วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2019, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะประมวลพระไตรปิฎกมาลงให้พอเห็นแนวทาง

อ้างคำพูด:

Rosarin

ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีเดี๋ยวนี้
และไม่มีตัวตนใครทั้งนั้นมีแต่ทุกขอริยสัจจะธัมมะ
คือเดี๋ยวนี้เองที่ไม่รู้ว่าไม่มีตัวตนมีแต่ธัมมะที่กำลังปรากฏว่ามีชั่วคราว
ตรง1 สัจจะหลากหลายตามเหตุปัจจัย ตามการสะสมของจิต เป็นตัวจริงธัมมะ ตรงกับทุกคำในพระไตรปิฎก
ก็มันมีแล้วไม่ได้ทำตัวจริงธัมมะที่เป็นทุกขอริยสัจจะธัมมะมีแต่คิดเห็นผิดด้วยความมีตัวตนไปทำลืมฟังงัยคะ
ตัวจริงธัมมะที่เป็นทุกขะลักษณะกำลังเกิดดับตามปกติเป็นปกติและไม่อยู่นอกกายทุกคนทุกตนทุกสัตว์ค่ะ
สถานที่ไม่รู้อะไรเลยแต่ความไม่รู้มีที่จิตทุกดวงที่ไม่ได้กำลังระลึกถึงความจริงตรงตามคำสอนตรงกับปัจจุบัน
ผิดปกติแล้วที่ยังคิดว่าต้องเอาตัวตนไปทำด้วยความอยากรู้งัยคะลืมว่าปัญญาเริ่มเกิดเมื่อเริ่มฟังคำสอนนะคะ
https://youtu.be/9qsbfIX0sUM


อ้างคำพูด:

เอางี้นะคำสอนคือสัจจะตรงปัจจุบัน
ปัจจุบันขณะคือขณะที่ไม่รู้ความจริง
จะรู้ว่าสัจจะของความไม่รู้ที่มีต่างๆกันไป
ตามการสะสมของจิต 89-121 ประเภท ฟังให้เก็ต
เดี๋ยวนี้เลยค่ะทุกคนกำลังมีจิตสะสมทีละ 1 ประเภทฟังให้รู้ค่ะ

ตัวเองต้องรู้1ประเภทของจิตที่ตนเองกำลังเป็นตรงจริงคือรู้ตรงทีละ1ทาง
ไม่รู้=ไม่รู้...เข้าใจไหมคะว่า...พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกคำที่ทุกคนกำลังเป็นแบบนั้น
คิดไม่ตรงสัจจะที่ตัวเองกำลังมีแล้วเอาอะไรไปภาวนาถูกตามคำสอนบอกให้ฟังก่อนงัยคะ
https://youtu.be/eGXafWe278w

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2019, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือเล่มนี้


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2019, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บทนำ

@ พระพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา

ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องพระไตรปิฎกต่อไป เราจำต้องแยกให้ออกระหว่างปรัชญา กับ ศาสนา

ปรัชญาเป็นเรื่องของการคิดหาเหตุผลเป็นสำคัญ และถกเถียงกันในเรื่องเหตุผลนั้น เพื่อสันนิษฐานความจริง เรื่องที่ถกเถียง หรือคิดหานั้น อาจไม่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่ เช่น นักปรัชญาอาจจะถกเถียงกันว่า จักรวาลเกิดขึ้นเมื่อไร และจะไปสิ้นสุดเมื่อไร โลกจะแตกเมื่อไร ชีวิตเกิดขึ้นเมื่อไร เป็นต้น และนักปรัชญาก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามหลักการอะไร หรือแม้แต่ให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตนคิด เขาคิดหาเหตุผลหาความจริงของเขาไป โดยที่ว่าชีวิตส่วนตัวอาจจะเป็นไปในทางที่ตรงข้ามก็ได้ เช่น นักปรัชญาบางคนอาจจะเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย บางคนสำมะเลเทเมา บางคนมีทุกข์จนกระทั่งฆ่าตัวตาย

แต่ศาสนาเป็นเรื่องของการปฏิบัติ เรื่องของการดำเนินชีวิต หรือการนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง การปฏิบัตินั้นต้องมีหลักการที่แน่นอน อย่างใดอย่างหนึ่งที่ยอมรับว่าเป็นจริง โดยมีจุดหมายที่แสดงไว้อย่างชัดเจนด้วย

เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติคือศาสนิกชน เริ่มต้นก็ต้องยอมรับที่จะปฏิบัติตามหลักการของศาสนานั้น ตามที่ องค์พระศาสดาได้แสดงไว้ ซึ่งเราเรียกว่า คำสอน ด้วยเหตุนี้ศาสนิกจึงมุ่งไปที่ตัวคำสอนของพระศาสดา ซึ่งรวบรวม และรักษาสืบทอดกันมาในสิ่งที่เรียกว่า คัมภีร์

เมื่อมองในแงนี้ พระพุทธศาสนาจึงมิใช่เป็นปรัชญา แต่เป็นศาสนา มีสมณโคดมเป็นพระศาสดา ซึ่งชาวพุทธทุกคนเชื่อในการตรัสรู้ของพระองค์ สอนวิธีดำเนินชีวิตที่เมื่อถึงที่สุดแล้วจะนำไปสู่เป้าหมายคือการหลุดพ้นจากความทุกข์
คัมภีร์ขนาดใหญ่ที่บรรจุหลักคำสอน เรียกว่า พระไตรปิฎก ชาวพุทธที่แท้จะต้องปฏิบัติตามคำสอนให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากพระศาสนามากที่สุด และเพื่อเป็นหลักประกันวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็จำเป็นต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องพระไตรปิฎก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2019, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติธรรม การดำเนินชีวิตตามธรรม หรือ การนำธรรมะมาใช้ในการดำเนินชีวิต

ปรัชญา (ปฺรัตยา) น. วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้ และความจริง (ส.)


รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2019, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ พระพุทธพจน์: แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

คำว่า พระพุทธศาสนา ว่าโดยทั่วไป มีความหมายกว้างมาก รวมตั้งแต่หลักธรรม พระสงฆ์ องค์กร สถาบัน กิจการ ไปจนถึงศาสนสถาน และ ศาสนวัตถุ ทุกอย่าง แต่ถ้าจะเจาะลงไปให้ถึงความหมายแท้ที่เป็นตัวจริง พระพุทธศาสนาก็มีความหมายตรงไปตรงมา ตามคำแปลโดยพยัญชนะ ของคำว่า พระพุทธศาสนานั้นเองว่า “คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า” นี่คือตัวแท้ตัวจริงของพระพุทธศาสนา สิ่งอื่นนอกจากนั้นเป็นส่วนขยายออก หรืองอกขึ้นมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น

เมื่อจับหมายที่เป็นตัวแท้ได้แล้ว ก็จะมองเห็นว่า ความดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนา หมายถึงความคงอยู่แห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า หากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเลือนรางหายไป แม้จะมีบุคคล ก็ไม่อาจถือว่ามีพระพุทธศาสนา แต่ในทางตรงข้าม แม้ว่าสิ่งที่เป็นรูปธรรมภายนอกดังกล่าวจะสูญหาย ถ้าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ คนก็ยังรู้จักพระพุทธศาสนาได้ ด้วยเหตุนี้ การดำรงรักษาพระพุทธศาสนาที่แท้จริง จึงหมายถึงการดำรงรักษาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

กล่าวให้เฉพาะลงไปอีก คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ก็ได้แก่พุทธพจน์หรือพระดำรัสของพระพุทธเจ้านั่นเอง ดังนั้น ว่าโดยสาระ การดำรงรักษาพระพุทธศาสนา จึงหมายถึงการดำรงรักษาพระพุทธพจน์

อนึ่ง พระพุทธพจน์นั้น เป็นพระดำรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงธรรมและบัญญัติวินัยไว้ ก่อนพุทธปรินิพพานไม่นาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองว่าจะไม่ตั้งพระภิกษุองค์ใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ เมื่อพระองค์ปรินิพพานล่วงลับไป แต่ได้ทรงมอบหมายให้ชาวพุทธได้รู้กันว่า พระธรรมวินัยนั้นแหละเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ชาวพุทธจำนวนมากถึงกับจำพุทธพจน์ภาษาบาลีได้ว่า

โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา

“ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยกาลที่เราล่วงลับไป”

โดยนัยนี้ พระพุทธพจน์ จึงเป็นทั้งพระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่ธำรงสถิตพระศาสดา โดยทรงไว้และประกาศพระธรรมวินัยแทนพระพุทธองค์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2019, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คคห. บน สังเกตความหมายคำว่า พระพุทธศาสนาทั้งสองนัย คือ นัยกว้าง และนัยเฉพาะตัว

ว่าโดยนัยกว้างแล้ว นี่ก็พระพุทธศาสนา :b12:

รูปภาพ

ที่คุณโรสว่า วัตถุ จะสร้างวัตถุทำไม แค่พูด วัต คำเดียว จิตเกิดดับแสนล้านโกฎิขณะ สัจจะธัมม์คำจริงของตถาคต อดีตดับไปแล้วไม่กลับมาเกิดอีกแล้วจะทำอะไรได้ ชีวิตมีเพียงแค่ขณะจิตเดียว อะไรก็ว่าไป :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2019, 07:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ พระไตรปิฎก: ข้อควรรู้เบื้องต้น


คัมภีร์ที่บรรจุพุทธพจน์ คือ พระธรรมวินัย มีชื่อที่ชาวตะวันตกรู้จักกันโดยทั่วไปว่า Pali Canon หรือ Buddhist Canon ทั้งนี้ ก็เพราะว่า เป็นที่ประมวลหลักการพื้นฐานของศาสนา (=Canon) ซึ่งในที่นี้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา (= Buddhist) และข้อความในคัมภีร์นี้บันทึกด้วยภาษาบาลี (Pali) แต่คำบาลีที่เรียก พระไตรปิฎก ก็คือ ติปิฎก จากคำว่า ติ "สาม" + ปิฎก "ตำรา, คัมภีร์, หรือ กระจาด (อันเป็นภาชนะบรรจุของ)" ซึ่งตามตัวอักษรใช้ หมายถึงคำสอนหมวดใหญ่ ๓ หมวด คือ


พระวินัยปิฎก ได้แก่ ประมวลระเบียบข้อบังคับของบรรพชิตที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้สำหรับภิกษุ และภิกษุณี


พระสุตตันตปิฎก ได้แก่ ประมวลพระสูตรหรือคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยักเยื้องไปต่างๆ ให้เหมาะกับบุคคล สถานที่ เหตุการณ์ มีเรื่องราวประกอบ


พระอภิธรรมปิฎก ได้แก่ ประมวลคำสอนที่เป็นเนื้อหาหรือหลักวิชาล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคล หรือ เหตุการณ์ ไม่มีเรื่องราวประกอบ


อันที่จริง พระไตรปิฎกมิใช่คัมภีร์เพียงเล่มเดียว แต่เป็นคัมภีร์ชุดใหญ่ที่มีเนื้อหาถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ฉบับพิมพ์ด้วยอักษรไทยนิยมจัดแบ่งเป็น ๔๕ เล่ม เพื่อหมายถึงระยะเวลา ๔๕ พรรษาแห่งพุทธกิจ นับรวมได้ถึง ๒๒,๓๗๙ หน้า (ฉบับสยามรัฐ) หรือ เป็นตัวอักษรประมาณ ๒๔,๓๐๐,๐๐๐ ตัว แต่ละปิฎกมีการจัดแบ่งหมวดหมู่บทตอน ซอยออกไปมากมายซับซ้อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2019, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool
จะแอบอ้างเอาคำของตถาคตไปใช้
อ้างเพื่อพูดให้คนอื่นเข้าใจผิดก็บาป
ไม่บอกตรงความจริงให้คนอื่นรู้ตาม
แสดงว่าทำการหลอกลวงมุสาวาทะ
พระพุทธเจ้าบอกให้เข้าใจถูกตาม
ถ้าชวนคนอื่นทำผิดคิดผิดเป็นบาป
ทำให้ผู้อื่นหลงผิดคิดผิดทำผิดค่ะ
เช่นชวนคนถวายเงินให้บรรพชิต
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่คิดเอง
ต้องอาศัยคนอื่นบอกให้คิดตามถึงรู้
จะคิดเองเออเองต่อไปก็จะไม่รู้ต่อไป
:b32:
:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2019, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
cool
จะแอบอ้างเอาคำของตถาคตไปใช้
อ้างเพื่อพูดให้คนอื่นเข้าใจผิดก็บาป
ไม่บอกตรงความจริงให้คนอื่นรู้ตาม
แสดงว่าทำการหลอกลวงมุสาวาทะ
พระพุทธเจ้าบอกให้เข้าใจถูกตาม
ถ้าชวนคนอื่นทำผิดคิดผิดเป็นบาป
ทำให้ผู้อื่นหลงผิดคิดผิดทำผิดค่ะ
เช่นชวนคนถวายเงินให้บรรพชิต
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่คิดเอง
ต้องอาศัยคนอื่นบอกให้คิดตามถึงรู้
จะคิดเองเออเองต่อไปก็จะไม่รู้ต่อไป
:b32:
:b9: :b9:


สรุปอีกที คือ พูดหลายหนแล้วว่า สำนักนั้น กับ คุณโรสเสียเวลาเปล่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2019, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
cool
จะแอบอ้างเอาคำของตถาคตไปใช้
อ้างเพื่อพูดให้คนอื่นเข้าใจผิดก็บาป
ไม่บอกตรงความจริงให้คนอื่นรู้ตาม
แสดงว่าทำการหลอกลวงมุสาวาทะ
พระพุทธเจ้าบอกให้เข้าใจถูกตาม
ถ้าชวนคนอื่นทำผิดคิดผิดเป็นบาป
ทำให้ผู้อื่นหลงผิดคิดผิดทำผิดค่ะ
เช่นชวนคนถวายเงินให้บรรพชิต
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่คิดเอง
ต้องอาศัยคนอื่นบอกให้คิดตามถึงรู้
จะคิดเองเออเองต่อไปก็จะไม่รู้ต่อไป
:b32:
:b9: :b9:


สรุปอีกที คือ พูดหลายหนแล้วว่า สำนักนั้น กับ คุณโรสเสียเวลาเปล่า

cool
คิดไม่ตรงจึงไร้สาระและไม่ได้สาระจากคำสอนของพระพุทธเจ้า
กิเลสนอนอยู่ในจิตตัวเองรอไหลไปตามการลืมตาเห็นบอกไม่ฟัง
ตัวตนก็มีแล้วกิเลสก็เต็มบอกให้ลืมตาดูและใช้หูฟังความจริง
ตามปกติเป็นปกติที่ไม่รู้ว่าตัวตนไม่มีมีแต่อุปาทานในขันธ์5
ยึดถือขันธ์ที่กำลังเกิดดับเป็นตัวเองคิดพูดทำสิ่งต่างๆอยู่
จนกว่าจะเริ่มต้นฟังคำสอนเข้าใจความจริงตรงปัจจุบัน
เออปัจจุบันของตัวเองละตัวตนไม่ได้เพราะไม่ฟังงัย
บอกว่าให้เริ่มฟังผู้ที่กล่าวตรงปัจจุบันให้เข้าใจตาม
จะได้รู้สึกตัวว่ากำลังเห็นผิดคิดผิดพูดผิดอยู่ค่ะ
ผู้ที่กล่าวความจริงถ้าไม่เข้าใจก็กล่าวไม่ได้
บอกว่าฟังเพื่อคิดตามให้ตรงกายใจที่มีอยู่
เดี๋ยวนี้มีครบแล้วจิตเจตสิกรูปนิพพาน
เป็นอริยสัจจะตามที่ตถาคตตรัสรู้
ตัวเองไม่รู้ไม่เข้าใจก็บอกว่าฟัง
จนกว่าจะเป็นผู้คิดตามได้ตรง
ทางหนึ่งทางใดใน6ทางที่มี
เดี๋ยวนี้ไม่มีตัวตนใครเลย
มีแต่จิต89-121ประเภท
เกิดดับทีละ1ขณะค่ะ
หลากหลายมีแล้ว
กำลังเกิดดับ555
ตามเหตุปัจจัยที่มีแล้ว
:b1:
จิตมี4ชาติคือ
1ขณะจิตที่เป็นชาติกุศล
1ขณะจิตที่เป็นชาติอกุศล
1ขณะจิตที่เป็นชาติวิบาก
1ขณะจิตที่เป็นชาติกิริยา
ทั้ง4ชาติข้างบนปุถุชนมีครบทั้ง4ชาติตรงชาติไหนต้องรู้
ผู้รู้นิพพานแล้วและยังไม่ตายเหลือ2ชาติคือวิบากกับกิริยา...ก็ตัวเองไม่รู้คือมีกิเลสโรสมาบอกให้ฟังงัยคะ
ถ้าปรินิพพานแล้วก็คือนิพพานดับทั้ง4ชาติไม่เกิดอีกแล้วคือพระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ที่ไม่มีกายเนื้อแล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทั้งหมดนั้นแล้วกล่าวไว้ละเอียดในพระไตรปิฎกและทรงปรินิพพานไปแล้ว
ยังเหลือแต่พระธรรมคำสอนที่เปลี่ยนแปลงคำต่างๆไม่ได้...สนใจฟังความจริงบ้างไหม
https://youtu.be/SviiMVHV7IQ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2019, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ :b32:

@ ความสำคัญของพระไตรปิฎก

ความสำคัญของพระไตรปิฎก ต่อการธำรงรักษาพระศาสนานั้น เราจะเข้าใจได้ชัดยิ่งขึ้นเมื่อมองเห็นความสัมพันธ์ของพระไตรปิฎก กับ ส่วนอื่นๆของพระพุทธศาสนา


@ พระไตรปิฎกกับพระรัตนตรัย


เหตุผลหลักที่พระไตรปิฎกมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ เป็นที่รักษาพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นสรณะของชาวพุทธทุกคนเช่นกัน ดังนี้


๑.พระไตรปิฎกเป็นที่สถิตของพระพุทธเจ้า อย่างที่ได้บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว ในแง่นี้ ชาวพุทธจึงยังคงสามารถเข้าเฝ้าพระศาสดาในพระไตรปิฎกได้ แม้พระองค์จะล่วงลับไปกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้วก็ตาม


๒.พระไตรปิฎกทำหน้าที่ของพระธรรม เรารู้จักพระธรรมวินัย คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก พระธรรมวินัยนั้น เราเรียกสั้นๆว่า พระธรรม เวลาเราจะแสดงอะไรเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรม เราก็มักใช้พระไตรปิฎกเป็นเครื่องหมายของพระธรรม


๓. พระไตรปิฎกเป็นที่รองรับพระสงฆ์ พระสงฆ์นั้นเกิดจากพุทธบัญญัติในพระไตรปิฎก หมายความว่า พระภิกษุทั้งหลายที่รวมเป็นภิกขุสังฆะ คือ ภิกษุสงฆ์นั้น บวชขึ้นมาและอยู่ได้ด้วยพระวินัย


วินัยปิฎกเป็นที่บรรจุไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ กติกา ที่รักษาไว้ซึ่งภิกขุสังฆะ ส่วนสังฆะนั้นก็ทำหน้าที่เป็นผู้ที่จะรักษาสืบทอดพระศาสนา สังฆะจึงผูกพันเนื่องอยู่ด้วยกันกับพระไตรปิฎก

รวมความว่า พระรัตนตรัย ต้องอาศัยพระไตรปิฎกเป็นที่ปรากฏตัวแก่ประชาชาวโลก เริ่มตั้งแต่พุทธศาสนิกชนเป็นต้นไป พระไตรปิฎก จึงมีความสำคัญในฐานะเป็นที่ปรากฏของพระรัตนตรัย ดังนั้น การธำรงพระไตรปิฎกจึงเป็นการธำรงไว้ซึ่งพระรัตนตรัย ซึ่งก็คือการธำรงรักษาพระพุทธศาสนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2019, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสำคัญของพระไตรปิฎกต่อการธำรงรักษาพระศาสนานั้น เราจะเข้าใจได้ชัดยิ่งขึ้นเมื่อมองเห็นความสัมพันธ์ของพระไตรปิฎก กับ ส่วนอื่นๆของพระพุทธศาสนา


@พระไตรปิฎก กับ พุทธบริษัท ๔

พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า พระองค์จะปรินิพพานต่อเมื่อพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายทั้งปวง คือ พระภิกษุ ทั้งเถระ ทั้งมัชฌิมะ ทั้งนวกะ ภิกษุณีก็เช่นเดียวกัน พร้อมทั้งอุบาสก อุบาสิกา ทั้งที่ถือพรหมจรรย์ และที่เป็นผู้ครองเรือนทั้งหมด ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้ คือ

๑. ต้องเป็นผู้มีความรู้ เข้าใจหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าได้ดีและประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องตามคำสอน

๒. นอกจากรู้เข้าใจเอง และปฏิบัติได้ดีแล้ว ยังสามารถบอกกล่าวแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้ด้วย

๓. เมื่อมีปรัปวาทเกิดขึ้น คือ คำจ้วงจาบสอนคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนจากพระธรรมวินัย ก็สามารถชี้แจงแก้ไขได้ด้วย

ตอนที่พระองค์จะปรินิพพานนั้น มารก็มากราบทูลว่า เวลานี้พุทธบริษัท ๔ มีคุณสมบัติพร้อมอย่างที่พระองค์ได้ตรัสเหมือนกับเป็นเงื่อนไขไว้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นอย่างนั้น จึงทรงรับที่จะปรินิพพานโดยปลงพระชนมายุสังขาร

พุทธดำรัสนี้ ก็เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ แต่ต้องมองให้ตลอดด้วยว่า ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัทที่เป็นอย่างไร

ชาวพุทธจะเป็นผู้มีคุณสมบัติถูกต้องที่จรรโลงพระศาสนาไว้ ก็เริ่มด้วยมีคัมภีร์ที่จะให้เรียนรู้เข้าใจพระธรรมวินัยอันเป็นของแท้ก่อน

เป็นอันว่า ในแง่นี้พระไตรปิฎกก็เป็นหลักของพุทธบริษัท ต้องอยู่คู่กับพุทธบริษัท โดยเป็นฐานให้แก่พุทธบริษัท ซึ่งจะทำให้ชาวพุทธเป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้

สองฝ่ายนี้ คือ ตัวคนที่จะรักษาพระศาสนา กับ ตัวพระศาสนาที่จะต้องรักษา ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน พระศาสนาจะดำรงอยู่และจะเกิดผลประโยชน์ ก็ต้องมาปรากฏที่ตัวพุทธบริษัท ๔ ต้องอาศัยพุทธบริษัท ๔ เป็นที่รักษาไว้ พร้อมกันนั้นในเวลาเดียวกัน พุทธบริษัท ๔ จะมีความหมายเป็นพุทธบริษัทขึ้นมาได้ และจะได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนาก็เพราะมีธรรมวินัยที่รักษาไว้ในพระไตรปิฎกเป็นหลักอยู่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2019, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสำคัญของพระไตรปิฎกต่อการธำรงรักษาพระศาสนานั้น เราจะเข้าใจได้ชัดยิ่งขึ้นเมื่อมองเห็นความสัมพันธ์ของพระไตรปิฎก กับ ส่วนอื่นๆของพระพุทธศาสนา


@ พระไตรปิฎก กับ พระสัทธรรม ๓


อีกแง่หนึ่ง พระพุทธศาสนานี้ ตัวแท้ตัวจริงถ้าสรุปง่ายๆ ก็เป็น ๓ ดังนี้ เรียกว่าเป็น สัทธรรม ๓ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ

ปริยัติ ก็คือ พุทธพจน์ที่เรานำมาเล่าเรียน ซึ่งอยู่ในพระไตรปิฎก ถ้าไม่มีพระไตรปิฎก พุทธพจน์ก็ไม่สามารถมาถึงเราได้ เราอาจกล่าวได้ว่า ปริยัติเป็นผลจากปฏิเวธ และเป็นฐานของการปฏิบัติ



พระพุทธเจ้าเมื่อทรงบรรลุผลการปฏิบัติของพระองค์แล้ว จึงทรงนำประสบการณ์ที่เป็นผลจากการปฏิบัติของพระองค์นั้นมาเรียบเรียงร้อยกรองสั่งสอนพวกเรา คือ ทรงสั่งสอนพระธรรมและวินัยไว้ คำสั่งสอนของพระองค์นั้นก็มาเป็นปริยัติของเรา คือ เป็นสิ่งที่เราจะต้องเล่าเรียน แต่ปริยัติที่เป็นผลจากปฏิเวธนั้น หมายถึงปฏิเวธของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ คือ ผลการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า และที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับเท่านั้น ไม่เอาผลการปฏิบัติของโยคี ฤๅษี ดาบส นักพรต ชีไพร อาจารย์ เจ้าลัทธิ หรือศาสดาอื่นใด


ถ้าไม่ได้เล่าเรียนปริยัติ ไม่รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติของเราก็เขว ก็ผิด ก็เฉไฉ ออกนอกพระพุทธศาสนา ถ้าปฏิบัติผิด ก็ได้ผลที่ผิด หลอกตัวเองด้วยสิ่งที่พบซึ่งตนหลงเข้าใจผิด ปฏิเวธก็เกิดขึ้นไม่ได้


ถ้าไม่มีปริยัติเป็นฐาน ปฏิบัติและปฏิเวธก็พลาดหมด เป็นอันว่าล้มเหลวไปด้วยกัน

พูดง่ายๆว่า จากปฏิเวธของพระพุทธเจ้า ก็มาเป็นปริยัติของเรา แล้วเราก็ปฏิบัติตามปริยัตินั้น เมื่อปฏิบัติถูกต้อง ก็บรรลุปฏิเวธอย่างพระพุทธเจ้า ถ้าวงจรนี้ยังดำเนินไป พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ยังคงอยู่

ปริยัติที่มาจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้า และเป็นฐานแห่งการปฏิบัติของพวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี้แหละ

ฉะนั้น มองในแง่นี้ ก็ได้ความหมายว่า ถ้าเราจะรักษาปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธไว้ ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกนั่นเอง

ตกลงว่า ในความหมายที่จัดแบ่งตัวพระศาสนาเป็นสัทธรรม ๓ หรือ บางทีแยกเป็นศาสนา ๒ คือ ปริยัติศาสนา กับ ปฏิเวธศาสนา นั้น รวมความก็อยู่ที่พระไตรปิฎกเป็นฐาน จึงต้องรักษาพระไตรปิฎกไว้ เมื่อรักษาพระไตรปิฎกไว้ ก็รักษาพระพุทธศาสนาได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2019, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสำคัญของพระไตรปิฎกต่อการธำรงรักษาพระศาสนานั้น เราจะเข้าใจได้ชัดยิ่งขึ้นเมื่อมองเห็นความสัมพันธ์ของพระไตรปิฎก กับ ส่วนอื่นๆของพระพุทธศาสนา



@พระไตรปิฎก กับ ไตรสิกขา


อีกแง่หนึ่ง เราอาจมองลึกลงไปถึงชั้นที่เอาพระพุทธศาสนาเป็นเนื้อเป็นตัวของเรา หรือเป็นชีวิตของแต่ละคน


พระพุทธศาสนาในความหมายที่เป็นแก่นสารแท้ๆ ก็คือผลที่เกิดขึ้นเป็นความดี เป็นความเจริญก้าวหน้างอกงามขึ้น หรือเป็นการพัฒนาขึ้นของไตรสิกขา


พระพุทธศาสนาชนิดที่เป็นเนื้อเป็นตัวเป็นชีวิตของเรานี้ ก็ต้องอาศัยพระไตรปิฎกอีกเช่นกัน เพราะว่าพระพุทธศาสนาในความหมายนี้ หมายถึงการที่สามารถละ โลภะ โทสะ โมหะ ได้ การที่จะละ โลภะ โทสะ โมหะ ได้ ก็ด้วยการปฏิบัติตาม ศีล สมาธิ ปัญญา


อนึ่ง ในการจัดระเบียบหมวดหมู่คำสอนเป็นพระไตรปิฎก ตามที่นิยมสืบกันมา จะนำแต่ละปิฎกไปเชื่อมโยงสัมพันธ์ กับ ไตรสิกขาแต่ละข้อ ดังนี้


@พระวินัยปิฎก เป็นแหล่งที่รวมศีลของพระสงฆ์ พระวินัยปิฎกจึงถือเป็นเรื่องวินัยหรือเรื่องศีล คือ การฝึกหัดพัฒนาพฤติกรรมที่แสดงออกทางกาย และวาจา


@ พระสุตตันตปิฎก ความจริงมีครบหมด ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ท่านชี้ให้เห็นจุดเด่นของพระสุตตันตปิฎกว่าเน้นหนักในสมาธิ คือ การพัฒนาด้านจิตใจ


@ พระอภิธรรมปิฎก เน้นหนักด้านปัญญา พูดอย่างปัจจุบันว่าเป็นเนื้อหาทางวิชาการล้วนๆ ยกเอาสภาวธรรมที่ละเอียดประณีตลึกซึ้งขึ้นมาวิเคราะห์วิจัย จึงเป็นเรื่องของปัญญา ต้องใช้ปรีชาญาณอันลึกซึ้ง

ถ้าใครปฏิบัติตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก ชีวิตของผู้นั้นจะกลายเป็นเหมือนตัวพระพุทธศาสนาเอง เหมือนดังว่าเรารักษาพระพุทธศาสนาไว้ด้วยชีวิตของเรา ตราบใดชีวิตเรายังอยู่ พระพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่ เราอยู่ไหน เราเดินไปไหน พระพุทธศาสนาก็อยู่ที่นั่นและก้าวไปถึงนั่น


อย่างนี้ เรียกว่า พระพุทธศาสนาอยู่ด้วยวิธีการรักษาอย่างสูงสุด พูดได้ว่า พระไตรปิฎกเข้ามาอยู่ในเนื้อตัวของตนแล้ว ไม่ใช่อยู่แค่เป็นตัวหนังสือ

แต่ก่อนจะมาอยู่ในตัวคนได้ ก็ต้องมีคัมภีร์พระไตรปิฎกนี้เป็นแหล่งบรรจุรักษาไว้ แม้แต่เราจะปฏิบัติให้สูงขึ้นไป เราก็ต้องไปปรึกษาพระอาจารย์ที่เรียนมาจากพระไตรปิฎก หรือ จากอาจารย์ที่เรียนต่อมาจากอาจารย์รุ่นก่อนที่เรียนมาจากพระไตรปิฎก ซึ่งอาจจะถ่ายต่อกันมาหลายสิบทอด ถ้าเราอ่านภาษาบาลีได้ ก็ไปค้นพระไตรปิฎกเอง ถ้าไม่ได้ ก็ไปถามพระอาจารย์ผู้รู้ให้ท่านช่วยค้นให้ เมื่อค้นได้ความรู้ในหลักคำสอนมาแล้ว เราก็สามารถปฏิบัติถูกต้อง ให้เจริญงอกงามใน ศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งๆขึ้นไป

สรุปว่า เราชาวพุทธอิงอาศัยพระไตรปิฎกโดยตรง ด้วยการนำหลักคำสอนมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตจริง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2019, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แทรก ความคิดความเห็นเรื่องพระไตรปิฎกคุณโรส


อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเป็นเอนกปริยาย
ให้ทุกคนที่กำลังฟังเข้าใจความจริงถูกตรงตามได้
กำลังฟังคำของพระองค์อยู่รึเปล่าล่ะเราน่ะ
เรานั่นแหละทำอะไรอยู่ถึงไม่เริ่มต้นฟัง
ทุกวินาทีที่มีอยู่เดี๋ยวนี้คือจิตขณะใหม่
จะไปไหนไปทำอะไรเพราะอยากไป
มีตัวตนไปแสวงหาด้วยความไม่รู้
แล้วเมื่อไหร่จะมีตถาคตเป็นที่พึ่ง
คำของตถาคตคือคำสอน
ไม่ใช่คนสัตว์วัตถุ
เอาแต่เรี่ยไรเงิน
เมื่อไหร่จะฟัง
จะได้ฉลาดรู้
ไม่ใช่ไปทำตามๆกัน ไม่มีกาลามสูตรสิบ
ทุกคำในพระไตรปิฎกคือปัจจุบันธรรม

viewtopic.php?f=1&t=57621&p=454159#p454159


คุณโรสว่า

อ้างคำพูด:
ทุกคำในพระไตรปิฎกคือปัจจุบันธรรม


ทุกคำในพระไตรปิฎก คือ ปัจจุบันธรรม :b32: แม้แต่เรื่องกาล อดีต ปัจจุบัน อนาคต คุณโรสยังไม่เข้าใจ สรุปก็คือนึกอะไรได้ก็เว้าไปเรื่อยๆ ไม่มีหลักมีเกณฑ์อะไรยึดถือ พูดภาษามวย เรียกว่า มวยไม่มีครู

จบข่าว.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 19 ธ.ค. 2019, 17:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร