วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือคำสอนในพระพุทธศาสนา โดยพระพรหมมังคลาจารย์: ปัญญานันทภิกขุ (ดอกไม้ใจแทนดอกไม้จันทน์) ตอนพิมพ์ไม่ได้บันทึกไว้ ยังค้นหาไม่เจอ แต่มั่นใจว่าเป็น คคห.พระพรหมมังคลาจาย์แน่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 09:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การศึกษาพระพุทธศาสนา ก็เหมือนการกินผลไม้ เช่น ทุเรียน มังคุด พอเห็นเปลือกก็ว่าจะกินเข้าไปอย่างไร ถ้าทิ้งไปเลยก็ไม่ได้กิน ต้องปอกเปลือกออกแล้วกินเนื้อใน เราไม่ได้กินทั้งเปลือก

เราอ่านหนังสือก็ต้องรู้จักตัดออกไปบ้าง ถ้าเอาแต่เนื้อก็จะได้เนื้อ ถ้าเอาเปลือกเข้าไปด้วย ก็ต้องกินเปลือกด้วย อย่าถือว่าเรื่องฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ไม่มี มันมีแต่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เช่น พุทธประวัติก็คือเจ้าชายสิทธัตถะเป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กับ พระนางมายาเทวี ประสูติที่สวนลุมพินีระหว่างเมืองเทวทหะ กับ เมื่องกบิลพัสดุ์ เหตุที่ไปประสูติที่นั่นเพราะประเพณีอินเดีย คือฝ่ายหญิงเมื่อท้องแก่ หลังจากแต่งงานแล้ว ก็จะมาคลอดที่บ้านตัวเอง ไม่คลอดที่บ้านสามี
พระนางมายาก็ยึดถือธรรมเนียมนี้ จึงเดินทางมาเมืองเทวทหะ ซึ่งก็เพื่อให้ได้รับความอบอุ่นใจนั่นเอง จะได้อยู่ในหมู่ญาติของตัวเอง พอเดินทางมาถึงชายแดนเป็นป่าสงวน ก็เจ็บท้องและคลอดบุตร ก็เลยไม่ต้องไปเมืองเทวทหะ พระเจ้าสุทโธทนะก็มารับกลับเมือง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนประสูติออกมาก็เดินได้ ๗ ก้าว เปล่งอาสภิวาจาว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส แปลว่า เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก เรียกว่าเป็นเรื่องฝอยเข้าไป ศาสดาก็ต้องฝอยอย่างนี้แหละ

พระเยซูก็ต้องฝอยหน่อย

พระนบีมูฮัมหมัดก็เช่นกัน

หลวงพ่อต่างๆก็เช่นกัน เช่น หลวงพ่อแดงที่เกาะสมุย อายุ ๗๒ แล้วพอเรือจมท่านก็ตาย พอตายแล้วหมอไปฉีดยาเพื่อไม่ให้ศพเน่า พอฉีดเข้าไปในร่างกาย เลือดพุ่งออกมาในหลอดเป็นที่น่าอัศจรรย์

เมื่อคืนไปประชุมที่วัดสังเวช เจ้าคุณคณะภาค แกเล่าให้ฟังว่าไม่เคยมีอย่างนี้
ผมเลยบอกว่าเลือดนั้นเป็นเลือดศักดิ์สิทธิ์ เพราะหลวงพ่อแดงแกศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องมีอะไรศักดิ์สิทธิ์หน่อย ให้เห็นว่าหลวงพ่อแดงตายแล้วเลือดยังวิ่งได้ ความจริงไม่มีดอก เขาแต่งขึ้นมาอย่างนั้นเอง

เช่น พระพุทธเจ้า ก็ให้เอาแต่ประสูติที่สวนลุมพินี ส่วนเรื่องเดิน ๗ ก้าว เปล่งวาจาเราจะเอาไว้ก็ได้ หรือไม่เอาก็ได้ แต่ไปพูดกับคนเฒ่าคนแก่ไม่ได้นะ ต้องมีไว้เพราะเขาเชื่อ
ครั้นพอกลับไปวังแล้ว ชาวเมืองก็ดีใจฉลองกันครึกครื้น พระฤๅษีที่คุ้นเคยก็มาเยี่ยม นางคนใช้ก็ยกพระกุมารให้ฤๅษีดู
ถ้าเราดูในภาพเขียนจะเห็นพระกุมารลอยไปอยู่บนหัวพระฤๅษี หมายความว่าพระกุมารเป็นที่ประทับใจของพระฤๅษี จึงทำนายว่ากุมารนี้ ถ้าอยู่ครองเมือง จะเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่
ถ้าออกบวชจะเป็นพระบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ แล้วก็บอกลาไป แต่ก็บอกกับหลานชายชื่อ นาละกะ ว่าเอ็งคอยดูนะ ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชเอ็งต้องตามไปด้วย เพราะคนนี้จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภายหน้า ฤๅษีได้ทายไว้อย่างนั้น

พอ ๕ วัน ก็ทำพิธีสมโภชตั้งชื่อ เอาพราหมณ์ ๑๐๘ คน มาฉันอาหาร ๗ ใน ๘ คน ของพราหมณ์ ทำนายว่า ออกบวชจะได้เป็นพระศาสดาของโลก ถ้าครองราชย์จะเป็นจักรพรรดิยิ่งใหญ่

พราหมณ์โกณฑัญญะทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะ จะบวชอย่างเดียว จึงได้บวชรออยู่ก่อน แล้วมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า อันนี้ก็เป็นเรื่องมาอย่างนี้ แล้วก็อยู่ครองราชย์ ๒๘ ปี มีบุตรคนเดียว แสดงว่าไม่ได้หมกมุ่นอะไร ถ้าเป็นคนมักมากในทางกามก็เกิดเยอะแต่นี้มีคนเดียว วันที่เกิดนั่นแหละไปบวชเสียเลย.

พระองค์ไม่ชอบหมกมุ่นในกามารมณ์ ชอบนั่งคนเดียว คิดนึกอยู่ใต้ต้นไม้ ผลที่สุดก็ได้เห็น ความเกิด ความแก่ ความตาย เรียกว่า เห็นเทวทูต เขาเขียนว่า เสด็จออกประพาสเมือง เห็น คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นนักบวช นั่นเล่มหนึ่งว่าอย่างนั้น

แต่ว่าในสูตรหนึ่งได้ปรารภ ถึงความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันนี้ พูดเป็นธรรมะแท้

แต่อีกแบบหนึ่งว่า เห็นคน แก่ คนเจ็บ คนตาย พูดเป็นแบบบุคลาธิษฐาน ยกบุคคลให้เห็น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่อีกสูตร พูดถึงการบวชด้วย จึงได้หนีออกบวช แสดงว่าคิดถึงเรื่อง แก่ เจ็บ ตาย จึงได้ออกบวช แล้วได้บำเพ็ญเพียรตามที่ต่างๆ ถึง ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แสดงว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ต้องใช้เวลามากเหมือนกัน ตั้ง ๖ ปี

แต่พระเยซู พระนบีมูฮัมหมัด ไม่ต้องใช้เวลาเช่นนี้ และพระพุทธเจ้าใช้เวลาคิดค้นนานจนตรัสรู้ ที่ใต้ต้นโพธิ์พุทธคยา วันเพ็ญเดือน ๖ แล้วไปเทศนาสอนคน จนกระทั่งนิพพาน

ถ้าเราได้อ่านประวัติของพระองค์แล้ว ก็น่าจะเอามาเป็นตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
ขอให้เราอ่านกันให้ได้ คนที่อ่านภาษาฝรั่งได้ เอาที่ฝรั่งเขาเขียนมาอ่านก็ได้ เพราะฝรั่งเขาตัดเรื่องปาฏิหาริย์ออกไป

หนังสือไทยที่ไม่มีปาฏิหาริย์ก็มีเหมือนกัน มุ่งตำนาน แต่ถ้ามุ่งเอาข้อปฏิบัติ เอาธรรมะ พุทธประวัติจริงๆ แล้วต้องอ่าน พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ซึ่งเป็นธรรมะล้วนๆ ยกเอาธรรมะที่พระองค์เคยได้ตรัสไว้ล้วนๆ มารวมกันเป็นเล่ม ซึ่งเป็นธรรมะจากชีวิตของพระพุทธเจ้า อันเป็นเรื่องน่าอ่าน ควรมีไว้อ่านเป็นเครื่องเตือนใจ จะได้รู้พระองค์ยิ่งขึ้น รู้จักวิธีการปฏิบัติของพระองค์ต่อชาวโลก เรียกว่า
อัตตสมบัติ ปรหิตสมบัติ

อัตตสมบัติ คือ ว่าดีเฉพาะองค์พระพุทธเจ้า

ปรหิตสมบัติ คือ ส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น อะไรบ้าง เอามานั่งอ่าน นั่งพิจารณา ยิ่งอ่านมากยิ่งรักพระพุทธเจ้ามาก ฝรั่งเขาเรียกว่า The More I Know Him The More I Love Him ยิ่งรู้จักพระองค์มากเท่าใด ยิ่งรักพระองค์มากเท่านั้น อันนี้เป็นความจริง เวลาเกิดความท้อถอย อ่อนอกอ่อนใจ อ่านพุทธประวัติแล้วใจมันจะขึงขังจะได้กำลังใจขึ้น หรือว่า เวลามีความทุกข์ก็เอาอ่าน ค่อยคลายจากความทุกข์ความเดือดร้อน นี่อย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่ง เราหยิบขึ้นมาทีละบทมาพิจารณา เช่น หยิบบทว่า อะระหัง หมายความอย่างไร นั่งคิดนั่งนึก ให้เห็นความหมายของคำว่า อะระหัง โดยชัดเจน แล้วก็เอามาใช้เป็นหลักปฏิบัติต่อไป เอาเป็นตัวอย่างนั้น เราก็หยิบเอามาพิจารณาเป็นเรื่องๆ ในเวลาที่เราว่างหรือในเวลาที่มันยุ่งๆใจ ไม่สบายใจ มานั่งนึกถึงพระพุทธเจ้าดีกว่า มันได้ประโยชน์

พระพุทธรูปเขาทำไว้งามๆ ก็เพื่อเป็นภาพล่อตาล่อใจให้เราได้ไปนั่งดู แล้วก็เกิดความเพลิดเพลินทางใจ แล้วจะได้คิดถึงความงามความดีของพระพุทธเจ้าต่อไป อย่างนี้ เรียกว่า เจริญพุทธานุสสติ ทำได้ทุกโอกาส ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ นั่งรถไปตามทางก็ทำได้ เดินก็ทำได้ เดินกับพระพุทธเจ้า นั่งกับพระพุทธเจ้า นอนกับพระพุทธเจ้า เพราะเราคิดถึงพระพุทธองค์ ก็เรียกว่าอยู่กับพระพุทธเจ้า

ขณะใดที่ใจเราอยู่กับพระพุทธเจ้า มารไม่รบกวน บาปไม่เกิด เพราะว่าอยู่กับพระพุทธเจ้าแล้วมารจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงควรจะได้ระลึกถึงทั้งสองแง่บ่อยๆ เรียกว่า พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 09:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
การสิกขาตามคำสอนเริ่มที่ฟังเพื่อให่จิตคิดนึกถูกตามได้ตอนกำลังฟังจริงๆ
ทุกอย่างที่กำลังเป็นไปไม่มีอะไรตั้งอยู่เพื่อรอให้ไปทำแต่ไม่รู้เกิดเรียบร้อยแล้ว
ที่ทำไปตามปกติในชีวิตประจำวันนี้แหละคือไม่รู้ตรงตามคำสอนตรงสัจจะที่ตนกำลังมีไงคะตรงๆเดี๋ยวนี้
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 13:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ใช่เรื่องฝอย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทำอย่างนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
การสิกขาตามคำสอนเริ่มที่ฟังเพื่อให่จิตคิดนึกถูกตามได้ตอนกำลังฟังจริงๆ
ทุกอย่างที่กำลังเป็นไปไม่มีอะไรตั้งอยู่เพื่อรอให้ไปทำแต่ไม่รู้เกิดเรียบร้อยแล้ว
ที่ทำไปตามปกติในชีวิตประจำวันนี้แหละคือไม่รู้ตรงตามคำสอนตรงสัจจะที่ตนกำลังมีไงคะตรงๆเดี๋ยวนี้
:b12:
:b32: :b32:



สิกขา หรือ การศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนา มี ๓ เรียกว่า ไตรสิกขา คือ
๑. อธิสีลสิกขา (เรียกสั้นว่า ศีล)
๒. อธิจิตตสิกขา (เรียกสั้นๆว่า สมาธิ)
๓. อธิปัญญาสิกขา (เรียกสั้นๆว่า ปัญญา)

ตามที่คุณโรสว่ามานั่น เป็นอัตตโนมติ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 14:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
การสิกขาตามคำสอนเริ่มที่ฟังเพื่อให่จิตคิดนึกถูกตามได้ตอนกำลังฟังจริงๆ
ทุกอย่างที่กำลังเป็นไปไม่มีอะไรตั้งอยู่เพื่อรอให้ไปทำแต่ไม่รู้เกิดเรียบร้อยแล้ว
ที่ทำไปตามปกติในชีวิตประจำวันนี้แหละคือไม่รู้ตรงตามคำสอนตรงสัจจะที่ตนกำลังมีไงคะตรงๆเดี๋ยวนี้


ต่อไปจะว่าโดยปัญญา ๓ มั่ง

ปัญญา ๓

ปัญญานั้น แท้จริงก็มีอย่างเดียว ได้แก่ ธรรมชาติที่เป็นความรู้เข้าใจสภาวะ คือ หยั่งถึงความจริงของสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น แต่ก็นิยมจำแนกแยกประเภทออกไปเป็นหลายอย่าง ตามระดับของความรู้เข้าใจบ้าง ตามหน้าที่หรือแง่ด้านของการทำงานของปัญญาบ้าง ตามทางที่ปัญญานั้นเกิดขึ้นบ้าง เป็นต้น

ปัญญาชุดหนึ่ง ซึ่งจำแนกตามแหล่งที่มา หรือทางเกิดของปัญญา ได้แก่ ปัญญา ๓ อย่าง ชุดที่แยกออกไปเป็น สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา

คำท้าย คือ ปัญญาเป็นตัวกลางร่วมกัน ส่วนคำข้างหน้าที่ต่างกัน บอกที่มาหรือแหล่งเกิดของปัญญานั้น ว่า
หนึ่ง เกิดจากสุตะ (การสดับฟัง การอ่าน และเล่าเรียน)
สอง เกิดจากจินตะ (การคิดไตร่ตรองพิจารณา) และ
สาม เกิดจากภาวนา (การปฏิบัติต่อจากนั้น)


ปัญญา ๓ ชุดนี้ ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงน้อย แต่มีผู้นำมาพูดค่อนข้างบ่อย ข้อสำคัญคือเข้าใจความหมายกันไม่ค่อยชัด จึงควรแสดงคำอธิบายที่พ่วงมากับถ้อยคำเหล่านี้สืบแต่เดิมไว้ เพื่อประโยชน์ในการศึกษา


เริ่มด้วยการเรียงลำดับ ปัญญา ๓ นั้น ตามที่พูดกัน มักเรียงสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก

แต่ของเดิมในพระไตรปิฎก ทั้งในพระสูตร (ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๑) และ
ในพระอภิธรรม (อภิ.วิ.๓๕/๗๙๗/๔๒๒) เริ่มต้นด้วยจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก

อย่างไรก็ตามในเนตติปกรณ์ ซึ่งพระเถรวาทสายพม่าถือเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระไตรปิฎกด้วย (จัดรวมไว้ใน ขุททกนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก) เรียงสุตมยปัญญาขึ้นก่อน (และเรียกชื่อต่างไปเล็กน้อยเป็น สุตมยีปัญญา จินตามยีปัญญา ภาวนามยีปัญญา) และ

ต่อมา ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถา-ฎีกา นิยมมากขึ้นในทางที่จะเรียกชื่อเป็น สุตมยญาณ จินตามยญาณ และภาวนามยญาณ

(เท่านี้ก็จะเห็นว่า คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะโดยแม่สุจินนั่น ติดแหง๊กพร่ำเพ้ออยู่แค่ฟัง สุตะๆๆๆๆๆ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่ออีกให้อีกหน่อย

ในที่นี้ ขอเรียงลำดับ ปัญญา ๓ ตามพระไตรปิฎกชั้นเดิมไว้ก่อน พร้อมด้วยแสดงความหมายสั้นๆ ดังนี้

๑. จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา (ปัญญาเกิดจากโยนิโสมนสิการที่ตั้งขึ้นในตนเอง)

๒. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการสดับเล่าเรียน (ปัญญาเกิดจากปรโตโฆสะ)

๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ (ปัญญาเกิดจากปัญญาสองอย่างแรกนั้นแล้วหมั่นมนสิการ)

การที่ท่านเรียงจินตามยปัญญาขึ้นก่อน หรือสุตมยปัญญาขึ้นก่อน จับความได้ว่า อยู่ที่การคำนึงถึงบุคคลเป็นหลัก หรือมองธรรมตามความเกี่ยวข้องของบุคคล



ในกรณีที่เรียงจินตามยปัญญาเป็นข้อแรก ก็คือ ท่านเริ่มที่บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษก่อน หมายความว่าพระพุทธเจ้า (และพระปัจเจกพุทธเจ้า) ผู้ค้นพบและเปิดเผยความจริงขึ้นนั้น มิได้อาศัยสุตะ ไม่ต้องมีปรโตโฆสะ คือ การฟังจากผู้อื่น
แต่รู้จักคิดพิจารณาด้วยโยนิโสมนสิการของตนเอง สามารถสืบสาว เรียงต่อ ไล่ตามประสบการณ์ทั้งหลายอย่างถึงทันทั่วรอบทะลุตลอด จนหยั่งเห็นความจริงได้ จากจินตามยปัญญา จึงต่อเข้าภาวนามยปัญญาไปเลย (ไม่ต้องอาศัยสุตมยปัญญา)


แต่เมื่อมองที่บุคคลทั่วไป ท่านเริ่มด้วยสุตมยปัญญาเป็นข้อแรก โดยมีคำอธิบายตามลำดับว่า

บุคคลเล่าเรียนสดับฟังได้สุตะ ได้ข้อธรรม ได้ข้อมูลแล้ว เกิดศรัทธาขึ้นเป็นพื้นเบื้องต้น จึงนำไปใคร่ครวญตรวจสองพิจารณาได้ความรู้เข้าใจในสุตะนั้น ก็เกิดเป็นสุตมยปัญญา

แล้วในขั้นต่อไป อาศัยสิ่งที่ได้เรียนสดับนั้นเป็นฐาน เขาตรวจสอบชั่งตรองเพ่งพินิจขบคิดลึกชัดลงไป มองเห็นเหตุผลความสัมพันธ์เป็นไปชัดเจน เกิดเป็นจินตามยปัญญา

เมื่อเขาใช้ปัญญาทั้งสองนั้นขะมักเขม้นมนสิการในสภาวธรรมทั้งหลาย (พูดอีกสำนวนหนึ่งว่า อาศัยหรือตั้งอยู่ในปัญญาทั้งสองนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนา - สุตจินฺตามยญาเณสุ หิ ปติฏฺฐิโต วิปสฺสนํ อารภติ. เนตฺติ. ๕๓) แล้วเกิดญาณ มีความรู้สว่างประจักษ์แจ้งความจริง เป็นมรรคที่จะให้เกิดผลขึ้น ก็เป็นภาวนามยปัญญา


พึงสังเกตด้วยว่า สำหรับคนทั่วไปนี้ ถึงจะได้รับสุตะ คือ ข่าวสารข้อมูลมากมาย แต่คนจำนวนมากก็ได้แค่สุตะเท่านั้น (ได้แค่ฟังเท่านั้น) หาได้ปัญญาไม่ คือ ในข้อที่ ๑ นั้น ต้องแยกว่า คนจำนวนมากได้แต่สุตะ มีเพียงบางคนที่อาศัยสุตะนั้นแล้วสามารถทำให้เกิดสุตมยปัญญา

ดูต่อที่นี่

viewtopic.php?f=1&t=52468

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2018, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสอย่างเก่งก็แค่ฟังคลิปแม่สุจินพูดกล่อมประสาท :b12: ไม่ใช่จากฟังพระพุทธเจ้าหรือตถาคตอย่างว่าดอก :b16:

ถ้าให้พูดถึงสิกขาอย่างที่อ้างนั่น ยิ่งไกลกันไปใหญ่ ไตรสิกขา การศึกษา ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ว่าแค่เรื่องศีล คุณโรสยังเข้าใจไม่ถูกต้องเลย ยิ่งสมาธินี่ไปไม่ถึงไปไม่ถูก ปัญญานี่จบข่าวเลย :b1: :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2018, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าเหาะได้อย่างไร ?

รูปภาพ

https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... =3&theater

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2018, 18:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้มะพร้าวอ่อนมาลูกหนึ่ง เขาว่าเป็นมะพร้าวน้ำหอมสะด้วย จะกินอะไรมัน แล้วจะกินยังไง ?

รูปภาพ


คำสอนทางศาสนาก็ ฉะนั้น จะกินอะไรส่วนไหน แล้วจะกินยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2018, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปาฏิหาริย์ สิ่งที่น่าอัศจรรย์, เรื่องที่น่าอัศจรรย์, การกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ มี ๓ อย่าง คือ


๑. อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์

๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์ ทายใจได้เป็นอัศจรรย์

๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนมีผลจริงเป็นอัศจรรย์

ใน ๓ อย่างนี้ ข้อสุดท้ายดีเยี่ยมเป็นประเสริฐ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร