วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2019, 23:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงผลของกรรมประการต่างๆ
ที่เกิดขึ้นและให้ผล ตามสมควรแก่เหตุที่ได้กระทำไว้
ที่ได้มีตัวอย่างแสดงไว้ในพระไตรปิฏก ในอรรถกถา เป็นต้น
ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง
ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจอ่านและพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญารู้เหตุผลตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2019, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลแห่งการถวายผ้าเก่า ยังผลให้เป็นพระพุทธเจ้า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้วของเรา
เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้าเก่า
เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า


นี่คือปฐมจิตตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าของพระผู้มีพระภาคองค์ปัจจุบัน จากการถวายผ้าเก่าแด่พระภิกษุ ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในพุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑

ส่วนที่ว่า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเริ่มปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อสมัยเป็นมานพหนุ่มแบกมารดาว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรนั้น พบข้อความในหนังสือชื่อว่ามุนีนาถทีปนี ซึ่งเป็นหลักฐานชั้นรองลงมา ข้อความไม่ตรงกับในพระไตรปิฏก ท่านผู้ศึกษาพึงพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูลตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2019, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วิบากของท่านพระโลสกติสสเถระ

ท่านพระโลสกติสสเถระเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในบวรพระพุทธศาสนา ท่านปรากฏว่าเป็นพระอรหันต์ที่มีลาภน้อยอย่างมาก ท่านมีความเป็นอยู่ลำบากยากจนมาตั้งแต่เกิด เมื่อคราที่ท่านถือปฏิสนธิในครรภ์มารดาได้ทำให้มารดาและตระกูลเสื่อมจากลาภตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ถูกขับออกจากตระกูล ถูกมารดาทิ้ง แต่ท่านพระสารีบุตรได้รับเลี้ยงไว้และได้ให้บรรพชา บำเพ็ญสมณธรรมไม่นานก็ได้บรรลุอรหันต์ ท่านพระโลสกะไม่เคยได้รับประทานอาหารอิ่มเลยสักครั้ง บาตรของท่านปรากฏเหมือนมีอาหารเต็มอยู่เสมอแม้ใส่ข้าวเพียงทัพพีเดียว จึงไม่ได้มีผู้ใดถวายอาหารเพิ่มให้อีก มาอิ่มเอามื้อสุดท้ายก่อนที่จะปรินิพพาน ด้วยการรับประทานของหวาน ๔ อย่าง ด้วยความอุปการะของท่านพระสารีบุตรที่ได้ถือบาตรให้ท่านฉัน มิฉะนั้นอาหารก็จะอันตรธานไป เหตุเป็นเช่นนี้ด้วยที่ท่านเคยขัดขวางและทำลายลาภของพระอรหันต์ด้วยความริษยาในกาลก่อน ในอดีตชาติเมื่อครั้งเป็นเจ้าอาวาส แต่ด้วยผลของกุศลกรรมที่ท่านได้สั่งสมมา มีการอบรมวิปัสสนามาในชาติก่อนๆ จึงทำให้ท่านบรรลุพระอรหัตผลได้ในชาตินี้ ซึ่งมีข้อความโดยพิสดารปรากฏในอรรถกถาโลสกชาดก


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 20 พ.ย. 2019, 12:21, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2019, 01:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วิบากแห่งการคบชู้ภรรยาของชายอื่น

เรื่องนี้มีมาในนารทชาดก

เป็นคำกล่าวของพระนางรุจา ซึ่งท่านทั้งหลายที่เคยได้อ่านหรือได้ฟังมาแล้วว่า พระเจ้าวิเทหราชนั้นได้หลงเชื่อนักบวชเปลือย ว่าการทำบาปบุญไม่มีผลอันใด พระนางจึงได้กล่าวธรรมกถานี้ เพื่อหวังที่จะปลดเปลื้องความเห็นผิดของพระราชบิดานั้น ด้วยว่าพระนางสามารถระลึกชาติก่อนได้ถึง ๗ ชาติ และชาติต่อไปได้อีก ๗ ชาติ ซึ่งท่านสามารถศึกษารายละเอียดได้ใน นารทชาดก

ข้อความที่ยกมาด้านล่างจึงแสดงเฉพาะผลแห่งกาเมสุมิจฉาจาร คือการคบชู้กับภรรยาผู้อื่น เมื่อครั้งที่พระนางเกิดเป็นลูกนายช่างทอง ในอดีตชาติที่ ๗ ซึ่งกรรมได้มาส่งผลให้ได้รับทุกขเวทนา เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานถูกเขาใช้งาน เกิดเป็นลิงก็ถูกกัดอัณฑะ เกิดเป็นโคถูกตอน เกิดเป็นกระเทยและเกิดเป็นหญิงตามลำดับ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ดังมีข้อความแสดงดังต่อไปนี้

1. กระหม่อมฉัน (เมื่อเกิดเป็นลา) ต้องพาลูกผู้ดีทั้งหลายไปด้วยหลังบ้างด้วยรถบ้าง นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของผู้อื่น

2. ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลานั้นแล้ว ไปบังเกิดเป็นลิงในป่าใหญ่ ถูกนายฝูงผู้คะนองขบกัดลูกอัณฑะ นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของผู้อื่น

3. ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลิงนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นโคในทสันนรัฐ ถูกเขาตอน มีกำลังแข็งแรงกระหม่อมฉันต้องเทียมยานอยู่สิ้นกาลนาน นั่นเป็นผลของกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของผู้อื่น

4. ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐกระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคนั้นแล้ว มาบังเกิดเป็นกะเทยในตระกูลที่มีโภคสมบัติมากในแคว้นวัชชี จะได้เกิดเป็นมนุษย์ยากจริงๆ นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น

5. ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นกะเทยนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นนางอัปสรในนันทวัน ณ ดาวดึงส์พิภพ มีวรรณน่าใคร่ มีผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร สวมกุณฑลแก้วมณี เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้อง เป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะ ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ เมื่อกระหม่อมฉันอยู่ในดาวดึงส์พิภพนั้น ระลึกชาติแม้ในอนาคตได้อีก ๗ ชาติ ที่กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว จักไปเกิดต่อไป

6. กุศลที่กระหม่อมฉันกระทำไว้ในเมืองโกสัมพีตามมาให้ผล กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ข้าแต่พระมหาราชา กระหม่อมฉันเป็นผู้อันชนทั้งหลายสักการบูชาแล้วเป็นนิตย์ตลอด ๗ ชาติ กระหม่อมฉันไม่พ้นจากความเป็นหญิงตลอด ๖ ชาติ

7. ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ชาติที่ ๗ กระหม่อมฉันจักได้เกิดเป็นเทวดาผู้ชาย เป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก เป็นผู้สูงสุดในหมู่เทวดา

แม้วันนี้ นางอัปสรทั้งหลายก็ยังร้อยดอกไม้เป็นพวงมาลัยอยู่ในนันทวัน เทพบุตรพระนามว่าชวะสามีของกระหม่อมฉัน ยังรับพวงมาลัยอยู่ ๑๖ ปี ในมนุษย์นี้ราวครู่หนึ่งของเทวดา ๑๐๐ ปีในมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาดังที่ได้กราบทูลให้ทรงทราบมานี้ กรรมทั้งหลายย่อมติดตามไปทุกๆ ชาติ แม้ตั้งอสงไขย ด้วยว่ากรรมจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม(ยังไม่ให้ผลแล้ว) ย่อมไม่พินาศไป.


แก้ไขล่าสุดโดย ปฤษฎี เมื่อ 20 พ.ย. 2019, 12:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2019, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วิบากแห่งการอาฆาตและติเตียนพระอัครสาวกของโกกาลิกภิกษุ

ครั้งนั้นแล ภิกษุ ชื่อโกกาลิกะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นผู้มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโกกาลิกะ เธออย่ากล่าวอย่างนั้น เธออย่ากล่าวอย่างนั้น เธอจงยังจิตให้เสื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด เพราะสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ

แม้ครั้งที่ ๒ โกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของข้าพระองค์ เป็นผู้มีพระพุทธพจน์อันข้าพระองค์พึงเชื่อถือได้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรโกกาลิกะ เธออย่ากล่าวอย่างนั้น เธออย่ากล่าวอย่างนั้น เธอจงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด เพราะสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ

แม้ครั้งที่ ๓ โกกาลิกภิกษุได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของข้าพระองค์ เป็นผู้มีพระพุทธพจน์อันข้าพระองค์พึงเชื่อถือได้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรโกกาลิกะ เธออย่ากล่าวอย่างนี้ เธออย่ากล่าวอย่างนี้ เธอจงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด เพราะสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ

ครั้งนั้นแล โกกาลิกภิกษุลุกขึ้นจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป เมื่อโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ร่างกายมีตุ่มเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเกิดขึ้นทั่วตัว ตุ่มเหล่านั้นเท่าเมล็ดถั่วเขียว แล้วก็โตเท่าเมล็ดถั่วดำ แล้วก็โตเท่าเมล็ดพุทรา แล้วก็โตเท่าเมล็ดกระเบา แล้วก็โตเท่าผลมะขามป้อม แล้วก็โตเท่าผลมะตูมอ่อน แล้วก็โตเท่าผลมะตูมแก่ แล้วจึงแตกหนองและเลือดหลั่งไหลออก ได้ยินว่า โกกาลิกภิกษุนั้นนอนบนใบตองกล้วยเหมือนปลากินยาพิษ ครั้งนั้นแล ตุทิปัจเจกพรหมเข้าไปหาพระโกกาลิกยังที่อยู่ครั้นแล้วยืนอยู่ที่เวหาสได้กล่าวกะโกกาลิกภิกษุว่า ดูกรโกกาลิกะ ท่านจงยังจิตให้เลื่อมใสในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเถิด เพราะพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก


โกกาลิกภิกษุถามว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร ฯ

ตุ. เราเป็นตุทิปัจเจกพรหม ฯ
โก. ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่าเป็นอนาคามีมิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนท่านมา ณ ที่นี้อีกในบัดนี้ อนึ่ง ท่านจงเห็นความผิดนี้ของท่านเท่าที่มีอยู่ ฯ

ครั้งนั้นแล ตุทิปัจเจกพรหมได้กล่าวกะโกกาลิกะภิกษุด้วยคาถาว่าผรุสวาจาเพียงดังจอบ ซึ่งเป็นเครื่องตัดทอนตนของคนพาลผู้กล่าวคำชั่ว ย่อมเกิดขึ้นที่ปากของบุคคลผู้เป็นบุรุษพาล ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรติเตียน หรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญผู้นั้นชื่อว่าสะสมโทษไว้ด้วยปาก ย่อมไม่ประสบความสุข เพราะโทษนั้น ฯ การปราชัยด้วยทรัพย์ในการเล่นการพนัน ด้วยตนเองจนหมดตัวนี้ เป็นโทษมีประมาณน้อย การที่บุคคลยังใจให้ประทุษร้าย ในพระอริยเจ้าผู้ดำเนินดีแล้วนี้ เป็นโทษมากกว่า บุคคลตั้งวาจาและใจอันเป็นบาป แล้วติเตียนพระอริยะ ย่อมเข้าถึงนรกสิ้นหนึ่งแสนนิรัพพุทกัป อีก ๓๖ นิรัพพุทะ และ ๕ อัพพุทะ ฯ


ครั้งนั้นแล โกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละด้วยอาพาธนั้นเองแล้วเกิดในนรก เพราะยังจิตให้อาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ลำดับนั้นเมื่อปฐมยามแห่งราตรีผ่านไปแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมผู้มีวรรณะสง่างาม ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายบังคม
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โกกาลิกภิกษุกระทำกาละแล้ว เกิดในปทุมนรก เพราะยังจิตให้อาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะพระเจ้าข้า ท้าวสหัมบดีพรหมครั้นกราบทูลดังนี้แล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่
นั้นเอง ครั้งนั้น เมื่อราตรีผ่านไปแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคืนนี้เมื่อปฐมยามผ่านไปแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมผู้มีวรรณะสง่างาม ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสวเข้ามาหาเรายังที่อยู่ อภิวาทเราแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญโกกาลิกภิกษุกระทำกาละแล้ว เกิดในปทุมนรก เพราะยังจิตให้อาฆาตในพระสารีบุตร
และพระโมคคัลลานะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมครั้นกล่าวคำนี้แล้วอภิวาทเรา กระทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นเอง ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ประมาณอายุในปทุมนรกนานเท่าไรหนอพระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรภิกษุ ประมาณอายุในปทุมนรกนานนัก ประมาณอายุในปทุมนรกนั้นยากที่จะกระทำการกำหนดนับได้ว่า ประมาณเท่านี้ปี ประมาณ
ร้อยปีเท่านี้ ประมาณพันปีเท่านี้ หรือประมาณแสนปีเท่านี้ ฯ

ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระองค์อาจเพื่อจะทำการเปรียบเทียบได้หรือ พระพุทธเจ้าข้า ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อาจอยู่ภิกษุ แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เปรียบเหมือนหนึ่งเกวียนเมล็ดงาของชนชาวโกศลมีอัตรา ๒๐ ขารี เมื่อล่วงไปแสนปีบุรุษนำเอาเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งออกจากเกวียนนั้น ดูกรภิกษุ เมล็ดงาหนึ่งเกวียนของชาวโกศลซึ่งมีอัตรา ๒๐ ขารีนั้น พึงถึงความสิ้นไปหมดไปโดยทำนองนี้เร็วกว่านั่นยังไม่ถึงหนึ่งอัพพุทะในนรกเลย

ดูกรภิกษุ ๒๐ อัพพุทะในนรกจึงเป็น ๑ นิรัพพุทะ
๒๐ นิรัพพุทะเป็น ๑ อพัพพะ
๒๐ อพัพพะเป็น ๑ อหหะ
๒๐ อหหะเป็น ๑ อฏฏะ
๒๐ อฏฏะ เป็น ๑ กุมุทะ
๒๐ กุมุทะเป็น ๑ โสคันธิกะ
๒๐ โสคันธิกะเป็น ๑ อุปปละ
๒๐ อุปปละเป็น ๑ ปุณฑรีกะ
๒๐ ปุณฑรีกะเป็น ๑ ปทุมะ


ดูกรภิกษุ โกกาลิกภิกษุเกิดในปทุมนรก เพราะยังจิตให้อาฆาตในสารีบุตรและโมคคัลลานะ ครั้นพระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดาได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

" ผรุสวาจาเพียงดังจอบ ซึ่งเป็นเครื่องตัดทอนตนของคนพาล
ผู้กล่าวคำชั่ว ย่อมเกิดขึ้นที่ปากของบุคคลผู้เป็นบุรุษพาล ผู้
ใดสรรเสริญผู้ที่ควรติเตียน หรือติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ
ผู้นั้นชื่อว่าสะสมโทษไว้ด้วยปาก ย่อมไม่ประสบความสุข
เพราะโทษนั้น

การปราชัยด้วยทรัพย์ในการเล่นการพนัน ด้วยตนเองจนหมด
ตัวนี้ เป็นโทษมีประมาณน้อย การที่บุคคลยังใจให้ประทุษ-
ร้าย ในพระอริยเจ้าผู้ดำเนินดีแล้วนี้ เป็นโทษมากกว่า บุคคล
ตั้งวาจาและใจอันเป็นบาป แล้วติเตียนพระอริยะ ย่อมเข้าถึง
นรกสิ้นหนึ่งแสนนิรัพพุทกัป อีก ๓๖ นิรัพพุทะ และ ๕
อัพพุทะ ฯ


@๑ ขารีเท่ากับ ๒๔๖ ทะนาน
เองจนหมดตัวนี้ เป็นโทษมีประมาณน้อย การที่บุคคลยังใจ
ให้ประทุษร้ายในพระอริยเจ้า ผู้ดำเนินดีแล้วนี้ เป็นโทษมาก
กว่า บุคคลตั้งวาจาและใจอันเป็นบาปแล้วติเตียนพระอริยะ
ย่อมเข้าถึงนรกสิ้นหนึ่งแสนนิรัพพุทกัป ๓๖ นิรัพพุทะ
และ ๕ อัพพุทะ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2019, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วิบากแห่งการเก็บกวาดลานโพธิ์ของท่านพระโพธิสัมมัชชกเถระ

เป็นคำกล่าวของท่านพระโพธิสัมมัชชกเถระ
ที่ท่านได้เก็บใบโพธิ์ที่ถูกทิ้งไว้ ณ ลานพระเจดีย์เอาไปทิ้งเสียทำให้ท่านได้รับคุณถึง ๒๐ ประการ คือ

๑. เมื่อยังท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมท่องเที่ยวไปแต่ในสองภพคือ ในเทวดาและมนุษย์
๒. จุติจากเทวโลกแล้วมาสู่มนุษยโลก ก็เกิดแต่ในสองสกุล คือ สกุลกษัตริย์และสกุลพราหมณ์
๓. มีอวัยวะน้อยใหญ่สมบูรณ์ สูงใหญ่ รูปสวย สะอาดสะอ้าน เต็มเปี่ยม ไม่บกพร่อง
๔. เมื่อเกิดในภพใดภพหนึ่ง คือ ในเทวโลกหรือมนุษยโลก ในภพนั้น ก็จะมีผิวพรรณเหมือนทองคำ เปรียบดังทองคำที่นายช่างหลอมแล้ว
๕. มีผิวอ่อนนุ่ม สนิท สุขุม ละเอียดอ่อนอยู่ตลอดเวลา
๖. ในคติไหนๆ ก็ตามที ฝุ่นละอองย่อมไม่ติดในสรีระของท่านเลย
๗. ความร้อนลม แดดหรือเพราะความร้อนของไฟก็ตาม ที่ตัวของท่านไม่มีเหงื่อไหลเลย
๘. ในกายของท่าน ไม่มีโรคเรื้อน ฝี กราก ตกกระ หูดและหิด เปื่อยเลย
๙. บุคคลเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมไม่มีโรคในกาย
๑๐. เขาเกิดในภพน้อยใหญ่ ย่อมไม่มีความบีบคั้นที่เกิดขึ้นทางใจเลย
๑๑. เขาเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมไม่มีใครเป็นข้าศึกเลย
๑๒. เขาเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมมีโภคทรัพย์ไม่บกพร่องเลย
๑๓. เขาเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมไม่มีภัยแต่ไฟ พระราชา โจรและน้ำ
๑๔. เขาเกิดในภพน้อยภพใหญ่ทาสหญิงชายและคนเดินตาม ย่อมประพฤติตามจิตของเขา
๑๕. เขาเกิดในมนุษยโลกในปริมาณอายุเท่าใด อายุของเขาย่อมไม่ลดไปจากปริมาณอายุนั้น ย่อมดำรงอยู่ตราบเท่าสิ้นอายุ
๑๖. คนใน คนนอก ตลอดถึงชาวนิคม ชาวรัฐ ล้วนแต่เป็นผู้ช่วยเหลือ ใคร่ความเจริญปรารถนาความสุขแก่เขาทั้งนั้น
๑๗. ในทุกๆ ภพ ท่านเป็นคนมีโภคทรัพย์ มียศ มีศิริ มีญาติ พวกพ้อง ไม่มีเวร หมดความสะดุ้ง ในกาลทั้งปวง
๑๘. เมื่อท่านยังท่องเที่ยวอยู่ในภพ เทวดา มนุษย์ อสูร คนธรรพ์ ยักษ์และรากษส ล้วนแต่ป้องกันรักษาท่านทุกเมื่อ
๑๙. ท่านเสวยยศสองอย่างทั้งในเทวโลกและมนุษยโลก
๒๐. ในอวสานท่านได้บรรลุศิวโมกข์มหานฤพานอันยอดเยี่ยม


" บุรุษใดประสพบุญเพราะเจาะจงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือโพธิพฤกษ์ของพระศาสดาพระองค์นั้น
สำหรับบุรุษเช่นนั้น สิ่งอะไรเล่าที่เขาจะหาได้ยาก
เขาย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่นๆ ในเพราะมรรคผล
นิกายเป็นที่มาและคุณ คือ ฌานและ อภิญญา
ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน

เมื่อก่อน เรามีใจยินดีเก็บใบโพธิ์เอาไปทิ้ง
จึงเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยองค์ ๒๐ ประการนี้
ทุกทิพาราตรีกาล เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว
พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้ "



ทราบว่า ท่านพระโพธิสัมมัชชกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ย. 2019, 23:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลแห่งการถึงไตรสรณคมณ์


ประวัติในอดีตชาติของพระติสรณคมนิยเถระ

ข้าพเจ้าเป็นคนเลี้ยงดูมารดาและบิดาอยู่ในกรุงจันทวดี มารดาและบิดาของข้าพเจ้าเป็นคนตาบอด ข้าพเจ้าเลี้ยงดูท่านทั้ง ๒ อยู่ในครั้งนั้น ครั้งนั้น ข้าพเจ้านั่งอยู่ในที่สงัดจึงคิดอย่างนี้ว่าเราเลี้ยงดูมารดาและบิดาอยู่ จึงไม่ได้บวช มวลมนุษย์ถูกความมืดมนอนธการปิดบังไว้แล้ว ถูกไฟ ๓ กองแผดเผาอยู่ เมื่อเกิดความเป็นเช่นนี้ขึ้นแล้ว ไม่มีใครจะเป็นผู้แนะนำ บัดนี้ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ประกาศคำสั่งสอนให้รุ่งเรือง สัตว์ผู้ใคร่บุญอาจเพื่อจะถอนตนขึ้นได้

ข้าพเจ้ารับสรณะ ๓ แล้ว รักษาให้บริบูรณ์ ด้วยกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ดีแล้วนั้น ข้าพเจ้าจึงพ้นทุคติได้ ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาสมณะนามว่านิสภะผู้เป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้าแล้วรับสรณคมน์ ครั้งนั้น เหล่าสัตว์มีอายุประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ข้าพเจ้าได้รักษาสรณคมน์ให้บริบูรณ์ตลอดระยะเวลาเท่านั้น เมื่อจิตดวงสุดท้ายกำลังเป็นไปอยู่ ข้าพเจ้าระลึกถึงสรณคมน์นั้นได้แล้ว ด้วยกรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ดีแล้วนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ไปเกิดยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเทวโลกได้ประกอบแต่บุญกรรม ไปถึงภูมิประเทศใดๆ ย่อมได้เหตุ ๘ ประการ ในภูมิประเทศนั้นๆ คือ

(๑) ข้าพเจ้าได้รับการบูชาทุกทิศ
(๒) เป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม
(๓) เทวดาทั้งปวงย่อมประพฤติตาม
(๔) ได้โภคสมบัตินับไม่ถ้วน
(๕) เป็นผู้มีผิวพรรณดังทองคำ
(๖) เป็นผู้มีไหวพริบในทุกเรื่อง
(๗) เป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่อมิตร
(๘) มียศฟุ้งขจรไป

ข้าพเจ้าเป็นจอมเทพครองเทวสมบัติ ๘๐ ชาติ มีเหล่านางเทพอัปสรห้อมล้อม ได้เสวยทิพยสุข
ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ชาติ ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
เมื่อถึงภพสุดท้าย ข้าพเจ้าประกอบแต่บุญกรรมได้เกิดในตระกูลพราหมณมหาศาลมั่งคั่งที่สุดในกรุงสาวัตถี
เวลาเย็น (วันหนึ่ง) ข้าพเจ้าต้องการจะเล่นจึงออกจากนคร มีพวกเด็กๆ ห้อมล้อม เข้าไปยังสังฆาราม
ณ ที่นั้น ข้าพเจ้าได้พบสมณะรูปหนึ่งผู้หลุดพ้น ไม่มีอุปธิท่านแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า และได้ให้สรณะแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้านั้นฟังสรณะแล้ว ระลึกถึงสรณะของข้าพเจ้าได้นั่งอยู่บนอาสนะเดียวได้บรรลุอรหัตตผลแล้ว ข้าพเจ้าเกิดได้ ๗ ขวบ ก็ได้บรรลุอรหัตตผล พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุทรงรู้คุณสมบัติของข้าพเจ้าแล้ว จึงประทานอุปสมบทให้ ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป ข้าพเจ้าได้ถึงสรณะทั้งหลาย กรรมที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ดีแล้วเพียงนั้นแสดงผลแก่ข้าพเจ้าในอัตภาพสุดท้ายนี้

สรณะข้าพเจ้า ก็รักษาไว้ดีแล้ว ใจข้าพเจ้า ก็ได้ตั้งไว้มั่นแล้ว ข้าพเจ้าจึงเสวยยศทุกอย่างแล้ว ได้บรรลุบทที่ไม่หวั่นไหว(คือนิพพาน) บรรดาท่านที่ต้องการจะฟังจงฟังข้าพเจ้ากล่าว ข้าพเจ้าจักบอกบทอันเป็นประโยชน์ที่ข้าพเจ้าเห็นเองแก่ท่านทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก
ศาสนาของพระชินเจ้าแผ่ไปอยู่
พระองค์ทรงลั่นอมตเภรีบรรเทาลูกศรคือความเศร้าโศกได้
ท่านทั้งหลายควรทำอธิการ(การสะสมบุญอันเป็นการทำที่ยิ่ง)
ในนาบุญที่ยอดเยี่ยมตามกำลังของตน
ท่านทั้งหลายจักพบพระนิพพาน
ท่านทั้งหลายจงรับสรณะ ๓ จงรักษาศีล ๕
ทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าแล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้
พวกท่านทุกคนจงถือข้าพเจ้าเป็นตัวอย่าง
รักษาศีลแล้วก็จักบรรลุอรหัตตผลได้โดยไม่นานเลย

(พระติสรณคมนิยเถระกราบทูลว่า)
ข้าพระองค์เป็นผู้ได้วิชชา ๓ มีฤทธิ์
ฉลาดในเจโตปริยญาณ ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรมาก
ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระองค์
ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดา
ในกัปที่นับมิได้ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพระองค์ได้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถึงสรณะ
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระติสรณคมนิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2019, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลแห่งการถวายน้ำ

คำกล่าวของท่าน อุทกทายิกาเถริ

ดิฉันเป็นหญิงหาบน้ำขายอยู่ในพระนครพันธุมดี เลี้ยงชีพด้วยการหาบน้ำ เลี้ยงดูเด็กๆ ก็ด้วยการหาบน้ำนั้น ดิฉันไม่มีไทยธรรม ดิฉันเข้าไปยังซุ้มน้ำแล้ว ตั้งน้ำไว้ถวายในบุญเขตอันยอดเยี่ยม

- เพราะกรรมที่ได้ทำไว้ดีแล้วนั้น ดิฉันจึงได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
- วิมานที่บุญกรรมสร้างให้แก่ดิฉันอยู่สวยงาม ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น ถูกนิรมิตขึ้นก็เพราะการหาบน้ำ
- ก็ครั้งนั้นดิฉันประเสริฐกว่าพวกนางอัปสรตั้งพัน ดิฉันครอบงำนางอัปสรเหล่านั้นทั้งหมดด้วยฐานะ ๑๐ ประการ
- ดิฉันได้เป็นพระอัครมเหสีของท้าวสักรินทเทวราช ๕๐ พระองค์
- ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๐ พระองค์
- ดิฉันท่องเที่ยวอยู่แต่ในสองภพ คือ เทวดาและมนุษย์ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำ
- บนยอดเขา ยอดไม้ ในอากาศ หรือพื้นดินก็ตาม ดิฉันต้องการน้ำเมื่อใด ดิฉันย่อมได้โดยเร็วพลันเมื่อนั้น
- ทิศที่ไม่มีฝนมีอยู่ ก็เพราะดิฉันเร่าร้อนระหายน้ำแล้ว มหาเมฆรู้ความดำริของดิฉันย่อมยังฝนให้ตกลง
- ในบางครั้งเมื่อดิฉันถูกหมู่ญาตินำเอาออกไป มหาเมฆได้ยังฝนให้ตกลงในคราวที่ดิฉันปรารถนาฝน
- ในสรีระของดิฉัน ไม่มีความเร่าร้อนหรือความกระวนกระวายเลย และละอองธุลีก็ไม่มีในกายของดิฉัน นี้เป็นผลแห่งการให้น้ำเป็นทาน

ทุกวันนี้ ดิฉันมีใจบริสุทธิ์ปราศจากใจที่ชั่วช้า มีอาสวะสิ้นไปหมดแล้ว
บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ดิฉันได้ทำกรรมใดในกาลนั้น
ด้วยกรรมนั้นดิฉันไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการให้น้ำเป็นทาน
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายหมดแล้ว ... พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.


ทราบว่า ท่านพระอุทกทายิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2019, 23:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลแห่งการพยากรณ์และกล่าวชมเชยพระพุทธเจ้า

คำกล่าวของท่านสัมมุขาถวิกเถระ

ในอดีตชาติท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ได้เล่าเรียนศิลปะวิทยาจนสำเร็จเมื่ออายุได้เพียง ๗ ปี และดำรงอยู่ในเพศฆารวาส เมื่อพระวิปัสสีโพธิสัตว์อุบัติขึ้นท่านได้กล่าวพยากรณ์ความเป็นพระพุทธเจ้าตามลักษณะของพระพุทธเจ้าที่ได้เล่าเรียนมาจากคัมภีร์ไตรเภท และได้กล่าวชมเชยพระพุทธองค์ ซึ่งมีข้อความดั่งต่อไปนี้


เมื่อพระวิปัสสีโพธิสัตว์ประสูติ เราได้พยากรณ์นิมิตว่า จักยังหมู่ชนให้ดับ จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติหมื่นโลกธาตุย่อมหวั่นไหว

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ ได้มีแสงสว่างอันไพบูลย์

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ ไฟในอเวจีนรกไม่ลุกโพลง

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ หมู่นกไม่สัญจรไป

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ กองลมย่อมไม่พัดฟุ้งไป

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ แก้วทุกชนิดส่งแสงโชติช่วง

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ ทรงย่างพระบาทก้าวไป ๗ ก้าว

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่ พอพระสัมพุทธเจ้าประสูติแล้วเท่านั้น ก็ทรงเหลียวแลดูทิศทั้งปวง ทรงเปล่งอาสภิวาจา

นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย



เรายังหมู่ชนให้เกิดสังเวช เชยชมพระผู้มีพระภาคผู้นำของโลก ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าแล้ว บ่ายหน้ากลับไปทางทิศปราจีน

ในกัลปที่ ๙๑ แต่กัลปนี้ เราเชยชมพระพุทธเจ้าใด ด้วยการเชยชมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการเชยชม

ในกัลปที่ ๙๐ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่าสัมมุขาถวิกะ ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

ในกัลปที่ ๙๘ แต่กัลปนี้เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีนามว่าปฐวีทุนทุภิ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

ในกัลปที่ ๘๘ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จอมกษัตริย์มีนามว่าโอภาส สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

ในกัลปที่ ๘๗ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีนามว่าสริจเฉทนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

ในกัลปที่ ๘๖ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า อัคคินิพพาปนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

ในกัลปที่ ๘๕ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า วาตสมะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

ในกัลปที่ ๘๔ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่า คติปัจเฉทนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

ในกัลปที่ ๘๓ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า รัตนปัชชละ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

กัลปที่ ๘๒ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่า ปทวิกกมนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

ในกัลปที่ ๘๑ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่า วิโลกนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

ในกัลปที่ ๘๐ แต่กัลปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า คิริสาระ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก

คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖
เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2019, 02:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลแห่งการแผ้วถางพระเจดีย์

คำกล่าวของท่านปภังกรเถร

พระเจดีย์ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตระ เชษฐบุรุษของโลก ผู้คงที่ มีอยู่ในป่าชัฏ อันเกลื่อนกล่นด้วยเนื้อร้าย ใครๆ ไม่อาจจะไปเพื่อกราบไหว้พระเจดีย์ พระเจดีย์อันหญ้า ต้นไม้ และเถาวัลย์ปกคลุม หักพัง

ในกาลนั้น เราเป็นคนทำการงานในป่า ด้วยการงานของบิดาและปู่ เราได้เห็นพระสถูปอันหักพัง หญ้าและเถาวัลย์ปกคลุม ในป่าใหญ่ ครั้นได้เห็นพระสถูปแห่งพระพุทธเจ้าแล้ว ตั้งจิตเคารพไว้ว่า พระสถูปนี้แห่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด หักพังอยู่ในป่า พระสถูปไม่มีอะไรบังแดดฝน ไม่สมควรแก่คนที่รู้คุณและมิใช่คุณ

เราได้แผ้วถางพระสถูปแห่งพระพุทธเจ้าแล้ว จึงจะประกอบการงานอื่น ครั้นเราแผ้วถางหญ้าต้นไม้และเถาวัลย์ที่พระเจดีย์ไหว้นบครบ ๘ ครั้งแล้ว กลับไปยังที่อยู่ของตน

ด้วยกรรมที่เราทำดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตนามั่น

เราละกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่ชั้นดาวดึงส์ วิมานทองอันบุญกรรมทำไว้ในชั้นดาวดึงส์นั้น สวยงามเลื่อมประภัสสร สูง ๖๐ โยชน์ กว้าง ๓๐ โยชน์

เราได้เสวยรัชสมบัติในเทวโลก ๓๐๐ ครั้ง และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๕ ครั้ง

เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยใหญ่ ย่อมได้โภคสมบัติมาก ความพร่องในโภคสมบัติไม่มีแก่เราเลย นี้เป็นผลแห่งการแผ้วทาง

เมื่อเราไปในป่าใหญ่ด้วยคานหามหรือด้วยคอช้าง เราไปสู่ทิศใดๆ ในทิศนั้นๆ ป่าย่อมสำเร็จเป็นที่พึ่ง เราไม่เห็นตอหรือแม้หนามด้วยจักษุเลย เราประกอบด้วยบุญกรรม บุญกรรมย่อมนำปราศไปเอง

โรคเรื้อน ฝี กลาก โรคลมบ้าหมู คุดทะราด หิดเปื่อย และหิดด้าน ไม่มีแก่เรา นี้เป็นผลแห่งการแผ้วถาง เพราะเราแผ้วถางที่พระสถูปพระพุทธเจ้า

ความอัศจรรย์อย่างอื่นยังมีอีก เราไม่รู้สึกว่า ต่อมฝีมีหยาดน้ำเหลืองเกิดในกายของเราเลยเพราะเราแผ้วถางที่พระสถูปพระพุทธเจ้า

ความอัศจรรย์อย่างอื่นยังมีอีก เราได้ท่องเที่ยวอยู่ในภพ ๒ ภพ คือ ในความเป็นเทวดาหรือมนุษย์เพราะเราแผ้วถางที่พระสถูปพระพุทธเจ้า

ความอัศจรรย์อย่างอื่นยังมีอีก เราเป็นผู้มีผิวพรรณดังทองคำ เป็นผู้มีรัศมีในที่ทั้งปวง เพราะเราแผ้วถางที่พระสถูปพระพุทธเจ้า

ความอัศจรรย์อย่างอื่นยังมีอีก สิ่งที่ไม่ชอบใจไม่มี สิ่งที่ชอบใจเข้ามาตั้งไว้ เพราะเราแผ้วถางที่พระสถูปพระพุทธเจ้า

ความอัศจรรย์อย่างอื่นยังมีอีก จิตของเราเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ มีอารมณ์เดียวตั้งมั่นด้วยดี เพราะเราแผ้วถางที่พระสถูปพระพุทธเจ้า

ความอัศจรรย์อย่างอื่นยังมีอีก เรานั่งบนอาสนะเดียว ได้บรรลุอรหัต


ในกัลปที่แสนแต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใด ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น
เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการแผ้วถาง

คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖
เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2019, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผลแห่งการสดุดีพระรัตนตรัย

คำกล่าวของท่านสุคันธเถระ


พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์ ทรงพระยศใหญ่ มีพระนามชื่อว่ากัสสปะ
ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในภัทกัปนี้
พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะ มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ
อันรัศมีวาหนึ่งแวดล้อม มีข่ายรัศมีบังเกิดปรากฏ
ก่อให้เกิดความยินดีเหมือนพระจันทร์ ส่องแสงสว่างเหมือนพระอาทิตย์
ทรงยังหมู่สัตว์ให้เยือกเย็น เหมือนเมฆฝน
เป็นบ่อเกิดแห่งคุณเหมือนสาคร ปานประหนึ่งว่าแผ่นดินโดยศีล
เปรียบดังภูเขาหิมวันต์โดยสมาธิ เหมือนอย่างอากาศโดยปัญญา
เป็นผู้ไม่เกาะเกี่ยวเหมือนลม ไม่พร่องเหมือนวิหาร แกล้วกล้าในบริษัท
ทรงประกาศสัจธรรมช่วยมหาชนให้รอดพ้น


ครั้งนั้นเราเป็นเศรษฐีบุตรผู้มียศใหญ่ ในพระนครพาราณสี มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย เราเที่ยวเดินเล่นไปจนถึงป่ามฤคทายวัน ได้เห็นพระศาสดาผู้เป็นนาถะ กำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องหนทางอมตธรรม เราได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าทวยเทพ มีพระดำรัสเกลี้ยงเกลา น่ารัก มีพระสุรเสียงสม่ำเสมอเหมือนนกการะเวก มีพระสำเนียงก้องเหมือนเสียงหงส์และเสียงกลองใหญ่ ยังมหาชนให้ทราบชัดได้ และได้สดับพระสุรเสียงอันไพเราะ จึงได้ละโภคทรัพย์มิใช่น้อย ออกบวชเป็นบรรพชิต เราบวชแล้ว เช่นนี้ ไม่นานก็เป็นพหูสูต เป็นพระธรรมกถึก มีปฏิภาณอันวิจิตร เราเป็นคนองอาจในการพรรณนา ได้พรรณนาพระคุณของพระศาสดาผู้มีพระฉวีวรรณเหมือนทองคำ ในท่ามกลางบริษัทย่อยๆ ว่า

" พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ เป็นพระขีณาสพ เป็นผู้ตื่นแล้วไม่มีทุกข์
ทรงตัดความสงสัยได้แล้ว ทรงถึงความสิ้นกรรมทุกอย่าง
ทรงพ้นกิเลสแล้วในเพราะธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้นั้นเป็นผู้ตื่นแล้ว พระองค์เป็นผู้ประเสริฐยิ่ง
ทรงประกาศพรหมจรรย์ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก
ทรงฝึกพระองค์เองและทรงฝึกผู้อื่น
ทรงสงบระงับเองและทรงทำผู้อื่นให้สงบระงับ
เป็นผู้ดับกิเลส เป็นนักบวช ทรงยังผู้อื่นให้ดับกิเลส
เป็นผู้เบาพระทัยและทรงยังมหาชนให้เบาใจ
ทรงมีความเพียร องอาจ กล้าหาญ
มีพระปัญญาทรงประกอบด้วยพระกรุณา
ทรงมีความชำนาญ เป็นผู้มีชัยชนะ เป็นพระพิชิตมาร
ไม่ทรงคะนอง ทรงหมดความห่วงใย เป็นผู้ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นสะเทือน
เป็นนักปราชญ์ ไม่ทรงหลงใหล ไม่มีใครเทียมทัน เป็นมุนี มีปกตินำธุระไป
ทรงอาจหาญแม้ในพวกครู ดังโคอุสุภราชพระยาคชสาร(และ) ไกรสรสีหราช
เป็นผู้ปราศจากราคะ ปราศจากมลทิน เป็นดังพรหม
กล้ากว่านักปราชญ์ หักเสียซึ่งข้าศึกคือกิเลส
หมดเสี้ยนหนาม ปราศจากความเศร้าโศกไม่มีใครเสมอเสมือน
เป็นผู้ประเสริฐ สะอาดหมดจด เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นนาถะ
เป็นหมอ เป็นผู้กำจัดลูกศร เป็นนักรบ เป็นผู้เบิกบาน
เป็นผู้คงแก่เรียนและเรียนรู้กว้างขวาง
ไม่หวั่นไหว มีใจเบิกบาน ยิ้มแย้ม ทรงทำการฝึกอินทรีย์
เป็นผู้นำตนไป เป็นผู้ทำ เป็นผู้นำ เป็นผู้ประกาศ
เป็นผู้ทำสัตว์ให้ร่าเริง เป็นผู้วิด เป็นผู้ตัก เป็นผู้ฟัง เป็นผู้สรรเสริญ
เป็นผู้ไม่กำเริบ ปราศจากลูกศร ไม่มีทุกข์ ไม่ทรงมีความสงสัย
เป็นผู้หมดตัณหา ปราศจากธุลี เป็นผู้ขุด เป็นผู้ทำลาย เป็นผู้
กล่าว เป็นผู้ทำให้ปรากฏ เป็นผู้ยังสัตว์ให้ข้าม ให้ทำประโยชน์
เป็นผู้ถึงสัมปทา เป็นผู้ยังสัตว์ให้บรรลุ เป็นผู้ไปด้วยกัน เป็นผู้ฆ่า
ทรงยังกิเลสให้เร่าร้อน ให้เหือดแห้ง ดำรงอยู่ในสัจจะ หาผู้เสมอมิได้
ไม่มีสหาย เป็นที่อยู่แห่งความเอ็นดู มีมนต์อัศจรรย์
ไม่ทรงลวงให้พิศวง เป็นผู้ทำ เป็นฤๅษี เป็นผู้ประเสริฐ(พระพุทธเจ้า)
ทรงข้ามพ้นความสงสัยแล้ว ไม่ทรงถือพระองค์ ทรงมีคุณหาประมาณมิได้
ไม่มีใครเปรียบปาน ล่วงคลองแห่งถ้อยคำทุกชนิด
ล่วงเวไนยสัตว์ทุกคน ทรงชนะหมู่มาร"


ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐมีพระรัศมีกำหนดด้วยร้อยพระองค์นั้น ย่อมนำอมตมหานิพพานมาให้ เพราะฉะนั้น ความเชื่อในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมละในพระสงฆ์ จึงมีประโยชน์ใหญ่ เราสรรเสริญพระพุทธเจ้าผู้เป็นสรณะอย่างสูงสุดของโลก ๓ ด้วยคุณมีอาทิเห็นปานดังนี้ แสดงธรรมกถาในท่ามกลางบริษัท

จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เสวยมหันตสุขในสวรรค์ชั้นดุสิต
จุติจากดุสิตแล้วเกิดในมนษย์เป็นผู้มีกลิ่นหอม ลมหายใจ กลิ่นปากและกลิ่นตัวของเราก็เช่นนั้นเหมือนกัน
คือ มีกลิ่นหอม และกลิ่นหอมนั้นนั่นแหละฟุ้งไปเนืองนิตย์
เรามีกลิ่นหอมทุกอย่างกลิ่นปากของเราหอมฟุ้งอยู่ทุกเมื่อ
สรีระของเรางดงาม หอมฟุ้งทุกทิพาราตรีกาล ปานดังดอกปทุม
ดอกอุบลและดอกจำปา ฉะนั้น

ทั้งหมดนั้นเป็นผลแห่งการกล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ผลนั้นน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจสดับคุณของพระพุทธเจ้านั้น ซึ่งเราได้กล่าวแล้ว ครั้นเรากล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า ซึ่งนำประโยชน์และความสุขมา ให้แล้ว เป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วในธรรมทั้งปวง

พระสงฆ์เป็นผู้ประกอบด้วยความเพียร มียศ ถึงความสุข งดงาม รุ่งเรือง
น่ารักน่าชม เป็นผู้กล่าว ไม่ดูหมิ่นดูแคลน ไม่มีโทษ และเป็นผู้มี
ปัญญาขวนขวายในธรรมที่เป็นสิ้นกิเลส สำหรับผู้ภักดีต่อพระพุทธ
เจ้าได้นิพพานโดยง่าย

เราจักกล่าวถึงเหตุของพวกเรา เชิญท่านทั้งหลายฟังเหตุนั้นตามเรื่อง

เราถวายบังคมก็เพราะค้นพบพระยศของพระผู้มีพระภาคที่มีอยู่
เพราะฉะนั้น แม้เราจะเกิดในภพใดๆ ก็ย่อมเป็นผู้มียศในภพนั้นๆ

เราสรรเสริญพระพุทธเจ้า ผู้ทำที่สุดทุกข์ และพระธรรมอันสงบระงับ ปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง
จึงได้เป็นผู้ถึงความสุข เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าทรงประทานความสุขแก่สัตว์ทั้งหลาย

เรากล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าว่ามีทั้งส่วนพระองค์และที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น
จึงเป็นผู้ประกอบด้วยปีติในพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้มีความงดงาม

เมื่อเรากล่าวสรรเสริญพระคุณ ชื่อว่าชมเชยพระผู้นำ ซึ่งทรงชำนะมาร ล่วงเสียซึ่งเดียรถีย์ ครอบงำเดียรถีย์โกงเสียได้ เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นคนมีความรุ่งเรือง

เมื่อเรากล่าวสรรเสริญพระคุณของพระสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าพระองค์ให้เป็นที่รักแม้แห่งหมู่ชน
เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้น่ารัก น่าชม เหมือนพระจันทร์อันมีในสรทกาลฉะนั้น

เราชมเชยพระสุคตเจ้าด้วยวาจาทุกอย่าง ตามสติสามารถ เพราะฉะนั้น เราจึงมีปฏิภาณวิจิตร เหมือนท่านพระวังคีสะ

คนพาลพวกใดเป็นผู้ถึงความสงสัย จึงดูหมิ่นพระมหามุนี เราข่มขี่คนพาลพวกนั้นโดยชอบธรรม เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ถูกดูหมิ่น

เราได้ช่วยทำกิเลสของสัตว์ทั้งหลายให้หมดไป ด้วยการสรรเสริญพระคุณพระพุทธเจ้า เพราะอำนาจของกรรมนั้น เราจึงเป็นผู้มีใจไม่มีกิเลส

เราผู้แสดงพุทธานุสสติ ได้ทำปัญญาเครื่องตรัสรู้ให้เกิดแก่ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งอรรถอันละเอียด

เราจักเป็นผู้สิ้นอาสวะทุกอย่าง จักข้ามพ้นสาครคือสงสารไปได้ และมีความชำนิชำนาญ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ถึงความดับสนิท

ในกัปนี้เองเราได้ชมเชยพระชินเจ้าใด ด้วยการชมเชยนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา

เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2020, 04:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องชน ๓ คน


เรื่องมีอยู่ว่า มีภิกษุ 3 กลุ่มมีประสบการณ์ไปพบเห็นที่แตกต่างกัน คือ ภิกษุกลุ่มที่หนึ่ง จะเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดา ในระหว่างทางได้ไปแวะพักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขณะที่พวกชาวบ้านกำลังตระเตรียมปรุงอาหารบิณฑบาตถวายพระสงฆ์อยู่นั้น มีบ้านหลังหนึ่งเกิดไฟไหม้ และมีเสวียนไฟ(ลักษณะเป็นวงกลม) ปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้า และมีอีกาตัวหนึ่งบินสอดคอเข้าไปในวงเสวียนไฟตกลงมาตายที่กลางหมู่บ้าน ภิกษุทั้งหลายเห็นอีกาบินสอดคอเข้าไปในเสวียนตกลงมาตายเช่นนั้น ก็กล่าวว่า จะมีก็แต่พระศาสดาเท่านั้นที่จะทรงทราบกรรมชั่วที่ส่งผลให้อีกาตัวนี้ต้องมาประสบชะตากรรมเสียชีวิตอย่างสยดสยองครั้งนี้

ภิกษุกลุ่มที่สอง โดยสารเรือจะไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อเรือลำนั้นเดินทางมาถึงกลางมหาสมุทร เกิดการหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกผู้โดยสารมากับเรือต่างปรึกษาหารือกันถึงสาเหตุที่ทำให้เรือหยุด เห็นว่าในเรือน่าจะมีคนกาลกัณณี จึงได้ทำสลากแจกให้แต่ละคนจับเพื่อค้นหาคนกัณณีคนนั้น ปรากฏว่าสลากคนกาลกัณณีนั้น ภรรยาของนายเรือจับได้ถึงสามครั้ง นายเรือจึงกล่าวขึ้นว่า คนทั้งหลายจะมาตายเพราะหญิงกาลกัญณีคนนี้ไม่ได้ จึงจับภรรยาของนายเรือ ใช้กระสอบทรายมัดที่คอแล้วผลักตัวลงไปในน้ำทะเล เมื่อหญิงภรรยาของนายเรือถูกจับถ่วงน้ำไปแล้ว เรือก็สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างปาฏิหาริย์ เมื่อภิกษุเหล่านั้นเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ก็ขึ้นฝั่งจะเดินทางต่อไปเฝ้าพระศาสดา พระกลุ่มนี้ตั้งใจว่าจะทูลถามว่า หญิงผู้นี้ทำกรรมชั่วอะไรไว้ จึงเป็นผู้โชคร้ายถูกถ่วงน้ำจนเสียชีวิต

ภิกษุกลุ่มที่สามก็จะเดินทางมาเฝ้าพระศาสดาเหมือนกัน แต่ในระหว่างทางได้เข้าไปสอบถามที่พระภิกษุวัดแห่งหนึ่งว่าพอจะมีที่พักค้างแรมสักคืนในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่ เมื่อได้รับแจ้งว่ามีถ้ำแห่งหนึ่งพอจะพักค้างแรมได้ จึงได้เดินทางไปพัก ณ ที่นั้น แต่พอถึงช่วงกลางดึกก็มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งกลิ้งมาปิดที่ปากถ้ำ ในตอนเช้าพวกภิกษุจากวัดที่อยู่ใกล้ๆเดินทางมาที่ถ้ำ เมื่อเห็นหินใหญ่กลิ้งมาปิดอยู่ที่ปากถ้ำเช่นนั้น ก็ได้ไปตระเวนขอแรงชาวบ้านจากเจ็ดหมู่บ้านให้มาช่วยกันผลักหินก้อนนั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้พระภิกษุ 7 รูปจึงถูกขังอยู่ในถ้ำโดยไม่ได้ฉันอาหารฉันเป็นเวลา 7 วัน พอถึงวันที่ 7 หินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำก็เคลื่อนตัวออกมาเองราวปาฏิหาริย์ ภิกษุกลุ่มนี้ก็ตั้งใจว่า เมื่อเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาแล้วก็จะทูลถามว่าเป็นวิบากกรรมชั่วอะไรที่ทำให้พวกท่านต้องถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง 7 วันเช่นนี้


ภิกษุทั้งสามกลุ่มได้เดินทางมาพบกันระหว่างทาง จึงเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกัน ภิกษุแต่ละกลุ่มก็ได้กราบทูลถึงสิ่งที่กลุ่มตนได้ประสบพบเห็นมา และพระศาสดาได้ตรัสตอบคำถามของพระภิกษุทั้งสามกลุ่มดังนี้

พระศาสดาตรัสตอบคำถามของพระภิกษุกลุ่มแรกว่า “ ภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้ เรื่องมีอยู่ว่า ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ฝึกโคของตนอยู่ แต่ไม่อาจฝึกได้ ด้วยว่าโคของเขาเดินไปได้หน่อยเดียวก็นอน แม้เขาจะตีให้ลุกขึ้น ให้เดินไปได้หน่อยเดียวก็ล้มตัวลงนอนเหมือนอย่างเดิม ชาวนานั้น แม้พยายามแล้วก็ไม่สามารถฝึกโคได้สำเร็จ จึงมีความโกรธ กล่าวกับมันว่า อยากนอนนัก ก็นอนอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหนอีก ว่าแล้วก็เอาฟ่อนฟางมามัดที่คอโคแล้วจุดไฟเผา โคถูกไฟคลอกตาย ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น ชาวนานั้นกระทำแล้วในครั้งนั้น ทำให้เขาหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น เกิดแล้วในกำเนิดกา 7 ครั้ง ถูกไฟไหม้ตายในอากาศอย่างนี้แหละ ด้วยเศษวิบากกรรม"

พระศาสดาตรัสตอบปัญหาของพระภิกษุกลุ่มที่สองว่า “ภิกษุทั้งหลาย ครั้งหนึ่งมีหญิงผู้หนึ่ง เลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง นางพาสุนัขตัวนี้ไปไหนมาไหนด้วย จนพวกเด็กๆเห็นพากันล้อเลียน นางทั้งโกรธและรู้สึกอับอายมากจึงได้วางแผนฆ่าสุนัขนั้น นางได้เอาหม้อมาใส่ทรายจนเต็มแล้วผูกหม้อทรายนั้นที่คอของสุนัขแล้วถ่วงสุนัขนั้นลงในน้ำ จนสุนัขนั้นจมน้ำตาย จากผลของกรรมชั่วครั้งนั้น นางตกรกอยู่เป็นเวลานาน ในร้อยชาติสุดท้าย นางถูกมัดถ่วงด้วยกระสอบทรายที่คอก่อนจะถูกผลักลงน้ำจนเสียชีวิต”

พระศาสดาตรัสตอบปัญหาของพระภิกษุกลุ่มที่สามว่า “ภิกษุทั้งหลาย ครั้งหนึ่งเด็กเลี้ยงโค 7 คนเห็นเหี้ยตัวหนึ่งเดินเข้าไปในช่องจอมปลวก จึงช่วยกันปิดทางออกทั้ง 7 ช่องของจอมปลวกด้วยกิ่งไม้และก้อนดินเหนียว หลังจากปิดช่องทางไม่ให้เหี้ยออก พวกเด็กก็ต้อนโคไปเลี้ยง ณ ที่อื่น หลังจากนั้นอีกเจ็ดวัน เมื่อต้อนโคกลับมาที่เดิมจึงนึกขึ้นมาได้ และได้ไปช่วยกันเปิดช่องจอมปลวกให้เหี้ยนั้นออกมา ก็เพราะวิบากกรรมครั้งนั้น ทำให้ทั้ง 7 คนถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง 7 วันโดยไม่ได้รับประทานอาหารแบบนี้ ในช่วง 14 ชาติสุดท้าย”

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระศาสดาว่า “ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นไปสู่มหาสมุทรก็ดี เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี จะไม่ทำให้สามารถรอดพ้นจากกรรมได้ ใช่หรือไม่ พระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสว่า “อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย ไม่ว่าจะไปอยู่ในอากาศ หรือไปอยู่ที่ใดก็ตาม ไม่มีที่ไหนๆที่บุคคลไปอยู่แล้ว จะรอดพ้นจากกรรมชั่วได้”

น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชเต โส ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิโต มุจเจยฺย ปาปกมฺมา.

คนที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ
ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วได้
หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร
ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา
ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
เพราะเขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด
พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่.


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั้น บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.

https://sites.google.com/site/dhammatha ... ko/xx-xx-1


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร