วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2019, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฤษฎี เขียน:
คุณกรัชกาย ศึกษาพระธรรมโดยขาดความเคารพ เป็นโมฆะบุรุษโดยแท้

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ มีมาในมาคัณฑิยสูตร

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
“ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม
ทางมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษม”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาคัณฑิยปริพาชกได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ท่านพระ
โคดมตรัสไว้ดีแล้วว่า
‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’

ข้าพระองค์ก็ได้ฟังมาจากปริพาชกทั้งหลายในกาลก่อน ผู้เป็นอาจารย์และเป็น
ปาจารย์ผู้กล่าวว่า
‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’
ความข้อนั้นจึงสมกัน”


“มาคันทิยะ ข้อที่เธอได้ฟังมาจากปริพาชกทั้งหลาย ในกาลก่อน ผู้เป็น
อาจารย์และเป็นปาจารย์ผู้กล่าวว่า

‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’
ความไม่มีโรคนั้น เป็นอย่างไร
นิพพานนั้น เป็นอย่างไร”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ทราบว่า มาคัณฑิยปริพาชกเอาฝ่ามือ
ลูบตัวเองแล้วกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้น
คืออันนี้ บัดนี้ ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข โรคอะไรๆ มิได้เบียดเบียน
ข้าพระองค์”



พระพุทธองค์สอบถามนายมาคันทิยะว่าความไม่มีโรคนั้นเป็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไร

นายมาคันทิยะซึ่งเป็นปุถุชน ก็เห็นว่ากายของตนเป็นผู้มีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน เป็นนิพพาน

พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสต่อไป



พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “มาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนคนตาบอด
มาแต่กำเนิด เขาไม่ได้เห็นรูปสีดำ รูปสีขาว รูปสีเขียว รูปสีเหลือง รูปสีแดง รูปสีแสด
ไม่ได้เห็นที่อันเสมอและไม่เสมอ ไม่ได้เห็นดวงดาว ไม่ได้เห็นดวงจันทร์และดวง
อาทิตย์ เขาได้ฟังจากคนมีตาดีผู้กล่าวว่า ‘ท่านผู้เจริญ ผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก
ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน’

เขาจึงเที่ยวแสวงหาผ้าขาว บุรุษผู้หนึ่งเอาผ้าเนื้อหยาบเปื้อนน้ำมันมาลวงคนตาบอด
มาแต่กำเนิดนั้นว่า ‘พ่อคุณ ผ้าผืนนี้ เป็นผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาด
สะอ้าน เป็นของท่าน’

เขารับเอาผ้านั้นมาห่ม พูดออกมาด้วยความดีใจว่า ‘พ่อคุณ ผ้าขาวผ่องงดงาม
ยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้านจริงๆ’

มาคัณฑิยะ ท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร คนตาบอดมาแต่กำเนิดนั้น รู้อยู่
เห็นอยู่ จึงรับเอาผ้าเนื้อหยาบเปื้อนน้ำมันนั้นมาห่ม พลางพูดออกมาด้วยความดีใจ
ว่า ‘พ่อคุณ ผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน’ หรือว่าเปล่งวาจา
แสดงความดีใจอย่างนั้นเพราะเชื่อคนมีตาดี”

มาคัณฑิยปริพาชกทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม คนตาบอดมาแต่กำเนิดนั้น
ไม่รู้ ไม่เห็นรับเอาผ้าเนื้อหยาบที่เปื้อนน้ำมันมาห่มพลางพูดออกมาด้วยความดีใจว่า
‘พ่อคุณ ผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน’ เปล่งวาจาแสดงความ
ดีใจอย่างนั้นเพราะเชื่อคนมีตาดี”

“มาคัณฑิยะ อัญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายก็อย่างนั้นเหมือนกัน เป็นคน
ตาบอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ความไม่มีโรค ไม่เห็นนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนั้น ยังกล่าว
คาถานี้ได้ว่า
‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’


พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้ตรัสพระคาถาไว้ว่า
‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม
ทางมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษม’

บัดนี้ คาถานั้นเป็นคาถาของปุถุชนไปโดยลำดับ มาคัณฑิยะ กายนี้
เป็นดุจโรค เป็นดุจหัวฝี เป็นดุจลูกศร เป็นสิ่งคับแค้น เป็นสิ่งเบียดเบียน ท่านนั้น
กล่าวกายนี้ซึ่งเป็นดุจโรค เป็นดุจหัวฝี เป็นดุจลูกศร เป็นสิ่งคับแค้น เป็นสิ่ง
เบียดเบียนว่า ‘ท่านพระโคดม ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้นคืออันนี้ ท่านไม่
มีอริยจักขุ๑- ที่เป็นเครื่องรู้ความไม่มีโรค ที่เป็นเครื่องเห็นนิพพานได้”


“ข้าพระองค์เลื่อมใสท่านพระโคดมอย่างนี้ ท่านพระโคดมทรงสามารถแสดงธรรม
แก่ข้าพระองค์ โดยวิธีที่ข้าพระองค์จะรู้ความไม่มีโรคและเห็นพระนิพพานได้”


พระองค์กำลังตรัสสอนให้นายมาคันทิยะรู้จักความไม่มีโรคและนิพพานที่แท้จริง


เปรียบการแสดงธรรมกับการรักษาคนตาบอด

“มาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนคนตาบอดมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้เห็นรูป
สีดำ รูปสีขาว รูปสีเขียว รูปสีเหลือง รูปสีแดง รูปสีแสด ไม่ได้เห็นที่อันเสมอและ
ไม่เสมอ ไม่ได้เห็นดวงดาว ไม่ได้เห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ มิตร อำมาตย์
ญาติสาโลหิตของเขา ได้เชิญแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดมารักษา แพทย์ผู้ชำนาญนั้น
ได้ประกอบยารักษาให้ เขาอาศัยยานั้นแต่ก็เห็นไม่ได้ ทำตาให้ใสไม่ได้ ท่านเข้าใจความ
ข้อนั้นว่าอย่างไร แพทย์ผู้นั้นต้องมีส่วนแห่งความลำบาก ความคับแค้นมิใช่หรือ”

“ใช่ ท่านพระโคดม”

“มาคัณฑิยะ เราก็อย่างนั้นเหมือนกัน หากจะพึงแสดงธรรมแก่ท่านว่า
‘ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้นคืออันนี้’ ท่านนั้นยังไม่รู้ความไม่มีโรค ยังไม่
เห็นนิพพาน มีแต่ทำให้เราเหน็ดเหนื่อยเปล่า ลำบากเปล่า”

“ข้าพระองค์เลื่อมใสท่านพระโคดมอย่างนี้ ท่านพระโคดมทรงสามารถแสดงธรรม
แก่ข้าพระองค์ โดยวิธีที่ข้าพระองค์จะรู้ความไม่มีโรค และเห็นพระนิพพานได้”

“มาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนคนตาบอดมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้เห็นรูป
สีดำ รูปสีขาว รูปสีเขียว รูปสีเหลือง รูปสีแดง รูปสีแสด ไม่ได้เห็นที่อันเสมอและ
ไม่เสมอ ไม่ได้เห็นดวงดาว ไม่ได้เห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ แต่เขาได้ฟังจากคน
ตาดีผู้กล่าวว่า ‘พ่อคุณ ผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน’

คนตาบอดมาแต่กำเนิดนั้นเที่ยวแสวงหาผ้าขาว ชายคนหนึ่งเอาผ้าเนื้อหยาบ
เปื้อนน้ำมันมาลวงเขาว่า ‘พ่อคุณ ผ้าผืนนี้ขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาด
สะอ้าน เป็นของท่าน’

เขารับผ้านั้นมาห่ม มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของเขาเชิญแพทย์ผู้ชำนาญ
การผ่าตัดมารักษา แพทย์ผู้ชำนาญนั้นทำยาถอนให้ ทำยาถ่าย ยาหยอด ยาป้าย
และยานัตถุ์ให้ เขาอาศัยยานั้นจึงเห็นได้ ทำตาให้ใสได้ พร้อมกับมีตาดีขึ้น เขาย่อม
ละความพอใจและความยินดีในผ้าเนื้อหยาบเปื้อนน้ำมันผืนโน้น เขาจะพึงเบียดเบียน
บุรุษที่ลวงตนนั้น โดยความเป็นศัตรูเป็นข้าศึก และจะพึงสำคัญว่าควรปลงชีวิตบุรุษ
ที่ลวงตนนั้นด้วยความแค้นว่า ‘เราถูกบุรุษผู้นี้ล่อลวงให้หลงผิดด้วยผ้าเนื้อหยาบ
เปื้อนน้ำมันว่า ‘พ่อคุณ ผ้าผืนนี้ขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน
เป็นของท่าน’ แม้ฉันใด

มาคัณฑิยะ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน หากจะพึงแสดงธรรมแก่ท่านว่า ‘ความ
ไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้นคือนี้’ ท่านนั้นจะพึงรู้ความไม่มีโรค จะพึงเห็น
นิพพานได้ ท่านก็จะละความพอใจและความยินดีในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ
พร้อมกับเกิดดวงตาคือปัญญาขึ้น อนึ่ง ท่านจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ
เราถูกจิตนี้ล่อลวงให้หลงผิดมานานแล้ว เราเมื่อยึดมั่นก็ยึดมั่นเฉพาะรูป เฉพาะ
เวทนา เฉพาะสัญญา เฉพาะสังขาร และเฉพาะวิญญาณเท่านั้น เพราะอุปาทาน
เป็นปัจจัย ภพจึงมีแก่เรา เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงมี ความเกิดแห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้”


“ข้าพระองค์เลื่อมใสท่านพระโคดมอย่างนี้ ท่านพระโคดมทรงสามารถแสดง
ธรรมแก่ข้าพระองค์ โดยวิธีที่ข้าพระองค์จะไม่เป็นคนตาบอดลุกขึ้นจากอาสนะนี้ได้”

“มาคัณฑิยะ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงคบสัตบุรุษ เพราะเมื่อใดท่านคบ
สัตบุรุษ เมื่อนั้นท่านจะได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ เมื่อใดท่านได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ
เมื่อนั้นท่านก็จักปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เมื่อใดท่านปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
เมื่อนั้นท่านก็จักรู้เอง เห็นเองว่า ‘โรค ฝี ลูกศร คืออันนี้ โรค ฝี ลูกศร จะดับ
ไปได้โดยไม่เหลือในที่นี้ เพราะอุปาทานของเรานั้นดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ
ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
จึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้”


.....................................................................................
.................................................................................
.............................................................................

โรคที่พระพุทธองค์หมายถึงในพุทธอุทานนี้ก็คือกองทุกข์นั่นเอง คืออุปาทานขันธ์ ๕ โดยย่อ
ไม่ได้หมายถึงโรคกายดังปาจารย์และอาจารย์ที่นายมาคันทิยะได้ฟังมา ซึ่งเป็นความเห็นที่ผิวเผินมาก
ใครใครก็รู้ว่ามีโรคกาย นายมาคันทิยถูกปาจารย์เหล่านั้นหลอก เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่รู้จักพระนิพพานที่เป็นจริงแต่ยังกล่าวคำนี้ออกมาได้ว่า

‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’

แล้วนายมาคันที่ยะ ก็เข้าใจผิด ว่า กายนี้ของตนมีสุขภาพดี ร่างกายไม่มีโรคภัยเบียดเบียนเป็น ลาภอันประเสริฐ เป็นนิพพาน

นี่คือถูกหลอก และเห็นผิด

เพราะอะไร เพราะ ต่อให้ไม่มีโรคเบียดเบียนอย่างนั้น มีสุขภาพดีอย่างนั้นก็เป็นทุกข์ ยังเปรียบดังเป็นโรคอยู่

Quote Tipitaka:
เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในกาย ในสมาบัตินั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็น
ดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของมิใช่ตัวตน.


เมื่อพิจารณาเบญจขันธ์โดยความเป็นโรค เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์ไม่มีโรค

พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นแพทย์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่ท่านไปรักษาโรคกายอะไรๆ อย่างแพทย์ทั่วไป แต่พระองค์ทรงประทานธรรม ที่เป็นธรรมโอสถที่ช่วยรักษาโรคของสัตว์ คือกองแห่งทุกข์ และถึงซึ่งสภาพที่ไม่มีโรคจริงๆ คือพระนิพพาน

“ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม
ทางมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษม”

ในพุทธอุทานนี้พระองค์ทรงแสดง

ความดับทุกข์คือพระนิพพาน
และทางที่ให้ถึงนิพพาน คืออริยมรรคมีองค์ ๘


:b1: คุณปฤษฎีที่เคารพ ไม่เคารพยังไง แล้วมันจริงไหมล่ะที่กรัชกายยกมา "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" ฮง ไหนลองว่ามาสิ ไม่เคารพยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2019, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:

คริคริ

จำความไม่เข้าใจไม่ได้ ไงคะ

tongue


ดูหลักหน่อย

นิโรธ ความดับทุกข์ คือ ดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึงพระนิพพาน

นิโรธสัญญา ความสำคัญหมายในนิโรธ คือ กำหนดหมายการดับตัณหาอันเป็นอริยผลว่า เป็นธรรมละเอียดประณีต

นิโรธสมาบัติ การเข้านิโรธ คือ ดับสัญญาความจำได้หมายรู้ และเวทนาการเสวยอารมณ์ เรียกเต็มว่า เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ, พระอรหันต์และพระอนาคามีที่ได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงจะเข้านิโรธสมาบัติได้ (ข้อ ๙ ในอนุปุพพวิหาร ๙)

เมื่อนำหลักมาแบแล้ว ก็ยิ่งสมกับคำว่ามโนยิ่งขึ้นไปอีก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2019, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:

คริคริ

จำความไม่เข้าใจไม่ได้ ไงคะ

tongue


ดูหลักหน่อย

นิโรธ ความดับทุกข์ คือ ดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึงพระนิพพาน

นิโรธสัญญา ความสำคัญหมายในนิโรธ คือ กำหนดหมายการดับตัณหาอันเป็นอริยผลว่า เป็นธรรมละเอียดประณีต

นิโรธสมาบัติ การเข้านิโรธ คือ ดับสัญญาความจำได้หมายรู้ และเวทนาการเสวยอารมณ์ เรียกเต็มว่า เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ, พระอรหันต์และพระอนาคามีที่ได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงจะเข้านิโรธสมาบัติได้ (ข้อ ๙ ในอนุปุพพวิหาร ๙)

เมื่อนำหลักมาแบแล้ว ก็ยิ่งสมกับคำว่ามโนยิ่งขึ้นไปอีก :b1:

คริคริ

ลุงกรัชกาย
อ่านพระธรรมไม่แตก ไม่รู้จักมโนซะแหล่ว ว่ามโน มีค่าปานใด

"มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ"

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2019, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:

คริคริ

จำความไม่เข้าใจไม่ได้ ไงคะ

tongue


ดูหลักหน่อย

นิโรธ ความดับทุกข์ คือ ดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึงพระนิพพาน

นิโรธสัญญา ความสำคัญหมายในนิโรธ คือ กำหนดหมายการดับตัณหาอันเป็นอริยผลว่า เป็นธรรมละเอียดประณีต

นิโรธสมาบัติ การเข้านิโรธ คือ ดับสัญญาความจำได้หมายรู้ และเวทนาการเสวยอารมณ์ เรียกเต็มว่า เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ, พระอรหันต์และพระอนาคามีที่ได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงจะเข้านิโรธสมาบัติได้ (ข้อ ๙ ในอนุปุพพวิหาร ๙)

เมื่อนำหลักมาแบแล้ว ก็ยิ่งสมกับคำว่ามโนยิ่งขึ้นไปอีก :b1:

คริคริ

ลุงกรัชกาย
อ่านพระธรรมไม่แตก ไม่รู้จักมโนซะแหล่ว ว่ามโน มีค่าปานใด

"มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ"

tongue



มโนปุพฺพงฺคมา เป็นต้นนี้ มโนตัวนี้หมายถึงใจ แต่มโนที่ลุงพูดนั้นเป็นมโนเพ้อเจ้อเพ้อฝันไป คนละมโนกัล :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2019, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:

คริคริ

จำความไม่เข้าใจไม่ได้ ไงคะ

tongue


ดูหลักหน่อย

นิโรธ ความดับทุกข์ คือ ดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึงพระนิพพาน

นิโรธสัญญา ความสำคัญหมายในนิโรธ คือ กำหนดหมายการดับตัณหาอันเป็นอริยผลว่า เป็นธรรมละเอียดประณีต

นิโรธสมาบัติ การเข้านิโรธ คือ ดับสัญญาความจำได้หมายรู้ และเวทนาการเสวยอารมณ์ เรียกเต็มว่า เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ, พระอรหันต์และพระอนาคามีที่ได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงจะเข้านิโรธสมาบัติได้ (ข้อ ๙ ในอนุปุพพวิหาร ๙)

เมื่อนำหลักมาแบแล้ว ก็ยิ่งสมกับคำว่ามโนยิ่งขึ้นไปอีก :b1:

คริคริ

ลุงกรัชกาย
อ่านพระธรรมไม่แตก ไม่รู้จักมโนซะแหล่ว ว่ามโน มีค่าปานใด

"มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ"

tongue



มโนปุพฺพงฺคมา เป็นต้นนี้ มโนตัวนี้หมายถึงใจ แต่มโนที่ลุงพูดนั้นเป็นมโนเพ้อเจ้อเพ้อฝันไป คนละมโนกัล :b1:

คริคริ

ก็มโนของลุง ไม่ตรงกะมโนของพระพุทธเจ้าไงค๊ะ
นี่น๊า ข้อเสีย
เพ้อเจ้อเพ้อฝันไปเอง ว่ามโนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ทั้งๆที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปฤษฎี เขียน:
คุณกรัชกาย ศึกษาพระธรรมโดยขาดความเคารพ เป็นโมฆะบุรุษโดยแท้

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ มีมาในมาคัณฑิยสูตร

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า
“ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม
ทางมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษม”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว มาคัณฑิยปริพาชกได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏ ท่านพระ
โคดมตรัสไว้ดีแล้วว่า
‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’

ข้าพระองค์ก็ได้ฟังมาจากปริพาชกทั้งหลายในกาลก่อน ผู้เป็นอาจารย์และเป็น
ปาจารย์ผู้กล่าวว่า
‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’
ความข้อนั้นจึงสมกัน”


“มาคันทิยะ ข้อที่เธอได้ฟังมาจากปริพาชกทั้งหลาย ในกาลก่อน ผู้เป็น
อาจารย์และเป็นปาจารย์ผู้กล่าวว่า

‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’
ความไม่มีโรคนั้น เป็นอย่างไร
นิพพานนั้น เป็นอย่างไร”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ทราบว่า มาคัณฑิยปริพาชกเอาฝ่ามือ
ลูบตัวเองแล้วกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้น
คืออันนี้ บัดนี้ ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข โรคอะไรๆ มิได้เบียดเบียน
ข้าพระองค์”



พระพุทธองค์สอบถามนายมาคันทิยะว่าความไม่มีโรคนั้นเป็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไร

นายมาคันทิยะซึ่งเป็นปุถุชน ก็เห็นว่ากายของตนเป็นผู้มีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน เป็นนิพพาน

พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสต่อไป



พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “มาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนคนตาบอด
มาแต่กำเนิด เขาไม่ได้เห็นรูปสีดำ รูปสีขาว รูปสีเขียว รูปสีเหลือง รูปสีแดง รูปสีแสด
ไม่ได้เห็นที่อันเสมอและไม่เสมอ ไม่ได้เห็นดวงดาว ไม่ได้เห็นดวงจันทร์และดวง
อาทิตย์ เขาได้ฟังจากคนมีตาดีผู้กล่าวว่า ‘ท่านผู้เจริญ ผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก
ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน’

เขาจึงเที่ยวแสวงหาผ้าขาว บุรุษผู้หนึ่งเอาผ้าเนื้อหยาบเปื้อนน้ำมันมาลวงคนตาบอด
มาแต่กำเนิดนั้นว่า ‘พ่อคุณ ผ้าผืนนี้ เป็นผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาด
สะอ้าน เป็นของท่าน’

เขารับเอาผ้านั้นมาห่ม พูดออกมาด้วยความดีใจว่า ‘พ่อคุณ ผ้าขาวผ่องงดงาม
ยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้านจริงๆ’

มาคัณฑิยะ ท่านเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร คนตาบอดมาแต่กำเนิดนั้น รู้อยู่
เห็นอยู่ จึงรับเอาผ้าเนื้อหยาบเปื้อนน้ำมันนั้นมาห่ม พลางพูดออกมาด้วยความดีใจ
ว่า ‘พ่อคุณ ผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน’ หรือว่าเปล่งวาจา
แสดงความดีใจอย่างนั้นเพราะเชื่อคนมีตาดี”

มาคัณฑิยปริพาชกทูลตอบว่า “ท่านพระโคดม คนตาบอดมาแต่กำเนิดนั้น
ไม่รู้ ไม่เห็นรับเอาผ้าเนื้อหยาบที่เปื้อนน้ำมันมาห่มพลางพูดออกมาด้วยความดีใจว่า
‘พ่อคุณ ผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน’ เปล่งวาจาแสดงความ
ดีใจอย่างนั้นเพราะเชื่อคนมีตาดี”

“มาคัณฑิยะ อัญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายก็อย่างนั้นเหมือนกัน เป็นคน
ตาบอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ความไม่มีโรค ไม่เห็นนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนั้น ยังกล่าว
คาถานี้ได้ว่า
‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’


พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้ตรัสพระคาถาไว้ว่า
‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม
ทางมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษม’

บัดนี้ คาถานั้นเป็นคาถาของปุถุชนไปโดยลำดับ มาคัณฑิยะ กายนี้
เป็นดุจโรค เป็นดุจหัวฝี เป็นดุจลูกศร เป็นสิ่งคับแค้น เป็นสิ่งเบียดเบียน ท่านนั้น
กล่าวกายนี้ซึ่งเป็นดุจโรค เป็นดุจหัวฝี เป็นดุจลูกศร เป็นสิ่งคับแค้น เป็นสิ่ง
เบียดเบียนว่า ‘ท่านพระโคดม ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้นคืออันนี้ ท่านไม่
มีอริยจักขุ๑- ที่เป็นเครื่องรู้ความไม่มีโรค ที่เป็นเครื่องเห็นนิพพานได้”


“ข้าพระองค์เลื่อมใสท่านพระโคดมอย่างนี้ ท่านพระโคดมทรงสามารถแสดงธรรม
แก่ข้าพระองค์ โดยวิธีที่ข้าพระองค์จะรู้ความไม่มีโรคและเห็นพระนิพพานได้”


พระองค์กำลังตรัสสอนให้นายมาคันทิยะรู้จักความไม่มีโรคและนิพพานที่แท้จริง


เปรียบการแสดงธรรมกับการรักษาคนตาบอด

“มาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนคนตาบอดมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้เห็นรูป
สีดำ รูปสีขาว รูปสีเขียว รูปสีเหลือง รูปสีแดง รูปสีแสด ไม่ได้เห็นที่อันเสมอและ
ไม่เสมอ ไม่ได้เห็นดวงดาว ไม่ได้เห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ มิตร อำมาตย์
ญาติสาโลหิตของเขา ได้เชิญแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดมารักษา แพทย์ผู้ชำนาญนั้น
ได้ประกอบยารักษาให้ เขาอาศัยยานั้นแต่ก็เห็นไม่ได้ ทำตาให้ใสไม่ได้ ท่านเข้าใจความ
ข้อนั้นว่าอย่างไร แพทย์ผู้นั้นต้องมีส่วนแห่งความลำบาก ความคับแค้นมิใช่หรือ”

“ใช่ ท่านพระโคดม”

“มาคัณฑิยะ เราก็อย่างนั้นเหมือนกัน หากจะพึงแสดงธรรมแก่ท่านว่า
‘ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้นคืออันนี้’ ท่านนั้นยังไม่รู้ความไม่มีโรค ยังไม่
เห็นนิพพาน มีแต่ทำให้เราเหน็ดเหนื่อยเปล่า ลำบากเปล่า”

“ข้าพระองค์เลื่อมใสท่านพระโคดมอย่างนี้ ท่านพระโคดมทรงสามารถแสดงธรรม
แก่ข้าพระองค์ โดยวิธีที่ข้าพระองค์จะรู้ความไม่มีโรค และเห็นพระนิพพานได้”

“มาคัณฑิยะ เปรียบเหมือนคนตาบอดมาแต่กำเนิด เขาไม่ได้เห็นรูป
สีดำ รูปสีขาว รูปสีเขียว รูปสีเหลือง รูปสีแดง รูปสีแสด ไม่ได้เห็นที่อันเสมอและ
ไม่เสมอ ไม่ได้เห็นดวงดาว ไม่ได้เห็นดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ แต่เขาได้ฟังจากคน
ตาดีผู้กล่าวว่า ‘พ่อคุณ ผ้าขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน’

คนตาบอดมาแต่กำเนิดนั้นเที่ยวแสวงหาผ้าขาว ชายคนหนึ่งเอาผ้าเนื้อหยาบ
เปื้อนน้ำมันมาลวงเขาว่า ‘พ่อคุณ ผ้าผืนนี้ขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาด
สะอ้าน เป็นของท่าน’

เขารับผ้านั้นมาห่ม มิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตของเขาเชิญแพทย์ผู้ชำนาญ
การผ่าตัดมารักษา แพทย์ผู้ชำนาญนั้นทำยาถอนให้ ทำยาถ่าย ยาหยอด ยาป้าย
และยานัตถุ์ให้ เขาอาศัยยานั้นจึงเห็นได้ ทำตาให้ใสได้ พร้อมกับมีตาดีขึ้น เขาย่อม
ละความพอใจและความยินดีในผ้าเนื้อหยาบเปื้อนน้ำมันผืนโน้น เขาจะพึงเบียดเบียน
บุรุษที่ลวงตนนั้น โดยความเป็นศัตรูเป็นข้าศึก และจะพึงสำคัญว่าควรปลงชีวิตบุรุษ
ที่ลวงตนนั้นด้วยความแค้นว่า ‘เราถูกบุรุษผู้นี้ล่อลวงให้หลงผิดด้วยผ้าเนื้อหยาบ
เปื้อนน้ำมันว่า ‘พ่อคุณ ผ้าผืนนี้ขาวผ่องงดงามยิ่งนัก ไม่สกปรก สะอาดสะอ้าน
เป็นของท่าน’ แม้ฉันใด

มาคัณฑิยะ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน หากจะพึงแสดงธรรมแก่ท่านว่า ‘ความ
ไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้นคือนี้’ ท่านนั้นจะพึงรู้ความไม่มีโรค จะพึงเห็น
นิพพานได้ ท่านก็จะละความพอใจและความยินดีในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ
พร้อมกับเกิดดวงตาคือปัญญาขึ้น อนึ่ง ท่านจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เจริญ
เราถูกจิตนี้ล่อลวงให้หลงผิดมานานแล้ว เราเมื่อยึดมั่นก็ยึดมั่นเฉพาะรูป เฉพาะ
เวทนา เฉพาะสัญญา เฉพาะสังขาร และเฉพาะวิญญาณเท่านั้น เพราะอุปาทาน
เป็นปัจจัย ภพจึงมีแก่เรา เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงมี ความเกิดแห่งกองทุกข์
ทั้งสิ้นนี้ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้”


“ข้าพระองค์เลื่อมใสท่านพระโคดมอย่างนี้ ท่านพระโคดมทรงสามารถแสดง
ธรรมแก่ข้าพระองค์ โดยวิธีที่ข้าพระองค์จะไม่เป็นคนตาบอดลุกขึ้นจากอาสนะนี้ได้”

“มาคัณฑิยะ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงคบสัตบุรุษ เพราะเมื่อใดท่านคบ
สัตบุรุษ เมื่อนั้นท่านจะได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ เมื่อใดท่านได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ
เมื่อนั้นท่านก็จักปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เมื่อใดท่านปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
เมื่อนั้นท่านก็จักรู้เอง เห็นเองว่า ‘โรค ฝี ลูกศร คืออันนี้ โรค ฝี ลูกศร จะดับ
ไปได้โดยไม่เหลือในที่นี้ เพราะอุปาทานของเรานั้นดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ
ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
จึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้”


.....................................................................................
.................................................................................
.............................................................................

โรคที่พระพุทธองค์หมายถึงในพุทธอุทานนี้ก็คือกองทุกข์นั่นเอง คืออุปาทานขันธ์ ๕ โดยย่อ
ไม่ได้หมายถึงโรคกายดังปาจารย์และอาจารย์ที่นายมาคันทิยะได้ฟังมา ซึ่งเป็นความเห็นที่ผิวเผินมาก
ใครใครก็รู้ว่ามีโรคกาย นายมาคันทิยถูกปาจารย์เหล่านั้นหลอก เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่รู้จักพระนิพพานที่เป็นจริงแต่ยังกล่าวคำนี้ออกมาได้ว่า

‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’

แล้วนายมาคันที่ยะ ก็เข้าใจผิด ว่า กายนี้ของตนมีสุขภาพดี ร่างกายไม่มีโรคภัยเบียดเบียนเป็น ลาภอันประเสริฐ เป็นนิพพาน

นี่คือถูกหลอก และเห็นผิด

เพราะอะไร เพราะ ต่อให้ไม่มีโรคเบียดเบียนอย่างนั้น มีสุขภาพดีอย่างนั้นก็เป็นทุกข์ ยังเปรียบดังเป็นโรคอยู่

Quote Tipitaka:
เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในกาย ในสมาบัตินั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็น
ดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ
เป็นของมิใช่ตัวตน.


เมื่อพิจารณาเบญจขันธ์โดยความเป็นโรค เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์ไม่มีโรค

พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นแพทย์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่ท่านไปรักษาโรคกายอะไรๆ อย่างแพทย์ทั่วไป แต่พระองค์ทรงประทานธรรม ที่เป็นธรรมโอสถที่ช่วยรักษาโรคของสัตว์ คือกองแห่งทุกข์ และถึงซึ่งสภาพที่ไม่มีโรคจริงๆ คือพระนิพพาน

“ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม
ทางมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษม”

ในพุทธอุทานนี้พระองค์ทรงแสดง

ความดับทุกข์คือพระนิพพาน
และทางที่ให้ถึงนิพพาน คืออริยมรรคมีองค์ ๘


:b1: คุณปฤษฎีที่เคารพ ไม่เคารพยังไง แล้วมันจริงไหมล่ะที่กรัชกายยกมา "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" ฮง ไหนลองว่ามาสิ ไม่เคารพยังไง



คุณปฤษฎีซุ่มเงียบอีก

คุณปฤษฎี คุณเคยเจ็บเคยป่วยไหม :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’

ความไม่มีโรคนั้น เป็นอย่างไร นิพพานนั้น เป็นอย่างไร”

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ทราบว่า มาคัณฑิยปริพาชกเอาฝ่ามือ
ลูบตัวเองแล้วกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม ความไม่มีโรคนั้นคืออันนี้ นิพพานนั้น
คืออันนี้ บัดนี้ ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่มีโรค มีความสุข โรคอะไรๆ มิได้เบียดเบียน
ข้าพระองค์”


พระพุทธองค์สอบถาม นายมาคันทิยะว่าความไม่มีโรคนั้นเป็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไร

นายมาคันทิยะซึ่งเป็นปุถุชน ก็เห็นว่ากายของตนเป็นผู้มีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน



จะพูดให้คุณปฤษฎีเถียง เอาตรงประเด็นหลักนี่

‘ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ. นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง’

ที่ยกมานั่นแบ่งเป็นสองตอน (สองบาท) บาทแรกโรคทางกาย. บาทหลังโรคทางจิต

คือว่า ขณะที่พระพุทธเจ้าสนทนากับนายมาคันทิยะนั้น ร่างกายของมาคันทิยะปกติดีไม่เจ็บป่วยไม่อาพาธ

พระพุทธเจ้าก็ไม่พูดเรื่องเจ็บป่วยทางกาย พลิกพูดเรื่องการเจ็บป่วยทางจิตโดยยกนิพพานมาอธิบายไป นี่คือการแสดงธรรมให้เหมาะกับบุคคลนั้นๆ

เมื่อกรัชกายว่ายังงี้แล้ว คุณจะแย้งว่ายังไง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"ภิกษุทั้งหลาย โรคมีอยู่ ๒ ชนิด ดังนี้ คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ สัตว์ทั้งหลาย ที่ยืนยันได้ว่า ตนไม่มีโรคทางกายเลยตลอดเวลาทั้งปี ก็มีปรากฏอยู่ ผู้ที่ยืนยันได้ว่า ตน ไม่มีโรคทางกายเลยตลอดเวลา ๒ ปี...๓ ปี...๔ ปี...๕ ปี...๑๐ ปี...๒๐ ปี...๓๐ ปี...๔๐ ปี...๕๐ ปี...๑๐๐ ปี ก็มีปรากฏอยู่ แต่สัตว์ ที่ยืนยันได้ว่า ตนไม่มีโรคทางใจเลย แม้ชั่วเวลาเพียงครู่หนึ่งนั้น หาได้ยากในโลก ยกเว้นแต่พระขีณาสพทั้งหลาย" (องฺ.จตุกฺก.21/157/191)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่เป็นการสนทนากันระหว่างพระสารีบุตร กับ คหบดีผู้ชรา (นกุลบิดา) คือว่า คหบดีไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วพระองค์พูดให้กำลังใจแล้วมาเล่าให้พระสารีบุตรฟัง เอาเฉพาะคำพูดของคหบดีมา

คฤหบดี: พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ชราแล้ว เป็นคนแก่เฒ่า ล่วงกาลผ่านวัยมานาน ร่างกายก็มีโรครุมเร้า เจ็บป่วยอยู่เนืองๆ
อนึ่งเล่า ข้าพระองค์มิได้มีโอกาสเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า และพระภิกษุทั้งหลาย ผู้ช่วยให้เจริญใจอยู่เป็นนิตย์ ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดประทานโอวาทสั่งสอนข้าพระองค์ ในข้อธรรมที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ชั่วกาลนาน

พระพุทธเจ้า: ถูกแล้ว ท่านคฤหบดี เป็นเช่นนั้น อันร่างกายนี้ ย่อมมีโรครุมเร้า ดุจดังว่าฟองไข่ ซึ่งผิวเปลือกห่อหุ้มไว้ ก็ผู้ใด ที่บริหารร่างกายนี้อยู่ จะยืนยันว่าตนไม่มีโรคเลย แม้ชั่วครู่หนึ่ง จะมีอะไรเล่านอกจากความเขลา เพราะเหตุฉะนั้นแล ท่านคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกว่า ถึงแม้ กายของเราจะมีโรครุมเร้า แต่ใจของเราจักไม่มีโรครุมเร้าเลย”

พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลั่งอมฤตรดข้าพเจ้า ด้วยธรรมีกถา ดังนี้แล.(สํ.ข.17/2/2)

อย่างว่า คนสูงอายุน๊อ เจ็บป่วยออดๆแอดๆ ปวดหลัง ปวดเข่า เป็นไข้เป็นหนาว นี่ก็ปลายฝนต้นหนาวแล้วดูแลสุขภาพกัน จะลุกทีก็โอย จะนั่งทีก็โอย :b13: ก็ไปเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระพุทธพลิกคำสอนอีก โดยบอกว่า แม้ร่างกายของเราจะเจ็บป่วยออดแอด แต่ว่าอย่าให้จิตใจเจ็บออดๆแอดๆไปด้วย นี่คือการพูดแสดงธรรมของพระสัพพัญญู เพื่อให้เหมาะกับผู้ฟังคนนั้นๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2019, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ป่วยกาย แต่ก็โยงไปถึงจิตใจด้วย เพราะกายใจสัมพันธ์กัน

อ้างคำพูด:
ชายวัย 16 ป่วยโรคตุ่มน้ำพอง สุดทรมานพูดไม่ได้ – ย่ารับชีวิตจน ไร้เงินซื้อยาดีรักษา

ซึ่งป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน หรือ โรคเพมฟิกัส ขณะนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งเปล่งเสียงหรือขยับปากได้ลำบาก ได้แต่เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาว่าเจ็บ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2019, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ป่วยกาย แต่ก็โยงไปถึงจิตใจด้วย เพราะกายใจสัมพันธ์กัน

อ้างคำพูด:
ชายวัย 16 ป่วยโรคตุ่มน้ำพอง สุดทรมานพูดไม่ได้ – ย่ารับชีวิตจน ไร้เงินซื้อยาดีรักษา

ซึ่งป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน หรือ โรคเพมฟิกัส ขณะนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งเปล่งเสียงหรือขยับปากได้ลำบาก ได้แต่เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาว่าเจ็บ

สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา

สังขาราปะระมาทุกขา

สังขาร เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

cry


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2019, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ป่วยกาย แต่ก็โยงไปถึงจิตใจด้วย เพราะกายใจสัมพันธ์กัน

อ้างคำพูด:
ชายวัย 16 ป่วยโรคตุ่มน้ำพอง สุดทรมานพูดไม่ได้ – ย่ารับชีวิตจน ไร้เงินซื้อยาดีรักษา

ซึ่งป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน หรือ โรคเพมฟิกัส ขณะนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งเปล่งเสียงหรือขยับปากได้ลำบาก ได้แต่เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาว่าเจ็บ

สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา

สังขาราปะระมาทุกขา

สังขาร เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

cry


เป็นเรื่องของสังขารเรื่องของธรรมชาติมัน แต่ใจอย่าไปทุกข์กับมัน นั่นแหละทางแห่งความพ้นทุกข์ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2019, 01:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ป่วยกาย แต่ก็โยงไปถึงจิตใจด้วย เพราะกายใจสัมพันธ์กัน

อ้างคำพูด:
ชายวัย 16 ป่วยโรคตุ่มน้ำพอง สุดทรมานพูดไม่ได้ – ย่ารับชีวิตจน ไร้เงินซื้อยาดีรักษา

ซึ่งป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน หรือ โรคเพมฟิกัส ขณะนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งเปล่งเสียงหรือขยับปากได้ลำบาก ได้แต่เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาว่าเจ็บ

สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา

สังขาราปะระมาทุกขา

สังขาร เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

cry


เป็นเรื่องของสังขารเรื่องของธรรมชาติมัน แต่ใจอย่าไปทุกข์กับมัน นั่นแหละทางแห่งความพ้นทุกข์ :b1:

คริคริ

พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้ติดอยู่กะธรรมชาติของสิ่งทั้งปวงน้อคะ
ใจอย่า นี่มันเป็นเจตสิกเป็นสังขารแท้ๆ

cry


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2019, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ป่วยกาย แต่ก็โยงไปถึงจิตใจด้วย เพราะกายใจสัมพันธ์กัน

อ้างคำพูด:
ชายวัย 16 ป่วยโรคตุ่มน้ำพอง สุดทรมานพูดไม่ได้ – ย่ารับชีวิตจน ไร้เงินซื้อยาดีรักษา

ซึ่งป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน หรือ โรคเพมฟิกัส ขณะนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งเปล่งเสียงหรือขยับปากได้ลำบาก ได้แต่เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาว่าเจ็บ

สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา

สังขาราปะระมาทุกขา

สังขาร เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

cry


เป็นเรื่องของสังขารเรื่องของธรรมชาติมัน แต่ใจอย่าไปทุกข์กับมัน นั่นแหละทางแห่งความพ้นทุกข์ :b1:

คริคริ

พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้ติดอยู่กะธรรมชาติของสิ่งทั้งปวงน้อคะ
ใจอย่า นี่มันเป็นเจตสิกเป็นสังขารแท้ๆ

cry


สังขารคือร่างกายนี้ มันจะเจ็บจะทุกข์อย่างไร แต่ใจไม่ทุกข์กับมัน คือ ใจเป็นอิสระน่ะ ดังที่พระพุทธเจ้าสอนนกุลบิดานั่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2019, 01:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ป่วยกาย แต่ก็โยงไปถึงจิตใจด้วย เพราะกายใจสัมพันธ์กัน

อ้างคำพูด:
ชายวัย 16 ป่วยโรคตุ่มน้ำพอง สุดทรมานพูดไม่ได้ – ย่ารับชีวิตจน ไร้เงินซื้อยาดีรักษา

ซึ่งป่วยเป็นโรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน หรือ โรคเพมฟิกัส ขณะนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งเปล่งเสียงหรือขยับปากได้ลำบาก ได้แต่เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาว่าเจ็บ

สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา

สังขาราปะระมาทุกขา

สังขาร เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

cry


เป็นเรื่องของสังขารเรื่องของธรรมชาติมัน แต่ใจอย่าไปทุกข์กับมัน นั่นแหละทางแห่งความพ้นทุกข์ :b1:

คริคริ

พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้ติดอยู่กะธรรมชาติของสิ่งทั้งปวงน้อคะ
ใจอย่า นี่มันเป็นเจตสิกเป็นสังขารแท้ๆ

cry


สังขารคือร่างกายนี้ มันจะเจ็บจะทุกข์อย่างไร แต่ใจไม่ทุกข์กับมัน คือ ใจเป็นอิสระน่ะ ดังที่พระพุทธเจ้าสอนนกุลบิดานั่น

คริคริ

สังขารคือ สิ่งปรุงแต่ง น้อค่ะ

ใจปรุงแต่งว่าอิสระ

cry


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 134 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 29 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร