วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 15:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหน ภาคที่ ๔ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์ ตอน ๑




1 เรื่องที่ ๓๕ ท่านพระยามาราธิราชเวลานี้ท่านไปเกิดเป็นหัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

2 เรื่องที่ ๓๖ น้องสาวคนเล็กอายุ ๔ ขวบของอาตมาตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

3 เรื่องที่ ๓๗ ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

4 เรื่องที่ ๓๘ ตายจากคนพม่าแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

5 เรื่องที่ ๓๙ สองพี่น้องตายจากคน คนพี่ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนคนน้องไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

6 เรื่องที่ ๔๐ ท่านธรรมิกอุบาสกตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

7 เรื่องที่ ๔๑ พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณจึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

8 เรื่องที่ ๔๒ หลวงพ่อปานวัดบางนมโคปรารถนาพระโพธิญาณมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

9 เรื่องที่ ๔๓ หลวงปู่พระครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

10 เรื่องที่ ๔๔ พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

11 เรื่องที่ ๔๕ ก่อนจะตายเป็นพระโสดาบันตายแล้วไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต

12 เรื่องที่ ๔๖ ตายจากคนซึ่งได้ทิพย์จักขุญาณดูหมอได้แล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นยามา

13 เรื่องที่ ๔๗ ตายจากความเป็นคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา

14 เรื่องที่ ๔๘ ตอนเช้ากับตอนหัวค่ำจับพระที่ห้อยคอขอท่านคุ้มครอง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา

15 เรื่องที่ ๔๙ ตายจากแม่ชีไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา

16 เรื่องที่ ๕๐ ตายจากทายกวัดไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา

17 เรื่องที่ ๕๑ ตายจากคนไปอยู่ที่สำนักพระยายมราชนึกได้แต่อาตมาอย่างเดียวไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา

18 เรื่องที่ ๕๒ ท่านมาฆมาณพตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านพระอินทร์ หัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

19 เรื่องที่ ๕๓ คนทำบุญนอกพระพุทธศาสนาตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีอานิสงส์น้อยกว่าคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนา

20 เรื่องที่ ๕๔ ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพระกาล เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

21 เรื่องที่ ๕๕ ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

22 เรื่องที่ ๕๖ ตายจากคนที่ “ความชั่วมีมาก ความดีไม่ปรากฎ” แล้วไปเกิดเป็นเทวดา

23 เรื่องที่ ๕๗ ตายจากคนจนถวายข้าวตอก ๑ ขัน เพียงครั้งเดียวไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

24 เรื่องที่ ๕๘ ตั้งใจถวายดอกบวบขมตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

25 เรื่องที่ ๕๙ ปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหาร ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนแดนสวรรค์

26 เรื่องที่ ๖๐ ถวายอ้อยแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

27 เรื่องที่ ๖๑ โมทนาบุญอย่างเดียวตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

28 เรื่องที่ ๖๒ พระจนมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

29 เรื่องที่ ๖๓ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

30 เรื่องที่ ๖๔ พระวิสุทธาธิบดี วัดไตรมิตรฯ มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก



เรื่องที่ ๓๕ ท่านพระยามาราธิราชเวลานี้ท่านไปเกิดเป็นหัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

“..พระยามารที่เรียกกันว่า พระยามาราธิราช ท่านเป็นหัวหน้าเทวดาสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ชาวสวรรค์เรียกท่านว่า ท้าวมาลัย ความจริงเวลานี้ท่านไม่ได้เป็นมารแล้ว อาตมาเคยพบกับท่าน ท่านคุยสนุกสนาน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ความเป็นมารของท่านที่จะเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้า ก็เพราะในสมัยตอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีใหม่ๆ เพื่อปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระยามาราธิราชกับพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนกัน ต่างคนต่างเลี้ยงม้าเหมือนกัน วันหนึ่งก็ไปเกี่ยวหญ้าให้ม้าด้วยกัน ท่านพระยามาราธิราชก็เกี่ยวแยกออกไป ต่างคนต่างเกี่ยวแยกคนละทาง วันนั้นบังเอิญมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งผ่านมาต้องการหญ้า ก็มายืนที่พระพุทธเจ้าเกี่ยวหญ้า พระพุทธเจ้าถวายหญ้าท่านฟ่อนหนึ่ง แล้วท่านก็เหาะไป ครั้นจะเอาของเพื่อนให้ไปด้วยก็เกรงว่าเพื่อนจะไม่มีความเลื่อมใสจะว่าเอาเลยไม่ให้ไป ตอนเย็นเก็บหญ้ามารวม พระพุทธเจ้าก็บอกกับท่านพระยามาราธิราชว่า วันนี้พระมาบิณฑบาตหญ้าเรา เราเอาของเราให้ไปแต่ว่าของเพื่อนเราไม่ได้ให้ไปเพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่เลื่อมใส เท่านั้นแหละท่านพระยามาราธิราชสมัยเป็นเพื่อนก็เจ็บใจหาว่าพระพุทธเจ้าเอาดีคนเดียว เลยจองล้างไว้ว่าถ้าหากแกจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อไรก็ตาม หรือก่อนเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ข้าจะคอยขัดขวางการบำเพ็ญบารมีของแกตลอดไป ทั้งนี้เพราะว่าท่านเองก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน

ท่านเล่าให้อาตมาฟังว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า ที่ท่านเคยขัดขวางไม่ใช่อะไรเป็นความโง่ของท่านเอง ท่านคิดเกรงว่าพระพุทธเจ้าจะเทศน์สอนคนไปพระนิพพานเสียหมด แล้วเวลาท่านเป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีคนรับฟังการเทศน์ ท่านบอกว่าความจริงผมไม่น่าจะโง่แบบนั้น ที่โง่ก็เป็นเพราะกรรมที่จองล้างจองผลาญกันไว้ รู้สึกเสียใจเหมือนกันว่าไม่น่าจะทำ ต่อมาเมื่อ พระอุปคุต ทรมานเสียจนหมดฤทธิ์เพราะเป็นคู่ปรับกัน จึงมาคิดได้ว่าเราโง่เกินไป

เป็นอันว่า ท่านพระยามาราธิราช บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ไม่ต้องกลัวท่าน ควรจะดีใจถ้าท่านมาหาเมื่อไรมีความสุขเมื่อนั้น และก็เลิกเรียกชื่อพระยามาราธิราชได้แล้ว เรียกว่า ท่านท้าวมาลัย ก็แล้วกัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์..”

เรื่องที่ ๓๖ น้องสาวคนเล็กอายุ ๔ ขวบของอาตมาตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี


“..สมัยที่อาตมาออกธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ในป่าศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี วันหนึ่งอาตมาไม่สบายปวดศีรษะมากผิดปกติถึงกับต้องนอน นั่งไม่ได้ ก็นึกในใจว่า “ทุกขเวทนาจงมีกับร่างกายอย่างเดียว จงอย่ามีกับใจของเรา” แต่ใจมันเกาะร่างกายก็ต้องมีบ้าง แต่เราไม่สนใจ มันปวดก็ทนปวด ไม่ช้าร่างกายนี้ก็พัง เรากับร่างกายก็จะแยกจากกัน ร่างกายที่พังแล้วสู้ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ยังดีกว่าร่างกายที่เน่าเปื่อย จุดที่เราจะไปนั่นคือพรหม ตอนนั้นยังไม่ลาพุทธภูมิ พอคิดเพียงเท่านี้ก็เห็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสั้นพุทธเจ้าชัดเจนแจ่มใสมาก ท่านองค์ใหญ่มากหน้าตักประมาณ ๘ ศอกเศษๆ สวยสดงดงามมีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ ทรงแย้มพระโอษฐ์ ท่านมากับท่านพระยายมราช พอสักครู่เดียวได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงเรียก “หลวงพี่ๆ หนูอยู่ที่นี่ หลวงพี่ปวดศีรษะมากหรือ” แหงนหน้าขึ้นไปเห็นน้องสาวคนเล็กที่ตายตั้งแต่อายุ ๔ ขวบ ชื่อ อุบล ยืนอยู่บนยอดไม้

น้องคนนี้ตั้งแต่เกิดมาพอทรงตัวได้ไม่ยอมนอนกับแม่ มานอนกับอาตมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ จะไปไหนก็ต้องอุ้มไปด้วย ไปโรงเรียนก็ต้องเอาไปด้วย เป็นน้องสาวคนเล็กที่อาตมาเลี้ยงมาเอง เป็นนักบุญชอบให้ทาน ชอบฟังเทศน์และชอบภาวนาตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ แต่สิ่งที่น้องท่านเคร่งครัดมากก็คือ ทุกอย่างถ้าแม่สั่งจำได้ดีมากและปฏิบัติได้ดี ถ้าพี่ปฏิบัติพลาดน้องจะเตือนว่า แม่สอนอย่างนี้นะพี่ แม่ไม่ให้พูดอย่างนี้ แม่ไม่ให้ทำอย่างนี้ เป็นน้องสาวที่ดีมาก หลังจากตายไปแล้วหลายปีไม่ได้พบเลย มาบอกว่า “เป็นนางฟ้าอยู่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี” อาตมาถามว่า “บุญอะไรที่ไปอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี” ตอบว่า “ที่แม่สอนกรรมฐานให้ว่า “พุทโธ” ทำกรรมฐานได้ดีเป็นฌาน ๔ แต่เวลาที่จะตาย เวลานั้นหลวงพี่ไม่อยู่ออกไปข้างนอกบ้าน ได้ป่วยหนักมีอาการอยากน้ำและร้อนในมากเรียกหาพี่ไม่พบ จิตก็เลยวุ่นวายไปหน่อยเพราะคิดถึงพี่ ทั้งๆ ที่ในอากาศมีเทวดา มีนางฟ้ามามากมาชวนให้ไปอยู่ ในที่สุดคอยพี่ไม่ไหว จึงตายแล้วไปเกิดอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เพราะว่าตายนอกฌาน เวลาอยู่ข้างบนท่านชื่อ “ท่านพัว” ท่านบอกกับอาตมาว่า “ประเดี๋ยวท่านปู่พระอินทร์จะมารักษาให้” พอพูดจบท่านปู่ก็มาถึง ทรงชุดสีเขียวสวยงามมาก ท่านปู่บอก “เป็นกฎของกรรมเพราะอาตมาเป็นนักรบทุกชาติ” ขึ้นชื่อว่าการรบก็ต้องมีการเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน กรรมทั้งหลายเหล่านั้นถึงแม้ว่า เราจะมีบุญมากเท่าไรก็ตาม มันก็ตามทัน มันก็มาเบียดเบียน

ในที่สุดท่านปู่ก็รักษาโดยเอามือมากอบที่ศีรษะทั้งสองมือ กอบ ๓ ครั้งเหมือนกอบของทิ้ง พอครั้งที่ ๓ หายเลย ท่านบอกคาถาให้ ๔ คำ จะเป็นโรคอะไรก็ตามเวลาอยู่ในป่าให้ทำแบบนี้ และให้นึกถึงท่าน ท่านจะมาช่วยและจะหายทันที แต่อาตมาลืมคาถานี้แล้ว

เรื่องที่ ๓๗ ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี


วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๑ เวลา ๑๗.๑๐ น. อาตมานอนภาวนาไปได้ไม่ถึง ๒ นาที ก็เห็นขาหญิงสาวสองคนเดินมา เห็นเพียงขาผิวขาวนวลเรียบไม่ย่นไม่มีตำหนิเนื้อเต็ม ลักษณะทรวดทรงงามมาก เมื่อเธอทั้งสองนั่งลงใกล้ๆ ก็เห็นร่างกายทั้งหมดของเธอสวยเรียบๆ จริงๆ ผิวหาที่ตำหนิไม่ได้เลย ส่วนของร่างกายเหมาะสมได้สัดส่วนมากอิ่มทั้งตัวและหน้า อาตมาถามเธอว่า “เธอมาเฝ้าเพื่อความปลอดภัยหรือ” เธอตอบว่า “ใช่” ถามเธอว่า “อยู่ชั้นไหน” เธอตอบว่า “ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเจ้าค่ะ” นางฟ้าสวรรค์ชั้นนี้สวยจริงๆ อาตมาเห็นเธอ ๒ คนนี้แล้วรู้สึกว่า ความสวยของสาวในโลกมนุษย์แห้งหมด ภาพที่เห็นนี้แลเห็นเป็นเหมือนเนื้ออย่างคนธรรมดา ถามว่า “ใครเป็นหัวหน้าส่งเธอมา” เธอตอบว่า “เธอเป็นเทพธิดาของท่านพัวหรือท่านอุบล” เป็นชื่อเมื่ออยู่เมืองมนุษย์ ท่านผู้นี้เป็นน้องสาวคนเล็กของอาตมา ท่านตายเมื่ออายุ ๔ ปี ท่านเป็นนักบุญ ชอบให้ทาน ชอบฟังเทศน์ และชอบภาวนาตั้งแต่ยังพูดไม่ชัด เธอทั้งสองบอกว่า “ท่านพัวเป็นเหมือนมารดา เพราะเธอไปเกิดบนตักของท่าน”

อาตมาจึงบอกเธอว่า “ขอบใจลูกรักที่เมตตาพ่อ เพราะพ่อแก่และป่วย ผีหรือไสยศาสตร์อาจทำร้ายได้ เมื่อลูกมาช่วยระวังให้ความปลอดภัยจากสองประการก็มิได้มีแน่นอน” เธอบอกว่า “เธอเป็นหลานเพราะท่านพัวเป็นน้องสาว เธอต้องเรียกอาตมาว่าลุง” จึงบอกเธอว่า “ไม่จำเป็นเพราะคำว่าหลานห่างไปจากความรู้สึก ถ้าลูกจะมีความใกล้ชิดมาก” เธอทั้งสองดีใจมากก้มลงกราบ พอดีท่านย่ามา อาตมาได้ปรารภกับท่านว่า “นางฟ้าชั้นปรนิมมิตวสวัตตีนี่สวยงามมาก ทำเอานางฟ้าชั้นดาวดึงส์ซีดเลย” ท่านย่ายอมรับว่าจริง อาตมาถามถึงการทำบุญของเธอว่า “ทำบุญอะไรจึงมีบุญอย่างนี้” เธอบอกว่า “ชอบก่อสร้าง ชอบบูชาพระ รักพระพุทธรูปมาก พระองค์ใหญ่ๆ (พระประธาน) จิตเกาะตลอดเวลา (เป็นฌาน) มีศีลและกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน” และท่านบอกว่า “การที่อาตมาสร้างวัดอย่างนี้และตั้งใจสร้างปล่อยไม่ติดวัด เทวดาและพรหมชอบมาก ท่านมาร่วมเป็นไวยาวัจกรมาก ช่วยด้านที่ไม่เห็นตัว เพราะได้ต่อบารมีกันทั่วไป โดยเฉพาะงานเจริญภาวนาอีกอย่างหนึ่งที่ท่านชอบกันมาก จึงมาช่วยกันมาก” เมื่อเธอกล่าวจบท่านย่าถามว่า “ท่านพัวไม่มาหรือ” พอท่านย่ากล่าวจบ ท่านพัวมาถึงพอดี ท่านพัวมาในรูปนางฟ้ามีชฎา สองสาวที่คุยกันอยู่เดิมเธอมีเนื้อมีหนังเหมือนคนก็เลยเป็นนางฟ้าไปด้วย สวยกว่ารูปเดิมมากเครื่องประดับแพรวพราว..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 15:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๓๘ ตายจากคนพม่าแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี


“..อาตมาไปพักที่วัดศีรษะเมืองหรือวัดมหาธาตุในปัจจุบัน อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท บังเอิญพระปลัดฉ่องเจ้าอาวาสไปกรุงเทพฯ เลยสวนทางกัน มาคราวไรไม่เคยเห็นพระปลัดฉ่องนอนในกุฏิสักครั้ง ท่านนอนนอกกุฏิ วันนั้นพระเขาจัดให้นอนในกุฏิเจ้าอาวาส มาคราวก่อนๆ ไม่เคยให้เข้าไปนอนในกุฏินั้นเลย ก็คิดว่าเงียบดี เมื่อถึงเวลาเข้านอนก็เข้าไปข้างในกุฏิ แต่ก็ยังไม่ง่วงเลยหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านจนถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. จึงวางหนังสือลง จุดธูปเทียนบูชาพระ ตั้งใจว่าจะเข้าสมาธิเต็มอัตราสักครู่ประมาณสักตี ๒ ก็จะนอน ปรากฏว่าพอจุดธูปบูชาพระก็ขนลุกชันซู่ๆ บังคับอย่างไรก็ไม่หาย อาการแบบนี้เคยเป็นมาแล้วหลายวาระ รู้ว่าผีจะแสดงเดชเรียกว่าผีอาละวาด ถ้าผีเขาจะเอาจริงโดยมากมักจะทำแบบนี้ก่อน ให้ตกใจมีความหวั่นหวาดแต่เรื่องนี้โดนมาไม่รู้กี่ร้อยครั้งมันชินแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เมื่อบังคับให้ขนหยุดลุกไม่ได้ก็นึกในใจว่า เจ้าผีอะไรสักตัวหนึ่งมันคงจะเล่นงาน มองไปมองมาก็ไม่เห็นมัน มันเก่งเหมือนกันก็เลยพูดดังๆ ว่า “ถ้าเก่งจริงๆ แล้ว ก็เชิญแสดงตัวให้ปรากฏ ไอ้เรื่องที่แสดงอานุภาพแบบนี้มันเกินไปที่ฉันจะกลัวแก”

เมื่อพูดจบเขาก็แสดงตัวเดินออกมาจากหลังที่บูชาพระ เป็นพม่านุ่งโสร่ง มีผ้าโพกหัว มายืนอยู่ อาตมาก็บอกว่า “นั่งลงนะอย่ามาทำยืนเก้ๆ กังๆ พระอย่างฉันนี่ถ้าผีดีฉันเมตตาฉันบูชาเหมือนกัน ถ้าผีไม่ดีฉันจับ ๒ ขาฟาดมาเสียหลายสิบรายแล้ว” ผีก็นั่งลง อาตมาก็บอกว่า “เมื่อนั่งลงแล้วก็ไหว้พระเสียซิ เห็นว่าฉันเป็นพระหรือว่าเป็นเปรต” เขาก็บอกว่า “เห็นเป็นพระขอรับ จึงได้แสดงอานุภาพลองดู ถ้าเห็นเป็นเปรตผมไม่เข้ามาใกล้หรอก ผมรังเกียจเปรต”

ก็เลยบอกว่า “เป็นผีไม่ชอบกับเปรตหรือ” เขาก็ตอบว่า “ผีมีหลายชั้น พวกเปรตก็มี อสุรกายก็มี พวกสัมภเวสีก็มี และก็มีภุมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา พรหม เขายกประโยชน์ให้เป็นผีหมด” ถามว่า “เป็นผีพวกไหน” ตอบว่า “เป็นผีอากาศเทวดา” ถามว่า “อยู่ชั้นไหน” ตอบว่า “อยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี”

ถามว่า “เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเขาไม่ได้นุ่งโสร่งและโพกหัวนี่ ฉันไม่เชื่อ” เขาบอกว่า “ไม่เชื่อ ประเดี๋ยวผมจะแสดงภาพเทวดาให้ปรากฏก็ได้” พูดจบก็กลายเป็นเทวดาสวยมาก คราวนี้ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ก็เลยถามว่า “มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและมายุ่งที่นี่เพราะอะไร” เขาก็เลยบอกว่า “หัวกะโหลกผมอยู่ใต้โต๊ะบูชาขอรับ นิมนต์ล้วงเอาออกมา หัวกะโหลกผมในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์”อาตมาก็ดึงเอาหัวกะโหลกออกมา เป็นหัวกะโหลกโตกว่าบาตรมาก จึงถามว่า “หัวกะโหลกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาตอบว่า “ในสมัยที่ประเทศพม่ากับประเทศไทยรบกัน ผมถูกเกณฑ์ให้มารบ แต่ความจริงไม่ได้เต็มใจมารบ เมื่อเขาเกณฑ์ก็ต้องมา ถ้าไม่มาก็หมายความว่าต้องตาย ๗ ชั่วโคตร ในสมัยนั้นมีเกณฑ์บังคับว่าฆ่ากัน ๗ ชั้นของคนนั้นเลย ชั้นบนขึ้นไปก็ถึงทวดเลย ชั้นล่างลงไปก็ถึงหลาน เรียกว่าตระกูลนั้นทั้งตระกูลจะไม่มีใครเหลือ ขณะที่มารบก็มาตายอยู่ที่ข้างกำแพงเมืองสรรคบุรี”


ถามว่า “คนมารบกัน เวลาตายมันน่าจะลงนรก ทำไมตายแล้วถึงไปเป็นเทวดา” เขาตอบว่า “ตามปกติผมเป็นชาวบ้าน สมัยนั้นพระพุทธศาสนายังรุ่งเรืองผมก็นับถือพระพุทธศาสนา เคยเจริญฌาน การมารบก็มาด้วยการเกณฑ์มาไม่ได้มาด้วยความเต็มใจ เขาให้มารบก็ต้องรบ เขาให้ตีก็ต้องตี เขาให้ฟันก็ต้องฟัน แต่ว่าจิตใจของผมนั้นไม่เคยทิ้งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเลย นึกถึงคุณพระพุทธเจ้าและคุณพ่อคุณแม่อยู่เสมอ ก็ตั้งใจไว้ว่างานที่ทำนี้ไม่ได้ทำด้วยความเต็มใจแต่ทำด้วยความจำใจ ถ้าไม่ทำตัวคนเดียวตายก็ไม่เป็นไร แต่ญาติตั้งแต่ญาติเล็กจนถึงญาติใหญ่จะตายหมด เรียกว่าทั้งโคตรจะไม่เหลือ คนอื่นที่ไม่ได้มีความผิดด้วยจะพลอยตาย ก็เลยตัดสินใจมากับเขา ผมไม่ได้เต็มใจรบ”

ถามว่า “ขณะที่รบฆ่าใครตายบ้างหรือเปล่า” ตอบว่า “ผมมาคราวนี้คราวเดียวครับ ไม่ทันจะฆ่าเขาหรอก เวลาเขาสั่งให้ตีกำแพงเมือง ผมก็นั่งเข้าฌานหรือที่เรียกว่าปลุกตัว พอจิตเป็นฌานก็คลายออกมา ก็คิดว่าถ้าข้าพเจ้าเคยฆ่า เป็นศัตรูกับใคร เคยจองล้างจองผลาญใครมา ถ้าทำก็ให้ทำเฉพาะถูกคนนั้น แต่ว่าข้าพเจ้าไม่ตั้งใจจะฆ่าใคร ถ้าหากว่าคนใดที่เขาเคยเป็นศัตรูกับข้าพเจ้า เคยจองเวรจองกรรมกันมา ถ้าเขาฆ่าข้าพเจ้าตาย ก็ขอให้เป็นอโหสิกรรมกัน เมื่อเขาตีกลองรบ เขาสั่งให้ปีนกำแพงเมือง ก็วิ่งเข้ามาไม่ทันถึงกำแพงเมือง พอถึงข้างคูก็ปรากฏว่าถูกยิงกราดตาย ไม่ทันได้ตีได้ฟันใคร จิตใจก็ยังนึกถึงพระ เวลาตายแล้วผมก็เลยไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ตามผลของฌานที่ได้ไว้ แต่ทว่าเวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย มันตายนอกฌาน แต่จิตนึกถึงคุณพระอยู่”

เรื่องที่ ๓๙ สองพี่น้องตายจากคน คนพี่ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนคนน้องไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี


“..เรื่องหนึ่งตามพระไตรปิฎก ในวิมานวัตถุกล่าวถึง สองสาวพี่น้อง คนพี่ชื่อ ภัททา คนน้องชื่อ สุภัททา สมัยที่เป็นมนุษย์พี่น้องสองคนนี้มีสามีคนเดียวกัน ท่านทั้งสองเมื่อมีชีวิตอยู่ชอบให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ แต่การให้ทานต่างกันนิดหนึ่งคือ ท่านภัททาผู้พี่ชอบให้ทานส่วนบุคคล เป็นทานที่ใหญ่ๆ ยศใหญ่ ตำแหน่งใหญ่ ชื่อเสียงใหญ่ ส่วนท่านสุภัททาผู้น้องในตอนแรกก็ให้ทานดะเหมือนกัน ชอบใหญ่ๆ เหมือนกัน ต่อมาได้พบ พระเรวัตตะ เข้าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อท่านสุภัททาจะถวายทานแก่ท่าน ท่านแนะนำว่า “ให้ถวายเป็นสังฆทานดีกว่า เพราะอานิสงส์มากกว่าถวายทานส่วนบุคคล ทานส่วนบุคคลนั้น แม้ผู้รับจะเป็นพระอรหันต์ แต่อานิสงส์น้อยกว่าสังฆทานมาก” เมื่อท่านทราบอย่างนั้นก็ขอถวายเป็นสังฆทาน

ต่อจากนั้นก็ถวายเป็นสังฆทานตลอดมา คนนี้ต้องเรียกว่า นางฟ้าสังฆทาน พี่น้องทั้งสองท่านรักษาอุโบสถทุกวันพระ ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ฟังธรรมเป็นปกติ ท่านภัททาผู้พี่ตายจากความเป็นคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานสวย เครื่องประดับก็สวย รูปร่างผิวพรรณก็สวย ถ้าเปรียบกับเมืองมนุษย์ก็เหมือนคนชิงตำแหน่งนางสาวไทย และมีโอกาสเป็นนางงามประจำชาติไทยแน่ แต่ท่านสุภัททาผู้น้องยิ่งกว่านั้นถ้าจะแข่งขันความสวย ต้องเปรียบเหมือนผู้ชนะความงามเลิศที่สุดในโลก เพราะท่านไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ชั้นเดียวกับ พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา

วันหนึ่งท่านสุภัททาคิดถึงพี่สาวคือท่านภัททา อยากจะทราบว่าเกิดอยู่ที่ใด จึงใช้ใจที่เป็นทิพย์ตรวจดูก็รู้ว่า พี่สาวอยู่ดาวดึงส์ จึงมาหาพี่สาว พี่สาวจำไม่ได้เพราะสวยมาก แสงสว่างก็สว่างไสวมากเหลือเกิน จึงถามว่า “เธอเป็นใคร” น้องสาวก็ตอบว่า “ฉันคือสุภัททาน้องของพี่” พี่สาวจึงถามว่า “เวลานี้เธออยู่ที่ไหน ทำไมจึงสวยกว่าฉันมาก แสงสว่างก็ดูสว่างกว่าฉันมาก เธอทำบุญอะไรจึงมีอานิสงส์มากถึงเพียงนี้” ท่านสุภัททาก็ตอบว่า “ฉันรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระ ฟังเทศน์จากท่านเรวัตตะ ท่านแนะนำให้ถวายสังฆทาน คือเมื่อเวลาฉันจะถวายทานแก่ท่าน ท่านแนะนำว่า สังฆทานมีอานิสงส์มากกว่าถวายทานส่วนบุคคล ฉันก็เลยถวายสังฆทานเรื่อยๆ มีมากถวายมากมีน้อยถวายน้อย และฟังเทศน์เสมอ ฟังแล้วพยายามปฏิบัติตาม ตามที่พึงจะทำได้ ตายแล้วจึงไปสู่สวรรค์ชั้นนิมมานรดี”

เมื่อทั้งสองท่านคุยกันพอสมควรแล้วท่านสุภัททาก็ลาพี่สาวกลับ ขณะที่ทั้งสองท่านยืนคุยกันพระอินทร์ท่านเห็น ท่านจึงถามท่านภัททาว่า “เมื่อกี้เธอคุยกับใคร คนนี้สวยมาก เครื่องประดับก็สวยมาก รัศมีกายก็สว่างมากกลบแสงสว่างของเทวดานางฟ้าชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด” ท่านจึงรายงานให้ทราบว่า คนนั้นเป็นน้องสาวชื่อสุภัททา เกิดที่ชั้นนิมมานรดี เมื่อเป็นมนุษย์รักษาอุโบสถศีลทุกวันพระ ฟังเทศน์เป็นปกติ ถวายสังฆทานเป็นปกติ เธอจึงมีอานุภาพมาก สวยมาก สว่างมาก ตามที่ท่านเห็น..”

เรื่องที่ ๔๐ ท่านธรรมิกอุบาสกตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต


“..คนก่อนจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน นี้ในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็มีท่านผู้นี้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูมีนามว่า “ธรรมิกอุบาสก” แปลว่า “อุบาสกผู้ประกอบไปด้วยธรรม” คือตั้งใจประพฤติธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ท่านธรรมิกอุบาสกมีความเคารพในพระพุทธเจ้ามากและปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเป็นอย่างดี คิดว่าท่านผู้นี้น่าจะเป็นพระอริยเจ้า เพราะคนสมัยนั้นที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ไม่เป็นพระอริยเจ้ามีน้อย พระพุทธเจ้าไปจำพรรษาแดนใด แดนนั้นก็มีพระอริยเจ้ามากกว่าปุถุชน
ต่อมาท่านธรรมิกอุบาสกป่วยหนักก็อยากจะฟังสวดพระปริตร พระปริตรคือบทสวดมนต์ บทสวดมนต์เวลานั้นเห็นจะเป็นมหาสติปัฏฐานสูตร ก็สั่งให้ลูกไปนิมนต์พระจากพระพุทธเจ้า สุดแล้วแต่พระพุทธเจ้าจะตรัสให้พระองค์ใดองค์หนึ่งมาสวดพระปริตร เมื่อพระมานั่งเรียบร้อยแล้วก็แจ้งให้พ่อทราบ พอพระเริ่มสวดพระปริตร เวลานั้นก็ปรากฏเทวดาทั้ง ๖ ชั้นคือ

๑) ชั้นจาตุมหาราช
๒) ชั้นดาวดึงส์
๓) ชั้นยามา
๔) ชั้นดุสิต
๕) ชั้นนิมมานรดี
๖) ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

ยกขบวนกันมามากลอยในอากาศใกล้ๆ แต่ละชั้นต่างนำรถทิพย์มาเชิญท่านธรรมิกอุบาสกว่า
“ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นจาตุมหาราช มีความสุข”
“ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นดาวดึงส์ มีความสุข”
“ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นยามา มีความสุข”
“ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นดุสิต มีความสุข”
“ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นนิมมานรดี มีความสุข”
“ท่านธรรมิกะ จงไปอยู่กับฉันเถิด ฉันอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี มีความสุข”

เทวดาต่างส่งเสียงเชื้อเชิญเจี๊ยวจ๊าว จนกระทั่งท่านธรรมิกอุบาสกไม่ได้ยินเสียงพระสวด ท่านตั้งใจจะฟังพระสวด ก็รำคาญเสียงเทวดาจึงโบกไม้โบกมือบอกว่า “หยุดก่อนๆ” เสียงท่านบอกให้หยุดก่อนอยู่นานแต่เสียงเทวดาก็ไม่ยอมหยุด และก็เป็นการบังเอิญจริงๆ ที่บรรดาลูกหลานทั้งหมดของท่านไม่เห็นเทวดา พระที่ไปทั้งหมดก็ไม่มีทิพย์จักขุญาณเห็นเทวดาได้เลย ทำให้พระที่กำลังสวดเข้าใจว่าท่านธรรมิกอุบาสกต้องการให้พระหยุดสวด จึงบอกกับลูกหลานของท่านว่า “ในเมื่อคนฟังไม่ต้องการจะฟัง ก็ไม่สวดต่อไปขอลากลับ”

เมื่อพระกลับไปสักครู่เทวดาจึงหยุดพูด เมื่อเทวดาหยุดแล้วท่านก็หันมาทางพระก็ไม่เห็นพระ จึงถามลูกว่า “พระไปไหนหมด พ่อต้องการฟังพระสวดพระปริตร” ลูกก็บอกว่า “ก็พ่อบอกให้พระหยุดก่อน เมื่อท่านเห็นว่าพ่อไม่ต้องการจะฟัง ท่านก็ไม่สวดจึงลากลับไป” ท่านก็บอกว่า “พ่อไม่ได้บอกให้พระหยุด พ่อตั้งใจจะฟังพระสวดพระปริตร แต่ว่าเทวดาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ต่างคนต่างมาชวนไปอยู่บนสวรรค์แต่ละชั้นรวม ๖ ชั้นด้วยกัน พ่อบอกให้หยุดพูด เธอก็ไม่หยุด เลยต้องโบกไม้โบกมืออยู่พักใหญ่จึงหยุด”
ลูกก็มีความรู้สึกในใจว่า พ่อของเรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง แต่เวลานี้ป่วยหนัก จึงเผลอไผลหลงใหลใฝ่ฝันไปแล้ว เทวดามีที่ไหน เห็นมีแต่อากาศ จึงถามพ่อว่า “เทวดาอยู่ที่ไหน” ท่านก็ชี้ไปข้างบนบอกว่า “เทวดาอยู่เป็นแถวเต็มจักรวาล นี่ชั้นจาตุมหาราช ตรงนี้ชั้นดาวดึงส์ ตรงนี้ชั้นยามา ตรงนี้ชั้นดุสิต ตรงนี้ชั้นนิมมานรดี ตรงนี้ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี” แล้วท่านก็บอกอีกว่า “พ่อนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นปกติ นึกถึงพระธรรมเป็นปกติ นึกถึงพระอริยสงฆ์เป็นปกติ แต่เวลานี้เทวดาท่านมาจริงๆ พ่อไม่ได้หลง” ลูกก็ไม่ยอมเชื่อ ท่านจึงบอกว่า “ขอพวงมาลัยมีไหม” ลูกก็บอกว่า “มี” ท่านก็บอกว่า “ขอมาลัยพ่อพวงหนึ่ง” ลูกก็นำพวงมาลัยมาให้

ท่านก็ถามว่า “สวรรค์ชั้นไหนมีความสุข น่าอยู่ที่สุด” แสดงว่าท่านมีสิทธิ์อยู่สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ลูกทั้งหมดก็บอกว่า “สวรรค์ชั้นดุสิตน่าอยู่ที่สุด” ท่านก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้น พ่อจะโยนพวงมาลัยให้คล้องในงอนรถของสวรรค์ชั้นดุสิต” แล้วท่านก็โยนพวงมาลัยขึ้นไปคล้องในงอนรถ ลูกไม่เห็นรถทิพย์ เห็นแต่พวงมาลัยค้างในอากาศ ไม่หล่นลงมาและในที่สุดท่านก็หมดลมหายใจ ตายจากความเป็นคนเคลื่อนเข้าสู่รถของสวรรค์ชั้นดุสิตไปทันที โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน นี่ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีไม่ใช่จะมีเฉพาะในเวลานี้ ฉะนั้นทางที่ดีขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงยึดพระพุทธเจ้า ยึดพระธรรม ยึดพระอริยสงฆ์ ยึดทานการบริจาค ยึดภาวนา อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจให้มั่นคง อย่าทิ้งเป็นอันขาด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 16:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๔๑ พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณจึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต


“..พระศรีอาริยเมตไตรย ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีท่านเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมี ต่อมาเมื่อ พระนางกีสา โคตมีได้ทอจีวรด้วยมือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปหมดจนถึงองค์สุดท้ายคือท่านอชิตะภิกขุ ท่านไม่รู้จะส่งให้ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุด เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสา โคตมีก็เสียใจว่าอุตสาห์ทำเองเลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเองเพื่อถวายพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับกลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า “สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย”

ปัจจุบันนี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่างมาก หน้าตาผ่องใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ ท่านได้บอกกับอาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่านจะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่ายก็ออกแสวงหาพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าจะเทียบพื้นที่ในสมัยนี้ พระองค์จะตรัสทางทิศเหนือของพม่า แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้

เรื่องที่ ๔๒ หลวงพ่อปานวัดบางนมโคปรารถนาพระโพธิญาณมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต


“..พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นคนบางนมโค มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่ง สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส เมื่อท่านเป็นเด็กอายุประมาณ ๔-๕ ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้านย่าของท่าน เวลานั้นคุณย่าของท่านกำลังป่วยหนักใกล้จะตาย ตอนบ่ายประมาณ ๒-๓ โมงเย็น ทุกคนมาเยี่ยมรวมทั้งโยมพ่อโยมแม่ของท่านก็ไป เมื่อทุกคนขึ้นไปแล้ว ท่านก็ได้ยินเสียงบอกดังๆ ว่า “แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง ภาวนาไว้ พระอรหัง จะช่วยแม่” ท่านยืนฟังอยู่ใต้ถุนบ้าน สงสัยเขาว่าอรหังกันทำไม จึงย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือน ก็เห็นเขาเอาปากพูดกรอกไปที่ข้างหูคุณย่าท่านบอกว่า “แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง”

แต่พอผู้ใหญ่มองเห็นท่านเข้าก็ไล่ท่านลงไป พอถึงตอนเย็นเป็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็เรียกลูกกินข้าว เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางตรงกลาง สำหรับหลวงพ่อป่านท่านเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานกับแกงเผ็ดฉู่ฉี่แห้งที่ท่านชอบมาให้ แบบประเภทข้าวราดแกง ไม่ต้องไปตักกับข้าวตรงกลางวง เมื่อท่านกินข้าวกับข้าวอร่อยถูกใจก็เกิดความชุ่มชื่นใจ จิตนึกถึงคำว่า “อรหัง อรหัง” ขึ้นมาได้ ท่านก็ปลื้มใจเลยเปล่งวาจาออกมาดังๆ ว่า “อรหัง อรหัง” ท่านแม่มองตาแป๋วลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ แล้วจับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน ร้องตะโกนสุดเสียงว่า “เอ้า จะตายโหงตายห่า ก็ไปตายคนเดียว จะมาว่า “อรหัง” ที่นี่ได้รึ คำว่า“อรหัง หรือ พุทโธ” นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย”

ท่านแปลกใจคิดว่า เราว่าดีๆ แม่ดุเสียงเขียวปัด ในเมื่อถูกดุอย่างนั้นขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียวก็เลยไม่ว่าอีก ลุกไปหยิบจานข้าวไปกินทั้งน้ำตาคลอด้วยความเสียใจ ทีเวลาท่านให้คนอื่นพูดได้ แต่เราเป็นเด็กจะว่ามั่งก็ไม่ได้ ตอนหลังที่ท่านบวชแล้ว ท่านได้แนะนำให้ท่านแม่ทราบว่า คำว่า “อรหัง หรือ พุทโธ” นี้ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด เขาห้ามตกนรก ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนที่ภาวนา “พุธโธ หรือ อรหัง” จัดว่าเป็นคนปรารถนาความดีของพระพุทธเจ้า มีความดีเกินกว่าที่จะลงนรก ท่านให้ท่านแม่ภาวนาทุกวัน เวลาท่านแม่ตายท่านก็ยึด “พุทโธ และ อรหัง” เป็นอารมณ์ ก่อนที่ท่านทั้งสองจะตาย ท่านทรงฌานละเอียดและก็ได้วิปัสสนาญาณละเอียด ท่านจึงดีใจมากเวลาที่ท่านทั้งสองตาย แต่ท่านทั้งสองต้องกลับมาเกิดอีกวาระหนึ่ง เพราะ

หลวงพ่อปานต้องเกิดเป็นลูกท่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นท่านทั้งสองไม่มีโอกาสจะเกิดอีกแล้ว รูปร่างลักษณะของหลวงพ่อปานสมส่วนทุกอย่าง ผิวขาวนวล เสียงท่านเพราะมาก เมื่อท่านโตขึ้นมา ท่านช่วยพ่อแม่ทำนา ท่านเป็นคนขยัน เคยขอให้ท่านนั่งขัดสมาธิ แล้วกราบขออภัยท่าน ขอเอาเชือกวัดรอบศีรษะ วัดหน้าตัก วัดจากตักไปถึงบ่า ได้ส่วนทุกอย่างกับส่วนของพระพุทธรูปเป๊ะเลย เมื่ออายุท่านใกล้ถึงเกณฑ์บวช ท่านพ่อท่านแม่บอกจะขอลูกสาวคนรวยให้แต่งงานกับท่าน หลังจากบวชแล้ว ท่านบอกว่า “เรื่องแต่งงานเอาไว้ทีหลัง ขอให้บวชเสียก่อน เพราะบวชแล้วไม่แน่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกก็แต่ง ไม่สึกก็ไม่แต่ง”

สมัยที่ท่านเป็นหนุ่ม ที่บ้านท่านมีคนรับใช้เป็นทาสอยู่คนหนึ่งอายุแก่กว่าท่าน ท่านเรียกว่าพี่เขียว อายุประมาณ ๒๕ ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกัน ๒ คน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา เพราะตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ท่านไม่เคยจับเนื้อใคร จึงคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดีอย่างไร ผู้ชายถึงอยากได้กันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ท่านจะบวชแล้วถ้ามันดีจริงก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็ไม่สึก ท่านจึงเข้าไปหาพี่เขียวซึ่งอยู่ในครัว ยกมือไหว้ขอขมาบอกว่าไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น ขอจับเนื้อดูหน่อย อยากจะพิสูจน์ว่ามันดียังไง ผู้ชายเขาถึงชอบกันนัก พี่เขียวก็แสนดีอนุญาตให้จับได้ ท่านก็เลือกจับเนื้อที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก และก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน จับๆ แล้วท่านก็มาจับเนื้อน่องของท่าน และบอกพี่เขียวว่า “เนื้อมีสภาพคล้ายกันนี่ เนื้อของเราก็มีแล้ว ไปต้องการเนื้อคนอื่นอีกทำไม” ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาท่านก็เลยคิดว่า บวชคราวนี้ไม่สึกละ

เข้าสู่ผ้ากาสาวพัตร์
พออายุท่านครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ย่าง ๒๑ ปี ท่านพ่อก็พาท่านถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปฝากหลวงปู่สุ่นเพื่อบวชที่วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะที่เดินไปตามทางท่านพบปลาช่อนตัวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่ในหนองน้ำเกือบจะแห้ง ท่านก็จับไปปล่อยในแม่น้ำ ท่านบอกว่า ในชีวิตของท่านไม่เคยฆ่าสัตว์เลย ไม่ว่าสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ตาม ถ้าฆ่าโดยเจตนาแล้วท่านไม่เคยทำ แม้แต่ยุงก็ไม่เคยตบ เมื่อไปถึงวัด หลวงปู่สุ่นเห็นเข้าก็กวักมือเรียก หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบท่านก็เอามือลูบศีรษะบอกว่า “อยู่กับพ่อจะได้ดีนะ นับตั้งแต่นี้ไปเป็นลูกของพ่อ วิชาความรู้จะถ่ายทอดให้ทั้งหมด และจะไม่สึก” ทำให้ท่านพ่อและหลวงพ่อปานปลื้มใจมาก เพราะเวลานั้นหลวงปู่สุ่น ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นกรณีพิเศษ

ความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่
หลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่มาก เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน ท่านนำมารักษาที่วัดให้นอนในกุฏิท่าน ผ้านุ่งผ้าห่มของท่านท่านซักเอง เวลาท่านแม่ลุกไม่ถนัดท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ มีหลายคนตำหนิท่านว่า ท่านเป็นพระ ทำอย่างนี้แม่ท่านจะบาป ท่านก็เลยบอกว่า “พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาป เป็นความดีที่แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ เวลานี้ท่านเป็นพระเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยทำตามพระพุทธเจ้า พระองค์เทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติมีนามว่า “สุวรรณสาม”สมัยนั้นพระองค์ก็ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อท่านแม่ของท่านเป็นอย่างดี

ปัจฉิมโอวาทของหลวงพ่อปาน
ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานอายุล่วงเข้า ๖๑ ปี ท่านป่วยมากเป็นครั้งแรก คณะศิษย์ในกรุงเทพฯรับท่านไปรักษาประมาณ ๑ เดือนท่านก็กลับวัด หลังจากป่วยคราวนี้แล้วท่านแจ้งให้บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทราบว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอีก ๓ ปีท่านจะตายในวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น ปรากฏว่ามีคณะศิษย์พากันมาหาท่านมาก เมื่อใครก็ตามเข้าไปหาท่าน ตอนนี้ท่านสงเคราะห์ทุกอย่าง ทั้งด้านการรักษาโรค คาถาอาคมที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นโทษท่านไม่ให้กับใคร นอกจากนั้นท่านก็สอนเฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญ ท่านพูดย่อๆ ให้ฟังง่ายและเห็นชัด ส่วนใหญ่ท่านสอนด้านวิปัสสนาญาณ ให้ทุกคนรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตายและทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน จงอย่าประมาทให้สร้างแต่ความดี ถึงแม้ว่าจะมีคาถาอาคมดีเพียงใดก็ตาม เราก็ต้องตาย ก่อนที่จะตายนั้นควรจะเลือกทางเดิน อย่างน้อยที่สุดเราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้ แล้วท่านก็อธิบายว่า การที่ท่านสร้างวัดวาอารามต่างๆ ถึง ๔๐ วัด ทำบุญสุนทานต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็เพราะท่านห่วงบรรดาประชาชนทั้งหลายจะได้ร่วมกันทำบุญ มากบ้างน้อยบ้างด้วยทรัพย์สินบ้าง ด้วยกำลังกายบ้าง ทุกคนที่ได้ช่วยงานท่านอย่างนี้ อย่างน้อยทุกคนจะต้องไปเกิดบนสวรรค์ ท่านสอนว่า ก่อนจะหลับให้นึกถึงความดีที่ตนเคยทำไว้ หมั่นภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระอริยสังฆคุณ เป็นต้น

ก่อนหน้าวันตายของท่าน ๓ วัน หลวงพ่อปานได้บอกให้อาตมาจัดเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ ๓ โมงเช้าท่านก็เริ่มพิธีบวงสรวงแล้วบอกว่า “วันนี้ใครจะคุยอะไรกับท่านก็คุยนะ หลังเที่ยงไปแล้วท่านจะไม่คุย พรุ่งนี้ท่านถึงจะตาย” ท่านนอนคุยเพราะลุกไม่ค่อยจะไหว เนื่องจากแรงท่านไม่มี พอถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ ตอนเช้าท่านบอกว่า “นับตั้งแต่เที่ยงวันนี้เป็นต้นไป ท่านจะไม่พูดกับใครเลย” อาตมาได้ถามท่านว่า “ท่านจะสั่งอะไรบรรดาศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายบ้าง เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของท่านแล้ว ถือว่าเป็นปัจฉิมวาจา” หลวงพ่อปานว่า “ให้สั่งพระกับชาวบ้านทั้งหมด ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความดี คนไหนที่ทำความดีอย่างอื่นมากนักไม่ได้ ก็ให้สร้างความดี ๒ อย่างคือ ๑ อย่าดื่มสุราเมรัย ๒ อย่าลักขโมย คืออย่าประพฤติตนเป็นโจร”

จากนั้นหลังจากเที่ยงไปแล้วท่านก็เงียบ พอเวลาใกล้จะ ๖ โมงเย็น เหลืออีกประมาณ ๑๐ นาที ท่านลืมตาขึ้นมองหน้าอาตมาบอกว่า “ถ้าพ่อตายละก็ ช่วยไปสร้างโบสถ์วัดเสาธง ตำบลสารี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เสร็จด้วยนะ” อาตมาบอกหลวงพ่อว่า “เวลานี้พระมานั่งกันเต็มประมาณ ๒๐๐ รูป อาตมาต้องการให้พระสงเคราะห์อะไรบ้าง” ท่านเลยบอกว่า “ถ้าพระจะสงเคราะห์ ให้ท่านสวดอิติปิโส และจุดธูปหอมๆ ให้ได้กลิ่นด้วย” พอ พระสวดอิติปิโส ไปได้สักพักหนึ่ง เหลือเวลาอีกนิดเดียวจะ ๖ โมงเย็น ท่านลืมตาขึ้นบอกกับอาตมาว่า “ให้บอกพระกับชาวบ้านว่าพ่อลานะ แล้วขอให้ทุกคนมีความสุขนะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปพระนิพพาน” เมื่อพูดจบท่านก็หลับตา ท่านลืมตาอีกครั้งแล้วก็หลับตาปั๊บอีกที นาฬิกาเป๋งแรก ๖ โมงเย็นพอดีปรากฏว่าชีพจรดับพร้อมกัน พระครูอุดมสมาจารย์ นั่งหลับตาอยู่ห่างๆ ได้ลืมตาขึ้นมาบอกว่า “หลวงพ่อไปแล้วไปอย่างสบาย ออกไปสวยเหลือเกิน รูปร่างท่านสวยมาก เทวดา พรหมห้อมล้อมไปส่งท่านถึงสวรรค์ชั้นดุสิต”

พอบรรดาพระทราบว่าหลวงพ่อไปแล้ว ปรากฏว่าพระแก่หลายองค์เลิกสวดอิติปิโส แต่มาสวดร้องไห้แทน เมื่อพระร้องไห้ชาวบ้านที่อยากจะร้องอยู่แล้วมีมาก ก็เลยช่วยกันร้องเป็นการใหญ่ หลวงพ่อมรณภาพในกุฏิท่าน คนจะมาเคารพศพก็ลำบาก เพราะที่คับแคบ ต้องเคลื่อนศพมาไว้ที่ศาลาโดยไม่ได้ใส่โลงศพ สมัยนั้นยาฉีดกันเน่ากันเหม็นยังไม่มี จากวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ จนถึง วันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ ร่างกายของท่านไม่ผิดปกติเลย มีอาการเหมือนคนนอนหลับ เนื้อหนังที่จะผิดปกติอย่างคนตายก็ไม่มี กลิ่นเหม็นสักนิดหนึ่งก็ไม่มี..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 16:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๔๓ หลวงปู่พระครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต


“..หลวงปู่พระครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) วัดทุ่งหลวง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ ก่อนหน้านี้มีคนแจ้งข่าวให้อาตมาทราบว่าหลวงปู่ธรรมชัยท่านไม่สบายมาก เข้าโรงพยาบาล อาตมาฟังแล้วก็คิดในใจว่าวันนี้ตรงกับวัน ๑๒ ค่ำ ตามตำราโบราณถ้าป่วยวันนี้มันหายยาก หลังจากนั้นถัดไปอีก ๑ วันจากวันที่ได้รับข่าวว่าท่านมรณภาพแล้ว ก็คิดว่าเคยทำงานคู่กันในด้านสาธารณประโยชน์เหมือนกันแต่คนละด้าน ท่านไปแล้วก็เหลือแต่เรา จึงคุมกำลังใจตนเอง นอนภาวนาบ้างพิจารณาไปบ้าง พอจิตรวมตัว จิตรวมตัวนี่ไม่ต้องบังคับ พอจิตทรงตัวดีก็ไปหาพระ พอไปถึงก็กราบพระ ถ้าจิตมีกำลังอย่างนี้ตายเมื่อไรก็มาที่นี่ ก็นึกถึงหลวงปู่ธรรมชัยขึ้นมาได้ จึงกราบเรียนถามพระท่านว่า “เวลานี้หลวงปู่ธรรมชัยอยู่ที่ไหน”

ท่านก็ตอบว่า “หลวงปู่ธรรมชัยอยู่ชั้นดุสิต” ก็ตกใจเพราะว่าหลวงปู่ธรรมชัยเดิมท่านเป็นพุทธภูมิ ต่อมาก็ลาพุทธภูมิต้องการเป็นอัครสาวกของพระศรีอาริย์ ท่านเคยบอกว่า “ขอเกิดอีกชาติ ต้องการเป็นอัครสาวกของพระศรีอาริย์” อาตมาจึงกราบถามพระว่า “ในเมื่อหลวงปู่ธรรมชัยไม่ได้เป็นพุทธภูมิ ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าชั้นดุสิต เพราะชั้นดุสิตผู้ที่จะเข้าได้ต้องเป็นพระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันขึ้นไป และในเมื่อหลวงปู่ธรรมชัยปรารถนาเป็นอัครสาวกของพระศรีอาริย์ ก็เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้จึงไม่มีสิทธิ์เข้าชั้นดุสิต

และอีกประการหนึ่งหลวงปู่ธรรมชัยลาจากพุทธภูมิแล้ว และไม่ใช่บิดามารดาของพระโพธิสัตว์ ทำไมเข้าชั้นดุสิตได้” พระท่านก็บอกว่า “งานของหลวงปู่ธรรมชัยเป็นงานพุทธภูมิ มีเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร ไม่มีขอบเขต ใครไปก็สงสารมีเงินหรือไม่มีไม่สำคัญ ต้องการสงเคราะห์อย่างเดียว ด้านมุทิตา ท่านไม่เคยอิจฉาริษยาใคร ใครได้ดีพลอยยินดีด้วย อุเบกขา วางเฉย คนที่ไม่ชอบใจเขาก็ว่าท่าน เขานินทาท่าน ท่านก็เฉย รวมความว่าท่านครบถ้วน บริบูรณ์ด้วยพรหมวิหาร ๔ ไม่มีขอบเขต อย่างนี้เขาเรียกเป็น อัปปมัญญา อัปปมัญญา นี้ไม่มีขอบเขต ถือว่างานประเภทนี้เป็นงานพุทธภูมิไม่ใช่งานสาวก และทำไมจะถือว่าเขาไม่มีสิทธิ์เข้าชั้นดุสิต”

พอพูดจบท่านก็เรียกหลวงปู่ธรรมชัยเข้าไปนั่งคู่กับอาตมา อาตมาถามหลวงปู่ธรรมชัยว่า “หลวงปู่ออกจากร่างกายแล้ว รู้สึกเสียดายร่างกายไหม อยากกลับเข้าไปไหม” หลวงปู่ทำหน้าเบ้ปั้นไม่ถูกเลยตอบว่า “รังเกียจร่างกายจริงๆ” ถามว่า “อายุกาลมันสมควรหรือเปล่าในการตายครั้งนี้” ท่านบอกว่า “เป็นการตายที่ไม่สมควรแก่เวลาที่ควรจะตาย” พระท่านบอกว่า “สงสารเธอ กาลเวลามันเลยมาแล้ว เรื่องการก่อสร้างก็เหลือไม่มาก คนอื่นเขาทำต่อไปได้ ควรไปให้ได้มีความสุขบ้าง” หลังจากนั้นพระท่านก็เรียกพระศรีอาริยเมตไตรยขึ้นไป พอท่านขึ้นไปอาตมาก็กราบเรียนถามว่า“เวลานี้วิมานของหลวงปู่ธรรมชัยอยู่ที่ไหน” ท่านบอกว่า “เขาปรารถนาเป็นอัครสาวกของฉันก็อยู่ที่ฉัน”

ใครฝึกมโนมยิทธิได้ก็สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง เวลาจะพิสูจน์ก็ต้องทิ้งความจำที่รู้มาก่อน อย่างพระท่านบอกว่า “หลวงปู่ธรรมชัยอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต” ต้องทิ้งอารมณ์นี้เสียก่อน ให้จิตมีความทรงตัวเป็นอุเบกขา อย่าให้อารมณ์เก่าที่เราได้ยินมามีในจิต จึงเริ่มภาวนา แล้วขึ้นไปหาพระแล้วก็กราบถามท่าน อย่างนี้จะไม่ผิด..”

เรื่องที่ ๔๔ พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต


“..ประมาณเกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา เขาถามว่า “ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน” อาตมาตอบว่า “รู้” เขาถามว่า “เคยคุยไหม” ก็บอกว่า “ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน” จึงถามเขาว่า “แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “ไม่รู้” ถามว่า“เคยเห็นไหม” เขาตอบว่า “ไม่เคยเห็น” เขาเลยถามว่า “ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ” ตอบว่า “ไม่เคยสนใจ” แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า “พระเยซูใช่ไหม” ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า “ใช่ครับ” อาตมาถามว่า “ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ”ท่านบอกว่า “ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย” บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร” ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า “อยู่ที่ไหน” ตอบว่า “อยู่ชั้นดุสิต

พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า “คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ” ท่านถามว่า “ผิดอย่างไรครับ” บอกว่า “ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ” ท่านตอบว่า “ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป” คำสอนของท่านเป็นแบบนี้ มา ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย ก็เลยบาปทั้งสองคน คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก

ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ

๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้

สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า “ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ” นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อยอย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน..”

เรื่องที่ ๔๕ ก่อนจะตายเป็นพระโสดาบันตายแล้วไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต


“..อาตมาพยายามหาวิธีสอนวิชา “มโนมยิทธิ” ที่ง่ายที่สุดและมีผลสมํ่าเสมอกัน เพื่อให้บรรดาพุทธบริษัทเห็นสวรรค์ เห็นพรหมโลก เห็นพระนิพพาน เห็นนรก เปรต อสุรกายได้ รู้อดีตรู้อนาคตได้ และเป็นการพิสูจน์ว่า “ตายแล้วไม่สูญ” ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใดก็ยังต้องเกิดอีก อาตมาพยายามหาวิธีนานถึง ๒๓ ปี เพราะถ้านำวิธีที่ปฏิบัติสมัยบวชอยู่กับหลวงพ่อปานมาสอน ก็จะฝึกได้ยากมาก ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งและใช้เวลานานมาก เป็นการฝึกแบบเอากายเนื้อขึ้นไปข้างบน ไม่ใช่เอาจิตคืออทิสสมานกายขึ้นไปอย่างการฝึกมโนมยิทธิในปัจจุบัน แค่การฝึกแบบเต็มกำลังก็ยังทำได้ยากสำหรับบางท่าน ความรู้การฝึกมโนมยิทธินี้อาตมาได้มาจาก อาจารย์สุข ซึ่งเป็นฆราวาส เวลานั้นอาจารย์สุขก็ยังดื่มเหล้าอยู่ ต่อมาวันหนึ่งอาตมาได้เห็นคนที่ดื่มเหล้าในวงเดียวกันเกิดท้าทายกันขึ้นมาว่า
คนในวงเหล้า “ไอ้สุข เขาว่ามึงสอนคนไปสวรรค์ ไปนรกได้ใช่ไหม?”
อาจารย์สุข “ใช่”

คนในวงเหล้า “กูไม่เชื่อว่าสวรรค์มี นรกมี และกูก็ไม่เชื่อความสามารถในคำสอนของมึง”อาจารย์สุข “ถ้าหากว่ากูสอนให้มึงเห็นนรกได้หรือว่าเห็นสวรรค์ได้ มึงจะยอมเสียเหล้าให้กู ๑ ขวด ไหมล่ะ”
คนในวงเหล้า “ถ้ามึงทำให้กูไปไม่ได้ มึงต้องเสียเหล้าให้กู ๑ ขวดด้วยนะ”
เป็นอันว่า อาจารย์สุขก็สั่งให้หาดอกไม้มา ๓ ดอก ดอกละสี ธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท๑เล่ม เงิน ๑ สลึง เป็นค่ายกครู หลังจากนั้นอาจารย์สุขก็ไปกลิ้งครกตำข้าวมา แล้วให้คนนั้นนั่งบนครกตำข้าวแล้วก็ให้ภาวนาว่า “นะมะ พะธะ” หลังจากนั้นท่านก็พรมนํ้ามนต์ เมื่อพรมเสร็จแล้วท่านก็ยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วท่านก็ภาวนาว่า “นะโมพุทธายะ” เป็นการควบคุม สักครู่หนึ่งท่านก็เอาธูปหอมมาจุดให้ควันธูปโรยใกล้ๆ จมูกคนนั้นให้ได้กลิ่นหอม แล้วเอากระดาษจุดไฟช่วยแสงสว่างไปส่องข้างหน้า แล้วท่านก็ถามว่า
อาจารย์สุข “สว่างแล้วหรือยัง”
คนฝึก “สว่างแล้ว”

อาจารย์สุข “เห็นแสงขาวๆ พุ่งลงมามีไหมหรือแสงสว่างพุ่งออกไปมีไหม”
คนฝึก “เห็นแสงสว่างพุ่งลงมาจากข้างบน”
อาจารย์สุข “ถ้าอย่างนั้นตัดสินใจพุ่งกายไปตามแสงทันที”
คนฝึก “เวลานี้ออกจากกายแล้ว”
อาจารย์สุข “ถ้าอย่างนั้นตั้งใจไปนรก”
คนฝึก “เวลานี้ถึงนรกแล้ว และก็อธิบายความเป็นไปของนรกได้ถูกต้องตามไตรภูมิ แล้วก็ร้อง บอกว่า อยากจะพบคุณปู่ที่ตายไปแล้ว”

อาจารย์สุข “นึกถึงท่านพระยายมราช เชิญท่านมาสงเคราะห์”คนฝึก “เวลานี้ท่านพระยายมราชมายืนข้างๆ แล้ว”
อาจารย์สุข ให้ถามท่านว่า “คุณปู่ชื่อนี้ตายไปเมื่อใด เวลานี้อยู่ในนรกไหม”
คนฝึก “ท่านพระยายมราชบอกว่า ในนรกไม่มีคนนี้และคนนี้เมื่อมีชีวิตอยู่มีความดีมากคือ”
๑) คนนี้มีศีล ๕ ครบถ้วนมานานเป็นเวลาถึง ๓๐ ปี
๒) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง
๓) คนนี้มีจิตอยากจะไปพระนิพพาน

อาจารย์สุข ให้ถามท่านพระยายมราชว่า “ท่านไปพระนิพพานหรือยัง”คนฝึก “ท่านพระยายมราชบอกว่า ยัง คนนี้ไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตเพราะก่อนจะตายเป็น
พระโสดาบัน” และได้ถามว่า “พระโสดาบันมีความประพฤติอย่างไรบ้าง”
อารมณ์พระโสดาบัน

ท่านพระยายมราชก็บอกว่า
๑) มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันจะต้องตาย คือไม่ประมาทในความตาย
๒) เคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง
๓) มีศีล ๕ บริสุทธิ์
๔) คิดต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน

ท่านพระยายมราช ถ้ามีความประพฤติอย่างนี้ เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว บาปกรรมทั้งหมดจะไม่สามารถจะลงโทษอีกต่อไป ถ้าไปถึงพระนิพพานไม่ได้ อย่างชั้นดุสิตต่อไปก็สามารถฟังเทศน์จากพระศรีอาริยเมตไตรยจบเดียว ก็เป็นพระอรหันต์ไปพระนิพพานเลย
คนฝึก คนอย่างผมจะเป็นพระโสดาบันได้ไหม

ท่านพระยายมราช “อย่างนี้มันเป็นไม่ได้หรอก มันต้องเป็นสัตว์นรก เพราะการที่จะมานี่ก็กินเหล้ามา เหล้านี่กินเฉยๆ ไม่มีโทษอย่างอื่นเลย ก็ต้องตกยมโลกียนรกแล้ว” พร้อมทั้งชี้ให้ดูนรก
คนฝึกร้อง “ว๊าก ตายแล้ว”
ท่านพระยายมราช ถ้ากินเหล้าแล้วโกหกมดเท็จด้วย ก็ยังมีอีกขุมหนึ่ง ถ้ากินเหล้าแล้วทำร้ายคนอื่นด้วยก็มีอีกขุมหนึ่ง ถ้าบาปหนักกว่านี้ก็ต้องลงนรกขุมใหญ่ อันนี้เป็นนรกเล็กๆ เศษๆ นรก เขาเรียกว่า “ยมโลกียนรก”
คนฝึกก้มลงกราบท่านพระยายมราชแล้วบอกว่า “ถ้าผมจะเป็นคนมีศีลบริสุทธิ์และปฏิบัติตามอย่างปู่จะไปเหมือนปู่ได้ไหม”

ท่านพระยายมราช “ได้ ทำไมจะไม่ได้ ให้ทำดังนี้
๑) ให้ลืมความชั่วทั้งหมด ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท สุราเมรัย ที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดเลิกกัน ไม่คิดถึงมัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แล้วรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
๒) ไม่ลืมคิดว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะต้องตาย
๓) ถ้าเราตายแล้วจะไม่ยอมมานรกอย่างที่ยืนอยู่ที่นี่เพราะมันทุกข์เราไม่ต้องการ ถ้าไปสวรรค์หรือพรหมหมดบุญวาสนาบารมี ก็ต้องพุ่งหลาวลงนรกเพราะบาปเก่าที่มีอยู่ ฉะนั้นเราต้องการมุ่งไปจุดเดียวคือ ไปพระนิพพาน อารมณ์อย่างนี้ถ้าทรงตัวเขาเรียกว่า พระโสดาบัน
รวมความว่า ท่านคุยกันอยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมงเศษ คนฝึกคนนั้นก็ถอนตัวกลับ แล้วลุกขึ้นกราบอาจารย์สุข และก็มอบเงินค่าเหล้าให้ แล้วจึงหันมาบอกอาตมาว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่า ศีล ๕ ผมจะมีครบถ้วนครับ และผมจะไม่ลืมความตาย ผมเห็นนรกแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ผมกินเหล้าหน่อยเดียวคนในนรกเบรกกันครึ่บๆ”

ปรากฏว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาจารย์สุขก็เลิกกินเหล้าเหมือนกันและก็ไม่ละเมิดศีล ๕ อาศัยคนฝึกคนนั้นเป็นเหตุ ความจริงอาจารย์สุขท่านทำได้น่าจะเลิกดื่มเหล้าได้ แต่บางครั้งการทำความดีก็ขึ้นอยู่กับกาลเวลาของแต่ละคนว่ากุศลกรรมจะส่งผลเมื่อใด เมื่ออาตมาเรียนจากอาจารย์สุขแล้วในปี ๒๕๐๘ ก็นำมาสอนคนไปได้มาก..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 16:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๔๖ ตายจากคนซึ่งได้ทิพย์จักขุญาณดูหมอได้แล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นยามา


“..อาตมาให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “นางฟ้าหมอดู” เป็นนางฟ้าองค์ที่ ๓ ขยับเข้ามาใกล้เมื่อนางฟ้าปลาทูถอยออกไป เข้ามาเธอก็กราบอาตมาแล้วถามว่า “จำฉันได้ไหม” อาตมาตอบว่า “เวลานี้ฉันยังเป็นคน จำเธอไม่ได้ ถ้าฉันเป็นเทวดา อาจจะจำเธอได้เพราะเธอสวย” เธอก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ในสมัยที่ฉันเป็นมนุษย์ ท่านก็ชอบพูดล้อเล่นแบบนี้อยู่เสมอเพื่อให้เกิดความสนุก ฉันเคยทำบุญและเคยเจริญพระกรรมฐานกับท่าน แต่การเจริญพระกรรมฐานของฉันศึกษาจากวัดต่างๆ มาก่อนหลายวัด ฉันชอบเจริญสมาธิ ต่อมาทราบข่าวการสอนของท่าน ฉันก็เลยไปศึกษาที่ท่านด้วย การที่เจริญสมาธิอยู่เรื่อยๆ มีผล อย่างหนึ่งนั่นคือทิพย์จักขุญาณ พอใช้ได้ตามสมควรก็เลยทำพระกรรมฐานเรื่อยมา “จิตเป็นสุข”

“ความจริงทิพย์จักขุญาณช่วยให้จิตเป็นสุขมาก วันไหนถ้ามีอารมณ์แห้งแล้งทางใจเกิดขึ้น หรือหงอยเหงาทางใจเกิดขึ้น ความหดหู่ทางใจเกิดขึ้น ก็ใช้ทิพย์จักขุญาณเป็นเครื่องปลอบ หมายความว่า หาทางเห็นเทวดา เห็นนางฟ้า เห็นพรหม เห็นพระ และก็คุยกับท่าน ท่านก็คุยด้วย ฉันก็คุยกับท่าน สร้างความเพลิดเพลินเพราะเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี พระก็ตาม ท่านไม่คุยเรื่องอกุศล ท่านคุยเฉพาะสิ่งที่เป็นกุศลเสมอ อะไรที่ยังบกพร่องอยู่ท่านก็เตือน เตือนให้ปฏิบัติแบบง่ายๆ ฉันก็ทำตามท่าน” ถามเธอว่า “เวลานี้เธอเป็นนางฟ้าของสวรรค์ชั้นไหน”

เธอตอบว่า “ฉันอยู่ชั้นยามาเจ้าค่ะ” จึงถามเธอว่า “อยากจะดูวิมานของเธอสวยไหม” วิมานของเธอก็เลื่อนเข้ามา เป็นวิมานหลังใหญ่และมีวิมานแถมเป็นหลังย่อมๆ ๒ หลัง คล้ายๆ กับสถานที่นั่งเล่น วิมานขาวใสเป็นเพชรแพรวพราวเป็นระยับเต็มหลังไปหมด รอบๆ วิมานของเธอเหมือนกับมีถังตักน้ำห้อยอยู่เต็มไปหมด แต่ถังมันเป็นเพชรแพรวพราวเป็นระยับ มีแสงออกสวยงามมากไม่ใช่เป็นทองคำ และของที่ใส่ในถังเป็นเพชรสูงขึ้นมาจากถังสวยมาก ไม่เหมือนถังที่ใส่ของถวายสังฆทานในเมืองมนุษย์เป็นถังเก่าและของที่อยู่ข้างในก็ดูมัวๆ เธอบอกว่า “นี่คืออานิสงส์การถวายสังฆทานที่พระคุณเจ้าจัดให้ใส่ในถังก็เลยมาห้อยรอบๆ วิมานของฉัน” ถามว่า “เธอถวายสังฆทานแบบถังๆ นี้กี่ครั้งจึงมีมากมายอย่างนี้” เธอตอบว่า “การถวายสังฆทานจริงๆ ไม่เกิน ๑๐ ครั้ง เฉพาะสังฆทานถัง เพราะเวลานั้นสังฆทานถังราคา ๑๐๐ บาทยังไม่มี มีแต่สังฆทานถัง ๕๐๐ บาท เงิน ๕๐๐ บาทมันก็หาได้ยาก”

เธอบอกอีกว่า “เธอเป็นหมอดูทางใน ใช้ทิพย์จักขุญาณดู การใช้ทิพย์จักขุญาณดูนี่มีประโยชน์มาก เพราะตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ก็ต้องคุมอารมณ์ไม่ให้นิวรณ์กวนใจ ต้องจับจิตไล่นิวรณ์ทันที เมื่อขับนิวรณ์แล้วสิ่งที่จับประจำอยู่ก็คือพระพุทธเจ้ากับครูบาอาจารย์ เทวดาหรือพรหมทั้งหลายที่ท่านเมตตา รวมความว่าจิตเป็นสมาธิเป็น พุทธานุสติกรรมฐาน เป็น สังฆานุสติ ด้วย เป็น เทวตานุสติ ด้วย เธอทำเป็นประจำกำลังสมาธิของเธอจึงสูง เวลาใครเขามาดูหมอให้พยากรณ์ เขาให้เงินก็เก็บไว้ถวายสังฆทานบ้าง ไว้ใส่บาตรบ้าง เวลาพระท่านขัดข้องอะไรขึ้นมาก็ทำบุญกับพระบ้าง ทำทุกอย่าง เงินที่ได้มาทั้งหมดก็ใช้ ๒ ประการคือ กินใช้เองตามความจำเป็นและเก็บไว้บ้างเพียงแค่ยารักษาโรคป้องกันการเจ็บป่วย นอกนั้นก็ทำบุญหมด

เพราะคิดว่าเราต้องตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนจะตายก็เห็นวิมานที่ชั้นยามาก่อน ได้ถามพระถามเทวดา ท่านว่า คนอย่างฉันถ้าตายจากความเป็นคนจะไปอยู่ที่ไหน ท่านก็ชี้ให้ดูวิมานหลังนี้ วิมานหลังนี้เกิดก่อนฉันตายมาก พอฉันฝึกมโนมยิทธิได้ทิพย์จักขุญาณแล้ว ฉันก็อาศัยมโนมยิทธิมาที่วิมานนี้ได้ ฉันก็เห็นวิมานหลังนี้ว่างจากเจ้าของ แต่ว่ามีคนอยู่นั่นคือบริวาร” ถามว่า “บริวารของเธอมีเท่าไร” เธอตอบว่า “บริวารของฉันมี ๔,๐๐๐ คน เป็นนางฟ้าทั้งหมด” เธอบอกให้ดูบริวารของเธอก็เห็นทุกคนนั่งสงบสงัด ก็ถามว่า “เขานั่งเงียบๆ เขาทำอะไรกัน” เธอก็บอกว่า “บริวารทั้งหมดนี้ทำสมาธิ” ถามว่า “เธอมีบริวารไว้ทำไม ในเมื่อเป็นนางฟ้าเป็นเทวดาก็ตาม ไม่มีงานจะพึงทำ และมีบริวารก็ไม่ได้ใช้ บริวารทุกคนต่างคนต่างนั่งหลับตา” เธอก็หัวเราะตอบว่า “มันเป็นธรรมเนียมของสวรรค์” ถามว่า “บริวารพวกนี้มาจากไหน”เธอตอบว่า “บริวารพวกนี้เป็นคนที่เคยเจริญสมาธิ เคยให้ทาน เคยรักษาศีล เคยฟังเทศน์ แต่ว่าขาดการสร้างวิหารทาน คนประเภทนี้มีมากในเมื่อไม่เคยสร้างวิหารทาน วิมานของตัวเองก็ไม่มีอยู่ ก็ต้องมาอยู่ร่วมกัน

คำว่า “บริวาร” นี้ไม่ใช่เป็นทาสรับใช้ ถือว่าเป็นเพื่อนแก้เหงาดีกว่า” ถามว่า “เวลานี้เธอมานั่งในกลุ่มของคนที่มีบาปอยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีนางยักษิณีคุมอยู่เบื้องหลัง แต่ความจริงเขาไม่ได้คุมอยู่และไม่ใช่นางยักษิณีเป็นภาพแสดงให้ทราบว่าทุกคนยังมีบาปอยู่เบื้องหลัง ถ้าพลาดจากสวรรค์เมื่อไร ลงไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องลงเลยไปถึงอบายภูมิ” เธอก็ตอบว่า “บาปเก่าๆ ยังมีอยู่ก่อนที่จะมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาจริงๆ ความจริงพ่อแม่ก็เป็นคนนับถือพระพุทธศาสนา

แต่การนับถือในระหว่างนั้นก็ไม่แน่นัก เพราะครูบาอาจารย์บางคน พระบางองค์บางทีท่านก็ไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา บาปปาณาติบาต ฉันก็เคยทำ อทินนาทาน ก็มีบ้างตอนเด็กๆ เล็กๆ น้อยๆ กาเมสุมิจฉาจาร ขอผ่านไปไม่มี ไม่เคยแย่งสามีภรรยาของใคร” ถามว่า “มีสามีหรือเปล่า” เธอบอกว่า “มีเจ้าค่ะ” ถามว่า “บาปที่มีความสำคัญของเธอมีอะไรบ้าง เท่าที่พูดมามันไม่หนัก” เธอก็ตอบว่า “บาปที่มีความสำคัญอยู่อย่างหนึ่งไม่ถึงกับปรามาสพระรัตนตรัย แต่ว่าปรามาสนักบวชที่ไม่เคารพในพระพุทธศาสนา” ถามว่า “เป็นอย่างไร”

เธอตอบว่า “การที่ฉันทำบุญ ก็นินทาว่าทำไมต้องไปทำวัดโน้นต้องไปทำวัดนี้ บุญก็ได้ทุกวัด เธอก็ยอมรับว่าความจริงบุญได้ทุกวัด แต่กำลังใจมันไม่ฟูมันไม่อิ่มใจ จึงตั้งใจทำบุญเฉพาะวัดที่มีความเลื่อมใส พระพวกนี้ก็ว่า ฉันก็เลยไม่ชอบใจเมื่อว่าฉันมาฉันก็ว่าบ้าง ตอนฉันเจริญพระกรรมฐานก็หาว่าบ้า และตอนที่ฉันเป็นหมอดูก็ป่าวประกาศกับบรรดาประชาชนว่า อย่าไปเชื่ออีนี่มันหลอกลวง มันเป็นลูกเจ๊กลูกจีน ไม่นับถือพระพุทธศาสนาจริง แต่การดูหมอของเธอไม่ได้เรียกเงินไม่ได้เรียกทอง ไม่เรียกอะไรทั้งหมด ถ้าเขาให้ก็รับไม่มีการกะเกณฑ์ คนไม่มีสตางค์ให้ก็ไม่เป็นไร แต่การดูทุกคนต้องนำดอกไม้ ธูป เทียนมาครบ เขียนคำถาม ๕ ข้อ เมื่อทุกคนนำดอกไม้ ธูป เทียน มาแล้วต้องไปบูชาพระพุทธรูปก่อนแล้วจึงจะพยากรณ์ให้ รวมความว่าเธอแนะนำให้คนมีบุญ และคนพวกนี้แหละที่เป็นบริวารของเธอ”

เป็นอันว่าเธอตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นยามา มีเครื่องประดับเป็นแก้วขาวใสแพรวพราวเป็นระยับทั้งตัวเหมือนกับความใสของมณฑปแก้วหรือวิหาร ๑๐๐ เมตร วิมานก็ขาวใสเหมือนกัน..”

เรื่องที่ ๔๗ ตายจากความเป็นคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา


“..นายแพทย์ชุติ เนียมสกุล ได้มาถวายสังฆทานกับอาตมา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บิดาที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายกะทันหัน ผู้ตายก็มาหาทันที ก็ถามว่า “แล้วหมอจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพ่อ”บิดาของหมอชุติก็กราบเรียนว่า “บอกแกไปซิครับว่าผมเคยทำรถทัวร์” (บิดาหมอชุติเคยเป็นเจ้าของพัฒน์ทัวร์ เมื่อ ๒๐ ปีมาแล้ว) ก็ถามว่า “เวลานี้อยู่ที่ไหนล่ะ” ท่านก็ตอบว่า “ผมอยู่ยามา ครับ” ก็ถามต่อว่า “ทำอย่างไรถึงไปอยู่ยามาได้” บิดาหมอชุติตอบว่า ผมไหว้พระทุกวัน ตอนจะตายผมนึกถึงพระครับ..”

เรื่องที่ ๔๘ ตอนเช้ากับตอนหัวค่ำจับพระที่ห้อยคอขอท่านคุ้มครอง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นยามา



“..เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้มีท่านผู้หนึ่งไปหาอาตมาที่วัดท่าซุง ไปถามว่า “คุณพ่อตายแล้วไปอยู่ที่ไหน” อาตมาไม่ได้บอกท่านผู้นั้น แต่ให้ไปฝึกพระกรรมฐานกับเขาในมหาวิหาร๑๐๐ เมตร ไม่เกิน ๓ วันคุณก็พบกับคุณพ่อคุณได้ บอกคุณก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะคุณก็ไม่หายสงสัย คุณก็จะถามเรื่อยไปและก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ ในที่สุดท่านผู้นั้นก็ตัดสินใจ วันรุ่งขึ้นก็ไปฝึกพระกรรมฐาน เพียงแค่วันแรกก็สามารถคุยกับคุณพ่อได้

แต่ในขณะที่ท่านผู้นี้ถามอาตมา ได้บอกชื่อผู้ตาย อาตมาก็นึกถึง เมื่อนึกถึงผู้ตายก็มายืนข้างหน้า จึงถามว่า “เวลานี้คุณไปอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “เวลานี้ผมไปอยู่บนสวรรค์ชั้นยามาครับ”ถามว่า “ไปอยู่ชั้นยามาได้ ปกติคุณทำอะไรสมัยยังมีชีวิตอยู่” ตอบว่า “ปกติผมทำสมาธิ” ถามว่า “คุณทำสมาธิเวลาไหน” ตอบว่า “เวลาตอนเช้ากับตอนคํ่าครับ ตอนเช้าผมตื่นนอนขึ้นมา ก็จับพระที่สร้อยห้อยคออยู่มาพนมมือ อาราธนาบารมีพระ หรือที่เรียกกันว่าปลุกพระก็ได้ ตอนคํ่าก็เกรงอันตรายจึงทำแบบนั้นอีกเหมือนกัน”

การทำอย่างนี้ชื่อว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งตอนเช้าและ ตอนคํ่าก็เป็นสมาธิ สมาธิไม่จำเป็นต้องไปนั่งขัดสมาธิเฉยๆ จะทำแบบไหนก็ได้ นั่งแบบไหนก็ได้ ถ้าอยู่ที่บ้านของเรา จิตนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นพุทธานุสติ จิตนึกถึงพระธรรมเป็นธัมมานุสติ จิตนึกถึงพระสงฆ์เป็นสังฆานุสติ เขาจึงไปอยู่ชั้นยามาได้..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 16:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๔๙ ตายจากแม่ชีไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา


“..อย่าคิดว่าคนที่มาเจริญพระกรรมฐานจะได้ดีทุกคนเวลาตาย อาจจะเผลอไปก็ได้เพราะคนที่เจริญพระกรรมฐาน เวลาตายอารมณ์ใจไม่เสมอกัน ถ้าเป็นฌานโลกีย์ก็มีอารมณ์ไม่แน่นอนอาจจะเผลอได้ดังตัวอย่างเรื่องนี้

อาตมาไปพบแม่ชีคนหนึ่งตายเมื่อตอนกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๑ อายุ ๕๓ ปี อยู่จังหวัดฉะเชิงเทรา ไปรอการสอบสวนที่สำนักพระยายมราช เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกเธอออกมายืนแล้วเจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่า “เมื่อเธออายุ ๑๒ ปี เธอฆ่าไก่เพื่อแกงขายเอาเงินมาใช้ใช่ไหม” เธอตอบว่า “ใช่” เจ้าหน้าที่ไม่พูดเรื่องมากมาย เพราะคนนี้จนบาป ทั้งชีวิตทำบาปครั้งเดียวคือฆ่าไก่ตัวเดียว เสียงเจ้าหน้าที่บอกว่า “บาปนอกจากนี้เธอไม่มี การเดิน นั่ง นอน ทับสัตว์ตายเพราะไม่รู้ ไม่ถือว่าเป็นบาป” จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พูดถึงบุญว่า “เธอเคยเอาเงินที่รับจ้างได้ผสมกับเงินนายจ้างที่ใช้เธอไปซื้อของเพื่อทำบุญ” เธอตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ” เจ้าหน้าที่ถามว่า “เธอไม่ประสงค์แต่งงาน เพราะเห็นว่าเป็นทุกข์ใช่ไหม” เธอตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ” เจ้าหน้าที่ถามว่า “เธอถวายสังฆทานกี่ครั้งในชีวิต” เธอตอบว่า “๑๗ ครั้งเจ้าค่ะ” เจ้าหน้าที่ถามว่า “เคยภาวนาใช่ไหม” เธอตอบว่า “ตั้งแต่อายุ ๑๙ ปี เป็นต้นมา ภาวนาก่อนหลับเป็นปกติ” เสียงเจ้าหน้าที่บอกว่า ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของท่านพระยายมราช

เธอเข้ามาใกล้โต๊ะหรือแท่นของท่านพระยายมราช นั่งลงกราบแล้วก็ยืนขึ้นตามระเบียบเธอเป็นคนเรียบร้อยสงบเสงี่ยมน่ารักมาก ท่านถามว่า “เมื่ออายุ ๑๒ ปี ฆ่าไก่เพื่อแกงขายใช่ไหม” เธอตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ” ท่านบอกว่า “บาปของเธอแม้มีเพียงครั้งเดียวแต่ก็หนักมาก พยานเขามาคอยเธอนานแล้ว” พอท่านพูดจบ ไก่ก็โผล่ออกมารายงานว่า “เธอใจร้ายมาก จะจับมาเชือดคอก็กลัวว่าไก่จะเจ็บและเห็นเลือดแล้วใจไม่ดี จึงจับเอาหัวไก่ฟาดกับเสาจนหัวเละตายไปเลย” ท่านถามว่า “จริงไหม” เธอตอบว่า “จริงเจ้าค่ะ ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะความจนไม่มีเงิน พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก มีไก่เลี้ยงประจำบ้านอยู่ตัวหนึ่ง ตัวอ้วนดี มีคนมาบอกว่า ถ้าแกงไก่ตัวนี้เขาจะให้เงินมากหน่อย เพราะความจนไม่มีเงินใช้จึงทำ หลังจากนั้นมาก็พยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เพื่อให้อโหสิกรรม ทำอย่างนี้ทุกวันหลังจากที่บูชาพระและนั่งเจริญภาวนา พออายุ ๔๐ ปีเศษก็บวชชีแล้วตายเมื่ออายุ ๕๓ ปี” เป็นอันว่าบุญมากกว่าบาป

ท่านเลยถามว่า “ทำไมเจ้าถึงต้องมาสำนักพระยายมราช ซึ่งไม่จำเป็นเลย ถ้าบุญขนาดนี้จะต้องไปสวรรค์หรือพรหมโลกทันที” เธอก็เลยบอกว่า “ตอนต้นเวลาป่วยก็นึกถึงบุญกุศล ภาวนาบ้าง จิตใจก็สงบ ตอนใกล้จะตายขณะที่ภาวนาอยู่ ได้ยินเสียงไก่ร้อง ก็ตกใจภาวนาก็หยุด พอจิตหวั่นไหวแป๊บเดียว เห็นท่าน ๔ คนมารับไปเลย” ซึ่งถ้าปล่อยให้ภาวนาตามปกติ เธอจะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที ท่านถามไก่ว่า “เขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าตั้งแต่อายุ ๑๙ ปี จนถึงอายุ ๕๓ ปี เจ้าไม่ได้รับหรือ” ไก่ตอบว่า “ได้รับ” ท่านถามอีกว่า “ได้รับแล้วเอ็งยังจองเวรจองกรรมอยู่อีกหรือ” ไก่ตอบ “ไม่ได้จองเวรจองกรรม” ท่านบอกว่า “แล้วเอ็งมาเป็นโจทก์ทำไม” ไก่ก็เลยบอกว่า “ที่ต้องการให้มาที่นี่ก็เพื่อจะบอกว่า ฉันอโหสิกรรมให้แล้ว” ท่านทั้งหลายอย่าประมาทนะ การทำบุญทำกุศล เจริญภาวนา มันเป็นได้ตามนี้นะ

หลังจากนั้นท่านก็บอกเทวดาที่อยู่ข้างหลัง ๕ องค์คอยส่งคน ท่านบอกว่า “คนนี้บุญบารมีเขาเจริญพระกรรมฐาน มีสมาธิทรงตัว บารมีของเขาต้องอยู่ชั้นยามา เวลานี้วิมานชั้นยามา มาแล้ว ท่านก็บอกเธอว่า “เจ้าต้องไปสวรรค์ชั้นยามา วิมานมีอยู่ที่นั่น แต่ไม่ใช่ลุงสร้างให้นะ ทานของเขาบ้าง ศีลของเขาบ้าง การเจริญภาวนาถ้าถึงอุปจารสมาธิ ก็ไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา ถ้าฝึกกสิณจริงๆ ก็ไปเป็นพรหม” เธอยิ้มบอกว่า ชั้นยามาสบาย นึกว่าจะแย่แล้ว..”

เรื่องที่ ๕๐ ตายจากทายกวัดไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา


“..วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๑ เวลา ๒๐.๐๐ น. อาตมาเริ่มจับอานาปานุสติ ค่อยๆ สังเกตลมหายใจเข้าออก เห็นว่าค่อยๆ เบาลงๆ ตามลำดับ ในที่สุดลมก็ละเอียดมาก ใจสงบ แล้วตัวอีกตัวหนึ่งมันก็ออกไปจากตัวที่นอน ตัวใหม่นี้สวยมาก เบาไม่มีนํ้าหนัก สว่างและแพรวพราวเหมือนแก้วก็ทราบว่าตัวนี้คือเราเอง ตัวที่นอนคือเรือนร่างที่อาศัย มันแสนจะสกปรกโสโครกน่าเกลียด เมื่อมองแล้วไม่คิดอยากจะอยู่กับมันต่อไป มันมีแต่ทุกข์ พอคิดเท่านี้ท่านแม่ก็มาพร้อมกับคณะของลูกท่านมาเตือนว่า “ยังไม่ถึงเวลาไป อยู่ช่วยงานของพระท่านก่อน” เวลานั้นพอดีท่านลุง (พระยายมราช) มาจากสำนักงานของท่าน ท่านเตือนว่า “อย่าเพิ่งไป เพราะงานที่พระท่านจะมอบหมายให้ทำมีมาก ทำเพื่อความเข้าใจของพุทธศาสนิกชน” พอดีท่าน ท้าวผกาพรหม และท่านท้าวมหาชมภู ก็มา เลยชวนกันไปสำนักของท่านลุง เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่จัดการต้อนรับดีมาก ชมงานของท่านลุงตอนแรกๆ ไม่ชอบใจเลย เพราะแถวยาวเหยียดนั้นไปนรกหมด

ต่อมามีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โตผิวคลํ้า อายุประมาณ ๗๐ ปี ตายเมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๓๑ ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ผู้ประกาศความประพฤติของนายกิ่ง (นามสมมุติ) เธอเป็นทายกวัด เป็นคนเคร่งครัดในระเบียบผู้พบเห็นศรัทธามาก แต่เบื้องหลังแกบังคับพระให้อยู่ในอำนาจ ชอบเอาของสงฆ์เข้าบ้านและมีอะไรอีกมาก เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศจบ ท่านลุงก็ถามนายกิ่งว่า “กิ่ง เธอทำอย่างนั้นหรือเปล่า” นายกิ่งตอบว่า “ตามที่เจ้าหน้าที่พูดนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง” ท่านลุงจึงบอกว่า “กิ่ง เธอทำกรรมหนักมาก ของสงฆ์มีอันตรายใหญ่ เธอเอาของสงฆ์ไปใช้เป็นเวลาถึง ๓๑ ปี โทษนี้ต้องลงอเวจีมหานรกและต้องลงนรกอีกหลายขุม” นายกิ่งฟังแล้วก้มหน้าน้ำตาไหล

เมื่อนายกิ่งนิ่งเจ้าหน้าที่ก็ประกาศต่อไปว่า “ส่วนที่เป็นกุศล นายกิ่งรักษาศีลห้าบริสุทธิ์ทุกสิกขาบท มีเรื่องเดียวที่เสียคือบังคับพระให้อยู่ในอำนาจและนำของสงฆ์ไป ทำไปเป็นครั้งคราว
ประการที่สอง นายกิ่งชอบบูชาพระและสวดมนต์ด้วยความตั้งใจและมีความเคารพเป็นปกติ บทที่ชอบสวดที่สุดคือ ธรรมจักร”
เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศจบ ท่านลุงก็ถามว่า “ที่เขาพูดนั้นจริงหรือ” นายกิ่งยอมรับว่าจริง เจ้าหน้าที่ประกาศต่อไปว่า “นายกิ่งให้ทานเป็นปกติ ชอบใส่บาตรเป็นประจำทุกวัน และเคยถวายสังฆทานมีผ้าไตร ของใช้ อาหารแห้ง พระพุทธรูป ถวาย ๑ ครั้งในชีวิต” ท่านลุงถามว่า “บุญที่ทำทุกอย่าง เธอมั่นใจบุญอะไรมากที่สุด”

นายกิ่งตอบว่า “มั่นใจบูชาพระและสวดมนต์ ที่ติดตาติดใจมากที่สุดก็คือ ถวายสังฆทาน” ท่านลุงพูดว่า “การทำบุญอย่างนี้น่าจะไปสวรรค์โดยตรง ไม่น่าจะต้องถูกจับมาสอบสวน”ท่านถามว่า “ก่อนที่เขาจะนำมาเธอไม่ได้นึกถึงบุญเลยหรือ” นายกิ่งตอบว่า “เมื่อป่วยใหม่ๆ นึกถึงสวดมนต์และถวายสังฆทาน แต่เมื่อใกล้จะตายมีเสียงเหมือนใครเอาของหนักมาขว้างที่ฝาบ้านดังปัง ได้ยินถนัดจึงตกใจลืมบุญทั้งหมด ใจว้าวุ่นพร้อมทั้งอาการจุกเสียดแน่นหน้าอกเกิดขึ้นอย่างหนักจากโรคลม เกิดอารมณ์มืดชั่วครู่ก็เห็น ๔ ท่านมาบอกว่า ฉันมารับขอให้ตามมา แล้วก็ตามท่านมา มายืนคอยอยู่นานกว่าจะถึงเวลาสอบสวน

ท่านลุงฟังแล้วก็บอกว่า “เออดี ยังนึกถึงบุญกุศลได้ เอ็งไปรับผลความดีก่อน เรื่องอเวจีเอาไว้ภายหลัง อานิสงส์สวดมนต์ทำให้เอ็งไปเป็นเทวดาชั้นยามา อานิสงส์สังฆทานเป็นเหตุให้มีวิมานและเครื่องประดับทิพย์ การถวายพระพุทธรูปร่วมสังฆทานเป็นเหตุให้เป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก ไปเป็นเทวดาแล้วพยายามสร้างความดี อย่าให้พลัดลงมาได้นะ ถ้าพลัดลงมาอีกเอ็งต้องไปอเวจีมหานรกแน่ เอ็งไปได้แล้วฉันช่วยได้แค่นี้นะ” แล้วท่านลุงก็ให้เทวดานำนายกิ่งออกเดินทางไปสวรรค์ชั้นยามา ร่างกายเธอสวยมาก วิมานก็สวย..”

เรื่องที่ ๕๑ ตายจากคนไปอยู่ที่สำนักพระยายมราชนึกได้แต่อาตมาอย่างเดียวไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา


“..อาตมาสอนพระกรรมฐานตอนกลางคืนที่บ้านสายลม ขณะที่ทุกคนกำลังเจริญพระกรรมฐานก็จับลมหายใจนิดหน่อย และตั้งใจจะไปเทวสภา แต่ท่านลุงพุฒิคือท่านพระยายมราชก็มาตาม จึงถามว่า “ลุงมีธุระสำคัญหรือ” ท่านตอบว่า “สำคัญ ถ้าไม่สำคัญผมไม่มาเอง” อาตมาก็เลยไปกับท่าน เมื่อไปถึงสำนักพระยายมราช ที่สอบสวนก็ปรากฏว่า มีหญิงคนหนึ่งอายุ ๔๒ ปี นั่งคอยอยู่ที่นั่น ถามว่า มีธุระอะไรหรือ” ท่านตอบว่า “ผมถามเรื่องบุญทุกอย่าง มันนึกอะไรไม่ออกทั้งหมด มันนึกได้แต่คุณอย่างเดียว” จึงถามเธอว่า “เคยถวายสังฆทานที่วัดหลายครั้งนึกออกไหม” เธอตอบว่านึกออกเจ้าค่ะ ถามว่า “เคยฟังเทศน์จำได้ไหม” ตอบว่า “จำได้เจ้าค่ะ” ถามว่า “เคยใส่บาตรทุกวันจำได้ไหม” ตอบว่า “จำได้เจ้าค่ะ” ถามว่า “เคยไหว้พระสวดมนต์ทุกวันจำได้ไหม” ตอบว่า“จำได้เจ้าค่ะ” ถามว่า “เคยเจริญพระกรรมฐานบ้างไหม” ตอบว่า “เคยเจริญมโนมยิทธิแต่ไม่ได้ มาฝึกวันเดียวไม่ได้แล้วก็กลับไปพยายามทำเรื่อยก็ไม่ได้ เวลาจะตายจิตไม่ได้นึกถึงบุญเพราะมีทุกขเวทนามาก ปวดเสียดในท้องจึงทำให้นึกถึงบุญไม่ไหว ก็เลยตาย เมื่อตายแล้วท่านพระยายมราชถามเรื่องบาปทั้งหมดก็จำได้แต่ถามเรื่องบุญนึกไม่ออก นึกได้แต่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำองค์เดียว”

ก็เป็นอันว่า พออาตมาพูดนำเธอก็นึกถึงบุญได้ทั้งหมด ท่านพระยายมราชจึงบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอไปตามบุญของเธอ” เธอก็กราบ ๓ ครั้ง พอกราบครั้งที่ ๓ เสร็จลุกขึ้นมาสวยปลั่งเลยแต่งตัวสีขาวจ๋อง และมีพระขรรค์ติดมือไปด้วย ไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา อาตมาถามท่านพระยายมราชว่า “พระขรรค์มีไว้ทำไม” ท่านตอบว่า “พระขรรค์นี้มีฤทธิ์มาก” ถามว่า “อานิสงส์อะไรจึงมีพระขรรค์” ท่านบอกว่า “อานิสงส์ที่ซื้อจอบซื้อเสียมถวายพระสำหรับให้พระใช้ทำงาน เลยกลายเป็นพระขรรค์ไป”

ดังนั้นถ้าใครมีจอบ มีเสียม มีสิ่ว มีเครื่องกบไฟฟ้า มีสว่านไฟฟ้า ทางวัดต้องการหมด มีอานิสงส์มาก ตายแล้วจะได้มีพระขรรค์ มีฤทธิ์มาก..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 16:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๕๒ ท่านมาฆมาณพตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านพระอินทร์ หัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีบริเวณล้อมรอบไปด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้วใหญ่มาก และรอบๆ นั้นทางด้านทิศใต้และทิศเหนือก็มีสวนสวย บริเวณกว้างขวาง ทั้งหมดนี้เกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านพระอินทร์ในสมัยที่เป็นมนุษย์คือ ท่านมาฆมาณพ กับเพื่อนอีก ๓๒ คน พี่ช่วยกับปลูกต้นทองหลางไว้ และก็เอาหินมาวางเป็นแท่น เพื่อให้คนทั้งหลายที่เดินไปเดินมาระหว่างทาง มีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็นและแท่นหินที่วางไว้ จะได้นั่งพักผ่อนให้หายเมื่อยแล้วก็เดินทางต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์มีผลคือ

อานิสงส์ที่ท่านปลูกต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุด ขึ้นมาอานิสงส์ที่ท่านเอาหินมาวางเรียงรายรอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์

ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนอีก ๓๒ คน รวมเป็น ๓๓ คน เห็นว่าการปลูกต้นไม้ให้เป็นที่พักมีความสบายก็จริง แต่ทว่ายังสบายไม่พอ สร้างศาลาให้คนเดินไปเดินมา เขาจะได้พักเขาจะได้นอนสบาย ก็เลยร่วมมือร่วมใจกันสร้างศาลาขึ้นหนึ่งหลัง เวลานั้นก็มีนายช่างอีกคนหนึ่งคือ ท่านวัฒกี และมีช้างตัวหนึ่งที่พระราชาให้มาเป็นพาหนะ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เป็นที่พักของคนเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ คนก็ได้พักอาศัย เมื่อคณะของท่านตายแล้ว อานิสงส์แห่งการสร้างศาลาเป็นสาธารณประโยชน์

ท่านมาฆมานพตายแล้วขึ้นมาเป็นท่านพระอินทร์ มีเวชยันตวิมานตั้งอยู่ตรงกลางเพื่อน เพื่อนอีก ๓๒ คนขึ้นมาเกิดเป็นเทวดา มีวิมานล้อมรอบเวชยันตวิมาน คนละหลังๆ ไม่ต้องไปอยู่หลังเดียวกัน ๓๓ คนนายช่างวัฒกี มาเกิดเป็น ท่านวิษณุกรรมเทพบุตร มีวิมานอีกหลังหนึ่ง ช้างที่ช่วยเป็นพาหนะบรรทุกไม้ ลากไม้ เป็นเครื่องทุ่นแรง ก็มาเกิดเป็นเทวดามีนามว่า เอราวัณเทพบุตรมีวิมาน ๑ หลังเหมือนกัน ไม่ต้องรวมกับใคร

นอกจากเวชยันตวิมานแล้ว ทางด้านทิศใต้มองข้ามสวนจิตรลดาวันไป จะพบสระโบกขรณี เป็นสระใหญ่มากมีท่าเป็นที่ลงมากมาย น้ำในสระก็แพรวพราวใสสะอาด มองแล้วคล้ายๆ กับแก้วต้องแสงอาทิตย์ดูระยิบระยับ สระนี้เกิดขึ้นจากอำนาจของ ๓๓ ท่าน มีท่านมาฆมาณพเป็นประธาน เมื่อสร้างศาลาแล้วก็มาคิดว่า คนเดินมาร้อนมานั่งที่ศาลาต้องการน้ำกิน จะอาบน้ำอาบท่า จะได้เกิดความสบายมากขึ้น ท่านก็พากันขุดสระขึ้น ขุดแล้วมีตานํ้า น้ำใสขึ้นมา คนที่มาพักที่ศาลาก็ได้กินได้อาบมีความสุข เมื่อเวลาที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตายแล้วขึ้นมาเป็นเทวดา สระในเมืองมนุษย์ก็ตามมาเป็นสระโบกขรณีแต่เป็นสระที่ใหญ่กว่า มีนํ้าใสสะอาดกว่า สวยสดงดงามกว่า เป็นที่สบายของบรรดาเทวดาและนางฟ้าทั้งหลายชอบเล่นน้ำในสระนี้

ที่มาของเทวสภา
ท่านมาฆมาณพในสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านมีภรรยา ๔ คน คนแรกชื่อ ท่านสุธรรมา คนที่สองชื่อ สุจิตรา คนที่สามชื่อ สุนันทา และคนสุดท้ายชื่อ สุชาดา อาศัยที่ท่านมีเมียมาก เมียคงจะทะเลาะกันมาก ท่านคงจะรำคาญเบื่อผู้หญิง คิดว่าต่อต่อแต่นี้ไปเราทำบุญอะไรก็ตาม เราจะไม่ให้ผู้หญิงร่วมต่อไป ในเมื่อท่านไม่ให้ทำ ท่านเมียใหญ่คือท่านสุธรรมามีความฉลาด เมื่อนายช่างทำศาลายังไม่เสร็จดี ศาลานี่ต้องมีช่อฟ้าจึงจะสวย จึงไปจ้างนายช่างทำช่อฟ้าให้พอเหมาะกับศาลาแล้วสลักชื่อว่า “ศาลาสุธรรมา” แล้วบอกว่า “ต่อไปสร้างศาลาเสร็จ ถ้าพวกผู้ชายเขาต้องการช่อฟ้าก็อย่าทำให้นะ มาเอาช่อฟ้าของฉันนี่ไปใส่ ฉันให้เงินพิเศษ ๑ พันกหาปณะ” เงินมันเข้าใครออกใครที่ไหน นายช่างทำแล้วก็ปิดปากเงียบ เมื่อทำศาลาเสร็จ ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนก็จะทำช่อฟ้า นายช่างบอกทำไม่ได้ไม้มันสด ช่อฟ้าต้องใช้ไม้แห้งๆ ทำถ้าเอาไม้สดๆ ไปทำต่อไปช่อฟ้าแห้งจะหมองดูไม่สวย ท่านก็บอกถ้าอย่างนั้นก็ไปหาซื้อ หาไปหามาก็หาไม่ได้ นายช่างก็แนะนำว่าบ้านของท่านสุธรรมามีช่อฟ้า ท่านมาฆมาณพก็บอกว่าไปขอซื้อเขา ท่านสุธรรมาบอกว่า “ถ้าไม่ให้ร่วมบุญร่วมกุศลก็ไม่ขายแน่” ท่านมาฆมาณพก็ไม่ยอมรับเพราะไม่อยากคบผู้หญิง แต่ในที่สุดท่านก็จนใจยอมรับ เอาช่อฟ้าของสุธรรมาไปสวมกับศาลาก็พอดี

ตอนนี้ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนอีก ๓๒ คน รวมทั้งช่างอีกคนหนึ่งกับช้างรวมเป็น ๓๕ ทำกันเกือบตายไม่มีชื่อไปมีชื่อท่านสุธรรมาคนเดียว ใครไปใครมาก็เห็นเขียนชื่อท่านสุธรรมา เมื่อท่านสุธรรมาตายจากคนก็มาเป็นชายาของท่านพระอินทร์ ศาลาหลังนั้นก็ตามขึ้นมามีชื่อว่า “ศาลาสุธรรมา” เหมือนกัน เป็นศาลาที่ประดับประดาไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีแท่นที่ประทับของท่านพระอินทร์สวยสดงดงามมาก ศาลานี้เป็นที่ประชุมของเทวดา ที่เรียกว่า เทวสภา หรือ ธรรมสภา หรือ ศาลาสุธรรมา
รวมความว่าศาลาหลังนี้มีชื่อของท่านสุธรรมาชื่อเดียว แต่ท่านมาฆมาณพกับเพื่อนอีก ๓๒ คน รวมทั้งนายช่างและช้าง ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีวิมานกันคนละหลัง ทั้งที่ศาลาหลังนั้นไม่มีชื่อทั้ง ๓๓ คนเลย ท่านสุธรรมาเองตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าก็มีวิมานอีก ๑ หลัง เจ้าของช่อฟ้าก็มีวิมาน ๑ หลังเหมือนกัน

ฉะนั้น บรรดาพุทธบริษัททุกคนที่สร้างแล้วไม่ชื่อที่ศาลา ที่กุฏิ ที่โบสถ์ ที่วิหารก็ตาม ก็อย่าไปสนใจเรื่องชื่อ สนใจเรื่องศรัทธาเป็นสำคัญ ศรัทธาเรามีแล้วเราบริจาคแล้ว เราทำแล้ว ชื่อในเมืองมนุษย์จะเป็นชื่อใครก็ตาม แต่ว่าอานิสงส์ทุกท่านย่อมได้เหมือนกัน
สวนจิตรลดา

ท่านสุจิตราเป็นภรรยาคนที่ ๒ ท่านก็มานึกในใจว่า ท่านมาฆมาณพซึ่งเป็นสามี สร้างศาลา ปลูกต้นไม้ สร้างแท่นหิน ขุดสระ เป็นบุญสาธารณประโยชน์ ท่านสุธรรมาก็มีความฉลาดสร้างช่อฟ้าสวมศาลา เหมาศาลาหลังนั้นทั้งหมดแต่ผู้เดียว แต่อานิสงส์ได้ทุกคน ท่านก็คิดว่าอีกแถบหนึ่งของสระยังไม่มีสวนกับคนมาพักผ่อนที่ศาลาก็ดี อาบน้ำก็ดี อาจต้องการเดินเล่นในสวน ต้องการความสวยงาม ความสดชื่นจากดอกไม้และใบไม้ หรือดมดอกไม้หอมๆ เอาดอกไม้ไปนั่งดูบ้าง ทัดทรงบ้าง ติดอกบ้าง อย่างนี้ความสุขจะเพิ่มพูนขึ้น จึงได้สั่งคนไปปลูกสวนดอกไม้ไว้ใกล้ๆ กับสระ จัดสรรดอกไม้ที่ดีทุกประเภทมีไว้ให้ทุกอย่าง เมื่อดอกไม้ออกดอกงามสะพรั่งก็เป็นที่ชื่นใจของคนเดินทางมานั่งพักเห็นเข้าก็ชื่นใจ เมื่อท่านสุจิตราตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เพราะอานิสงส์สร้างสวนดอกไม้ไว้เป็นสวนสาธารณะ เป็นเหตุให้ได้วิมานใหญ่โตสวยสดงดงาม ๑ หลัง และมีสวนจิตรลดาวันเป็นสวนดอกไม้ข้างๆ สระโบกขรณี เป็นที่ยินดีและชอบใจของเทวดาและนางฟ้า

สวนนันทวัน
ท่านสุนันทาเป็นภรรยาคนที่ ๓ เห็นท่านสุจิตราปลูกสวนดอกไม้ท่านก็คิดว่าคนที่เดินทางมาอาจจะหิว ในเมื่อมีศาลาพัก มีนํ้ากินนํ้าอาบ มีดอกไม้ทัดทรง แต่ยังขาดอีกอย่างหนึ่งคือความอิ่ม ท่านจึงสั่งให้คนปลูกสวนผลไม้มีทุกประเภทที่คนนิยมเวลานั้น มาปลูกข้างๆ สระเป็นสวนใหญ่มาก เมื่อคนเดินทางไปมาหิวก็จะได้กินผลไม้แล้วได้พักผ่อน ก็มีความอิ่มหนำสำราญดี เป็นที่ชอบใจของคนเดินทาง เมื่อท่านสุนันทาตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานใหญ่โตสวยสดงดงาม ๑ หลัง และมีสวนนันทวันเป็นสวนผลไม้ปลากดขึ้นใกล้ๆ กับสระโบกขรณี อยู่ทางทิศตะวันออกของเวชยันตวิมาน ภายในสวนมีผลไม้ทิพย์ทุกอย่าง

การสร้างวิหารทาน
การปลูกต้นไม้ในวัด จะเป็นไม้ดอกหรือไม้ผลก็ตาม กับปลูกในที่สาธารณะมีอานิสงส์ต่างกัน เพราะวัดเป็นเขตของสงฆ์ เป็นพุทธเขต เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรม ฆราวาสสร้างให้เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรมแต่ผู้อยู่จะทรงศีลทรงธรรมหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของส่วนบุคคล แต่จริง ๆ แล้วบรรดาพุทธบริษัทอุทิศตรงเพื่อพระพุทธศาสนาจึงจัดว่าเป็นของสงฆ์โดยตรงเป็นของพระพุทธศาสนาโดยตรง การไปซ่อมแซมวัดก็ดี บำรุงวัดก็ดี สร้างวัดก็ดี สร้างสวนผลไม้ในวัดก็ดี สร้างสวนดอกไม้ในวัดก็ดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนบำรุงวิหารทาน ร่วมในการสร้างวิหารทาน คือร่วมกันสร้างกุฏิวิหารเป็นที่อยู่มีความสุข สวนผลไม้ทำให้อิ่มหนำสำราญ มีความสุขดอกไม้สร้างความชื่นใจให้เกิดขึ้นมีความสุข จึงจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิหารทาน

ฉะนั้น อานิสงส์การสร้างในเขตของวัด ก็เหมือนกับท่านอินทกะ ถวายทานแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก สำหรับสวนสาธารณะใครก็ได้ คนมีศีลมีธรรมก็ใช้ได้ คนมีศีลมีธรรมกระพร่องกระแพร่งบ้างใช้ก็ได้ คนไร้ศีลไร้ธรรมก็ใช้ได้ ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้ก็เหมือนท่านอังกุรเทพบุตร แต่ว่าบรรดาพุทธบริษัทก็จงอย่าเลือกเฉพาะผลใหญ่อย่างเดียว จงเลือกทั้งผลเล็กและผลใหญ่ สิ่งใดใกล้มือคว้าไว้ก่อนหมายความว่าถ้าสวนสาธารณะเขาต้องการต้นไม้ดอกไม้ เราก็ไปร่วมกับเขา อย่าลืมว่าข้าวแต่ละจานย่อมมีค่า ข้าว ๑ กาละมังใหญ่ก็มีค่า ข้าวแต่ละจานแม้จะน้อยกว่ากาละมัง แต่หลายๆ จานเข้าก็สามารถเต็มกาละมังได้ฉันใด บุญกุศลที่ท่านทั้งหลายทำบุญกับสวนสาธารณะ หรือที่สาธารณประโยชน์ถึงแม้ว่าจะไม่อยู่ในเขตสงฆ์ ถ้ามีโอกาสทำบ่อยๆ ก็ชื่อว่าจะเป็นการสั่งสมบุญให้เต็มที่ได้เหมือนกัน

อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ฝนตกที่ละหยาดๆ สามารถทำภาชนะให้เต็มได้ฉันใด บุญกุศลที่เราทำแล้วไซร้แม้จะครั้งละน้อยๆ แต่ว่าทำบ่อยๆ ก็สามารถจะทำให้บุญบารมีของเราเต็มบริบูรณ์ได้

ฉะนั้นขอทุกคนจงอย่างเลือกเฉพาะที่สงฆ์อย่างเดียว ส่วนใดที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนไม่จำกัด หมายความว่าเป็นสาธารณะ ให้ทำด้วยน้อยก็เอามากก็เอา อย่างนี้เราจะไม่เสียทีในการเกิด เพราะเป็นปัจจัยของความสุข ความสวยสดงดงามเป็นการให้ความสุขแก่คนที่เห็น คนได้ใช้ ได้ดม ได้กิน ผลอย่างนี้ถือเป็นทาน..”

เรื่องที่ ๕๓ คนทำบุญนอกพระพุทธศาสนาตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีอานิสงส์น้อยกว่าคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนา


“..ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีท่านพระอินทร์มาคอยต้อนรับอยู่ก่อน ต่อมามีเทวดาอีก ๒ องค์เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นมาก็มาก่อนเทวดาอื่น คือ ท่านอังกุรเทพบุตร มานั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของพระพุทธเจ้า กับ ท่านอินทกเทพบุตร มานั่งข้างพระบาทข้างขวา เมื่อมีเทวดาองค์อื่นมาท่านอังกุรเทพบุตรก็ถอยจากจากที่นั่งเดิม แต่ท่านอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิม ต่อมาเทวดามาหมดชั้นดาวดึงส์ปรากฏว่าท่าน อินทกเทพบุตรนั่งหัวแถวตามเดิม ส่วนท่านอังกุรเทพบุตรถอยไปนั่งอยู่ท้ายสุดเป็นเทวดาหางแถว
ผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนากับในพระพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าทรงต้องการประกาศผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนา กับในพระพุทธศาสนาให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่คอยพระองค์อยู่หลายโกฏิในเมืองพาราณสี ได้ยินได้ฟังทั้งหมด จึงทรงบันดาลเสียงของพระองค์ และเสียงของเทวดาที่สนทนากันให้ดังถึงเมืองมนุษย์ สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อังกุระ เมื่อตถาคตมาถึงตอนแรก เธอนั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของตถาคต ครั้นเทวดาองค์อื่นมาหมดดาวดึงส์ เธอเป็นเทวดาท้ายแถวนั่งไกลที่สุด อยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้”

ท่านอังกุรเทพบุตรจึงกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐี เวลานั้นคนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี อีก ๒๐,๐๐๐ ปี ก่อนที่จะตาย ได้ตั้งโรงทาน ๘๐ แห่ง ๑ โยชน์ตั้ง ๑ แห่ง ให้ทานคนยากจน คนกำพร้า คนเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน สิ้นเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี แต่อาศัยว่าเวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนา คนทั้งหมดไม่มีศีลไม่มีธรรม จึงได้อานิสงส์น้อย ตายจากความเป็นมนุษย์มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด มีวิมานทองคำเกลี้ยงเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร”

แสดงให้เห็นว่า การบำเพ็ญกุศลแจกแก่คนที่ไร้ศีลไร้ธรรม ก็ยังเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ส่วนท่านอินทกเทพบุตร เมื่อเข้าไปถึงใหม่ๆ ก็นั่งข้างพระบาทข้างขวาของพระพุทธเจ้า เมื่อเทวดามาทั้งหมดชั้นดาวดึงส์ ท่านก็ไม่ถอยให้ใครนั่งอยู่หัวแถวตามเดิม ถ้ายกเว้นท่านพระอินทร์ก็ต้องถือว่าเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ศรีใหญ่ในดาวดึงส์ ไม่มีใครใหญ่กว่าและไม่มีใครมีบุญมากกว่า พระพุทธเจ้าใคร่จะประกาศอานิสงส์แห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนาให้ทราบ

จึงถามท่านอินทกเทพบุตรว่า “อินทกะ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอก็นั่งตรงนี้ แต่ทว่าเมื่อเทวดามาหมดดาวดึงส์ เธอก็นั่งตรงนี้ตามเดิม เธอเป็นเทวดาที่มีมเหสักขา (คือมีฤทธิ์มาก มีบุญมาก) มากกว่าเทวดาองค์อื่น นอกจากท่านพระอินทร์แล้วไม่มีใครยิ่งไปกว่าเธออยากจะทราบว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้ จึงมาเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากอย่างนี้”
ท่านอินทกเทพบุตรได้กราบทูลองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นลูกคนจน ต่อมาบิดาตายก็ต้องเลี้ยงแม่ (คำว่าเลี้ยงแม่ เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ สนองความดีของแม่ที่ท่านเลี้ยงมา อันนี้มีอานิสงส์สำคัญมาก สูงมาก)

ต่อมาพระสงฆ์ในสำนักขององค์สมเด็จพระบรมครูเดินเฉียดบ้านไปก่อนเพล จึงได้นิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมดประมาณ ๔ รูปมาถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านจนมาก มีโอกาสบำเพ็ญกุศลถวายสังฆทานคราวนี้คราวเดียวกับเลี้ยงแม่ให้มีความสุขตามฐานะเพียงเท่านี้ข้าพระพุทธเจ้าตายจากความเป็นมนุษย์มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกมีวิมานแก้ว ๗ ประการสวยสดงดงามมากเป็นที่อยู่มีความสุขมาก และมีนางฟ้า ๑ แสนเป็นบริวาร”

เป็นอันว่า การบำเพ็ญกุศลในศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมมีอานิสงส์สูงกว่าการบำเพ็ญกุศลแก่คนนอกพระพุทธศาสนามาก แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าเทวดามีจริง นางฟ้ามีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง พระนิพพานมีจริง นรกมีจริง ตายแล้วมีสภาพไม่สูญจริง..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 16:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๕๔ ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพระกาล เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..อาตมาขึ้นไปที่เทวสภาเพื่อไปหาพระกาลตามที่พระยายมราชบอก ก็พอดีท่านพระกาลออกมาจากที่ประชุมตอนนี้ท่านไม่แต่งชุดสีน้ำเงินแก่ ท่านแต่งเป็นเทวดาสวยมาก เพชรแพรวพราวเป็นระยับเต็มองค์ทั้งหมด เสื้อผ้าทั้งหมดที่จะว่างจากเพชรไม่มี และมีแสงสว่างมาก การมีเพชรก็ต้องสังเกตว่า ถ้าธรรมดาๆ เพชรจะสว่างไม่มาก แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าเพชรจะสว่างมากขึ้น แต่ว่าท่านพระกาลท่านเป็นเพชรขนาดพระอนาคามี ก็มีความดีใจเพราะเห็นพระอริยเจ้า อาตมาจึงถามท่านว่า “เวลาท่านไปบอกว่าจะตาย ทำไมไม่ตายตามเวลา เทวดามีการโกหกด้วยหรือ” ท่านก็ตอบว่า “ผมไม่ได้โกหก ที่ผมไปบอกผมเห็นท่านไม่เกรงความตาย จะได้ตั้งใจให้มันแน่วแน่หลังจากบอกท่านแล้วท่านก็ปกติ ท่านก็ยอมรับว่าพร้อมแล้วเรื่องการตาย”

ท่านบอก “ไม่ใช้คำว่าตายเขาใช้คำว่าไป ไปจากที่นี่ไปที่โน่น” ท่านบอกอีกว่า “ท่านไปนอนอยู่ที่นิพพานสบายใจผมก็เห็น ถึงเวลาตี ๓ ท่านลงมาผมก็เห็น” จึงถามว่า “เทวดาไม่หลับกันหรือ” ท่านก็บอกว่า “เมืองเทวดาก็ดี เมืองพรหมก็ดี เมืองนิพพานก็ดี ไม่มีกลางคืนกลางวัน เพราะไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ มันสว่างตลอดเวลา สามแดนนี่ไม่มีการเหน็ดเหนื่อยไม่ต้องทำงานทำการ มีงานทางใจอย่างเดียว นึกจะไปไหนมันก็ถึงที่นั้นนึกอยากจะได้อะไรมันก็ปรากฏ ใช้ใจอย่างเดียว เมืองที่ดีจริงๆ ก็คือเมืองนิพพาน มีความสุขตลอดกาลไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง”

ท่านบอกอีกว่า “หน้าที่ของผมที่จะพึงรับทราบว่าใครจะเกิดหรือใครจะตายใครจะจนหรือใครจะรวย ใครตายแล้วไปอยู่ที่ไหนเป็นหน้าที่ของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญชีที่ต้องการให้รู้จริงๆ คือบัญชีที่ท่านพระยายมราชเพราะบันทึกไว้ทั้งบุญและบาป แต่บัญชีของผมบันทึกไว้แต่เฉพาะบุญอย่างเดียว ใครจะขึ้นมาอยู่สวรรค์ชั้นไหนผมรู้หมด และก่อนที่เขาจะขึ้นมาผมก็รู้ และใครจะตายเมื่อไรผมก็รู้” ถามว่า “ท่านเป็นพระกาลเพราะอะไร” ท่านบอกว่า “ตามวิสัยของผม สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ผมก็เป็นนักบวชอย่างท่าน ผมบวชได้ไม่นานนักเพียงแค่ ๑๐ พรรษาผมก็ต้องตายในขณะเป็นพระ” ถามว่า “สมัยที่บวชได้อะไร” ท่านตอบว่า “สมัยที่บวชผมได้อภิญญา โดยเฉพาะความเป็นพระอริยเจ้าก็แค่พระสกิทาคามี เมื่อตายไปแล้วก็ปฏิบัติตนถึงพระอนาคามี และเวลาที่บวชอยู่ก็ดี เป็นฆราวาสก็ดีผมชอบรู้กาลเวลาของคนและของ เวลาไหนใครจะไปไหน เรียกว่าเป็นหมดดู ผมใช้ทิพย์จักขุญาณเป็นเครื่องดู รอบรู้ไปหมด ไอ้ตัวอยากรู้อยากเห็นอย่างนี้ เมื่อตายแล้วเขาเกณฑ์ให้เป็นพระกาลเพราะนิสัยเดิมชอบอย่างนั้น และผมเองก็ชอบรู้ทั้งหมด คนทั้งโลกผมรู้หมดแต่ไม่มีหน้าที่จะพูด”

ถ้าบรรดามนุษย์มาคุยกับผมได้ จะสนุกมาก ผมชอบคุยแต่ทว่าไม่มีใครมาคุยกับผม คนที่เขาเป็นพิสูจน์เขาบอกว่า นรกสวรรค์พิสูจน์ไม่ได้ ผมฝากไปบอกเขาด้วยว่า ถ้าอยากพิสูจน์ได้อย่างอ่อนเอาอย่างเล็กๆ เบาๆ ให้ฝึกสองในวิชชาสามให้ได้ ก็จะเห็นรกได้ เห็นเปรตได้ เห็นอสุรกายก็ได้ เมืองมนุษย์อยู่ขอบเขตแค่ไหนก็เห็นได้ สวรรค์ก็เห็นได้ พรหมโลกก็เห็นได้ ถ้าจิตสะอาดเห็นพระนิพพานได้ นี่อย่างเด็กๆ เห็นได้แล้วแต่ไปไม่ได้ ถ้าอยากจะไปให้ได้ด้วยก็ต้องฝึกอภิญญาอย่างอ่อนแล้วก็อย่างแก่ อย่างผมนี่สมัยที่เป็นมนุษย์เวลาจะไปไหนผมลิ่วลอยไปทั้งตัวเลย ไม่ใช่ไปเฉพาะอทิสสมานกาย แต่การไปทั้งตัวอย่างเข้มแข็งมันไม่ดี เพราะมันเหนื่อยต้องไปสู้แดด สู้ฝน สู้ลม สู้แบบถอดจิตหรือถอดกายภายในไปไม่ได้ อันนี้ดีกว่ามากไม่มีใครเห็นและก็ไม่ต้องใช้นีลกสิณไปบังไม่ให้เขาเห็น อย่างนี้ก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว ไม่นั่งตักเขายังไม่รู้เลย เขานั่งคุยกันสองคน เราไปนั่งกลางเขายังไม่รู้เลย อย่างนี้ดีกว่า อย่างท่านมานี่ท่านก็มาแต่กายในไม่ใช้กายนอกมา กายนอกนอนแหงแก๋อยู่ที่กุฏิ นั่นดูสิ กายนอกมันบิดไปบิดมา ตะคริวกินเห็นไหม” ก็เลยบอกว่า “ปล่อยให้ตะคริวมันกินเข้าไป มันอยากจะกินเนื้อดิบๆ ก็กินเข้าไปเถอะตามใจมัน ฉันไม่สนใจมันหรอก ถ้ามันตายเมื่อไรฉันก็ไม่กลับเมื่อนั้น” ถามท่านว่า “ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร” ท่านตอบว่า “ไทยยังคงเป็นไทยตลอดไปอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย เพราะคนไทยมีคนที่มีบุญมากปกครองอยู่” ถามว่า “ใคร” ท่านบอกว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ครองที่ไหนรุ่งเรืองที่นั่น”

ท่านพระกาลได้บอกกับอาตมาว่า “เวลานี้ผมเป็นพระอนาคามี เป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ผมไม่กลับไปเกิดอีกแล้ว ผมจะต่อนิพพานโดยตรง” ถามว่า “นานไหม” ท่านบอกว่า “ไม่นานหรอก ท่านตายแล้วไม่กี่วันผมก็ตามไป”

เรื่องที่ ๕๕ ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๑ พูดถึงคนไปสวรรค์ คือตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช เพราะการไปสวรรค์จริงๆ ถึงแม้ว่ากำลังใจจะไม่เข้มข้น หรือว่าทำบุญมาไม่มากนักก็ตาม จะเป็นการทำบุญชั่วจับพลัดจับผลูนิดหน่อยประเดี๋ยวเดียว หรือชั่วขณะหนึ่งแต่ว่ามีความตั้งใจจริงและยิ่งกว่านั้นการตั้งใจเพื่อทำบุญอาจจะไม่ตรงนัก อาจตั้งใจเพื่อประโยชน์อย่างอื่นแต่บังเอิญไปตรงจุดของบุญเข้าอย่างนี้บุญก็บันดาลให้คนนั้นไปสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช ไม่ต้องมีการสอบสวน ดังตัวอย่าง

ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร

ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านเกิดในตระกูลที่นับถือศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์นั้นแบ่งเป็น ๒ พวกคือ พวกที่นับถือศาสนาพราหมณ์โดยตรง ไม่ยอมเคารพนับถือพระพุทธศาสนา กับพราหมณ์ที่มีเหตุมีผลยอมรับนับถือเห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงสอนตรงตามความเป็นจริง แต่ตระกูลพราหมณ์ของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเป็นตระกูลที่ไม่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า บิดาของท่านอยู่ในฐานะคหบดี เป็นคนรวยมากและเป็นคณาจารย์ใหญ่ของพราหมณ์ ท่านมีลูกชายคนเดียว คือ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร สมัยเป็นมนุษย์ท่านชื่ออะไรก็ไม่ทราบแต่สมัยที่เป็นเทวดาท่านมีต่างหูเกลี้ยง จึงได้นามว่า “มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร”

ต่อมาท่านป่วย ท่านพ่อแสนจะขี้เหนียว จะซื้อยาหรือจะหาหมอมารักษาให้ลูกชายก็สามารถทำได้เพราะเป็นคหบดีมีทรัพย์นับเป็นสิบโกฏิ แต่ท่านไม่ทำเนื่องจากเสียดายสตางค์ที่มีอยู่ กลับไปถามหมอว่า “ลูกชายฉันเป็นโรคผิวเหลือง จะรักษาด้วยยาอะไรดี” หมอก็บอกยากลางบ้านแบบธรรมดาๆ เมื่อได้ตำรายากลางบ้านมาแล้วก็นำมาให้ลูกชายกิน ก็ไม่หายไข้ ทรุดลงตามลำดับ เมื่อลูกชายไข้ทรุดมาก ท่านก็มีความรู้สึกว่า เวลานี้ลูกชายนอนอยู่ในห้องสวยๆ ข้างในมีทรัพย์สินมาก มีเครื่องประดับประดามาก ถ้าบังเอิญญาติของเรารู้ข่าวว่าลูกชายของเราป่วย ก็จะพากันมาเยี่ยม และคนที่มาเยี่ยมนั้นถ้ามาเห็นของที่ชอบใจแล้วเกิดขอ ถ้าไม่ให้ก็จะเป็นการขัดใจกัน ทางที่ดีเพื่อเป็นการหลบเรื่องนี้ จึงเอาลูกชายมานอนที่ระเบียงบ้าน ซึ่งไม่มีทรัพย์สินอะไรเป็นเครื่องประดับ

ต่อมาอาการป่วยทรุดหนักขึ้นทุกวัน แม้แต่แขนขาก็ยกไม่ขึ้น ท่านพ่อก็ไม่ยอมทำยาอย่างดีมารักษาโรคให้ เมื่อความตายปรากฏชัด แต่ทว่าท่านมัฏฐกุณฑลีก็ยังไม่อยากจะตาย จึงไม่มีความรู้สึกว่าเวลานี้จะต้องตาย คิดในใจแต่เพียงว่าเราต้องหายจากโรคนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ปมาโท มัจจุโน ปทัง” แปลว่า “ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย” ความจริงอาการตายปรากฏชัดแต่ท่านยังไม่คิดว่าจะตาย จะหันไปหาพ่อแม่ก็หมดทางที่ท่านทั้งสองจะช่วยเหลือ เพราะท่านไม่สนใจท่านสนใจแต่ทรัพย์สินที่มีอยู่ ในที่สุดทุกขเวทนาเครียดมาก จึงมีความรู้สึกว่าชาวบ้านเขาลือกันว่า “สมเด็จพระสมณโคดมท่านเป็นพระใจดีมาก มีเมตตาสูง พระองค์สงเคราะห์ไม่ว่าใคร เวลานี้เราป่วยหนักอยากจะให้พระองค์มารักษา เราจะได้หายจากโรค”

ให้พิจารณาความรู้สึกของท่านมัฏฐกุณฑลีว่า ไม่ได้มีความรู้สึกยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าในด้านของความดีอย่างอื่น แต่ท่านมีความรู้สึกแต่เพียงว่าพระพุทธเจ้ามีความเมตตาไม่เลือกบุคคล และใจของท่านเวลานั้นก็นึกอยากจะให้พระองค์มาช่วยรักษาโรคเท่านั้น อาศัยที่เจตนาตั้งใจยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าเพื่อให้เป็นหมอรักษาโรค ความจริงถ้าดูกันจริงๆ แล้วมันไม่ตรงกับบุญนัก ถ้าตรงกับบุญก็ต้องยอมรับนับถือในความดีและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านแต่นี่ท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น ท่านต้องการเพียงให้มาช่วยรักษาโรคให้หายเท่านั้น

นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตาย

แต่พระพุทธเจ้าก็มีพระมหากรุณาธิคุณ ในตอนเช้าทรงเสด็จมาบิณฑบาตกับพระอานนท์ ผ่านบ้านพราหมณ์ บ้านนั้นเขาไม่ยอมใส่บาตร และไม่ยอมยกมือไหว้เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านไป เวลานั้นท่านมัฏฐกุณฑลีนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาฝา เห็นแสงสว่างประกายพุ่งมาเข้าตาของท่าน ก็สะดุดใจกลับตัวเหลียวไปเห็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดากับพระอานนท์กำลังเดินบิณฑบาต ท่านจับภาพพระพุทธเจ้าขณะเดินบิณฑบาตกับภาพพระอานนท์ กับแสงที่ปรากฏกับตาของท่าน นึกถึงพระพุทธเจ้า ขอพระองค์จงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าหายจากโรคเดี๋ยวนี้เถิด ขณะที่ท่านนึกอยู่อย่างนั้น แทนที่จะหายจากโรคกลับหายจากความเป็นคน นั่นก็คือ ตายจากความเป็นคนเวลานั้น ก็ไม่ผ่านสำนักของท่านพระยายมราช เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ จึงตรงไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ได้วิมานทองคำสูงใหญ่มาก แล้วท่านก็เป็นเทวดาอยู่ในวิมานนั้น มีต่างหูเกลี้ยงจึงมีนามว่า “มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร” มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร

หลังจากลูกชายตาย ปรากฏว่าตอนเช้าๆ ท่านพ่อไปที่หลุมฝังศพของลูก ไปยืนพรรณนาขอให้ลูกชายกลับมาเกิดใหม่ เพราะเป็นลูกคนเดียว ต่อไปจะไม่มีใครรับมรดกเป็นผู้ปกครองทรัพย์สมบัติ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเห็นท่านพ่อไปยืนพรรณนาให้กลับมาเกิดเป็นลูกใหม่ ก็มีความรู้สึกในใจว่า “ท่านพ่อของเราเป็นคนพาล” คำว่า “พาล” แปลว่า “โง่” เป็นคนพาลคือเป็นคนโง่ เวลาเรามีชีวิตอยู่ก็แสนจะขี้เหนียว มีเท่าไรเก็บหมด ไม่ค่อยจะกินจะใช้ เวลาเราป่วยไข้ไม่สบาย ค่ายาค่าหมอเป็นของไม่มากนัก ก็ไม่ยอมเสียสละเงินเพื่อรักษาเรา ปล่อยให้เราต้องนอนทนทุกขเวทนา ให้กินยากลางบ้านซึ่งไม่ถูกกับโรค ในที่สุดเราก็ต้องตาย

แต่ด้วยอาศัยสมเด็จพระสมณโคดมทรงสงเคราะห์เราขณะที่เสด็จไปทรงบิณฑบาตแผ่แสงให้ปลากดชัด จึงได้มีความยอมรับนับถือขอให้พระองค์ทรงช่วยให้หายจากโรค แต่อาการของร่างกายมันเกินวิสัยที่จะทรงอยู่ ด้วยบุญเพียงเล็กน้อยเท่านี้ก็สามารถทำให้เราเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีเครื่องประดับเป็นทิพย์มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความเป็นอยู่อย่างเป็นทิพย์ มีความสุขมาก มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร แต่ท่านพ่อของเราจมปรักอยู่กับความโง่ เราต้องไปทำให้ท่านพ่อเป็นสัมมาทิฐิ คือมีความเห็นถูกคลายจากความโง่ ให้มีความรู้สึกเคารพยอมรับนับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้ว จึงแปลงลงมาเป็นคนเหมือนรูปร่างเดิม เห็นท่านพ่อยืนร้องไห้อยู่ปากหลุมศพ ท่านจึงมายืนร้องไห้บ้างใกล้ๆ ท่านพ่อ พอท่านพ่อเห็นก็คิดว่าชายผู้นี้เหมือนลูกชายเราถ้าได้ไว้เป็นลูกจะดีมาก จึงเข้าไปใกล้ถามว่า “เธอร้องไห้ทำไม” ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ถามว่า “คุณลุงร้องไห้ทำไม” ท่านพ่อก็ตอบว่า “ฉันร้องไห้คิดถึงลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันกำลังเป็นหนุ่มแน่น เป็นคนน่ารัก เป็นคนดีมาก แต่ทว่าเธอต้องมาตาย ซึ่งอายุยังน้อย ฉันมีลูกคนเดียวไม่มีใครปกครองทรัพย์สิน ถ้าลูกของฉันอยู่ก็จะมีโอกาสได้ปกครองทรัพย์สิน แต่ถ้าลูกของฉันกลับมาได้ ฉันก็จะให้ปกครองทรัพย์สินใหม่ ถ้าเธอไม่รังเกียจเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ฉันก็จะให้ปกครองทรัพย์สินแทนลูกชายของฉัน

“ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ได้ฟังดังนั้นก็นึกในใจว่า “พ่อของเราเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ไม่ยอมซื้อยาแพง ไม่ยอมหาหมอมารักษา ขี้เหนียวที่สุด แต่เวลานี้กลับเห็นเราซึ่งเป็นคนอื่น จะมอบทรัพย์สมบัติให้บุคคลนั้น” ท่านพ่อได้ถามท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรว่า“เธอร้องไห้ทำไม” ท่านจึงตอบว่า “ฉันร้องไห้เพราะว่าฉันมีรถทองคำอยู่คันหนึ่งสวยมาก แต่ยังหาล้อที่เหมาะสมไม่ได้” ท่านพ่อก็ถามว่า “เธอต้องการล้อเงินหรือล้อทอง ฉันจะจัดให้ตามความประสงค์” ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็คิดว่า “นี่เราเป็นคนอื่น ท่านพ่อจะให้ล้อเงินกับล้อทอง แต่เวลาที่เรามีชีวิตอยู่ไม่ยอมรักษาโรคให้ทรัพย์สมบัติก็ไม่ให้” จึงแกล้งบอกว่า “ฉันต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มาเป็นล้อทั้งสองข้าง” ท่านพ่อก็คิดว่า “ไอ้เจ้าเด็กนี่บ้า” ก็เลยบอกว่า “เธอบ้า เพราะว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์ใครจะนำมาได้” ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงบอกว่า “ในเมื่อฉันต้องการดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ฉันเห็นได้ แต่ท่านต้องการลูกชายที่ท่านเห็นไม่ได้ ใครจะบ้ามากกว่ากัน”

เป็นอันว่าท่านพ่อก็ยอมรับว่าบ้ามากกว่า ในที่สุดท่านมัฏฐกุณฑลีก็แสดงตนเป็นเทวดาประกาศให้ทราบว่าท่านคือลูกชาย เวลานี้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ท่านพ่อก็ถามว่า “ไปได้เพราะเหตุใด” ท่านก็ตอบว่า “ก่อนจะตายเห็นสมเด็จพระสมณโคดมกับพระอานนท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนึกถึงสมเด็จพระสมณโคดมขอให้พระองค์มาช่วยรักษาโรคให้หาย แต่บังเอิญตายเสียก่อน เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร ท่านจึงแนะนำท่านพ่อว่า “ต่อนี้ไปขอพ่อโปรดเคารพองค์สมเด็จพระบรมครู จงถวายทานในสำนักของท่าน จงรักษาศีล จงฟังเทศน์ ตายแล้วจะไปสวรรค์” แล้วท่านก็ลากลับไป

เมื่อท่านพ่อกลับไปบ้านด้วยความดีใจบอกภรรยาว่า “วันนี้ฉันจะไปนิมนต์สมเด็จพระสมณโคดมกับพระสาวกมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ทำกับข้าวให้มาก” ครั้นเมื่อไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตร เวลานั้นมีชาวบ้าน ๒ พวก เป็นพวกของพราหมณ์กับพวกที่นับถือพระพุทธศาสนา ต่างคนต่างตามไป พวกของพราหมณ์ก็คิดว่า “วันนี้เราจะดูอทินกบุพกพราหมณ์ คือท่านพ่อของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ย่ำยีสมเด็จพระสมณโคดม” สำหรับบรรดาพุทธบริษัทก็คิดว่า “วันนี้จะดูลีลาพระพุทธเจ้าทรงสอนพราหมณ์ที่เป็นมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิทั้งสองฝ่ายต่างก็ไปยืนรวมกันที่นั่น เมื่อไปถึงแล้วท่าน อทินกบุพกพราหมณ์ก็ยกมือไหว้องค์สมเด็จพระบรมครูแล้วกล่าวว่า “ผมอยากจะทราบว่า คนที่ไม่เคยใส่บาตรกับพระองค์ ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยยกมือไหว้นึกถึงชื่อพระองค์อย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์มีไหม” องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ”

หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงเรียกท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรให้มาพร้อมวิมาน ท่านก็ลงจากวิมานมากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด เมื่อเทศน์จบ ท่านมัฏฐกุณฑลีก็เป็นพระโสดาบัน คนที่ยืนฟังอยู่ที่นั่นต่างก็บรรลุมรรคผลไปตามๆ กัน

การที่นำเรื่องท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มาเล่าให้ฟังก็เพื่อต้องการให้ท่านทั้งหลายทราบว่า คนที่ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสติกรรมฐาน ถึงแม้ว่าในกาลก่อนจะไม่เคยยอมรับนับถือ แต่เวลาก่อนจะตายถ้านึกถึงชื่อขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา อย่างท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรอย่างนี้ตายแล้วไปสวรรค์แน่นอนโดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้เปรียบกว่าท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมาก เพราะว่าทุกคนยอมรับนับถือพระพุทธเจ้ามาในกาลก่อนและปัจจุบันก็ยังยอมรับนับถือ มีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครู ถ้าหากว่าทุกท่านจะซ้อมความรู้สึกนึกถึงพระพุทธเจ้า คือตื่นขึ้นจากที่นอนสัก ๒-๓ นาที ว่ายอมรับนับถือในความดีของพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ และก็ตั้งใจรักษาความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นตั้งใจจะให้ทานก็คิดในใจว่าเราต้องการให้ทานถ้าโอกาสจะพึงมีเพียงเท่านี้จิตใจของท่านจะตั้งอยู่ในพุทธานุสติกรรมฐานกับจาคานุสติกรรมฐาน เวลาตายบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่างเลวที่สุดก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถ้าอย่างสูงที่สุดเห็นจะต้องไปพระนิพพาน เพราะว่า พระพุทธโฆษาจารย์ รจนาวิสุทธิมรรค ท่านกล่าวว่า บุคคลใดเจริญพุทธานุสติกรรมฐานเป็นประจำ บุคคลนั้นไปพระนิพพานง่ายที่สุด..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 16:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๕๖ ตายจากคนที่ “ความชั่วมีมาก ความดีไม่ปรากฎ” แล้วไปเกิดเป็นเทวดา


“..ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตร ท่านทำกรรมชั่วหนักมากเรียกว่า “ความชั่วมีมาก ความดีไม่ปรากฎ” แต่ท่านไม่มีโอกาสลงนรก ก็เพราะตอนที่ใกล้จะตาย ท่านนึกถึงความชั่วของท่านได้ ท่านมีความทุกข์หนัก จิตเลี้ยวเข้าไปหาพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน คิดว่าเขาเล่าลือกันว่า “พระพุทธเจ้าช่วยคนที่มีความทุกข์ให้มีความสุขได้ ก็เลยนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า นึกถึงคำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ขอบารมีพระพุทธ ขอบารมีพระธรรม ขอบารมีพระสงฆ์ จงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด” จิตจับอยู่ในไตรสรณาคมณ์ เมื่อตายแล้วจิตออกจากร่างกลายเป็นเทวดา เลยไม่ได้รับผลของความชั่ว ตอนที่เป็นเทวดาขณะที่พระพุทธเจ้าไปเทศน์พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ บนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ปรากฎว่าท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรจะต้องจุติพอดี ท่านอากาสจารีเทพบุตร ก็เข้าไปเตือน ท่านจึงมองดูตัวของท่านว่าท่านตายจากเทวดาแล้วท่านจะไปไหน เพราะเทวดามีอารมณ์เป็นทิพย์จึงรู้สถานที่ไป ก็ทราบชัดว่าเมื่อจุติจากเทวดาแล้วก็ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรกระยะเวลา ๑ กัปตามอายุของอเวจี เมื่อออกจากอเวจีมหานรกแล้วก็มาผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม เมื่อพ้นจากนรกบริวาร ๔ ขุมแล้วก็ต้องมาตกยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะท่านทำกรรมหนักคือ กรรมในยมโลกียนรกมีกี่อย่างท่านทำหมด เมื่อพ้นจากยมโลกียนรก ๑๐ ขุมแล้วก็ต้องมาเป็นเปรตตามลำดับ ๑๒ จำพวก พ้นจากเปรต ๑๒ จำพวกแล้วก็มาเป็นอสุรกาย เมื่อพ้นจากความเป็นอสุรกายแล้วก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉานคือ เป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วก็มาเกิดเป็นคนคือ เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ เป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ จึงจะมาเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

เมื่อท่านรู้กฎของกรรมของท่านแล้วท่านก็ตกใจ จึงบอกให้อากาสจารีเทพบุตรช่วย ท่าน อากาสจารีเทพบุตรก็บอกว่า “เราก็เป็นเทวดาเหมือนกันจะช่วยท่านอย่างไร คนที่จะช่วยได้ก็เห็นจะมีท่านพระอินทร์องค์เดียว” ก็เลยพากันไปหาพระอินทร์ พระอินทร์ก็เลยบอกว่า “ฉันก็เป็นเทวดาเหมือนท่านช่วยไม่ได้ ท่านที่จะช่วยได้ก็คือ พระพุทธเจ้า เวลานี้พระองค์กำลังมาแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” ต่างก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอินทร์ก็กราบทูลเรื่องราวของสุปติฎฐิตเทพบุตรให้พระพุทธเจ้าทราบ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า “เทวดาองค์นี้มีกรรมหนัก สมัยเป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก แต่มาเป็นสัมมาทิฐิชั่วเวลาไม่กี่นาที คือเวลาใกล้จะตาย จิตน้อมเข้ามาเคารพในคุณพระรัตนตรัย”

การเปรียบเทียบบาปกับบุญ

เรื่องนี้มีคนถามมาหลายคนว่า ทำบาปมาตั้งมากมายแต่ทำบุญนิดเดียวแล้วจะไปสวรรค์ได้อย่างไร ก็ขอเอาถ้อยคำของพระนาคเสนกล่าวตอบพระยามิลินท์มาให้ทราบ พระนาคเสน ท่านเปรียบบาปมีอุปมาเหมือนก้อนหิน บุญมีอุปมาเหมือนเรือ เรือจะใหญ่มากใหญ่น้อยจอดลอยไว้ ก้อนหินจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ถ้าเอาก้อนหินโยนลงไปในเรือ เมื่อหินตกลงไปในเรือแล้วหินจะจมน้ำไม่ได้ แต่ถ้าเราเอาก้อนหินโยนลงไปในน้ำหินมันก็จม การที่หินในเรือไม่จมก็เพราะเรือขวางไว้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใดจิตใจของคนก็เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า “จิตเต สังกิลิฎเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าจิตออกจากร่างมีอารมณ์เศร้าหมองก็ไปสู่ทุคติ คือ อบายภูมิ ๔ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน “จิตเต ปริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าเวลาจิตจะออกจากร่างมีความบริสุทธิ์ นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลก็ไปสู่สุคติ คือสวรรค์ก่อน ถ้าหมดอำนาจของความดีคือบุญ ก็จะกลับมารับโทษตามเดิม เว้นไว้แต่บำเพ็ญบารมีต่อ ข้อนี้อุปมาได้เหมือนกับคนเรา ถ้าเป็นหนี้เขามากๆ เจ้าหนี้เขาทวง ดีไม่ดีใช้หนี้เขาไม่หมดจะต้องติดตะรางแทนหนี้ แต่ในขณะที่เจ้าหนี้ทวงอยู่นั้น บังเอิญเราถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ สัก ๒–๓ ใบ มีทุนใหญ่แล้วไม่ชำระหนี้ หนีเจ้าหนี้ไปอยู่ต่างประเทศ เจ้าหนี้ก็ไม่มีโอกาสจะทวงได้ เราก็เป็นสุขสบายเพราะทรัพย์สินที่เรามีอยู่ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ไปก่อร่างสร้างตัวให้เป็นผู้มีอันจะกินต่อไป กินทุนเก่าถ้าหมดทุนกลับมาที่เก่าเมื่อไร เจ้าหนี้ทวงใหม่ เมื่อนั้นก็จะมีโทษตามที่เราเป็นหนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด เรื่องบุญกับบาปก็เหมือนกัน

พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุปติฎฐิตเทพบุตรคนนี้ สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก
คือ เกิดมาตั้งแต่เด็กพอทำงาน แกก็มีปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ฆ่าสัตว์เป็นอาจิณกรรม อทินนาทานลักขโมยเขา ถ้ามีโอกาสก็เอามาก กาเมสุมิจฉาจาร ท่านชอบจริงๆ ผู้หญิงสาวๆ เด็กๆ ท่านก็ชอบมาก ปรนเปรอด้วยเงินด้วยทอง มุสาวาทเป็นปกติ การดื่มสุราเมรัยเป็นเกมกีฬา ใครเขามาบอกบุญบอกทาน วัดโน้นเขาจะสร้างนั่น วัดนี้เขาจะสร้างนี่ ไปทำบุญตรุษ ไปทำบุญสงกรานต์ แกเห็นแล้วแกล้งทำไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน ดีไม่ดีพระเทศน์ก็ส่งเสียงกลบ ทำลายพระธรรมเสียอีก ฉะนั้นถ้าพระองค์ไม่ช่วย เธอจุติจากความเป็นเทวดาแล้วจะต้องไปตกอเวจีมหานรกไล่มาตามลำดับ พอมาเป็นคนก็เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เพราะกฎของกรรมที่คนเขาบอกบุญได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เวลาพระเทศน์หรือพระสวดแกล้งส่งเสียงกลบให้คนอื่นฟังไม่ชัด

ต่อจากนั้นก็ต้องเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เพราะใครมาบอกบุญบอกทาน เห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น แล้วก็มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะดื่มสุราเมรัย หลังจากนั้นก็มาเป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ เพราะโทษปาณาติบาตที่ทำไว้มาสนับสนุน เป็นเศษของกรรมจึงจะหมด พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า “ถ้าเทศน์อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรจะไม่ได้พระโสดาบัน จะต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก เพราะว่ามีกรรมหนัก จริตไม่พอกับพระอภิธรรมคือ มีอารมณ์หยาบมาก แต่ถ้าเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อฟังแล้วจะตรงกับอัธยาศัย พอเทศน์จบก็จะได้พระโสดาบัน โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะถูกปิดคือ ไม่มีโอกาสจะลงโทษได้ เพราะว่าพระโสดาบันนั้นเกิดเป็นเทวดาแล้วก็เกิดแค่มนุษย์ ถ้ายังไม่ไปพระนิพพานจุติลงมาเป็นมนุษย์ แล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม

พระโสดาบันมีอารมณ์หยาบ เกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ ไปพระนิพพาน
พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างกลาง เกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ ไปพระนิพพาน
พระโสดบันมีอารมณ์อย่างละเอียด เกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติ ไปพระนิพพาน

ฉะนั้นโทษทัณฑ์ทั้งหลายที่จะต้องตกนรก ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสุรกาย ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่มี แต่ทว่าการมีขันธ์ ๕ เป็นคนก็ต้องพบกับเศษของอกุศลกรรม ในฐานะที่มีร่างกายเป็นเครื่องรับ เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นเทวดาต่อไปจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ท่านก็ยังไม่ได้จุติ

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ทำความชั่วมามากแต่ว่ามีความดีนิดหนึ่งก่อนจะตาย เมื่อเป็นเทวดาก็ประมาทในความดี หลงระเริงจนตัวเองจะต้องมารับผลของความชั่ว แต่ว่าได้ดีเพราะท่านอากาสจารีเทพบุตรไปเห็นวิมานเศร้าหมอง เครื่องทิพย์เศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ ตามธรรมดาเทวดาจะมีเครื่องทิพย์ผ่องใสอยู่เสมอ วิมานก็ผ่องใส เหงื่อไม่มี ถ้ามีเหงื่อเมื่อใด เครื่องทิพย์เศร้าหมองเมื่อใด ก็แสดงว่าเทวดาองค์นั้นจะต้องตายเป็นกฎของเทวดา แต่ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรยังมีบุญอยู่ อาศัยองค์สมเด็จพระบรมครูทรงช่วยจึงพ้นจากนรกไป เมื่อเป็นพระโสดาบันได้แล้วก็ชื่อว่ามีความสุขพ้นจากแดนอบายภูมิแน่นอน..”

เรื่องที่ ๕๗ ตายจากคนจนถวายข้าวตอก ๑ ขัน เพียงครั้งเดียวไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๑ พูดถึงเรื่อง “ลาชเทวธิดา” หรือ “เทพธิดาข้าวตอก” เพราะว่าเป็นนางฟ้าในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องมีอยู่ว่าเธอเป็นลูกคนจน ไปรับจ้างเฝ้าไร่อ้อยของเจ้านาย ได้นำข้าวตอกไปเพื่อจะกิน เพราะคิดว่าในตอนเช้ากว่าคนจะไปส่งอาหาร ถ้าเขาส่งสายเราก็หิว แต่ก็เป็นการบังเอิญวันนั้นเป็นเวลาพอดีที่ พระมหากัสสป พระสาวกองค์สำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติ พระที่ออกจากนิโรธสมาบัติออกไม่ตามเวลาที่เขาบิณฑบาตกัน อาจจะสายไป ไปบิณฑบาตไม่ทัน ก็ต้องใช้ทิพย์จักขุญาณว่าจะไปรับบาตรที่ไหน ใครจะให้เราวันนี้ ท่านพระมหากัสสปก็ทราบว่าหญิงสาวที่เฝ้าไร่อ้อยอยู่ตรงโน้น เธอมีข้าวตอกไม่มีนํ้ากะทิอยู่ ๑ ขัน เพื่อจะมากินเวลาเช้า

แต่ทว่าถ้าเราไปบิณฑบาต เธอเต็มใจพร้อมจะถวายเพื่อทำบุญ ความจริงท่านไม่ตั้งใจจะเบียดเบียน ต้องดูก่อนว่าถ้าเขาให้แล้วเขาเดือดร้อนไหม ก็ทราบว่าเรื่องอาหารเขาไม่เดือดร้อน แต่ท่านอาจจะทราบว่าให้แล้วเธอจะตายจึงตั้งใจมาโปรดคนนี้โดยตรง จึงเหาะมาในอากาศพอใกล้จะถึงก็ลงเดิน เหาะให้ชาวบ้านเห็นไม่ได้เป็นการแสดงปาฏิหาริย์คนจะติดเหาะ

เมื่อเธอเห็นเข้าก็มีความรู้สึกว่าเราเป็นคนจน บางโอกาสที่เราเห็นพระเราก็ไม่มีของถวายไม่ได้ทำบุญกับเขา บางโอกาสที่เรามีของเราก็ไม่เห็นพระ วันนี้เรามีข้าวตอกด้วยและพระท่านก็มาด้วย ขอถวายพระเถิด ตอนสายจะหิวสักหน่อยเขาเอาอาหารมาให้ช้าไปก็ไม่เป็นไร พอทนได้เธอก็นำข้าวตอกออกไปนั่งกระหย่งพนมมือกล่าววาจาว่า “ขอหยุดก่อนเถิดเจ้าข้า” พระมหากัสสปท่านก็หยุด หยุดแล้วเธอก็เดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆ บรรจงเทข้าวตอกลงในบาตรพระมหากัสสป เมื่อเทเสร็จแล้วก็นั่งกระหย่งพนมมือด้วยความเคารพกล่าววาจาว่า “ธรรมใดที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันเห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าข้า” ท่านพระมหากัสสปก็ให้พรว่า “เอวัง โหตุ” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “เธอปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา” เพียงเท่านี้แล้วพระมหากัสสปก็หลีกไป

เธอดีใจที่ได้ทำบุญ ขณะที่เดินออกไปมีงูมีพิษร้ายอยู่ตัวหนึ่งมันนอนอยู่ที่ตรงนั้น ด้วยความดีใจที่เธอได้ทำบุญมีปีติในการทำบุญ คำว่า “ปีติ” แปลว่า “อิ่มใจ ชื่นใจ” ก็กระโดดโลดเต้น เสียงตึ้กตั้กๆ เจ้างูมันก็ตกใจ ผงกหัวขึ้นมาเห็นเข้ามันก็ฉกกัด เธอก็ล้มลงถึงแก่ความตาย

การทำบุญของเธอมีครั้งเดียวในชีวิต แต่ว่าเธอตายด้วยกำลังของบุญจริงๆ นั่นคือ จิตใจจับบุญเต็มอัตรา คือมีปีติเต็มที่ถึงกับกระโดดโลดเต้น ก็เลยไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ รอบๆ วิมานก็มีขันทองคำเต็มไปด้วยข้าวตอกทองคำห้อยเต็มไปหมด และมีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 16:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๕๘ ตั้งใจถวายดอกบวบขมตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..พูดถึงอานิสงส์การถวายดอกไม้บูชาด้วยศรัทธาแท้ ดังตัวอย่างท่านหนึ่งคือ ท่านสาตกีเทพธิดา “สาตกี” แปลว่า “ดอกบวบขม” เทพธิดาองค์นี้ทำบุญด้วยดอกบวบขม ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านเจริญพระกรรมฐานในตอนกลางคืน ท่านใช้กำลังฤทธิ์ของท่านไปเที่ยวชมสวรรค์ ไปเห็นวิมานของท่านสาตกีเทพธิดาเข้าก็แปลกใจเพราะ เมื่อคืนที่แล้วไม่มีวิมานนี้ จึงเข้าไปใกล้ถามท่านเจ้าของวิมานว่า “เธอเพิ่งตายจากความเป็นคนขึ้นมาเกิดเป็นนางฟ้าหรือ” ท่านก็ตอบว่า “เช่นนั้นเจ้าค่ะ” และท่านพระโมคคัลลาน์ก็ถามต่อไปว่า “เธอทำบุญอะไรจึงมีวิมานทองคำ เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกาย มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด” ท่านก็ตอบว่า “สมัยเป็นมนุษย์เป็นคนยากจนมาก มีอาชีพตัดฟืนขาย เช้าตื่นขึ้นมากินข้าวเสร็จก็เข้าป่าไปตัดฟืนด้วยกำลังกายก็ไม่ได้มากนัก ตอนเย็นหอบฟืนกลับมาเอาไปขาย ได้เงินบ้างก็ซื้ออาหารไว้กินในวันรุ่งขึ้น เรียกว่าทำมื้อกินมื้อ ทำอย่างนี้ทุกวันตลอดมาเป็นปกติ ไม่มีโอกาสที่จะไปทำบุญ ไม่เคยทำบุญสุนทาน พระจะมาบิณฑบาตหรือมาบอกบุญบอกทานก็ไม่มีโอกาสได้พบ ไม่ใช่ไม่ศรัทธาแต่ไม่มีเวลาจะทำบุญเพราะความยากจน

วันสุดท้ายก่อนที่จะตาย ตอนเช้าเข้าป่าจะไปตัดฟืนตามปกติ เห็นดอกบวบขมเข้าก็คิดว่า ดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ ก็นึกถึงพระขึ้นมาตั้งใจว่าตอนเย็นกลับบ้านวันนี้จะตัดดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ ใกล้ๆ บ้าน อย่างนี้จัดว่าเป็นสังฆานุสติสติกรรมฐาน

พอตกเย็นขากลับบ้านแบกฟืนออกมาพอถึงที่ตรงนั้นก็วางฟืนลง ไปตัดดอกบวบขม มือหนึ่งแบกฟืน อีกมือหนึ่งถือดอกบวบขม เมื่อขายฟืนเสร็จพอกลับถึงบ้านก็หุงข้าวกิน แล้วอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็นำดอกบวบขมตั้งใจจะเอาไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุกระดูกพระอรหันต์ แต่ไปไม่ทันถึง ระหว่างทางที่เดินไปนั้นปลากดว่านางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดล้มลงถึงแก่ความตาย ก่อนที่จะตาย จิตใจก็นึกถึงว่าเราตั้งใจจะเอาดอกบวบขมไปถวายบูชากระดูกพระอรหันต์ (จัดว่าเป็นสังฆานุสติสติกรรมฐาน) พอตายจากที่ตรงนั้นจิตก็ออกจากร่างมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช มีนางฟ้าหนึ่งพัน เป็นบริวาร มีวิมานสีเหลือง เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกายที่เป็นทิพย์ มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด เพราะก่อนจะตายปรารภสีเหลือง คือดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านโปรดเข้าใจว่า ถ้าต้องการความสุขจริงๆ เมื่อตายแล้ว ก็ให้ท่านยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีทานการบริจาค มีการรักษาศีล และมีอารมณ์ยึดอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ ทานก็ได้ ศีลก็ได้ ภาวนาก็ได้ หรือยึดพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ นึกถึงวัดก็ใช้ได้ ให้มีความมั่นใจจริงๆ ยอมรับนับถือจริงๆ อย่างนี้ตายเมื่อไร ทุกท่านก็ได้รับผลมีความสุขอย่างท่านสาตกีเทพธิดาแน่นอน ถึงแม้ว่าบางคนตอนต้นจะย่อหย่อนมาก่อนก็ตาม แต่ถ้าเวลาจะตายมีกำลังใจเข้มข้น ก็จะไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปพระนิพพานตรงโดยไม่ต้องผ่านสำนักท่านพระยายมราช..”

เรื่องที่ ๕๙ ปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหาร ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนแดนสวรรค์


“..วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๑ เวลา ๓.๐๐ น. หลังจากเดินจงกรมแล้ว จึงหยิบหนังสือพระไตรปิฎกมาอ่าน พอเปิดก็พบวิมานวัตถุพอดี อ่านดูแล้วคิดว่าดี ท่านอ้างว่าเป็นปฏิปทาของ พระโมคคัลลาน์ เรื่องการเที่ยวสวรรค์ นรกนี้เป็นปกติธรรมดาของทุกท่านที่ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้ามุ่งเอาจริงตาม อิทธิบาท ๔ แล้วไม่พ้นความสามารถ ท่านเขียนไว้อย่างนี้

ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านไปสวรรค์ ท่านไปพบเทพธิดาองค์หนึ่ง ร่างกายเธอมีแสงสว่างไปทั่วจักรวาล มีสวนมะม่วงรื่นรมย์ เป็นสวนที่มีต้นมะม่วงแพรวพราวสว่างไสวมากเหมือนเอาเพชรมาประดับไว้ ภายในสวนมีวิมานใหญ่ มีโคมดวงใหญ่สว่างไสวมาก มีเสียงดนตรีและนางเทพอัปสรมาก ท่านโมคคัลลาน์ถามนางฟ้าองค์นี้ว่า “อยากทราบว่าเมื่อเป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้จึงมีทิพยสมบัติประเสริฐอย่างนี้” เธอตอบว่า “สมัยเป็นมนุษย์ฉันมีจิตเลื่อมใสได้สร้างวิหารถวายสงฆ์แล้วปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหารนั้น (วิหารคือ กุฏิใหญ่) เมื่อสร้างเสร็จจึงฉลอง ล้อมต้นมะม่วงด้วยผ้า เอาผ้าทำเป็นผลมะม่วงแล้วประดับด้วยโคมไฟไว้ที่ต้นมะม่วง นิมนต์พระมาฉันภัตตาหาร แล้วถวายวิหารแด่พระสงฆ์ ด้วยบุญเพียงเท่านี้จึงมีสวนมะม่วงน่ารื่นรมย์ มีวิมานใหญ่กว้างขวางในสวนมะม่วงนั้น มีเสียงกึกก้องด้วยเสียงดนตรี และเกลื่อนกล่นด้วยนางเทพอัปสร และวิมานนี้มีประทีปดวงใหญ่ประจำ มีแสงสว่างไสวมาก เพราะถวายแสงสว่าง ด้วยบุญแบบนี้ฉันจึงมีวรรณะคือ ผิวงามและแสงสว่างออกจากกายไปทั่วทุกทิศ”

ที่อาตมาเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเห็นว่าทุกท่านทำบุญอย่างนี้แล้ว จึงต้องการให้ทราบอานิสงส์ที่จะพึงได้ เมื่อยังไปพระนิพพานไม่ได้ก็จะได้ทราบว่ามีที่พักบนสวรรค์น่ารื่นรมย์ใจอย่างนี้ แต่ทางที่ดีควรไปพระนิพพานดีกว่า ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดพบกับความทุกข์อีกต่อไป..”

เรื่องที่ ๖๐ ถวายอ้อยแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

“..เรื่องพระสงฆ์ในสมัยต้นยุคพระพุทธศาสนา คือ ท่านพระโมคคัลลาน์ ท่านทำสมาธิสบายใจแล้ว พระอรหันต์ท่านใช้เวลานาทีเดียว สมาธิและวิปัสสนา อภิญญาก็ครบถ้วน แล้วท่านก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปพบนางฟ้าองค์หนึ่งรูปสวย เครื่องประดับก็สวย แสงสว่างก็มาก สว่างไสวทั่วจักรวาล มีวิมานสวยและสวนดอกไม้ก็สวย ทุกอย่างสวยหมด ท่านจึงถามเธอว่า “สมัยเป็นมนุษย์ทำอะไรไว้จึงสวยงามอย่างนี้” นางฟ้าจึงกราบเรียนท่านว่า “เมื่อมีชีวิต มีสามีแต่แม่ผัวขี้เหนียว เป็นมิจฉาทิฐิ วันหนึ่งแม่ผัวให้อ้อยท่อนหนึ่ง เวลานั้นมีพระมาบิณฑบาต เธอจึงถวายอ้อยท่อนนั้นแด่พระสงฆ์ด้วยศรัทธาแท้ ต่อมาแม่ผัวถามว่า “อ้อยไปไหน” เธอตอบว่า “ถวายพระไปแล้ว” แม่ผัวโกรธมาก ทุบตีเธอจนทนไม่ไหวถึงตาย ผลบุญที่ถวายอ้อยท่อนเดียวด้วยความเลื่อมใส เป็นเหตุให้มีผลตามที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว”

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า คนที่ถูกฆ่าตายที่ชอบเรียกกันว่า “ตายโหง” นั้นไม่ได้เป็นสัมภเวสีเสมอไป ไปสวรรค์ ไปนรก ได้เหมือนกัน เหมือนผู้หญิงคนนี้..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 17:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๖๑ โมทนาบุญอย่างเดียวตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑ อาตมาขอเหาะตาม พระอนุรุทธ ท่านไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ตามพระไตรปิฎก) ให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “นางฟ้าขี้เหนียว” เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่ง พระอนุรุทธ ท่านเข้าฌานเหาะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านไปพบวิมานหลังหนึ่งสวยสดงดงามมากและเจ้าของวิมานก็สวยมาก เป็นเทพธิดาที่มีรูปสวยมาก ผิวพรรณผ่องใสคล้ายเงินผสมแก้ว เวลาขยับเขยื้อนก็แพรวพราวไปทั้งร่าง แสงสว่างที่ออกจากกายก็สว่างไสวไปทั่วทิศ สว่างมากกว่าดาวประกายพรึกเป็นไหนๆ เวลาที่ท่านฟ้อนอยู่ การขับร้องเสียงที่เป็นทิพย์ก็ไพเราะมาก ช่างชื่นใจในน้ำเสียงของท่านเหลือเกิน กลิ่นที่เป็นทิพย์ก็หอมหวนยวนใจ เสียงเครื่องประดับเวลากระทบกันก็ไพเราะมาก

ถามท่านว่า “เมื่อเป็นมนุษย์ทำบุญอะไรไว้จึงสวยและเสียงไพเราะจับใจอย่างนี้” ท่านตอบว่า “เมื่อเป็นมนุษย์ฉันเป็นเพื่อนกับ พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านวิสาขาทำบุญไว้มากมหาศาล แต่ดิฉันบ๋อต๋อไม่ได้ทำเลย อยู่เฉยๆ ก็ได้บุญ คอยเก็บบุญคือโมทนาอย่างเดียวก็พอ นี่แหละจึงเขียนว่า “นางฟ้าขี้เหนียว” ไม่ทำบุญด้วยตนเองเอาแต่โมทนาอย่างเดียว ท่านวิสาขาได้สร้างวิหารถวายสงฆ์ เห็นวิหารนั้นมีใจเลื่อมใสก็เลยโมทนา วิมานที่สวยสดงดงามที่เห็นอยู่นี้เป็นผลบุญที่ฉันโมทนา วิมานนี้เป็นวิมานอัศจรรย์สวยสดงดงามมากเลื่อนลอยไปในอากาศได้ตามที่ฉันต้องการ มุมหนึ่งของวิมานมีสระโบกขรณีเป็นที่อาศัยของปลาสวยๆ ทุกประเภท มีนํ้าใสสะอาด มีทางลาดด้วยทรายทองคำเพื่อเดินเล่น มีบัวสวยๆ ทุกชนิด เกสรบัวหอมฟุ้งไปทั่วทิศ มีต้นไม้รอบวิมานหลายชนิด เช่น มะพร้าว ไม้หว้า ขนุน ต้นตาล เป็นต้น มีเสียงดนตรีบรรเลงมิได้ขาด มีนางเทพอัปสรที่เป็นบริวารมากมาย

สรุปผลที่ท่านได้รับทั้งหมดนี้ เพราะอาศัยท่านโมทนาบุญของท่านวิสาขามหาอุบาสิกาอย่างเดียว เป็นอันว่าคนฉลาดจะไม่มีโอกาสปราศจากบุญได้เลย ในเมื่อเราไม่มีทุนทำเองเราก็โมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์ ถ้าทำเองด้วยและโมทนาด้วย ก็จะช่วยให้มีความสุขมากยิ่งขึ้น ท่านพระอนุรุทธ ท่านถามโฉมงามว่า “เวลานี้พระนางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้ถวายวิหารทานไปอยู่ที่ไหน” ท่านตอบว่า“พระนางวิสาขามหาอุบาสิกาผู้ประเสริฐ มีทั้งทาน มีทั้งศีล จิตเจริญด้วยภาวนา เวลานี้ไปเกิดที่สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นชายาของท่านสุนิมมาตวดี

เรื่องที่ ๖๒ พระจนมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..วันที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑ อาตมาขอเหาะตามท่าน พระโมคคัลลาน์ บ้าง (ตามพระไตรปิฎก) คืนหนึ่งท่านพระโมคคัลลาน์ท่านไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านเห็นเทพบุตรคนหนึ่งมีนางเทพอัปสรเป็นบริวารห้อมล้อมมากมาย วิมานก็สวยสดงดงาม สวยกว่าวิมานของเทพธิดามนุษย์ขี้เหนียวมาก (ท่านโมทนาบุญอย่างเดียว) รัศมีกายก็สว่างมากกว่ายิ่งนัก หาเทวดาที่สว่างเท่านั้นยาก จึงขนานนามท่านผู้นี้ว่า อเณกวรรณเทพบุตร เมื่อพบแล้วถามท่านว่า “เมื่อเป็นมนุษย์ทำบุญอะไรไว้จึงมีบุญญาธิการขนาดนี้” ท่านเทพบุตรตอบว่า “เมื่อเป็นมนุษย์ผมเป็นสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สุเมธ บวชอยู่ ๗ พรรษา ยังไม่ได้มรรคผล เมื่อพระศาสดานิพพานแล้ว มีความเลื่อมใสพระบรมธาตุของพระองค์เท่ากับพระพุทธเจ้า ได้ไหว้พระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุเป็นปกติ ไม่มีการให้ทานเพราะจนไม่มีอะไรจะให้” อาตมาจึงให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “พระจนไปสวรรค์” แต่ท่านชักชวนคนอื่นให้ทานและให้บูชาพระบรมธาตุโดยแนะนำว่าได้ยินและรู้มาว่า “คนที่บูชาพระบรมธาตุตายแล้วไปสวรรค์” การทำบุญเพียงเท่านี้เป็นเหตุให้ท่านได้อานิสงส์ตามที่ปรากฏนี้..”

เรื่องที่ ๖๓ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..ถ้าใครไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ผ่านอำเภอถลางจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรี ๒ ท่าน คือ ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทร ประวัติของท่านมีดังนี้ ท่านท้าวเทพกษัตรี เดิมชื่อ “จัน” กับน้องสาวคือ ท่านท้าวศรีสุนทร เดิมชื่อ “มุก” เป็นชาวเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ บิดาเป็นเจ้าเมืองถลาง คุณจันกับคุณมุกได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างคล่องแคล่วชำนาญและมีความกล้าหาญ เมื่อเจ้าเมืองถึงแก่กรรม คณะกรรมการเมืองก็แต่งตั้งสามีคุณจันขึ้นเป็นเจ้าเมืองถลาง

ต่อมาสามีคุณจันถึงแกกรรม พม่าก็ยกทัพมาตีเมืองถลาง ทั้งสองท่านได้ประชุมปรึกษากับคณะกรรมการเมือง โดยคิดอุบายลวงข้าศึก ได้รวบรวมผู้หญิงราว ๕๐๐ คน ให้แต่งตัวเป็นผู้ชายโพกศีรษะ พอถึงเวลากลางคืนใช้ทางมะพร้าวทำเป็นอาวุธถือเดินแปรขบวนระหว่างค่ายทุกวัน ตอนกลางวันก็เข้าทำเป็นกองหนุนเข้าสมทบในค่าย จนข้าศึกคิดว่าไทยมีกำลังหนุนอยู่เสมอ จึงนำทัพถอยร่นไป คุณจันจึงสั่งระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในกองทัพพม่า พม่าตกใจต่างหนีลงเรือแล่นออกจากอ่าวไป เมื่อศึกสงบแล้วรัชกาลที่ ๑ โปรดให้แต่งตั้งคุณจันเป็น “ท้าวเทพกษัตรี” และคุณมุกน้องสาวเป็น “ท้าวศรีสุนทร”

วีรกรรมของท่านทั้งสองจึงเป็นเกียรติประวัติแก่ชาติไทยสืบมาจนทุกวันนี้ อนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่านตั้งอยู่ที่ตำบลท่าเรือ สี่แยกเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต องค์พี่จูงมือน้องสาว มือขวาถือดาบ นุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอกมีตะเบ็งมาน ผมทรงดอกกระทุ่ม เป็นสำริดสีดำทั้งสององค์

เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ อาตมาเดินทางไปภาคใต้ ได้นั่งรถผ่านอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เห็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรีทั้งสองท่าน จึงคิดว่าเรามาอยู่บนแผ่นดินของท่านทั้งสองผู้มีพระคุณใหญ่ที่รักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ ถ้าเวลานั้นไม่มีท่านทั้งสองก็ยังไม่แน่นักว่าจังหวัดภูเก็ตจะเป็นของเราหรือเป็นของใคร ก็เลยมีความคิดว่าท่านทั้งสองตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ถ้าพบได้ก็จะดี พอคิดเพียงเท่านี้ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองมาปรากฏอยู่ที่ข้างรถพอดี มายกมือไหว้ให้เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านในสมัยที่ท่านเป็นแม่ทัพ ท่านบอกว่า “ท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์”

อาตมาจึงถามว่า “การสงครามต้องฆ่าคนตายไปสวรรค์ด้วยหรือ” ท่านยิ้มแล้วก็ถามว่า “ท่านก็เคยเป็นแม่ทัพมาเคยเป็นทหารมา เคยฆ่าคนมาเป็นอันมากและก็เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเป็นอันมาก ทำไมถึงไม่ลงนรกบ้างล่ะ” อาตมาตอบว่า “เรื่องก่อนเกิดจำไม่ได้และเรื่องของท่านจะรู้ได้อย่างไร ให้เล่าว่าเป็นคนวางนโยบายฆ่าคนเป็นจำนวนมากแล้วไปดาวดึงส์ได้อย่างไร”

ท่านก็ตอบว่า “ฉันทำบาปได้ฉันก็ทำบุญได้ การทำบาปคราวนั้นฉันพลีชีวิต เลือดเนื้อ สติปัญญา กำลังกายกำลังใจ ก็เพื่อความสันติสุขของประชาชนส่วนมาก ฉันไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว จะตั้งฉันเป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของพระราชาผู้ตั้ง เวลาทำฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น เมื่อทำแล้วฉันรู้ว่าเป็นบาปก็เลยทำบุญทำกุศล ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว เวลาตายแล้วก็ไปสวรรค์” ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม อาตมามองไปที่อนุสาวรีย์แล้วก็มองรูปโฉมลักษณะของท่านที่มาปรากฏให้เห็นแต่งตัวเป็นแม่ทัพในสมัยนั้น คล้ายคลึงรูปจริงๆ ของท่านมาก แสดงว่าท่านทั้งสองคงดลใจให้คนปั้นรูปท่าน ปั้นได้คล้ายคลึงความเป็นจริงของท่านมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 17:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๖๔ พระวิสุทธาธิบดี วัดไตรมิตรฯ มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๑ อาตมากำลังป่วยมาก ท่านทราบข่าวทางโทรศัพท์ว่า เจ้าคุณวัดไตรมิตรฯ พระวิสุทธาธิบดี ท่านมรณภาพ ก็คิดว่าพระองค์นี้มีคุณมาก วัดท่าซุงตั้งขั้นมาได้และเจริญรุ่งเรืองในเวลานี้ ก็มีท่านส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังสำคัญมาก ช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ชื่อว่าเป็นลูกมือของสมเด็จวัดสามพระยา ก็คิดในใจว่าอยากจะไปรดน้ำศพ แต่ก็นอนลุกไม่ขึ้น จะไปจัดงานสวดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ยังไปไม่ไหว จนถึงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ ก็ยังลุกจากที่นอนไม่ไหว

พอเวลา ๔ โมงเช้านอนภาวนาอยู่ก็คิดถึงท่านเจ้าคุณผู้มีคุณของเราว่า “เวลานี้ท่านมรณภาพแล้วท่านไปอยู่ที่ไหน” อันดับแรกเราต้องไปดูที่สำนักพระยายมราชก่อน เพราะเพิ่งตายไปไม่กี่วันนัก อย่างน้อยที่สุดถ้าบังเอิญผ่านสำนักนั้นก็ยังไม่มีการสอบสวน เพราะว่าตอนป่วย ๑๐ กว่าวันไม่ได้ไปสำนักพระยายมราชเลย พอไปถึงท่านลุงใหญ่นายบัญชีก็ถามว่า “คุณมาถามถึงเจ้าคุณไสวใช่ไหม” ท่านไม่เรียกราชทินนาม ท่านเรียกชื่อเดิม ก็บอกท่านว่า “ใช่” ท่านบอกว่า “คนชื่อไสวที่เป็นพระสงฆ์ เวลานี้ไม่มีอยู่ในบัญชีเมืองนรก” พอฟังเท่านั้นก็ดีใจมาก ขนลุกซู่ ชื่นบาน ก็คิดว่าท่านผู้มีพระคุณใหญ่ของเรา เวลานี้ท่านไม่ต้องตกนรก ไม่ต้องทรมาน จึงถามท่านนายบัญชีใหญ่ว่า “ท่านอยู่ที่ไหน” ท่านก็ตอบว่า “ผมบอกก็ได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของผม ท่านต้องไปถาม ปัญจสิกขเทพบุตร เป็นเลขานุการบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก”

อาตมาก็ไปถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า “พระองค์ที่ชื่อไสวอยู่วัดไตรมิตร เวลานี้ท่านอยู่ที่ไหน” ท่านก็ยิ้มแล้วบอกว่า “นั่งอยู่ข้างๆ คุณนี่อย่างไรล่ะ” คนที่นุ่งผ้าสีเขียวเป็นมันระยับแพรวพราวหน้าตาสวยสดงดงามผ่องใสมาก คนนี้คือ “ไสว วัดไตรมิตร” ก็หันไปท่านยิ้มและต่างคนต่างก็ยกมือไหว้กัน แต่เวลานี้ท่านไม่ใช่พระสงฆ์เป็นเทวดาแล้ว อาตมาถามท่านว่า “ท่านมาอยู่ชั้นดาวดึงส์หรือ” ท่านตอบว่า “ใช่” และบอกว่า “ขอบใจนะที่ช่วยผมอยู่มาก” ถามว่า “ช่วยอะไรท่าน” ท่านก็บอกว่า “การที่นิมนต์ไปที่วัดท่าซุงนั้น ผมไม่ได้หมายความว่าถวายเงิน ถวายผ้าไตร แต่ช่วยกำลังใจผมให้มีความชื่นบานในบุญกุศลของท่าน กำลังใจของผมก็มีปีติที่พระสงฆ์ที่ผมช่วยไว้เป็นผู้ชนะความชั่ว คือ ชนะความทรุดโทรม มีแต่ความรุ่งโรจน์ ทำให้วัดวาอารามรุ่งโรจน์ ทำให้พระพุทธศาสนาเด่นขึ้น”

อาตมาถามท่านว่า “ท่านตายในขณะที่ไปดูงาน ท่านมีกำลังใจเป็นกุศลส่วนไหน จึงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้” ท่านก็ตอบว่า “จงอย่าลืมว่า ผมไปในงานของพระศาสนา เขาจะตรวจสอบวิชาความรู้ของนักธรรม ผมไปนั้นจิตผมเป็นธรรมจริงๆ ไม่มีกังวลอื่น ไม่ใช่ไปคิดอยากได้เงินอยากได้ทอง อยากได้มันก็ไม่ได้เพราะงานนั้นไม่มีค่าแป๊ะเจี๊ยะ ไม่มีเงินไม่มีทอง มีอย่างเดียวคือค่าใช้จ่าย ผมไปค่าพาหนะผมก็จ่ายจากทุนของผมเอง ผมไปเพื่อพระศาสนาจริงๆ กำลังใจของผมไปเพื่อบุญเพื่อกุศล เพื่อให้ความเป็นธรรม เวลาที่ป่วยขึ้นมาปั๊บรู้สึกว่ามีอาการวูบลง หน้ามืด พอหน้ามืดไม่เห็นสิ่งภายนอก ก็ปรากฏสิ่งภายในขึ้น นั่นคือ พระพุทธรูปทองคำในพระอุโบสถ ภาพท่านปรากฏชัด เห็นแสงสว่างมาก ยิ่งดูยิ่งชัดๆ ขึ้น หนักเข้าใกล้จะถึงวาระจริงๆ เห็นพระทองคำท่านยิ้ม ผมก็หมดความรู้สึกอีกครั้ง ตอนนี้ปรากฏว่ามีร่างกายมาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๓ ประการเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๕,๐๐๐ คนเป็นบริวาร”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 17:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหน ภาคที่ ๔ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์ ตอน ๒


31 เรื่องที่ ๖๕ หลวงตานาบวช ๒๐ พรรษาที่วัดท่าซุงแล้วสึก เมื่อตายแล้วไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

32 เรื่องที่ ๖๖ ท่านยายหลวงพ่อตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

33 เรื่องที่ ๖๗ คนบ้านอยู่ใกล้วัดบางนมโค ตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

34 เรื่องที่ ๖๘ ตายจากคนเมื่อ ๘ กันยายน ๒๕๓๑ ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

35 เรื่องที่ ๖๙ ตายจากหญิงแก่ชอบถวายสังฆทานไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

36 เรื่องที่ ๗๐ ตายจากคนอาชีพจับปูทะเลขายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

37 เรื่องที่ ๗๑ ตายจากคนที่มีอาชีพรับจ้างขนปลาจากเรือตังเกไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

38 เรื่องที่ ๗๒ หลวงพ่อตอบคำถามศิษย์ที่ถามถึงผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร (เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗)

39 เรื่องที่ ๗๓ เทวดาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาขออาตมาให้บวชเณรให้เพราะขาดอานิสงส์บวชเณร

40 เรื่องที่ ๗๔ ท่านกวนอูตายแล้วไปสวรรค์

41 เรื่องที่ ๗๕ มีอาชีพฆ่าหมูตายแล้วไปสวรรค์

42 เรื่องที่ ๗๖ พยานบุญ-พยานบาปที่สำนักท่านพระยายมราช

43 เรื่องที่ ๗๗ ทำบุญทางธนาณัติตายจากคนไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนแดนสวรรค์

44 เรื่องที่ ๗๘ เคยบวชพระตายแล้วไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

45 เรื่องที่ ๗๙ ตายก่อนบวชไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

46 เรื่องที่ ๘๐ ตายจากคนที่ปรารถนาพุทธภูมิไปรอที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

47 เรื่องที่ ๘๑ ตายจากหญิงชาวสวนไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

48 เรื่องที่ ๘๒ ชายเจ้าชู้ถูกฆ่าตายไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

49 เรื่องที่ ๘๓ ตายท้องกลมไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

50 เรื่องที่ ๘๔ เคยทำแท้งแล้วไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

51 เรื่องที่ ๘๕ ตายจากเด็กหญิงอายุ ๔ ขวบ ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนแดนสวรรค์

52 เรื่องที่ ๘๖ ตายจากเด็กหญิงอายุ ๗ ขวบ ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

53 เรื่องที่ ๘๗ ตายจากเด็กหญิงอายุ ๑๐ ปี ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

54 เรื่องที่ ๘๘ ตายจากหญิงสาวอายุ ๑๘ ปี ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

55 เรื่องที่ ๘๙ ตายจากคนมาบอกให้ลูกถวายสังฆทานให้โมทนาแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

56 เรื่องที่ ๙๐ ตายจากคนไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชโมทนาบุญพระกรรมฐานแล้วไปเกิดเป็นเทวดา

57 เรื่องที่ ๙๑ ตายจากคนมาบอกลูกสาวว่าข้าวของที่เผาไปไม่ได้รับ ให้ถวายสังฆทานแล้วอุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้เฉพาะ

58 เรื่องที่ ๙๒ ตกเครื่องบินตาย มีคนถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้รับไม่ได้คนเดียวเพราะปรามาสพระพุทธเจ้า

59 เรื่องที่ ๙๓ ลูกชายแทงตัวเองตายถึง ๗ แผล มาบอกให้แม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลออกชื่อเขาโดยเฉพาะคนเดียว

60 เรื่องที่ ๙๔ ก่อนตาย ๗ วันคลุ้มคลั่งมาก ลูกจึงเอาพระหลวงพ่อไปคล้องคอให้ เลยมีจิตสบายแล้วหลับตายไปเลย



เรื่องที่ ๖๕ หลวงตานาบวช ๒๐ พรรษาที่วัดท่าซุงแล้วสึก เมื่อตายแล้วไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้เล่าเรื่อง หลวงตานา ซึ่งเป็นพระวัดท่าซุง
“..รุ่นขุดดินฟันดินสมัยนั้นมีสัก ๔ องค์คืออาตมา หลวงพี่โอ หลวงตาเจริญ และหลวงตานา ซึ่งเป็นพระแก่บวชเมื่อมีอายุแล้ว เวลานั้นก็มีอายุ ๖๐–๗๐ ปีแล้ว ท่านมีหน้าที่นำเศษไม้อะไรก็ตามมาเผาเป็นถ่าน เป็นผู้ชำนาญในการเผาถ่าน นอกจากนั้นท่านยังเก่งในการสวดปาฏิโมกข์ ท่านเป็นพระแก่ที่ขยันทบทวนหนังสือ ว่างเป็นต้องทวนหนังสือ ท่องได้บางทีสองวัดสามวัด สวดปาฏิโมกข์นี่ วัดในเมืองเจ้าคณะอำเภอยังท่องไม่ได้เลย ต้องมานิมนต์หลวงตานาไปสวด ท่านมีพิเศษเรื่องสวดปาฏิโมกข์เก่งกับเก่งในเรื่องเผาถ่าน และท่านยังเป็นคนแก่เจ้าระเบียบ ห้องหับเป็นระเบียบ นอกจากนั้นท่านยังมีพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่อาตมาชื่นชม ก็คือพอท่านบิณฑบาตกลับมา ก็จะเลือกอาหารที่คัดว่าดีแล้วเอาใส่ปิ่นโตที่เขามีอยู่แล้ว และข้าวใส่บาตรเข้าไปถวายหลวงพ่อ ท่านเป็นต้นฉบับใส่บาตรหลวงพ่อ พระในวัดต้องทำจนเป็นประเพณี เวลาหลวงพ่ออยู่วัด จะตั้งบาตรไว้ พระบิณฑบาตกลับมาก็เอาข้าวมาใส่บาตรและเลือกอาหารที่ว่าเราชอบนำไปแบ่งใส่ปิ่นโต เข้าไปถวายหลวงพ่อ ทำอย่างนี้เป็นประจำจนกระทั่งมรณภาพ หลวงพ่อถามว่า “ใครคิดอย่างนี้นะ” ก็ตอบท่านว่า “หลวงตานาครับ” หลวงพ่อก็บอกว่า “คิดอย่างนี้ไม่ตกต่ำนะ คนรู้จักกตัญญู” ท่านไม่ได้สอนเรา เราทำท่านก็ชม หลวงพ่อไม่ได้ถือว่าเป็นการประจบ ถือว่าเป็นเมตตา ทำความดี “หลวงตานาจึงเป็นต้นฉบับใส่บาตรหลวงพ่อ เป็นต้นฉบับกตัญญูกตเวทิตา”

หลวงตานาบวชได้ ๒๐ พรรษา ก็สึกไปอยู่บ้าน ก็ใส่บาตรบ่อยเพราะบ้านอยู่ใกล้วัดท่าซุง มีลูกชายเป็นกำนัน ต่อมาท่านก็ป่วย กำนันลูกชายก็มานิมนต์พระไปสวดต่อนาม พระก็รู้จักเป็นพระชุดแรกที่ขุดดินฟันดินด้วยกัน พอพระไปถึงประมาณสักสี่ห้าโมงเย็น ลูกชายก็บอกว่า “พ่อๆ พระมาแล้ว” หลวงตานาก็นอนยกมือไหว้ พอพระตั้งนะโมขึ้นพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ยังไม่ทันถึงสังฆังเลย หลวงตานาพะงาบๆ บอก “พระๆ” แล้วตายเลย พระยังล้อกันเลยว่าพระชุดนี้อย่าเอาไปอีกนะ ต่อทีเดียวตายเลยไม่ต่อธรรมดา เอาตายเลย เมื่อตายแล้วเขาก็เอามาเผาที่วัดท่าซุง หลวงพ่อพอหลังรับแขกแล้ว ท่านลงมาเผาแล้วบอกว่า “เออดี หลวงตานาไปอยู่ดาวดึงส์ ยังช่วยวัดอยู่”

เรื่องที่ ๖๖ ท่านยายหลวงพ่อตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..ท่านยายเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนที่ท่านจะตาย ถามท่านว่า “คุณยายเห็นอะไรครับ” ท่านยายตอบว่า “เห็นพระพุทธ” ถามท่านว่า “สวยไหมครับ” ท่านยายตอบว่า “สวยมาก พระท่านสวยมากขึ้นทุกที” เมื่อท่านใกล้จะสิ้นลมปราณเต็มที แต่ท่านมีสติดีมาก ท่านยิ้มทั้งๆ ที่ปากก็ว่า “พุทโธ” ท่านบอกว่า “พ่อเล็ก หลวงพ่อองค์ยิ้มของหลานมาหายายแล้ว” ถามว่า “คุณยายอยากไปไหนครับ คุณยายบอกพระท่าน ท่านพาไปได้” ท่านยายบอกว่า “ยายไม่อยากเกิด ยายเบื่อเกิด” ถามว่า “พระท่านว่าอย่างไร” ท่านยายบอกว่า “ท่านยิ้มแล้วบอกว่า จะเอาไปพักในที่ที่ไม่ต้องกลับมาเกิด ต่อไปจะสบายมาก” ท่านยายบอก “พ่อเล็กจุดธูปให้ยาย ๕ ดอก เอาดอกบัวมา ๕ ดอก จุดเทียนด้วย ยายจะเอาไปไหว้พระจุฬามณี ยายเห็นบ้านยายแล้ว พระท่านชี้ให้ดู” เมื่อจุดธูปเสร็จบอกท่านให้ทราบ ท่านบอกว่า “ขอลาทุกคน อะไรที่ล่วงเกินกัน ขอให้ต่างอภัยกัน” แล้วท่านก็ว่า “พุทโธๆ” จนท่านสิ้นลมปราณ พอขาดเสียง ท่านก็หมดลมพอดี เมื่อคุณยายตายแล้วก็เลยถือโอกาสไปหาท่านลุง เมื่อพบแล้วถามท่านว่า “ท่านยายไปอยู่ที่ไหน” ท่านลุงบอกว่า “อยู่ดาวดึงส์” ถามว่า “ท่านยายจะมาเกิดอีกไหม” ท่านลุงบอกว่า “บารมีเขาดี เขาจะนิพพานบนสวรรค์”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 17:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๖๗ คนบ้านอยู่ใกล้วัดบางนมโค ตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..สมัยที่อาตมาออกธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ในป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้มีนางฟ้าหลายองค์ปลอมตัวเป็นชาวบ้านมาใส่บาตรทุกวัน อาตมาบอกกับนางฟ้าทั้งหลายที่มาว่า “ว่างๆ ก็มาคุยกันและก็ไม่ต้องปลอมตัวกันมา มาเป็นนางฟ้าไปเลย” และก็ถามว่า “ทำบุญแบบไหนจึงมาเกิดเป็นนางฟ้าอย่างนี้ จะได้ไปเล่าให้ชาวบ้านเขาฟัง” นางฟ้าก็ตอบว่า “คนที่อยู่ใกล้เคียงกับวัดท่านมาเป็นนางฟ้าที่มานี่ก็มีนะ” จึงถามว่า “เป็นอะไรตาย” เธอตอบว่า “เป็นไข้ตาย” และได้เล่าให้ฟังว่า “สมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคนใส่บาตรเสมอ อาศัยการใส่บาตรกับท่าน ฉันก็ไม่รู้ว่าเวลาใส่บาตรท่านภาวนา อิติปิโสฯ และก่อนจะตายฉันเห็นภาพพระพุทธเจ้าเด่นชัดมาก” และพระท่านก็บอกว่า “เธอใส่บาตรกับพระที่ภาวนาอิติปิโสฯ จะไปนรกไม่ได้ต้องไปสวรรค์” เมื่อตายแล้วฉันก็ไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถามว่า “โยมชื่ออะไร” เธอก็ตอบว่า ฉันชื่อภู คนบางนมโครู้จักคนชื่อภู ทุกคนในสมัยนั้น..”

เรื่องที่ ๖๘ ตายจากคนเมื่อ ๘ กันยายน ๒๕๓๑ ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..วันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑ อาตมาเห็นภาพสองสาวปรากฏขึ้นข้างหน้า เธอรูปร่างเพรียวบางโปร่ง เครื่องแต่งกายสวย มีสร้อยข้อมือคนละหลายเส้น ถามว่า “เธอเป็นใคร” เธอนิ่งไม่ตอบ แต่กลับมีภาพผู้หญิงผิวขาวเนื้อเต็ม ไม่ใช่อ้วน แต่งตัวสวย ปรากฏขึ้นที่ข้างหลังสองสาวนั้น หญิงคนนั้นตอบแทนสองสาวว่า “สองคนนี้คือลูกสาวของท่าน” ถามว่า “สองสาวนี้เกิดเป็นลูกตั้งแต่เมื่อไร” เธอตอบว่า “เมื่อวานซืนนี้เอง หมายถึงเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๓๑” ถามเธอว่า “ลูกสาวสองคนนี้มีอานุภาพทางไหน” เธอตอบว่า “มีอานุภาพทางลาภมาก เธอทราบว่าพ่อหนักใจเรื่องงานก่อสร้าง เธอจะมาช่วย” เมื่อถามว่า “เวลานี้เธออยู่ที่ไหน” ตอบว่า “เธออยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก” ถามว่า “ที่เธอมีอานุภาพในลาภมาก เธอทำบุญอะไรไว้” ตอบว่า “เธอชอบให้ทาน ที่มีรูปสวยน้อยไปนิดหนึ่งก็เพราะเวลาให้ทาน ติดทางโลกมากเกินไป ชอบแต่โลกีย์สงเคราะห์ คือให้ทานส่วนบุคคลมากกว่าถวายเป็นของสงฆ์หรือสังฆทาน” ที่ทำให้มีอานุภาพในทานก็เพราะ เคยถวายสังฆทานครบถ้วนเพียง ๓ ครั้ง (สังฆทานครบคือ มีพระพุทธรูป ผ้าไตร อาหาร ตามที่ผีชอบขอ) เมื่อถามว่า “บ้านเธอก่อนตายอยู่ที่ไหน” ตอบว่า “ไปสอบถามดูว่า หญิงใดที่เคยถวายสังฆทานแบบนี้แล้วตายเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๓๑” เมื่อพูดเสร็จแล้วก็หายไป..”

เรื่องที่ ๖๙ ตายจากหญิงแก่ชอบถวายสังฆทานไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..อุปสรรคเป็นของธรรมดาๆ ท่านทั้งหลายต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนว่า การจะไปไหนก็ดี การจะทำงานทุกอย่างก็ดี แม้แต่การประกอบอาชีพต่างๆ ก็ต้องคิดถึงอุปสรรคก่อน เพราะอุปสรรคต้องมีกับทุกคน วันหนึ่งตั้งใจจะไปหาท่านพระยายมราช ก็ลุกจากที่นอนพอเคลื่อนออกจากที่ก็ปรากฏว่ามี หญิงแก่คนหนึ่งผิวขาว รูปร่างเพรียว อายุประมาณ ๗๐ ปี นั่งขวางทาง จึงให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “หญิงแก่ขวางทาง” หลีกทางซ้ายเธอก็ขวาง หลีกทางขวาเธอก็ขวาง เดินตรงเธอก็ขวาง จึงถามเธอว่า “เธอจองเวรจองกรรมอะไรกับฉัน ทำไมจึงขวางทางเดินของฉัน ฉันจะไปหาท่านพระยายมราชแล้วเธอมาขวางทำไม”

เธอก็ยิ้มบอกว่า “ที่ฉันมาขวางเพราะ ฉันยังไม่ต้องการให้ไปหาท่านลุง” ถามเธอว่า “เธอต้องการอะไร” เธอตอบว่า “ตามฉันมา” ก็เลยบอกว่า“ถ้าอย่างนั้น เธอก็นำหน้าฉันจะตามไป” เธอก็พาเดินเรื่อยขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ ชันขึ้นไปๆ ปรากฏว่าดินแดนนั้นเป็น เขาพระสุเมรุ เป็นทางที่ราบรื่น สวยสดงดงามมาก ขึ้นไปไม่เหนื่อย พอไปถึงยอดเขาพระสุเมรุก็ไปถึงที่ปัญจสิกขเทพบุตร เป็นที่รวมใกล้พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เมื่อไปถึงเธอก็นั่ง คิดว่าพาไปหาผู้พิพากษาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า “หญิงคนนี้คือใคร” ท่านก็ตอบว่า “เป็นหญิงคนหนึ่งที่มีคนเขาถามคุณที่ซอยสายลมว่า เธอตายแล้วไปไหน และคุณตอบสั้นๆ ว่า คิดว่าเธอมีความสุขเพราะว่าคนนี้ทำบุญไว้มาก เวลาเขาถามภาพเกิดกับคุณว่าหญิงคนนี้เคยสร้างพระพุทธรูป ถวายผ้าไตรไว้ในพระพุทธศาสนา แต่ความจริงบุญของเธอไม่ได้ทำแค่นั้นเธอทำไว้มากกว่านั้น เธอเป็นคนใจบุญ เรื่องบาปเป็นของธรรมดาของคนที่เกิดมาต้องมีบาป แต่เธอเป็นคนใจบุญหนัก เคยถวายสังฆทานที่เป็นอาหารกับพระ ถวายสังฆทานที่เป็นของแห้ง เคยทำบุญบวชพระ ทำบุญทอดกฐิน จิตใจของเธอจริงๆ จับอยู่ที่พระพุทธรูปกับผ้าไตร”

อาตมาจึงหันมาถามเธอว่า “ความจริงเป็นอย่างนั้นไหม” เธอก็ตอบว่า “เป็นความจริงเจ้าค่ะ” ถามเธอว่า “บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ผู้หญิงแก่ๆ แบบนี้มีกับเขาด้วยหรือ เพราะนางฟ้าก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่มีรูปร่างแก่น่ะไม่มี” เธอก็ตอบว่า “เท่าที่ให้เห็นแก่จะได้ทราบว่าเมื่อตายอายุเท่าไร” ถามถึงอาการตายของเธอ เธอบอกว่า “มีอาการร้อนในท้องและก็แน่นในหน้าอกไม่มากนัก ต่อมาศีรษะก็มึน ความร้อนถึงศีรษะตาก็พร่า เวลานั้นจิตใจของเธอไม่ได้นึกอะไรมาก นึกอย่างเดียวว่าเวลานี้เรานับถือพระพุทธเจ้า เราเคยสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ไว้ในพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นก็ถวายสังฆทานเป็นพระพุทธรูปหน้าตักขนาด ๕ นิ้วบ้าง ๔ นิ้วบ้าง มีผ้าไตร ที่เป็นวัตถุแห้งก็มาก ที่เป็นอาหารก็มาก ภาพทั้งหมดปรากฏกับเธอ

และเวลานั้นก็ปรากฏ มีภาพแมวกับภาพสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้ ให้ความเมตตาปรานี เจ้าแมวกับเจ้าสุนัขที่มาหมอบอยู่ข้างๆ จิตเธอก็มีความรักในมัน อาศัยภาพทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏ ทุกขเวทนาที่ปรากฏในร่างกายมันก็สลายตัวไปเพราะจิตไม่เกาะ จิตไปเกาะภาพพระพุทธรูปบ้าง จิตไปเกาะผ้าไตรบ้าง การถวายสังฆทานบ้าง เวลานั้นอารมณ์เป็นสุข”
ต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จมาสว่างใสสะอาดมาก รูปร่างลักษณะโปร่ง ผิวขาวค่อนข้างเหลือง ริมฝีปากแดง สวยมาก ทรงแย้มพระโอษฐ์ จิตใจเธอก็จับพระพุทธเจ้า ต่อมาอีกนิดหน่อยก็เห็นเทวดากับนางฟ้ามีความสวยสดงดงามมากมาชวนเธอว่า “ขอให้ไปสวรรค์ด้วยกันเถิด ฉันอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์” แต่เท่าที่ปรากฏเวลานั้นมีเฉพาะเทวดากับนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เธอก็ติดใจนางฟ้า ในที่สุดจิตออกจากร่าง รูปร่างหน้าตาก็เป็นนางฟ้าสวยสดงดงาม”

เมื่อเธอพูดจบก็ปรากฏว่าร่างกายแก่หายไป มีร่างกายเป็นนางฟ้าสวยสดงดงามแพรวพราวเป็นระยับ สวยมาก จึงถามว่า “เท่าที่บอกให้ตามมานี้ต้องการจะให้รู้อะไร” เธอก็ตอบว่า “อยากจะเล่าให้ฟังเรื่องราวจริงๆ ที่ท่านตอบเขาวันนั้น ยังตอบน้อยไป” ก็เลยบอกว่า “ฉันกำลังป่วยมากและก็เหนื่อยมาก คอก็แห้งเสียงไม่ออก เห็นภาพชัดๆ แค่พระพุทธรูปกับผ้าไตรลอยอยู่ข้างหน้าเธอ” เธอก็บอกว่า “ต้องการให้ทราบตามนี้” จึงถามต่อไปว่า “ต้องการอะไรอีก” เธอถามว่า “อยากจะดูวิมานฉันไหม” ตอบเธอว่า “อยากจะดูและวิมานของเธอได้มาจากอะไร”เธอก็ตอบว่า “สังฆทานถังที่ถวายท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินที่ถวายร่วม ท่านนำไปใช้เป็นสังฆทานบ้าง สร้างวิหารทานบ้าง สร้างพระพุทธรูปบ้าง ฉะนั้นอาศัยที่เงินของฉันมีส่วนในวิหารทาน ฉันจึงมีวิมาน”

ถามว่า “วิมานของเธออยู่ที่ไหน” เวลานั้นก็ปรากฏมีวิมานทองคำลอยมาแต่ว่าบนยอดเป็นแก้ว พื้นของวิมานเป็นทองคำสวยสดงดงามมาก มีนางฟ้า สวยสดงดงามประจำอยู่ ๓,๐๐๐ องค์ บรรดานางฟ้าทั้งหลายเห็นเธอเข้าก็ลงมาไหว้ ถามเธอว่า “วิมานของเธอเป็นทองคำเพราะอาศัยบุญอะไร” เธอตอบว่า “อาศัยบุญวิหารทานบ้าง สังฆทานบ้าง เลี้ยงสัตว์บ้าง แต่กำลังใจต่ำไปนิดจึงได้วิมานทองคำ” ถามว่า “ยอดวิมานของเธอแทนที่จะเป็นทองคำอย่างวิมานอื่น กลับกลายเป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ” เธอตอบว่า “ที่เป็นแก้วเพราะ ฉันชอบใจเฉพาะยอดมณฑป ตั้งแต่หลังคาขึ้นไปเบื้องบนของมณฑป แต่ความสนใจในตัวอาคารของมณฑปน้อยไป ถ้าเข้าไปที่นั่นเห็นพระก็มีจิตชุ่มชื่น ฉันพอใจพระทุกองค์ จิตติดใจในพระตายแล้วก็ได้วิมานอย่างนี้” ถามเธอว่า “นอกจากนี้เธอมีอะไรอีกไหม” เธอตอบว่า “ท่านจะไปเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ ๖ อยากจะฝากไปถึงลูกถึงหลานเขาจะได้ทราบ บอกเขาว่า ฉันเป็นหญิงเชื้อชาติจีน เป็นจีนทั้งพ่อและแม่ เกิดมาในตระกูลของจีน แต่ว่าอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก ชอบการให้ทาน เรื่องความโกรธความไม่ชอบใจก็มีบ้างเป็นของธรรมดา ศีลก็รักษาบ้าง ตอนเด็กๆ ก็ไปวัดกับแม่ แม่ให้ใส่บาตรก็ใส่บาตรบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องว่าใส่บาตรมีอานิสงส์อะไรก็ได้บุญ เวลาพระเทศน์ก็ตั้งใจฟังบ้างไม่ตั้งใจฟังบ้าง คิดเรื่องอื่นบ้างถึงแม้ไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ได้บุญ

ต่อมาก็ชอบในการถวายสังฆทานมาก การเลี้ยงพระก็ชอบ เลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน สังฆทานแห้งก็ชอบ ที่ชอบมากที่สุดก็คือ สังฆทานที่มีพระพุทธรูป มีผ้าไตร และมีอาหารแห้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งติดตาติดใจพระพุทธรูปกับผ้าไตร ตอนต้นถวายพระพุทธรูปองค์เล็กๆ จิตใจก็ไม่ชุ่มชื่น อยากได้องค์ใหญ่ๆ ก็เลยทำบุญด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว เพราะในโลกเขาถือเลข ๙ กัน อะไรๆ ก็เลข ๙ แต่ความจริงเลข ๙ ไม่ได้มีความหมายเด่นไปกว่านั้น ถ้าหากว่าฉันฉลาดฉันจะถวายพระ ๑๒ นิ้ว เป็นพระพุทธชินราชจะดีมาก เพราะสวยสดงดงามมาก แต่ทีนี้คนข้างๆ บ้านบ้าง เพื่อนกันบ้าง ลูกหลานบ้าง เขาบอกว่า ๙ ดี แต่ความจริง ๙ หน้า ๙ หลังนี่มันไปไม่ไกล ก้าวหน้าไป ๑ ก้าวถอยหลังไป ๑ ก้าว ก้าวเท่าไรก็อยู่แค่นั้น”

รวมความว่าน่าจะไปสูงกว่านี้ แต่กำลังใจดีไม่สมบูรณ์แบบ ก็อยากจะแนะนำให้ลูกหลานจงจำไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าบาป ทำกันแล้วก็พอกันเสียที ให้พยายามทรงความดี อย่างน้อยจิตใจตั้งอยู่ในทาน คิดว่าทานการให้จะมีในเรา

ประการที่สองศีลรักษาทุกวันไม่ได้ก็รักษาบ้างเป็นประจำวัน
ประการที่สามกิจที่ฉันทำคือ ฉันบูชาพระทุกวัน ตอนหัวค่ำกับตอนเช้าตรู่ ฉันไม่มีเวลาภาวนามากแต่อาศัยการบูชาพระเป็นกำลัง ฉันติดใจในภาพพระพุทธรูปมาก เวลาจะตายภาพพระพุทธรูปจึงปรากฏและในที่สุดพระพุทธเจ้าเสด็จมานี่เป็นปัจจัยให้ฉันเกิดความสุข ถ้าหากท่านไปพบลูกหลานของฉันบอกด้วยว่า “ฉันมีความสุข”

ต่อมาอาตมาก็หันมาคุยกับท่านปัญจสิกขเทพบุตรถามว่า “หญิงคนนี้ตามบัญชีของท่านมีบุญวาสนาบารมีถึงไหน” ท่านตอบว่า “ท่านหมายถึงนิพพานใช่ไหม” ตอบว่า “ใช่” ท่านก็ตอบว่า “ยัง กำลังบารมียังอ่อนอยู่ ยังไปนิพพานไม่ได้ ทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่าถ้าเธอมาอยู่บนสวรรค์แล้ว ตั้งใจบำเพ็ญความดีเพื่อนิพพานต่อไป อาจจะไปได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของเทวดาหรือพรหมจะพยากรณ์ เป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระชินวรจะพยากรณ์แต่พระองค์เดียว แต่ถ้าเธอทำความดี ความดีก็จะช่วยเธอ”

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงรักษาความดี ๔ ประการไว้คือ
๑) รู้จักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
๒) พูดไพเราะ ใช้วาจาดีๆ
๓) ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน
๔) ไม่ถือตัว
คุณธรรม ๔ ประการนี้จะเป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายมีความสุข เพราะความรักกัน..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 17:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๗๐ ตายจากคนอาชีพจับปูทะเลขายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ก่อนจะตายถ้าจิตใจผ่องใส นึกถึงบุญกุศลนิดหน่อยตายแล้วก็ไปสวรรค์ทันที เรื่องนี้ให้ชื่อเรื่องว่า “เทพธิดาปูทะเล” เรื่องมีอยู่ว่า

วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกนั่งอยู่กับ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเหมือนเลขาของท่านพระอินทร์ เห็นนางฟ้า ๘ องค์ รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามมาก ผิวพรรณผ่องใส เครื่องประดับก็สวย แต่มีองค์หนึ่งนั่งใกล้มากที่สุด ท่านมองหน้าไม่ละสายตา เบื้องหลังนางฟ้า ๘ องค์ไกลออกไปประมาณ ๒ เส้น เป็นภาพผู้หญิงอ้วนใหญ่ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ในความรู้สึกของอาตมาเป็นภาพนางยักษิณี จึงหันไปถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า “บนสวรรค์มีภาพประเภทไม่สวยอย่างนี้เหมือนกันรึ” ท่านตอบว่า“ปกติไม่มี แต่นางฟ้า ๘ องค์นี้เป็นคนมีบาปอยู่เบื้องหลัง” หมายความว่าในระยะต้นสร้างบาปไว้มากแต่ว่าไม่ถึงอนันตริยกรรม อนันตริยกรรมได้แก่ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต ยุยงให้สงฆ์แตกกัน ตอนช่วงหลังของชีวิตและตอนใกล้จะตายได้ทำกำลังใจเป็น สัมมาทิฐิ รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการเจริญภาวนา เวลาจะตายจิตใจก็เกาะความดี เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกก่อน แต่ทว่าบาปยังติดตามอยู่ ถ้าไม่สร้างความดีต่อเป็นการป้องกัน เมื่อจุติไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อไรบาปจะดึงเธอทั้งหมดลงอบายภูมิทันที

ท่านพุทธบริษัทเมื่ออ่านหรือฟังแล้ว จงคิดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา” เวลาก่อนจะตาย จิตใจเป็นอกุศลหรือเศร้าหมองนิดหน่อย ก็จะไปอบายภูมิทันที
“จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา” ก่อนจะตาย แม้แต่จิตใจผ่องใสในด้านของบุญกุศลนิดหน่อย ก็จะไปสวรรค์ทันที

อาตมาหันไปถามนางฟ้าที่อยู่ใกล้มากที่สุด และมองหน้าไม่ยอมละ ถามเธอว่า “สมัยเป็นมนุษย์อยู่ที่ไหน” เธอตอบทันทีว่า “จำฉันไม่ได้รึ” อาตมาบอก “ถ้าอย่างนั้นขอดูภาพเดิม” ให้เห็นภาพเธอเป็นคนแก่อายุประมาณใกล้ ๖๐ ปี รูปร่างใหญ่เทอะทะ ผิวเนื้อดำแดงค่อนข้างดำ ถามเธอว่า “รูปร่างของเธอเป็นอย่างนี้ เธอมีสามีหรือเปล่า” เธอตอบว่า “มี” เธอแสดงภาพให้เห็นตั้งแต่สมัยเป็นเด็กแล้วก็เป็นสาววัยรุ่นถึงสาวใหญ่ ตอนสาวรุ่นรูปร่างทรวดทรงดี หน้าตาดี ผิวพรรณไม่ดำ ผิวเนื้อดำแดงและเกลี้ยง ร่างกายมาเปลี่ยนแปลงตอนอายุใกล้ ๔๐ เธอเป็นคนจน

เวลานั้นอาชีพจริงๆ ก็คือ จับปูทะเลมาขาย ปูทะเลจับมาได้ก็ต้องมัด จับปั๊บมัดปุ๊บ ทำมาแต่เด็กก็ทำได้คล่องรวดเร็วแล้วก็เอามาขาย พอเป็นสาวขึ้นมาก็จับปูทะเลขายเหมือนเดิม แต่งงานแล้วก็ยังทำอยู่เหมือนเดิม มาเปลี่ยนแปลงเอาจริงๆ เมื่อตอนอายุ ๓๐ ปีเศษ ขายปูได้กำไรพอสมควรมีทุนอยู่บ้าง ไม่จับปูเองแล้วแต่เป็นคนซื้อปูมาขายและคุมการขาย

ให้นึกดูว่า สภาพปูถูกมัดกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แบบนั้น มันทรมานขนาดไหน มีการเจ็บปวด มีการเมื่อยขนาดไหน สรุปแล้วเธอทำบาปมาอย่างหนัก เป็นบาปที่ติดตามมา ที่เห็นเป็นภาพนางยักษิณีอยู่ข้างหลังตอนที่มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว

ความจริงในตอนระยะต้นๆ ตั้งแต่เด็กมาจนถึงสาวใหญ่ แต่งงานแล้วก็ตาม บุญเธอก็ทำบ้างแต่ก็ทำบุญแบบผิวเผิน หมายความว่าใส่บาตรบ้างแต่ก็นานๆ ใส่ครั้ง นานๆ ก็ไปฟังเทศน์บ้างแต่ก็ไม่ตั้งใจนัก เขาทำบุญเรี่ยไรก็ทำบ้างแต่ไม่ได้ตั้งใจมาก ทำประเภทปัดสวะให้ผ่านพ้นไป ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่แจกฎีกาพึงทราบว่า คนที่เขาทำบุญตามฎีกาเขาจำใจทำกันมา แต่ก็ได้บุญถึงแม้จะได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ตาม เปรียบเหมือนชาวบ้านเขามีข้าว ๑ กะละมังได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เราได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มีข้าวแค่ ๑ จาน ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

ต่อมาเมื่อเธอมีอายุ ๔๐ ปีเศษๆ ก็มีความรู้สึกว่าอาชีพเดิมมันบาปทั้งหมด ก็เพราะบังเอิญมีพระหลวงตาที่น่าเคารพท่านหนึ่ง ท่านเป็นพระอยู่ใกล้บ้านไปรับบาตรเป็นประจำ ผ่านอยู่เสมอ ท่านอธิบายให้ฟังว่า “การทำแบบนี้มันบาป” ในที่สุดเธอก็ละจากอาชีพขายปูทะเลมาเป็นอาชีพรับจ้างอย่างอื่นที่ไม่เป็นบาป ความจริงน่าขอบคุณหลวงตาองค์นั้นที่ท่านแนะนำ ตอนหลังเธอตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ บุญใหญ่เธอทำมาเป็นปกติ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ใครไปเรี่ยไรก็ให้ ทำบุญมาเรื่อยๆ จิตใจเป็นบุญกุศล

ต่อมาระยะใกล้จะตาย ๔ เดือน เธอก็มีโอกาสมาที่วัดท่าซุง ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร เห็นวัดเข้าก็ชอบใจ คิดในใจว่าวัดสวยๆ แบบนี้หายาก เธอสนใจมณฑปแก้วที่ปิดกระจกทั้งข้างนอกและข้างใน ก็ชอบใจมากเข้าไปนั่งไหว้พระดูภาพพระก็ชอบใจ มีจิตใจสดชื่น ไปนั่งนานจนกว่าจะถึงเวลาเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ไปรับยันต์เกราะเพชรตอน ๔ โมงเช้า ปรากฏว่าเขาประกาศว่ารถจะออก ๔ โมงเย็น จึงไปนั่งป๋ออยู่ที่มณฑปแก้วใหม่ สดชื่นมากจิตใจจับอยู่ที่นั่น

ต่อมาได้ทราบข่าวว่า ที่ซอยสายลมมีพระวัดท่าซุงไปสอนพระกรรมฐานที่นั่น เธอก็ไปกับเขาด้วย ไปเจริญพระกรรมฐานวันแรกเธอบอกว่า “ภาพพระที่มองเห็นเวลาลืมตา แต่เวลาหลับตาแล้วพระองค์นั้นไม่เห็น เห็นแต่ปูที่คลานยั้วเยี้ยที่เธอจับมาก็ดี ภาพที่เธอกำลังมัดปูก็ดี นั่งขายปูก็ดี”

รวมความว่า ภาพปูปรากฏเต็มไปหมด จะมองเท่าไรก็ไม่เห็นภาพพระเห็นแต่ปูแทน ในที่สุดลืมตาดูพระใหม่ ทิ้งภาพปู พอเห็นภาพพระแจ่มใสดี สดชื่น นานๆ เข้าจึงหลับตาใหม่ ก็ปรากฏเห็นภาพปูอีก เป็นอันว่าวันแรกของการเจริญพระกรรมฐานคือวันเสาร์ ไม่มีผลเห็นพระแต่มีผลเห็นปูทะเลแทน เธอก็เศร้าสลดใจ พอถึงเวลาอุทิศส่วนกุศล พระท่านแนะนำว่า “ให้ขอท่านพระยายมราชและเทพเจ้าเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศล”

เผอิญท่านพระยายมราชท่านมาบอกกับอาตมาในวันนั้นว่า “ถ้าใครทำบุญไว้ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้บอกท่านให้เป็นพยาน ถ้าบังเอิญต้องผ่านสำนักท่าน การสอบสวนเรื่องบาปก็ไม่มี ท่านจะเป็นพยานให้เพราะบุญมีอยู่แล้ว จะส่งไปสวรรค์ก่อน” เธอบอกว่า “ดีใจในถ้อยคำนี้” เวลาพระท่านนำอุทิศส่วนกุศลสดชื่นมาก ตั้งใจจริงๆ เพราะว่าปูเป็นเหตุ ถึงอย่างไรก็ไม่ขอลงนรกแน่ เธอคิดในใจว่า “ถ้าขืนลงนรกเสียท่าปูแน่ ปูนับเป็นพันเป็นหมื่นมันตามเล่นงานแน่นอน เธอไม่ได้คิดถึงไฟนรกคิดถึงแต่ปูอย่างเดียว พออุทิศส่วนกุศลเสร็จเธอก็รีบไปที่จุดสังฆทาน จะเอาชุดใหญ่ ๕๐๐, ๑,๐๐๐, ๒,๐๐๐ เงินก็ไม่มี ผสมผเสได้ ๑๐๐ บาท ก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันที

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่สองไปใหม่ตอนกลางวัน ตั้งใจไปถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาททันทีและก็ฟังพระท่านคุยไป นั่งดูพระพุทธรูปไป ตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่ยอมให้ภาพปูเข้ามากวนใจ จะขออยู่กับพระพุทธรูป หลับตาบ้างลืมตาบ้าง ใครจะคุยอย่างไรก็ช่าง สนใจพระพุทธรูปอย่างเดียว พอตอนกลางคืนเจริญพระกรรมฐาน เวลาหลับตาปรากฏว่า ภาพปูกับภาพพระแย่งกัน ภาพพระเกิดขึ้นบ้าง เห็นภาพปูบ้างสลับกัน เธอก็ดีใจว่าวันนี้พระสู้กับปูแล้วปูแพ้ เพราะภาพปูเกิดขึ้นมาน้อย เห็นภาพพระมากกว่า พอเจริญพระกรรมฐานเสร็จก็ถวายสังฆทานชุดเล็ก ๑๐๐ บาทอีก

ต่อมาวันที่สาม ก็ทำอย่างนั้นอีก พอไปถึงปุ๊บไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ตั้งหน้าตั้งตาจ้องพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ที่พูด มองลีลาพระสงฆ์ที่นั่งพูดบ้างและจำภาพพระพุทธรูปบ้าง ดูสองอย่าง อย่างไหนเลือนก็จับอีกอย่างหนึ่งเข้ามาแทน ตั้งใจจับพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ช่วยกันขับปู วันนี้ชนะเด็ดขาดภาพปูไม่ปรากฏเห็นแต่ภาพพระอย่างเดียว เห็นชัดทั้งภาพพระพุทธรูปกับพระสงฆ์ ภาพปูไม่เกิด เธอดีใจมาก

ก็รวมความว่าเธอทำอย่างนี้มาได้ ๓ ครั้ง วาระที่สุดของชีวิตของเธอก็มาถึง เวลาที่จะตายจริงๆ เธอมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายวัน ปวดศีรษะบ้าง แน่นหน้าอกบ้าง เสียดท้องบ้างเป็นปกติ แต่ในเวลานั้นก็ตั้งใจภาวนาว่า “พุทโธ” นึกถึงภาพพระกับพระสงฆ์ที่เคยเห็น ภาพก็ชัดเจนแจ่มใสเป็นบางครั้ง บางทีมันปวดมากภาพก็หายไป พอคลายหน่อยจิตก็เห็นภาพ แต่ใจไม่ยอมปลด มันจะปวดอย่างไรก็ตาม ก็ตั้งใจภาวนา “พุทโธ” บ้าง “นะมะพะธะ” บ้าง จับภาพพระพุทธเจ้าบ้าง จับภาพพระสงฆ์บ้างสลับกันไปในที่สุดก็ตาย

เวลาจะตายเธอบอกว่าไม่มีความรู้สึกว่ามันจะตาย มันเป็นแต่มีความรู้สึกวูบไป อาการปรากฏทีแรกมันอืดเสียดมาก เมื่ออาการอืดเสียดหายไป มีนงงหายไป จิตมีอารมณ์เป็นสุขมาก มีความเยือกเย็น มีความสบาย จิตก็จับภาพพระพุทธรูปภาวนาว่า “พุทโธ” เดี๋ยวก็ “นะมะพะธะ” สลับกับทั้ง ๒ อย่าง ภาพพระก็เกิดมีสภาพแจ่มใส สดใสขึ้น สวยขึ้นๆ ตามลำดับ เป็นทองอร่ามขึ้น ในที่สุดพระท่านยิ้ม เมื่อเห็นภาพพระพุทธรูปยิ้ม เธอก็มีอาการสดชื่น ตอนนี้เองเธอบอกว่า “มีความรู้สึกว่าวูบเหมือนกับตกจากที่สูง และมีความรู้สึกอีกทีหนึ่งก็มาอยู่ที่วิมานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก วิมานสวยสดงดงามมากแพรวพราวเป็นระยับ เป็นเพชรสีน้ำมันก๊าด จะขาวก็ไม่ใช่แต่ใส

ถามเธอว่า “ที่ได้วิมานสวยอย่างนี้เพราะอะไร” เธอตอบทันทีว่า “เพราะสนใจในมณฑปแก้วและพระพุทธรูปในมณฑปแก้ว” ถามว่า “ไปในมณฑปแก้วนั้นกี่ครั้ง” เธอตอบว่า “ไป ๓ ครั้งติดใจ เวลามีงานก็ไป ยามปกติก็ไป เวลาไปต้องเข้าไปในมณฑปแก้วก่อน ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป ภาวนาให้สบาย ตัดภาพปูทิ้งไปเห็นพระแทน ดูภาพมณฑปแก้วก็ชอบใจ อันนี้เป็นปัจจัยให้วิมานแก้วใสมาก สว่างมาก” ถามว่า “เธอมีเทพบุตรหรือนางฟ้าเป็นบริวารเท่าไร” เธอยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่มีเทวดาเป็นบริวาร มีแต่นางฟ้าเป็นบริวาร ๔,๐๐๐ องค์ เครื่องประดับประดาก็มีมาก” บอกเธอว่า “อยากจะเห็นวิมาน”

ก็ปรากฏว่าเวลานั้นวิมานก็ลอยมา บ้านเราในเมืองมนุษย์ยกไปไหนไม่ได้ แต่ในเมืองสวรรค์วิมานลอยมาทันที นางฟ้าทั้งหมดหน้าตาแจ่มใสมาก วิมานของเธอใหญ่มากและมีความสว่างไสวมาก ถามเธอว่า “เธอมีความรู้สึกอย่างไรกับเรื่องบาปเก่า” เวลานี้ภาพนางยักษิณียังปรากฏอยู่ เธอบอกว่า “ภาพนางยักษิณีนี่ความจริงไม่ใช่นางยักษิณีจริง เป็นภาพที่แสดงออกเมื่อท่านปรากฏนี่เอง ตามปกติฉันไม่เห็น แต่ว่าภาพนั้นคงเป็นพยานให้ท่านทราบว่า ฉันยังเป็นคนมีบาป” ถามเธอว่า “เธอทราบไหม ถ้าหมดบุญจากสวรรค์ที่ดาวดึงส์เธอจะไปไหน” เธอก็ตอบว่า“ทราบ เขาจะนำฉันไปไว้นรกขุมที่ ๕”

ถามเธอว่า “จะไปไหม” เธอก็ตอบว่า “ที่ไปซอยสายลมพระท่านสอนว่า ให้หนีไปพระนิพพาน เวลานี้ฉันตั้งใจไปพระนิพพาน ฉันไปฟังเทศน์ที่พระจุฬามณีเจดียสถานเสมอ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์และที่ประชุมเทวสภา ก็มีหลายวาระที่บรรดาพระโพธิสัตว์ท่านมาเทศน์ วันไหนพระโพธิสัตว์ท่านไม่ว่างมา ท่านพระอินทร์ก็เทศน์แทน ท่านเทศน์สงเคราะห์ให้เทวดาทุกองค์บำเพ็ญกุศลต่อ ให้ทุกคนมองดูกรรมดั้งเดิมของตัวเองก่อนที่จะตาย ว่ามีกรรมที่เป็นอกุศลไหมและกรรมที่เป็นอกุศลนั้นทิ้งเราหรือยัง เทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ปฏิบัติตามท่าน รวมความว่าไม่มีเทวดา ไม่มีนางฟ้าองค์ไหนที่ไม่มีบาปกรรมต่อท้ายอยู่เบื้องหลัง ฉะนั้นเทวดาและนางฟ้าทุกองค์ก็ตั้งใจบำเพ็ญกุศลหวังไปพระนิพพาน

เมื่ออาตมาคุยกับเธอจบก็ถามเธอว่า “มีอะไรสั่งไปถึงทางบ้านบ้างไหม” เธอก็ตอบว่า “ฉันขอสั่งเมื่อท่านเขียนหนังสือแล้วก็บอกเขาด้วยว่า ฉันคนชื่อ ป อยู่หน้า ตายเมื่ออายุ ๕๗ ปี อาชีพเดิมจับปูทะเลและก็ขายปู ต่อมาเมื่ออายุ ๔๐ ปีเศษก็กลายเป็นนักบุญ เวลานี้มีความสุขมาก ขอบรรดาลูกหลานทุกคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ที่คิดว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขแก่ตัวเองนั้น ความจริงไม่จริงมันจะลากไปสู่อบายภูมิ จะมีความทุกข์หนัก มันไม่คุ้มกันกับความสุขนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอิ่ม ฉะนั้นขอบรรดาลูกหลานและพี่น้องทุกคนจงละบาปอกุศล ทำงานรับจ้างเขาที่ไม่เป็นบาปดีกว่า..”

เรื่องที่ ๗๑ ตายจากคนที่มีอาชีพรับจ้างขนปลาจากเรือตังเกไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


“..เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ หลังจากอาตมาคุยกับเทพธิดาปูทะเลเสร็จแล้ว เธอก็ถอยออกไป ก็มีนางฟ้าคนที่ ๒ เลื่อนเข้ามา ซึ่งอยู่ในกลุ่มของนางฟ้าที่มีนางยักษิณีคุมอยู่เบื้องหลัง ความจริงไม่ใช่นางยักษิณี เขาแสดงภาพให้เห็นว่านางฟ้ากลุ่มนี้ยังมีบาปอยู่เบื้องหลัง ถ้าพลาดจากสวรรค์เมื่อไร ลงไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องลงไปถึงอบายภูมิ อาตมาให้ชื่อว่า “นางฟ้าปลาทู” นางฟ้าองค์นี้เข้ามาก็มองหน้าอาตมาแล้วก็ยิ้มเหมือนกับเทพธิดาปูทะเล จึงถามว่า “เธอเคยรู้จักฉันหรือ” เธอก็ตอบว่า “ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ไม่เคยรู้จักกันตัวต่อตัว แต่ทว่าเคยเห็นภาพถ่ายจากหนังสือพิมพ์บ้าง เคยดูที่เทศน์ทางโทรทัศน์บ้างจึงจำได้ และมีคนเขาพูดให้ฟังก็ได้ยินชื่ออยู่เสมอ แต่ไม่มีเวลาที่จะไปหาไปคุยด้วยเพราะมีธุระมาก ถามเธอว่า “เวลานี้เธอเป็นนางฟ้าของสวรรค์ชั้นไหน” เธอตอบว่า “เป็นนางฟ้าของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์” ถามเธอว่า “วิมานของเธอสวยไหม” เธอก็ตอบว่า “วิมานสวยกว่าบ้านที่เมืองมนุษย์มาก” ถามว่า “บ้านของเธอที่เมืองมนุษย์เป็นบ้านไม้หรือบ้านตึก” เธอตอบว่า “ตอนแรกๆ เดิมทีเดียวเป็นบ้านไม้ ภายหลังเป็นบ้านตึกสร้างเองไม่ได้เช่าเขา เป็นตึกย่อมๆ มี ๓ ห้องนอน พออยู่ระหว่างพ่อแม่และลูก” ก็ถามว่า “เธอมีอาชีพอะไร” เธอตอบว่า “เดิมทีเดียวเป็นลูกจ้างขนปลาจากเรือตังเก แล้วก็แยกส่วนของปลา ปลาที่เธอสนใจมากที่สุดก็คือ ปลาทู เพราะเรือตังเกจะได้ปลาทูมาก ถ้าวันไหนปลาทูมากเจ้าของเขาก็แบ่งให้มาก วันไหนได้น้อยเขาก็แบ่งให้น้อย แต่ค่าจ้างแรงงานนั้นมีอยู่”

สำหรับปลาที่เขาแจกก็เพื่อให้คนงานเอาไปกินที่บ้านตามสมควร ชีวิตของเธอนอกจากค่าแรงงานก็ได้อาศัยปลาทูและปลาทะเลบางส่วนช่วยให้ทรงชีวิตอยู่ได้ บรรดาลูกจ้างทั้งหลายมีเงินน้อย แต่ละวันนายจ้างก็เลี้ยงอาหารแต่อาหารบางส่วนอาจจะไม่เป็นที่พอใจของลูกจ้างเพราะกินซ้ำๆ ซาก ก็มีการซื้อพิเศษกินกันในตอนบ่ายนอกเวลาที่เขาเลี้ยง เธอก็พยายามทำข้าวแกงและอาหารบางส่วน สิ่งใดที่คนงานชอบก็ทำสิ่งนั้น ทำแล้วก็ให้ลูกสาวหาบไปขายส่วนเธอก็ทำงานรับจ้างไป การขายอาหารแบบนี้เป็นปัจจัยให้เธอมีฐานะดีขึ้น มีความสุขมาก วิธีการขายของเธอก็คือ

๑) ตักข้าวให้มาก
๒) แกงหรือกับให้สมควรแก่ข้าว
๓) ๑ จานราคาถูกกว่าที่อื่น ๑ บาท

ข้าวของเธอก็ร้อนเสมอเพราะหุงข้าวใส่หม้อไป แต่ว่ามีซึ้งไว้นึ่งข้าวให้ร้อน แกงก็ทำเตานึ่งให้ร้อนทำอย่างนี้เป็นถูกใจของคนกินมาก ต่อมาเมื่อฝีมือเป็นที่ชอบใจของคนงาน ก็ขยายออกไปขายตอนเช้าตรู่ จ้าง ๒–๓ คนมาช่วยหาบและตัก เอาไปขายที่ท่าเรือเมล์จอด คนขึ้นลงมากและตอนเช้าตรู่คนหิว ขายราคาถูกกว่าที่อื่น ๑ บาท ข้าวก็มากกับก็มาก คนก็ชอบใจ เป็นเหตุให้เธอได้เงินมาก ถึงแม้กำไรน้อยก็จริงแต่คนจองมาก เพราะส่วนใหญ่เขาจะไม่ซื้อของคนอื่นกิน การค้าแบบนี้เป็นเหตุให้เธอเกิดความร่ำรวย ถามเธอว่า “การขายแบบนี้ได้กำไรหรือ ไม่ขาดทุนหรือ” เธอก็บอกว่า “กำไรจริงๆ เกือบ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ได้เสียค่าเช่าที่ ไม่ได้เสียค่าเช่าห้อง ตอนเช้าขายที่ท่าเรือ ตอนบ่ายหลังจากเที่ยงไปแล้วก็ขายตามโรงงาน คนงานส่วนใหญ่ก็เป็นลูก จ้างคนงานมาเพิ่ม ๓ คน จึงเป็นเหตุให้ได้เงินมาก”

ถามเธอว่า “เธอมาในกลุ่มของภาพนางยักษิณีติดตามมา เธอมีบาปอะไรหรือ” เธอก็ตอบว่า “ถ้าถามถึงบาปจริงๆ ก็มีหลายอย่าง การฆ่าสัตว์ปลาก็เคยฆ่า มดก็เคยฆ่า ยุงก็เคยฆ่า ฆ่าหลายอย่างแต่ฆ่าไม่หนักนัก ถึงอย่างนั้นก็บาป สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดที่ติดตามมาก็คือ จิตใจพอใจในปลาที่เจ้านายเขาได้มาจากเรือตังเก วันไหนถ้าเรือตังเกนำปลามาได้มาก วันนั้นดีใจมากเพราะได้แบ่งมาก วันไหนได้ปลาน้อยก็ใจเสียเพราะเขาแจกให้น้อย การที่เขาแจกปลาให้นั้นไม่ต้องมีการลงทุนในการซื้อปลา” ถามเธอว่า “การดีใจกับการไม่ดีใจ ในเมื่อเขาได้ปลามากปลาน้อยก็ไม่น่าจะเป็นบาป” เธอตอบว่า “มันต้องบาปเพราะยินดีในการหามาได้ของเขา นั่นคือการล่าชีวิตของปลามา” ก็ถามว่า “ยินดีเฉยๆ มันจะบาปได้อย่างไร”

เธอก็แสนฉลาดตอบว่า “พระคุณเจ้าคงจะลืมไปว่า คนใดที่เขาทำบุญ คนที่ไม่มีทรัพย์จะทำบุญ เขาโมทนาย่อมได้อานิสงส์พิเศษ คือพลอยได้บุญกับเขาด้วย ถ้าเจ้าของบุญเป็นเทวดาได้ คนนั้นก็เป็นเทวดาได้ เจ้าของบุญเป็นนางฟ้าได้ คนนั้นก็เป็นนางฟ้าได้ ถ้าเจ้าของบุญเป็นพระอรหันต์ได้ คนนั้นก็เป็นพระอรหันต์ได้

ตัวอย่างท่านคหบดีเจ้านายของท่านพระอนุรุทธ ลูกจ้างถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าและเจ้านายโมทนา ในชาติสุดท้ายพระอนุรุทธได้เป็นพระอรหันต์ เจ้านายซึ่งเกิดมาเป็นลูกของเพื่อนก็เป็นพระอรหันต์ด้วย เพราะอาศัยปัตตานุโมทนามัย สำหรับฉันนี่ก็โมทนากับเจ้านายเขาทุกวัน คือยินดีที่ได้ปลาทุกวัน ตัวดีใจในการทำบาปของเขา ก็พลอยมีบาปไปด้วยและบาปก็สั่งสมตัวเอง นอกจากนั้นบาปอย่างอื่นก็ยังมี ฉะนั้นบาปจึงติดตามมา” ถามเธอว่า “ในสมัยที่เป็นคนยังมีชีวิตอยู่ เธอทำบุญอะไรไว้” เธอก็ตอบว่า “เรื่องบุญนี้หาเวลาทำยาก ก็มีโอกาสบ้าง บางทีพระมาบิณฑบาตในตลาดบ้าง บางครั้งก็ได้ใส่บาตร บางครั้งก็ไม่ได้ใส่ การใส่บาตรก็ใส่ตามประเพณีมากกว่า เห็นเพื่อนเขาใส่ก็ใส่ตามเพื่อน ถ้าไม่ใส่เพื่อนเขาว่า แต่ก็ไม่ได้ใส่ทุกวัน ที่จะมีความเลื่อมใสจริงๆ ก็ยาก” ถามว่า “มีเวลาฟังเทศน์ไหม” เธอก็ตอบว่า “ไม่มีเวลาว่างฟังเทศน์”

ขอดูภาพเดิมที่เธอเป็นมนุษย์ เธอเป็นหญิงที่มีอายุมาก ร่างใหญ่ลักษณะแบนแต่ผิวขาว ดูแล้วเป็นลูกจีน ตายอายุประมาณสัก ๖๐ ปีเศษๆ นิดหน่อย ถามว่า “เธอเป็นลูกครึ่งจีนหรือ” เธอตอบว่า “พ่อแม่เป็นคนจีนทั้งสองคน” ถามว่า “การที่เธอเกิดมาเป็นนางฟ้า เพราะอาศัยบุญอะไรเป็นสำคัญ เพราะการจะเป็นนางฟ้าหรือเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้เป็นของยาก” เธอก็ตอบว่า “บุญที่สำคัญมีอยู่ ๒ อย่างคือ ถวายสังฆทานเป็นปกติ คำว่า “ปกติ” ไม่ได้หมายความว่าทำทุกวัน

ประการที่ ๒ มีพระองค์หนึ่งท่านแนะนำให้นึกถึงท่าน” ก็เลยสงสัยว่าท่านแนะนำให้นึกถึงท่านในลักษณะไหน จึงถามว่า “ขณะที่ไปหาพระในระยะที่พระให้นึกถึงท่าน เป็นสาวหรือวัยกลางคนหรือค่อนข้างแก่” เธอก็ตอบว่า “ในขณะที่ไปหาพระเวลานั้นมีอายุค่อนข้างแก่” ถามว่า “พระให้นึกถึงท่านทำไม” เธอบอกว่าการที่พระให้นึกถึงท่าน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ระยะที่เธอเป็นคนแก่ก็ลาออกจากงานจัดปลา ให้ลูกไปทำแทน ตัวเธอก็ไปจัดการควบคุมการขายข้าวแกงหาบ ไม่ยอมตั้งร้านเพราะต้องเสียภาษี มันยุ่งยากมากและต้องรอคนมาซื้อ เธอจะขายตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนเย็น จัดหาที่ตั้งเตาสำหรับอุ่นข้าวอุ่นแกง จานที่จะใส่ข้าวก็ล้างน้ำเดือดก่อนใส่อาหารให้เขา เขาก็ไว้วางใจ ถามว่า “ตอนหลังลดราคา ๑ บาทหรือเปล่า” เธอบอกว่า “การลดราคา ๑ บาท ทำได้ระยะแรก ตอนหลังเกิดอารมณ์ริษยาจากคนอื่น เขาหาว่าหักหน้าเขา เกือบจะมีเรื่องหลายครั้งเลยไม่ลด ๑ บาท แต่ให้ข้าวมากกว่าเขาแกงก็ท่วมข้าว การทำแบบนี้เป็นเหตุให้เธอมีฐานะดีขึ้น มีคนกินประจำมาก” และในระยะที่มีเรื่องวุ่นวายมากๆ มีคนเขากลั่นแกล้ง ก็พยายามหาหมอดู โดยมากหาหมอดูที่เป็นพระเพราะราคาไม่แพงจะให้เท่าไรท่านก็ไม่ว่า จะไม่ถวายเลยท่านก็ไม่ว่า ก็เลยนิยมไปหาพระหมอดูทุกอาทิตย์

การไปหาหมอดูครั้งหนึ่งมีปิ่นโตไปเถาหนึ่ง เอาแกงเอากับและขนมใส่ปิ่นโต มีข้าวหม้อสีเขียวย่อมๆ ๑ หม้อ ไปถวายพระเวลาเพล พระท่านก็ฉันหลายองค์ เวลานั้นไม่ทราบว่าเป็นสังฆทาน แต่เวลาตายแล้วได้อานิสงส์เป็นสังฆทาน” ถามเธอว่า “อานิสงส์ใหญ่จริงๆ เธอได้จากอานิสงส์สังฆทานอย่างเดียวหรือ” เพราะเห็นเธอเป็นนางฟ้าที่มีความผ่องใสมาก เธอก็บอกว่า“ไม่ใช่” เห็นภาพเจริญพระกรรมฐานด้วยคือ ทำสมาธินึกถึงพระก็เลยถามว่า “เธอปฏิบัติตามคณาจารย์ไหน” เธอก็ตอบว่า “ไม่มีคณาจารย์ เป็นแต่เพียงว่ามีพระองค์หนึ่งท่านดูหมอแม่นมาก ใช้สมาธิดู เวลาถามท่าน ท่านก็หลับตานิดหนึ่งแล้วท่านก็ตอบ ตอบทีไรถูกทุกที

ต่อมาท่านก็สั่งว่าโยมเอาอย่างนี้ก็แล้วกันเพื่อความสะดวก การที่โยมเอาอาหารมาถวายอาตมาทุกอาทิตย์ อาตมาก็ขอโมทนาด้วย ถ้าโยมมีอะไรขัดข้องเพื่อเป็นการช่วยเหลือได้ง่าย อาตมาใช้วิธีดูทางใจ โยมก็รับทางใจ ต่อไปนี้เมื่อเวลาโยมบูชาพระให้นึกถึงภาพอาตมาสักคราวละ ๒ นาทีก็พอ เพียงเท่านี้ การดูการพยากรณ์ การช่วยเหลือจะเป็นได้โดยง่ายเพราะใจตรงกัน”

เธอก็หวังแต่การให้พยากรณ์แม่น จึงนึกถึงพระองค์นั้นเป็นปกติ ท่านสั่งว่าหลังจากบูชาพระแล้วให้นึกถึงท่าน ๒ นาที แต่มันกลับนึกถึงทั้งวัน ถ้าว่างอยู่ก็นึกถึงหน้าพระองค์นั้น ลักษณะของพระองค์นั้น แต่ว่าไม่ใช่นึกถึงในด้านกามารมณ์ นึกนิยมในความแม่นยำในการดูของท่านและท่านก็ใจดี เวลาไปหาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เธอบอกว่า “อาศัยกำลังใจที่นึกถึงพระ นึกถึงแบบเบาๆ ไม่ได้นั่งขัดสมาธิกับเขา แต่ว่านึกถึงได้ทั้งวันทุกวัน พอมีเรื่องอะไรปั๊บก็นึกจะไปถามพระอย่างนี้ จิตก็นึกถึงพระทันที ท่านเป็นที่ปรึกษาที่ดี เรื่องการค้าขาย เรื่องการติดต่อการงาน ติดต่อกับคน ท่านบอกได้ถูกต้องหมด ตอนนี้จิตเธอเป็นสมาธิในสังฆานุสติกรรมฐานแบบไม่รู้ตัว”

เธอบอกว่า “จะถือว่าเป็นฌานก็ไม่ได้ กำลังใจเป็นแค่อุปจารสมาธิ เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๓ ประการ สว่างสวยงามมากเป็นที่อาศัย มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๕,๐๐๐” ถามเธอว่า “อยากจะดูวิมานของเธอได้ไหม” เธอก็ตอบว่าได้ “ได้” ก็เห็นวิมานลอยเข้ามาใกล้ๆ มีหม้อและปิ่นโตเป็นทองคำประดับเพชรแพรวพราวเป็นระยับ แขวนรอบวิมาน

ถามเธอว่า “ถวายสังฆทานกี่ครั้ง ทำไมมากขนาดนี้” เธอตอบว่า “ปริมาณของที่แขวนมีมากกว่าเวลาถวายสังฆทาน” จึงถามว่า “ในเมื่อเธอถวายไม่มากเท่านี้แต่ของแขวนมากอย่างนี้ ก็เป็นการหลอกลวงน่ะซิ” เธอก็ตอบว่า “ไม่ใช่ ให้ดูเรื่องราวของท่านลาชเทวธิดา ถวายข้าวตอกเพียงขันเดียวและครั้งเดียวแก่ท่านพระมหากัสสปและก็ตายทันที เมื่อตายจากคนก็มาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวารและรอบๆ วิมานของเธอก็มีขันทองคำเต็มไปด้วยข้าวตอกทองคำรอบวิมาน ส่วนฉันตอนแก่อายุประมาณ ๕๐ ปีก็ทำสังฆทานทุกอาทิตย์ อย่างน้อยฉันก็ถวายสังฆทานเดือนละ ๔ ครั้ง

แต่ความจริงตอนนั้นฉันไม่รู้เรื่องเลยว่าเป็นสังฆทาน คิดเพียงแต่ว่าพระท่านเป็นหมอดู เราไปให้ท่านดู ท่านไม่เคยเรียกร้องอะไรเลยแม้แต่กาแฟสัก ๑ ถ้วย ท่านก็ไม่เคยเรียก เห็นหน้าท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี ก็เลยตั้งใจถวายอาหารแก่ท่านและท่านก็ไม่ได้ฉันองค์เดียว ท่านฉันรวมกับพระ ๕ องค์บ้าง ๗ องค์บ้าง บางทีก็ถึง ๑๐ องค์ การถวายอย่างนี้เป็นสังฆทาน จึงได้มีอานิสงส์อย่างนี้

นางฟ้าปลาทู ชุดแต่งกายของเธอมีสีเหลืองเพราะจิตใจจับพระสงฆ์องค์นั้น ผ้าจีวรของท่านมีสีเหลือง เธอบอกอีกว่า “ตอนนั้นฉันไม่ทราบว่าพระองค์นั้นเป็นพระที่มีความสำคัญ” ถามเธอว่า “มีความสำคัญขั้นฌานโลกีย์หรือ” เธอตอบว่า “ไม่ใช่” ถามว่า “เป็นโลกุตตระหรือ” เธอก็ยิ้มตอบว่า “ถ้าไม่ใช่ฌานโลกีย์ก็ต้องเป็นฌานโลกุตตระ” พอจะถามต่อเธอก็สั่นหน้าบอกว่า “ห้ามถามขั้นไหนไม่บอก” ถามว่า “อยู่แถวไหน” เธอตอบว่า “ไม่บอก ตะวันออกก็ได้” ก็เลยสงสัยว่าอาจจะอยู่ทางทิศตะวันออก พระองค์นี้เป็นพระดีจริงและเป็นพระที่มีความฉลาดมาก อาตมาก็ขอโมทนาในความฉลาดของท่าน ที่ท่านเป็นหมอดูเพราะคนจะชอบหมอดู ท่านบอกให้นึกถึงท่านนี่สำคัญมาก เป็นการแนะนำที่ฉลาดให้เจริญทั้ง สังฆานุสติกรรมฐาน อย่างง่ายๆ เพราะพระท่านก็แก่แล้ว คนที่ถูกแนะนำก็แก่แล้วอย่างนี้ไม่ใช่กามารมณ์ ต้องขอชมความฉลาดและขอโมทนาในความดีของท่าน รู้สึกขอบคุณท่านที่ช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา..”


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร