วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2019, 05:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังคายนา: การซักซ้อมทบทวนพุทธพจน์

@ การสังคายนา คือ อะไร

ในเมื่อการดำรงรักษาพระพุทธพจน์เป็นสาระของการดำรงรักษาพระพุทธศาสนาอย่างนี้ จึงถือเป็นความจำเป็นและสำคัญสูงสุดในพระพุทธศาสนา ที่จะดำรงรักษาพระพุทธพจน์

ดังนั้น ความพยายามรักษาพระพุทธพจน์จึงมีตลอดมา ตั้งแต่พุทธกาล คือ ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่


ตอนนั้น ก็ปลายพุทธกาลแล้ว นิครนถนาฎบุตรผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนได้สิ้นชีพลง สาวกของท่านไม่ได้รวบรวมคำสอนไว้ และไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ชัดเจน ปรากฏว่าเมื่อศาสดาของศาสนาเชนสิ้นชีวิตไปแล้ว สาวกลูกศิษย์ลูกหาก็แตกแยกทะเลาะวิวาทกันว่า ศาสดาของตนสอนว่าอย่างไร

ครั้งนั้น ท่านพระจุนทเถระได้นำข่าวนี้มากราบทูลแด่พระพุทธเจ้า และพระองค์ได้ตรัสแนะนำใหพระสงค์ทั้งปวงร่วมกันสังคายนาธรรมทั้งหลายไว้เพื่อให้พระศาสนาดำรงอยู่ยั่งยืนเพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน


เวลานั้น พระสารีบุตรอัครสาวกยังมีชีวิตอยู่ คราวหนึ่งท่านปรารภเรื่องนี้แล้วก็กล่าวว่า ปัญหาาของศาสนาเชนนั้นเกิดขึ้นเพราะว่าไม่ได้รวบรวมร้อยกรองคำสอนไว้ เพราะฉะนั้น พระสาวกทั้งหลายทั้งปวงของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ควรจะได้ทำการสังคายนา คือรวบรวมร้อยกรองประมวลคำสอนของพระองค์ไว้ให้เป็นหลัก เป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวกัน


เมื่อปรารภเช่นนี้แล้ว พระสารีบุตรได้แสดงวิธีการสังคายนาไว้เป็นตัวอย่าง เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าซึ่งมีมีพระสงฆ์ประชุมเฝ้าพร้อมอยู่ โดยท่านได้รวบรวมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นข้อธรรมต่างๆ มาแสดงตามลำดับหมวด ตั้งแต่หมวดหนึ่ง ไปจนถึงหมวดสิบ เมื่อพระสารีบุตรแสดงจบแล้ว
พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานสาธุการ หลักธรรมที่พระสารีบุตรได้แสดงไว้นี้ จัดเป็นพระสูตรหนึ่ง เรียกว่า สังคีติสูตร แปลง่ายๆ ว่า "พระสูตรว่าด้วยการสังคายนา หรือ สังคีติ" มีมาในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย

วิธีรักษาพระพุทธพจน์ ก็คือการรวบรวมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ แล้วจัดหมวดหมู่ให้กำหนดจดจำได้ง่าย และซักซ้อมทบทวนกันจนลงตัว แล้วสวดสาธยายพร้อมกันแสดงความยอมรับเป็นแบบแผนเพื่อทรงจำสืบต่อกันมา วิธีนี้ เรียกว่า สังคายนา หรือ สังคีติ ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า การสวดพร้อมกัน (จาก สํ พร้อมกัน + คายน หรือ คีติ การสวด)


คำว่า สังคายนา เวลาแปลเป็นภาษาอังกฤษ มีใช้หลายคำ คือ rehearsal บ้าง communal recital บ้าง และ communal recitation บ้าง บางทีก็ไปเทียบกับแนวคิดแบบตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มักเรียกการสังคายนาเป็น Buddhist Council ในทางกลับกัน คำว่า Council (เช่น Vatican Council ในศาสนาคริสต์) เราก็แปลว่า สังคายนา ความหมายของทั้งสองคำนี้เทียบกันได้ในบางแง่ แต่ที่จริงไม่เหมือนกันเลย

การประชุม Council ของศาสนาคริสต์ เป็นการมาตกลงกันในเรื่องข้อขัดแย้งด้านหลักคำสอน และแม้กระทั่งกำหนดหลักความเชื่อและวางนโยบายในการเผยแผ่ศาสนาของเขา
แต่การสังคายนาในพระพุทธศาสนา เป็นการรักษาคำสอนเดิมของพระพุทธเจ้าไว้ให้แม่นยำที่สุด ไม่ให้ใครมาเที่ยวแก้ไขให้คลาดเคลื่อนหรือตัดแต่งต่อเติมตามใจชอบ เราเพียงมาตรวจทาน มาซักซ้อมทบทวนกัน ใครที่เชื่อถือหรือสั่งสอนคลาดเคลื่อน หรือผิดแผกไป ก็มาปรับให้ตรงตามของแท้แต่เดิม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2019, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สังคายนา: การซักซ้อมทบทวนพุทธพจน์

@ การสังคายนา คือ อะไร

ในเมื่อการดำรงรักษาพระพุทธพจน์เป็นสาระของการดำรงรักษาพระพุทธศาสนาอย่างนี้ จึงถือเป็นความจำเป็นและสำคัญสูงสุดในพระพุทธศาสนา ที่จะดำรงรักษาพระพุทธพจน์

ดังนั้น ความพยายามรักษาพระพุทธพจน์จึงมีตลอดมา ตั้งแต่พุทธกาล คือ ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่


ตอนนั้น ก็ปลายพุทธกาลแล้ว นิครนถนาฎบุตรผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนได้สิ้นชีพลง สาวกของท่านไม่ได้รวบรวมคำสอนไว้ และไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ชัดเจน ปรากฏว่าเมื่อศาสดาของศาสนาเชนสิ้นชีวิตไปแล้ว สาวกลูกศิษย์ลูกหาก็แตกแยกทะเลาะวิวาทกันว่า ศาสดาของตนสอนว่าอย่างไร

ครั้งนั้น ท่านพระจุนทเถระได้นำข่าวนี้มากราบทูลแด่พระพุทธเจ้า และพระองค์ได้ตรัสแนะนำใหพระสงค์ทั้งปวงร่วมกันสังคายนาธรรมทั้งหลายไว้เพื่อให้พระศาสนาดำรงอยู่ยั่งยืนเพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน


เวลานั้น พระสารีบุตรอัครสาวกยังมีชีวิตอยู่ คราวหนึ่งท่านปรารภเรื่องนี้แล้วก็กล่าวว่า ปัญหาาของศาสนาเชนนั้นเกิดขึ้นเพราะว่าไม่ได้รวบรวมร้อยกรองคำสอนไว้ เพราะฉะนั้น พระสาวกทั้งหลายทั้งปวงของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ควรจะได้ทำการสังคายนา คือรวบรวมร้อยกรองประมวลคำสอนของพระองค์ไว้ให้เป็นหลัก เป็นแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวกัน


เมื่อปรารภเช่นนี้แล้ว พระสารีบุตรได้แสดงวิธีการสังคายนาไว้เป็นตัวอย่าง เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าซึ่งมีมีพระสงฆ์ประชุมเฝ้าพร้อมอยู่ โดยท่านได้รวบรวมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นข้อธรรมต่างๆ มาแสดงตามลำดับหมวด ตั้งแต่หมวดหนึ่ง ไปจนถึงหมวดสิบ เมื่อพระสารีบุตรแสดงจบแล้ว
พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานสาธุการ หลักธรรมที่พระสารีบุตรได้แสดงไว้นี้ จัดเป็นพระสูตรหนึ่ง เรียกว่า สังคีติสูตร แปลง่ายๆ ว่า "พระสูตรว่าด้วยการสังคายนา หรือ สังคีติ" มีมาในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย

วิธีรักษาพระพุทธพจน์ ก็คือการรวบรวมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ แล้วจัดหมวดหมู่ให้กำหนดจดจำได้ง่าย และซักซ้อมทบทวนกันจนลงตัว แล้วสวดสาธยายพร้อมกันแสดงความยอมรับเป็นแบบแผนเพื่อทรงจำสืบต่อกันมา วิธีนี้ เรียกว่า สังคายนา หรือ สังคีติ ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า การสวดพร้อมกัน (จาก สํ พร้อมกัน + คายน หรือ คีติ การสวด)


คำว่า สังคายนา เวลาแปลเป็นภาษาอังกฤษ มีใช้หลายคำ คือ rehearsal บ้าง communal recital บ้าง และ communal recitation บ้าง บางทีก็ไปเทียบกับแนวคิดแบบตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มักเรียกการสังคายนาเป็น Buddhist Council ในทางกลับกัน คำว่า Council (เช่น Vatican Council ในศาสนาคริสต์) เราก็แปลว่า สังคายนา ความหมายของทั้งสองคำนี้เทียบกันได้ในบางแง่ แต่ที่จริงไม่เหมือนกันเลย

การประชุม Council ของศาสนาคริสต์ เป็นการมาตกลงกันในเรื่องข้อขัดแย้งด้านหลักคำสอน และแม้กระทั่งกำหนดหลักความเชื่อและวางนโยบายในการเผยแผ่ศาสนาของเขา
แต่การสังคายนาในพระพุทธศาสนา เป็นการรักษาคำสอนเดิมของพระพุทธเจ้าไว้ให้แม่นยำที่สุด ไม่ให้ใครมาเที่ยวแก้ไขให้คลาดเคลื่อนหรือตัดแต่งต่อเติมตามใจชอบ เราเพียงมาตรวจทาน มาซักซ้อมทบทวนกัน ใครที่เชื่อถือหรือสั่งสอนคลาดเคลื่อน หรือผิดแผกไป ก็มาปรับให้ตรงตามของแท้แต่เดิม

:b12:
พระอรหันต์499รูปรอพระอานนท์มาร่วมสังคายนาพระไตรปิฎก
พอพระอานนท์บรรลุอรหันต์หายตัวแว๊บมาโผล่ในที่ประชุม
จึงมีครบพระอรหันต์500รูปร่วมกันดูว่าจะเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่บันทึกไว้หรือไม่ทุกท่านไม่มีการเปลี่ยนอะไรเลย
แล้วดูความคิดพระภิกษุเก๊ๆสมัยนี้รวมหัวกันจะแก้
เพื่อเปลี่ยนแปลงคำสอนให้รับเงินรับทองได้
ใครจะรับรองให้ว่าไม่ตกนรก555
ที่ทำอยู่ทุกวันคือเหยียบย่ำคำสอน
คำสอนแทนตถาคตเหยียบย่ำใคร
ถ้าเป็นตัวตนคนเนี่ยห้อเลือดแล้ว
ปล้นคำสอนอ้างว่าบวชในตถาคต
แต่ทำลายคำสอนตถาคตทุกวัน
ไม่มีหิริโอตัปปะตถาคตว่าไว้นะ
โจรปล้นคำสอนทำเพื่อลาภสักการะ
มหาโจรเศรษฐีหัวโล้นขโมยปัจจัยสี่ที่
เขาถวายแก่ผู้บวชที่ทำตามสิกขาบทได้
ทำไม่ได้ตามสิกขาบทก็ลาสิกขาชิ่วๆๆๆๆ
จะอยู่เหยียบย่ำทำลายศาสนาคือคำสอนทำไม
:b32:
:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2019, 05:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ ปฐมสังคายนา

แม้ว่าท่านพระสารีบุตรได้แสดงตัวอย่างวิธีการทำสังคายนาไว้ ท่านก็ไม่ได้อยู่ที่จะทำงานนี้ต่อ เพราะว่าได้ปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า แต่ก็มีพระสาวกผู้ใหญ่ที่ได้ดำเนินงานนี้ต่อมาโดยไม่ได้ละทิ้ง กล่าวคือพระมหากัสสปเถระ ซึ่งตอนที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานนั้น เป็นพระสาวกผู้ใหญ่ มีอายุพรรษามากที่สุด

พระมหากัสสปเถระนั้น ทราบข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ ๗ วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่พร้อมด้วยหมู่ลูกศิษย์จำนวนมาก

เมื่อได้ทราบข่าวนั้น ลูกศิษย์ของพระมหากัสสปะจำนวนมาก ซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน ณ ที่นั้น มีพระภิกษุที่บวชเมื่อแก่องค์หนึ่ง ชื่อว่าสุภัททะ ได้พูดขึ้นมาว่า ท่านทั้งหลาย จะร้องไห้กันไปทำไม พระพุทธเจ้าปรินิพพานนี้ก็ดีไปอย่าง คือว่า ตอนที่พระองค์ยังอยู่นั้น พระองค์ก็คอยดูแลคอยกวดขัน ตรัสห้ามไม่ให้ทำสิ่งโน้นสิ่งนี้ แนะนำให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ พวกเราก็ลำบาก ต้องคอยระมัดระวังตัว ทีนี้ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนี่ พวกเราคงจะทำอะไรได้ตามชอบใจ ชอบอะไรก็ทำ ไม่ชอบอะไรก็ไม่ทำ

พระมหากัสสปะเถระได้ฟังคำนี้แล้ว ก็นึกคิดอยู่ในใจว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปใหม่ๆ แค่นี้ ก็ยังมีคนคิดที่จะประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัย ท่านก็เลยคิดว่า ควรจะทำการสังคายนา


ท่านวางแผนว่าจะชักชวนพระเถระผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งหลายที่มีอยู่สมัยนั้น ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสอนกันอยู่เสมอ รู้ว่าอะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า จะชวนให้มาประชุมกัน มาช่วยกันแสดงถ่ายทอด รวบรวมประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วตกลงวางมติไว้ ก็คือ คิดว่า จะทำสังคายนา


แต่เฉพาะเวลานั้น ท่านต้องเดินทางไปยังเมืองกุสินารา แล้วก็เป็นประธานในการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ในพระราชูปถัมภ์ของกษัตริย์มัลละทั้งหลาย


เมื่องานถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว ท่านก็ดำเนินงานตามที่ได้คิดไว้ คือ ได้ชักชวนนัดหมายกับพระอรหันต์ผู้ใหญ่ เพื่อจะทำการสังคายนา

ต่อจากนั้น ก็เป็นเรื่องของงานใหญ่แห่งการสังคายนา ซึ่งมีการเตรียมการถึง ๓ เดือน ก่อนที่จะประชุมที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ณ ภูเขาชื่อเวภาระ นอกเมืองราชคฤห์ ในพระราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอชาตศัตรู


ในการประชุมนี้ พระมหากัสสปเถระทำหน้าที่เป็นประธาน โดยเป็นผู้ซักถามหลักคำสอน ซึ่งพระพุทธเจ้าเองทรงแบ่งไว้เป็น ๒ ส่วน เรี่ยกว่า ธรรม ส่วนหนึ่ง และ วินัย ส่วนหนึ่ง

ธรรม คือ หลักคำสอนว่าด้วยความจริงของสิ่งทั้งหลาย พร้อมทั้งข้อประพฤติปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำตรัสแสดงไว้โดยสอดคล้องกับความจริงนั้น


ส่วน วินัย คือประมวลพุทธบัญญัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการเป็นอยู่ของภิกษุและภิกษุณี


ด้วยเหตุนี้ จึงเรียกพระพุทธศาสนา ด้วยคำสั้นๆ ว่า ธรรมวินัย การสังคายนาคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเป็นการสังคายนาพระธรรมวินัย

ในการสังคายนาครั้งนี้ มีการเลือกพระเถระ ๒ องค์ ที่มีความโดดเด่นในการทรงจำพระพุทธพจน์ได้แม่นยำ และเชี่ยวชาญในแต่ละด้านของพระธรรมวินัย

ฝ่ายธรรมนั้น ผู้ที่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลาเพราะติดตามพระองค์ไป อยู่ใกล้ชิด เป็นผู้อุปัฏฐากของพระองค์ ก็คือพระอานนท์ ที่ประชุมก็ให้พระอานนท์เป็นผู้นำเอาธรรมมาแสดงแก่ที่ประชุม

ส่วนด้านวินัย พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระอุบาลีไว้ว่าเป็นเอตทัคคะ ที่ประชุมก็คัดเลือกพระอุบาลีให้มาเป็นผู้นำในด้านการวิสัชนาเรื่องของวินัย

เมื่อได้ตัวบุคคลเรียบร้อยแล้ว พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ก็เริ่มประชุมกัน จากนั้น ก็ให้พระเถระทั้งสององค์นำพุทธพจน์มาสาธยาย แสดงแก่ที่ประชุม โดยประธานในที่ประชุมคือพระมหากัสสปะวางแนวการนำเสนอ ด้วยซักถามอย่างเป็นระบบ คือ ตามลำดับและเป็นหมวดหมู่

พุทธพจน์ พร้อมทั้งเรื่องราวเกี่ยวข้องแวดล้อม ที่นำมาสาธยายนี้ ถ้าเป็นครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองด้วยพระองค์เอง แต่ในการสังคายนาครั้งที่ ๑ ก็ต้องอาศัยที่ประชุมพระอรหันต์เถระทั้ง ๕๐๐ องค์รับรองแทน เมื่อได้มติร่วมกันเกี่ยวกับเนื้อหาในเรื่องใด พระเถระในที่ประชุมก็สวดพร้อมกัน เนื้อหาที่ผ่านการรับรองก็จะถือเป็นที่ยุติให้เป็นแบบแผนที่จะทรงจำถ่ายทอดกันต่อมา

การประชุมเพื่อทำสังคายนาครั้งประวัติศาสตร์นี้ ดำเนินอยู่เป็นเวลา ๗ เดือน จึงเสร็จสิ้น มีเรื่องราวปรากฏในพระวินัยปิฎก จุลลวรรค

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2019, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีคน
ไม่มีตำรา
มีแต่คำสอน
ตรงสัจจะกระทบ
เดี๋ยวนี้ตายทุกขณะ
สืบต่อเข้าร่างใหม่เร็ว
แบบกะพริบตาลืมตาเห็นคือภพใหม่ทันทีเป็นแมวจะฟังคำสอนได้ไหม

viewtopic.php?f=1&t=56284&start=60


ว่า "ไม่มีคน ไม่มีตำรา" แสดงว่า เจ้าสำนักบ้านธัมมะ มโนคำสอนเอา แล้วเค้าเอาแนวที่สอนมาจากไหน ถ้าไม่เอามาจากตำรา ฟังมาจากไหน จากใคร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2019, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีคน
ไม่มีตำรา
มีแต่คำสอน
ตรงสัจจะกระทบ
เดี๋ยวนี้ตายทุกขณะ
สืบต่อเข้าร่างใหม่เร็ว
แบบกะพริบตาลืมตาเห็นคือภพใหม่ทันทีเป็นแมวจะฟังคำสอนได้ไหม

viewtopic.php?f=1&t=56284&start=60


ว่า "ไม่มีคน ไม่มีตำรา" แสดงว่า เจ้าสำนักบ้านธัมมะ มโนคำสอนเอา แล้วเค้าเอาแนวที่สอนมาจากไหน ถ้าไม่เอามาจากตำรา ฟังมาจากไหน จากใคร

ถ้ารู้ความจริงตรงทีละ1ขณะจิตแบบพระพุทธเจ้าจริงๆ
จะหยิบจะจับจะอยากได้วัตถุหรือเงินทองไหมคะ
ก็มันไม่มีอะไรให้เห็นนอกตาไม่เข้าใจเหรอ
คนตาบอดลืมตาก็ไม่เห็นเขาอยากเห็น
แต่คนที่ลืมตาเห็นแต่ไม่รู้จักเห็น
ไม่รู้ว่าเห็นอะไรแท้ๆจำอดีตสี
จำซากของเห็นอันเก่าไว้
เหมือนไม่มีอะไรหายไป
ก็บอกแล้วว่าเห็นสี1สีกระทบตาดับทันทีแล้ว
ไม่มีซากของเห็น1ขณะนั้นแล้วมันส่งเข้าไปดับในมโนทวารอีกที
มีซากของเห็นที่ตามั๊ยยยยเอาอะไรมารู้ก็ไม่รู้อยู่เห็นๆว่าไม่รู้ความจริงแบบตถาคต
เวลาเอามือไปหยิบบาตรก็มีแค่เย็นแข็งตึงๆไหวๆไปมาแค่เห็นมือที่เอื้อมไปหยิบก็เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว555
จะให้ว่างัยคะ...เห็นก็เห็นผิด...ยังคิดผิดว่าตนได้เงิน555...โลภมากบอกให้ฟังคำสอนก็ไม่ฟังตายทิ้งเปล่าๆ
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2019, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีคน
ไม่มีตำรา
มีแต่คำสอน
ตรงสัจจะกระทบ
เดี๋ยวนี้ตายทุกขณะ
สืบต่อเข้าร่างใหม่เร็ว
แบบกะพริบตาลืมตาเห็นคือภพใหม่ทันทีเป็นแมวจะฟังคำสอนได้ไหม

viewtopic.php?f=1&t=56284&start=60


ว่า "ไม่มีคน ไม่มีตำรา" แสดงว่า เจ้าสำนักบ้านธัมมะ มโนคำสอนเอา แล้วเค้าเอาแนวที่สอนมาจากไหน ถ้าไม่เอามาจากตำรา ฟังมาจากไหน จากใคร

ถ้ารู้ความจริงตรงทีละ1ขณะจิตแบบพระพุทธเจ้าจริงๆ
จะหยิบจะจับจะอยากได้วัตถุหรือเงินทองไหมคะ
ก็มันไม่มีอะไรให้เห็นนอกตาไม่เข้าใจเหรอ
คนตาบอดลืมตาก็ไม่เห็นเขาอยากเห็น
แต่คนที่ลืมตาเห็นแต่ไม่รู้จักเห็น
ไม่รู้ว่าเห็นอะไรแท้ๆจำอดีตสี
จำซากของเห็นอันเก่าไว้
เหมือนไม่มีอะไรหายไป
ก็บอกแล้วว่าเห็นสี1สีกระทบตาดับทันทีแล้ว
ไม่มีซากของเห็น1ขณะนั้นแล้วมันส่งเข้าไปดับในมโนทวารอีกที
มีซากของเห็นที่ตามั๊ยยยยเอาอะไรมารู้ก็ไม่รู้อยู่เห็นๆว่าไม่รู้ความจริงแบบตถาคต
เวลาเอามือไปหยิบบาตรก็มีแค่เย็นแข็งตึงๆไหวๆไปมาแค่เห็นมือที่เอื้อมไปหยิบก็เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว555
จะให้ว่างัยคะ...เห็นก็เห็นผิด...ยังคิดผิดว่าตนได้เงิน555...โลภมากบอกให้ฟังคำสอนก็ไม่ฟังตายทิ้งเปล่าๆ
:b32: :b32: :b32:

จิตเกิดดับทุก1ขณะทีละ1ขณะทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะเดิมแม้แต่ขณะเดียว
รูปที่ปรากฏทั้ง6ทางอายตนะแต่ละ1รูปมีอายุยืนกว่าจิตถึง17ขณะจิตจำผิดคิดผิดเห็นผิดอยู่
ทำอะไรเอาไว้มันไม่ใช่อย่างที่คิดแต่มันเป็นกรรมตรงตามเหตุปัจจัยที่จิตเกิดดับไปนานแล้วตรงปัจจุบันขณะ
:b12:
:b11: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2019, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีคน
ไม่มีตำรา
มีแต่คำสอน
ตรงสัจจะกระทบ
เดี๋ยวนี้ตายทุกขณะ
สืบต่อเข้าร่างใหม่เร็ว
แบบกะพริบตาลืมตาเห็นคือภพใหม่ทันทีเป็นแมวจะฟังคำสอนได้ไหม

viewtopic.php?f=1&t=56284&start=60


ว่า "ไม่มีคน ไม่มีตำรา" แสดงว่า เจ้าสำนักบ้านธัมมะ มโนคำสอนเอา แล้วเค้าเอาแนวที่สอนมาจากไหน ถ้าไม่เอามาจากตำรา ฟังมาจากไหน จากใคร

ถ้ารู้ความจริงตรงทีละ1ขณะจิตแบบพระพุทธเจ้าจริงๆ
จะหยิบจะจับจะอยากได้วัตถุหรือเงินทองไหมคะ
ก็มันไม่มีอะไรให้เห็นนอกตาไม่เข้าใจเหรอ
คนตาบอดลืมตาก็ไม่เห็นเขาอยากเห็น
แต่คนที่ลืมตาเห็นแต่ไม่รู้จักเห็น
ไม่รู้ว่าเห็นอะไรแท้ๆจำอดีตสี
จำซากของเห็นอันเก่าไว้
เหมือนไม่มีอะไรหายไป
ก็บอกแล้วว่าเห็นสี1สีกระทบตาดับทันทีแล้ว
ไม่มีซากของเห็น1ขณะนั้นแล้วมันส่งเข้าไปดับในมโนทวารอีกที
มีซากของเห็นที่ตามั๊ยยยยเอาอะไรมารู้ก็ไม่รู้อยู่เห็นๆว่าไม่รู้ความจริงแบบตถาคต
เวลาเอามือไปหยิบบาตรก็มีแค่เย็นแข็งตึงๆไหวๆไปมาแค่เห็นมือที่เอื้อมไปหยิบก็เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว555
จะให้ว่างัยคะ...เห็นก็เห็นผิด...ยังคิดผิดว่าตนได้เงิน555...โลภมากบอกให้ฟังคำสอนก็ไม่ฟังตายทิ้งเปล่าๆ
:b32: :b32: :b32:

จิตเกิดดับทุก1ขณะทีละ1ขณะทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะเดิมแม้แต่ขณะเดียว
รูปที่ปรากฏทั้ง6ทางอายตนะแต่ละ1รูปมีอายุยืนกว่าจิตถึง17ขณะจิตจำผิดคิดผิดเห็นผิดอยู่
ทำอะไรเอาไว้มันไม่ใช่อย่างที่คิดแต่มันเป็นกรรมตรงตามเหตุปัจจัยที่จิตเกิดดับไปนานแล้วตรงปัจจุบันขณะ
:b12:
:b11: :b16:

ถ้ารู้ว่าเงินคือถ่านแดงเพลิงร้อน
จะกล้าอาจเอื้อมมือไปหยิบไหม
ที่กล้าอาจเอื้อมไปหยิบเอามาครอง
ทั้งๆที่ตถาคตบอกแล้วว่ายินดีหรือรับไม่ได้
ไม่ละอายแก่ใจและไม่เกรงกลัวว่าจะตกนรกตามที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว
รู้แล้วยังทำน่ะเขาเรียกว่ารู้ไม่จริงเพราะคนที่เขาฟังเข้าใจเขาลาสิกขาไปแล้วเห็นความไม่รู้ที่มีมั๊ยยย
:b17: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2019, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ กำเนิดพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท


คำสอนที่ลงมติกันไว้อย่างนี้ ซึ่งเรานับถือกันมา เรียกว่า เถรวาท แปลว่า คำสอนที่วางไว้เป็นหลักการของพระเถระ คำว่า เถระ ในที่นี้ หมายถึงพระเถระ ๕๐๐ องค์ ผู้ประชุมทำสังคายนาครั้งที่ ๑ ที่ว่าไปแล้วนี้


พระพุทธศาสนา ซึ่งถือตามหลักที่ได้สังคายนาครั้งแรกดังกล่าวมานี้ เรียกว่า พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท หมายความว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คือ พระธรรมวินัย ทั้งถ้อยคำและเนื้อความ อย่างไรที่ท่านสังคายนากันไว้ ก็ทรงจำกันมาอย่างนั้น ถือตามนั้นโดยเคร่งครัด


เพราะฉะนั้น จึงต้องรักษาแม้แต่ตัวภาษาเดิมด้วย หมายความว่ารักษาถ้อยคำข้อความดั้งเดิมที่เป็นของแท้ของจริง ภาษาที่ใช้รักษาพระธรรมวินัยไว้นี้ ได้แก่ ภาษาบาลี เพราะฉะนั้น คำสอนของเถรวาทจึงรักษาไว้ในภาษาบาลีตามเดิม คงไว้อย่างที่ท่านสังคายนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2019, 07:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีคน
ไม่มีตำรา
มีแต่คำสอน
ตรงสัจจะกระทบ
เดี๋ยวนี้ตายทุกขณะ
สืบต่อเข้าร่างใหม่เร็ว
แบบกะพริบตาลืมตาเห็นคือภพใหม่ทันทีเป็นแมวจะฟังคำสอนได้ไหม

viewtopic.php?f=1&t=56284&start=60


ว่า "ไม่มีคน ไม่มีตำรา" แสดงว่า เจ้าสำนักบ้านธัมมะ มโนคำสอนเอา แล้วเค้าเอาแนวที่สอนมาจากไหน ถ้าไม่เอามาจากตำรา ฟังมาจากไหน จากใคร

ถ้ารู้ความจริงตรงทีละ1ขณะจิตแบบพระพุทธเจ้าจริงๆ
จะหยิบจะจับจะอยากได้วัตถุหรือเงินทองไหมคะ
ก็มันไม่มีอะไรให้เห็นนอกตาไม่เข้าใจเหรอ
คนตาบอดลืมตาก็ไม่เห็นเขาอยากเห็น
แต่คนที่ลืมตาเห็นแต่ไม่รู้จักเห็น
ไม่รู้ว่าเห็นอะไรแท้ๆจำอดีตสี
จำซากของเห็นอันเก่าไว้
เหมือนไม่มีอะไรหายไป
ก็บอกแล้วว่าเห็นสี1สีกระทบตาดับทันทีแล้ว
ไม่มีซากของเห็น1ขณะนั้นแล้วมันส่งเข้าไปดับในมโนทวารอีกที
มีซากของเห็นที่ตามั๊ยยยยเอาอะไรมารู้ก็ไม่รู้อยู่เห็นๆว่าไม่รู้ความจริงแบบตถาคต
เวลาเอามือไปหยิบบาตรก็มีแค่เย็นแข็งตึงๆไหวๆไปมาแค่เห็นมือที่เอื้อมไปหยิบก็เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว555
จะให้ว่างัยคะ...เห็นก็เห็นผิด...ยังคิดผิดว่าตนได้เงิน555...โลภมากบอกให้ฟังคำสอนก็ไม่ฟังตายทิ้งเปล่าๆ
:b32: :b32: :b32:

จิตเกิดดับทุก1ขณะทีละ1ขณะทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะเดิมแม้แต่ขณะเดียว
รูปที่ปรากฏทั้ง6ทางอายตนะแต่ละ1รูปมีอายุยืนกว่าจิตถึง17ขณะจิตจำผิดคิดผิดเห็นผิดอยู่
ทำอะไรเอาไว้มันไม่ใช่อย่างที่คิดแต่มันเป็นกรรมตรงตามเหตุปัจจัยที่จิตเกิดดับไปนานแล้วตรงปัจจุบันขณะ
:b12:
:b11: :b16:

ถ้ารู้ว่าเงินคือถ่านแดงเพลิงร้อน
จะกล้าอาจเอื้อมมือไปหยิบไหม
ที่กล้าอาจเอื้อมไปหยิบเอามาครอง
ทั้งๆที่ตถาคตบอกแล้วว่ายินดีหรือรับไม่ได้
ไม่ละอายแก่ใจและไม่เกรงกลัวว่าจะตกนรกตามที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว
รู้แล้วยังทำน่ะเขาเรียกว่ารู้ไม่จริงเพราะคนที่เขาฟังเข้าใจเขาลาสิกขาไปแล้วเห็นความไม่รู้ที่มีมั๊ยยย
:b17: :b32:



ผสมปนเปกันมั่วไปหมด :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2019, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
Rosarin
ไม่มีคน
ไม่มีตำรา
มีแต่คำสอน
ตรงสัจจะกระทบ
เดี๋ยวนี้ตายทุกขณะ
สืบต่อเข้าร่างใหม่เร็ว
แบบกะพริบตาลืมตาเห็นคือภพใหม่ทันทีเป็นแมวจะฟังคำสอนได้ไหม

viewtopic.php?f=1&t=56284&start=60


ว่า "ไม่มีคน ไม่มีตำรา" แสดงว่า เจ้าสำนักบ้านธัมมะ มโนคำสอนเอา แล้วเค้าเอาแนวที่สอนมาจากไหน ถ้าไม่เอามาจากตำรา ฟังมาจากไหน จากใคร

ถ้ารู้ความจริงตรงทีละ1ขณะจิตแบบพระพุทธเจ้าจริงๆ
จะหยิบจะจับจะอยากได้วัตถุหรือเงินทองไหมคะ
ก็มันไม่มีอะไรให้เห็นนอกตาไม่เข้าใจเหรอ
คนตาบอดลืมตาก็ไม่เห็นเขาอยากเห็น
แต่คนที่ลืมตาเห็นแต่ไม่รู้จักเห็น
ไม่รู้ว่าเห็นอะไรแท้ๆจำอดีตสี
จำซากของเห็นอันเก่าไว้
เหมือนไม่มีอะไรหายไป
ก็บอกแล้วว่าเห็นสี1สีกระทบตาดับทันทีแล้ว
ไม่มีซากของเห็น1ขณะนั้นแล้วมันส่งเข้าไปดับในมโนทวารอีกที
มีซากของเห็นที่ตามั๊ยยยยเอาอะไรมารู้ก็ไม่รู้อยู่เห็นๆว่าไม่รู้ความจริงแบบตถาคต
เวลาเอามือไปหยิบบาตรก็มีแค่เย็นแข็งตึงๆไหวๆไปมาแค่เห็นมือที่เอื้อมไปหยิบก็เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว555
จะให้ว่างัยคะ...เห็นก็เห็นผิด...ยังคิดผิดว่าตนได้เงิน555...โลภมากบอกให้ฟังคำสอนก็ไม่ฟังตายทิ้งเปล่าๆ
:b32: :b32: :b32:

จิตเกิดดับทุก1ขณะทีละ1ขณะทีละ1ทางไม่ปนกันไม่ซ้ำขณะเดิมแม้แต่ขณะเดียว
รูปที่ปรากฏทั้ง6ทางอายตนะแต่ละ1รูปมีอายุยืนกว่าจิตถึง17ขณะจิตจำผิดคิดผิดเห็นผิดอยู่
ทำอะไรเอาไว้มันไม่ใช่อย่างที่คิดแต่มันเป็นกรรมตรงตามเหตุปัจจัยที่จิตเกิดดับไปนานแล้วตรงปัจจุบันขณะ
:b12:
:b11: :b16:

ถ้ารู้ว่าเงินคือถ่านแดงเพลิงร้อน
จะกล้าอาจเอื้อมมือไปหยิบไหม
ที่กล้าอาจเอื้อมไปหยิบเอามาครอง
ทั้งๆที่ตถาคตบอกแล้วว่ายินดีหรือรับไม่ได้
ไม่ละอายแก่ใจและไม่เกรงกลัวว่าจะตกนรกตามที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว
รู้แล้วยังทำน่ะเขาเรียกว่ารู้ไม่จริงเพราะคนที่เขาฟังเข้าใจเขาลาสิกขาไปแล้วเห็นความไม่รู้ที่มีมั๊ยยย
:b17: :b32:



ผสมปนเปกันมั่วไปหมด :b1:

cool
โลกตามความเป็นจริงตามคำสอนของตถาคตนั้นมืดมาก
มีสว่างตอนที่มีสีกระทบตาเท่านั้นอีก5ทางที่มองไม่เห็นมันมืดสนิท
คิดนึกจำผิดเป็นตัวเราเห็นคนสัตว์วัตถุเต็มโลกเต็มสงสารความจริงไม่มีบอกไม่ฟัง
มโนวิญญาญคือจิตคิดนึกไม่เกิดปนกับจิตทางอื่นเลยถามว่าคิดเป็นไหมในเมื่อไม่รู้และไม่ฟังเลย
https://youtu.be/C6gRG6WY0F8
:b12:
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2019, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ พระไตรปิฎกเกิดขึ้นได้อย่างไร


ในการสังคายนา นอกจากจะประมวล คือ รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ ก็มีการจัดหมวดหมู่ไปด้วย การจัดหมวดหมู่นั้นก็เพื่อให้ทรงจำได้สะดวก และง่ายต่อการแบ่งหน้าที่กันในการรักษา กับ ทั้งเกื้อกูลต่อการศึกษาค้นคว้าด้วย

นอกจากแบ่งโดยส่วนใหญ่เป็น ธรรม กับ วินัย แล้ว ก็ยังมีการจัดแยกซอยย่อยออกไปอีก

ธรรม นั้น ต่างจาก วินัย ซึ่งมีขอบเขตแคบกว่า เพราะวินัยเป็นเรื่องของบทบัญญัติเกี่ยวกับการรักษาสังฆะ คือ คณะสงฆ์ไว้ เพื่อให้ชุมชนแห่งพระภิกษุและพระภิกษุณีดำรงอยู่ด้วยดี

แต่ธรรมเป็นคำสอนที่ครอบคลุมพระพุทธศาสนาทั้งหมด สำหรับพุทธบริษัททั้ง ๔ เนื่องจากธรรมมีมากมาย จึงมีการแบ่งหมวดหมู่ออกไปอีก โดยแยกขั้นแรกเป็น ๒ ก่อน คือ


๑. ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไปตามกาลเทศะ


เมื่อบุคคลที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปพบทูลถาม พระองค์ก็ตรัสตอบไป คำตอบ หรือคำสนทนาที่ทรงโต้ตอบกับชาวนา พราหมณ์ กษัตริย์ หรือ เจ้าชาย แต่ละเรื่องๆ ก็จบไปในตัว เรื่องหนึ่งๆ นี้ เรียกว่า สุตตะ (หรือ สูตร) หนึ่งๆ ธรรมที่ตรัสแสดงแบบนี้ ได้รวบรวมจัดไว้พวกหนึ่ง เรียกว่า สุตตันตะ (หรือ พระสูตร)


๒. ธรรมอีกประเภทหนึ่ง คือ ธรรมที่แสดงไปตามเนื้อหา ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือเหตุการณ์ ไม่คำนึงว่าใครจะฟังทั้งสิ้น เอาแต่เนื้อหาเป็นหลัก คือ เป็นวิชาการล้วนๆ


เมื่อยกหัวข้อธรรมอะไรขึ้นมา ก็อธิบายให้ชัดเจนไปเลย เช่น ยกเรื่องขันธ์ ๕ มา ก็อธิบายไปว่า ขันธ์ ๕ นั้น คือ อะไร แบ่งออกเป็นอะไร บ้าง แต่ละอย่างนั้นเป็นอย่างไร ๆ อธิบายไปจนจบเรื่องขันธ์ ๕ หรือ ว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาท ก็อธิบายไปในแง่ด้านต่างๆ จนกระทั่งจบเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น

ธรรมที่แสดงเอาเนื้อหาเป็นหลักอย่างนี้ ก็จัดเป็นอีกประเภทหนึ่ง เรียกว่า อภิธัมมะ (หรือพระอภิธรรม)

เมื่อแยกธรรมเป็น ๒ ส่วน คือ เป็นพระสูตรกับพระอภิธรรม แล้วมีวินัยเติมอีกหนึ่ง ซึ่งก็คงเป็นวินัยอยู่เท่านั้น ก็เกิดเป็นการจัดหมวดหมู่พระธรรมวินัยอีกแบบหนึ่ง เป็นปิฎก ๓ ที่เรียกว่า พระไตรปิฎก


ปิฎก แปลว่า "ตะกร้า" หรือ "กระจาด" โดยมีความหมายเชิงเปรียบเทียบว่าเป็นที่รวบรวม ตะกร้า กระจาด กระบุง หรือปุ้งกี๋ นั้น เป็นที่รวบรวมทัพสัมภาระอย่างใด แต่ละปิฎกก็รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่จัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ใหญ่อย่างนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2019, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
คำสอนของพระพุทธเจ้าพิสูจน์ความจริงได้
ตอนที่กำลังฟังแล้วคิดถูกตัวตนตามได้
เข้าใจตรงความจริงที่กายใจกำลังมี
จะลุกจะนั่งจะยืนจะเดินจะทำอะไร
ก็ให้รู้สึกตัวตามปกติไม่ใช่ไปทำ
ตามคำสั่งคนอื่นบอกนะจ๊ะ
ตถาคตไม่ได้ให้เชื่อเลย
แต่ทรงแสดงความจริง
ให้คนที่ฟังเข้าใจตาม
แล้วรู้สึกตัวทันที
:b32:
ไม่ได้มีตัวตนไปที่หนึ่งที่ใดก่อนรู้
รู้ต้องรู้ความจริงเดี๋ยวนี้
ไม่รู้ก็คือมีกิเลสอวิชชา
การฟังทบทวนตามคำสอน
จึงมีตถาคตเป็นที่พึ่งอยู่
คำสอนแทนตถาคต
ไม่ใช่ครูที่มีตัวตน
ฟังจากคนที่บอก
ความจริงตามคำสอน
ถ้านับถือคำของตถาคต
จงเพียรฟังให้เข้าใจความจริง
ที่มีแล้วที่กายใจตนเองตามปกติ
ไม่ใช่เห็นใครทำอะไรก็ทำตามไปเลย
ที่ทำตามไปแล้วนั้นน่ะไม่รู้เลยว่าถูกหรือผิด
ฟังเพื่อเข้าใจว่าอดีตที่เคยทำไว้มันถูกต้องไหม
ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจตรงตามคำสอนไม่มีทางคิดถูกเลย
ไปทำแล้วคิดเอาเองว่าดี/มันจะดีได้ยังไง/ในเมื่อคิดเอาว่าดี
ดีแล้วตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือพระอรหันต์ที่ดับอวิชชาหมดแล้ว
จะเป็นอริยบุคคลระดับไหนก็ตามยังดีไม่ได้เพราะยังมีกิเลสที่ต้องแก้อยู่คือยังอยากรู้นิพพาน
การอยากรู้ด้วยการคิดเองพูดเองทำเองโดยไม่คิดตามคำสอนตามที่คนอื่นบอกความจริงเป็นการปิดกั้นแล้ว
ก็บอกว่าให้ฟังไม่ใช่เชื่อถือ/ฟังสิ่งที่เขากล่าวโดยละเอียดก่อนทำ/อย่าเพิ่งไปทำโดยไม่เข้าใจเหตุผลคร่าาา
https://youtu.be/8-jtN_owAW8
:b12:
:b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2019, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


@ พระไตรปิฎกมีการรักษาสืบทอดมาถึงเราได้อย่างไร

การสังคายนา หรือสังคีติ ครั้งที่ ๑ นี้ ย่อมเป็นสังคายนาครั้งสำคัญที่สุด เพราะพุทธพจน์ที่รวบรวมประมวลมาทรงจำเป็นแบบแผนหรือเป็นมาตรฐานไว้ครั้งนี้มีเท่าใด ก็คือมีเท่านั้น ต่อจากนั้น ก็มีแต่จะต้องทรงจำรักษาพุทธพจน์ที่รวมได้ในสังคายนาครั้งที่ ๑ นี้ไว้ให้ถูกต้องแม่นยำ บริสุทธิ์หมดจด และครบถ้วนที่สุด พูดสั้นๆ ว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์
ด้วยเหตุนี้ ในเวลาหลังจากนี้ พระเถระผู้รักษาพุทธพจน์จึงเน้นวิธีการรักษาด้วยการสาธยาย และการมอบหมายหน้าที่่ในการทรงจำแต่ละหมวดหมู่ เป็นต้น


โดยนัยดังกล่าว การสังคายนาที่มีความหมายเป็นการรวบรวมพุทธพจน์แท้จริง ก็มีแต่ครั้งที่ ๑ นี้ การสังคายนาครั้งต่อๆมา ก็คือ การที่พระเถระผู้ทรงจำรักษาพุทธพจน์ทั้งหลายมาประชุมกัน ซักซ้อม ทบทวนทานพุทธพจน์ที่รักษาต่อกันมาตั้งแต่สังคายนาครั้่งที่ ๑ นั้น ให้คงอยู่บริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุด คือ ครบถ้วนแม่นยำและไม่มีแปลกปลอม

เนื่องจากต่อมามีภาระเพิ่มขึ้นในด้านป้องกันคำสอนและการประพฤติปฏิบัติแปลกปลอม การทรงจำรักษาพุทธพจน์จึงเน้นเพิ่มขึ้นในแง่การนำพุทธพจน์ที่ทรงจำรักษาไว้นั้นมาเป็นมาตรฐานตรวจสอบคำสอนและการปฏิบัติทั้งหลายที่อ้างว่าเป็นของพระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้คำว่า สังคายนา ในภาษาไทย มีนัยขยายหรืองอกออกไป คือ ความหมายว่าเป็นการชำระสะสางคำสอนและวิธีปฏิบัติที่แปลกปลอม


ยิ่งกว่านั้น ในกาลนานต่อมา คนบางส่วนยึดเอาความหมายงอกนี้เป็นความหมายหลักของการสังคายนา จนถึงกับลืมความหมายที่แท้ของการสังคายนาไปเลยก็มี จนกระทั่งถึงปัจจุบัน บางทีบางคนไปไกลมากถึงกับเข้าใจผิดว่า ผู้ประชุมสังคายนามาช่วยกันตรวจสอบคำสอนในพระไตรปิฎก ว่า มีทัศนะหรือความคิดเห็นที่ผิดหรือถูก ที่นั่นที่นี่ แล้วจะมาปรับแก้กัน ฉะนั้น จึงจำเป็นว่าจะต้องเข้าใจความหมายของ สังคายนา ให้ถูกต้อง ให้แยกได้ว่าความหมายใดเป็นความหมายที่แท้ ความหมายใด เป็นนัยที่งอกออกมา

สังคายนา หรือสังคีติ ในความหมายแท้ ที่เป็นการประชุมกันซักซ้อมทบทวนรักษาพุทธพจน์เท่าที่มีมาถึงเราไว้ ให้ครบถ้วนแม่นยำบริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุดนี้ มีความเป็นมาแยกได้เป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงแรก ท่องทวนด้วยปากเปล่า เรียกว่า มุขปาฐะ และ ช่วงหลัง จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรียกว่า โปตถกาโรปนะ

ช่วงต้น หรือยุคแรก นับแต่พุทธกาลตลอดมาประมาณ ๔๖๐ ปี พระเถระผู้รักษาพระศาสนาทรงจำพุทธพจน์กันมาด้วยปากเปล่า เรียกว่า มุขปาฐะ แปลง่ายๆ ว่า "ปากบอก" คือ เรียน - ท่อง - บอกต่อด้วยปาก ซึ่งเป็นการรักษาไว้กับตัวคน ในยุคนี้มีข้อดี คือ เนื่องจากพระสงฆ์รู้ตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดของการรักษาพุทธพจน์ จึงทำให้มีความไม่ประมาท โดยระมัดระวังยิ่งที่จะให้มีการจำพุทธพจน์ไว้อย่างบริสุทธิ์บริสุทธิ์ ถือว่าการรักษาพุทธพจน์นี้เป็นกิจสำคัญสูงสุดของการรักษาพระพุทธศาสนา

การรักษาโดยมุขปาฐะ หรือ มุขบาฐ นี้ ใช้วิธีสาธยาย ซึ่งแยกได้เป็น ๔ ระดับ คือ


ก. เป็นความรับผิดชอบของสงฆ์หมู่ใหญ่สืบกันมาตามสายอาจารย์ที่เรียกว่า อาจริยปรัมปรา (เรียกอีกนัยหนึ่งว่า เถรวงส์) โดยพระเถระที่เป็นต้นสายตั้่งแต่สังคายนาครั้งแรกนั้น เช่น พระอุบาลีเถระ ผู้เชียวชาญด้านพระวินัย ก็มีศิษย์สืบสายและมอบความรับผิดชอบในการรักษาสั่งสอนอธิบายสืบทอดกันมา


ข. เป็นกิจกรรมหลักในวิถีชีวิตของพระสงฆ์ ซึ่งจะต้องเล่าเรียนปริยัติเพื่อเป็นฐานของการปฏิบัติที่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่ปฏิเวธ และการเล่าเรียนนั้นจะให้ชำนาญส่วนใด ก็เป็นไปตามอัธยาศัย ดังนั้น จึงเกิดมีคณะพระสงฆ์ที่คล่องเชียวชาญพุทธพจน์ในพระไตรปิฏกต่างหมวดต่างส่วนกันออกไป เช่น มีพระสงฆ์ กลุ่มที่คล่องแคล่วเชี่ยวชาญในทีฆนิกาย พร้อมทั้งคำอธิบาย คือ อรรถกถาของทีฆนิกายนั้น เรียกว่า ทีฆภาณกะ แม้ มัชฌิมภาณกะ สังยุตตภาณกะ อังคุตตรภาณกะ และขุททกภาณกะ เป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน


ค. เป็นกิจวัตรของพระภิกษุทั้งหลายแต่ละวัดแต่ละหมู่ ที่จะมาประชุมกัน และกระทำคณะสาธยาย คือ สวดพุทธพจน์พร้อมๆกัน (การปฏิบัติอย่างนี้อาจจะเป็นที่มาของกิจวัตรในการทำวัตรสวดมนต์เช้า - เย็น หรือ เช้าค่ำ อย่างที่รู้จักกันในปัจจุบัน)


ง. เป็นกิจวัตร หรือข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวันของพระภิกษุแต่ละรูป ดังปรากฏในอรรถกถาเป็นต้นว่า พระภิกษุเมื่อว่างจากกิจอื่น เช่น เมื่ออยู่ผู้เดียว ก็นั่งสาธยายพุทธพจน์ เท่ากับว่าการสาธยายพุทธพจน์นี้เป็นส่วนหนึ่งแห่งการปฏิบัติธรรมของท่าน


เนื่องจากพระภิกษุทั้งหลายมีวินัยสงฆ์กำกับให้ดำเนินชีวิตในวิถีแห่งไตรสิกขา อีกทั้งอยู่ในบรรยากาศแห่งการเล่าเรียนถ่ายทอด และหาความรู้เพื่อนำไปสู่สัมมาปฏิบัติ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ทำให้เกิดมีการรักษาคำสอนด้วยการสาธยายทบทวนตรวจสอบกันอยู่เป็นประจำอย่างเป็นปกติตลอดเวลา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2019, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
คำสอนของตถาคตตรงไปตรงมาเป็นคนซื่อตรงไหมที่อยากบวชโดยไม่ทำตามคำสอน
บอกว่าตถาคตห้ามบรรพชิตคือภิกษุในธรรมวินัยรับเงินทองและสิ่งที่ใช้แทนเงิน
คนบวชแล้ววิเศษเลยไหมทำตามคำสอนไม่ได้รู้ตัวเองดีกว่าคนอื่นก็ลาสิกขา
ถ้ายังเอาอุปนิสัยเดิมแบบชาวบ้านที่จับจ่ายใช้สอยเงินเอาไปใช้ตอนบวช
มันทำผิดเป็นปกติของบรรพชิตคือไม่กตัญญูต่อคุณพระรัตนตรัย
บวชเพราะรู้จักตนเองว่าทำตามสิกขาบทได้ตามปกติเป็นปกติ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2019, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
คำสอนของตถาคตตรงไปตรงมาเป็นคนซื่อตรงไหมที่อยากบวชโดยไม่ทำตามคำสอน
บอกว่าตถาคตห้ามบรรพชิตคือภิกษุในธรรมวินัยรับเงินทองและสิ่งที่ใช้แทนเงิน
คนบวชแล้ววิเศษเลยไหมทำตามคำสอนไม่ได้รู้ตัวเองดีกว่าคนอื่นก็ลาสิกขา
ถ้ายังเอาอุปนิสัยเดิมแบบชาวบ้านที่จับจ่ายใช้สอยเงินเอาไปใช้ตอนบวช
มันทำผิดเป็นปกติของบรรพชิตคือไม่กตัญญูต่อคุณพระรัตนตรัย
บวชเพราะรู้จักตนเองว่าทำตามสิกขาบทได้ตามปกติเป็นปกติ
onion onion onion


ตอบนะ ภิกษุนั่งรถโดยสารต้องจ่ายเงินไหม

1. จ่าย

2. ไม่ต้องจ่าย

ตอบข้อไหน 1 หรือ 2 เอ้า ตอบให้ตรงข้อที่ถามนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 43 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร