วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 14:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ธ.ค. 2011, 15:07
โพสต์: 40


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ กระผมสังสัยว่าเวลาภาวนา ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ คือว่าอย่างนี้ เวลาภาวนาไป พอจิตจะสงบหรือเริ่มจะสงบ มีเหตุจะต้องกลืนน้ำลาย พอเอื๊อกสมาธิก็ตกทุกที.

หลวงพ่อ : เขาไม่เรียกว่ากลืนน้ำลาย เขาเรียกว่ากลืนสมาธิ คิดผิดเอง ของดีหาว่าเป็นของเลว กลืนสมาธิเลย กิเลสจับไม่ได้หลอก ความจริงเขาก็ดีนะ เขารู้ตัวนี่ ที่นี่ไม่มีอะไรไม่ดี คนไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี ไปนรกก็ดี ไปเป็นเปรตก็ดี ไปเป็นอสุรกายก็ดี ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ดี ไปเป็นมนุษย์ก็ดี.

ผู้ถาม : เป็นเปรตดียังไงครับ ?

หลวงพ่อ : ดีที่ได้เป็นเปรต ใครอยากเป็นเปรตก็ภาวนา เปตรจ๋าๆ ๆ (หัวเราะ) เอ๊ะ! เมื่อกี้ว่ายังไงนะ ?

ผู้ถาม : คือทำสมาธิชอบกลืนน้ำลายครับ.

หลวงพ่อ : คือสมาธิมันมี ๒ แบบ คือ สมถะมันมี ๒ แบบ อารมณ์ทรงตัว กับ อารมณ์คิด อารมณ์คิดมันบวกวิปัสสนาไปด้วย ใช่ไหม ในเมื่อเราภาวนาจิตใจมันสบาย พอถึงเขตตรงนั้นปั๊บ อยากกลืนน้ำลายหรือเสมหะ ก็คิดว่าขึ้นชื่อว่าร่างกายมันเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยงอย่างนี้ นี่เราต้องสงบมันกลับเป็นอย่างนี้ เพราะว่าร่างกายเป็นทุกข์ นี่เป็น อนิจจัง มันไม่เที่ยง เราทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง ในที่สุดมันก็เป็น อนัตตา ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นคนอย่างนี้ เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน แค่นี้ก็หมดเรื่องหมดราว.

ผู้ถาม : ทำสมาธิกลืนน้ำลายนี่ยังดีนะ เขาเล่ามาบอกว่าเวลาสวดมนต์ อิติปิ โส ภควา ขากถุย ขากตลอดเวลาเลย สู้กลืนสมาธิไม่ได้นะ.

หลวงพ่อ : ถ้าขาก อิติปิ โส บทต้นนะ ขากพระพุทธเจ้า ถ้าบทกลาง สวากขาโต เป็นธรรมคุณ ถ้าสุปฏิปันโน เป็นบทของพระสงฆ์ ขากตรงนั้นขากพระสงฆ์ทิ้ง

รวมความว่า กำลังกรรมฐานต้องมี ๒ อย่าง ให้เข้าใจตามนั้นนะ ว่าการเจริญสมาธิไม่ใช่อารมณ์สงบอย่างเดียว ในกรรมฐาน ๔๐ มี “อารมณ์สงบ” ๑๑ กอง และก็มี “อารมณ์คิด” ๒๙ กอง เห็นไหม อารมณ์คิดมากกว่า ในมหาสติปัฏฐานสูตร หลายสิบกองมีกรรมฐานที่ทำให้จิตสงบกองเดียว นั่นคือ อานาปานุสสติกรรมฐาน นอกจากนั้นเป็นอารมณ์คิดหมด ก็ต้องฝึกทั้ง “อารมณ์สงบ” และ “อารมณ์คิด” คือคิดอยู่ในขอบเขตนะ.


ที่มา : นิตยสารธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๑๐ ประจำเดือน มกราคม ๒๕๕๐
หน้าที่ ๘๒-๘๓. ถอดความโดย ศรีโคมคำ.
:b8: :b8: :b8:

:b44: รวมคำสอน “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38703

:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=34508


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร