วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 189 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา

อนัตตาแปลว่าบังคับไม่ได้

ทุกอย่างเกิดแล้วดับแล้วค่ะ
นับแสนโกฏิขณะเลือกไม่ได้
นอกจากเพียรฟังเพื่อรู้คิดตามได้
ไม่มีใครเลือกตามปกติเป็นปกติมีแล้ว
เพราะทุกอย่างกำลังเกิดดับโดยอนัตตา
ถ้ายังไปกำหนดทำด้วยตัวตนคิดเองคือมิจฉา
สัมมาเกิดตอนกำลังฟังเข้าใจและคิดถูกตามคำสอนได้
พอหยุดฟังกิเลสในจิตก็ไหลไปตามความคิดตัวเองนับแสนโกฏิขณะ
มัวทำตามๆกันและคิดเองตามเห็นผิดทำอะไรกันอยู่บอกให้เริ่มฟังเพื่อสะสมปัญญาไงคะ
https://youtu.be/LRKR7ft6Bkg
onion onion onion



อ้างคำพูด:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา

อนัตตา แปลว่า บังคับไม่ได้



ดูคุณโรสทำ อนัตตา แปลว่า บังคับไม่ได้ จบข่าวขอรับ ไปเอามาแต่ไหน

ทาน ศีล ระดับต้นๆ ยังไม่เข้าใจ ผ่าโดดไปอนัตตาโน่น ยังว่า อนัตตา บังคับไม่ได้ :b32:

:b12:
อ่านตัวหนังสือเนี่ย
คิดอะไรถูกตามได้บ้างเนี่ย
กิเลสตัวเองเดี๋ยวนี้ดับไปแสนโกฏิขณะแล้ว
ลืมตาปริบๆก็มีกิเลสใหม่ถึงแสนล้านขณะตลอดเวลาบังคับให้มันไม่ดับได้ไหม
จะไปทำวิเศษวิโสยังไงก็รู้ไม่ได้เพราะไม่ใช่ทศพลญาณยังคิดไม่ได้อีกอยู่ดอกหรือคะ
จะทำอะไรได้เหรอ555
:b32: :b32:


แสดงว่า คุณโรสคิดว่าพระอรหันต์ มีพระสารีบุตร เป็นต้น ยังมีกิเลส ถูกไหม :b1:

(น่าจะตั้งได้อีกกระทู้หนึ่งแระ :b13: )

ยังไม่เก็ตอีกจะไปเอ่ยบุคคลที่2345678910ทำไม
สัจจะตรงขณะรู้ถูกตามได้ที่ตัวตนตัวเองจะทำอะไรเหรอ
ไม่ต้องคิดแทนคนอื่นตัวเองน่ะยังเกิดอยู่แปลว่ามีกิเลสอยู่ถึงมาลืมตาปริบๆไม่รู้อะไรเลยอ้างอะไรนอกตัวนั่น


คุณโรสคิดว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น กำจัดกิเลสไม่ได้ใช่ไหม

อ้างคำพูด:
กิเลสตัวเองเดี๋ยวนี้ดับไปแสนโกฏิขณะแล้ว ลืมตาปริบๆก็มีกิเลสใหม่ถึงแสนล้านขณะตลอดเวลาบังคับให้มันไม่ดับได้ไหม จะไปทำวิเศษวิโสยังไงก็รู้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ทศพลญาณยังคิดไม่ได้อีกอยู่ดอกหรือคะ

มันดับไปแล้วนับไม่ถ้วนเนี่ย
แปลว่าละชั่วไม่ได้แล้ว
ดับเนี่ยหายไปเลย
ในมโนทวารวิถี
ถอนออกตอนไหน
กระพริบตาคือแสนโกฏิขณะใหม่หมดไปตลอด
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา

อนัตตาแปลว่าบังคับไม่ได้

ทุกอย่างเกิดแล้วดับแล้วค่ะ
นับแสนโกฏิขณะเลือกไม่ได้
นอกจากเพียรฟังเพื่อรู้คิดตามได้
ไม่มีใครเลือกตามปกติเป็นปกติมีแล้ว
เพราะทุกอย่างกำลังเกิดดับโดยอนัตตา
ถ้ายังไปกำหนดทำด้วยตัวตนคิดเองคือมิจฉา
สัมมาเกิดตอนกำลังฟังเข้าใจและคิดถูกตามคำสอนได้
พอหยุดฟังกิเลสในจิตก็ไหลไปตามความคิดตัวเองนับแสนโกฏิขณะ
มัวทำตามๆกันและคิดเองตามเห็นผิดทำอะไรกันอยู่บอกให้เริ่มฟังเพื่อสะสมปัญญาไงคะ
https://youtu.be/LRKR7ft6Bkg
onion onion onion



อ้างคำพูด:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา

อนัตตา แปลว่า บังคับไม่ได้



ดูคุณโรสทำ อนัตตา แปลว่า บังคับไม่ได้ จบข่าวขอรับ ไปเอามาแต่ไหน

ทาน ศีล ระดับต้นๆ ยังไม่เข้าใจ ผ่าโดดไปอนัตตาโน่น ยังว่า อนัตตา บังคับไม่ได้ :b32:

:b12:
อ่านตัวหนังสือเนี่ย
คิดอะไรถูกตามได้บ้างเนี่ย
กิเลสตัวเองเดี๋ยวนี้ดับไปแสนโกฏิขณะแล้ว
ลืมตาปริบๆก็มีกิเลสใหม่ถึงแสนล้านขณะตลอดเวลาบังคับให้มันไม่ดับได้ไหม
จะไปทำวิเศษวิโสยังไงก็รู้ไม่ได้เพราะไม่ใช่ทศพลญาณยังคิดไม่ได้อีกอยู่ดอกหรือคะ
จะทำอะไรได้เหรอ555
:b32: :b32:


แสดงว่า คุณโรสคิดว่าพระอรหันต์ มีพระสารีบุตร เป็นต้น ยังมีกิเลส ถูกไหม :b1:

(น่าจะตั้งได้อีกกระทู้หนึ่งแระ :b13: )

ยังไม่เก็ตอีกจะไปเอ่ยบุคคลที่2345678910ทำไม
สัจจะตรงขณะรู้ถูกตามได้ที่ตัวตนตัวเองจะทำอะไรเหรอ
ไม่ต้องคิดแทนคนอื่นตัวเองน่ะยังเกิดอยู่แปลว่ามีกิเลสอยู่ถึงมาลืมตาปริบๆไม่รู้อะไรเลยอ้างอะไรนอกตัวนั่น


คุณโรสคิดว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น กำจัดกิเลสไม่ได้ใช่ไหม

อ้างคำพูด:
กิเลสตัวเองเดี๋ยวนี้ดับไปแสนโกฏิขณะแล้ว ลืมตาปริบๆก็มีกิเลสใหม่ถึงแสนล้านขณะตลอดเวลาบังคับให้มันไม่ดับได้ไหม จะไปทำวิเศษวิโสยังไงก็รู้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ทศพลญาณยังคิดไม่ได้อีกอยู่ดอกหรือคะ

มันดับไปแล้วนับไม่ถ้วนเนี่ย
แปลว่าละชั่วไม่ได้แล้ว
ดับเนี่ยหายไปเลย
ในมโนทวารวิถี
ถอนออกตอนไหน
กระพริบตาคือแสนโกฏิขณะใหม่หมดไปตลอด
:b32: :b32:

ไม่เคยคิดตรงตามคำสอนได้เลยเพราะขาดปัญญาจากการฟังคำสอนตรงขณะ
:b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา

อนัตตาแปลว่าบังคับไม่ได้

ทุกอย่างเกิดแล้วดับแล้วค่ะ
นับแสนโกฏิขณะเลือกไม่ได้
นอกจากเพียรฟังเพื่อรู้คิดตามได้
ไม่มีใครเลือกตามปกติเป็นปกติมีแล้ว
เพราะทุกอย่างกำลังเกิดดับโดยอนัตตา
ถ้ายังไปกำหนดทำด้วยตัวตนคิดเองคือมิจฉา
สัมมาเกิดตอนกำลังฟังเข้าใจและคิดถูกตามคำสอนได้
พอหยุดฟังกิเลสในจิตก็ไหลไปตามความคิดตัวเองนับแสนโกฏิขณะ
มัวทำตามๆกันและคิดเองตามเห็นผิดทำอะไรกันอยู่บอกให้เริ่มฟังเพื่อสะสมปัญญาไงคะ
https://youtu.be/LRKR7ft6Bkg
onion onion onion



อ้างคำพูด:
ธัมมะทั้งหลายเป็นอนัตตา

อนัตตา แปลว่า บังคับไม่ได้



ดูคุณโรสทำ อนัตตา แปลว่า บังคับไม่ได้ จบข่าวขอรับ ไปเอามาแต่ไหน

ทาน ศีล ระดับต้นๆ ยังไม่เข้าใจ ผ่าโดดไปอนัตตาโน่น ยังว่า อนัตตา บังคับไม่ได้ :b32:

:b12:
อ่านตัวหนังสือเนี่ย
คิดอะไรถูกตามได้บ้างเนี่ย
กิเลสตัวเองเดี๋ยวนี้ดับไปแสนโกฏิขณะแล้ว
ลืมตาปริบๆก็มีกิเลสใหม่ถึงแสนล้านขณะตลอดเวลาบังคับให้มันไม่ดับได้ไหม
จะไปทำวิเศษวิโสยังไงก็รู้ไม่ได้เพราะไม่ใช่ทศพลญาณยังคิดไม่ได้อีกอยู่ดอกหรือคะ
จะทำอะไรได้เหรอ555
:b32: :b32:


แสดงว่า คุณโรสคิดว่าพระอรหันต์ มีพระสารีบุตร เป็นต้น ยังมีกิเลส ถูกไหม :b1:

(น่าจะตั้งได้อีกกระทู้หนึ่งแระ :b13: )

ยังไม่เก็ตอีกจะไปเอ่ยบุคคลที่2345678910ทำไม
สัจจะตรงขณะรู้ถูกตามได้ที่ตัวตนตัวเองจะทำอะไรเหรอ
ไม่ต้องคิดแทนคนอื่นตัวเองน่ะยังเกิดอยู่แปลว่ามีกิเลสอยู่ถึงมาลืมตาปริบๆไม่รู้อะไรเลยอ้างอะไรนอกตัวนั่น


คุณโรสคิดว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น กำจัดกิเลสไม่ได้ใช่ไหม

อ้างคำพูด:
กิเลสตัวเองเดี๋ยวนี้ดับไปแสนโกฏิขณะแล้ว ลืมตาปริบๆก็มีกิเลสใหม่ถึงแสนล้านขณะตลอดเวลาบังคับให้มันไม่ดับได้ไหม จะไปทำวิเศษวิโสยังไงก็รู้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ทศพลญาณยังคิดไม่ได้อีกอยู่ดอกหรือคะ



มันดับไปแล้วนับไม่ถ้วนเนี่ย
แปลว่า ละชั่วไม่ได้แล้ว ดับเนี่ยหายไปเลย ในมโนทวารวิถี
ถอนออกตอนไหน กระพริบตาคือแสนโกฏิขณะใหม่หมดไปตลอด


ไม่เคยคิดตรงตามคำสอนได้เลยเพราะขาดปัญญาจากการฟังคำสอนตรงขณะ


นั่นชัดพอสมควร ว่ากิเลสดับไปแล้ว ราคะเป็นต้นเกิดแล้วดับหายไปเบย ถอนตอนไหน ถอนออกไม่ได้

ก็แสดงว่า พระอรหันต์ทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ก็ยังมีกิเลสอยู่ ถูกนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Rosarin
มันดับไปแล้วนับไม่ถ้วนเนี่ย แปลว่า ละชั่วไม่ได้แล้ว ดับเนี่ยหายไปเลย ในมโนทวารวิถี
ถอนออกตอนไหน กระพริบตาคือแสนโกฏิขณะใหม่หมดไปตลอด


คุณโรส ไม่เชื่อว่า พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ มีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นต้น ซึ่งละกิเลสสังโยชน์ได้เป็นขั้นๆในพระศาสนานี้ ไม่มี เป็นไปไม่ได้ ดังว่า นั่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
มันดับไปแล้วนับไม่ถ้วนเนี่ย แปลว่า ละชั่วไม่ได้แล้ว ดับเนี่ยหายไปเลย ในมโนทวารวิถี
ถอนออกตอนไหน กระพริบตาคือแสนโกฏิขณะใหม่หมดไปตลอด


คุณโรส ไม่เชื่อว่า พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ มีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นต้น ซึ่งละกิเลสสังโยชน์ได้เป็นขั้นๆในพระศาสนานี้ ไม่มี เป็นไปไม่ได้ ดังว่า นั่น



ไม่ต้องยกตัวอย่างลึกซึ้งมากมาย ตัวอย่างนี้ เขาเลิกละสิ่งเสพติดชั่วร้ายได้ ดู


แฟนเป็นคนที่เสเพลมาก กินเหล้า แบบว่าไม่ได้เรื่องน่ะค่ะ
แต่มีหมอดูหลายท่านทักว่าถ้าแฟนได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต
ตอนแรกดิฉันคบกับแฟนก็ไม่ทราบหรอกนะคะว่ามีหมอดูเคยทักไว้กับพ่อแม่แฟน

ดิฉันเป็นคนชอบทำบุญทำทาน นั่งสมาธิและสวดมนต์ แฟน ก็ทำตามดิฉันเพราะดิฉันบังคับแรกๆเมื่อไม่กี่วันนี้พาแฟนไปนั่งสมาธิมา (แบบยุบหนอพองหนอ) แค่ไม่กี่ชั่วโมง แฟนดิฉันก็ผิดปกติไปค่ะ

เค้าตื่นมาจากสมาธิ เค้าถามดิฉันว่า รู้สึกถึงลมหายใจที่ชัดเห็นเค้ารู้สึกว่าส่วนท้องเค้ามันยุบลงไปแค่ไหนอย่างไรเวลาหายใจเข้าออก เวลาเดินจงกรม เค้ารู้สึกถึงเท้าที่ย่ำลงพื้นว่าส่วนไหนที่กระทบพื้นชัดเจน

เค้าถามดิฉันว่ามันคืออะไร ดิฉันได้แต่นั่ง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ

กลับมาจากวัดเค้าพูดว่า เค้าสดชื่น จับพวงมาลัยรถรู้ว่า มือเค้าจับพวงมาลัย รู้สึกชัดเจนมากๆ มีสติ
เค้าบอกเค้าเข้าใจถึงคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่ามันมีจริงๆ เหมือนคนใส่เเว่นมัวๆมาแล้วเช็ดจนมันใสชัดเจน

เค้าพูดแต่เรื่องนั่งสมาธิ กลับมาเค้าไม่ดื่มเหล้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ ยิ้ม ใจเย็นและดูจะอิ่มบุญมากมาหลายวันแล้วค่ะ

ดิฉันดีใจค่ะที่เค้าเป็นแบบนี้ เค้าบอกเค้ากลัวที่ไปสูบบุหรี่ หรือ กินเหล้าอีกความรู้สึกแบบนี้จะหายไป
เค้ากำลังเข้าถึงสมาธิใช่ไหมคะ ดิฉันจะพาเค้าไปนั่งบ่อยๆเค้าจะได้เป็นคนดี

ดิฉันอยากนั่งได้แบบเค้าจังเลยค่ะ ทำมาตั้งนานก็ยังไม่เป็นเหมือนเค้า เค้านั่งแป๊บเดียวเองไม่เคยสนใจเรื่องนี้ด้วย
มันน่าน้อยใจนัก!!

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 20:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
มันดับไปแล้วนับไม่ถ้วนเนี่ย
แปลว่าละชั่วไม่ได้แล้ว
ดับเนี่ยหายไปเลย
ในมโนทวารวิถี
ถอนออกตอนไหน
กระพริบตาคือแสนโกฏิขณะใหม่หมดไปตลอด
:b32: :b32:


ตอนไปสำนักพระยามยม...ช่วยบอกกับท่านด้วยนะครับว่า...
"ชั่วมันดับไปแล้ว...ละชั่วไม่ได้แล้ว...ดับหายไปแล้ว...อย่าลงโทษอิฉันเลย..."
cry cry cry

:b12: :b12: :b12: :b12:

รูปภาพ

แต่ก็สงสัยอยู่..ว่า..จะมีโอกาสเจอท่านพระยายม..อะป้าว..ไม่ใช่..ดิ่งไม่ลืมหูลืมตา..นะ s006 s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2019, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำ คคห.คุณเลิฟ เจ มาไว้ตรงด้วยเลย

อ้างคำพูด:
Love J.
ผมฟังเทศน์หลวงพ่อท่านหนึ่ง ฟังไปพิจารณาตามไป เห็นความจิตที่วิ่งไปรู้อารมณ์ คันตามร่างกาย เดี๋ยวคันตรงนั้น เดี๋ยวคันตรงนี้ ทั่วร่างกาย ให้ค่อยได้แกะเกา ผมเลยดำริในใจ ว่า ดีล่ะ งั้นจะเอาความคันนี้เป็นอารมณ์
คันเกิดขึ้น ก็รู้ตามดูไป จนมันดับ เกิดไหม่ ก็รู้ตาม ดูจนดับอย่างนี้ ไม่แกะ ไม่เกา ดูเฉย ๆ

จนกายหายหมด ความคัน กลายนิมิต ให้รู้ความเกิดดับ จนช่วงท้าย ๆ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ดับ ๆ ๆ ๆ
เกิดตรงไหนก็ดับ จิตตระหนกดิ้นรนหนีความดับ คือ พอดับแล้วย้ายไปเกิดที่ไหม่ ก็ดับอีก ย้ายไปเกิดที่ไหม่ก็ดับอีก ความดิ้นรนนี้ราวกับว่าคนหนีตายแบบไม่คิดชีวิต หาที่จะพึ่งพาอาศัย ให้หลบลอดจากความดับไปไม่ได้ จนสุดท้าย ใจมันสรุป ว่า เกิดแล้วต้องดับ เกิดแล้วไม่ดับไม่มี ใจสรุปอย่างนี้จิตก็สลัด


อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา
สลัด..อะไร?


อ้างคำพูด:
Love J.
ผมไม่รู้ว่ามัน คือ อะไร พิจารณาภายหลังมัน คือ ที่เกิด ผมเลยเรียกมัน ว่า ภพ
เหมือนผึ้งตัวหนึ่ง บินหิ้วตุ่มน้ำหนัก ๆ ตุ่มหนึ่ง แล้วปล่อยทันที มันก็หลุดผลุบ เห็นความดับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2019, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Love J.
ผมเล่าตามที่เห็นครับ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความคิดว่าอยากบรรลุธรรม อยากพ้นทุกข์ อยากเป็นพระโสดาบัน ตอนเห็นนั้นยังไม่รู้เลยว่า โสดาบันคืออะไร สกิทาคืออะไร อนาคาคืออะไร

แต่รู้จักพระอรหันต์องค์หนึ่งในใจ ท่านแสดงธรรมเรื่องมรรค ผล นิพพาน จนทำให้ผมติดใจ สนใจ ใคร่รู้


อ้างคำพูด:
กรัชกายถาม
ไม่เข้าใจ รู้จักพระอรหันต์องค์หนึ่งในใจ ... ยังไงอ่ะ รู้จักพระอรหันต์ในใจ แสดงธรรม เรื่อง มรรค ผล นิพพาน จนทำให้คุณติดอกติดใจ เขาเป็นใครซึ่งอยู่ในใจคุณ


อ้างคำพูด:
Love J.
หลวงตามหาบัวครับ ผมได้ฟังท่านเทศน์โดยบังเอิญทางยูทูป เล่าเรื่องกิเลส มรรคผล นิพพาน
ฟังท่านเทศน์พิจารณาตามก็มีแต่หลักความจริง จี้เข้ากิเลสในใจจนสะเทือน ฟังไปอมยิ้มไป

สำหรับผมไม่สงสัยความเป็นอรหันต์ ที่บอกว่าพระอรหันต์ในใจเพราะเดี๋ยวคนอื่นที่ไม่ศรัทธาจะแย้ง
ว่ารู้ได้ยังไงว่าท่านเป็นพระอรหันต์ มานั่งถกเถียงกันอีกจึงว่าพระอรหันต์ในใจ

เอ้อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่อยู่ในใจก็มี ก็คือความดับที่ผมไปเห็นนั่นและ



จาก

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=57245&p=441849#p441849

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2019, 23:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
วางหลักก่อน


รับกัมมัฏฐานที่เหมาะกับจริยา

พึงเข้าใจความหมายของจริยา และกัมมัฏฐาน พอเป็นเค้า ดังนี้

- กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต หรือที่ให้จิตทำงาน กล่าวคือ สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา หรือ อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต หรืออุบายหรือกลวิธีเหนี่ยวนำสมาธิ พูดง่ายๆว่า สิ่งที่เอามาให้จิตกำหนด (ด้วยสติ) จิตจะได้มีงานทำเป็นเรื่องเป็นราว สงบอยู่ที่ได้ ไม่เที่ยววิ่งแล่นเตลิดหรือเลื่อนลอยฟุ้งซ่านไปอย่างไร้จุดหมาย

พูดสั้นๆ กรรมฐาน คือสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ของจิต ที่จะชักนำให้เกิดสมาธิ หรืออะไรก็ได้ ที่พอจิตเพ่ง หรือจับแล้วจะช่วยให้จิตแน่วแน่อยู่กับมันเป็นสมาธิได้เร็ว และมั่นคงที่สุด

พูดให้สั้นที่สุดว่า สิ่งที่ใช้ฝึกสมาธิ
....................................................................................

ค. อนุสติ 10 คือ อารมณ์ที่ดีงามที่ควรระลึกถึงเนื่องๆ ได้แก่ *

1. พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และพิจารณาคุณของพระองค์

2. ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม และพิจารณาคุณของพระธรรม

3. สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ และพิจารณาคุณของพระสงฆ์

4. สีลานุสติ ระลึกถึงศีล พิจารณาศีลของตนที่ได้ประพฤติบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย

5. จาคานุสติ ระลึกถึงจาคะ ทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และพิจารณาเห็นคุณธรรม คือ ความเผื่อแผ่เสียสละที่มีในตน

6. เทวตานุสติ ระลึกถึงเทวดา หมายถึงเทวดาที่ตนเคยได้รู้ได้ยินมา และพิจารณาเห็นคุณธรรมซึ่งทำคนให้เป็นเทวดา ตามที่มีในตน

7. มรณสติ ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาให้เกิดความไม่ ประมาท

8. กายคตาสติ สติอันไปในกาย หรือระลึกถึงเกี่ยวกับร่างกาย คือ กำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยส่วนต่างๆ คืออาการ 32 อันไม่สะอาด ไม่งาม น่าเกลียด เป็นทางรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิ ให้หลงใหลมัวเมา

9. อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก

10. อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบคือนิพพาน และพิจารณาคุณของนิพพาน อันเป็นที่หาย ร้อนดับกิเลสและไร้ทุกข์

........................................................................................

ที่ผมบอกว่าผมเจริญอนุสติ ๑๐ ทุกกอง ไม่ใช่ผมตั้งใจว่าจะนั่งภาวนาระลึกถึงทั้ง ๑๐ แล้วนั่งนึกนั่งคิด

.... แต่เมื่อมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นถูกความโลภความโกรธความหลงครอบงำ จะพาให้
เราทำบาปอกุศลกรรม ทำให้เราประมาท อนุสติ ๑๐ อย่างนี้ที่ทำไว้ในใจดีแล้วจะเป็นที่ตั้ง เป็นเครื่องระลึกสติ ทำไว้ในใจมากสติก็เกิดมาก

.... มันเกิดเองจะระลึกถึงอนุสติอย่างใดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เจอ เช่นจะขับรถก็ระลึกว่าเราอาจขับรถไปชนตายก็ได้ .... หรือเกิดความตระหนี่ขึ้นในใจก็ก็ระลึกถึงว่าเรายังมีความตระหนี่ความตระหนี่นี้ทำให้ใจขุ่นมัวเราควรละเสีย อย่างนี้เป็นต้น

.... เมื่อสติเกิดมากสิ่งที่ได้ตามมาคือ หิริ โอตัปปะ จิตใจก็แช่มชื่นตั้งมั่น ดำริใด ความนึกคิดใด วาจาใด การกระทำใด ที่เป็นอกุศลมันก็รำงับเพราะเป็นเครื่องเศร้าหมอง ทำบาปแล้วมันไม่สบายใจเศร้าหมองใจ

.... เมื่อจิตใจแช่มชื่นตั้งมั่นดีแล้วสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมก็เจริญสติปัฏฐาน ๔ ทั้ง ๔ หมวดนี้ไม่เกินลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ก็คือเจริญอานาปานสติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2019, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วางหลักก่อน


รับกัมมัฏฐานที่เหมาะกับจริยา

พึงเข้าใจความหมายของจริยา และกัมมัฏฐาน พอเป็นเค้า ดังนี้

- กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต หรือที่ให้จิตทำงาน กล่าวคือ สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา หรือ อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต หรืออุบายหรือกลวิธีเหนี่ยวนำสมาธิ พูดง่ายๆว่า สิ่งที่เอามาให้จิตกำหนด (ด้วยสติ) จิตจะได้มีงานทำเป็นเรื่องเป็นราว สงบอยู่ที่ได้ ไม่เที่ยววิ่งแล่นเตลิดหรือเลื่อนลอยฟุ้งซ่านไปอย่างไร้จุดหมาย

พูดสั้นๆ กรรมฐาน คือสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ของจิต ที่จะชักนำให้เกิดสมาธิ หรืออะไรก็ได้ ที่พอจิตเพ่ง หรือจับแล้วจะช่วยให้จิตแน่วแน่อยู่กับมันเป็นสมาธิได้เร็ว และมั่นคงที่สุด

พูดให้สั้นที่สุดว่า สิ่งที่ใช้ฝึกสมาธิ
....................................................................................

ค. อนุสติ 10 คือ อารมณ์ที่ดีงามที่ควรระลึกถึงเนื่องๆ ได้แก่ *

1. พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และพิจารณาคุณของพระองค์

2. ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม และพิจารณาคุณของพระธรรม

3. สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ และพิจารณาคุณของพระสงฆ์

4. สีลานุสติ ระลึกถึงศีล พิจารณาศีลของตนที่ได้ประพฤติบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย

5. จาคานุสติ ระลึกถึงจาคะ ทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และพิจารณาเห็นคุณธรรม คือ ความเผื่อแผ่เสียสละที่มีในตน

6. เทวตานุสติ ระลึกถึงเทวดา หมายถึงเทวดาที่ตนเคยได้รู้ได้ยินมา และพิจารณาเห็นคุณธรรมซึ่งทำคนให้เป็นเทวดา ตามที่มีในตน

7. มรณสติ ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาให้เกิดความไม่ ประมาท

8. กายคตาสติ สติอันไปในกาย หรือระลึกถึงเกี่ยวกับร่างกาย คือ กำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยส่วนต่างๆ คืออาการ 32 อันไม่สะอาด ไม่งาม น่าเกลียด เป็นทางรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิ ให้หลงใหลมัวเมา

9. อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก

10. อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบคือนิพพาน และพิจารณาคุณของนิพพาน อันเป็นที่หาย ร้อนดับกิเลสและไร้ทุกข์

........................................................................................

ที่ผมบอกว่าผมเจริญอนุสติ ๑๐ ทุกกอง ไม่ใช่ผมตั้งใจว่าจะนั่งภาวนาระลึกถึงทั้ง ๑๐ แล้วนั่งนึกนั่งคิด

.... แต่เมื่อมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นถูกความโลภความโกรธความหลงครอบงำ จะพาให้
เราทำบาปอกุศลกรรม ทำให้เราประมาท อนุสติ ๑๐ อย่างนี้ที่ทำไว้ในใจดีแล้วจะเป็นที่ตั้ง เป็นเครื่องระลึกสติ ทำไว้ในใจมากสติก็เกิดมาก

.... มันเกิดเองจะระลึกถึงอนุสติอย่างใดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เจอ เช่นจะขับรถก็ระลึกว่าเราอาจขับรถไปชนตายก็ได้ .... หรือเกิดความตระหนี่ขึ้นในใจก็ก็ระลึกถึงว่าเรายังมีความตระหนี่ความตระหนี่นี้ทำให้ใจขุ่นมัวเราควรละเสีย อย่างนี้เป็นต้น

.... เมื่อสติเกิดมากสิ่งที่ได้ตามมาคือ หิริ โอตัปปะ จิตใจก็แช่มชื่นตั้งมั่น ดำริใด ความนึกคิดใด วาจาใด การกระทำใด ที่เป็นอกุศลมันก็รำงับเพราะเป็นเครื่องเศร้าหมอง ทำบาปแล้วมันไม่สบายใจเศร้าหมองใจ

.... เมื่อจิตใจแช่มชื่นตั้งมั่นดีแล้วสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมก็เจริญสติปัฏฐาน ๔ ทั้ง ๔ หมวดนี้ไม่เกินลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ก็คือเจริญอานาปานสติ


คิดเอาเองทั้งเพ ไม่ถูกตามหลักเขาเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2019, 13:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
วางหลักก่อน


รับกัมมัฏฐานที่เหมาะกับจริยา

พึงเข้าใจความหมายของจริยา และกัมมัฏฐาน พอเป็นเค้า ดังนี้

- กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต หรือที่ให้จิตทำงาน กล่าวคือ สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา หรือ อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต หรืออุบายหรือกลวิธีเหนี่ยวนำสมาธิ พูดง่ายๆว่า สิ่งที่เอามาให้จิตกำหนด (ด้วยสติ) จิตจะได้มีงานทำเป็นเรื่องเป็นราว สงบอยู่ที่ได้ ไม่เที่ยววิ่งแล่นเตลิดหรือเลื่อนลอยฟุ้งซ่านไปอย่างไร้จุดหมาย

พูดสั้นๆ กรรมฐาน คือสิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ของจิต ที่จะชักนำให้เกิดสมาธิ หรืออะไรก็ได้ ที่พอจิตเพ่ง หรือจับแล้วจะช่วยให้จิตแน่วแน่อยู่กับมันเป็นสมาธิได้เร็ว และมั่นคงที่สุด

พูดให้สั้นที่สุดว่า สิ่งที่ใช้ฝึกสมาธิ
....................................................................................

ค. อนุสติ 10 คือ อารมณ์ที่ดีงามที่ควรระลึกถึงเนื่องๆ ได้แก่ *

1. พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า และพิจารณาคุณของพระองค์

2. ธัมมานุสติ ระลึกถึงพระธรรม และพิจารณาคุณของพระธรรม

3. สังฆานุสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ และพิจารณาคุณของพระสงฆ์

4. สีลานุสติ ระลึกถึงศีล พิจารณาศีลของตนที่ได้ประพฤติบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย

5. จาคานุสติ ระลึกถึงจาคะ ทานที่ตนได้บริจาคแล้ว และพิจารณาเห็นคุณธรรม คือ ความเผื่อแผ่เสียสละที่มีในตน

6. เทวตานุสติ ระลึกถึงเทวดา หมายถึงเทวดาที่ตนเคยได้รู้ได้ยินมา และพิจารณาเห็นคุณธรรมซึ่งทำคนให้เป็นเทวดา ตามที่มีในตน

7. มรณสติ ระลึกถึงความตายอันจะต้องมีถึงตนเป็นธรรมดา พิจารณาให้เกิดความไม่ ประมาท

8. กายคตาสติ สติอันไปในกาย หรือระลึกถึงเกี่ยวกับร่างกาย คือ กำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าประกอบด้วยส่วนต่างๆ คืออาการ 32 อันไม่สะอาด ไม่งาม น่าเกลียด เป็นทางรู้เท่าทันสภาวะของกายนี้ มิ ให้หลงใหลมัวเมา

9. อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก

10. อุปสมานุสติ ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบคือนิพพาน และพิจารณาคุณของนิพพาน อันเป็นที่หาย ร้อนดับกิเลสและไร้ทุกข์

........................................................................................

ที่ผมบอกว่าผมเจริญอนุสติ ๑๐ ทุกกอง ไม่ใช่ผมตั้งใจว่าจะนั่งภาวนาระลึกถึงทั้ง ๑๐ แล้วนั่งนึกนั่งคิด

.... แต่เมื่อมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นถูกความโลภความโกรธความหลงครอบงำ จะพาให้
เราทำบาปอกุศลกรรม ทำให้เราประมาท อนุสติ ๑๐ อย่างนี้ที่ทำไว้ในใจดีแล้วจะเป็นที่ตั้ง เป็นเครื่องระลึกสติ ทำไว้ในใจมากสติก็เกิดมาก

.... มันเกิดเองจะระลึกถึงอนุสติอย่างใดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เจอ เช่นจะขับรถก็ระลึกว่าเราอาจขับรถไปชนตายก็ได้ .... หรือเกิดความตระหนี่ขึ้นในใจก็ก็ระลึกถึงว่าเรายังมีความตระหนี่ความตระหนี่นี้ทำให้ใจขุ่นมัวเราควรละเสีย อย่างนี้เป็นต้น

.... เมื่อสติเกิดมากสิ่งที่ได้ตามมาคือ หิริ โอตัปปะ จิตใจก็แช่มชื่นตั้งมั่น ดำริใด ความนึกคิดใด วาจาใด การกระทำใด ที่เป็นอกุศลมันก็รำงับเพราะเป็นเครื่องเศร้าหมอง ทำบาปแล้วมันไม่สบายใจเศร้าหมองใจ

.... เมื่อจิตใจแช่มชื่นตั้งมั่นดีแล้วสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมก็เจริญสติปัฏฐาน ๔ ทั้ง ๔ หมวดนี้ไม่เกินลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ก็คือเจริญอานาปานสติ


คิดเอาเองทั้งเพ ไม่ถูกตามหลักเขาเลย


หลักเขาว่าอย่างไรครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2019, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เท่าที่พระอรรถกถาจารย์รวบรวมแสดงไว้ มี กรรมฐาน 40 อย่าง คือ

ก. กสิณ 10 แปลกันว่า วัตถุอันจูงใจ หรือวัตถุสำหรับเพ่ง เพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ เป็นวิธีใช้วัตถุภายนอกเข้าช่วย โดยวิธีเพ่ง เพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งมี 10 อย่าง คือ

ก) ภูตกสิณ (กสิณคือ มหาภูตรูป) 4 คือ ปฐวี (ดิน) อาโป (น้ำ) เตโช (ไฟ) วาโย (ลม)

ข) วรรณกสิณ (กสิณ คือ สี) 4 คือ นีล (เขียว) ปีต (เหลือง) โลหิต (แดง) โอทาต (ขาว)

ค) กสิณอื่น ๆ คือ อาโลก (แสงสว่าง) ปริจฉินนากาส เรียกสั้นว่า อากาศ (ช่องว่าง) *

กสิณ 10 นี้จะใช้ของที่อยู่ตามธรรมชาติก็ได้ ตกแต่งจัดทำขึ้นให้เหมาะกับการใช้เพ่งโดยเฉพาะก็ได้ แต่โดยมากนิยมวิธีหลัง

รูปภาพ



อ้างคำพูด:
Love J.
หลักเขาว่าอย่างไรครับ

จะยกตัวอย่าง กสิณนี่นะ เมื่อได้รูปกสิณมาแว้ว ก็นั่งเพ่งพร้อมภาวนาชื่อกสิณในใจไปด้วย ถ้าเป็นกสิณดิน ก็ ปฐวี กสิณังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ร้อยหนพันหนหมื่นหนแสนหน ว่าไปนะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2019, 22:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เท่าที่พระอรรถกถาจารย์รวบรวมแสดงไว้ มี กรรมฐาน 40 อย่าง คือ

ก. กสิณ 10 แปลกันว่า วัตถุอันจูงใจ หรือวัตถุสำหรับเพ่ง เพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ เป็นวิธีใช้วัตถุภายนอกเข้าช่วย โดยวิธีเพ่ง เพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งมี 10 อย่าง คือ

ก) ภูตกสิณ (กสิณคือ มหาภูตรูป) 4 คือ ปฐวี (ดิน) อาโป (น้ำ) เตโช (ไฟ) วาโย (ลม)

ข) วรรณกสิณ (กสิณ คือ สี) 4 คือ นีล (เขียว) ปีต (เหลือง) โลหิต (แดง) โอทาต (ขาว)

ค) กสิณอื่น ๆ คือ อาโลก (แสงสว่าง) ปริจฉินนากาส เรียกสั้นว่า อากาศ (ช่องว่าง) *

กสิณ 10 นี้จะใช้ของที่อยู่ตามธรรมชาติก็ได้ ตกแต่งจัดทำขึ้นให้เหมาะกับการใช้เพ่งโดยเฉพาะก็ได้ แต่โดยมากนิยมวิธีหลัง

รูปภาพ



อ้างคำพูด:
Love J.
หลักเขาว่าอย่างไรครับ

จะยกตัวอย่าง กสิณนี่นะ เมื่อได้รูปกสิณมาแว้ว ก็นั่งเพ่งพร้อมภาวนาชื่อกสิณในใจไปด้วย ถ้าเป็นกสิณดิน ก็ ปฐวี กสิณังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ร้อยหนพันหนหมื่นหนแสนหน ว่าไปนะ :b32:


สาธุครับ ผมสรรเสริญการเพ่งฌาน แต่ผมยังครองเรือนการเพ่งฌานทำไม่ได้ง่าย อะไรเป็นอาหารแก่
วิชชาวิมุติ ผมก็พยายามเจริญ

...........................................................................

อาหารของวิชาวิมุติ (>> = เป็นอาหารของ )
คบสัตตบุรษ >> ฟังธรรม >> ศรัทธา >> โยนิโสมนสิการ >> สติ สัมปชัญญะ >> สำรวมอินทรีย์ >> สุจริต ๓ >> สติปัฏฐาน ๔ >> โพชฌงค์ ๗ >> วิชาวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2019, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เท่าที่พระอรรถกถาจารย์รวบรวมแสดงไว้ มี กรรมฐาน 40 อย่าง คือ

ก. กสิณ 10 แปลกันว่า วัตถุอันจูงใจ หรือวัตถุสำหรับเพ่ง เพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ เป็นวิธีใช้วัตถุภายนอกเข้าช่วย โดยวิธีเพ่ง เพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งมี 10 อย่าง คือ

ก) ภูตกสิณ (กสิณคือ มหาภูตรูป) 4 คือ ปฐวี (ดิน) อาโป (น้ำ) เตโช (ไฟ) วาโย (ลม)

ข) วรรณกสิณ (กสิณ คือ สี) 4 คือ นีล (เขียว) ปีต (เหลือง) โลหิต (แดง) โอทาต (ขาว)

ค) กสิณอื่น ๆ คือ อาโลก (แสงสว่าง) ปริจฉินนากาส เรียกสั้นว่า อากาศ (ช่องว่าง) *

กสิณ 10 นี้จะใช้ของที่อยู่ตามธรรมชาติก็ได้ ตกแต่งจัดทำขึ้นให้เหมาะกับการใช้เพ่งโดยเฉพาะก็ได้ แต่โดยมากนิยมวิธีหลัง

รูปภาพ



อ้างคำพูด:
Love J.
หลักเขาว่าอย่างไรครับ

จะยกตัวอย่าง กสิณนี่นะ เมื่อได้รูปกสิณมาแว้ว ก็นั่งเพ่งพร้อมภาวนาชื่อกสิณในใจไปด้วย ถ้าเป็นกสิณดิน ก็ ปฐวี กสิณังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ร้อยหนพันหนหมื่นหนแสนหน ว่าไปนะ :b32:


สาธุครับ ผมสรรเสริญการเพ่งฌาน แต่ผมยังครองเรือนการเพ่งฌานทำไม่ได้ง่าย อะไรเป็นอาหารแก่
วิชชาวิมุติ ผมก็พยายามเจริญ

...........................................................................

อาหารของวิชาวิมุติ (>> = เป็นอาหารของ )
คบสัตตบุรษ >> ฟังธรรม >> ศรัทธา >> โยนิโสมนสิการ >> สติ สัมปชัญญะ >> สำรวมอินทรีย์ >> สุจริต ๓ >> สติปัฏฐาน ๔ >> โพชฌงค์ ๗ >> วิชาวิมุติ


ยังไงอ่ะ คุณก็บอกอยู่เองว่า ทำกสิณ ๑๐ มาหมดแว้ว ไม่เข้าใจ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2019, 06:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2018, 07:07
โพสต์: 482

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Love J. เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เท่าที่พระอรรถกถาจารย์รวบรวมแสดงไว้ มี กรรมฐาน 40 อย่าง คือ

ก. กสิณ 10 แปลกันว่า วัตถุอันจูงใจ หรือวัตถุสำหรับเพ่ง เพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ เป็นวิธีใช้วัตถุภายนอกเข้าช่วย โดยวิธีเพ่ง เพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่งมี 10 อย่าง คือ

ก) ภูตกสิณ (กสิณคือ มหาภูตรูป) 4 คือ ปฐวี (ดิน) อาโป (น้ำ) เตโช (ไฟ) วาโย (ลม)

ข) วรรณกสิณ (กสิณ คือ สี) 4 คือ นีล (เขียว) ปีต (เหลือง) โลหิต (แดง) โอทาต (ขาว)

ค) กสิณอื่น ๆ คือ อาโลก (แสงสว่าง) ปริจฉินนากาส เรียกสั้นว่า อากาศ (ช่องว่าง) *

กสิณ 10 นี้จะใช้ของที่อยู่ตามธรรมชาติก็ได้ ตกแต่งจัดทำขึ้นให้เหมาะกับการใช้เพ่งโดยเฉพาะก็ได้ แต่โดยมากนิยมวิธีหลัง

รูปภาพ



อ้างคำพูด:
Love J.
หลักเขาว่าอย่างไรครับ

จะยกตัวอย่าง กสิณนี่นะ เมื่อได้รูปกสิณมาแว้ว ก็นั่งเพ่งพร้อมภาวนาชื่อกสิณในใจไปด้วย ถ้าเป็นกสิณดิน ก็ ปฐวี กสิณังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ร้อยหนพันหนหมื่นหนแสนหน ว่าไปนะ :b32:


สาธุครับ ผมสรรเสริญการเพ่งฌาน แต่ผมยังครองเรือนการเพ่งฌานทำไม่ได้ง่าย อะไรเป็นอาหารแก่
วิชชาวิมุติ ผมก็พยายามเจริญ

...........................................................................

อาหารของวิชาวิมุติ (>> = เป็นอาหารของ )
คบสัตตบุรษ >> ฟังธรรม >> ศรัทธา >> โยนิโสมนสิการ >> สติ สัมปชัญญะ >> สำรวมอินทรีย์ >> สุจริต ๓ >> สติปัฏฐาน ๔ >> โพชฌงค์ ๗ >> วิชาวิมุติ


ยังไงอ่ะ คุณก็บอกอยู่เองว่า ทำกสิณ ๑๐ มาหมดแว้ว ไม่เข้าใจ :b10:


ทำกสิณ ๑๐ มาหมดแว้ว .. ไม่เคยบอกครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 189 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 46 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร