 5 คน อาตมาก็พอใจ ในสมัยครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้คนฟัง 100 คน ได้ดวงตาเห็นธรรมเพียง 1 คน พระองค์ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปไลฟ์ในทางที่ไม่ดี และโยมไม่ต้องให้ใครเสียเงินติดกันเทศน์ โยมสุจินต์ควรมองสองด้าน คือด้านคุณและด้านโทษ ด้านบวกและด้านลบ

ด้านคุณก็มีมาก ด้านโทษก็มีเยอะถ้าพระใช้ไม่ถูกธรรมวินัย
.....
คนเรามีอิสระคิดในกรอบที่ดีงาม เมื่อพระใช้เฟสในกรอบที่ดีงาม ในการเผยแพร่พระธรรมก็ย่อมทำได้
มิใช่มีแต่โยมจะใช้เผยแพร่ธรรมได้เฉพาะโยมป้าสุจินต์เท่านั้น พระสงฆ์องค์เณรถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องเผยแผ่ธรรม
......

โยมอย่ามีโมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง ใช้อัตโนมติของตนติเตียนพระ

.....

เรื่องเห็นภัยในวัฏสงสาร...มันก็เป็นเรื่องต้องไปเรื่อยๆ ในระหว่างเดินทางในสังสารวัฏ
พระก็เห็นภัย แต่เมื่อยังไม่บรรลุธรรมเกิดชาติใหม่ก็ค่อยว่ากันต่อไป
โยมตัดภัยในวัฏสงสารได้ก่อนพระ อาตมาก็ขออนุโมทนาบุญกับโยมป้าสุจินต์ด้วย
แต่อาตมานี้ของดการเสพผู้หญิง (งดการมีเพศสัมพันธุ์) งดการอยู่การครองเรือน เสียสละจากเพศฆราวาส ก็รู้สึกอดทนมากมายหลายประการ และจางคลายความกำหนัดที่เคยเป็นเมื่อก่อนครั้งยังไม่ได้บวช หรืออาจจะเป็นด้วยอำนาจเนกขัมมะบารมีที่ได้สั่งสมมาก็อาจจะเป็นได้

https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8 ... =feed_text

rolleyes
ทีวีวิดีโอเฟสบุคไลน์อินเทอร์เน็ตเป็นของโลกนะคะ
การเสพข่าวจากสื่อต่างๆเป็นการส่งจิตออกถูกไหมคะ
คิดสิคะคิดครั้งพุทธกาลความสะดวกคือกันดารกว่าปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันเครื่องส่งเสริมกิเลสมีมากกว่าถูกไหมคะคิดให้ตรงปกติ
ถ้าปัจจุบันส่งเสริมการเสพคุ้นกับโลกผู้บวชก็ไปตามโลกดีกว่าชาวโลกไหม
พิจารณาสิคะสละอะไรไม่ได้เลยกิเลสเห่อเหิมจนจะแก้ไขคำสอนเอาสะดวกเข้าว่า
มันเกินเลยคำสอนไหมคิดเป็นไหมเพราะไม่คิดตามคำตถาคตมีเกินอัฏบริขารบวชทำลายคำสอนตรงไหม
คำของตถาคตทุกคำส่องถึงจิตผู้ที่กำลังฟังคำสอนแล้วรู้ตัวเพราะดูที่กายใจตนเองไม่ส่งออกไปตามกิเลสค่ะ
บวชไปเถอะพากันไปอบายภูมิเป็นว่าเล่นทำผิดไม่รู้ว่าทำผิดไปนรกแล้วกลับมาบอกได้ไหมคะฟังให้เข้าใจนะ
:b32: :b32:



คอเดียวกับบริหารสุวรรณเขตเลย คิดทื่อๆ คิกๆๆ

Kiss
:b12:
อริยบุคคลมีสติตลอดเวลาแล้วยังขาดฟังไม่ได้ประมาทไหมคะ
สาวกของพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ฟังคำสอนเข้าใจจนเข้าถึงความจริง
และทราบว่าคำจริงเปลี่ยนไม่ได้พลิกแพลงไม่ได้กลับไปกลับมาไม่ได้
ไม่ตรงคือผ่านไปแก้ไม่ได้คืออดีตผ่านไปเดียวนี้ก็ไม่ตรงก็ไม่รู้ตลอดอ่ะ

จะให้ว่าไงคะ...ทุกคำในพระไตรปิฎกคือคำจริงตรงขณะของจิตทีละ1ดวง
หลากหลายตามการสะสมแต่ละ1ไม่ซ้ำเดิมดับแล้วไม่ย้อนกลับมาให้รู้ได้เลยค่ะ
มีวิบากจิตขณะใหม่มาปรากฏตลอดเวลาไม่ทันเลยแม้1คำที่จิตมีคือตนมีอวิชชาแล้ว
ใครจะทำอะไรได้เอาแค่เห็นอย่างเดียวที่กำลังเห็นอยู่นี้แหละตอนกะพริบตาเห็นอันใหม่แระ
เอาสิเอาเห็นก่อนกะพริบตาออกมาถอนกิเลสหน่อยสิหรือถอนกิเลสของเห็นตอนไหนมิทราบคะ
กะพริบตาเนี่ยมันดับครบ6ทางอายตนะแล้วทันสัก1ทางไหมคะ :b32: แค่กะพริบตากิเลสนับไม่ถ้วน
รู้รึป่าวว่าปัญญาโผล่ขึ้นมานิดนึงท่ามกลางกิเลสตอนเข้าใจความจริงถูกตามได้มันเกิดปัญญาอาจ1ในล้าน
:b32: :b32: :b32:




นี่แหละคิดอย่างนิครนถ์ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้

คุณโรสตอบคำถามนะ เอาตรงๆประเด็น ไม่ต้องอ้อมโลก

องคุลิมาลฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพัน แล้วทำไมเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้

Kiss
:b32:
คำจริงคือคำวาจาสัจจะตรงปรมัตถสัจจะ
สมมุติน่ะเปลี่ยนได้แต่คำสัจจะคือคำสอน
เปลี่ยนไม่ได้เพราะถึงที่สุดแล้วเข้าใจไหม
เช่นธาตุดินมีลักษณะ2อย่างคืออ่อน-แข็ง
รู้สึกกระทบตรงคำว่าแข็งตรงที่กายสัมผัส
ตรงจริงยังเลยสติแปลว่ายังไม่ถึงกุศลเลย
เพราะสติเกิดกับกุศลจิตเท่านั้นไม่เกิดตอน
คิดเองเกิน1คำเพราะฉะนั้นอ่านเป็นสัญญา
ไม่ใช่ปัญญาเพราะต้องเข้าใจคำจริงที่จิตมี
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/36840949_1445229332287556_4393209488870473728_n.jpg?_nc_cat=0&oh=af5528f45453231ca1dc30d2bd71d693&oe=5BA7914B

......หลวงพ่อท่านก็ได้อธิบายโดยย่อว่า...

เฟสบุคก็เหมือนมีดมีคมปลายแหลม
.....

ใช้หั่นผักผลไม้ได้ ใช้แทงตัวเองก็ได้ ใช้เผยแพร่ธรรมก็ได้ ภาพและข้อความไหน?ดีก็เซฟไว้ในสมอง ภาพและข้อความไหนไม่ดีทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็ลบทิ้งไป

.....

ทั้งโยมสุจินต์กับพระ คงไม่ใช้มีด หรือเฟสบุคแทงตัวเองเป็นแน่แท้

.....

กิเลสก็ขัดเกลา ดูเฟสก็ดูว่าใครเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา

.....

เหมือนเงินตรา จะใช้บริจาคทำบุญก็ได้ จะใช้จ้างมือปืนยิงคนก็ได้ จะใช้ทำบุญก็ได้ จะใช้ทำบาปก็ได้ จะดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่เงิน อยู่ที่ตัวบุคลนั้นจะเห็นคุณค่าของเงิน

.....

เฟสก็เช่นกัน พระจะใช้เป็นสะพานบุญก็ได้ จะใช้เป็นสะพานบาปก็ได้ ถ้าพระท่านไม่ปรารถนานิพพานชาตินี้
ก็ใช้สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาในชาตินี้ได้

.....

พระที่เผยแพร่ธรรมทางโซเชียลมีเดียก็รวดเร็วถึงห้องนอนได้ นอนฟังได้
มันไม่เหมือนสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ คือต้องจาริกไป เดินไป แล้วไปเทศนา มันก็ต้องเหนื่อย

.....

อย่างเรานี้ ถ้าอยากเทศน์เฟสบุคไลฟ์ ก็เทศน์ได้เลย คนฟัง 5 คน อาตมาก็พอใจ ในสมัยครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้คนฟัง 100 คน ได้ดวงตาเห็นธรรมเพียง 1 คน พระองค์ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปไลฟ์ในทางที่ไม่ดี และโยมไม่ต้องให้ใครเสียเงินติดกันเทศน์ โยมสุจินต์ควรมองสองด้าน คือด้านคุณและด้านโทษ ด้านบวกและด้านลบ

ด้านคุณก็มีมาก ด้านโทษก็มีเยอะถ้าพระใช้ไม่ถูกธรรมวินัย
.....
คนเรามีอิสระคิดในกรอบที่ดีงาม เมื่อพระใช้เฟสในกรอบที่ดีงาม ในการเผยแพร่พระธรรมก็ย่อมทำได้
มิใช่มีแต่โยมจะใช้เผยแพร่ธรรมได้เฉพาะโยมป้าสุจินต์เท่านั้น พระสงฆ์องค์เณรถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องเผยแผ่ธรรม
......

โยมอย่ามีโมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง ใช้อัตโนมติของตนติเตียนพระ

.....

เรื่องเห็นภัยในวัฏสงสาร...มันก็เป็นเรื่องต้องไปเรื่อยๆ ในระหว่างเดินทางในสังสารวัฏ
พระก็เห็นภัย แต่เมื่อยังไม่บรรลุธรรมเกิดชาติใหม่ก็ค่อยว่ากันต่อไป
โยมตัดภัยในวัฏสงสารได้ก่อนพระ อาตมาก็ขออนุโมทนาบุญกับโยมป้าสุจินต์ด้วย
แต่อาตมานี้ของดการเสพผู้หญิง (งดการมีเพศสัมพันธุ์) งดการอยู่การครองเรือน เสียสละจากเพศฆราวาส ก็รู้สึกอดทนมากมายหลายประการ และจางคลายความกำหนัดที่เคยเป็นเมื่อก่อนครั้งยังไม่ได้บวช หรืออาจจะเป็นด้วยอำนาจเนกขัมมะบารมีที่ได้สั่งสมมาก็อาจจะเป็นได้

https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8 ... =feed_text

rolleyes
ทีวีวิดีโอเฟสบุคไลน์อินเทอร์เน็ตเป็นของโลกนะคะ
การเสพข่าวจากสื่อต่างๆเป็นการส่งจิตออกถูกไหมคะ
คิดสิคะคิดครั้งพุทธกาลความสะดวกคือกันดารกว่าปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันเครื่องส่งเสริมกิเลสมีมากกว่าถูกไหมคะคิดให้ตรงปกติ
ถ้าปัจจุบันส่งเสริมการเสพคุ้นกับโลกผู้บวชก็ไปตามโลกดีกว่าชาวโลกไหม
พิจารณาสิคะสละอะไรไม่ได้เลยกิเลสเห่อเหิมจนจะแก้ไขคำสอนเอาสะดวกเข้าว่า
มันเกินเลยคำสอนไหมคิดเป็นไหมเพราะไม่คิดตามคำตถาคตมีเกินอัฏบริขารบวชทำลายคำสอนตรงไหม
คำของตถาคตทุกคำส่องถึงจิตผู้ที่กำลังฟังคำสอนแล้วรู้ตัวเพราะดูที่กายใจตนเองไม่ส่งออกไปตามกิเลสค่ะ
บวชไปเถอะพากันไปอบายภูมิเป็นว่าเล่นทำผิดไม่รู้ว่าทำผิดไปนรกแล้วกลับมาบอกได้ไหมคะฟังให้เข้าใจนะ
:b32: :b32:



คอเดียวกับบริหารสุวรรณเขตเลย คิดทื่อๆ คิกๆๆ

Kiss
:b12:
อริยบุคคลมีสติตลอดเวลาแล้วยังขาดฟังไม่ได้ประมาทไหมคะ
สาวกของพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ฟังคำสอนเข้าใจจนเข้าถึงความจริง
และทราบว่าคำจริงเปลี่ยนไม่ได้พลิกแพลงไม่ได้กลับไปกลับมาไม่ได้
ไม่ตรงคือผ่านไปแก้ไม่ได้คืออดีตผ่านไปเดียวนี้ก็ไม่ตรงก็ไม่รู้ตลอดอ่ะ

จะให้ว่าไงคะ...ทุกคำในพระไตรปิฎกคือคำจริงตรงขณะของจิตทีละ1ดวง
หลากหลายตามการสะสมแต่ละ1ไม่ซ้ำเดิมดับแล้วไม่ย้อนกลับมาให้รู้ได้เลยค่ะ
มีวิบากจิตขณะใหม่มาปรากฏตลอดเวลาไม่ทันเลยแม้1คำที่จิตมีคือตนมีอวิชชาแล้ว
ใครจะทำอะไรได้เอาแค่เห็นอย่างเดียวที่กำลังเห็นอยู่นี้แหละตอนกะพริบตาเห็นอันใหม่แระ
เอาสิเอาเห็นก่อนกะพริบตาออกมาถอนกิเลสหน่อยสิหรือถอนกิเลสของเห็นตอนไหนมิทราบคะ
กะพริบตาเนี่ยมันดับครบ6ทางอายตนะแล้วทันสัก1ทางไหมคะ :b32: แค่กะพริบตากิเลสนับไม่ถ้วน
รู้รึป่าวว่าปัญญาโผล่ขึ้นมานิดนึงท่ามกลางกิเลสตอนเข้าใจความจริงถูกตามได้มันเกิดปัญญาอาจ1ในล้าน
:b32: :b32: :b32:




นี่แหละคิดอย่างนิครนถ์ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้

คุณโรสตอบคำถามนะ เอาตรงๆประเด็น ไม่ต้องอ้อมโลก

องคุลิมาลฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพัน แล้วทำไมเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้

Kiss
:b32:
คำจริงคือคำวาจาสัจจะตรงปรมัตถสัจจะ
สมมุติน่ะเปลี่ยนได้แต่คำสัจจะคือคำสอน
เปลี่ยนไม่ได้เพราะถึงที่สุดแล้วเข้าใจไหม
เช่นธาตุดินมีลักษณะ2อย่างคืออ่อน-แข็ง
รู้สึกกระทบตรงคำว่าแข็งตรงที่กายสัมผัส
ตรงจริงยังเลย สติแปลว่ายังไม่ถึงกุศลเลย
เพราะสติเกิดกับกุศลจิตเท่านั้นไม่เกิดตอน
คิดเองเกิน1คำเพราะฉะนั้นอ่านเป็นสัญญา
ไม่ใช่ปัญญาเพราะต้องเข้าใจคำจริงที่จิตมี
:b17: :b17:


ไปโน่นอีก สติ แปลว่า ยังไม่ถึงกุศล คุณไปเอามาจากไหน จากใคร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2018, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/36840949_1445229332287556_4393209488870473728_n.jpg?_nc_cat=0&oh=af5528f45453231ca1dc30d2bd71d693&oe=5BA7914B

......หลวงพ่อท่านก็ได้อธิบายโดยย่อว่า...

เฟสบุคก็เหมือนมีดมีคมปลายแหลม
.....

ใช้หั่นผักผลไม้ได้ ใช้แทงตัวเองก็ได้ ใช้เผยแพร่ธรรมก็ได้ ภาพและข้อความไหน?ดีก็เซฟไว้ในสมอง ภาพและข้อความไหนไม่ดีทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็ลบทิ้งไป

.....

ทั้งโยมสุจินต์กับพระ คงไม่ใช้มีด หรือเฟสบุคแทงตัวเองเป็นแน่แท้

.....

กิเลสก็ขัดเกลา ดูเฟสก็ดูว่าใครเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา

.....

เหมือนเงินตรา จะใช้บริจาคทำบุญก็ได้ จะใช้จ้างมือปืนยิงคนก็ได้ จะใช้ทำบุญก็ได้ จะใช้ทำบาปก็ได้ จะดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่เงิน อยู่ที่ตัวบุคลนั้นจะเห็นคุณค่าของเงิน

.....

เฟสก็เช่นกัน พระจะใช้เป็นสะพานบุญก็ได้ จะใช้เป็นสะพานบาปก็ได้ ถ้าพระท่านไม่ปรารถนานิพพานชาตินี้
ก็ใช้สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาในชาตินี้ได้

.....

พระที่เผยแพร่ธรรมทางโซเชียลมีเดียก็รวดเร็วถึงห้องนอนได้ นอนฟังได้
มันไม่เหมือนสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ คือต้องจาริกไป เดินไป แล้วไปเทศนา มันก็ต้องเหนื่อย

.....

อย่างเรานี้ ถ้าอยากเทศน์เฟสบุคไลฟ์ ก็เทศน์ได้เลย คนฟัง 5 คน อาตมาก็พอใจ ในสมัยครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้คนฟัง 100 คน ได้ดวงตาเห็นธรรมเพียง 1 คน พระองค์ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปไลฟ์ในทางที่ไม่ดี และโยมไม่ต้องให้ใครเสียเงินติดกันเทศน์ โยมสุจินต์ควรมองสองด้าน คือด้านคุณและด้านโทษ ด้านบวกและด้านลบ

ด้านคุณก็มีมาก ด้านโทษก็มีเยอะถ้าพระใช้ไม่ถูกธรรมวินัย
.....
คนเรามีอิสระคิดในกรอบที่ดีงาม เมื่อพระใช้เฟสในกรอบที่ดีงาม ในการเผยแพร่พระธรรมก็ย่อมทำได้
มิใช่มีแต่โยมจะใช้เผยแพร่ธรรมได้เฉพาะโยมป้าสุจินต์เท่านั้น พระสงฆ์องค์เณรถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องเผยแผ่ธรรม
......

โยมอย่ามีโมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง ใช้อัตโนมติของตนติเตียนพระ

.....

เรื่องเห็นภัยในวัฏสงสาร...มันก็เป็นเรื่องต้องไปเรื่อยๆ ในระหว่างเดินทางในสังสารวัฏ
พระก็เห็นภัย แต่เมื่อยังไม่บรรลุธรรมเกิดชาติใหม่ก็ค่อยว่ากันต่อไป
โยมตัดภัยในวัฏสงสารได้ก่อนพระ อาตมาก็ขออนุโมทนาบุญกับโยมป้าสุจินต์ด้วย
แต่อาตมานี้ของดการเสพผู้หญิง (งดการมีเพศสัมพันธุ์) งดการอยู่การครองเรือน เสียสละจากเพศฆราวาส ก็รู้สึกอดทนมากมายหลายประการ และจางคลายความกำหนัดที่เคยเป็นเมื่อก่อนครั้งยังไม่ได้บวช หรืออาจจะเป็นด้วยอำนาจเนกขัมมะบารมีที่ได้สั่งสมมาก็อาจจะเป็นได้

https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8 ... =feed_text

rolleyes
ทีวีวิดีโอเฟสบุคไลน์อินเทอร์เน็ตเป็นของโลกนะคะ
การเสพข่าวจากสื่อต่างๆเป็นการส่งจิตออกถูกไหมคะ
คิดสิคะคิดครั้งพุทธกาลความสะดวกคือกันดารกว่าปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันเครื่องส่งเสริมกิเลสมีมากกว่าถูกไหมคะคิดให้ตรงปกติ
ถ้าปัจจุบันส่งเสริมการเสพคุ้นกับโลกผู้บวชก็ไปตามโลกดีกว่าชาวโลกไหม
พิจารณาสิคะสละอะไรไม่ได้เลยกิเลสเห่อเหิมจนจะแก้ไขคำสอนเอาสะดวกเข้าว่า
มันเกินเลยคำสอนไหมคิดเป็นไหมเพราะไม่คิดตามคำตถาคตมีเกินอัฏบริขารบวชทำลายคำสอนตรงไหม
คำของตถาคตทุกคำส่องถึงจิตผู้ที่กำลังฟังคำสอนแล้วรู้ตัวเพราะดูที่กายใจตนเองไม่ส่งออกไปตามกิเลสค่ะ
บวชไปเถอะพากันไปอบายภูมิเป็นว่าเล่นทำผิดไม่รู้ว่าทำผิดไปนรกแล้วกลับมาบอกได้ไหมคะฟังให้เข้าใจนะ
:b32: :b32:



คอเดียวกับบริหารสุวรรณเขตเลย คิดทื่อๆ คิกๆๆ

Kiss
:b12:
อริยบุคคลมีสติตลอดเวลาแล้วยังขาดฟังไม่ได้ประมาทไหมคะ
สาวกของพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ฟังคำสอนเข้าใจจนเข้าถึงความจริง
และทราบว่าคำจริงเปลี่ยนไม่ได้พลิกแพลงไม่ได้กลับไปกลับมาไม่ได้
ไม่ตรงคือผ่านไปแก้ไม่ได้คืออดีตผ่านไปเดียวนี้ก็ไม่ตรงก็ไม่รู้ตลอดอ่ะ

จะให้ว่าไงคะ...ทุกคำในพระไตรปิฎกคือคำจริงตรงขณะของจิตทีละ1ดวง
หลากหลายตามการสะสมแต่ละ1ไม่ซ้ำเดิมดับแล้วไม่ย้อนกลับมาให้รู้ได้เลยค่ะ
มีวิบากจิตขณะใหม่มาปรากฏตลอดเวลาไม่ทันเลยแม้1คำที่จิตมีคือตนมีอวิชชาแล้ว
ใครจะทำอะไรได้เอาแค่เห็นอย่างเดียวที่กำลังเห็นอยู่นี้แหละตอนกะพริบตาเห็นอันใหม่แระ
เอาสิเอาเห็นก่อนกะพริบตาออกมาถอนกิเลสหน่อยสิหรือถอนกิเลสของเห็นตอนไหนมิทราบคะ
กะพริบตาเนี่ยมันดับครบ6ทางอายตนะแล้วทันสัก1ทางไหมคะ :b32: แค่กะพริบตากิเลสนับไม่ถ้วน
รู้รึป่าวว่าปัญญาโผล่ขึ้นมานิดนึงท่ามกลางกิเลสตอนเข้าใจความจริงถูกตามได้มันเกิดปัญญาอาจ1ในล้าน
:b32: :b32: :b32:




นี่แหละคิดอย่างนิครนถ์ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้

คุณโรสตอบคำถามนะ เอาตรงๆประเด็น ไม่ต้องอ้อมโลก

องคุลิมาลฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพัน แล้วทำไมเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้

Kiss
:b32:
คำจริงคือคำวาจาสัจจะตรงปรมัตถสัจจะ
สมมุติน่ะเปลี่ยนได้แต่คำสัจจะคือคำสอน
เปลี่ยนไม่ได้เพราะถึงที่สุดแล้วเข้าใจไหม
เช่นธาตุดินมีลักษณะ2อย่างคืออ่อน-แข็ง
รู้สึกกระทบตรงคำว่าแข็งตรงที่กายสัมผัส
ตรงจริงยังเลย สติแปลว่ายังไม่ถึงกุศลเลย
เพราะสติเกิดกับกุศลจิตเท่านั้นไม่เกิดตอน
คิดเองเกิน1คำเพราะฉะนั้นอ่านเป็นสัญญา
ไม่ใช่ปัญญาเพราะต้องเข้าใจคำจริงที่จิตมี
:b17: :b17:


ไปโน่นอีก สติ แปลว่า ยังไม่ถึงกุศล คุณไปเอามาจากไหน จากใคร

:b32:
เวลาอ้างอิงอ่านข้อความให้มันครบนะคะ
แค่ระลึกตรงคำว่าแข็งตรงที่กายกระทบตรงคำยังเลยสติแปลว่าไม่เกิดกุศลจิต
เพราะสติเป็นโสภณเจตสิกที่ปรุงแต่งกุศลกรรมไม่เกิดกับขณะจิตที่เป็นอกุศลค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2018, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นมัสการ "การทำความนอบน้อม" การไหว้, การเคารพ, การนอบน้อม, ใช้เป็นคำขึ้นต้นและส่วนหนึ่งของคำลงท้ายจดหมายที่คฤหัสถ์มีไปถึงพระภิกษุ สามเณร


นิมนต์ เชิญ หมายถึงเชิญพระ เชิญนักบวช


นวโกวาท คำสอนสำหรับผู้บวชใหม่, คำสอนสำหรับภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่, ชื่อหนังสือแบบเรียนนักธรรมชั้นตรีเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส


นิสิต ศิษย์ผู้เล่าเรียนอยู่ในสำนัก, ผู้อาศัย, ผู้ถือนิสัย


นวกรรม การก่อสร้าง

นวกัมมาธิฏฐายี ผู้อำนวยการก่อสร้าง เช่น ที่พระมหาโมคคัลลานะ ได้รับมอบหมายจากพระบรมศาสดาให้เป็นผู้อำนวยการสร้างบุพพารามที่นางวิสาขาบริจาคทุนสร้างที่กรุงสาวัตถี


นวกัมมิกะ ผู้ดูแลนวกรรม, ภิกษุผู้ได้รับสมมติ คือแต่งตั้งจากสงฆ์ ให้ทำหน้าที่ดูแลการก่อสร้าง และปฏิสังขรณ์ในอาราม, เป็นตำแหน่งหนึ่งในบรรดา เจ้าอธิการแห่งอาราม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b12:
ศึกษาคำสอนเข้าใจได้โดยไม่ต้องบวช
ชาวบ้านก็บรรลุถึงอรหันต์ได้
จีวรสมควรแก่ผู้รู้
ผู้ไม่รู้คือ
สมมุติก็ต้องทำให้ตรงตามคำสอนถูกตามสิกขาบทจริงไหมคะ
ถามจริงๆเถอะค่ะเกณฑ์เด็กเล็กๆ
ทำเพื่อให้เกิดความสงบในวัดหรือคะ
ถ้าพระในวัดรับเงินบวชเด็กก็ให้รับเงิน
สอนเด็กให้ทำตามด้วยการเห็นผิดไหมบวชรับเงิน
เด็กเล็กๆน่ะทำกิจกรรมลูกเสือยังได้ฝึกเป็นคนดี
แต่เกณฑ์มาบวชเป็นการทรมาณเด็กให้หลงผิด
สิกขาบทมีข้อห้ามรับเงินสอนเด็กด้วยการทำให้ดู
เด็กวัยนี้กำลังเรียนรู้จดจำทำตามสอนให้เป็นมิจฉาอาชีโว
คิดว่าแค่บวชใส่จีวรแล้วดีเลยงั้นหรือคะสันโดษมักน้อยคืออะไร
บวชเด็กทำเพื่อเรี่ยไรเงินจะให้ว่าไง
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
:b12:
ศึกษาคำสอนเข้าใจได้โดยไม่ต้องบวช
ชาวบ้านก็บรรลุถึงอรหันต์ได้
จีวรสมควรแก่ผู้รู้
ผู้ไม่รู้คือ
สมมุติก็ต้องทำให้ตรงตามคำสอนถูกตามสิกขาบทจริงไหมคะ
ถามจริงๆเถอะค่ะเกณฑ์เด็กเล็กๆ
ทำเพื่อให้เกิดความสงบในวัดหรือคะ
ถ้าพระในวัดรับเงินบวชเด็กก็ให้รับเงิน
สอนเด็กให้ทำตามด้วยการเห็นผิดไหมบวชรับเงิน
เด็กเล็กๆน่ะทำกิจกรรมลูกเสือยังได้ฝึกเป็นคนดี
แต่เกณฑ์มาบวชเป็นการทรมาณเด็กให้หลงผิด
สิกขาบทมีข้อห้ามรับเงินสอนเด็กด้วยการทำให้ดู
เด็กวัยนี้กำลังเรียนรู้จดจำทำตามสอนให้เป็นมิจฉาอาชีโว
คิดว่าแค่บวชใส่จีวรแล้วดีเลยงั้นหรือคะสันโดษมักน้อยคืออะไร
บวชเด็กทำเพื่อเรี่ยไรเงินจะให้ว่าไง
:b32: :b32:



เพ้อเรื่องเป็นอรหันต์อีกแล้ว :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2018, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/36840949_1445229332287556_4393209488870473728_n.jpg?_nc_cat=0&oh=af5528f45453231ca1dc30d2bd71d693&oe=5BA7914B

......หลวงพ่อท่านก็ได้อธิบายโดยย่อว่า...

เฟสบุคก็เหมือนมีดมีคมปลายแหลม
.....

ใช้หั่นผักผลไม้ได้ ใช้แทงตัวเองก็ได้ ใช้เผยแพร่ธรรมก็ได้ ภาพและข้อความไหน?ดีก็เซฟไว้ในสมอง ภาพและข้อความไหนไม่ดีทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็ลบทิ้งไป

.....

ทั้งโยมสุจินต์กับพระ คงไม่ใช้มีด หรือเฟสบุคแทงตัวเองเป็นแน่แท้

.....

กิเลสก็ขัดเกลา ดูเฟสก็ดูว่าใครเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา

.....

เหมือนเงินตรา จะใช้บริจาคทำบุญก็ได้ จะใช้จ้างมือปืนยิงคนก็ได้ จะใช้ทำบุญก็ได้ จะใช้ทำบาปก็ได้ จะดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่เงิน อยู่ที่ตัวบุคลนั้นจะเห็นคุณค่าของเงิน

.....

เฟสก็เช่นกัน พระจะใช้เป็นสะพานบุญก็ได้ จะใช้เป็นสะพานบาปก็ได้ ถ้าพระท่านไม่ปรารถนานิพพานชาตินี้
ก็ใช้สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาในชาตินี้ได้

.....

พระที่เผยแพร่ธรรมทางโซเชียลมีเดียก็รวดเร็วถึงห้องนอนได้ นอนฟังได้
มันไม่เหมือนสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ คือต้องจาริกไป เดินไป แล้วไปเทศนา มันก็ต้องเหนื่อย

.....

อย่างเรานี้ ถ้าอยากเทศน์เฟสบุคไลฟ์ ก็เทศน์ได้เลย คนฟัง 5 คน อาตมาก็พอใจ ในสมัยครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้คนฟัง 100 คน ได้ดวงตาเห็นธรรมเพียง 1 คน พระองค์ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปไลฟ์ในทางที่ไม่ดี และโยมไม่ต้องให้ใครเสียเงินติดกันเทศน์ โยมสุจินต์ควรมองสองด้าน คือด้านคุณและด้านโทษ ด้านบวกและด้านลบ

ด้านคุณก็มีมาก ด้านโทษก็มีเยอะถ้าพระใช้ไม่ถูกธรรมวินัย
.....
คนเรามีอิสระคิดในกรอบที่ดีงาม เมื่อพระใช้เฟสในกรอบที่ดีงาม ในการเผยแพร่พระธรรมก็ย่อมทำได้
มิใช่มีแต่โยมจะใช้เผยแพร่ธรรมได้เฉพาะโยมป้าสุจินต์เท่านั้น พระสงฆ์องค์เณรถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องเผยแผ่ธรรม
......

โยมอย่ามีโมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง ใช้อัตโนมติของตนติเตียนพระ

.....

เรื่องเห็นภัยในวัฏสงสาร...มันก็เป็นเรื่องต้องไปเรื่อยๆ ในระหว่างเดินทางในสังสารวัฏ
พระก็เห็นภัย แต่เมื่อยังไม่บรรลุธรรมเกิดชาติใหม่ก็ค่อยว่ากันต่อไป
โยมตัดภัยในวัฏสงสารได้ก่อนพระ อาตมาก็ขออนุโมทนาบุญกับโยมป้าสุจินต์ด้วย
แต่อาตมานี้ของดการเสพผู้หญิง (งดการมีเพศสัมพันธุ์) งดการอยู่การครองเรือน เสียสละจากเพศฆราวาส ก็รู้สึกอดทนมากมายหลายประการ และจางคลายความกำหนัดที่เคยเป็นเมื่อก่อนครั้งยังไม่ได้บวช หรืออาจจะเป็นด้วยอำนาจเนกขัมมะบารมีที่ได้สั่งสมมาก็อาจจะเป็นได้

https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8 ... =feed_text

rolleyes
ทีวีวิดีโอเฟสบุคไลน์อินเทอร์เน็ตเป็นของโลกนะคะ
การเสพข่าวจากสื่อต่างๆเป็นการส่งจิตออกถูกไหมคะ
คิดสิคะคิดครั้งพุทธกาลความสะดวกคือกันดารกว่าปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันเครื่องส่งเสริมกิเลสมีมากกว่าถูกไหมคะคิดให้ตรงปกติ
ถ้าปัจจุบันส่งเสริมการเสพคุ้นกับโลกผู้บวชก็ไปตามโลกดีกว่าชาวโลกไหม
พิจารณาสิคะสละอะไรไม่ได้เลยกิเลสเห่อเหิมจนจะแก้ไขคำสอนเอาสะดวกเข้าว่า
มันเกินเลยคำสอนไหมคิดเป็นไหมเพราะไม่คิดตามคำตถาคตมีเกินอัฏบริขารบวชทำลายคำสอนตรงไหม
คำของตถาคตทุกคำส่องถึงจิตผู้ที่กำลังฟังคำสอนแล้วรู้ตัวเพราะดูที่กายใจตนเองไม่ส่งออกไปตามกิเลสค่ะ
บวชไปเถอะพากันไปอบายภูมิเป็นว่าเล่นทำผิดไม่รู้ว่าทำผิดไปนรกแล้วกลับมาบอกได้ไหมคะฟังให้เข้าใจนะ
:b32: :b32:



คอเดียวกับบริหารสุวรรณเขตเลย คิดทื่อๆ คิกๆๆ

Kiss
:b12:
อริยบุคคลมีสติตลอดเวลาแล้วยังขาดฟังไม่ได้ประมาทไหมคะ
สาวกของพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ฟังคำสอนเข้าใจจนเข้าถึงความจริง
และทราบว่าคำจริงเปลี่ยนไม่ได้พลิกแพลงไม่ได้กลับไปกลับมาไม่ได้
ไม่ตรงคือผ่านไปแก้ไม่ได้คืออดีตผ่านไปเดียวนี้ก็ไม่ตรงก็ไม่รู้ตลอดอ่ะ

จะให้ว่าไงคะ...ทุกคำในพระไตรปิฎกคือคำจริงตรงขณะของจิตทีละ1ดวง
หลากหลายตามการสะสมแต่ละ1ไม่ซ้ำเดิมดับแล้วไม่ย้อนกลับมาให้รู้ได้เลยค่ะ
มีวิบากจิตขณะใหม่มาปรากฏตลอดเวลาไม่ทันเลยแม้1คำที่จิตมีคือตนมีอวิชชาแล้ว
ใครจะทำอะไรได้เอาแค่เห็นอย่างเดียวที่กำลังเห็นอยู่นี้แหละตอนกะพริบตาเห็นอันใหม่แระ
เอาสิเอาเห็นก่อนกะพริบตาออกมาถอนกิเลสหน่อยสิหรือถอนกิเลสของเห็นตอนไหนมิทราบคะ
กะพริบตาเนี่ยมันดับครบ6ทางอายตนะแล้วทันสัก1ทางไหมคะ :b32: แค่กะพริบตากิเลสนับไม่ถ้วน
รู้รึป่าวว่าปัญญาโผล่ขึ้นมานิดนึงท่ามกลางกิเลสตอนเข้าใจความจริงถูกตามได้มันเกิดปัญญาอาจ1ในล้าน
:b32: :b32: :b32:




นี่แหละคิดอย่างนิครนถ์ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้

คุณโรสตอบคำถามนะ เอาตรงๆประเด็น ไม่ต้องอ้อมโลก

องคุลิมาลฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพัน แล้วทำไมเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้

Kiss
:b32:
คำจริงคือคำวาจาสัจจะตรงปรมัตถสัจจะ
สมมุติน่ะเปลี่ยนได้แต่คำสัจจะคือคำสอน
เปลี่ยนไม่ได้เพราะถึงที่สุดแล้วเข้าใจไหม
เช่นธาตุดินมีลักษณะ2อย่างคืออ่อน-แข็ง
รู้สึกกระทบตรงคำว่าแข็งตรงที่กายสัมผัส
ตรงจริงยังเลย สติแปลว่ายังไม่ถึงกุศลเลย
เพราะสติเกิดกับกุศลจิตเท่านั้นไม่เกิดตอน
คิดเองเกิน1คำเพราะฉะนั้นอ่านเป็นสัญญา
ไม่ใช่ปัญญาเพราะต้องเข้าใจคำจริงที่จิตมี
:b17: :b17:


ไปโน่นอีก สติ แปลว่า ยังไม่ถึงกุศล คุณไปเอามาจากไหน จากใคร

:b32:
เวลาอ้างอิงอ่านข้อความให้มันครบนะคะ
แค่ระลึกตรงคำว่าแข็งตรงที่กายกระทบตรงคำยังเลยสติแปลว่าไม่เกิดกุศลจิต
เพราะสติเป็นโสภณเจตสิกที่ปรุงแต่งกุศลกรรมไม่เกิดกับขณะจิตที่เป็นอกุศลค่ะ



มันแข็งมันก็แข็ง มันอ่อนมันก็อ่อน มันก็๋เป็นธรรมดาของมัน :b1: เพ้อเจ้อธรรม ภาษาธรรมะเขาเรียกคนเพ้อเจ้อธรรม ฟุ้งซ่านธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2018, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
https://scontent.fbkk5-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/36840949_1445229332287556_4393209488870473728_n.jpg?_nc_cat=0&oh=af5528f45453231ca1dc30d2bd71d693&oe=5BA7914B

......หลวงพ่อท่านก็ได้อธิบายโดยย่อว่า...

เฟสบุคก็เหมือนมีดมีคมปลายแหลม
.....

ใช้หั่นผักผลไม้ได้ ใช้แทงตัวเองก็ได้ ใช้เผยแพร่ธรรมก็ได้ ภาพและข้อความไหน?ดีก็เซฟไว้ในสมอง ภาพและข้อความไหนไม่ดีทำให้ใจเป็นทุกข์ ก็ลบทิ้งไป

.....

ทั้งโยมสุจินต์กับพระ คงไม่ใช้มีด หรือเฟสบุคแทงตัวเองเป็นแน่แท้

.....

กิเลสก็ขัดเกลา ดูเฟสก็ดูว่าใครเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา

.....

เหมือนเงินตรา จะใช้บริจาคทำบุญก็ได้ จะใช้จ้างมือปืนยิงคนก็ได้ จะใช้ทำบุญก็ได้ จะใช้ทำบาปก็ได้ จะดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่เงิน อยู่ที่ตัวบุคลนั้นจะเห็นคุณค่าของเงิน

.....

เฟสก็เช่นกัน พระจะใช้เป็นสะพานบุญก็ได้ จะใช้เป็นสะพานบาปก็ได้ ถ้าพระท่านไม่ปรารถนานิพพานชาตินี้
ก็ใช้สร้างคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาในชาตินี้ได้

.....

พระที่เผยแพร่ธรรมทางโซเชียลมีเดียก็รวดเร็วถึงห้องนอนได้ นอนฟังได้
มันไม่เหมือนสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ คือต้องจาริกไป เดินไป แล้วไปเทศนา มันก็ต้องเหนื่อย

.....

อย่างเรานี้ ถ้าอยากเทศน์เฟสบุคไลฟ์ ก็เทศน์ได้เลย คนฟัง 5 คน อาตมาก็พอใจ ในสมัยครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้คนฟัง 100 คน ได้ดวงตาเห็นธรรมเพียง 1 คน พระองค์ก็ถือว่าคุ้มค่า ไม่ใช่เอาไปไลฟ์ในทางที่ไม่ดี และโยมไม่ต้องให้ใครเสียเงินติดกันเทศน์ โยมสุจินต์ควรมองสองด้าน คือด้านคุณและด้านโทษ ด้านบวกและด้านลบ

ด้านคุณก็มีมาก ด้านโทษก็มีเยอะถ้าพระใช้ไม่ถูกธรรมวินัย
.....
คนเรามีอิสระคิดในกรอบที่ดีงาม เมื่อพระใช้เฟสในกรอบที่ดีงาม ในการเผยแพร่พระธรรมก็ย่อมทำได้
มิใช่มีแต่โยมจะใช้เผยแพร่ธรรมได้เฉพาะโยมป้าสุจินต์เท่านั้น พระสงฆ์องค์เณรถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องเผยแผ่ธรรม
......

โยมอย่ามีโมหาคติ คือลำเอียงเพราะหลง ใช้อัตโนมติของตนติเตียนพระ

.....

เรื่องเห็นภัยในวัฏสงสาร...มันก็เป็นเรื่องต้องไปเรื่อยๆ ในระหว่างเดินทางในสังสารวัฏ
พระก็เห็นภัย แต่เมื่อยังไม่บรรลุธรรมเกิดชาติใหม่ก็ค่อยว่ากันต่อไป
โยมตัดภัยในวัฏสงสารได้ก่อนพระ อาตมาก็ขออนุโมทนาบุญกับโยมป้าสุจินต์ด้วย
แต่อาตมานี้ของดการเสพผู้หญิง (งดการมีเพศสัมพันธุ์) งดการอยู่การครองเรือน เสียสละจากเพศฆราวาส ก็รู้สึกอดทนมากมายหลายประการ และจางคลายความกำหนัดที่เคยเป็นเมื่อก่อนครั้งยังไม่ได้บวช หรืออาจจะเป็นด้วยอำนาจเนกขัมมะบารมีที่ได้สั่งสมมาก็อาจจะเป็นได้

https://www.facebook.com/hashtag/%E0%B8 ... =feed_text

rolleyes
ทีวีวิดีโอเฟสบุคไลน์อินเทอร์เน็ตเป็นของโลกนะคะ
การเสพข่าวจากสื่อต่างๆเป็นการส่งจิตออกถูกไหมคะ
คิดสิคะคิดครั้งพุทธกาลความสะดวกคือกันดารกว่าปัจจุบัน
แต่ปัจจุบันเครื่องส่งเสริมกิเลสมีมากกว่าถูกไหมคะคิดให้ตรงปกติ
ถ้าปัจจุบันส่งเสริมการเสพคุ้นกับโลกผู้บวชก็ไปตามโลกดีกว่าชาวโลกไหม
พิจารณาสิคะสละอะไรไม่ได้เลยกิเลสเห่อเหิมจนจะแก้ไขคำสอนเอาสะดวกเข้าว่า
มันเกินเลยคำสอนไหมคิดเป็นไหมเพราะไม่คิดตามคำตถาคตมีเกินอัฏบริขารบวชทำลายคำสอนตรงไหม
คำของตถาคตทุกคำส่องถึงจิตผู้ที่กำลังฟังคำสอนแล้วรู้ตัวเพราะดูที่กายใจตนเองไม่ส่งออกไปตามกิเลสค่ะ
บวชไปเถอะพากันไปอบายภูมิเป็นว่าเล่นทำผิดไม่รู้ว่าทำผิดไปนรกแล้วกลับมาบอกได้ไหมคะฟังให้เข้าใจนะ
:b32: :b32:



คอเดียวกับบริหารสุวรรณเขตเลย คิดทื่อๆ คิกๆๆ

Kiss
:b12:
อริยบุคคลมีสติตลอดเวลาแล้วยังขาดฟังไม่ได้ประมาทไหมคะ
สาวกของพระพุทธเจ้าคือผู้ที่ฟังคำสอนเข้าใจจนเข้าถึงความจริง
และทราบว่าคำจริงเปลี่ยนไม่ได้พลิกแพลงไม่ได้กลับไปกลับมาไม่ได้
ไม่ตรงคือผ่านไปแก้ไม่ได้คืออดีตผ่านไปเดียวนี้ก็ไม่ตรงก็ไม่รู้ตลอดอ่ะ

จะให้ว่าไงคะ...ทุกคำในพระไตรปิฎกคือคำจริงตรงขณะของจิตทีละ1ดวง
หลากหลายตามการสะสมแต่ละ1ไม่ซ้ำเดิมดับแล้วไม่ย้อนกลับมาให้รู้ได้เลยค่ะ
มีวิบากจิตขณะใหม่มาปรากฏตลอดเวลาไม่ทันเลยแม้1คำที่จิตมีคือตนมีอวิชชาแล้ว
ใครจะทำอะไรได้เอาแค่เห็นอย่างเดียวที่กำลังเห็นอยู่นี้แหละตอนกะพริบตาเห็นอันใหม่แระ
เอาสิเอาเห็นก่อนกะพริบตาออกมาถอนกิเลสหน่อยสิหรือถอนกิเลสของเห็นตอนไหนมิทราบคะ
กะพริบตาเนี่ยมันดับครบ6ทางอายตนะแล้วทันสัก1ทางไหมคะ :b32: แค่กะพริบตากิเลสนับไม่ถ้วน
รู้รึป่าวว่าปัญญาโผล่ขึ้นมานิดนึงท่ามกลางกิเลสตอนเข้าใจความจริงถูกตามได้มันเกิดปัญญาอาจ1ในล้าน
:b32: :b32: :b32:




นี่แหละคิดอย่างนิครนถ์ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้

คุณโรสตอบคำถามนะ เอาตรงๆประเด็น ไม่ต้องอ้อมโลก

องคุลิมาลฆ่าคนเป็นร้อยเป็นพัน แล้วทำไมเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้

Kiss
:b32:
คำจริงคือคำวาจาสัจจะตรงปรมัตถสัจจะ
สมมุติน่ะเปลี่ยนได้แต่คำสัจจะคือคำสอน
เปลี่ยนไม่ได้เพราะถึงที่สุดแล้วเข้าใจไหม
เช่นธาตุดินมีลักษณะ2อย่างคืออ่อน-แข็ง
รู้สึกกระทบตรงคำว่าแข็งตรงที่กายสัมผัส
ตรงจริงยังเลย สติแปลว่ายังไม่ถึงกุศลเลย
เพราะสติเกิดกับกุศลจิตเท่านั้นไม่เกิดตอน
คิดเองเกิน1คำเพราะฉะนั้นอ่านเป็นสัญญา
ไม่ใช่ปัญญาเพราะต้องเข้าใจคำจริงที่จิตมี
:b17: :b17:


ไปโน่นอีก สติ แปลว่า ยังไม่ถึงกุศล คุณไปเอามาจากไหน จากใคร

:b32:
เวลาอ้างอิงอ่านข้อความให้มันครบนะคะ
แค่ระลึกตรงคำว่าแข็งตรงที่กายกระทบตรงคำยังเลยสติแปลว่าไม่เกิดกุศลจิต
เพราะสติเป็นโสภณเจตสิกที่ปรุงแต่งกุศลกรรมไม่เกิดกับขณะจิตที่เป็นอกุศลค่ะ



มันแข็งมันก็แข็ง มันอ่อนมันก็อ่อน มันก็๋เป็นธรรมดาของมัน :b1: เพ้อเจ้อธรรม ภาษาธรรมะเขาเรียกคนเพ้อเจ้อธรรม ฟุ้งซ่านธรรม

Kiss
:b12:
ยุคนี้เป็นยุคที่มีความเจริญทางด้านวัตถุมากกว่าครั้งพุทธกาลอย่างมาก
และกิเลสก็หนาแน่นมากกว่าครั้งพุทธกาลแสวงหาวัตถุต้องการเกินปัจจัยสี่
ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตามพระธรรมและพระวินัยของพระพุทธเจ้า
จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุที่เพิ่มขึ้นเข้าใจไหมคะเพราะถ้ายังต้องการวัตถุมากๆอยู่แล้ว
ไม่ต้องอยากมาเป็นนักบวชคือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เพราะมีข้อจำกัดเพื่อกำจัดพวกตัณหามาก
ถ้ารู้นิสัยว่ายังอยากมีทรัพย์สินเงินทองลูกเมียไม่ต้องมาบวชก่อนเพราะมันเป็นบาปไม่ใช่บุญเลยนะคะ
บวชแล้วทุศีลทันทีที่รับเงินแล้วนั่นน่ะจะให้พ่อแม่ผู้มีพระคุณจับชายจีวรไปตกนรกด้วยความไม่รู้มากกว่า
:b13:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2018, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:


ยุคนี้เป็นยุคที่มีความเจริญทางด้านวัตถุมากกว่าครั้งพุทธกาลอย่างมาก
และกิเลสก็หนาแน่นมากกว่าครั้งพุทธกาลแสวงหาวัตถุต้องการเกินปัจจัยสี่
ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตามพระธรรมและพระวินัยของพระพุทธเจ้า
จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุที่เพิ่มขึ้นเข้าใจไหมคะเพราะถ้ายังต้องการวัตถุมากๆอยู่แล้ว
ไม่ต้องอยากมาเป็นนักบวชคือภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เพราะมีข้อจำกัดเพื่อกำจัดพวกตัณหามาก
ถ้ารู้นิสัยว่ายังอยากมีทรัพย์สินเงินทองลูกเมียไม่ต้องมาบวชก่อนเพราะมันเป็นบาปไม่ใช่บุญเลยนะคะ
บวชแล้วทุศีลทันทีที่รับเงินแล้วนั่นน่ะจะให้พ่อแม่ผู้มีพระคุณจับชายจีวรไปตกนรกด้วยความไม่รู้มากกว่า



ย้อนไปดูอดีตสิวัตถุเจริญขนาดไหน ดูซากหักพังนาลันทาสิ ใหญ่โตมโหฬารขนาดไหน

พระพุทธเจ้าก็มีลูกมีเมียมาก่อนก่อนไม่ใช่รึ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2018, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คงต้องย้อนอดีตจะไปไหนๆก็ต้องเหาะไปเอง :b32:

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สามเณรนานาชาติ

รูปภาพ


https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_1411424

พระพุทธศาสนาในเมืองไทยมิใช่มั่นคงอะไร ง่อนแง่นคลอนแคลน เหมือนฟันผู้สูงอายุคือคลอนไปทั้งปาก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2018, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณโรสเห็นประการใดขอรับ :b1:

Kiss
เข้าใจคำว่าไม่มีเราไหมคะ
ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับไปไม่มีเรา
เป็นแต่ละคนสร้างหนังของตัวเองให้ตนเองดูทุกวันคือจิตคิดนึก
มีตัวตนไปทำโน่นนี่นั้นกับคนนั้นกับคนนี้มีอามณ์ร่วมตามเหตุการณ์นั้นๆค่ะ
แต่ตถาคตทรงตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงธรรมให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีจริงๆ
เป็นธัมมะแต่ละ1ลักษณะหลากหลายแต่ละ1ลักษณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของตัวธัมมะนั้นเลยเข้าใจไหมคะ
มีแต่ความเห็นผิดเพราะขาดปัญญาในการไตร่ตรองความจริงที่กำลังดับไปตลอดเวลาเป็นเรานานมาแล้ว
เมื่อไหร่จะเริ่มฟังเพื่อสะสมปัญญาของตนเองสัญญาจำ1คำตะกี๊มันดับไปไม่เหลือซากแล้วจำไว้ทำไมคะ
บัญญัติคำยาวๆพร้อมความหมายนั้นน่ามันไม่ใช่ปัญญาตนเองที่สะสมจากการฟังที่สะสมได้ทีละ1คำจากฟัง
ตรงความจริงที่ฟังจริงๆเป็นการเรียนพระธรรมด้วยการฟังเพื่อให้เสียงนำทางเพื่อรู้คำตรงเสียงว่าแต่ละทาง
มีลักษณะอย่างไรรู้ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏได้อย่างไรตามปกติเป็นปกติกำลังฟังแล้วกำลังคิดถูกขณะนั้น
ที่กำลังสะสมสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งจิตถูกตามคำสอนตรงปัญญาตนเองแล้วพอหยุดฟังกิเลสตนเองก็ไหลแล้ว
ยังไม่ทำอะไรยังไม่ไปไหนแค่คิดก็เป็นกิเลสแล้วจะรออีกกี่ชาติถึงจะเริ่มฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้จิตรู้ตามได้คะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2018, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คุณโรสเห็นประการใดขอรับ :b1:

Kiss
เข้าใจคำว่าไม่มีเราไหมคะ
ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับไปไม่มีเรา
เป็นแต่ละคนสร้างหนังของตัวเองให้ตนเองดูทุกวันคือจิตคิดนึก
มีตัวตนไปทำโน่นนี่นั้นกับคนนั้นกับคนนี้มีอามณ์ร่วมตามเหตุการณ์นั้นๆค่ะ
แต่ตถาคตทรงตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงธรรมให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีจริงๆ
เป็นธัมมะแต่ละ1ลักษณะหลากหลายแต่ละ1ลักษณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของตัวธัมมะนั้นเลยเข้าใจไหมคะ
มีแต่ความเห็นผิดเพราะขาดปัญญาในการไตร่ตรองความจริงที่กำลังดับไปตลอดเวลาเป็นเรานานมาแล้ว
เมื่อไหร่จะเริ่มฟังเพื่อสะสมปัญญาของตนเองสัญญาจำ1คำตะกี๊มันดับไปไม่เหลือซากแล้วจำไว้ทำไมคะ
บัญญัติคำยาวๆพร้อมความหมายนั้นน่ามันไม่ใช่ปัญญาตนเองที่สะสมจากการฟังที่สะสมได้ทีละ1คำจากฟัง
ตรงความจริงที่ฟังจริงๆเป็นการเรียนพระธรรมด้วยการฟังเพื่อให้เสียงนำทางเพื่อรู้คำตรงเสียงว่าแต่ละทาง
มีลักษณะอย่างไรรู้ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏได้อย่างไรตามปกติเป็นปกติกำลังฟังแล้วกำลังคิดถูกขณะนั้น
ที่กำลังสะสมสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งจิตถูกตามคำสอนตรงปัญญาตนเองแล้วพอหยุดฟังกิเลสตนเองก็ไหลแล้ว
ยังไม่ทำอะไรยังไม่ไปไหนแค่คิดก็เป็นกิเลสแล้วจะรออีกกี่ชาติถึงจะเริ่มฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้จิตรู้ตามได้คะ
:b12:
:b32: :b32:



คุณโรสเอ๋ย คุณเพี้ยนไปแล้ว

นี่คือคนที่ฟังสำนักมิจฉาทิฏฐิสอนเรื่องอนัตตา ไม่มีเรา คิกๆๆ ทั้งที่ตนเองก็ไม่รู้ว่าอัตตา ได้แก่ อะไร อุปมาเหมือนลิงที่โหนอยู่บนกิ่งไม้ โหนไปโหนมา ปล่อยกิ่งนี้ จับกิ่งโน้น ไม่ทันพิจารณาไปคว้าเอากิ่งไม้แห้งไม้หักตกจากต้นไม้คอหักฉันใดก็ฉันนั้น

ไม่มีเรา หรือภาษาพระว่าอนัตตาต้องเกิดจากปัญญาที่เห็นสภาวะ มิใช่ไปคิดมโนเอาอย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 355 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 24  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร