วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ความหมายของวันวิสาขบูชา
ในแง่ปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่
ใ น ป ร ะ วั ติ แ ห่ ง ม นุ ษ ย ช า ติ

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
วัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม

ความหมายของวันวิสาขบูชาที่ได้กล่าวมานั้น
แม้จะลึกซึ้งและสำคัญ ก็ยังจำกัดแคบ เป็นเชิงคติเกี่ยวกับชีวิตบุคคล
คือพระชนมชีพของพระบรมศาสดา วันวิสาขบูชายังมีความหมายที่กว้างขวางยิ่งกว่านั้น

ซึ่งเป็นความหมายในขั้นหลักการของพระพุทธศาสนา
ตรงกับความจริงที่ว่า การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า
ก็คือการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา

และในแง่นี้การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา
เป็นปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่ที่มีลักษณะพิเศษ
ถือได้ว่าเป็นการขึ้นสู่ยุคใหม่แห่งประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
โดยที่การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

มีความหมายเชิงหลักการ ดังนี้

:b42: ๑. การประสูติของพระพุทธเจ้า คือการประกาศอิสรภาพของมนุษย์ :b42:

การประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ก็หมายถึงการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าด้วย
เป็นความหมายที่โยงถึงกันอยู่ในตัว

การประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ
มีสัญลักษณ์อยู่ที่การทรงประกาศการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า
ด้วยพระดำรัสที่เรียกว่า “อาสภิวาจา” (วาจาอาจหาญ) ว่า

“อคโคหมสมิ โลกสส, เชฏโฐหมสมิ โลกสส, เสฏโฐหมสมิ โลกสส”
(อาสภิวาจา ในคราวประสูติ ดู ที.ม. ๑๐/๒๖
(ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ข้อ ๒๖); ม.อุ.๑๔/๓๗๗
(มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๓๗๗)) แปลว่า


“เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นพี่ใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก”

พระวาจานี้ทรงประกาศท่ามกลางสังคมมนุษย์ที่มีอิทธิพลของการนับถือเทพเจ้า
ครอบคลุมและครอบงำไปทั่วทั้งหมด คำว่า “เชฏฐ” เป็นต้นนั้น
เป็นคำแสดงฐานะของพระพรหมผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุด
มนุษย์ยุคนั้นเชื่อว่าชีวิตและสังคมของตนจะดีร้ายเป็นไปอย่างไร
ย่อมขึ้นต่ออำนาจของเทพเจ้าที่จะลงโทษหรือโปรดปรานดลบันดาลให้เป็นอย่างไร

สิ่งที่มนุษย์จะต้องทำเพื่อนำผลดีมาสู่ชีวิต ครอบครัว และสังคมของตน
ก็คือการยอมสยบต่อเทวบัญชา และการอ้อนวอนบูชาขอผลที่ปรารถนา
ด้วยการเซ่นสรวงสังเวยและการบูชายัญ

เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น
พระองค์ได้ประกาศหลักการที่เป็นการปฏิวัติความคิดความเชื่อ
และวิถีชีวิตของมนุษย์ว่ามนุษย์นี้เป็นสัตว์พิเศษ
มีศักยภาพที่จะฝึกฝน พัฒนาให้ดีเลิศประเสริฐสูงสุดได้
เมื่อมนุษย์ฝึกฝนพัฒนาตนให้มีคุณความดีและมีปัญญาญาณสมบูรณ์
ก็จะเป็นบุคคลประเสริฐเลิศสูงสุด ที่เรียกว่า “พุทธะ”
ซึ่งเทพเจ้าทั้งหลายตลอดแม้กระทั่งพระพรหมก็จะน้อมนบบูชา


ฉะนั้น มนุษย์ที่ฝึกฝนพัฒนาตนสูงสุด คือ “พุทธะ” นี้ต่างหาก
ที่เป็น “อัคคะ” (ผู้เลิศ) เป็น “เชฏฐะ” (ผู้เป็นใหญ่) เป็น “เสฏฐะ” (ผู้ประเสริฐ)
หาใช่เทพเจ้า แม้แต่พระพรหมผู้เป็นเจ้าไม่


ด้วยหลักการนี้ พระพุทธศาสนาได้กระตุ้น
และกระตุกมนุษย์ให้หันมาใส่ใจในศักยภาพแห่งมนุษย์ที่ มีอยู่ในตนเอง
และเกิดความสำนึกในการที่จะฝึกฝนพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่
พฤติกรรม ภูมิธรรม ภูมิปัญญาของตน


ด้วยความตระหนักรู้ว่า สันติ สุข และอิสรภาพ แห่งชีวิต
และสังคมของตนจะสัมฤทธิ์หรือไม่
และแค่ไหนเพียงใด อยู่ที่การฝึกฝนพัฒนาตัวของมนุษย์เอง
หาใช่อยู่ที่การดลบันดาลของเทพเจ้าไม่

มนุษย์ไม่ควรจะมัวคิดหาทางพะเน้าพะนออ้อนวอนเอาอกเอาใจเทพเจ้า
แต่ควรหันมาเพียรพยายามพัฒนาตนเองให้มีความสามารถที่จะสร้างสรรค์ความสำเร็จ
ด้วยสติปัญญาของตน

การประสูติของพระพุทธเจ้า หรือการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา
เป็นการปฏิวัติในประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ
ด้วยการประกาศว่า อำนาจสูงสุดที่กำหนดชะตากรรมของมนุษย์
ก็คือการฝึกฝนพัฒนาตน และการกระทำด้วยปัญญาที่พัฒนาขึ้นมาให้รู้ความจริงของธรรมชาติ
หาใช่การดลบันดาลของเทพเจ้าไม่

:b42: ๒. การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือการปรากฏแห่งธรรมขึ้นมาเป็นใหญ่สูงสุด :b42:

อิสรภาพของมนุษย์ ที่ทรงประกาศในการประสูตินั้น
จะบรรลุผลเป็นจริงก็เพราะมีการตรัสรู้
กล่าวคือเมื่อมนุษย์รู้เข้าใจมองเห็นความจริงของธรรมชาติแล้ว
ปฏิบัติการทั้งหลายได้ถูกต้องตามธรรม
โดยฝึกฝนพัฒนาตนให้มีปัญญาญาณจนตรัสรู้เข้าถึงธรรมแล้ว
มนุษย์จึงเป็น “พุทธะ” ผู้ประเสริฐเลิศสูงสุด


การตรัสรู้ คือการบรรจบประสานระหว่างปัญญาของมนุษย์ กับธรรม
คือความจริงของธรรมชาติ เมื่อตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่า


“ยทา หเว ปาตุภวนติ ธมมา”
(พุทธอุทาน เมื่อแรกตรัสรู้นี้ ดู วินย.๔/๑-๓(วินัยปิฎก มหาวรรค พระไตรปิฎก เล่ม ๔ ข้อ ๑-๓);
ขุ.อุ.๒๕/๓๘–๔๐ (ขุททกนิกาย อุทาน พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ ข้อ ๓๘–๔๐)) เป็นต้น


มีใจความว่า

เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่บุคคลประเสริฐ
ผู้เพียรพยายามเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้นปวงความสงสัย ย่อมมลายไป
เพราะมารู้เข้าใจถึงธรรมพร้อมทั้งเหตุของมัน
...เพราะได้รู้ถึงภาวะที่สิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย...
ขจัดมารและเสนาเสียได้ ดังตะวันส่องฟ้าทอแสงจ้าอยู่ ฉะนั้น”


ธรรม คือความจริงของธรรมชาตินั่นแหละยิ่งใหญ่สูงสุด
หาใช่เทพเจ้าหรืออำนาจดลบันดาลอันใดไม่
แม้แต่เทพทั้งหลายก็อยู่ใต้อำนาจของธรรม

คือความจริงแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัยเป็นต้นในธรรมชาตินั่นเอง
ธรรมย่อมเหนือเทพ เทพจะเหนือธรรมไปไม่ได้
เมื่อรู้เข้าใจอย่างนี้แล้ว มนุษย์ก็จะได้เพียรพยายามฝึกฝนพัฒนาตนให้รู้เข้าใจ
และปฏิบัติการทั้งหลายให้ ถูกต้องตามธรรม
เพราะมนุษย์มีปัญญาที่สามารถพัฒนาให้ลุถึงธรรมได้


เมื่อเข้าถึงธรรมแล้ว ก็มีความเป็นอิสระที่จะเป็นอยู่
และทำการอย่างประสานกับธรรม ด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจธรรมนั้น
ซึ่งมีความเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่แน่นอน
ไม่ต้องคอยเอาอกเอาใจคอยรอคำสั่งบัญชาของเทพยดาพรหมเจ้า
ที่ไม่รู้ว่าจะต้องประสงค์อย่างใด และจะขัดเคืองหรือโปรดปรานอย่างไหน เมื่อใด

:b42: ๓. การปรินิพพาน คือการเตือนจิตสำนึกในวิถีชีวิตแห่งความไม่ประมาท :b42:

ด้านหนึ่งของธรรมหรือความเจริญแห่งกฎธรรมชาติ
ก็คือความไม่เที่ยงแท้คงทน และความเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามเหตุปัจจัยของสิ่งทั้งหลาย
ธรรมคือความจริงนี้มีอยู่ หรือกำกับอยู่กับชีวิตของมนุษย์ทุกคน
โดยเฉพาะการที่ชีวิตนั้นจะต้องสิ้นสุดลงด้วยความตาย

ในขณะที่ความเป็นจริงของธรรมบอกเราว่า
เราจะต้องฝึกฝนพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติ มีความสามารถ
และมีปัญญาที่จะรู้เข้าใจและปฏิบัติการทั้งหลายให้ถูกต้องตามธรรม
คือกฎธรรมชาติ ชีวิตของเราจะดีงามเลิศประเสริฐ บรรลุสันติสุขและอิสรภาพแท้จริง
ก็ต่อเมื่อมีปัญญาเข้าถึงธรรมและสามารถทำชีวิตและสังคมมนุษย์ให้ดำเนินตามธรรม


แต่พร้อมกันนั้นธรรมนั่นเองก็กำกับความจริงไว้ว่า
ชีวิตและสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเราทุกอย่างไม่ยั่งยืนคงทนอยู่ตลอดไป
จะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามเหตุปัจจัย


เพราะฉะนั้นเราจะนิ่งนอนใจประมาทอยู่ไม่ได้
เพราะถ้ามัวประมาทผัดเพี้ยนละเลย
ชีวิตของเราอาจหมดโอกาสที่จะพัฒนาให้เข้าถึงคุณค่า
และประโยชน์ที่พึงได้จากธรรม

ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และประกาศแก่โลกแล้วนั้น
มาปรากฏผลเป็นประโยชน์แก่ชีวิตและสังคมของเรา
และเพื่อให้ชีวิตและสังคมของเราดำเนินไปสู่ความดีงาม
ความมีสันติสุขและอิสรภาพ
อันพึงได้จากธรรมนั้น เราจึงจะต้องเป็นอยู่อย่างไม่ประมาท
หรือดำเนินไปในวิถีชีวิตแห่งความไม่ประมาท

เพราะฉะนั้น เมื่อจะปรินิพพาน
พระพุทธเจ้าจึงตรัสพระวาจาสุดท้ายที่เรียกว่า “ปัจฉิมวาจา”
อันถือได้ว่าเป็นเครื่องหมายและความหมายแห่งการปรินิพพานว่า


“วยธมมา สงขารา อปปมาเทน สมปาเทถ”

(ปัจฉิม วาจา คราวปรินิพพาน ดู ที.ม. ๑๐/๑๔๓
(ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎก เล่ม ๑๐ ข้อ ๔๓); สํ.ส.๑๕/๖๒๐
(สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พระไตรปิฎก เล่ม ๑๕ ข้อ ๖๒๐))


แปลว่า “สิ่งทั้งหลายที่เกิดจากปัจจัยปรุงประกอบขึ้น
ล้วนมีอันจะต้องเสื่อมสลายไปเธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม”


(มีต่อ)


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 28 พ.ค. 2010, 01:12, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 00:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถ้าวันวิสาขบูชาจะช่วยให้เราระลึกถึงความหมายของการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
อย่างเข้าถึงหลักการของพระพุทธศาสนาตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
และเตือนใจให้เรานำหลักการนั้นมาใช้ประโยชน์กันอย่างจริงจัง

การบูชาของเราก็จะเกิดคุณค่า เป็นประโยชน์แก่ชีวิตและสังคม
อย่างสมคุณค่าของวันวิสาขบูชาโดยแท้จริง
และจะช่วยให้มนุษยชาติก้าวขึ้นสู่ยุคใหม่แห่งการพัฒนามนุษย์
ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศนำไว้นานแล้ว ได้จริงจังเสียที


แต่ถ้าจะคิดเอาง่ายๆ อย่างน้อยก็ควรจะระลึกพิจารณาดังที่จะกล่าวต่อไป

ในวันเกิดบ้าง ในวันตายบ้าง ของบรรพบุรุษ บุรพการีชนคนที่เราเคารพนับถือ
ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหาย คนทั้งหลายนิยมกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นการแสดงความเคารพนับถือและความมีน้ำใจต่อบุคคลผู้นั้น

ไฉนเล่าในวันวิสาขบูชา
อันเป็นวันที่ระลึกถึงการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
พุทธศาสนิกชนจะไม่พึงทำการแสดงออกอะไรสักอย่างหนึ่ง
เพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นการแสดงน้ำใจต่อพระบรมศาสดาของตน


ในวันที่ระลึกถึงบุคคลผู้มีความสำคัญของวงศ์ตระกูลของกลุ่มชน หรือท้องถิ่นหนึ่ง
ก็ยังมีการจัดพิธีที่ระลึกหรืองานเฉลิมฉลองกัน
ไฉนเล่าในวันวิสาขบูชาที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่มวลมนุษย์
ประชาชนจะไม่พึงจัดพิธีสมโภชหรืองานมหาบูชา

พุทธศาสนิกชนผู้ปรารถนาจะแสดงน้ำใจต่อพระบรมศาสดา
อย่างน้อย หากจะสงบจิต ระลึกถึงพุทธภาษิต
หรือคำสอนของพระพุทธเจ้าสักข้อหนึ่ง
ก็คงจะพอชื่อว่าได้ทำอะไรอย่างหนึ่งเป็นพุทธบูชา

ถ้าสามารถพิจารณาตั้งจิตคิดไปตามให้เห็นความหมายด้วย
ก็จะชื่อว่าได้กระทำพุทธบูชาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก


หากมองเห็นความหมายที่จะพึงปฏิบัติได้
แล้วนำไปเป็นแบบอย่างสำหรับประพฤติตาม
ก็ย่อมจะได้ชื่อว่า เป็นผู้กระทำปฏิบัติบูชา
อันเป็นการบูชาอย่างสูงสุดที่พุทธศาสนิกชน
จะพึงแสดงออกได้ต่อพระบรมศาสดาของตน
นับว่าเป็นอานิสงส์อย่างสูงสุดของวันวิสาขบูชา


แท้จริง การที่เราบูชาพระพุทธเจ้านั้น
มิใช่เป็นการทำเพื่อประโยชน์แก่พระพุทธเจ้า
และพระพุทธเจ้าก็มิได้ทรงต้องการได้รับผลประโยชน์อะไรจากเรา
แต่เมื่อเราบูชาพระพุทธเจ้า ผลดีหรือประโยชน์ก็เกิดแก่ตัวเราผู้บูชานั้นเอง
ทั้งแก่ชีวิตของเรา และแก่สังคมของเราทั้งหมด


เมื่อเราบูชาพระพุทธเจ้า

จิตใจของเราก็โน้มน้อมไปในทางแห่งความดีงาม
ทำให้จิตใจเจริญงอกงาม เอิบอิ่ม เป็นสุข

เมื่อเราบูชาพระพุทธเจ้า

เราก็น้อมนำเอาพระคุณความดีของพระพุทธเจ้า
เข้ามาไว้ในจิตใจของเรา
ทำให้เรามั่นใจที่จะดำเนินต่อไปในวิถีทางแห่งความดีงาม
และประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระพุทธจริยาของพระองค์

เมื่อเราบูชาพระพุทธเจ้า

ก็เป็นการเตือนใจตัวเราเอง
ให้ระลึกถึงธรรมทั้งหลายที่พระองค์ทรงสั่งสอน
ซึ่งเราจะต้องเพียรพยายามปฏิบัติบำเพ็ญ
ให้ก้าวหน้าต่อไปจนกว่าจะจบสิ้นสมบูรณ์


เมื่อเราทั้งหลายพากันบูชาพระพุทธเจ้า
ก็จะเป็นสัญญาณของการที่เราเคารพยกย่องนิยมบุคคลที่ดีมีธรรม
และการเคารพเชิดชูธรรมที่เป็นความดีและความจริง
ซึ่งหากสังคมยังยึดถือในการบูชาอย่างนี้
สังคมก็จะดำรงรักษาธรรมไว้ได้
และธรรมก็จะคุ้มครองรักษาสังคมให้มีสันติสุขอย่างยั่งยืน

หากระลึกถึงพุทธภาษิตหรือคำสอนใด ๆ ไม่ได้เลย
และไม่สามารถทำอะไรอื่นอีกได้ ก็พึงสละเวลาทำใจให้สงบ
แล้วอ่านหรือฟังคำสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าสักท่อนหนึ่งตอนหนึ่ง
ถ้าในขณะที่อ่านหรือฟัง จิตใจเกิดความเลื่อมใสศรัทธา
เกิดปีติปราโมทย์ขึ้น หรือมีใจปลอดโปร่งโล่งเบาเบิกบานผ่องใส
ก็นับว่าได้มีส่วนร่วมฉลองวันวิสาขบูชา
และกระทำพุทธบูชาในวันสำคัญนี้ด้วย.


:b8: :b8: :b8:

(คัดลอกบางตอนมาจาก :
วิสาขปุณณมีบูชา โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... =1&gblog=3)


:b44: รวมกระทู้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ “วันวิสาขบูชา”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=87&t=45505

:b44: พุทธคุณ ๙ : คุณความดีของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=27034


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 28 พ.ค. 2010, 00:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2015, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 621


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2020, 22:11 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2021, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร