วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2020, 12:41 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


ประวัติและปฏิปทา
คุณแม่ชีพิมพา วงศาอุดม (แม่ชีน้อย)

วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

:b8: หนังสือ เรื่องของคุณแม่ชีพิมพา วงศาอุดม
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
ฉบับพิมพ์ เมษายน ๒๕๕๖


รูปภาพ

เถรานุมัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2020, 12:49 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


คำนำ
(พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์)

พ่อแม่ของชีพิมพาได้อพยพมาจากปราจีนบุรี ชีพิมพาได้มาเกิดที่บ้านหนองกอง ต.หนองกอง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย แม่ตายแต่เด็ก พี่สาวแม่จึงพาอพยพข้ามไปอยู่นครเวียงจันทน์ ความจริงก็คนเวียงจันทน์นั่นแหละ เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓ ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยกับนครเวียงจันทน์ได้เกิดสงครามกัน ฝ่ายคนนครเวียงจันทน์แพ้สงคราม ทหารไทยจึงได้กวาดต้อนเอาผู้คนไปเป็นจำนวนมากมาย แล้วให้ไปตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อฝรั่งเศสมาปกครองนครเวียงจันทน์ จึงให้คนไปเกลี้ยกล่อมเอากลับคืนมา ครอบครัวของชีพิมพาก็อยู่ในจำพวกนี้เหมือนกัน

ชีพิมพาเกิดเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๕๕ เมื่อยังเป็นสาวอยู่ ฝักใฝ่ในการทำบุญทำทานและรักษาศีล จนคนแก่ยกยอสรรเสริญ ยกให้เป็นหัวหน้าในหมู่ ได้แต่งงานกับแฟนคนในหมู่บ้านเดียวกัน การแต่งงานก็แปลก คนมี คนรวยมาขอหลายคน แต่ไม่ชอบ แต่เลือกเอาคนไม่เที่ยวไม่กิน ความรักและซื่อสัตย์สุจริต แต่งงานเมื่ออายุ ๒๐ ปี อยู่ด้วยกันมาด้วยความราบรื่น ทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อยู่มาได้ ๑๒ ปี มีลูกชายคนหนึ่งซึ่งเกิดมาได้ ๔ เดือน ก็ตาย ลูกตายแล้วยิ่งเห็นทุกข์ในความเป็นอยู่ของฆราวาสมากขึ้น จึงชวนสามีออกบวช สามีก็ขอผลัดไปก่อน ชวนสามีอยู่ตั้งหลายวันจึงตกลงกันได้ เมื่อตกลงกันแล้ว จึงมอบสิ่งของมีนาเป็นต้นให้แก่ญาติทั้งหมด แล้วพากันข้ามโขงไปอุดรธานี เพื่อจะบวช ญาติๆ ที่เป็นข้าราชการเจ้านายหลายท่านได้ข่าวก็มาสนับสนุนให้กำลังใจ เมื่อบวชแล้วก็แยกกับสามีไปคนละทิศละทาง โดยเฉพาะชีพิมพามีอุปสรรคมาก ไปอยู่กับแม่ชีซึ่งเขาบวชก่อน เขาใช้บังคับอย่างไม่เป็นธรรมเลย แต่ก็อดทน โดยถือว่าเราบวชใหม่ เขาใช้ เราต้องทำตามเขา ไม่ได้คิดว่าเขาใช้เราอย่างข้าทาส ใจคิดว่า ถ้าตกนรกจะเห็นทุกข์มากกว่านี้ เราจะต้องอดทนเอา เมื่อบวชได้หลายปีแล้ว มีอิสระพอติดตามครูบาอาจารย์ไปในที่ต่างๆ ได้ ครูบาอาจารย์ทั้งที่อยู่นครเวียงจันทน์และประเทศไทยก็ได้ให้ความอนุเคราะห์เป็นอย่างดี และการปฏิบัติในทางธรรมก็เจริญก้าวหน้าโดยลำดับ แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าดีเท่านั้น เพราะไม่รู้หนังสือ จะถามใครก็ไม่ทราบว่าจะถามอย่างไร

ชีพิมพาเป็นผู้หญิงใจสิงห์คนหนึ่ง ออกปฏิบัติกัมมัฏฐานยอมสละชีวิตอย่างไม่เสียดายอะไรเลย ไม่ยอมแพ้ผู้ชายอกสามศอก ได้ต่อสู้กับโจรปล้นฆ่าคนมาสองครั้ง เสือและงูใหญ่อย่างละครั้ง ผีก็นับครั้งไม่ถ้วน อย่างไม่มีอาวุธอะไรนอกจากบารมีและอธิษฐานเป็นอาวุธ แต่ก็ได้ชัยชนะอย่างน่าทึ่งใจ

เมื่อนครเวียงจันทน์ปกครองอย่างคอมมูนิสต์ จึงได้มาอยู่ที่วัดหินหมากเป้ง เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๘ มาฟังเทศนาของพระนิโรธรังสี เทศนาอบรมจึงค่อยรู้เรื่องรู้ราวต่างๆ ว่าอะไรเป็นอะไร จนมีความสามารถอาจหาญเขียนประวัติของตนและข้อธรรมนั้นๆ ได้ ดังที่ท่านจับอ่านอยู่นี้ แม่ชีทั้งหลายควรเอาเป็นแบบอย่าง

พระนิโรธรังสี
(พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์)*


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2020, 12:57 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


คำนำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2020, 13:02 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


สารบัญ

เรื่องของคุณแม่ชีพิมพา
......เลือกหาคนดีเป็นคู่ครอง
......ชีวิตการครองเรือน
......อธิษฐานขอลูก
......คิดอยากจะบวช
......ออกบวชทั้ง ๒ คน
......ข้ามฝั่งโขงไปบวชที่จังหวัดอุดรธานี
......ผจญกับความกลัวอย่างสุดขีด
......สามีบวชที่วัดโพธิสมภรณ์

การปฏิบัติธรรม

พรรษาที่ ๑ วัดโนนนิเวศ

พรรษาที่ ๒ วัดอรุณรังสี จังหวัดหนองคาย
......การทรมานจิต

พรรษาที่ ๓-๑๐ วัดหนองบัวทอง นครเวียงจันทน์
......ผีข่าอาละวาด
......นิมิตประหลาด

พรรษาที่ ๑๑ วัดป่าพระสถิตย์ จังหวัดหนองคาย
......พระมาถึงวันเดียวกันมากเป็นอัศจรรย์

พรรษาที่ ๑๒ วัดป่าบ้านนาคุณน้อย นครเวียงจันทน์
......ท้าทายมัจจุราช

พรรษาที่ ๑๓-๑๔ ภูหินคันนา นครเวียงจันทน์
......พบเสือสง่าครั้งที่ ๓
......งูใหญ่กลับใจ ผงกหัวคำนับ
......ความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่
......อาจารย์กลัวเสือ
......ขึ้นภูลังกา

ประเทศลาวเกิดปฏิวัติ มาอยู่วัดหินหมากเป้ง

หนังสือเตือนจิตของตนเอง

ทางพ้นทุกข์

ทางพ้นทุกข์

เจริญสติปัฏฐาน ๔


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2020, 13:05 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เรื่องของคุณแม่ชีพิมพา

ดิฉันเกิดวันพฤหัสบดี เดือน ๔ ปีชวด พ.ศ. ๒๔๕๕ ณ บ้านหนองกอง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย บิดาชื่อ ลี มารดาชื่อ มาด ตาชื่อ สิงห์ ยายชื่อเฟื้อย คนทั่วไปเรียกว่าหม่อมเฟื้อย ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ไหนไม่ปรากฏ ทราบแต่ว่ายายเคยอยู่ที่ประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี ถูกทหารไทยกวาดต้อนมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ภายหลังพระยาศรีธรรมาโศกราช (เป็นชื่อเจ้าเมือง ฝรั่งแต่งตั้งให้ มีหลายคน) เจ้าเมืองเวียงจันทน์ ฝรั่งให้ไปเกลี้ยกล่อมมารับครอบครัวคุณยาย พร้อมด้วยญาติพี่น้องหลายครอบครัวกลับไปอยู่ที่เวียงจันทน์ ก่อนอพยพไป ยายได้น้อมเกล้าฯ ถวายช้างแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ เชือก ยายมีลูกสาวสองคนแค่นั้น ลูกชายไม่มีเลย มีแต่ยายกับน้าเท่านั้น น้าก็มีสามีฝรั่ง ยายก็มีความสุข

พ่อมีภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย แต่ไปมีอาชีพทำนาอยู่ที่เวียงจันทน์ หลังจากแต่งงานกับแม่ที่เวียงจันทน์แล้วทำนาไม่ได้ผลเพราะน้ำท่วมทุกปี พ่อก็พาแม่ข้ามโขงมาทำไร่ทำนาอยู่ที่บ้านหนองกอง แม่มีลูกสาวสามคนด้วยกัน คนที่หนึ่งชื่อปทุมมา คนที่สองชื่อจันลา คนที่สามชื่อพิมพา ดิฉันนี้แหละ

ดิฉันเกิดมาได้สามเดือน แม่ก็ตาย พ่อก็พาลูกทั้งสามคนข้ามไปเวียงจันทน์อีก ไปให้ยายที่เวียงจันทน์เลี้ยงไว้ เสร็จแล้วพ่อก็กลับไปบ้านหนองกองแล้วไม่กลับมาอีก ต่อมาตาและน้าเขยก็ตายลงในเวลาใกล้ๆ กัน ขณะนั้นพี่สาวทั้ง ๒ คนได้แต่งงานและแยกย้ายไปอยู่ที่ท่าแขกและปากเซ คงเหลือดิฉันคนเดียวต้องรับภาระเลี้ยงดูยายและน้าสาวตามลำพัง น้าก็เป็นแม่หม้ายไม่มีลูก เงินทองก็ไม่มี ยายมีหลานชายเป็นเจ้าเมืองที่เวียงจันทน์ หลานชายได้เกื้อกูลอุดหนุนยายอยู่เสมอ คุณยายจึงพอเลี้ยงหลานทั้งสามได้

พอดิฉันอายุประมาณ ๑๒ ปี ญาติพี่น้องเขาก็มาจ้างให้เลี้ยงลูกเขา เขาให้แต่ข้าวเปลือก อาหารหาเอาเอง พอโตขึ้นเป็นสาวพอทำงานได้ เขาก็จ้างให้ไปทำงาน ส่วนมากเป็นงานรับจ้าง สักแต่ว่าใครจะจ้างให้ทำอะไร ดิฉันทำทุกอย่าง รับจ้างทำไร่ ช่วยถากถางป่า ช่วยปลูกและเก็บพืชผล ถึงฤดูทำนาก็รับจ้างตกกล้า ดำนา เก็บเกี่ยวข้าว หวดข้าว สีข้าว ตำข้าว ดิฉันทำงานด้วยความมานะอดทนไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก เขาก็สงสารให้ข้าวเปลือกมากกว่าคนอื่น ได้ข้าวเปลือกประมาณร้อยกว่ากระบุงต่อปี นาของดิฉันก็มีอยู่ ที่ดินกว้างขวางแต่ไม่มีคนทำ เพราะน้ำท่วมทุกปี นอกจากนั้นดิฉันยังไปรับเลี้ยงเด็กได้เงินเล็กๆ น้อยๆ พอเลี้ยงกันได้ ๓ ชีวิตมีความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส

พอดิฉันอายุประมาณ ๑๖-๑๗ ปีก็มีคนมาสู่ขอมากรายล้วนแต่มีฐานะดี เราก็พิจารณาดูว่าเขาเป็นคนมั่งมีแต่เราเป็นคนจน เราก็คิดว่าเขาจะเหยียดหยาม จึงไม่ตัดสินใจรับคำขอแต่งงาน มีคนมาสนใจเราเสมอ เพราะว่าเราขยัน ถ้าเราไม่ขยันก็ไม่มีใช้ ต่อมามีคนหนึ่งชื่อ ขุนภักดี เป็นเศรษฐี เขาไม่ต้องทำนา กินแต่ดอกเบี้ย และแต่ก่อนก็ไม่มีใครรวยเหมือนเขาเลย เศรษฐีผู้นี้เขาเลี้ยงม้าอยู่สวนเรา เขาก็มาสนใจเรา แต่เราก็ไม่รู้เรื่อง เศรษฐีผู้นี้มาขอเราเป็นลูกสะใภ้เขา เขาพูดว่า ให้เราพูดเอาเองว่าตกลงจะแต่งงานกับลูกเขา จะเรียกร้องเท่าไรเขาไม่ว่า ญาติพี่น้องฝายเราก็ดีใจกันใหญ่ว่าเรามีบุญมาก จะได้นั่งกองเงินกองทอง เราก็มองดูอยู่สามสี่วัน เราเองก็อยากทราบว่าตระกูลของผู้ที่เราจะเข้าไปอยู่ร่วมด้วยนั้น มีความเป็นอยู่อย่างไร อาหารการกินและสิ่งของที่เขาจะนำไปทำบุญทำทานจะวิเศษสักเพียงไหน วันหนึ่งก่อนวันพระ ดิฉันแอบตามไปดูแม่เขาจ่ายตลาด เดินตามไปดูห่างๆ เห็นเขาไปที่ร้านขายเนื้อหยิบของเศษๆ ที่เจ้าของเขาทิ้งแล้วใส่ตะกร้า ต่อจากนั้นก็ไปร้านขายหมู ขายปลาตามลำดับทำเช่นเดียวกัน ได้ของเต็มตะกร้า โดยไม่จ่ายเงินเลยสักสตางค์เดียว ดิฉันตัดสินใจขณะนั้นทันทีว่า ไม่เอาแล้วคนรวยอย่างนี้ ลูกชายคงตระหนี่เหนียวแน่นเหมือนแม่ ถ้าเราซื้อของดีๆ มากินหรือทำบุญทำทานเขาคงชี้หน้าด่าว่า “อีขี้ทุกข์ มึงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างนี้ จึงทุกข์ยาก”

พอมาถึงบ้าน ญาติพี่น้องก็เรียกมาถามให้เราตกลงในวันนี้ เราก็ตอบว่าไม่เอาเด็ดขาดเลย เขาก็ด่าว่าขู่เข็ญเราถ้าไม่ฟังคำอบรมของญาติพี่น้องแล้ว ถ้าถึงจะตาย กูจะปล่อยให้แร้งแก่เอามึงไปกินทั้งกระดูกไม่ให้คนเมี้ยนเลย เราก็ตอบว่าแล้วแต่จะเป็นไป ไม่อยากนั่งกองเงินกองทองของใครทั้งหมด ญาติพี่น้องเมื่อได้ทราบว่า ดิฉันตัดสินใจว่าคนอย่างนี้ไม่เอาแล้วจึงโกรธเคืองดิฉันมาก ถึงกับตัดเป็นลูกเป็นหลานกันไป ไม่มีใครทักทายปราศรัย พากันเมินหน้าหนี เหมือนตัวคนเดียว ดิฉันคิดว่าใครไม่ดูไม่แลก็แล้วไป เราหากินเอง ไม่มีใครจะมาช่วยหาให้เรากินหรอก

เลือกหาคนดีเป็นคู่ครอง

ต่อมามีคนมาสู่ขออีกเรื่อยๆ หลายราย ฐานะดีทุกรายแต่ไม่ตกลงกับใคร ใจคิดจะเลือกหาคนดี มีศีลธรรม จะทุกข์ยากอย่างไรก็ช่าง ขอแต่ให้มีน้ำใจดี จนกระทั่งอายุได้ ๒๐ ปีมีหนุ่มหมู่บ้านเดียวกันชื่อ ขิ้ม วงศาอุดม อายุ ๒๒ ปี เป็นคนผิวคล้ำ ต่ำเตี้ย เคยมาเที่ยวเล่นที่บ้านกับเพื่อนๆ เป็นประจำสังเกตดูกิริยาวาจาเวลาพูดคุยเล่นหัวกับเพื่อนเป็นคนอารมณ์ดี น้ำใจก็ดี เรามองดูกิริยาท่าทางเขาเป็นคนดี พ่อของเขาก็เป็นสารวัตร เราก็มาคิดว่าพ่อแม่ของเขามีศีลธรรมประจำใจ คิดว่าถึงจะทุกข์จะจนสักเท่าไร ถ้าผัวเมียถูกต้องกันแล้ว มันก็มีแต่ความสุขความเจริญขึ้นทุกวัน พ่อแม่ของเขาก็บริบูรณ์ทุกอย่าแต่ไม่เหมือนกับคนขี้เหนียวนั้น เขาก็ไปรักษาศีลภาวนาทุกวัน พิจารณาดูแล้วมันก็ถูกใจเราพอดี พอเป็นแฟนได้ แต่แม่ของเขาปากจัดมาก เขาให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ รุ่งเช้าพวกพี่น้องของดิฉันมาถามแบบประชดว่า “จะเอาไหม อีมึนอีขี้ทุกข์ ตกลงไหมรายนี้ ดิฉันตอบว่า “เออ ตกลง” ญาติก็ว่า “คนที่จะเป็นย่า (แม่ผัว) มึง ปากจัดมากนะ” ดิฉันมาคิดดูว่า จัดก็จัดปากเขา เราไม่ทำผิดเขาจะเอาเรื่องอะไรมาด่า คิดอย่างนี้จึงตกลงใจแต่งงาน น้าสาวก็แต่งงานใหม่ในเวลาใกล้ๆ กัน แต่งงานแล้ว ปู่ ย่า (พ่อผัว แม่ผัว) ก็มาขอไปอยู่บ้านสามี ดิฉันจึงย้ายไปอยู่บ้านพ่อแม่ของสามี โบราณท่านว่า ตัดผมผิด คิดไม่หาย ปลูกเรือนผิด คิดจนสลาย เอาคู่ครองผิด คิดจนวันตาย

ชีวิตการครองเรือน

พวกเพื่อนๆ ชวนไปดูหมอดู หมอทายเพื่อนทุกคนรวยหมด ดิฉันจนคนเดียว มีบ้านไม่พอหลัง คำทำนายนี้เสียดแทงเข้าไปในหัวใจเหลือเกิน ทำไมหนอจนแล้วจนอีกไม่จบไม่สิ้น จึงคิดจะลองเสี่ยงวาสนาดู เราพิจารณาว่า เขามั่งมีศรีสุขกันด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา เราคิดว่าเราจะลองที่ทำงานเหมือนเขา เมื่อคิดแล้วก็พูดกับปู่ย่าว่า ลูกอยากจะลองดูว่า บุญวาสนาของลูกจะมีไหม ถ้าลูกทำมาหากินส่วนตัวกับสามีจนหมดความสามารถแล้ว ถ้าไม่มีวาสนาจะกลับมาอยู่กับพ่อแม่อีก ปู่ย่าไม่อยากให้ไปเลย เราก็อ้อนวอนอยู่อย่างนั้น จนปู่ย่าอนุญาต

จึงแยกบ้านไปทำมาหากินกันตามลำพังสองคน ปลูกกระต๊อบหลังเล็กๆ เสาไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้า ตั้งหน้าทำมาหากินด้วยความขยันหมันเพียรอย่างที่สุด ไม่ยอมไห้มีเวลาว่าง ถึงหน้านา ทำไร่ทำนา ว่างจากทุ่งนาไปซื้อข้าวเปลือกมาตำขาย ขายทั้งข้าวเปลือกข้าวสาร ทำขนมต่างๆ ขายตามฤดูกาล ถึงหน้าน้ำหลากพายเรือไปหาปลา หาได้มากทำเป็นปลาร้าไว้ขายปีละหลายๆโอ่ง ช่วยกันทำแต่งานไม่เที่ยวเตร่ การพนันทุกอย่างไม่เกี่ยวข้อง หาเงินมาได้เท่าไรเก็บไว้ใช้แต่ในสิ่งจำเป็นจริงๆ ในที่สุดก็มีเงินสร้างบ้านดีๆ ได้หลังหนึ่ง ต่อมามีคนมาขอซื้อ จึงขายไปแล้วปลูกใหม่สวยงามกว่าเก่า

แต่งงานได้ ๑๐ ปียังไม่มีลูก ตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆ ปู่ (พ่อผัว) เตือนให้ไปจำศีล เราสองคนไปจำศีลวันพระทุกวันพระ ที่วัดหนองปลาในไม่เคยขาดสักครั้งเดียว แล้วก็ชวนคนอื่นๆ เขาไปกันบ้าง เริ่มต้นมีเพียง ๕-๖ คน ต่อมามีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีถึง ๗๐-๘๐ คน มีดิฉันคนเดียวเป็นผู้อบรมสั่งสอน ตนเองก็ไม่รู้อะไรมาก มีแต่พุทโธอย่างเดียว เตือนเขาไม่ให้พูดเรื่องทางบ้าน เรื่องลูก เรื่องหลาน ให้สวดมนต์ภาวนา ต่อมา คิดว่าบุญเพียงเท่านี้พอหรือ เพราะเรายังฆ่าสัตว์ ตัดชีวิตอยู่ คิดอยู่อย่างนี้ถึง ๑๓ ปี จึงสละบ้านเรือนออกบวช เชื่อหมอดูหมอเดาไม่เข้าท่า เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมเป็นของแน่นอนกว่า

อธิษฐานขอลูก

ดิฉันมีสุขภาพไม่ค่อยดี เป็นลมบ่อยๆ ผู้เฒ่าผู้แก่แนะนำให้มีลูก บอกว่าหลังจากคลอดลูกแล้วโรคต่างๆจะหายไปเพราะเลือดที่เป็นพิษร้ายต่อร่างกายจะถูกขับถ่ายออก ดังนั้นพอถึงวันพระ ดิฉันจึงแต่งขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ (เทียน ๕ คู่ ดอกไม้ ๕ คู่ เรียกว่าขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ ก็อย่างเดียวกัน ต้องใช้สิ่งของ ๘ คู่ จึงเรียกขันธ์ ๘) อธิษฐานขอให้ข้าพเจ้ามีลูกแลพร้อมกันนั้นก็ขอให้ลูกตายตั้งแต่ยังเล็ก เพราะลูกจะเป็นเหตุขัดขวางการไปวัด ต่อมาไม่นานก็มีลูก สมความปรารถนาจริงเมื่ออายุได้ ๓๑ ปี

คิดอยากจะบวช

ความรักลูกดั่งดวงใจ สามีก็รักลูกมากเช่นเดียวกัน พอลูกร้องไห้เขาก็ทนไม่ได้ บ่นว่าเราหยาบๆ คายๆ มึงๆ กูๆ เสียดแทงหัวใจนัก อยู่ด้วยกันมา ๑๐ ปีกว่าไม่เคยพูดคำหยาบช้า เมื่อมีลูกแล้วทำไมจึงพูดได้เช่นนี้ คิดเบื่อขึ้นมาทันที ถ้าอยู่ด้วยกันเขาคงพูดอย่างนี้อีกเรื่อยๆ คิดพลางเดินมารับลูก ต่างฝ่ายต่างใจไม่ดี หน้าบึ้งหน้างอทำกิริยาไม่ดีต่อกัน เลยคิดว่าลูกเป็นต้นเหตุให้แตกสามัคคี ลูกจะนำไปสวรรค์นิพพานได้หรือ ขณะให้ลูกดูดนมได้บอกลูกว่า “ลูกจ๋า ตายนะ ตายเสียลูก อย่าใหญ่เลย แม่จะไปจำศีลภาวนา แม่ไม่ได้ไปวัดมา ๔ เดือนแล้ว ลูกรีบตายไวๆ นะ” ลูกดูเหมือนจะรู้ความ มองหน้าแล้วยิ้ม ไม่นานอายุลูกได้ ๔ เดือนเศษก็ตาย

ด้วยความรักลูกทำให้คิดถึงความรักของพ่อแม่ พ่อแม่รักลูกไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า ความรักสามียังเปลี่ยนแปลงไปได้ พอเบื่อหน่ายก็ทอดทิ้ง ขืนอยู่ด้วยกันต่อไปคงมีลูกอีก ถ้าคลอดไม่ได้เราจะตายคนเดียว เขาไม่ตายด้วย เราคลอดออกมาแล้ว เราก็ทุกข์อีก ต้องเลี้ยงดูอดหลับอดนอนอดอาหารเปรี้ยวหวานมันเค็ม เพราะกลัวโทษจะเกิดแก่ตนและลูก ส่วนสามีเขาสบายเราทุกข์คนเดียว หวนกลับมาคิดถึงแม่ ย่าบอกว่าแม่ตายเพราะกินของผิดสำแดง มาคิดเห็นโทษของตนเอง ถ้าเราไม่เกิด แม่คงไม่ตาย ทำอย่างไรหนอจึงจะทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้ อาจารย์บอกว่า การบวชเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ทีดีที่สุด จึงชักชวนสามีให้บวชแต่เขาก็ไม่ยอม

ออกบวชทั้ง ๒ คน

อีกสองปีต่อมา แม่ชีญาติของสามีจากอุดรฯ ไปเยี่ยม (เรียกเขาว่าย่า) ใจอยากออกไปบวชกับย่า จึงบอกให้สามีแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ สามีรักดิฉันมาก เมื่อได้ฟังดิฉันว่าอย่างนั้นก็ร้องไห้และพูดว่า

“ชาตินี้ไม่ขอเป็นใจสอง”

ดิฉันตอบเขาว่า “พี่โกหกน้อง ถ้าพี่ใจเดียว น้องอยากบวชที่ต้องออกบวชด้วย”

เขาไม่ตอบเอาแต่ร้องไห้ ก็ถามเขาอีกว่า “ร้องไห้ทำไม ติดข้องอะไรหรือ สิ่งของต่างๆ ที่เรามีอยู่ก็ยกให้เป็นทานให้หมด ไม่ต้องขายสักอย่างเดียว ไปเถิด ไปบวชด้วยกัน”

เขาตอบว่า “รีบบวชทำไม ยังไม่แก่ แก่แล้วค่อยไปวัดจึงจะถูก” ถามเขาว่า

“คนหนุ่มคาอะไร ข้องอะไร ข้องผู้หญิง ข้องผู้ชายหรือ สิ้นลมแล้วผู้หญิงผู้ชายมีทีไหน มีแต่สิ่งปฏิกูล โสโครก กำหนัดยินดีอะไรกับรูปผู้หญิง คิดดูเวลามีลมหายใจ รักกัน กอดกัน สมมุติว่าผู้หญิงผู้ชาย สิ้นลมแล้วมีแต่สิ่งสกปรก บูดเน่าไม่น่ารักน่าชม ความตายมันบอกไหมว่ามันจะมาถึงเราเมื่อไร ดูแต่อาว์ ทำนายังไม่ทันเสร็จ ลูกยังไม่ทันโต ตอนกลางวันกินด้วยกันอยู่ที่นา เป็นอหิวาต์ ตอนเย็นตายเอาฟากห่อไปฝัง ยังไม่ทันได้กลับบ้าน มีบ้านตั้ง ๒ หลัง ๓ หลัง ยังไม่ได้นอนตายก่อน

เราเองก็เหมือนกัน พูดกันอยู่นี่ดีๆ เดี๋ยวนี้ กลับไปนอนอาเจียน ๒-๓ ครั้งก็เอาฟากห่อไปฝังแล้ว จะรอให้แก่ทำไม น้องกลัวจะตายเสียก่อน ไม่ทันได้บวช เพราะคนหนุ่มก็ตาย คนแก่ก็ตาย ไม่มองดูหรือ ตายตั้งแต่อยู่ในท้องก็มี ถ้าพี่ตายก่อนน้องจะอยู่กับใคร ไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้ว ไปนะไปบวชด้วยกัน” พูดกันอยู่ ๓ วันนี้เขาจึงตกลง แล้วพากันเอาเรือนไปมอบถวายวัดหนองปลาใน ส่วนของนอกนั้นก็ให้ญาติบ้างตามสมควรแก่ผู้มีคุณมากหรือน้อย ส่วนตัวเองเอาแต่ของจำเป็นเพื่อไปใช้ในการบวชเล็กน้อยเพื่อให้หมดห่วง ออกบวชเมื่ออายุได้ ๓๓ ปี

ข้ามฝั่งโขงไปบวชที่จังหวัดอุดรธานี

ตั้งใจไปบวชไกลๆ เพราะไม่อยากเห็นสิ่งของบ้านช่องวัวควาย กลัวใจจะกลับกลอกวนเวียน ตกลงเราก็ไปลากับอาจารย์อ่อนศรี อาจารย์อ่อนศรีพูดว่า “ให้โยมผู้ชายอยู่กับอาตมา” เราก็พูดกับสามีว่า เราจะไปอยู่กับย่า (แม่ชีญาติของสามี) แล้วเราก็ลงจากศาลา ฝ่ายสามีก็กลับใจใหม่ว่าจะไปด้วยกัน อาจารย์ก็ตกตะลึง พูดขึ้นว่าถ้าไปด้วยกัน ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ อยู่ด้วยกันคนละที่ โยมผู้ชายไปอยู่กับอาจารย์ โยมผู้หญิงก็อยู่กับแม่ชี สามีก็ตอบว่า ก็ช่างจะข้ามโขงไปด้วยกัน เมื่อมาถึงบ้านปู่ (พ่อของสามี) พอดีลูกสาวปู่คนสุดท้องตายลงปู่ก็เลี้ยงหลานกำพร้าอยู่ ปู่ชวนเราให้เลี้ยงหลาน แต่เราตอบว่าเราจะไปอุดรฯ จะไปบวช ถ้ายังกลัวผีอยู่ก็คงไม่บวช ปู่จึงพูดว่าถ้าลูกจะไปทางดี พ่อไม่ห้าม เวลานี้เหมือนลูกพ่อตายไปสามคน แต่สองคนนี้บุญ คงเจอกันอีก ข้อนั้นจิตของเราเหมือนฟ้าจะทับดิน มันมืดไปหมด สงสารปู่ต้องมาเลี้ยงหลานกำพร้า แต่ความอยากบวชมากกว่า

เมื่อเราคิดถึงศีล สมาธิ ปัญญาอย่างแท้จริงแล้ว เราก็ข้ามโขงมา อ.ศรีเชียงใหม่ เราคิดถึงอดีตเหมือนเราออกจากกรงขังมาแล้ว ระหว่างข้ามเรือ ใจเป็นทุกข์ กลัวสามีกลับใจไม่ยอมบวช ถ้าเขาไม่บวชเราจะบวชคนเดียวได้อย่างไร เราเป็นสิทธิ์ของเขา ถ้าเขาบอกให้สึกเราก็ต้องสึก คิดวิตกอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น พอเรือถึงฝั่งโขงด้านท่าบ่อ โล่งอก เราพ้นทุกข์ครั้งที่ ๑ แล้ว ยกมือขึ้นตั้งสัจอธิษฐาน ขอผลศีลธรรม คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอได้โปรดช่วยอย่าให้สามีเปลี่ยนใจ ขอให้เขาได้บวชเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าเถิด

คืนแรกพักอยู่ที่บ้านลุงปลัดศรีสมุทร ปลัดอำเภอท่าบ่อ เขาเรียกเราไปทานข้าวเย็น เราก็ไม่ทาน เราไม่อยาก มีความอัดอั้นตันใจอยู่เสมอ กลัวว่าสามีของเราจะกลับใจใหม่ไม่บวช ลุงก็ว่าอย่าเพิ่งไป ยังหนุ่มแน่นอยู่ เราก็ยิ่งกลัวเขาจะกลับใจ

รุ่งขึ้นเราก็ลงเรือไปหนองคาย พักบ้านปลัดสอนทนายความ ญาติของสามี พักอยู่ที่นั้นคืนหนึ่งแล้วต่อไปอุดรฯ พักบ้านนายกเทศมนตรีจวงจันทร์ ญาติของสามี (เทศมนตรีคนแรกของจังหวัดอุดร) ลุงจวงจันทร์เป็นคนดีมีศีลมีธรรม ท่านพูดให้กำลังใจว่า ดีแล้ว เราบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม อานิสงส์แรง ลุงขออนุโมทนาด้วย เราฟังแล้วรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบาน ลุงปวารณารับเป็นอุปัฏฐากจะช่วยเหลือทุกอย่าง

ผจญกับความกลัวอย่างสุดขีด

พักอยู่คืนหนึ่งก็ออกจากบ้านลุงไปวัดโนนนิเวศจังหวัดอุดรธานี พักกับแม่ชีดี ญาติของสามี ซึ่งเราเรียกว่าย่า ที่กุฏิแม่ชีลอย เจ้าของกุฏิเพิ่งตายไปใหม่ๆ ได้ยินเจ๊กคนหนึ่งพูดว่า เมื่อคืนแม่ลอยมาหลอก ไม่ได้นอนทั้งคืน ตกใจมาก จะทำอย่างไรดี แม่ชีดีพาสามีไปหาอาจารย์กู่ เราก็อยู่กุฏิคนเดียว

พอดีมืด เรายิ่งกลัวมากเกือบจะอยู่ไม่ได้ ก็ได้ยินเสียงดังขลุกขลักๆ อยู่บนหลังคากุฏิ คิดว่าแม่ลอยมาแล้ว กลัวจนตัวสั่น กระโดดลงมายืนสั่นอยู่ข้างล่าง อยากจะวิ่งไปหาคุณย่าที่วัด แต่ไม่กล้ากลัวถูกดุ แข็งใจกลับขึ้นไปกุฏิ มีเสียงดังอีก คว้าได้ไม้คานกระทุ้งหลังคาสังกะสีเต็มแรง ตุ๊กแกตัวใหญ่ตกลงมา นี่หรือแม่ลอย เจ๊กใส่โทษแม่ลอย แม่ลอยตายแล้วไม่ดีทั้งนั้นใครๆ ก็ใส่โทษแต่คนตาย ตายแล้วว่าเป็นผี ผีตายแล้วไปหลอกเขา เรานั่งพิจารณาตุ๊กแกอยู่ มันไม่ใช่แม่ลอย ตุ๊กแกตัวนี้จริงๆ นะ จิตค่อยอุ่นขึ้นมา หายหนาวสั่น

ต่อมาย่าบอกให้ไปเดินจงกรม โอ๊ย ขนหัวลุกซู่ ค่อยขยับทีละน้อยๆ ไม่อยากไป ย่าโกรธดุขึ้นว่า ท่าอย่างนี้ข้าไม่เอาเจ้าข้ามแม่น้ำโขงให้เสียหน้าเสียตา ย่าบ่นอย่างนั้นอย่างนี้ไปต่างๆ นานา เรายืนแอบเสาก้าวขาไม่ออก จิตก็คิดว่า รู้ว่าเขากลัว ทำไมไม่ออกมานั่งเป็นเพื่อนข้างนอกให้เขาอุ่นใจ หนีเถอะ หนีไปที่ป่าช้า ไปตายเสียคนเดียวอย่าอยู่เลย กลัวมากที่สุดไม่กล้าลืมตา ค่อยๆ เดินไปหลับตาไป เดินเข้ารกเข้าพง ก็หรี่ตาน้อยๆ แล้วรีบหลับตาอีก เดินไปจนสุดทางเดินจงกรม จะกลับก็ไม่กล้า จะเดินก็ไม่ได้ จะวิ่งก็กลัวผีตาม พุทโธไม่มี ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ ตัวสั่น เสื้อผ้าเปียกชุ่มโชก ไม่รู้เหงื่อมาจากไหน เดินไม่ได้ก็ไม่เดิน นั่งตายเสีย ณ ที่นี้ จิตบอก “อย่าวิ่งนะจะเป็นบ้า อย่าวิ่งเป็นอันขาด” ลงนั่งสั่นงกๆ งันๆ

แล้วมาพิจารณาดูว่า เราเหนื่อยมากอย่างนี้ มันจะตายอยู่แล้ว ถ้าหมดลมก็เป็นผีเหมือนเขา เขาว่าผีหลอก เขาโทษเจ้า ผู้หนึ่งว่าจะกลัวทำไม ว่ามีลมทำไมเรียกว่าคน หมดลมแล้วทำไมเรียกว่าผี คนหนึ่งตอบขึ้นมาว่า นั่นแหละเรื่องของโลกเป็นอย่างนั้น มันหลงอย่างนั้น นี่เราหลงหรือ ถ้าหลงจะปฏิบัติธรรมได้หรือ ไม่ใช่หลงแต่เจ้าหรอก มันหลงด้วยกันหมดทั้งโลก” ใจเราค่อยกว้างขึ้นนิดหน่อยว่าหลงทั้งโลก ไม่เป็นแต่เราคนเดียว จับเอาคนกับผีมาพิจารณา มีแต่เรื่องสมมุติ สมมุติว่าผู้หญิงผู้ชาย สมมุติว่าตัวว่าตน สมมุติว่าญาติ พิจารณาอยู่เพียงสองเรื่อง ผีหายไปไหนไม่ทราบ

กลางวัน ฉันจังหันแล้วไปนั่งพิจารณาอยู่กับโลงผี กระดานสำหรับนั่งพิจารณาก็เป็นโลงเก่าของผี ฝากั้นก็ของผี ที่นั่งก็ของผี ที่นอนก็ของผี รอบตัวเรามีแต่ของผี จะไปกลัวมันทำไม

มันก็กลัวละซี่ นั่งภาวนากับหลุมผี จิตมันกลัวผี มันก็ค้นเข้าหาผี ระมัดระวังตั้งจิตจดจ่ออยู่กับผี จิตมันไม่ไปไหน จิตก็ดิ่งลงหาผี พิจารณาว่าผีอยู่ที่ไหน ตายแล้วไปไหน จิตอยู่กับร่างหรือ เข้าร่างหรือ จิตตอบว่า ถ้าทำดีก็ไปดี ถ้าทำชั่วไปตกหม้อนรก แล้วมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน พิจารณาไปไม่มีอะไร ผีหายไป จิตรวมลง จิตแก่กล้าขึ้น ค้นหาเหตุผลเรื่องผี จิตสงบ เวลาจิตถอนขึ้นมา จิตอิ่มเอิบเกิดปีติ ไม่มีผี

อยู่วัดโนนนิเวศได้ ๓ เดือนพอดี หลวงพ่อมหาทองสุขมาจากสกลนคร แกฝันว่าแม่ชีจันทาบอกให้ไปขอบวช รุ่งขึ้นเป็นวันพระ ๘ ค่ำ จึงจัดดอกไม้ธูปเทียนไปขอบวชกับท่าน ท่านบวชให้เรา แล้วท่านก็มาสกลนคร เจ้าคุณธรรมเจดีย์ไปสกลนคร ท่านก็นิมนต์หลวงพ่อปลัดทองสุขมาจำพรรษาที่วัดโนนนิเวศอีก เมื่อหลวงพ่อปลัดทองสุขเป็นสมภารอยู่วัดโนนนิเวศ เราก็อยู่ด้วยกับท่าน

เราอยู่กับย่าต้องผจญกับการโกรธ และการด่าว่าของย่าอยู่เป็นประจำ เราก็มาคิดอยู่ในใจของเราเองว่า เป็นแม่ชีแล้วทำไมเขามาใช้แต่ความโกรธของเขาประจำวันอยู่อย่างนี้ อะไรๆ เราก็ทำเสร็จแล้วทุกอย่าง แต่ยังไม่ทันถามก็มาโกรธเราก่อนอย่างนี้ เมื่อเราตอบว่าเสร็จแล้วจึงหยุด เราก็ร้องไห้วันละสามสี่ครั้ง ประจำวันมีแต่คำหยาบช้าลามกกระทบกระแทกแดกดันด่าว่าก่อนทั้งนั้นจึงถามทุกครั้ง คนอื่นเขาเมตตา เขาก็ว่าจะไปฝากอาจารย์มั่น เราก็ไม่ไป เราคิดว่าเราได้มาบวชก็เพราะเขาพามา เราจึงได้มา เราคิดว่าอย่างไรก็ช่าง เขาไม่ฆ่าแล้วก็จะอดทนเอา เขาจะด่าเราไปถึงไหนก็แล้วแต่ ถ้าว่าน้ำตาเราไหลออกมา ข้าขอถวายคุณของพระพุทธเจ้า คิดอย่างนี้อยู่ก็ยังทนไม่ไหว ยังร้องไห้อยู่ทุกวัน เพราะเราว่าเราดี ไม่เคยได้ประสบอย่างนี้ มันก็มีแต่ร้องไห้อยู่เรื่อยไป เพราะเราเจอแต่ของดีมาก่อน เวลาเราเจอของไม่ดีต้องมีความอดทนต่อสู้กับอารมณ์ที่ไม่ดี ต้องมีความอดกลั้นขันติ อยู่ในความสงบอย่างแน่วแน่ มันก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาแก้ไขสิ่งเหล่านี้ออกจากจิตของตนเอง ให้มันสว่างแจ่มใสขึ้นมา ท่านอาจารย์ปลัดทองสุขท่านก็รู้จัก ท่านเทศน์อบรมอยู่บ่อยๆ เรายิ่งกลัวผี เขาก็ใช้แต่ความโกรธยิ่งขึ้น เราก็อยู่กุฏิไม่ได้ อยู่แต่ในป่า ไปอยู่แต่กับหลุมผี ฉันจังหันแล้วก็ไปนั่งอยู่กับหลุมผี นั่งภาวนาหาแต่ผีอยู่อย่างนั้น ไม่ไปทางอดีตและอนาคตเลย จ้องอยู่แต่กับผีอย่างเดียว หูก็ฟังแต่เสียงผี ตาก็มองหาแต่ผี อยู่อย่างนั้นเรื่อยไป มองไปตามหลุมผีอยู่เสมอ

พอบ่ายสามโมงเย็น ก็เลยมาทำกิจวัตรปัดกวาดอาบน้ำแล้วก็ขึ้นไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็ลงเดินจงกรมอีกอยู่อย่างนั้น บางครั้งเดินแล้วก็นั่งสมาธิอยู่ที่ทางจงกรมเลยจนถึงหกโมงเช้าจิตจึงถอนขึ้นมา ถ้าฝนไม่ตกก็นั่งอยู่ชานกุฏิ จิตของเราก็รวมอยู่ตามเดิมถึงสว่างจึงถอนขึ้นมาทุกที จิตของเราก็กล้าหาญขึ้นทุกทีเพราะว่าเราได้สอบจิตของตนแล้วว่า อะไรมันตาย ที่เรียกว่าคนตาย อะไรมันตาย ก็ปรากฏว่า พูดกันไปตามสมมุติ พระพุทธเจ้าท่านพูดอย่างไร ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่พูดเหมือนปุถุชน ท่านพูดวาธาตุแตก ขันธ์ดับ มิใช่ว่าคนตายเหมือนคนธรรมดา ท่านว่าธาตุแตก ขันธ์ดับ เราก็คิดว่า ก็คนนี่นา ทำไมว่าธาตุ ก็ธาตุละสิ ก็ธาตุลมออกก่อน ธาตุไฟออกตามหลัง ก็เหลือแต่ดินกับน้ำผสมกันอยู่ ไม่มีไฟกับลมแล้วมันเน่าเปื่อยออกมา

เราก็คิดว่า จิตไปไหนหนอ ผู้หนึ่งก็ตอบว่า “จิตมันไปแล้ว ผู้หนึ่งว่า มันไปไหน มันตายแล้ว ถ้าว่ามันทำดี มันก็ไปทางดี ถ้าว่ามันทำชั่ว มันก็ไปทางชั่วกันเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามันจะมาอยู่ในหลุมนี้หรอก อันอยู่ในหลุมนี้มีแต่ดินน้ำเท่านั้น ไม่มีคน ไม่มีผี” เราก็มาคิดว่า ถ้าว่าไม่มีคนตายผีตายอยู่นี้ เราจะไปกลัวทำไม ถ้าเรากลัวดินกลัวน้ำแล้ว เราก็เป็นผู้หลงอยู่ในโลกสมมุติอยู่เรื่อยไปไม่สิ้นสุดไปได้เลย เราคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราต้องไม่กลัว แต่นั้นมาก็เลยไม่กลัวผีท่าไร อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไม่กลัว ท่านอาจารย์ปลัดทองสุขท่านก็เทศนาสอนว่าให้ออกวิเวกบ่อยๆ ตามป่าตามดังที่เราก็คิดว่าท่านจะให้เราไปอยู่ที่ไหนหนอ ถ้าว่าท่านบอกให้เราไปป่าช้า เราจะไปได้ไหมเราคิดว่าหากท่านบอก เราก็ต้องไปละซี ตายแล้ว ถ้าว่าท่านบอกไปป่าช้า เราก็ตายแล้ว เรากลัวมากอย่างนี้ ถ้าท่านบอกไปดอนข้างวัดไม่มีป่าช้าก็ค่อยยังชั่ว แต่เราไม่มีมีดจะฟันไม้ทำที่อยู่สักเล่มเดียวก็ไม่มี คิดอยู่อย่างนี้ อาจารย์ก็พูดขึ้นว่าไม่ใช่อย่างนั้นดอก จะไปดอนนั้นดอนนี้ไม่ใช่ ให้อยู่ตามร่มไม้ในวัดนี้แหละ เราก็ดีใจมาก แต่เราคิดเฉยๆ มิได้ออกปากพูด แต่ท่านอาจารย์ท่านรู้ในความคิดของเรา ต่อมาจิตของเราก็มีความสามารถอาจหาญขึ้นมาทุกวัน

สามีบวชที่วัดโพธิสมภรณ์

อีก ๔ วัน (วัน ๑๒ ค่ำ) เป็นวันบวชของสามี ย่าห้ามไม่ให้ไป กลัวจะไปทำขายหน้า บอกย่าว่า ขอไปอนุโมทนา ถ้าไปร้องไห้กอดแข้งกอดขาเขา จะให้ย่าเอามีดพร้าฟันหัว พอก้าวพ้นหัวบันได ไปเห็นเขาปลงผมแล้ว ใจสว่าง นั่งลงยกมือไหว้ว่า สาธุ ข้าพเจ้าพ้นทุกข์แล้วครั้งที่ ๒ ลุงและปู่ห้ามว่า อย่าไหว้ฆราวาส ตัวบวชเป็นชีเป็นขาว มีศีลธรรม ตอบลุงทันทีว่าไม่ใช่ไหว้ลุงไหว้ปู่ คือว่าดิฉันดีใจมากที่มาเห็นพี่กำลังจะได้ทรงเพศนักบวช ดิฉันคิดว่าดิฉันพ้นทุกข์แล้วครั้งที่ ๒

ต่อจากนั้นพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหมดพานาคไปบวชที่วัดโพธิสมภรณ์ ญาติพี่น้องเขาพากันร้องไห้ ตัวเราเดินแล้วเหมือนไม่ได้เดินบนดิน เบากายเบาใจ เมื่อไปถึงวัดทีแรกนึกวิตกกลัวว่าเขาจะขานนาคไม่ได้ ทีแรกนั่งอยู่ห่างๆ ภายหลังขยับเข้าใกล้

ย่าหยิกขาหนัก ดิฉันไม่ยอมถอย ใจคิดว่าถ้าเขาขัดข้องตอบไม่ได้เราจะบอกเอง (ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่รู้) ในขณะเดียวกันก็ขออย่าให้ข้องให้คา ให้สำเร็จในวันนี้ ทุกขั้นทุกตอนผ่านพ้นไปด้วยดี พอพระนั่งหัตถบาสอ้อมพรึบเข้ามา ปรากฏว่าโบสถ์ไหวยวบ ตัวเราโยกโคลงเคลง ปิติอย่างเต็มที

แต่แรกในระหว่างเตรียมตัวบวช อยู่ด้วยกันที่วัดโนนนิเวศ เราหนักใจเหมือนอกจะแตก เห็นเขาเหงาหน้านิ่วคิ้วขมวด เข้าไปถามว่าทำไมพี่เหงานัก ไม่อยากจะบวชหรือ ตัดสินใจให้เด็ดขาดอย่ากลับหลัง จะบวชได้มากน้อยเท่าไหร่แล้วแต่วาสนา ถ้าบวชแล้วภาวนาไม่ได้ผล ยังติดข้องแต่เรื่องเก่าเรื่องหลัง บอกน้อง ถ้าพี่อยากจะสึกแล้ว พูดคำเดียวน้องก็เข้าใจ ถ้าพี่เกี่ยวข้องกับน้องๆ จะสึกด้วย อย่าอยู่หลายวัน ธงชัยพระพุทธเจ้าจะเศร้าหมอง จะเป็นบาป ให้คิดเพียง ๓ วันเท่านั้น ถ้าชอบคนใหม่ให้สึกเลย ไม่ต้องบอก เขาตอบว่า ไม่คิดอะไรเลย คิดแต่เรื่องท่องคำบวชเพราะยังไม่คล่อง นั่งที่ไหนก็คิดที่นั่น ไม่ใช่ไม่อยากบวช อยากบวชอย่างเต็มที่ ตัดสินใจได้แล้ว ใจเราก็ดีอยู่ แต่ยังไม่ไว้ใจเท่านั้นแหละ แล้วจำพรรษาอยู่วัดเดียวกันตลอดพรรษา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2020, 13:06 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติธรรม

พรรษาที่ ๑ วัดโนนนิเวศ

เมื่อออกพรรษาแล้ว อาจารย์มหาทองสุขพาพระขิ้มออกจากวัดไป ผู้เป็นย่าก็ร้องไห้ เราคิดว่าเขาร้องไห้ตามหลานหรือตามอาจารย์ก็ไม่รู้ ทานข้าวแล้วก็ลงเดินจงกรม แล้วก็เกิดวิตกวิจารณ์ วิตกอะไร ไม่ห่วงอะไรทั้งหมด ห่วงแต่หลวงพ่อผู้เป็นสามีของเราว่า ท่านสัตย์ซื่อต่อเรา ท่านมีบุญจริงๆ อาจารย์จะพาไปไหนก็ไม่รู้ ไปไกลแสนไกล เวลาจะตายจะทราบข่าวไหม จะไปตายที่ไหนหนอ ถ้าหนีจากที่นี่แล้วอยูใกล้ๆ พอทราบข่าวก็ค่อยยังชั่ว เวลาท่านตายจะได้ไปจุดศพบ้าง เพราะว่าความดีของท่านมาก ใจเราคิดว่าอาจารย์องค์อื่นๆ คงไม่เมตตา คิดเห็นแต่พระขิ้มองค์เดียว เพราะเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา ถ้าท่านสำเร็จแล้วคงจะช่วยชี้ช่องทางออกจากทุกข์ให้เราได้ คิดแล้วเลยน้ำตาไหล ก็เลยเกิดปัญญาขึ้น “ความห่วงเป็นนิวรณ์ ก็ไม่ห่อนป้องกันตาย เศร้าโศกเพราะยึดถือ ในกำมือเป็นห่วงใย ชีวิตความรักใคร่ ย่อมถือไว้ว่าเป็นตน ร่างกายสรีรยนต์ไม่ใช่ตนเหมึอนศีลธรรม” เกิดปัญญาอย่างนี้แล้วจิตก็สว่างขึ้นมา น้ำตาก็เลยหยุดไหล ไม่เศร้าหมองขุ่นมัวเลย

แล้วก็มาตั้งสมมุติขึ้นคิดเอาเองว่า “ถ้าเราทั้งสองเป็นฆราวาส เวลาป่วยไม่ให้มีญาติพี่น้อง มีแต่สองคนเท่านั้นจะดูแลกัน” ก็เลยปรากฏว่า สามีป่วยลงไป ทานข้าวได้แค่ไหนเราก็จะทานได้เท่านั้นเหมือนกัน เราคิดว่าถ้าตายก็ให้ตายไปด้วยกัน เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เรากลัวผี ปฏิบัติกันอยู่อย่างนั้นไม่นาน สามีของเราก็เลยตายไปจริงๆ เราก็กลั้นใจด้วย คิดว่าจะให้หมดไปด้วยกัน ใจจะขาด เราก็หายใจคืนมา เราก็เลยไม่ตายไปด้วยกัน คิดว่าทำไมเราไม่ตายไปด้วยกันเล่า ตายแล้วจะได้ใส่โลงเดียวกัน เผาไฟไปด้วยกัน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นมาทันที “คิดอย่างนี้มีเจ้าคนเดียวนี่แหละอยู่ในโลกอันนี้ ชาติไหน ภาษาไหนจะตายด้วยกัน เข้าโลงเดียวกันไม่มีเลย ในโลกนี้ มีแต่เจ้าคนเดียวนี้แหละ” คิดแล้วก็เลยตกตะลึง อ้อ ! ในโลกนี้ คิดอย่างนี้มีแต่เจ้าคนเดียว

เราก็มาคิดทบทวนดูว่า เวลาคนจะตายธาตุอะไรออกก่อนกัน ไฟหรือลมออกก่อนหนอ เราก็กำหนดลงไปดูไฟกับลมก็เลยรู้ได้ว่า ลมออกก่อน ไฟก็ตามหลัง ก็ไปตัดเอาไส้อ่อนๆ แล้วมันก็บวมขึ้นมา ไฟกับลมก็หมดไปตามกัน ไส้น้อยมันก็บวมขึ้นลามไปถึงไส้ใหญ่ก็อืดขึ้นๆ ท้องก็บวมขึ้น น้ำเน่ามันก็ไหลออกมาทางปากทางจมูก ก็มาคิดทบทวนดูว่า คนเรานี้รักกันที่ไหนหนอ มีแต่ของเปื่อยเน่าไม่น่ารักหมดทั้งตัว ผู้หนึ่งตอบขึ้นว่า “มันเป็นเพราะจิตหลงต่างหาก ถ้ามันรัก มันใช้มารยาหวานใส่กัน ถ้ารักน้อย มารยามันก็น้อย ถ้ารักมากมารยามันก็มากขึ้นไปถึงหัวคิ้ว แล้วไม่ได้ถึงฆ่าตัวตายก็มีมากมายเหลือหลายอยู่ในโลกอันนี้ ถ้าเกลียดขึ้นไปถึงหัวคิ้วก็ฆ่ากันตายก็มีมากมายเหลือหลายอยู่ในโลกอันนี้”

เรามาคิดว่า คนเรารักกันที่ไหน นี่มันก็เน่าออกมาแล้ว ที่สมมุติว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายมันก็เน่าออกมาแล้ว มันก็จิต จิตละซี่คิดเกี่ยวข้องกัน รักกัน หลงกัน มายาของจิต มีมายาสาไถยใส่กัน ทำอาการต่างๆ นานา อ้อ ความรักมันอยู่ที่จิต เป็นอาการของจิต พอคิดดังนั้น ตาแตกดังปั้ง ตาเราก็แตกพร้อมกัน มีเสียงบอกว่า อย่าหนีนะ รักษาผัวเจ้าไว้ สัตว์จะเอาไปกิน ความรักเลยสิ้นลงตรงนั้นในขณะตาแตก จิตสว่างจ้า จิตของเราเลยหายห่วงไปเลยในขณะนั้น ถึงจะไปตายที่ไหนก็ไม่ห่วงแล้ว เราก็รู้ว่าเราหลงแล้ว มันก็ปล่อยวาง ไม่เป็นห่วงเลย ดูไปๆ กะโหลกศีรษะ มือ เท้าหายไป เหลือแต่กระดูกขาท่อนเดียว มดเจาะกินน้ำเน่าที่เยื่อในกระดูก ยุ่บๆ ยั่บๆ เต็มไปหมด คนหนึ่งบอกว่า เฝ้าให้ดี ผัวเจ้าจะหาย มดกินไปๆ เหลือกระดูกเท่าเล็บมือติดดิน มดหายไป แผล๊บเดียวกระดูกหายไป เขาบอกว่า ผัวเจ้าหายไปแล้วหาดูให้ดีเร็วเข้า เราคุ้ยดินหาเท่าไรๆ ก็ไม่พบ เขาบอกว่านี่แหละ ธาตุดิน มันเป็นดินไปแล้ว เขาบอกเพียงเท่านั้น

เราสมมุติความรักกันเลยกลายเป็นเรื่องจริงจังใหญ่โต เกิดเป็นธรรมขึ้นมา พิจารณาตลอดคืนตลอดพรรษา เราภาวนา เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน นอนบ้างเล็กน้อย จิตสงบ สบาย แต่ไม่เกิดปัญญา พิจารณาวกไปวนมา ไม้รู้อะไรเป็นอะไร มีแต่ปีติ ใจเบิกบาน เบากายเบาใจ

พรรษาที่ ๒ วัดอรุณรังสี จังหวัดหนองคาย

ออกพรรษาแล้ว ย่าก็พากลับเวียงจันทร์ เดินออกจากวัดโนนนิเวศฝนก็ตก อาจารย์ผู้มาอยู่ใหม่ท่านก็ห้ามว่าอย่าพึ่งไป ฝนตกหนัก เขาก็ไม่ฟัง เขาก็พาเราเดินตากฝนไป

ฝนตกหนัก เขาก็พาเราไปพักอยู่บ้านเกาะน้อยนาบ่ง วัดอาจารย์หอม ท่านก็ห้ามอย่าพึ่งไป พักนี้ก่อนฝนไม่ตกค่อยไป ไม่ฟังคำของอาจารย์ทั้งนั้นเลย เขาก็พาเดินไปถึงบ้านนาพู้ พอดีมืด ไปพักอยู่นั้นเก้าคืน แล้วออกจากบ้านนาพู้ เดินมาหนองนกเขียน มาถึงบ้านหนองนกเขียนพอดีมืด ตื่นเช้าขึ้นมาก็เดินทางไปหนองคาย รถก็ไม่พานั่งเลย เงินก็มีอยู่ เขาก็ไม่จ้าง เขาก็เดินเอา เราก็หาบหนัก หนังก็พอง ข้าวก็ไม่ได้ทานเลย ออกจากบ้านหนองนกเขียนแต่สี่โมงกลางคืนเลย เจ้าของบ้านเขาห้ามไว้ ว่าจะจ้างรถให้ก็ไม่ฟังเลย จะเอาอย่างว่านั้น

เดินมาถึงบ้านนาทา พอดีสามทุ่ม พอมาถึงก็ยังได้นวดให้เขาอีกเราก็ไม่ได้นอน เราก็มีแต่ความอดกลั้น ขันติต่อสู้ เท้าของเราก็แตก เดินแทบไม่ได้เลย บ่าของเราก็แตกลอกไปหมด เวลาเอาหาบใส่บ่าน้ำตาไหลออกมาเลย มันแสบเหลือทน หนังลอกออกหมดมีแต่เนื้ออ่อนๆ เราก็ทนไม่ไหว น้ำตาไหลอาบหน้าออกมา แต่ไม่พูดอะไรทั้งนั้น มีแต่คิดว่า ถ้าเราตกนรกจะทุกข์กว่านี้ คิดอย่างนี้แล้วก็อดทนเอา

ตื่นเช้าขึ้นก็เดินไปหนองคายแต่เช้า เขาไปบ้านปลัดสอนผู้เป็นน้องชายของเขาว่าจะข้ามเวียงจันทน์ เขาก็ห้ามว่ายังไม่อยากให้ไปเพราะว่ามีแม่ชีคนหนึ่งทำชื่อเสียงไม่ดีไว้ อย่าพึ่งไปเวลานี้ เราก็หยุดอยู่หนองคาย เลยไปอยู่วัดอรุณรังสีมีชีคนเดียวอยู่นั้น เราก็ไปอยู่ด้วยเขา อยู่มามองเห็นแต่เขาตากข้าว (ก้นบาตร) ขายอยู่เป็นประจำ ไม่เห็นเขาเดินจงกรมนั่งภาวนา มีแต่ตากข้าวมาแล้วก็นอนกรนครอกๆ อย่างนั้นประจำวัน เราดูแล้วก็เกิดความสงสารเพื่อนนักบวชด้วยกัน บวชมาแล้วทำไมมาหลงมัวเมาอยู่กับความอยากได้อยู่อย่างนั้น จนไม่มีเวลาจะทำความดี มีแต่นั่งจ้องไล่แต่หมาแต่กาอยู่อย่างนั้น มีแต่ตากข้าวขายอย่างนี้หรือ เราคิดว่าละสิ่งเหล่านี้แล้วจึงบวชเป็นแม่ชี บวชแล้วเราก็คิดว่ามาละจากความอยากได้อยากดี อยากมั่งอยากมีให้หมดสิ้นไม่ใช่หรือ ทำไมมาเติมเข้า มันจะออกจากทุกข์ได้อย่างไรหนอ มีแต่ความหมกมุ่นหุ้มห่ออยู่อย่างนี้ไม่มีความเพียรเผากิเลสตัณหาให้เหือดแห้งไปอย่างนี้ เราคิดอยู่ในใจไม่พูดอะไรออกไปเลย

อยู่มาย่าเขาก็ไปชื้อฟืนมาเกวียนหนึ่ง แล้วก็ไปยืมขวานเขามาให้เราผ่าฟืน เราก็ทำอยู่คนเดียวทั้งวันเลย เขาฉันจังหันแล้วเขาก็นอน เราก็ผ่าจนหมดเกวียน ยังเหลืออยู่แต่มันเป็นตาผ่าไม่แตกแล้ว ก็ทิ้งไว้

เขาก็ตื่นขึ้นมาเขาก็มาเห็นไม้ที่ทิ้งไว้นั้น เขาก็โกรธขึ้นมาว่าทำไมไม่ผ่า เราก็ตอบเขาว่า ผ่าแล้วแต่ไม่แตก มือของข้าแตกหมดแล้ว กำด้ามขวานไม่ได้ เราพูดออกไปอย่างนั้น เขาก็ว่า เราเถียง เขาก็โกรธใหญ่เลยว่าเรานี้ไม่มีความอดกลั้นขันติ ทำอะไรท้อแท้อ่อนแอ จะใช้ได้หรือ ผู้ใหญ่พูดตอบโต้ เถียงความ เราก็เกิดโทสะอย่างแรง เพราะมันยิ่งเหนื่อยมากอยู่แล้วยิ่งมานั่งบ่นอยู่นี้ “หนีหรือไม่หนี ถ้าไม่หนีจะหักคอฆ่าให้ตายนะ” จิตคิดอยู่อย่างนี้ แต่มิได้พูดออกมาทางวาจา เขาก็เลยหนี เขาหนีแล้วก็แล้วไปไม่คิดอีก

การทรมานจิต

เช้าเหนื่อยแล้วก็ไปอาบน้ำ ตอนเย็นไหว้พระสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิ ภาวนาเกิดความคิดเห็นที่เราคิดจะฆ่าเขาในขณะเขาพูดว่าเราอยู่นั้น ในขณะนั่งภาวนาอยู่นั้น จิตต่อจิตสนทนากันอยู่ในขณะนั่งสมาธิ ผู้หนึ่งพูดว่า เราไม่ได้ฆ่าเขาจริงๆ เพียงแต่คิดแล้วก็แล้วไป ไม่ได้ฆ่าเขาจริงๆ มันจะเป็นบาปเป็นกรรมได้อย่างไร ผู้หนึ่งตอบว่า ผู้ปฏิบัติผิดก็ผิดออกมาจากจิต ผู้ปฏิบัติถูกก็ถูกออกมาจากจิต คิดเฉยๆ ก็มีกรรมสามอย่าง พูดออกไปมีกรรมสี่อย่าง ไปฆ่าเขาจริงๆ มีกรรมสามอย่าง รวมกันเป็นกรรมสิบอย่าง อยู่ในจิตของเราดวงเดียวนี้ทั้งนั้น มีทั้งบุญทั้งบาปอยู่ในจิตของเรานี้ทั้งนั้น เป็นผู้กอกรรมก่อเวรก่อภัยใส่ตนเองก็จิตดวงเดียวนี้ เราเป็นนักบวช ถ้าฆ่าเขาเข้าจริงๆ เราก็ไม่ใช่นักบวช เราบวชมาฆ่าคนหรือ ถ้าจิตเราไม่ยอม จะฆ่าเขาจริงๆ จะทรมานไม่ให้มันกินข้าว จะเดินจงกรมตลอดวัน จะสอบจิตตัวเองให้รู้เรื่อง

รุ่งขึ้นตื่นมาไปเดินจงกรมแต่เช้า เดินอยู่ราว ๓ ชั่วโมงเศษ ถามจิตว่าจะยอมหรือไม่ยอม จิตตอบว่าจะยอมทุกอย่างจะไม่คิดอย่างนี้อีก จิตดวงหนึ่งบอกว่า เหนื่อยมากแล้วขอนั่งพักสักครู่ แต่จิตอีกดวงหนึ่งไม่ยอม จิตต่อจิตสนทนากันอย่างไม่ลดละ ถึงแม้เนื้อจะหลุดหนังจะเปื่อยออกเป็นชิ้นๆ ก็ช่างมัน ยอมตายเสียดีกว่าคิดฆ่าคน เดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่คิดแต่เรื่องจิตที่มันเที่ยวก่อกรรมเวร ก่อภพก่อชาติอย่างไม่ได้ลดละ ก็ค่อยระมัดระวังจิตของตัวเองอยู่เรื่อยมา โต้ตอบกันอย่างนี้จนถึง ๕ โมงเย็นจึงออกมาทำกิจวัตรส่วนตัวตามเคย ทำอยู่อย่างนี้ ๓ วัน จิตที่คิดจะฆ่าเขาก็ยอม ยืนยันว่าต่อไปจะไม่คิดอย่างนี้อีก จะยอมทุกอย่าง แม้จะให้เป็นคนรับใช้หรือเป็นผ้าเช็ดเท้าเขาก็ยอม แล้วก็ยอมจริงๆ ตามที่จิตให้สัญญาไว้ แต่นั้นมาจิตดิฉันมีแต่ความเมตตาสงสาร ถึงแม้เขาจะด่าว่าก็ไม่เป็นไร เพราะเราฝึกใจได้ดีแล้ว อยู่กับคนพาลย่อมเป็นทุกข์แต่ผู้ตั้งใจฝึกหัดจิต คนพาลนั่นแลจะเป็นอุบายให้เราได้ปัญญา

มีครั้งหนึ่ง พอสามทุ่มเราก็ลงไปเดินจงกรม กำลังจะแผ่เมตตาก็มีรูปอันหนึ่งเหมือนรูปคน ใหญ่เท่ากระติกน้ำ ใสแจ๋ว ขนหัวขนคิ้วก็ลุกพองขึ้นมา แผ่เมตตาก็ไม่ถูก เอาต้นใส่ปลาย เอาปลายใส่ต้น ระลึกถึงพุทโธก็หาย ก็เลยมีแต่สั่นงกๆ อยู่จนเหงื่อไหลออกมาจนผ้าเปียกหมดทั้งตัว แล้วก็ว่าเราจะตาย เพราะว่าเราก็เหนื่อยมาก เราก็เลยใช้โทสะเข้าต่อสู้ว่า “กูก็จะตายเป็นผีเหมือนกันกับมึง” ว่าแล้วก็หมอบหัวลงไปหามัน มันก็หายวับไป เราก็ตามมันไป มันก็เข้าป่าไป เราก็ตามไป จนเราไปไม่ได้แล้ว เราก็หยุด กลับมาเดินก็เดินไม่ได้ กลัวว่ามันจะเดินตาม เราก็มานั่งสมาธิอยู่ไม่นาน มันก็มาอีกและมาอยู่ใกล้ ใกล้เรานั่งอยู่นั้นพอดีศอกหนึ่ง แต่นั้นเราก็หลับตาไม่ลง ลืมตาขึ้นก็ยังเห็นขาวแจ๋วอยู่ เราก็จะตายอยู่แล้ว เราก็ตั้งสติแผ่เมตตาถูกแล้ว เขาก็เลยหนี จิตเราคิดว่าจะวิ่งขึ้นกุฏิหลายครั้งแล้ว ปรากฏว่ามีผู้บอกว่า อย่าวิ่งนะทำต่อไปไปไม่ได้เด็ดขาดเลย ว่าอย่างนั้น เราก็เลยนั่งสมาธิอยู่นั้นตลอดคืน จิตของเราก็สงบลงจนสว่างจึงถอนขึ้นมา เราก็ทำอยู่อย่างนั้นเรื่อยจนออกพรรษา แล้วก็ลาท่านอาจารย์ว่าจะข้ามเวียงจันทน์ อาจารย์ก็ว่าอย่าไป เธอไปอยู่หนองวัวซอด้วยกัน เราก็คิดว่าจะไป แต่เจ้าคุณวัดศรีเมืองไม่ให้ไป ก็เลยไม่ได้ไป อาจารย์บุญมาท่านก็ว่า ถ้าอยากไปจริงๆ แล้วจะไปฆ่าคนอื่นทำไม เราก็ไม่กล้าไป

พรรษาที่ ๓-๑๐ วัดหนองบัวทอง นครเวียงจันทน์

ผีข่าอาละวาด

ออกพรรษาที่ ๒ แล้วข้ามไปเวียงจันทน์ ไปขออยู่กับอาจารย์มหาถวัลย์ ที่วัดหนองบัวทอง ที่แถวนี้ชาวบ้านเล่าว่าแต่เดิมเป็นที่เลี้ยงช้างของเจ้าอนุเวียงจันทน์ ดิฉันอยู่กุฏิเล็กๆ ฝาใบตาล หลังคามุงหญ้า ไม่มีประตู เวลานั่งสมาธิมีเสียงเหมือนใครเอามือมาลูบฝา เสียงดังโกรกกราก มือใหญ่เท่าใบตาล เสร็จจากเอามือลูบแล้วก็โยกกุฏิสลับกันไม่หยุดหย่อน

ครั้นเราหันหน้าออกสู้ มันก็แอบไปข้างซ้ายบ้างข้างขวาบ้าง มันรบกวนอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน จนเราไม่กล้าล้มตัวลงนอนเลยแม้แต่ครั้งเดียว กลัวมันจะขึ้นคร่อมตัว เป็นเวลาราว ๔-๕ เดือน ได้แต่นั่งหลับตาพักผ่อนชั่วครู่ชั่วยาม

เวลาเดินจงกรมมีเสียงดังพรึบๆ เหมือนคนเอาฆ้อนตีดังรอบๆ ทางเดินจงกรม หยุดยืนแผ่เมตตาให้ เสียงยังดังไม่หยุด สงสัยว่าเป็นเสียงอะไร กำหนดเพ่งดู เห็นพวกข่าหลายคนเป็นผู้ชายล้วน ผู้หญิงไม่มี นุ่งผ้าเตี่ยว (เป็นธรรมเนียมของพวกข่า จะมีเสื้อใหญ่ใส่หรูหราสักเท่าไรก็ตามแต่นุ่งน้อยมีผ้าเคียนรอบเอว แล้วเหลือนั้นก็ห่อเอาแต่ของลับแล้วก็เหยียดเป็นเกลียวสะบัดขึ้นมาทางหลังเหนบไว้ข้างหลังเรียกว่านุ่งเตี่ยว) มีผ้าโพกหัวนั่งกระโหย่งทุบดิน แผ่เมตตาให้ก็ไม่ยอมรับ บอกว่าไม่รู้เรื่อง เขาโกรธว่ามาแย่งที่อยู่ของพวกเขา บางครั้งก็มีเสียงเหมือนควายวิ่งไล่กันมาตรงทางเดินจงกรม ราวกับจะวิ่งมาชนเรา เราต่อสูหนีไม่หยุด คงเดินต่อไป พอประจันหน้าก็มีเสียงหยุดกึก มีลมกระทบหน้า แต่ไม่มีอะไรมีแต่เสียงเท่านั้น เป็นอยู่เช่นนี้หลายพรรษา แต่ในพรรษาหลังๆ ค่อยเบาลงๆ ดิฉันจำพรรษาอยู่ที่นี่ราว๘ พรรษา

นิมิตประหลาด

วันหนึ่งนั่งสมาธิเกิดนิมิตว่า เราขึ้นไปบนศาลา ไม่ได้ขึ้นไปทางบันได จะไปอย่างไรไม่ทราบ ปรากฏว่าโผล่ทะลุพื้นกระดานศาลาขึ้นไป กลางศาลานี้มีไม้เสากองซ้อนกันอยู่ ๓ ต้น เราขึ้นไปถูกกองไม้พอดี ไม้ท่อนหนึ่งเคลื่อนที่เฉออกมา เราบอกให้คนช่วยจัดให้ใหม่ แต่เขาไม่สนใจ เราจึงเดินไปผลักปลายต้นเสาให้เสมอกัน ไม่ใช่ไม้เสาเสียแล้ว กลายเป็นใบลานใหม่ๆ สายสนอง (สายร้อยหนังสือ) เป็นด้ายสีแดง เราพิจารณาได้ความว่า หนังสือได้แก่กาย สายได้แก่จิต จิตกับกายอาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าบวชแล้วต้องหมั่นดูกาย เอาจิตอ่านกาย แต่ ท่านอาจารย์หลวงพ่อของเรา ท่านกรุณาแก้ให้ว่า จะเป็นผู้รู้จริงเห็นจริงในทางธรรม จะไม่ถอยหลังกลับ

พรรษาที่ ๑๑ วัดป่าพระสถิตย์ จังหวัดหนองคาย

ก่อนเข้าพรรษาประมาณ ๖ เดือน แม่ชีมุกไปชวนให้มาจำพรรษาด้วยกันที่วัดป่าพระสถิตย์ มีแม่ชีอยู่ก่อนแล้ว ๒ คน รวมเป็น ๓ คนทั้งดิฉัน วัดนี้ไม่มีพระ เณรก็ไม่มี พ่อขาวก็ไม่มี แม่ชีบิณฑบาตเลี้ยงตัวเอง วันหนึ่งมีคนมาบอกว่าคนร้ายชื่อสง่ามาอาศัยอยู่ในป่าช้าใกล้วัดนั่นเอง มันร้ายกาจมาก มีข่าวลือว่ามันข่มขืนผู้หญิงตายทุกราย ดิฉันกลัวมาก รีบทำกิจวัตรให้เสร็จแต่ยังวัน ค่ำลงขึ้นกุฏิสวดมนต์มืดๆ ไม่กล้าจุดเทียน

คืนหนึ่งกำลังจะสวดมนต์ มันเดินมาหยุดอยู่ข้างกุฏิ (จะใช่สง่าหรือไม่ก็ไม่ทราบ) ดิฉันนั่งตัวแข็งไม่กล้าขยับเขยื้อน ไม่กล้าแม้จะหายใจ กลั้นไว้ๆ จนไม่ไหว ค่อยๆ ผ่อนออกทีละน้อยๆ แทบจะขาดใจตาย จึงอธิษฐานขอให้มันไปเสียให้พ้นเร็วๆ เถิด อธิษฐานแล้วไม่นานเขาก็เลยหนีไปกุฏิใหม่ เราก็กลั้นลมอยู่เบาๆ กลัวเขาจะกลับมาอีก ลมก็ค่อยอ่อนลงไป เลยสงบไปเลยถึงหกโมงเช้าจึงถอนขึ้นมา ความกลัวของเราก็เบาบางลงไปมากกว่าแต่ก่อน

ตื่นเช้าขึ้นมา จึงทราบว่ามันเดินไปข้างกุฏิแม่ชีมุก แม่ชีมุกกำลังจุดเทียนไหว้พระ มันตะโกนบอกว่า แม่ชีขอนอนแค่รุ่งเช้า แม่ชีมุกเลยเปิดหนีเข้าบ้าน

ดิฉันปรึกษากับแม่ชีพร (แก่มากแล้ว) จะทำรั้วกั้น ได้ตกลงกันจะใช้ล้อมด้วยหนามเล็บเหยี่ยว ถ้ามันเข้ามา หนามจะเกี่ยวเสื้อผ้ามัน ระหว่างมันหยุดปลดเราจะวิ่งหนี ค่ำลงดิฉันตั้งสัตย์อธิษฐานว่าถ้าข้าพเจ้าจะมีบุญอยู่ในเพศนักบวชชี ขอคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดาครูบาอาจารย์ คุณศีลธรรมให้ดลบันดาลจิตครูบาอาจารย์จะหูหนวกตาบอดก็ช่าง จะเป็นสามเณรหรือชีปะขาวก็ได้ แต่ขอให้เป็นเพศพรหมจรรย์ด้วยกัน ให้มาในสถานที่นี้ภายใน ๓-๗ วันจะนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ ถ้าเลยจากนี้ไปไม่มีใครมาข้าพเจ้าจะสึกเพราะบุญของข้าพเจ้าไม่มีเสียแล้ว

หลังจากตั้งสัจอธิษฐานไม่กี่วัน วันนั้นเวลาประมาณ๘-๙ นาฬิกากลางคืน ได้ยินเสียงดังตุกติกๆ เหมือนเสียงเท้าคนเดินมาจากทางวัด เราคิดช่างเถอะ ล้อมรั้วไว้แล้วไม่ค่อยกลัวนัก แต่คอยระวังเฝ้าดูอยู่ มีพระองค์หนึ่งมาถาม แม่ชีถังตักน้ำมีไหม เราย่องๆ ไปที่ประตูรั้ว มองเห็นไม่ชัด ถามว่าคนหรือพระบอกนะ ถ้าไม่บอก ไม่ได้ถังน้ำนะ ท่านไม่ตอบ มองไปมองมาเห็นไม่มีผม ถามอีกพระหรือคน เวลานี้กำลังมีเรื่องนะ ถ้าไม่บอกไม่ได้ถึงน้ำเด็ดขาด ท่านไม่ตอบ มีกลิ่นผ้าเหลืองโฉยมา รู้ว่าเป็นพระ รีบไปเอาถังน้ำมา เปิดประตู ดีใจมากที่สุด นายสง่าหายไปไหนไมทราบ ไม่กลัวแล้วต้มน้ำร้อนเตรียมหมากพลูมาต้อนรับพระ พลางเล่าให้ท่านฟังว่า บักสง่ามาอยู่ที่ป่าช้า มันไปทำร้ายใครตายหมดทุกคน ดิฉันบวชใหม่ยังไม่อยากตาย จึงตั้งสัจอธิษฐานขอให้ครูบาอาจารย์มาอยู่จำพรรษาด้วย บุญดิฉันมีมาก ดิฉันไม่สึกแล้ว จะขอตายในพระศาสนา

รูปภาพ
พระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ

รูปภาพ
พระอาจารย์วัน อุตฺตโม

รูปภาพ
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร


พระมาถึงวันเดียวกันมากเป็นอัศจรรย์

อธิษฐานแล้วยังไม่ถึงเจ็ดวัน เพียงแค่สามวันก็มีอาจารย์สุวัจน์ อาจารย์วัน อาจารย์สม อาจารย์สิงห์ทอง อาจารย์ประยูร อาจารย์เพ็ญ หลวงพ่อแวง หลวงพ่อลา อาจารย์คำมุ่ย มีพระมาวันเดียวกัน ชั่วโมงเดียวกันเกือบจะถึง ๒๐ องค์ น่าอัศจรรย์มาก พระอาจารย์คำมุ่ยบอกว่า เสร็จจากสวดมนต์ไหว้พระแล้ว คุยกับหลวงพ่อว่าพรุ่งนี้จะข้ามมาศรีเชียงใหม่ แต่อย่างไรก็ไม่ทราบเกิดคิดถึงแม่ คิดถึงมาก คิดว่าคุณแม่จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเป็นอะไร อยู่ไม่ได้มันร้อนใจ เลยข้ามเรือมาแต่มืดจากเวียงจันทน์นั้นแล้ว อาจารย์สุวัฒน์ว่า ผมก็เหมือนกัน มืดอยู่ภูโน้น ชวนกันว่า พรุ่งนี้จะลงมาศรีเชียงใหม่ แล้วแยกกันไปจัดของ พอมารวมกันก็ชวนกันมาเลยจนมืดค่ำป่านนี้ เห็นจะเป็นด้วยคำอธิษฐานของคุณแม่กระมัง

อาจารย์จำพรรษาอยู่ด้วยกันทั้งพระทั้งเณรมีเกือบถึง ๒๐ องค์ กลับเวียงจันทน์องค์เดียว แต่อาจารย์คำมุ่ย เพราะโยมแม่ท่านป่วย ก็เลยกลับ ท่านอาจารย์สุวัจน์เป็นสมภาร อบรมสั่งสอนด้านข้อวัตรปฏิบัติของท่านเคร่งครัดในด้านพระธรรมวินัยอย่างเข้มงวดกวดขัน ผู้มีศีลห้าไม่ให้ใช้ผู้มีศีลแปด ผู้มีศีลแปดไม่ให้ใช้ผู้มีศีลสิบ ผู้มีศีลสิบไม่ให้ใช้ผู้มีศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด

ก่อนออกพรรษา ๗ วันอาจารย์สุวัจน์ถามว่าอะไรมาเป็นกระดูก อาจารย์ให้เวลาคิดจนถึงวันสุดท้ายของพรรษา ดิฉันกลุ้มใจมาก เราอยู่ด้วยกัน ๓ คน ต่างคนต่างคิด ไม่พูดคุยกัน ฉันจังหันแล้วไปเดินจงกรมบ้างนั่งภาวนาบ้าง คิดอยู่แต่เรื่องเดียว อีก ๔ วันจะถึงเวลาตอบปัญหา ปรากฏในนิมิตมีขวดกับขันน้ำ (ล้างอย่างดีสะอาดหมดจด) และผ้ากรองน้ำ ๓ ผืน ผืนแรกค่อนข้างบาง ผืนที่ ๒ หนาเล็กน้อย ผืนที่สามหนามาก ครั้งแรกใช้ผ้าบางกรองน้ำใส่ขวดแล้วเทออกใส่ขัน ครั้งที่ ๒ กรองด้วยผ้าหนาเล็กน้อย น้ำไหลลงช้าๆ ครั้งที่ ๓ ใช้ผ้าหนามาก นานๆ น้ำจะหยุดลงสักหยดหนึ่ง น้ำที่กรองได้ใสสะอาดบริสุทธิ์ เรานั่งเพ่งพอได้น้ำเต็มขวดรีบปิดฝาทันที ไม่นานลมมาจากไหนไม่ทราบ มีลมแผล็บเดียวไฟก็อบอุ่นขึ้น ลมพัดไปมา ไฟก็เผาน้ำงวดเข้าๆ จนเป็นยางเส้นเล็กเส้นใหญ่ เรากำหนดรู้ว่านี่คือดินซึ่งเปลี่ยนสภาพจากน้ำ เพราะอำนาจของลมกับไฟ กำหนดดูดินที่มาเป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง (กรรมฐาน) นั้นเป็นดินหยาบ ดินอย่างกลางเป็นเนื้อ ตับ ปอด ม้าม ฯลฯ กำเนิดอีกรู้ว่า ดินละเอียดมาเป็นกระดูก จะถูกหรือผิด ไม่ทราบยังไม่แน่ใจ เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน จิตสอบกันไปสอบกันมา จิตดวงหนึ่งผุดขึ้นมาว่า เชิญเถอะ ถ้าไม่เชื่อเจ้าของ ลองไปศึกษากับอาจารย์ร้อยองค์พันองค์ก็เชิญ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มั่นใจเจ้าของ จิตอีกดวงหนึ่งว่า ถ้าไม่เชื่อเจ้าของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็อยู่กับคนอื่นละซี่ เราสงสัยอีกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะอยู่กับเราได้อย่างไร เราเป็นหญิง อยู่กับเราไม่ได้ ต้องอยู่กับพระจึงจะถูก จิตดวงหนึ่งว่าอย่างนั้น อีกดวงหนึ่งว่าอย่างนี้ ไม่สิ้นสงสัย

ถึงวันพระ ท่านอาจารย์ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์แล้ว เราไม่ได้ฟังคำเทศน์ของอาจารย์เลย มัวแต่สอบจิตเจ้าของ ถ้าอาจารย์ถามอย่างนั้น เราจะตอบอย่างนี้ อาจารย์เทศน์จบลง ท่านนั่งยิ้มมองดูอยู่ไม่ถามอะไร ท่านพูดว่า จะสงสัยอะไร อันนั้นเป็นหนทางเดินเหมือนเดินจงกรม ได้ยินไหม เขาลือว่าอาจารย์เดินจงกรมแล้วแบกทางเดินจงกรมไปด้วย จิตบอกอาจารย์เทศน์สอนเราเพราะเราสงสัย จึงตอบอาจารย์ว่า จิตดิฉันไม่เดินตามทาง เข้ารกเข้าป่าเหยียบแต่ขวากหนาม แล้วมารักษาแผลเก่าแผลใหม่ ไม่รู้จักจบจักสิ้น เหมือนคนตาบอดเข้าป่า ท่านตอบว่า เราบวชเข้ามาทำไมล่ะ ก็บวชมารักษาแผลละซี่ ดิฉันตามองไม่เห็น เดินบุกป่าบุกดงจะทำอย่างไร ท่านอาจารย์ท่านตอบว่า เวลาเราเดินป่าก็เป็นอย่างนั้น มีขวากหนาม เมื่อเดินออกจากป่ามาตามทุ่งไม่ค่อยได้รักษาแผลหรอก

เรารู้ว่าป่าคือกิเลสที่ไปหลงยึดถือ ทำให้เกิดอารมณ์ดีอารมณ์ชั่ว ใครยกย่องสรรเสริญก็ยินดีแช่มชื่นเบิกบาน ครั้นถูกติฉินนินทา จิตก็เศร้าหมองขุ่นมัว นี่แหละแผลของจิตเป็นอย่างนี้ เราเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกว่า จิตเราเป็นอย่างนี้ ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้จะเป็นนักบวชได้หรือ ทำไมจิตเราไม่เหมือนจิตพระจิตเณร จิตของท่านคงสบายเยือกเย็น ไม่รับทั้งอารมณ์ดีอารมณ์ชั่ว ส่วนจิตเราไม่ให้มันยึดมันก็ยึด ไม่ให้มันรับมันก็รับ เราเฝ้าสังเกตจิตอยู่เสมอ ระมัดระวังห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง คอยแต่จะจับอารมณ์ดีอารมณ์ชั่วอยู่เรื่อยไป เพราะสติปัญญาไม่แก่กล้าพอ เป็นอยู่อย่างนี้หลายปี มีความสงสัยอยู่ตลอดเวลา เวลาออกพรรษาแล้วก็มีอาจารย์มหาถวัลย์มาหาว่าจะข้ามเวียงจันทน์ เราก็เลยข้ามเวียงจันทน์ไปอยู่ด้วยอาจารย์อ่อนศรีอีก อาจารย์มหาถวัลย์ก็ไปอยู่วัด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2020, 13:06 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


พรรษาที่ ๑๒ วัดป่าบ้านนาคุณน้อย นครเวียงจันทน์

จวนเข้าพรรษา แม่ชีคำผุย ลูกศิษย์รุ่นแรกของอาจารย์อ่อนศรี ขอตัวดิฉันไปอยู่ด้วย เพราะท่านนิมิตเกี่ยวกับดิฉัน แต่ท่านไม่ได้เล่าเรื่องนิมิตให้ฟัง วัดคุณแม่คำผุยอยู่ในชนบทห่างไกลจากนครเวียงจันทน์พอสมควร ท่านอยู่ตามลำพัง ๓ คนแม่ลูก มีตัวท่าน ลูกสาวและน้องสาว ชาวบ้านเคารพนับถือท่านมาก ปรนนิบัติดูแลเหมือนพระองค์หนึ่ง คุณแม่เอาใจใส่แนะนำสั่งสอนดิฉันทุกอย่าง ตั้งแต่การกินอยู่ หลับนอน การพูด การเดิน การคุย ตลอดถึงการคิดการภาวนา อบรมให้มีสติต่อสู้อยู่เสมอ

ท้าทายมัจจุราช

คุณแม่ทดสอบดิฉันหลายครั้ง บางครั้งสอบได้บางครั้งสอบตก แต่ละครั้งน่ากลัว ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงจึงรอดตัวไปได้เช่น ครั้งหนึ่งท่านบอกว่าคุณลูกตรงนั้นมีเห็ดมาก ท่านชี้ไปในที่หนึ่งซึ่งมีควายอยู่เป็นฝูง ทั้งตัวผู้และตัวเมีย บางตัวกำลังรุ่นหนุ่ม บางตัวหนุ่มเต็มที่ มีหนอกคอเต็ม เขาโง้งแหลมหวาดเสียว ดิฉันกลัวมากแต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง ยอมตาย เดินเข้าไปในที่นั้น ครั้งแรกควายจ้องมองดู ดิฉันใจเต้นตึ๊กๆ ต่อมามันก้มหัวลงกระดิกหาง เห็ดไม่มี เพียงแต่ท่านต้องการจะทดลองดิฉันดูเท่านั้น ครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี

ครั้งที่สองก็เรื่องควายอีกนั่นแหละ คุณแม่พาไปหาไม้ฟืน กลับวัดเวลาตะวันอ่อนๆ เป็นเวลาเดียวกับเวลาที่ควายจะกลับบ้าน ควายประมาณ ๒๐ ตัวกำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างทาง ดิฉันแบกไม้ฟืนเดินตามหลังคุณแม่มา ควายเหล่านั้นเดินเรียงแถวหน้ากระดานมาติดๆ ข้างหลังดิฉัน ศีรษะชิดกันเป็นแพ ดิฉันกลัวอยากวิ่งออกหน้า แต่ไม่กล้า ควายทุกตัวยกหางขึ้นเสมอกันเหมือนกันหมด คุณแม่เดินช้าๆ เอาปลายเท้าเขี่ยดินไปตามทาง ควายเดินโอบเข้ามา ตาจ้องมองตาไม่กะพริบ คุณแม่พูดว่า มองอะไรไม่เคยเห็นชีหรือ โง่จริง ควายลดหางลง แยกกันไปกินหญ้าตามเดิม

ครั้งสำคัญที่ดิฉันแพ้อย่างน่าละอายไม่มีปัญญาจะต่อสู้คือคุณแม่ชวนดิฉันเข้าไปในป่า ไปทางดงเสือผ่าน ท่านบอกคอยอยู่ที่นี่นะ ที่นี่เห็ดแยะ แล้วท่านเดินจากไปเพียง ๔-๕ ก้าวเท่านั้น ดิฉันมองหาท่านไม่เห็นเสียแล้ว ดิฉันตะโกนร้องหาท่านลั่น ได้ยินเสียงกู่ตอบมาแต่ไกล ประมาณหนึ่งหลักกิโลเมตร ดิฉันกลัวเสือมากคุมสติไม่อยู่ทำอะไรไม่ถูก มีแต่ความกลัวอย่างเดียว วิ่งตามคุณแม่ไป แต่หาท่านไม่พบ ไม่นานดิฉันเห็นท่านกลับมา ดิฉันรีบวิ่งกลับมาเก็บเห็ดที่เดิมก่อนที่ท่านจะมาถึง

ในระหว่างพรรษานั้น ท่านก็พาไปทดสอบตามป่าช้า เรากลัวควาย เรากลัวเสือ ท่านก็พาไปที่เสือ จนให้เรานี้ชำนาญหมดทุกอย่าง ค่ำมาแล้ว ท่านก็สอบจิตของเราอีก อย่างนั้นเรื่อยไป จนให้เรานี้เกิดปัญญาขึ้นทีละเล็กทีละน้อยไปจนตลอดวันและคืน หาอุบายแก้ปัญหาของท่านอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปไม่ให้นั่งอยู่เฉยๆ ให้ค้นคิดอยู่อย่างนั้น มีครั้งหนึ่งท่านถามว่า ลูกได้เรื่องพระเวสสันดรไหม เราก็ตอบว่ายังไม่ได้ ท่านก็ว่า คุณลูกได้หมด คุณลูกโกหกแม่ เราก็ว่าไม่ได้จริงๆ ท่านก็ว่า เราได้หมด อยู่อย่างนั้นเรื่อยไป แต่เราก็ไม่รู้จริงๆ ท่านก็ไม่ยอม เพราะว่าท่านอยากจะให้เรามีสติปัญญาค้นคิดอยู่ในเรื่องการให้ทาน ให้เรารู้ว่าทานชนิดไหนเป็น “ทาน ปารมี” ทานชนิดไหนเป็น “ทาน อุปปารมี” ทานชนิดไหนเป็น “ทาน ปรมัตถปารมี” ท่านให้รู้ให้เห็นในด้านจิตของตัวเองให้ละเอียดถี่ถ้วนในการทำทาน ให้เรารู้เพื่อจะได้ เต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านก็ให้เรารู้ในด้านจิตของเราเอง

ในการรักษาศีล ท่านก็ให้รู้ว่า ศีลอยู่ที่ไหน ศีลเป็นอย่างไร เราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร ศีลของเราจึงบริสุทธิ์ผุดผ่องดี ให้เรามีสติตรวจดูจิตของตนเองอยู่เสมอ ไม่ให้มันคิดมันพูดไปทางที่ไม่ดี ศีลของเราจะเศร้าหมองขุ่นมัวหรือศีลขาดก๊ได้ ในการคิด การพูดและการทำอย่างไม่มีสติใช้ไม่ได้ ถึงจะคิดจะพูดจะทำลงไปมันผิดพลาดเรียกว่าขาดสติ ท่านสอนเราหมดทุกอย่าง แต่เราเองมันไม่มีสติปัญญาจะค้นหาต้นสายปลายเหตุของกิเลสตัณหา ก็เพราะว่าจิตของเรามันก็ยังเพลิดเพลินอยู่ ยังออกๆ เข้าๆ อยู่อย่างนั้นเรื่อยไป ยังอยู่เป็นปรกติไม่ได้เลย วอกซ้ายแวกขวาอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป มันจึงไม่รู้ไม่เห็นต้นสายปลายเหตุว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเกิดขึ้นเพราะเหตุอะไร เราก็ไม่รู้กันทั้งนั้น เพราะว่าจิตของเราไม่อยู่กับหลัก มันวิ่งไปทางอดีต วิ่งไปทางอนาคตถ้าวิ่งไปทางอดีต ถ้าเจอของดีที่น่ารัก มันก็ไปรักไปชอบถูกอกถูกใจ ก็เพลิดเพลินไปตามความดีใจอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปไม่เข้ามาหาหลักเลย ก็ติดข้องอยู่กับความดีใจแล้วก็แล้วไป ถ้าไปเจอสิ่งที่ไม่ดีมาก็หน้าตาเศร้าหมองขุ่นมัว หงอยเหงาเศร้าโศกเดือดร้อนวุ่นวาย ส่งส่ายอยู่อย่างนั้น มันก็ไม่เกิดปัญญาขึ้นมาเลย เพราะว่าจิตเองเรามันไม่อยู่ในปัจจุบัน มีแต่เพลิดเพลินไปตามเรื่องเหล่านั้นอยู่เสมอ มันจึงไม่เห็นอะไรสักอย่าง เพราะว่าจิตของเรามันไม่นิ่งอยู่ในหลัก มันเป็นอย่างนั้นเรื่อย เราก็เอามาพิจารณาว่า เรานี้ทำไมไม่มีสติปัญญาอย่างนี้ เราก็คิดว่าบุญวาสนาบารมีของเรานี้น้อยหนักหนากระมัง จึงไม่รู้ไม่เห็นอะไร คิดแล้วน้อยใจบางครั้งเป็นอย่างนั้นก็มี แต่ไม่อยากจะสึก คิดไปคิดมาอยู่อย่างนั้น

คุณแม่มีเมตตาต่อดิฉันอย่างหาที่เปรียบมิได้ ซึ่งดิฉันได้จารึกพระคุณของท่านไว้ในดวงใจ และอีกผู้หนึ่งซึ่งดิฉันจะลืมพระคุณของท่านเสียไม่ได้เช่นกัน ท่านผู้นั้นคือคุณย่าวัดโนนนิเวศ แต่วิธีการของท่านทั้งสองแตกต่างกัน คุณย่าไม่เคยอบรมข้อวัตรปฏิบัติแก่ดิฉันแม้แต่น้อย มีแต่ดุด่าดูหมิ่นเหยียดหยามจนดิฉันมองหน้าท่านไม่ติดเพราะความกลัวและความละอาย จึงหนีไปเดินจงกรมภาวนาอยู่คนเดียว วันไหนฝนตกก็แอบมานั่งบังฝนอยู่ริมชายคา บำเพ็ญภาวนาทั้งกลางวันกลางคืน เกิดปัญญาแก้ไขความคับแค้นใจได้ ด้วยเหตุนี้ ดิฉันจึงถือว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณผู้หนึ่ง

จะขอเล่าเรื่องคุณย่าสักเล็กน้อย คุณย่าเป็นคนเสียงดัง ท่านดุดิฉันแต่ละครั้งได้ยินไปทั่วถึงบนวัด ดิฉันเป็นคนขี้อาย ดิฉันแอบไปร้องไห้วันละหลายๆ หน ต่อมาเมื่อพิจารณาเกิดปัญญาถามว่า แม่ชีผู้นี้หรือจะไปนิพพาน คิดตอบว่า ไม่ใช่นี่เป็นตัวอย่างทางไม่ดี ถ้าเจ้าเหมือนเขา เจ้าจะไปนรก ทำไมเขาบวชมานานจึงทำอย่างนี้ได้ นี่ละเรื่องของโลก โลภะ โทสะ โมหะ มันอิจฉาริษยาคนอื่นอยู่ร่ำไป สนทนากันเหมือนมีจิตอยู่สองดวงถามตอบกัน ผู้จะไปสวรรค์นิพพานเป็นอย่างไร ทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้า ใครจะเช็ดอะไรมันก็ไม่ว่า ถ้าอย่างนั้นเขาด่าว่าเรา เราก็เฉยๆ เสียงออกมาเป็นแต่ลมออกมา ถ้าไม่รับเอาก็เป็นเรื่องของเขา เราต้องอดกลั้นขันติ เอ้า ทำไมร้องไห้ล่ะ น้ำตามันพุ่งออกมานี่ นี่น้ำตากิเลสต่างหาก ที่มันติดยึดถือว่าตัวดี มันก็ร้องไห้ละซี่ ว่าเขากดขี่ข่มเหง แท้จริงเขาไม่ได้ทำอะไรให้ เขาพูดเฉยๆ ตั้งแต่นั้นมาจิตเราสบายและรวมได้ง่าย นั่งทีไหนก็รวมที่นั่น

พรรษาที่ ๑๓-๑๔ ภูหินคันนา นครเวียงจันทน์

เรากลับจากบ้านนาคุณน้อยแล้ว พ่อคำมุ่ยมาขอไปอยู่วัดหนองบัวทอง พรรษานี้อาจารย์มหาถวัลย์ไม่อยู่ ท่านไปสร้างวัดใหม่ที่ปากเซ อาจารย์คำมุ่ยรองเจ้าอาวาสชวนไปอยู่ภูหินคันนา ถ้าอยู่ได้จะอยู่สัก ๒ ปี มีแม่ชี ๒ คน คือดิฉันกับพี่สาว อาจารย์ ๑ องค์ เณร ๑ องค์ ปะขาวเฒ่า ๑ คน รวมเป็น ๕ ไม่นานมีพระวัดบ้านไปไล่ให้หนี ไม่ให้อยู่ ขู่เข็ญอาจารย์อยู่บนโน้น ครูบาเณรก็มาเรียกว่า คุณแม่เขาจะมาจับท่านอาจารย์เราไปแล้ว ให้คุณแม่ขึ้นไปเดี๋ยวนี้เร็วๆ เราก็รีบขึ้นไป เราไปยังไม่ถึง ได้ยินเสียงพระวัดบ้านโกรธอาจารย์อยู่ แล้วเราก็ไปถึง มองดูหน้าพระวัดบ้านมีเจ็ดองค์ เราก็เอาน้ำต้มรากไม้ไปต้อนรับอย่างดีว่า ครูบามาเยี่ยมเยียนก็ไม่มีน้ำอ้อยน้ำตาลอันใดจะต้อนรับ เพราะว่าดิฉันอยากจะมาทดลองอยู่ป่าว่ามันจะเป็นอย่างไร จะอยู่ได้ไหม อดอยากทุกข์ยากขนาดไหนดิฉันนี้ก็ว่าจะอดเอาทนเอา ลองดูก่อนถึงจะกลัวผีกลัวเสือกลัวช้างอะไร ทุกข์อย่างอยู่ในป่านี้ดิฉันจะขอทดลองดูก่อนว่าจะอยู่ได้ไหม เขาก็พูดขึ้นด้วยกันทั้งเจ็ดองค์ว่าไม่ให้อยู่ เขาขู่อาจารย์เราไปเตรียมของลงด้วยกันเดี๋ยวนี้ ถ้าอยู่ไปมันก็จะแผ่ (ออกไปอีก) เราก็ตอบว่า ถ้าดิฉันนี้ไม่ให้แผ่ มันก็แผ่ไม่ได้เลย เพราะว่าดิฉันเป็นคนที่จะแผ่ ถ้าดิฉันไม่แผ่ มันก็แผ่ไม่ได้เด็ดขาด เพราะว่าบางแห่งจะยังอยู่ในดินเวียงจันทน์นี้ไม่ได้แล้ว ดิฉันเองเป็นผู้ดูแลความผิดชอบทุกอย่างได้ในด้านดินแดนเวียงจันทน์นี้รู้ไหม ท่านอาจารย์เจ็ดองค์นี้ยังไม่รู้กระมัง

ผู้เป็นเจ้าคณะแขวงคณะเมือง ก็พูดขึ้นมาว่า อาตมาเป็นห่วงมาก มาอยู่ป่าอย่างนี้ เพราะว่ามันได้ยินมาแล้วว่า พ่อขาวตีหัวอาจารย์แตก อาตมาก็เป็นห่วงมาก เรายกมือขึ้นด้วยความเคารพอย่างอ่อนน้อมจริงๆ แล้วว่า ดิฉันขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมากนะคะ ท่านเป็นผู้มีเมตตาต่อลูกเต้า ศิษย์โยม ขอให้ช่วยดูรักษาชื่อเสียงของลูกเต้าศิษย์โยมไว้ อาจารย์กับหลวงพ่อทะเลาะกันอยู่ ได้ยินเสียงเราพูดกันอยู่กับผู้ใหญ่ ก็เลยหยุดทันที พอบ่ายสามโมงแล้วเราเลยนิมนต์ให้ลงไปเลย สงสารหลวงพ่อองค์แก่ กลัวจะหกล้มหกลุก เราก็พูดไปอย่างนั้น พระวัดบ้านท่านก็เลยไป น่าอัศจรรย์จริงๆ

พอดีก้าวออกไปจากศาลา พอพ้นแค่นั้น ฝนก็ตกลงมาเหมือนเทน้ำออกจากถังใหญ่ๆ เลย เมฆก็ไม่มีสักก้อนเดียว ฟ้าสว่างไปหมด ไม่มีเมฆฝน ทำไมตกอย่างนี้ เราก็คิดว่า คงเป็นเทพารักษ์ช่วยกระมัง จึงเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ามืดฟ้ามัวฝนเลย ฟ้าก็ขาวสว่างอยู่นี่นา พระที่มาไล่ก็เปียกหมด แต่มีร่มกางอยู่ก็ไม่กันได้เลย เหมือนตกน้ำหมดทั้งตัวเลย เขามาเล่าให้ฟังว่า ไปถึงวัดสั่นงกๆ เลย น่าสงสารจริงๆ

ต่อนั้นมาไม่นานเท่าไรก็มีผู้ร้ายแปดคนขึ้นมาพักด้วย มันไปปล้นเขามา ฆ่าเจ้าของบ้านเขาตายคนหนึ่ง แล้วขึ้นมาพักอยู่ด้วย เขาขอข้าวกินแล้วก็ขึ้นไปพักด้วยอาจารย์บนโน้น ดิฉันขึ้นไปจังหัน อาจารย์บอกว่า เขาไปค้านางทองคำมา (ค้าฝิ่น) อาจารย์บอกเป็นนัยซึ่งรู้กันเฉพาะพวกเรา ดิฉันก็เข้าใจ จึงให้ศีลให้พรว่า ไปดีนะไปให้ตลอดปลอดภัย ไปให้ถึงพ่อถึงแม่ถึงลูกถึงเมีย ทุกคนยกมือขึ้น นอกจากหัวหน้าคนเดียว มันถลึงตาใส่เรา

ตกกลางคืนราว ๔ นาฬิกาคนร้ายหนีไป แต่ดิฉันยังไม่หายกลัว กลัวมันจะกลับมาอีก กลัวจนตามืดตามัว เดินไปไหนหกล้มหกลุก ได้ปรึกษากับพี่สาวว่า จะกลับหรือจะอยู่ จนค่ำมืดยังคิดไม่ตก มองหาใครที่จะพึ่งได้ก็ไม่มี ยิ่งมืดก็ยิ่งกลัว นั่งอยู่ในถ้ำคนเดียว คิดว่าถ้าคนร้ายรายใหม่ขึ้นมามันร้ายกาจกว่าเดิมจะทำอย่างไร ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตก หมดที่พึ่งเข้าจริงๆ จิตดวงหนึ่งบอกว่า ออกไปตายเสีย ออกไปทางสามแยกโน่น ข้อยจะพาเข้าไปตาย ตายแล้วจะได้ไม่ต้องกลัว ตอบตกลงว่า ไปก็ไป ทางสามแยกนั้น แยกหนึ่งเป็นทางมาแต่บ้าน แยกหนึ่งลงจากภู แยกหนึ่งขึ้นจากห้วยมาบรรจบกัน เสือมาคนมาก็เจอกันที่นั้น คิดว่านั่งตายอยู่นี่ ไม่ต้องหนีไปไหน ยอมตายวันนี้

นั่งลงบนก้อนหินเล็กๆ ภาวนาพุทโธๆ จิตร่วมลงๆ ไม่ค่อยปรุงค่อยแต่ง ลมละเอียดเข้าๆ ได้มีเสียงหัวเราะเยาะ บวชมานาน ๑๐ กว่าปีแล้วยังไม่ถึงพระไตรสรณคมน์ จิตเราสะดุ้งเฮือกเต็มแรง เราบวชแล้ว ทำไมยังไม่ถึงพระไตรสรณคมน์ แต่ชาวบ้านนิมนต์พระไปก็ขึ้นพระไตรสรณคมน์ เขาว่า เขาถึงพระไตรสรณคมน์ จิตหนึ่งอธิบายว่า ชาวบ้านเขาถือพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งเฉยๆ จิตเขายังไม่ถึงพระไตรสรณคมน์ ถ้าจิตเข้าถึงจริงๆ แล้วต้องเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วไม่กลัวอะไรทั้งหมด ถ้าใครได้กระทำกรรมอะไรไว้ จะหนีขึ้นไปบนปราสาท ๗ ชั้นก็หนีไม่พ้น กรรมจะไปบันดาลจิตเจ้าของให้อยากลงมารับกรรมตามที่ตนได้กระทำไว้ คนเชื่ออย่างนี้จึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพระไตรสรณคมน์อย่างแท้จริง รู้สึกว่าจิตเบิกบานอิ่มเอิบไปด้วยปีติจนพูดไม่ถูก จิตเราก็ตื่นเต็มที่ ศึกษากันเรื่องพระไตรสรณคมน์จนตะวันโผล่ขึ้นจวนถึง ๗ นาฬิกา จึงรีบมาทำจังหัน ระหว่างทำจังหันอยู่นั้น จิตยังศึกษากันอยู่ในเรื่องพระไตรสรณคมน์ยังไม่จบสิ้น เรื่องพระไตรสรณคมน์สูงที่สุด ละเอียดลออที่สุด เลยอยู่ได้ไม่กลัวอะไรทั้งหมด ใจใหญ่ที่สุด

พบเสือสง่าครั้งที่ ๓

ครั้งแรกพบที่อุดรฯ ก่อนบวช ครั้งที่สองที่วัดป่าพระสถิตย์ นี่เป็นครั้งที่ ๓ มันขึ้นไปกับเพื่อนๆ ยังหนุ่มอายุไม่ถึง ๕๐ ปี สง่าแก่แล้วผมขาว คนหนุ่มถามว่า แม่ชีมีกี่คน เราบอกว่า “มี ๒ คนกับพี่สาวแก่แล้ว” พอดีพี่สาวเดินมามันหัวเราะ “ฮ่าๆๆ ยังไม่แก่ กำลังดี วันนี้เราจะนอนที่นี่ เราจะสนุกกันใหญ่วันนี้” ดิฉันนั่งคิด เราคงจะทำกรรมกับคนพวกนี้มา เขาจึงตามขึ้นมา ชาติก่อนเราคงทำชั่วมากจริงๆ เอาละ ถ้าเป็นเช่นนั้น ชาตินี้เราจะขอใช้หนี้เวรกรรมเสียให้หมดสิ้น อย่าได้มีเวรมีภัยสืบต่อไปเลย คิดแล้วจึงพูดขึ้นแต่โดยดีว่า “คุณน้า ถ้าจะพักที่นี่ เชิญขึ้นไปข้างบนกุฏิอาจารย์มีของทุกอย่าง” มันหันขวับมาตวาดว่า “มึงไม่ต้องมาพูด กูอยากอยู่ที่ไหนกูก็จะอยู่” มันควงมีดเดินไปเดินมาแทงโน่นแทงนี่ ทำอาการฮึดฮัดขัดเคือง

ดิฉันนั่งกินหมาก ในใจนึกว่าวันนี้คงเป็นวันตายของเรา เขามาตามเราแล้ว เอาเถิดตายก็ตาย ตั้งสติให้ดีนะ มันเดินไปทำท่าทีอย่างนี้ๆ มันกลับมามันจะข่มคอเราลงเอามีดแทงพรวด เราจะตั้งสติอย่างไร จะเอาอะไรเป็นหลักของจิต จิตบอกว่าระลึกถึงพุทโธ ตั้งสติอยู่กับลมหายใจ ถ้ามันแทงลงไป เราตั้งสติกำหนดลม ลมเข้าไม่ได้มันก็ตาย จิตถามมันจะไม่ร้องหรือ ไม่ครางหรือ ไม่ดิ้นหรือ สอบกันไปสอบกันมา จิตอีกดวงตอบว่า รับรองได้มีสติอยู่กับลมเข้าลมออก เลยไม่เกี่ยวข้องกับกาย เวลานั้นเย็นลงมากแล้วลองพูดกับเขาอีกครั้งว่า “คุณน้า ถ้าไม่กลับก็เชิญขึ้นไปหาอาจารย์ข้างบน ถ้าจะกลับก็เชิญกลับไปได้แล้วเพราะคุณพ่อคนนี้ (เสือสง่า) เหมือนพ่อฉันจริงๆ ดิฉันเป็นห่วงมาก ท่านแก่แล้วตาก็ไม่ดี เดินค่ำๆ มืดๆ กลัวจะหกล้มหกลุกจะลำบากแก่คุณน้า”

มันโกรธมาก พูดกระชากๆ ว่า “ไม่ใช่หน้าที่ของมึง กูอยากไปกูก็ไป” มันขว้างมีดฟันดินดังปังเกี้ยวกราดขึ้นทันที คว้ามีดราวกับจะเดินเข้ามาหาเรา จิตบอกตั้งสติให้ดี เราสอบจิต สติแน่นอยู่กับลม ชั่วครู่คนแก่ซึ่งนั่งนิ่งอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มแรกก้าวเข้ามา ไม่เคยพูดเลย พูดขึ้นว่า “กลับ” พูดคำเดียวเท่านั้น เพื่อนตอบว่า “ไป กลับก็กลับ”

พอมันเดินคล้อยหลังลับตาไป ดิฉันตั้งสัจขอให้มันไปให้พ้นที่นี่ ให้ไกลที่สุดอย่าได้อยู่ในเขตนี้เลย ตอนค่ำมันไปหยุดผิงไฟอยู่ในหมู่บ้านชาวบ้านแอบได้ยินมันพูดอย่างโกรธเคืองว่าทำเรื่องแบบนี้มาจนหัวขาวแล้วไม่เคยพลาด คราวนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ เจตนาจริงๆ ตั้งใจจะไปทำร้ายมัน ทำไมใจอ่อนยวบๆ ดึงไม่ขึ้น แปลกจริงๆ

งูใหญ่กลับใจ ผงกหัวคำนับ

ปะขาวเฒ่าบอกว่าในถ้ำข้างบนมีงูใหญ่ ระวังอย่าขึ้นไป คืนหนึ่งเดือนหงายดิฉันนั่งอยู่ในมุ้งกลดบนร้านเตี้ยๆ
ได้ยินเสียงข้างบนดังอึกทึกสั่นสะเทือนลงมาถึงข้างล่างแผ่นดินไหว เหมือนภูเขาจะพังทลายลงมา เสียงดังใกล้เข้ามาๆ ลมพัดแรงขึ้นๆ ลมตีมุ้งกระพือเข้าหน้าตลอดเวลาไม่ขาดระยะ พอลืมตาขึ้นดู แต่จิตห้ามไว้ไม่ให้ลืมตา พอมัน (งู) มาถึงตีนภูเขา มันตกใจ จิตมันคิดว่า อะไรนะขาวๆ ยาวๆ ดูเหมือนกะท่อนไม้ มันอะไรกันแน่นะ ปรากฏว่าเรารู้จิตของมัน มันคิดอยากจะลองเอาหางไปเกี่ยวดู ว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น มันคิดอย่างนั้น จิตดวงหนึ่งบอกว่า งูนะ งูมันจะเอาหางมารัดเจ้านะ ตั้งสติให้ดี ตั้งสติไว้กับลม งูจะรัดเจ้าแน่นเข้าๆ จนกระดูกหักหมด แล้วมันจะกลืนเจ้าเข้าไป ตั้งสติไว้ให้ดีอย่าเผลอ มีสติแน่นอยู่กับลม ลมละเอียดเข้าๆ มาพิจารณาดูว่า เราเข้าไปอยู่ในท้องงู เรายังไม่ตาย สติยังมีอยู่ ไม่รู้สึกเจ็บปวด เมื่องูกลืนเราเข้าไป อยู่ในท้องแล้วมันไปไม่ได้ เราตายงูก็ตายไปด้วยกัน แต่จิตเราออกไปแล้ว จิตไม่ตาย นี่เป็นเรื่องของกาย กายเป็นอาหารงู จิตดวงหนึ่งถามว่า จิตออกไปแล้วไปอยู่ที่ไหน จิตดวงหนึ่งตอบว่าไปตามหน้าที่ที่ทำมา ทำขีดไหนก็ไปตามขีดนั้น ขณะนั้นปรากฏว่าจิตงูอ่อนลง มันก้มหัวลงผงก ๓ ครั้ง แล้วเบนหัวออกแล้วไปตามห้วย จิตตามดูเห็นงูใหญ่มากสีเทา หัวมันโตเท่าอ่างดินสำหรับใส่น้ำ มองตามมันเลื้อยไป ลมพัดมุ้งพรึ่บๆ จิตหนึ่งบอกว่าอย่าลืมตาๆ เราคิดดูงูคงจะใหญ่จริงๆ เพราะเวลามันเลื้อยไป ได้ยินเสียงต้นไม้ใหญ่หักเป็นระยะๆ นานราว ๒-๓ ชั่วโมง จิตเรารวมลง นั่งอยู่ตลอดคืน มันก็กลัวเหมือนกันแต่ไม่กลัวมาก

ต่อมาอีกราว ๑ เดือน พระจันทร์เต็มดวง ดิฉันไปเดินจงกรมอยู่ที่ริมป่ายอดห้วยเล็กๆ ต่อจากห้วยใหญ่ๆ มีลานหินสะอาดน่าเดิน ทีแรกคิดกลัวเสือ คอยฟังแต่เสียงเสือ คิดว่าถ้าเสือมาจะหนีขึ้นกุฏิ ระหว่างเดินอยู่ได้ยินเสียงเสือร้องมาแต่ไกล แต่ไม่ทราบว่าเป็นเสียงอะไรเลยไม่กลัว คงเดินจงกรมอยู่ตามปกติ เสือร้องใกล้เข้ามาๆ ได้กลิ่นเหม็นสาบฉุนกึก ห่างไม่เกิน ๔-๕ วา จิตบอกว่าเสือนะ เสือใหญ่มาแล้ว เดี๋ยวนี้มันหมอบลงแล้ว มันจ้องมองดูอยู่ อย่าประมาท ควรหลีกไป จึงหยุดเดินจงกรมเลี่ยงไปขึ้นกุฏิแล้วก็ไม่มีอะไร เรื่องก็หายไป เมื่อถึงคราวที่สุดแล้ว ยอมสละชีวิตเพื่อตาย ย่อมได้สิ่งที่ไม่ตายขึ้นมา

ความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่

ภูหินคันนานี้เป็นที่เหมาะสำหรับนักปฏิบัติ เพราะนอกจากเป็นสถานที่วิเวกปราศจากผู้คนแล้ว ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่ให้ความเพลิดเพลินและน่าหวาดเสียวสะพรึงกลัว เช่นนกนานาชนิด กระต่าย เสือร้าย คนร้าย และผี แต่ผีที่นี่เป็นผีสัมมาทิฏฐิ ไม่ร้ายกาจ ไม่เหมอนผีที่วัดหนองหม้อทอง นอกจากว่า ใครประพฤติตัวไม่ดีจะต้องถูกสั่งสอนบ้างพอให้เข็ดหลาบ เช่น ชาวบ้านขึ้นไปทะเลาะกันจะต้องเจ็บป่วยลงมา แม่ชีก็เหมือนกัน ต้องมีอินทรีย์สังวรณ์อยู่ทุกเมื่อ จะพูดจะเล่นหัวเราะเยาะเย้ยถากถางกันไม่ได้

ก่อนขึ้นไปอยู่ภูหินคันนา เราตกลงกันไว้ว่า ถ้าขัดข้องสิ่งใดเราจะไม่ขอใคร จะยอมอดเอาทุกอย่าง เช่น ถ้าไม่มีข้าวสาร อด ๙-๑๐ วันอยู่ได้ไม่เป็นไร ถ้าอดถึง ๑๕ วันหากอยู่ได้ก็อยู่ แต่จะไม่ยอมไปขอใครเป็นเด็ดขาด ทั้งๆ ที่ชาวบ้านได้ปวารณาไว้อย่างแข็งขัน และเราก็ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ เพราะเรายอมสละแล้วทั้งภายนอกภายใน ตลอดเวลาที่เราอยู่ภูหินคันนานาน ๒ ปี ไม่เคยขัดข้องสิ่งใด สมมุติว่าวันนี้ขาดสิ่งของสิ่งนี้ รุ่งขึ้นก็ได้สิ่งนั้นมาทุกอย่าง ชาวบ้านเอาขึ้นไปบังสกุล บางวันเราไปตัดไม้อยู่ฟากภูเขาข้างโน้น กลับมามีข้าวสาร ปลาร้า เกลือ หมากพลูวางอยู่บนชะง่อนหิน เอาใบไม้ปิดไว้ ออกพรรษาแล้วมีแม่ชีจากที่ต่างๆ ขึ้นไปเยี่ยม บางครั้งมีมาก ๒๐-๓๐ คนแต่ไม่เคยอด มีแม่ชีมากหรือแม่ชีน้อยก็พอเลี้ยงได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นที่น่าอัศจรรย์จริงๆ

เราทำความเพียรอย่างยิ่งยวด ทั้งกลางวันกลางคืนนอนบ้างเพียงเล็กน้อย ไม่เกี่ยวข้องกับชาวบ้าน แม้กับพี่สาวก็ไม่พูดคุยกัน ต่างคนต่างอยู่ การภาวนาก็ได้ผลดีเป็นที่น่าอัศจรรย์ สามารถเข้าใจภาษานกได้ ใจกล้าแข็งแกร่งไม่กลัวอะไร แม้กับผีก็องก๋อยก็มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนเหมือนเรา ปกติผีก็องก๋อยมักไปด้วยกันเป็นแพ ๒๐-๓๐ ตัวส่งเสียงร้องก็องก๋อยๆๆๆๆ โบราณว่าถ้ามันร้องก็องก๋อยมันมักจะมาทำร้ายให้ตาย

เราจับเรื่องผีมาพิจารณาอีก อะไรเป็นผี ตอบว่า ก็คนละซี ถามว่า คนเป็นผีได้อย่างไร ตอบว่า ไม่เห็นหรือเขาแบกปืนเข้าป่าทุกวัน ก็คนจำพวกนั้นละซี ไม่มีศีลไม่มีธรรม ตายไปก็กลายเป็นผี ถามว่า เขาร้องทำไม ตอบว่า เขาม่วน (เขาสนุก) นะซี เหมือนกับคนนั่นแหละ คนออกจากบ้านก็ร้องรำทำเพลงสนุกสนาน นี่เขาออกไปหากิน เขาก็ร้องรำทำเพลงขับกล่อมกันไป เพลิดเพลินสนุกเฮฮาหรือเศร้าโศกเสียใจ ก็จิตดวงเดียวของมนุษย์นี่แหละที่เขาไปเกิดเป็นผีก็องก๋อย หรือเป็นเสือนั้นเพราะเขาได้ทำบาปไว้ เขาจึงไปเกิดในคตินั้นๆ แต่จิตดวงเดียวของมนุษย์นี้ไปครองเข้า จึงเป็นไปตามคติของตนๆ จะไปกลัวกันทำไม จิตไม่มีกลัว แต่เราไปหลงถือกันจึงกลัวกัน

อาจารย์กลัวเสือ

ครั้งแรกดิฉันไม่ทราบว่าอาจารย์กลัวเสือ อยู่มาวันหนึ่งอาจารย์บอกให้ดิฉันไปตัดไม้มาให้มากๆ ดิฉันคิดว่าท่านจะปลูกกุฏิใหม่ให้เณร ดิฉันกับพี่สาวช่วยกันไปตัดไม้มากองไว้แล้วมานั่งพักเหนื่อยดูว่าอาจารย์จะมาทำอะไร เห็นท่านล้อมรั้วกุฏิหนาทึบล้อมรอบไม่มีประตูเข้าออก ท่านเล่าให้ฟังว่า วันก่อนเสือลงมากินน้ำ แล้วขึ้นมาที่กุฏิ ท่านเคยคิดมาก่อนแล้วว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเสือคงขึ้นมา ท่านจึงเตรียมระฆังกับมีดพร้าไว้ คิดว่าถ้าเสือขึ้นมาจะเคาะระฆังให้เสือตกใจหนีไป แต่พอเสือมาจริงๆ ท่านจะยื่นมือไปจับมีดพร้าก็ยื่นไม่ออก มือไม้แข็งกระด้างไปหมด จนกระทั่งเสียงเสือร้องไกลออกไป จึงค่อยหายสั่น ดิฉันถามว่า อาจารย์ล้อมปิดหมดอย่างนี้อาจารย์จะเข้าออกทางไหน ท่านบอกว่า จะเว้นช่องไว้เฉพาะตัวคลานรอดเข้าไปได้ ดิฉันบอกว่า อาจารย์มัวแต่ก้มลงรอดเข้าไป เสือคงคาบอาจารย์เอาไปกินก่อนแล้ว อาจารย์ถามว่า ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร ดิฉันบอกว่า อาจารย์กลัวเสือ สวดมนต์เสร็จ อาจารย์รีบเดินมาจากศาลา ถ้าอาจารย์ทำประตูไว้พออาจารย์มาถึง รีบผลุบเข้าไปเลยทางประตู ขัดกลอนข้างในเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ เร็วกว่าก้มลงคลาน เสียเวลาเปล่าๆ อาจารย์เห็นด้วย รับว่าจริงของคุณแม่ อาตมากลัวมาก จึงได้ทำอะไรโง่ๆ ทำนองนั้น อาจารย์ได้อุบายจากลูกศิษย์ ศิษย์ที่ดีย่อมมีประโยชน์อย่างนี้

ต่อมาดิฉันไปอยู่กับอาจารย์องค์อื่น วันหนึ่งมีเทศน์มหาชาติ คนมาทำบุญเต็มศาลา หลังจากอาจารย์เทศน์จบ ดิฉันขอโอกาสให้ท่านมานั่งใกล้ๆ เพื่อรักษาให้สิ้นความสงสัย ท่านถามว่า คุณแม่สงสัยอะไร ดิฉันเรียนท่านว่า จิตดิฉันเมื่อกระทบอิฏฐารมณ์มีความพอใจยินดี ถ้ากระทบอนิฏฐารมณ์ จิตดิฉันพองขึ้นด้วยโทสะ โมหะ มีแต่ความโกรธความชัง พองขึ้นมาเหมือนอึ่ง หักห้ามด้วยความอดกลั้นขันติ แต่จิตก็เศร้าหมองขุ่นมัวอยู่กับเรื่องนั้นไม่สงบลงได้ ดิฉันเป็นอย่างนี้จะใช้ได้หรือ เป็นนักบวชแล้ว อาจารย์ถามว่า คุณแม่คิดว่า จิตพระจิตเณรเป็นอย่างไร ดิฉันคิดว่า จิตท่านไม่หวั่นไหววางเฉยได้หมดทั้งดีและชั่ว จิตท่านเยือกเย็นที่สุด อาจารย์ตอบว่า ถ้าเป็นพระอิฐพระปูนก็เป็นได้เหมือนคุณแม่คิด จิตพระปุถุชนก็เหมือนจิตคุณแม่ ฮึมเป็นพระแล้วยังรับอารมณ์ต่างๆ อยู่หรือ เราสิ้นสงสัย จิตสว่างจ้า ทีแรกคิดเป็นแต่เรางมคนเดียว เราไม่รู้จักอะไร จะแก้กิเลสตัณหาอย่างไรก็ไม่รู้ งมงายอยู่ ๒๐ พรรษาเศษ งมผิด งมถูก พิจารณาแล้ว พิจารณาเล่า มีความสงสัยแต่ไม่กล้าเข้าหาครูบาอาจารย์ เพราะความกลัว ไม่กล้าถามไม่กล้าคิด เมื่ออยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ ใช้สติบังคับจิตอย่างเต็มที่ กลัวว่าถ้าคิดผิดท่านจะสั่งให้สึก ดิฉันไม่อยากสึก กลัวอย่างที่สุด

ครั้งหนึ่งอาจารย์มหาถวัลย์ป่วยทางจิต เขาเรียกวิปัสสนู* อาจารย์คำมุ่ยร้องไห้ไปหาดิฉัน บอกให้ช่วยอาจารย์ด้วย ดิฉันจนใจจะช่วยได้อย่างไร อาจารย์เป็นถึงมหา ดิฉันเป็นหญิง จะเอาความรู้ที่ไหนไปแก้ไขท่าน อาจารย์คำมุ่ยรบเร้าหนักเข้า จึงตัดสินใจลองดูบ้าง เวลาขณะนั้นมืดแล้ว จุดไฟเดินไป พออาจารย์เห็น ท่านรู้ได้ทันที พูดว่า “โน่นคำมุ่ย คุณแม่พิมพามาแล้ว จะมาแก้วิปัสสนูให้ผม จุดไฟมาโน่นแนะ” ดิฉันขึ้นไปกราบท่าน ท่านมองตาใสแจ๋วน่ากลัว จะมาแก้วิปัสสนูหรือ แก้ๆๆๆๆ ดิฉันตอบไปว่า ไม่ใช่ดิฉันจะมาแก้ท่านอาจารย์ ดิฉันอกจะแตกอยู่แล้ว รอท่านอาจารย์ให้หายป่วยก็ไม่หาย ไม่มีใครจะแก้ไขจิตให้ดิฉันได้ จิตของดิฉันขัดข้องที่สุด ขอโอกาสท่านอาจารย์อย่างเพิ่งพูดนะ จิตดิฉันจะเตลิด ถ้าดิฉันระลึกได้ดิฉันจะพูดเอง ขอโอกาสให้ดิฉันควบคุมสติเสียก่อน ท่านนั่งนิ่งหลับตา ดิฉันเห็นท่านตั้งใจฟังอยู่ จึงพูดว่า ดิฉันพิจารณาดูเห็นว่า ถ้าเราเผลอสติจิตก็ลอยไปตามลม เหมือนขว้างนุ่นลงไปในแม่น้ำโขง แล้วแต่ลมจะพัดไป ติดที่ไหนข้องที่ไหนก็อยู่ที่นั่น จิตผู้ไม่มีสติเป็นอย่างนั้น ส่วนผู้มีสติสมาธิมั่นคง จิตก็มั่นคงเหนียวแน่น เหมือนเอาก้อนหินขว้างลงไปแม่น้ำโขง น้ำจะลึกสักเท่าไรก็สามารถหยั่งรู้ถึงดินได้ใช่ไหมท่านอาจารย์ ท่านตอบว่าถูกแล้ว ถ้าไม่เป็นของปลอม

ตื่นเช้าท่านมีจดหมายว่า อาตมาเป็นวิปัสสนูจริงๆ คุณแม่รอก่อน จะพิจารณาไปอีกสัก ๓ วัน ถ้าไม่ตรงอย่างคุณแม่ว่า จะบอกอีก อาจารย์คำมุ่ยเล่าว่า ตั้งแต่คุณแม่ไปพูดอย่างนั้นแล้ว อาจารย์สงบลงไม่วิ่งหนีออกจากวัดเหมือนแต่ก่อน อาตมาได้นอนหลับสบายทั้งคืน ดิฉันเป็นห่วงอาจารย์มากได้ตั้งสัจอธิษฐานขอให้ครูบาอาจารย์ในประเทศไทย จะอยู่ไกลแสนไกลก็ขอให้ร้อนใจมาช่วยให้อาจารย์คงอยู่ในศาสนาต่อไป หลังจากนั้นมีอาจารย์จากที่ต่างๆ ไปแน่นศาลาทุกวัน แต่ท่านอาจารย์ยังไม่หาย คงเป็นอยู่อย่างนั้นไม่มีใครแก้ได้ ดิฉันคับใจมาก บางครั้งมีครูบาอาจารย์มาเต็มศาลา ท่านขึ้นไปบนศาลาไม่ครองจีวร ไปถึงก็นอนลงเลย ไม่กราบไม่ไหว้

สติสัมปชัญญะท่านยังบริบูรณ์อยู่ ท่านทราบทุกอย่างอาจารย์องค์ไหนเป็นอย่างไร จะแก้ไขท่านได้หรือไม่ ดิฉันพอเรียนถามท่านว่า จะไปหาอาจารย์องค์นั้นเอาไหม ท่านว่าเออ พออยู่กัน องค์นี้เอาไหม ท่านว่าเออค้ำกัน คิดจะไปหาอาจารย์อ่อนศรีที่ท่าบ่อ ท่านห้ามอย่ามา องค์นั้นเป็นไฟมันลุกพรึบใส่กัน คิดจะไปหาท่านอาจารย์ฝั้น คุณแม่จะไปถึงหรือ ท่านอยู่ที่ไหนไม่ทราบ จะไปถามเอาจะไปให้ถึง ท่านนิ่งไม่พูด เอาหรือไม่เอา ถามทุกองค์ที่รู้จัก ท่านอาจารย์เทสก์ล่ะเป็นอย่างไร อาจารย์ท่านถามว่า ท่านอาจารย์อยู่ไหนล่ะ ตอบไปว่า อยู่ภูเก็ตโน้น ท่านว่า ทำไมถึงอยู่ไกลแท้ ทำไมถึงจะมาได้ล่ะ เราก็บอกว่าก็นั่นล่ะซีท่านอาจารย์ ท่านจะช่วยแก้ได้ไหม ท่านตอบว่า ได้ ถ้าท่านมา

ไม่นานได้ข่าวว่าท่านอาจารย์เทสก์มาอีสานแล้ว ได้ให้อาจารย์อ่อนศรีไปนิมนต์กำชับว่า ขอให้นิมนต์มาให้ได้ ไม่นานเพียง ๓๐ นาทีก็ยังดี ขอแต่ให้ท่านมาให้เห็นอาจารย์องค์นี้ รุ่งเช้าอาจารย์อ่อนศรีพาท่านอาจารย์เทสก์ข้ามโขงไป ท่านอาจารย์ไปหาท่านอาจารย์มหาถวัลย์ประเดี๋ยวเดียว ท่านอาจารย์มหาถวัลย์เดินหน้าชื่นลงมา ดิฉันดีใจมากที่สุด จิตใจเบิกบานโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตอนเย็นชาวบ้านมาประชุมพร้อมกัน ท่านอาจารย์เทสก์ถามว่า แม่ชีภาวนาเป็นอย่างไร เวลานั้นดิฉันกำลังพิจารณาขันธ์ห้าอยู่ หนักอกยุ่งไปหมด เห็นแต่ทุกข์ ตอบว่าไม่เห็นอะไร เห็นแต่ทุกข์ ท่านตอบว่า บวชมาจะให้เห็นอะไรก็ให้เห็นทุกข์ล่ะซี เรื่องบวชก็มีแค่นี้

หลายปีต่อมา ท่านข้ามไปเวียงจันทน์อีก ท่านชวนว่าแม่ชีไปภูเก็ตกับข้อยไหม ไม่ไปหรอกท่านอาจารย์ มันไกลไปไม่ได้ ตอนหลังเมื่อท่านเป็นเจ้าคุณแล้ว ท่านชวนอีก ตอบท่านว่า ท่านอาจารย์ได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณแล้ว ดิฉันขี้เกียจรับแขกเจ้าแขกนาย เจ้านายขึ้นไปแต่ละครั้ง ๑๑ นาฬิกาแล้วยังไม่ได้รับประทานอาหาร ไม่เอาแล้ว ดิฉันจะไปอยู่ตามป่าตามดง หาผักหาหญ้ากินตามประสาชาวบ้านนอก สบายดี ท่านว่าข้อยคิดเหมือนเจ้า อยากปลีกตัวออกอยู่เสมอ จะพยายามหลีกไปหาป่าอยู่เหมือกัน ธรรมะและอุบายมิใช่จะมีได้แต่ผู้ชายหรือนักบวช ผู้หญิงและฆราวาสก็ได้เหมือนกัน ผู้ที่เมตตาปรารถนาหวังดีต่อบิดามารดา จะเป็นเด็กอยู่ก็มีได้เหมือนกัน

:b50: :b49: :b50: หมายเหตุ : * วิปัสสนู เป็นภาษาพูด หมายถึง วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ คือเครื่องเศร้าหมองของวิปัสสนา ซึ่งจะเกิดขึ้นในขณะเริ่มญาณที่ ๔ คือ อุทยัพพยาญาณ อย่างอ่อนๆ มีชื่อเรียกว่า ตรุณอุทยัพพยาญาณ วิปัสสนูปกิเลสมี ๑๐ อย่าง ได้แก่
๑. โอภาส มีแสงสว่างรุ่งโรจน์แรงกล้า สว่างกว่าแต่กาลก่อน
๒. ปีติ อิ่มใจเป็นอย่างยิ่งกว่าที่ได้เคยพบเห็นมา
๓. ปัสสัทธิ จิตสงบเยือกเย็นมาก
๔. อธิโมกข์ น้อมใจเชื่อเลื่อมใสอย่างเด็ดขาด ปัญญาก็เกิดได้ยาก
๕. ปัคคหะ พากเพียรอย่างแรงกล้า
๖. สุข มีความสุขสบายเหลือเกิน ชวนให้ติดสุขเสีย
๗. ญาณ มีปัญญามากไปจะทำให้เสียปัจจุบัน
๘. อุปัฏฐาน ตั้งมั่นในอารมณ์รูปนามจนเกินไป ทำให้ปรากฏนิมิตต่างๆ
๙. อุเปกขา วางเฉยมากเป็นเหตุให้หย่อนความเพียร
๑๐. นิกันติ ชอบใจในอุปกิเลส ๙ อย่างข้างบนนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2020, 13:07 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


ขึ้นภูลังกา

ต่อมาพี่สาวมาเยี่ยมที่วัดหนองบัวทอง แล้วก็ชวนลงไปที่ภูลังกาจังหวัดนครพนม ก็เลยตามเขาไปอยู่วัดโนนคะนิง สิบวันก็มีพวกวิปัสสนามาศึกษาธรรมะตั้งแต่เช้าถึงค่ำมากันเยอะ ตอนกลางคืนเขามากันเยอะตั้งหลายวัน เราไม่ได้พักผ่อนจนหัวใจสั่น เขาเห็นเราเป็นอย่างนั้นแล้วเขาก็เอายามาให้ทาน ก็พอสงบลงหน่อย เขาว่าถ้าถูกยา อยู่ร้านจะเอามารักษาคุณแม่ให้หาย แล้วคนก็มามากเข้าทุกที เราก็ทนไม่ไหวจึงหาวิธีหลอกไปบ้านนาวัว ไปพักอยู่วัดร้างก็ค่อยยังชั่วหน่อย คนก็เยอะเหมือนกัน แต่เขาไม่มีความรู้ เขาก็มาเรียนไหว้พระสวดมนต์ หัดนั่งสมาธิ ภาวนา เดินจงกรมก็ค่อยยังชั่ว เพราะว่าเขาไม่มีความรู้ แต่เขามีศรัทธาความเชื่อมั่น เราบอกเขาอย่างไร เขาก็ทำตามหมดทุกอย่าง

อยู่ที่นั่นได้ครึ่งเดือน เขาก็มาชวนขึ้นไปภูลังกา บางคนก็พูดว่า ท่านไม่รับแม่ชี ไม่พูดกับแม่ชีเลย เราก็มาคิดว่า รับหรือไม่รับพูดหรือไม่พูดแล้วแต่บุญเรา เป็นแต่เพียงว่าให้เราได้กราบท่านแล้วก็จะลงมา มีแม่ชีสองคนขึ้นไปที่ภูลังกา ภูลังกาสูงมาก ขึ้นไปถึงมองลงมาเห็นควายเท่ากับหมูน้อย บางทีมีเมฆไหลอยู่ใต้ภูโน้น เราขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนั้นตั้งเก้าลูก มาถึงภูลูกที่แปด เรามาถึงก่อนเพื่อน มารอท่าเพื่อนอยู่ที่นั้นก็มองไปเห็นถ้ำใหญ่ เราก็คิดว่าเป็นถ้ำของอาจารย์ เราก็ดีใจว่าจะถึงแล้ว ก็เลยเห็นพ่อขาวมามองดูเรา แล้วก็ไปจับไม้กวาดมากวาดเอาเสื่อมาปู ไปเอากากรอกน้ำใส่มาวางไว้แล้วก็ดูเราอีก พอดีพี่สาวมาถึงก่อน เราก็เลยพูดถามพี่ว่า นี่หรือถ้ำอาจารย์ พี่ตอบว่า ไม่ใช่ พี่สาวเลยนั่งลง ยกมือขึ้นแล้วสาธุๆ พี่สาวบอกว่าเข้าไปอีกนานเลย เข้าไปข้างหน้าโน้น

พวกเราเดินถึงที่นั้นก็เลยไม่มีถ้ำ มองไปที่ไหนก็มีแต่หน้าผาไปหมด เราหิวน้ำ นั่งพักแล้วก็ไปหาน้ำกิน น้ำก็มีตามหลุมหินเล็กๆ มีแต่ใบไม้ เราก็ไปหามากิน พอกินแล้วก็มีกำลังขึ้นมากหายเหนื่อยไปหมด ก็ขึ้นหาที่ถ้ำอาจารย์ พอไปถึง พระลูกศิษย์ของอาจารย์ก็บอกว่าท่านอาจารย์ไม่อยู่ ท่านไปสามผงวันนี้ เราก็ถามว่า เมื่อไรท่านจึงจะกลับมา ท่านตอบว่า ไม่มีกำหนดบางครั้งก็สามเดือน บางครั้งก็วันเดียวก็กลับ เราถามท่านว่าลงไปสามผงกี่วันจึงถึง ท่านบอกว่า สามวันก็ไปถึง

นอนนั่นหนึ่งคืนแล้วก็ลงมา ตอนเช้าขึ้นก็เห็นพระสามองค์เดินไปหาที่เราอยู่ เราก็ถามว่านิมนต์มาจากไหน ท่านก็ตอบว่ามาจากถ้ำท่านอาจารย์วัง ท่านอาจารย์กลับมาแล้วให้อาตมามาบอกโยม ถ้ามีศรัทธาให้ขึ้นไปหาท่านอีก เราก็ตอบว่า มีสิ เราได้ยินท่านสั่งอย่างนั้นก็ดีใจใหญ่ เราก็ขึ้นไปอีก พอขึ้นไปถึง มองไปที่ไหนก็ปรากฏว่ามีพระนั่งสมาธิเป็นย่านๆ เราก็ดีใจมากว่าพระมารับเรา

พอไปถึงอาจารย์ ต้มน้ำร้อน จีบหมากไปถวายท่าน ท่านก็พูดขึ้นมาว่า อยู่ได้ไหม พวกอาตมาจะขึ้นไปทำความเพียรด่านใหญ่หมดทุกองค์ จิตของเราคิดว่าอยู่ได้ แต่สละชีวิตมานี้เพื่อจะฟังเทศน์ของท่านอาจารย์แล้วคงจะไม่ได้ฟังละหนอ เราเพียงคิดเฉยๆ ไม่ได้พูด ท่านพูด หรืออย่างไรล่ะ เราก็ตอบท่านว่า ดิฉันสละชีวิตมานี้ก็ว่าอยากจะฟังเทศน์ท่านอาจารย์ เขาลือไปว่าท่านอาจารย์ไม่รับแม่ชี ไม่พูดกับแม่ชี ดิฉันคิดว่าจะไม่รับไม่พูดกับดิฉันก็ช่าง ว่าแต่ได้กราบได้ไหว้แล้วก็เอา ท่านตอบว่า ตาของอาตมาไม่บอดจะรับทำไม จะพูดทำไม น้ำมันยิ่งอด ไม่มีน้ำจะล้างถ้ำ ท่านเลยไม่ขึ้นไป ท่านเลยเทศน์ให้ฟัง เรานั่งฟังเทศน์ จิตเราก็สงบลงจิตก็คิดขึ้นว่า อยากจะอยู่ด้วยกับท่านอาจารย์ ถ้าท่านบอกว่าไปตายที่ไหนเราก็จะไป ท่านเลยเทศน์ขึ้นมาว่า อาตมามาอยู่ภูลังกานี้ หาถ้ำไหนก็ไม่มีเลย ถ้ำที่อยู่เดี๋ยวนี้ที่เรามานั่งสมาธิทุกวันนี้ แต่ก่อนไม่มีถ้ำ เป็นหน้าผาไปหมด จนสามปีแล้ว มีพ่อขาวไปบอกว่ามีถ้ำตรงที่อาจารย์ไปนั่งสมาธิอยู่นั่นทุกวัน ท่านตอบพ่อขาวว่า อย่ามาโกหกอาตมาเลย มีแต่หน้าผา ไม่มีถ้ำ พ่อขาวพูดนิมนต์ท่านอาจารย์ซิ พรุ่งนี้ตื่นเช้าขึ้นมาท่านอาจารย์ไปดูเห็นเป็นความจริง มีไหเงิน ๓ ไห เขามอบให้ท่านแล้วแต่ท่านจะเอาไปทำอะไรก็ช่าง ท่านก็ไม่เอา ท่านบอกให้ฟังหมดทุกอย่าง

ท่านให้อยู่ตีนภู มีต้นยางสามต้น ท่านว่าจะรับรองหมดทุกอย่าง ว่าแต่คุณแม่จะอยู่ด้วยอาตมา ถ้าว่าขึ้นไปไม่ไหว อาตมาจะลงไปเอง ว่าแต่ตกลงใจจะอยู่หรือ เราก็พูดกับเพื่อนว่าอยู่ไหม เพื่อนเขาว่าไม่อยู่ มันไกล อาจารย์ไปอยู่ไม่ได้หรอก เรากลับดีกว่า เราก็ลาอาจารย์ไปอยู่วัดร้างเก่า เขาก็พาเราไปดูป่าตามเลียบภูลังกามีแต่ป่าดงดิบ เสือกินควายอยู่แทบทุกวัน เราก็ย้ายไปอยู่ที่นั่น มีญาติโยมไปปฏิบัติด้วยสิบกว่าคน ต่อมาก็มากขึ้นทุกที มีผู้ชายคนหนึ่งว่าจะแบ่งที่ดินให้เป็นวัด ผมจะสร้างให้เป็นวัดให้คุณแม่อยู่นี่ ผมจะรับรองทุกอย่าง ว่าแต่คุณแม่อยู่ไหม เราก็ตอบเขาว่าอยู่ไม่ได้เพราะไม่มีครูบาอาจารย์จะปกครอง ครูบาอาจารย์เราสั่งสอนอย่างนั้น เขาก็อ้อนวอนอยูอย่างนั้น เราก็ไม่อยู่เลย เราอยู่ก็ได้รับความสงบดีเยือกเย็นเพราะว่ามีแต่คนทำ ไม่มีคนรู้ เราไปบิณฑบาตมาฉันแล้วก็นั่งสมาธิ เดินจงกรมอยู่อย่างนั้นเดือนกว่า

ประเทศลาวเกิดปฏิวัติ มาอยู่วัดหินหมากเป้ง

เนื่องจากเกิดความไม่สงบขึ้นภายในประเทศลาว ตอนกองแลปฏิวัติ ดิฉันจึงหนีมาอยู่กับหลานชายทางห้วยเม็ดซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่วัดหินหมากเป้ง หนองคาย ต่อมาหลานชายสึก ร้างไม่มีพระอยู่ ดิฉันจึงไปอยู่ถ้ำผาบทกับอาจารย์สวด อยู่ได้ ๕ ปีก็ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์ ท่านพ่อพระนิโรธรังสีมาอยู่วัดหินหมากเป้ง ดีใจรีบมาหาท่านเพื่อมาศึกษาในอรรถในธรรม ดิฉันกลัวท่านมาก กลัวท่านจะถามเรื่องการปฏิบัติภาวนา ทั้งๆ ที่ได้ขะมักเขม้นอย่างเต็มที่ตลอดมา ดิฉันพูดไม่เป็นไม่กล้าตอบท่าน ถ้าอาจารย์องค์ไหนถามว่า แม่ชีภาวนาเป็นอย่างไรบ้าง จิตคิดอยากกราบแล้วรีบหนีเลย ถ้าองค์ไหนถามว่า แม่ชีคิดอย่างไร ดิฉันก็ตอบว่า ดิฉันไม่เคยได้ศึกษาเล่าเรียนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ สามารถพูดและเข้าใจเพียงภาษาท้องถิ่น ดิฉันจึงกลัวปริยัตินัก กลัวว่าท่านอาจารย์ใช้คำแปลกๆ ดิฉันจะฟังไม่เข้าใจและตอบไม่ได้ จึงมักหลีกเลี่ยงไม่เข้าหาอาจารย์

ต่อมาทางเวียงจันทน์มารับกลับไปอยู่ได้ ๒ ปี ประเทศลาวกลายเป็นคอมมูนิสต์ ดิฉันกลับมาพบกับท่านพ่อที่วัดหินหมากเป้ง ท่านพ่อเทศน์ว่า โลกกว้างไม่มีทีสิ้นสุด แต่ธรรมะนี้ปฏิบัติไปไม่ที่สิ้นสุด ดิฉันจับหัวข้ออันนี้มาพิจารณาอยู่ตั้งนานหลายปี พิจารณาว่าโลกคืออะไร โลกอยู่ที่ไหน ธรรมอยู่ที่ไหน ท่านว่า อะไรๆ อยู่กับตัวเราทั้งหมด จิตเราก็ตันตื้อ พิจารณาวนเข้าหาตัว อะไรคือคน พิจารณาไปๆ คนไม่มี มีแต่สมมุติๆ เอาธาตุ ๔ เป็นคน รู้ขึ้นมาอย่างนี้พิจารณาธาตุ ๔ เห็นดินแตกสลายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก น้ำซึมซาบออกทุกขุมขน น้ำมูก น้ำลาย น้ำหู น้ำตา สารพัดน้ำทั้งหลายไหลออกไม่หยุดหย่อน แตกสลายอยู่ตลอดเวลา พิจารณาธาตุไฟเป็นอย่างไร แสงอาทิตย์นั้นเรียกว่าธาตุไฟ ความอบอุ่นภายนอกภายในมันเนื่องกัน นี่เรียกว่าธาตุไฟ ธาตุลมเป็นอย่างไร คนเจ็บเป็นอย่างไร คนตายเป็นอย่างไร เราก็พิจารณาในเรื่องธาตุ อ้อ ลมพัดดินไปอัดรูลม มันจึงเจ็บที่นั่นที่นี่ ต่อมาพิจารณาเนื่องมาถึงขันธ์ห้า รู้ว่าธาตุสี่ขันธ์ห้ามันเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าจิตหลงวนเวียน อยู่ในขันธ์ห้า เป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน ยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน เมื่อเกิดตัวตนขึ้นแล้ว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ติดตามมาตามหน้าที่ของมัน พิจารณาอยู่หลายปี เกิดรู้แจ้งในอริยสัจจ์ ๔ แต่จะแจ้งจริงเพียงไรยังไม่ทราบ จึงนำความรู้นี้ไปกราบเรียนท่านพ่อ ท่านพ่อบอกว่า ถูกแล้ว ให้เขียนไว้ ดิฉันเขียนหนังสือไม่เป็น แต่เมื่อลองพยายามเขียนดูก็พอเขียนได้ เขียนแล้วส่งขึ้นไปให้ท่านพ่อตรวจ ท่านอธิบาย แก้ไขให้ ความสงสัยค่อยหมดไปทีละน้อยๆ ดิฉันเป็นคนโง่ ไม่รู้อะไร ฟังท่านพ่อเทศน์แล้วกุเก็บเอามาคิดพิจารณา กลับเข้ากลับออก บางเรื่องพิจารณาอยู่ตั้งหลายปีกว่าจะรู้ได้ เมื่อรู้แล้วเขียนบันทึกไว้เพื่อขอศึกษากับท่านพ่อตามโอกาส

ต่อมาท่านพ่อสั่งให้ดิฉันเขียนเป็นประวัติดิฉันมาวิตก หนักอกหนักใจไม่อยากจะเขียน เพราะกลัวคนทั้งหลายไม่เข้าใจ ไม่เชื่อว่าดิฉันพูดคำสัจคำจริง แล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาทำให้เกิดความเสียหายขึ้น ดิฉันจึงรั้งรออยู่นาน ครั้นมาคิดถึงพระคุณของท่านพ่อที่ให้ที่อยู่อาศัยเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหารการกินเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านก็อนุเคราะห์ให้ได้รับการพยาบาลรักษาเป็นอย่างดี ไม่เคยเดือดร้อนเพราะสิ่งใด ทุกอย่างสำเร็จด้วยบารมีของท่านพ่อ พระคุณของท่านท่วมท้นสุดจะพรรณนา ควรหรือจะทำเฉยเมยไม่นำพาต่อคำพูดของท่าน เรามิกลายเป็นคนอกตัญญูไปหรือ พอคิดได้ดังนี้ ดิฉันรีบรวบรวมเรื่องราวเท่าที่จะพอจำได้มาเล่าสู่กันฟัง หากขาดตกบกพร่องผิดพลาดอย่างไรขอได้โปรดอภัยด้วย หากกุศลผลบุญอันใดพึงบังเกิดมี ขอน้อมถวายแด่ท่านพ่อเพื่อเป็นการบูชาพระคุณท่านเพียงสถานเดียว.

หนังสือเตือนจิตของตนเอง

ถ้าเรามีความศรัทธา ความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว ก็ให้เราตั้งสติบังคับจิตขอตนเองให้มันทำแท้ ทำจริง ทำให้ติดต่อกันไปทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ให้มันขาดตอน มันจะเห็นผลในการกระทำของเราเอง ว่าเราไม่เผลอสติ ตั้งสติให้มั่นคงอยู่กับ “พุทโธ” หรือลมหายใจเข้าออกจนให้มันชำนิชำนาญ ถ้าว่าจิตเราอยู่กับพุทโธแล้ว “พุทโธ” ก็จะหายไป อย่าไปคิดถึงพุทโธอีก ให้เรามีสติเพ่งอยู่กับลมอย่างเดียว. ถ้าว่าสติเราดีเราจะรู้เรื่องของลมขึ้นมาเองว่า ลมหยาบมันอยู่ที่ไหน ลมกลางมันอยู่ที่ไหน ลมละเอียดมันอยู่ที่ไหน ให้เรารู้ไปตามลำดับของลมไปเสียก่อน ถ้าว่าจิตของเราอยู่จริงแล้ว ลมหยาบมันอยู่ชานจมูกมันก็รู้ ลมกลางมันอยู่ในหน้าอกมันก็รู้ ลมละเอียดเหนือสะดือสองนิ้วมันก็รู้ ถ้าสติของเราดีเข้าเท่าไรมันก็ยิ่งจะเห็นลมละเอียดเข้าเท่านั้น ไม่นานมันก็จะรวมแวบลงไปเอง บางครั้งมันก็ลงไปได้นานหลายชั่วโมงก็ได้ บางครั้งลงไปไม่นาน ถอนขึ้นมาเร็วขณะจิตเดียวเท่านั้น ในขณะที่ไหนที่มันรวมลงไปได้นาน รวมไปถึงพื้นฐานของใจได้สักครั้งหนึ่งนั้น จิตของเราจะแนบแน่นมั่นคงอยู่ได้นานไม่ฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปตามอารมณ์ดีและชั่ว จะได้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียวได้นาน ทำให้มีกำลังกายกำลังใจ มีความสามารถอาจหาญขึ้นไม่ท้อแท้อ่อนแอ มีแต่ความถาวรมั่นคง ทำไปจนชำนาญมันก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาเองว่า อะไรเป็นอะไร ให้พิจารณาแยกแจกออกดู ให้มันได้เห็นเป็นซิ้นเป็นอันไป ของอยู่ในตัวของเรานี้มันจะได้เห็นแจ้งเห็นชัดขึ้นมาว่า อะไรเป็นคนตัวตนเราเขา ค้นหาอยู่ที่ตัวของเรานี้แหละ อย่าไปหาอื่นไกล หาเข้ามาในตัว สมุทัย นี้ และเอาศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ทำลายตัวสมุทัยนี้ออกไปให้มันหมดไป แล้วมันก็เป็นอาการของดินน้ำเท่านั้น ที่มันมีความอบอุ่น เดือดร้อนวุ่นวายอันนั้นมันเป็นธาตุไฟกับธาตุลม เวลาลมพัดไปไหนไฟก็ไปด้วยกันทั้งนั้น แล้วแต่ธาตุมันจะประสบเหตุการณ์ร้อน หรือเย็น จิตของเราก็จะแส่ส่ายไปตามอาการที่มันมาสัมผัสทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่อย่างนั้น จิตที่ไม่ได้อบรมฝึกหัดไว้ก่อนแล้ว มันจะต้องแส่ส่าย จึงเรียกว่า ไปทางบุญก็ได้ ไปทางบาปก็ได้ ถ้าว่าไปทางบุญ ก็เรียกว่า กุศลกรรม ถ้าว่าไปทางบาป ก็เรียกว่า อกุศลกรรม มันก็หันไปได้ทั้งสองหน้าที่

จิตดวงนี้บางครั้งมันก็น้ำใสใจดี อยากให้ทาน รักษาศีลภาวนา หาหนทางออกจากกองกิเลสตัณหานี้ให้พ้นไปเสีย บางครั้งก็มีแต่กิเลสตัณหาหุ้มห่อไว้ ไม่ให้ทำทาน รักษาศีลภาวนาเลย กลัวว่าจะเสียเวลาทำมาหากิน กลัวว่าจะขาดวันขาดคืนไป เขาก็เลยหลงหมุนไปทางหน้าที่ของอวิชชาตัณหา มันก็เป็นอกุศล มันก็เป็นไฟ มันก็มีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง หุ้มห่อจิตอยู่ตลอดวันตาย มีแต่ความอยากได้อยากดี อยากมั่งอยากมี ถมจิตของตนเองอยู่เรื่อยไป ไม่มีวันพอได้เลย ไม่รู้ว่าบาป บุญ คุณ โทษ เป็นอย่างไร ไม่รู้เรื่อง ไม่มีหิริความละอายต่อบาปเลย ทำอะไรทุกอย่างทำแต่สิ่งที่ไม่ดี ฆ่าเจ้าเอาของลักสกจกห่อ เอาแต่ของคนอื่นอยู่เรื่อยไป มีแต่ได้เป็นการดี คนจำพวกนี้เกิดมาเสียชาติขาดทุนน่าเสียดายตายเปล่า เมาแต่ว่าผัวกู เมียกู ลูกกู หลานกู บ้านกู เรือนกู ข้าวของเงินทองทุกอย่างเราก็หลงไปยึดจนลืมตัวอยู่กับสิ่งเหล่านั้นจนไม่มีวันพอได้ มีแล้วก็จ่ายไปหมดไป หาใหม่อีกอยู่อย่างนั้น เราไม่รู้ว่ามันเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มั่นคงถาวรอะไรสักอย่าง เราไม่ได้คิดพินิจพิจารณาดู ก็เลยไมรู้ไม่เห็น เดี๋ยวก็พรากเป็นเดี๋ยวก็พรากตายกันอยู่ทั้งโลก ข้าวของเงินทองหามาได้ก็จ่ายไปหมดไป ถ้าไม่ได้สมหวังก็หงอยเหงาเศร้าโศกเดือดร้อน อยู่ไม่เป็นสุขมีแต่ทุกข์ขึ้นถมจิตของตนเองอยู่เรื่อยไป เวลาร่ำรวยมาก็ดีอกดีใจเพลิดเพลินสนุกสนานกันอยู่กับสิ่งเหล่านั้น แล้วก็แล้วไป วันคืนเดือนปีก็ผ่านไป ชีวิตของเราก็หมดไปตายอยู่ทุกวันเวลานาที อยู่ทุกลมหายใจเข้าออกอยู่แล้ว มีแต่ของไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มั่นคงถาวรอะไรสักอย่างอยู่ในโลกอันนี้

เราไม่ควรจะไปยึดไปถือเอาไว้จนเกินไป ให้เรามีสติระลึกว่ามันเป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น ไม่ว่าภายนอกและภายในเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ได้มาแล้วก็หมดไป ไม่คงที่อะไรสักอย่างเลย เพราะฉะนั้นให้เรามีสติรู้เท่าต่อของไม่เที่ยงอยู่เสมอแล้ว มันก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าจิตของเราไปทางฝายบุญกุศลแล้ว ก็มีแต่องค์เมตตากรุณา อยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลอุดหนุนคนที่ตกทุกข์ได้ลำบากตรากตรำหนึ่ง อยากให้ทาน รักษาศีล ภาวนา หาหนทางออกจากกองกิเลสตัณหาที่มันพาให้เราเป็นทุกข์อยู่นี้เรียกว่า จิตเป็นฝ่ายบุญกุศล มีทาน ศีล ภาวนาเป็นพื้นฐานของความดีของเรา เป็นที่ถึงอันออกจากกองทุกข์ได้อย่างแท้จริงเพราะว่า ทาน ศีล ภาวนานี้เป็นเครื่องขูดเกลากิเลสตัณหาของเราให้มันเบาบางลงไปทีละเล็กละน้อย จะได้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดขึ้นได้ ทานศีลภาวนานี้มันเป็นพื้นฐานที่สะอาด ไม่มีกิเลสตัณหามาห่อหุ้มไว้มาก มันก็มองเห็นทางได้ง่าย เพราะว่าทำแต่ฝ่ายบุญกุศลไว้ เราคิดถึงการกระทำของเราขึ้นมาเมื่อไร ก็มีแต่ความแช่มชื่นเบิกบานขึ้นมาทุกครั้ง เราได้ทำไว้แต่ทางดี มีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ในจิตดวงนั้นเสมอ จิตของเรามันก็มองเห็นต้นสายปลายเหตุของความดีและความชั่วว่า มันมาจากอะไร มันเกิดขึ้นจากที่ไหน มันก็ค่อยจะรู้จะเห็นขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่าทาน ศีล ภาวนา ชำระสะสางจิตของเราอยู่ทุกวันเวลา ทานก็เป็นเครื่องชำระสะสางความตระหนี่ถี่เหนียวที่อยู่ในจิตของเราให้มันเบาบางออกจากจิต ไม่ให้จิตของเราแบกภาระหนักเหมือนแต่ก่อน เพราะว่าเราไม่ได้ว่าเป็นของเรา เพียงแค่อาศัยกันเป็นครั้งคราวเท่านั้น จิตของเราก็สบายมาเป็นลำดับ

จิตของเราตั้งมั่นอยู่ในทาน ศีล ภาวนาอย่างเหนียวแน่นพื้นฐานของเรามันแน่นหนาดีแล้ว การภาวนามันก็ค่อยจะทะลุปรุโปร่งไปเอง เพราะความดีของเราที่เราทำมาแล้วนั้น มันก็เป็นฝ่ายบุญกุศลล้วนๆ ไม่ใช่ว่าเราจะไปฆ่าเจ้าของ เอาของคนอื่นมาเป็นของเรา ไม่ใช่ว่าจะลักสกจกห่อเอาของคนอื่น กายของเราก็บริสุทธิ์ วาจาของเราก็บริสุทธิ์ จิตของเราก็บริสุทธิ์ รวมเข้ากันแล้วก็ดีหมด แท้ที่จริงแล้วมันก็ดีมาจากจิต เพราะว่าจิตเป็นผู้สั่งการทั้งนั้น จิตเป็นฝ่ายบุญกุศลมีแต่ความฉลาด หาแต่ความดีใส่ตัวเองอยู่เสมอ กาย วาจา ใจของเราบริสุทธิ์แล้วก็แล้วไป คนอื่นจะยกย่องสรรเสริญ นินทากาเลสักเท่าไรก็ช่างเขา เขาจะพูดว่าดีหรือชั่วก็เป็นเรื่องของเขาว่าแต่เราให้รู้เท่าทันแล้วก็ผ่านไป มันไม่มาเกี่ยวข้องกับจิต

เรามีสติปกครองจิตของตัวเองไว้ ไม่ให้แส่ส่ายไปรับอารมณ์ภายนอกเรามีสติอยู่ในอารมณ์อันเดียว จึงเรียกว่าเป็นผู้ปล่อยได้ วางได้อย่างแท้จริง ไมเคลื่อนไม่ไหว มีสติรู้เท่าทัน ปัญญาเป็นผู้รอบรู้ รู้ทั่ว จึงเรียกว่าจิตสูง สูงกว่าเหนือกว่ากิเลสตัณหา จิตดวงนั้นไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหาอีกต่อไป จึงเรียกว่าจิตสูง จิตไม่เกี่ยวข้องในหน้าที่ของกาม มีสติปัญญาเป็นผู้ควบคุมไม่ให้มันติดมันข้องอยู่ในห้วงของกาม เป็นการปล่อยได้ วางได้ ไม่ยึด ไม่ถือ เพราะว่าสติปัญญาได้พินิจพิจารณา เห็นว่ามีแต่ของไม่เที่ยง ไม่มั่นคงถาวรอะไรสักอย่าง เกิดมาแล้วเพียงแต่อาศัยกันไป ถึงวันตายเท่านั้น ก็เป็นของคนอื่นสืบไปอีก ถ้าเราได้พินิจพิจารณาเห็นแจ้งชัดอย่างนี้แล้ว เห็นดวงจิตของตนเองหมดทุกอย่าง ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็เบาบางลงไปกว่าแต่ก่อนไม่หนาแน่น

จิตฝายบุญกุศล มีทาน ศีลเป็นพื้นฐาน อันเป็นที่ตั้งของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จิตของเราจะสงบลงไปได้ง่าย เพราะว่าจิตของเรามันมีแต่ความอิ่มเอิบขึ้นมาหล่อเลี้ยงจิตของเราให้แช่มชื่นเบิกบานผ่องใส ฐานอันนี้ถ้าว่าเราเอาของดีๆ มาตั้งใส่ไว้ น้ำก็ใส ใจก็สะอาด ก็มีแต่ความเยือกเย็นผ่องใส มองดูอันใดก็เห็นชัดขึ้นมา จิตของเรามีแต่ฐานที่ตั้งแต่ของดีๆ มีทาน ศีล ภาวนา มีสติปัญญาซอกหาหนทางออกจากกองทุกข์ได้ เราเอาทาน ศีล ภาวนามาชำระสะสางอยู่เป็นนิจ มิได้ก่อภัยก่อเวรกับใครมีแต่เมตตากรุณาประจำจิต มีแต่ความแช่มชื่นเบิกบานอยู่เรื่อยไป ฐานอันนี้ถ้าเอาความโกรธ โลภ หลงมาตั้งไว้เมื่อไร ก็มีแต่ความเดือดร้อน วุ่นวาย ส่งส่ายไปตามความโลภอย่างไม่มีวันพอ ก็เลยมีแต่ความโลภ โกรธ หลง ห่อหุ้มจิต เลยไม่มีโอกาสจะได้ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ก็เลยตายไปเปล่า ตายแล้วก็ขาดทุน หาที่พึ่งไม่มีเลย เขาเมาเหล้า เขาก็ยังหายได้ คนที่อยู่ในกิเลสตัณหานี้หายได้ยากที่สุด

จึงให้เราอบรมสติปัญญาของเรา ให้มันหันมาในหลัก จะได้ตรวจดูเหตุที่มันเป็นทุกข์ เพราะอะไร มันเกิดมาจากอะไร จะมองดูให้มันถี่ถ้วนทบทวนดูให้มันละเอียด แล้วจะได้เห็นว่า ธาตุทั้งสี่นี้มันเป็นของไม่เที่ยง ถ้าวันไหนมันเกิดลมเกิดฟอง กระทบกระเทือนธาตุดินมาก ดินก็ผุก็พังลงไปอัดรูลมถมรูน้ำ ลมก็เคลื่อนไม่ได้ ไฟก็อ่อนลงไป มันก็ติดข้องกันอยู่ มันก็เกิดตัณหาอุปาทานขึ้นมา หลงไปยึดไปถือเอาของไม่เที่ยงไว้ มันเลยเกิดทุกขเวทนาขึ้นมา เวลาไหนธาตุทั้งสี่มันไม่เป็นลม เป็นฟอง มันอยู่เป็นปรกติ มันก็เกิดสุขเวทนาหรืออุเบกขาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็อยู่เป็นปรกติไปตามกันหมดทั้งห้าอย่างเลย อยู่ในรูปขันธ์อันนี้ มันก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่อย่างนั้น มันไม่อยู่เป็นตอน ถ้ามีรูป ก็มีเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณก็ติดข้องกันอยู่เหมือนลูกโซ่ มีแต่ ให้เรามีสติ ให้รารู้เท่าทันอยู่ว่านี่แหละตัวอนัตตา มันห้ามไม่ได้ มันเป็นธรรมดาของไม่เที่ยง แต่จิตของเราเองเท่านั้นมันหลงไปยึดว่าเป็นของดี เรามันก็เลยเกิดทุกขเวทนาขึ้นมาทันที

จิตที่ไม่ได้อบรมสติปัญญาไว้แต่ก่อน เจ็บก็เลยท้อแท้อ่อนแอหงอยเหงาเศร้าโศกเดือดร้อน กระวนกระวาย ร้องไห้โอดครวญต่างๆ นานา เพราะว่าเราไม่ได้อบรมสติ บังคับจิตของตนไว้ก่อน แล้วมันก็ทนไม่ไหว เพราะว่าไม่รู้จักวิธีที่จะกำหนดได้ ก็เลยมีแต่ร้องครางอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป เวลาธาตุทั้งสี่เป็นปรกติไม่ติดข้อง เกิดสุขเวทนาก็มีแต่หัวเราะเพลิดเพลินไปตามเรื่องเหล่านั้นอยู่เรื่อยไป ไม่คิดถึงวันเวลานาทีที่ผ่านไปเปล่า มีความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงอยู่อย่างนั้นแล้วก็แล้วไป ผ่านวัน ผ่านคืน ผ่านเดือน ผ่านปีไปเปล่าๆ เท่าวันตายอย่างน่าเสียดาย ไม่รู้ว่าตัวแก่ตัวเฒ่า มีแต่ความอยากได้อยากดี อยากมั่งอยากมีอยู่ไม่มีวันพอ ก็เลยตายไปก่อน ตายแล้วขาดทุน ไม่มีทาน ศีล ภาวนา ไม่มีความดีอะไรสักอย่างเลย เกิดมาเสียชาติขาดทุน

ถ้าว่าคนจำพวกนั้นมีชีวิตอยู่ ก็อยู่ด้วยความหลงมัวเมาเพลิดเพลินอยู่ในห้วงของกามอย่างหนาแน่น มีแต่ความสนุกสนานอย่างไม่มีประโยชน์แก่นสาร เรียกว่าเกิดมาเสียชาติขาดทุน ถ้าว่าตายไปแล้วหาที่พึ่งไม่มี น่าเสียดายตายเปล่า เมาอยู่ในกามเท่าวันตายแล้วขาดทุนกันทั้งนั้น ไม่มีทาน ศีล ภาวนาไว้ตามเดิมก็ขาดทุน

เราเป็นผู้มีศีลธรรมมาแล้วแต่ชาติก่อน เราจึงได้มาเกิดเป็นคน เกิดมาแล้วอย่าให้มันหลงไปตามกิเลสตัณหาจนลืมตัว ให้ใช้สติบังคับจิตของตนเองให้มันตี่นตัวอยู่เสมอ ให้เรารู้ว่าเราคิดผิดหรือถูก ให้เรามีสติรู้เท่าทันอยู่เสียก่อน คิดแล้วอย่าพึ่งพูดออกไป คิดให้มันสมเหตุสมผลก่อน จึงค่อยพูดออกไป คนเราถ้าว่ามีสติอยู่ในการคิด ถึงจะมีความโกรธอยู่ในจิตสักเท่าไร ก็ไม่ปล่อยจิตของตนไปตามกิเลสตัณหา ที่มันอยากพูดออกไปนั่นมันก็หยุดได้ เพราะว่าเรามีสติบังคับจิตของตนเองอยู่เสมอ ถ้าเขาด่าว่าเสียดสีอย่างไรก็แล้วแต่ จิตของเรามีสติปกครองดีอยู่แล้ว มันก็ไม่หวั่นไหว จิตของเราก็มองดูเหตุอยู่ที่ตัวของเราว่า ไม่ได้คิด ไม่ได้พูด ไม่ได้ทำแล้วก็แล้วไป มันก็เห็นเป็นผลแต่ชาติก่อน แล้วมันก็ปล่อยเอง วางเอง เรียกว่ารู้เหตุ รู้ผล มันไม่ต่อธรรมต่อเวรอีก จิตดวงนั้นมันเห็นว่าคิดดี พูดดี ทำดี ก็ได้รับผลดี ถ้าว่าเราคิดชั่ว ทำชั่วก็ได้รับผลไม่ดี ให้เราเชื่อมั่นในการกระทำของเราเองทุกอย่าง อย่าไปเห็นแต่ปลายเหตุฝ่ายเดียว ให้มองเข้ามาดูต้นเหตุอยู่ที่ตัวของเราเองหมดทุกอย่าง คือจิตเป็นผู้สั่งการเอาทั้งนั้น มันจะดีหรือชั่ว จะผิดหรือจะถูกก็เป็นหน้าที่ของจิตเป็นผู้สั่งการเอาทั้งนั้นใช่ไหม ตรวจดูให้ละเอียด จะเห็นแจ้งเห็นชัดขึ้นมาเอง อยู่ในจิตของเราทั้งนั้น ไม่ว่าภายในหรือภายนอก จิตดวงนี้มันหลงไปยึดไปถือเอาของโลกมานับภพนับชาติไม่ได้เลย มันไปฉ้อไปโกงเอาแต่ของโลก ไปเอาดิน เอาน้ำ เอาไฟ เอาลมที่มันเป็นของประจำโลกอยู่นั้น ทั้งความดีและความชั่ว ความผิดและความถูก ความรักและความเกลียด เป็นของๆ โลกอยู่แล้ว จิตของเราเองเท่านั้นที่หลงไปยึดไปถือ ไปฉ้อ ไปโกง ไปแย่งไปชิง เอาแต่ของโลกมา มันจึงเป็นทุกข์อยู่ตลอดวันตาย ทำอย่างไรเราจึงจะรื้อคืนถอนคืนให้โลกไว้ตามเดิมได้เล่า มันจะไม่เป็นหนี้สินของโลกอีกต่อไป เรารีบตั้งสติให้มันเข้มแข็ง ตรวจจิตของเราให้มันละเอียด มันจึงจะรู้เห็นในเรื่องของตนเองทุกอย่าง ว่ามันติดข้องอยู่กับอะไรบ้าง จะได้รื้อคืนถอนคืนให้โลกไว้ตามเดิม หมดแล้วมันก็สุดเรื่องกันเท่านั้น ดินก็ส่งไปเป็นดินตามเดิม น้ำก็ส่งไปเป็นน้ำตามเดิม ไฟก็ส่งไปเป็นไฟตามเดิม ลมก็ส่งไปเป็นลมตามเดิม ความโลภความโกรธ ความหลง ความรัก ความเกลียด อะไรทุกอย่างเป็นของโลกหมดทั้งนั้น

ให้เราตั้งสติตรวจดูให้ละเอียด อย่าให้มันเป็นหนี้เป็นสินของโลกอีกต่อไป ให้เรารื้อค้น ถอนคืนไว้ให้โลก ไปแล้วมันก็เหลือแต่จิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง จิตดวงนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่ในหน้าที่ของกามอีกต่อไป จิตดวงนั้นเป็นผู้พ้นภพพ้นชาติ เพราะว่ามันรวมอยู่ไนปัจจุบัน มีอารมณ์อันเดียว ไม่แส่ส่ายไปยึดเอาอารมณ์ดีและชั่วมาปรุงแต่งว่าดีว่าชั่ว ว่าผิดว่าถูกเหมือนแต่ก่อน มันรวมลงถึงพื้นฐานของใจอย่างหนาแน่นแล้วมันก็หยุดปรุงแต่ง มีแต่สติปัญญาชาระสะสางสิ่งที่มันมาสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสติยึดอยู่ในปัจจุบัน ไม่เคลื่อนไม่ไหวไปตามสิ่งทั้งปวง ใจมีสติยึดอยู่ในหลักอย่างหนาแน่น ไม่เอนซ้าย เอนขวา มีสติปัญญารู้รอบ รู้ทั่วอยู่เสมอ ไม่ให้มันติดข้องอยู่ในห้วงของกาม เรียกว่ามีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เรียกว่าชำนิชำนาญ มันก็ลงถึงแก่นได้ เรียกว่าใจกลาง มันก็หมดเรื่องเท่านั้น เปรียบเหมือนเขาทำงานเต็มหน้าที่แล้ว เขาก็ปลดเกษียณก็มีแต่เบี้ยบำนาญเท่านั้น

สุดเรื่องที่เขียนไปอีกแล้ว จบเพียงเท่านึ้*

*ถ้าว่าดิฉันนี้คิดเกินไป เขียนเกินไป หรือผิดพลาดประการใดแล้ว ขอเชิญท่านผู้รู้ทั้งหลายที่สูงกว่าเหนือกว่าได้อ่านแล้วเห็นว่ามันขาดตกบกพร่องที่ไหนแล้ว ขอเชิญท่านผู้รู้ทั้งหลายแก้ไขให้ดิฉันด้วยนะคะ อย่าว่าดิฉันนี้อวดดีอวดเด่นนะคะ ดิฉันกำลังเรียนคิดเรียนเขียนอยู่ ยังไม่ทันดีเลย ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่เสมอ กว่าจะได้เรียนเขียนนี้ ก็เพราะว่าครูอาจารย์บอกแล้วบอกเล่าจึงได้เรียนเขียนเพียงนิดหน่อยเพื่อว่าไม่ให้คำพูดของครูบาอาจารย์เสียหายไปเปล่า ด้วยความเคารพของครูบาอาจารย์เท่านั้นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2020, 18:42 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


ทางพ้นทุกข์

ทางพ้นทุกข์

อันนี้เรื่องของโลกบังธรรม กรรมบังจิต จิตเห็นผิดเป็นถูกไปได้ก็เพราะกรรมบังจิต จิตเห็นผิดเป็นถูกก็จะทำความดีได้ยาก ก็เพราะฉะนั้นจึงให้เราอาศัยขันติ คือความอดทนต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ เราต้องยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้พร้อมทั้งกาย วาจา จิต ให้ซื่อตรงต่อพระธรรม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงอย่างหนักแน่นมั่นคง ไม่เคลื่อนไหวหรือเอนเอียงไปตามอารมณ์ทั้งหลายทุกอย่าง

ให้มีสติสัมปชัญญะอย่างมั่นคงหนักแน่น ก็แล้วเวลาตาเห็นรูปก็รู้ว่ารูปกับสีเท่านั้น แล้วก็ผ่านไปดับไปเท่านั้น ถ้าหูได้ฟังเสียงก็รู้ว่าเสียงแล้วก็ผ่านไปดับไปเท่านั้น แต่จิตก็อยู่เป็นปกติไม่ไปยึดอะไรสักอย่างมาไว้เลยก็เรียกว่าจิตว่าง ก็เป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ถึงแก่นได้ ก็เรียกว่าเป็นกลางหรือใจกลางได้ ก็เรียกว่าเป็นผู้ถึงพระไตรสรณาคมน์ได้ เชื่อกรรมเชื่อผลจิตของตนเองแล้ว มันก็ไม่ติดข้องอยู่กับอะไรสักอย่างเลย ไม่ว่าอะไรทั้งหมดก็ให้รู้เท่าเอาทันกันไว้อยู่เสมอ จะเผลอสติไม่ได้เลย

เพราะเรายังไม่ทันชำนิชำนาญพอ เราก็ต้องเอาสตินี้แหละเป็นเครื่องอบรมจิตของเราให้อยู่ในปัจจุบันนี้ เพื่อไม่ให้เผลอสติไปได้เลย ต้องกำหนดให้รู้อยู่ทุกระยะในการเคลื่อนไหวไปมา ก็ต้องให้มีสติควบคุมจิตของเราไว้ เพื่อไม่ให้มันออกไปรับเอาสิ่งภายนอกเข้ามาไว้ ก็มีแต่ตั้งใจทำความดีแล้วอยู่เสมอ ไม่ให้เผลอสติไปได้เลย ก็เพราะเรายังไม่มีความรู้ ยังไม่รอบคอบ ก็เลยรู้ไม่เท่าไม่ทันกับกิเลสตัณหา ก็จิตยังไม่มั่นคงเหนียวแน่น เราก็ยังเคลื่อนไหวเอนเอียงไปตามอารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ให้รู้อยู่เรื่อยไป เผลอสตินิดเดียวก็ไม่ได้เลย ก็เพราะเรายังไม่ชำนิชำนาญ

เราจะเข้าใจไปทีละขั้นละตอนได้ ก็เพราะเราตั้งใจเชื่อมั่นอย่างแท้จริงอยู่แล้ว จึงได้มีศรัทธาตั้งใจทำทาน รักษาศีล ภาวนาได้ ก็เพราะเราได้สังเกตดูเหตุและผลของเราแล้ว เป็นความจริงหมดทุกอย่าง ถ้าเราทำบุญไว้น้อยก็ได้รับผลน้อย ถ้าเราทำบุญไว้มากก็ได้รับผลมาก เราทำมาหากินก็คล่องไปหมดทุกอย่าง

เพราะเราเป็นผู้มีความเชื่อมั่นไปตามสัมมาทิฏฐิ ก็เป็นผู้มีปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้ว จึงได้ตั้งใจละเว้นออกจากกามได้ ก็คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ออกมาได้ก็เพราะเรามีปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้วนั้นเอง ก็เพราะเราเป็นผู้ตั้งใจมั่นอยู่ใจความสงบ เอาพุทโธอบรมจิตของตนเองให้มันอยู่กับอารมณ์อันเดียวไปก่อน ไม่แส่ส่ายออกไปทางอดีตและอนาคต ให้รู้อยู่ในอารมณ์ปัจจุบันให้มั่นคงดีแล้ว จิตก็จะสงบไปถึงขณิกะ หรืออุปจาระ หรืออัปปนาก็แล้วแต่ อันนี้เป็นพลังของจิตหนุนปัญญาเพื่อให้เฉลียวฉลาดแหลมคม แก่กล้าเด็ดเดี่ยวขึ้นมาได้ ก็เพราะพลังของจิตหนุนปัญญาให้คิดชอบ ให้พูดชอบ ทำชอบ เลี้ยงชีวิตของตนไปในทางที่ชอบ ไปตามความเพียร ละชั่วทำแต่ทางดีขึ้นไปให้มากขึ้นไปให้ได้เรื่อย เพื่อให้สติระลึกนึกไปแต่ทางดีอยู่เรื่อยไป ให้เราตั้งใจมั่นอยู่ในการคิดค้นหาเหตุผลของตนเองไป เพื่อให้มันถูกต้องต่อหลักของปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้วนั้น เพื่อให้มันรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาเฉพาะตัวของเราเองไปก่อน และเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้ส่งจิตของตนเองออกไปภายนอก มันจะไปเก็บเอาอารมณ์ภายนอกเรื่อยไป

ให้เราตั้งสติกำหนดจิตของตนเองเข้ามาอยู่แต่ภายในของตนเองนี้ เพื่อให้มันรู้เรื่องเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร เราก็จะได้รู้เห็นไปด้วยตนเองหมดทุกอย่าง จึงจะสิ้นความสงสัยไปทีละขั้นละตอน ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดทุกอย่าง เราก็ต้องใช้ปัญญาของเราให้มันแยกแจกออกดู ให้มันเห็นแจ้งชัดขึ้นมาในจิตของตนหมดทุกอย่าง มันจึงจะเกิดความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดยินดีอยู่กับสิ่งเหล่านี้

เราเป็นผู้ตั้งใจดำริชอบออกจากกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อันนี้ให้มันพ้นไปเสีย ก็เพราะว่าเราเป็นผู้มีปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้วนั้น ก็เพราะว่ากามตัณหานี้เหมือนกับเชือกผูกคอ ปอผูกศอก ปลอกมัดขา ภวตัณหามีแต่เป็นห่วงหน้าห่วงหลังอยู่อย่างนั้นแหละ เห็นแต่ของไม่เที่ยงทั้งนั้น ก็เห็นแต่เรื่องของทุกข์ทั้งหมด ถึงหามาได้ก็มีความทุกข์ขึ้นมา ถ้าตกหล่นเสียหายไปก็เกิดทุกข์ขึ้นมาอีก ไม่มีอะไรจะมั่นคงถาวรอยู่ได้เลยหมดทุกอย่าง เรื่องของโลกอันนี้ก็มีแต่เรื่อง มีแต่เป็นหน้าที่ของกามหมดทุกอย่าง ถ้าเรารู้เห็นอย่างนี้แล้วก็จงตั้งใจมาทำความดีไว้ เพื่อให้มันถูกต้องต่อหลักของศีล ซื่อตรงต่อพระธรรมดีแล้ว ธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว ก็ให้พร้อมทั้งกาย วาจา ใจของเราทุกอย่างอยู่เสมอ เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องของตนเองก่อน ให้เราเอาพุทโธเข้ามาอบรมจิตให้มันเสมอไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวแล้วจะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรืออัปนาสมาธิก็แล้วแต่ อันนี้เป็นพลังของจิตให้อิ่มเอิบเบิกบานมีปีติอย่างเต็มที่เป็นเครื่องหนุนปัญญาให้แก่กล้าอาจหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมาได้ ก็เพราะเรามีปัญญาเห็นชอบ จึงเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดได้ จึงได้ค้นหาเหตุหาผลของตนเอง เพื่อให้มันรู้แจ้งเห็นจริงไปด้วยจิตของตนเองไปหมดทุกอย่าง

แล้วก็ให้เราใช้ปัญญาของเราออกสำรวจตรวจตราดูให้เข้ามาหาตัวตนของเรานี้เองว่า นะ ธาตุน้ำมีอยู่สิบสองนั้นมีลักษณะอย่างไรบ้างก็ให้รู้ถึงจิต ก็เพราะจิตเป็นผู้รับรู้หมดทุกอย่างแล้ว ทั้งเห็น โม ธาตุดินมียี่สิบถ้วน ให้รู้ถึงจิตให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง ไป มีสี่ ลม มีหก ให้เราแยกแจกออกดูให้มันเห็นคามความเป็นจริงหมดทุกอย่าง และให้เราใช้ปัญญาของเราแยกแจกออกดู ไปตามดิน น้ำ ไฟ ลม ไปเป็นอย่างๆ ไปก่อน เพื่อจะให้มันรู้อยู่ในลักษณะของกาย ในการเคลื่อไหวของจิตหมดทุกอย่างแล้ว จิตของเราจะได้รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาให้ชัดเจนแก่จิตของตนหมดทุกอย่าง นับแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ตับ ปอด ม้าม หัวใจ ไส้น้อย ไส้ใหญ่ อาหารเก่า อาหารใหม่ พังผืด กะโหลกศีรษะ เยื่ออยู่ในสมอง ศีรษะ ดูไปให้จบยี่สิบบอย่าง อันนี้เป็นส่วนของพ่อให้ม่เป็นัวตน น้ำมีสิบสองก็เป็นส่วนของแม่ทั้งหมดให้เรามาเป็นตัวตน ให้เราดูไปจนจบสิบสองแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นของพ่อแม่ทั้งหมดทุกอย่าง ของเราแม้แต่ผมเส้นเดียวก็ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นบุญคุณของพ่อแม่นี้ ก็หนักถึงธรณี จะหาอันใดมาเทียบมิได้เลย

ถ้าเราบรรจบธาตุรวมกันเป็นก้อนธาตุทั้งสี่แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของอนิจจังแล้วทั้งหมด ก็มีแต่เสื่อมชำรุดลงไปอยู่ทุกเวลานาทีอยู่ทุกระยะลมหายใจอยู่แล้ว แต่จิตของเรานั้นก็ยังมีอวิชชาตัณหาหุ้มห่ออยู่ก็เลยหลงไปยึดถือเอารูปหรือก้อนอนิจจังนี้ไว้ มันก็เลยเกิดทุกขเวทนาขั้นมาทันทีเลย ถ้าเวลาไหนธาตุทั้งสี่นั้นมันอยู่เป็นปรกติไม่เกิดแปรปรวนขึ้นมา อยู่เป็นปรกติดีอยู่ก็เกิดสุขเวทนาขึ้นมา แล้วก็มีแต่ความหัวเราะเพลิดเพลินกันไปเท่านั้น ถ้าเกิดอุเบกขาเวทนาขึ้นอยู่เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้ว่าอยู่เฉยๆ ให้เราใช้ปัญญาของเราพินิจพิจารณาให้มันดูแล้วดูอีกอยู่อย่างนั้นแหละ มันก็มีแต่ของไม่เที่ยงอยู่ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าภายในร่างกายหรือของภายนอกต่างๆ ก็เป็นของเปลี่ยนแปลงไปได้ มีแต่ของชำรุดทรุดโทรมลงไปอยู่ทุกระยะภายในตัวเองทั้งหมดอยู่แล้ว แต่จิตของเราไม่รู้ ผู้ยึดไว้ถือไว้ไม่รู้ ก็เพราะว่าเรายังไม่รู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริงของธรรมชาติทั้งภายในภายนอกแล้ว จึงหลงเข้าไปยึดไปถือเอาไว้ว่าตัวตนเราเขา ทั้งภายในภายนอกก็เลยไม่รู้ปล่อยรู้วางไปได้เลย เพราะมันเป็นของประจำโลกอยู่แล้วทั้งภายในภายนอก เมื่อไรเราจะรู้ปล่อยรู้วางให้โลกเขาไว้ตามเดิมของเขา ถ้ามีตามันก็ไปติดไปข้องอยู่กับรูปกับสี ถ้ามีหูก็ไปข้องอยู่กับเสียง มีจมูกก็ไปติดไปข้องอยู่กับกลิ่น มีลิ้นก็ไปติดไปข้องอยูกับรส มีกายก็ไปติดไปข้องอยู่กับเย็นร้อนอ่อนแข็ง มีติคก็ไปติดไปข้องอยู่กับอารมณ์ดีและอามรณ์ไม่ดี ทั้งอดีตและอนาคต อันนี้เป็นหน้าที่ของสัญญาเป็นเจ้าบัญชีใหญ่จดจำไปหมดทุกอย่าง สังขารก็เอามาปรุงแต่งกว้างขวางออกไปก็ไม่จบไม่สิ้นลงไปได้เลย วิญญาณก็รู้ไปตามเรื่องเหล่านั้นอย่างไม่หยุดยั้ง อันนี้แหละเรียกว่า วัฏจักรหมุนอยู่ในกองธาตุ กองขันธ์ กองอายตนะอยู่ในโลกสมมุติอันนี้แหละ จึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกสมมุติอันนั้นแหละอย่างเอาตัวรอดออกไปไม่ได้เลย จึงได้วนเวียนมาเอาของเก่า มาโลภ มาโกรธ มาหลงกันอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้นเรียกว่าเดินไปตามทางมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นถูกกันไปเลยไม่ว่าตนเองและคนอื่น

สังขารมันไม่หยุดปรุงแต่งลงสู่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เพราะมันยังเพลิดเพลินเจริญใจอยู่กับของไม่เที่ยงอยู่เรื่อยไป ก็เพราะมันหลงเห็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นของเหม็นว่าเป็นของหอม มันก็มาติดมาข้องมายึดมาถือไว้อยู่อย่างนี้แหละ การปฏิบัติธรรมจึงไม่ถึงธรรมคือของจริงได้เลย ถ้ามีตามันก็ไปติดข้องอยู่กับรูปกับสี มันก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละ มันจึงไม่ถึงพระธรรมของจริง เพราะฉะนั้นจึงไปถึงแต่ของปลอมของหลอกลสงแล้วก็เลยหลงหมุนอยู่ในหน้าที่ของกามอยู่เรื่อยไปจนถึงวันตาย ถ้าตายแล้วก็มาเกิดอีกก็มาหลงเอาแต่ของเก่านี้อีก ก็มาโลภ มาโกรธหลงอีกอยู่อย่างนี้ และก็มายึดมาถือกันอีกอย่างไม่จบไม่สิ้นได้เลย

เรื่องของวัฏจักรมันก็หมุนกันอยู่ในโลกสมมุติอันนี้แหละอย่างไม่จบไม่สิ้นไปได้เลย เรื่องของมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเป็นชอบอยู่อย่างนี้แหละ ก็มีแต่เรื่องยึดเรื่องถือกันเอาไว้ทั้งนั้นเลย ก็เพราะความไม่รู้ถึงเหตุและผลของบุญและบาปจึงได้หลงมัวเมาอยู่อย่างนั้น ถ้าจิตของเราไปทางสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาเห็นชอบแล้ว จิตสังขารมันก็หยุดปรุงแต่งได้ เพราะมันเห็นเป็นหน้าที่ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งหมดแล้ว จิตของเราก็มีความว่างเปล่าไปหมด มันก็หยุดปรุงหยุดแต่งลงไปสู่ของทั้งหมด แล้วมันก็เห็นเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของมันอยู่อย่างนี้แหละ

ถ้าเราได้มาเกิดอีก ก็มาเอาของเก่าอันนี้อีก ก็เพราะฉะนั้นจึงให้เราหัดปล่อยหัดวางออกไปไว้แต่เดี๋ยวนี้ไป ให้เราใช้ปัญญาสังเกตกิเลสตัณหาของตนเองอยู่บ่อยๆ ไป เพื่อให้มันชำนิชำนาญไว้ก่อนแก่ก่อนเจ็บก่อนตายนี้แหละ เพื่อไม่ให้มันหลงไปตามเรื่องของโลกอีกต่อไป มันจะพาเรานี้หลงวนเวียนอยู่ในโลกสมมุติอันนี้อีกต่อไปอย่างไม่จบสิ้นไปได้เลย ก็เพราะฉะนั้นจึงให้เรานี้ใช้ปัญญาของเรามีอยู่เป็นพื้นฐานมาแต่เก่าก่อนนั้น คือ สัมมาทิฏฐิ มีปัญญาเห็นชอบแล้ว จึงเป็นสัมมาสังกัปปะจึงดำริออกจากกามมาได้ ให้มีสติให้ปัญญาสอนจิตของตัวเองอยู่บ่อยๆ เพื่อไม่ให้มันเพลินไปตามอารมณ์ต่างๆ มีทั้งชอบไม่ชอบหลายสิ่งหลายอย่างหลายประการต่างๆ นานากัน ถ้าเราได้ใช้ปัญญาของเราสำรวจครวจคราดูแล้วก็พร้อมทั้งเหตุและผล ทั้งของตนเองและคนอื่นอย่างรอบคอบดีแล้ว ก็เห็นแต่ชองไม่เที่ยงทั้งหมด ไม่มีอะไรจะมั่นคงจะดำรงอยู่ได้สักอย่างเดียวเลย

ถ้าเราได้พิจารณาไปพอสมควรแล้วก็หยุดพักผ่อน เอาพุทโธอบรมจิต เพื่อให้จิตได้รวมลงอยู่กับ พุทโธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ถ้าจิตของเราก็จะได้สงบลงไปเป็นสมาธิ ขั้นไหนก็แล้วแต่จะเป็นขณิกะหรืออุปจาระ หรืออัปปนาก็แล้วแต่ อันนี้มันเป็นเพราะพลังจิตหรือเป็นอาการของจิต คือความสงบของจิตเป็นสมาธิแล้วจะมีความอิ่มเอิบเบิกบานขึ้น มีกำลังกาย กำลังใจ ก็มีความสามารถอาจหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมาเป็นเครื่องหนุนปัญญาให้มีความเฉลียวฉลาดขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ถ้าเราใช้ปัญญาให้สำรวจดูแล้ว ได้รู้แท้เห็นจริงหมดทุกอย่าง แล้วปัญญามันจะติดสินลงสู่พระไตรลักษณ์ทั้งหมด คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งหมด ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเขา ก็จบเรื่องทุกอย่าง ก็เพียงแต่อาศัยกันไปเป็นวันๆ เท่านั้น

เราตายแล้วก็เป็นเรื่องของคนอื่นอีกต่อไป ไม่ใช่ของเราสักอย่างเดียวเลย เดี๋ยวก็จากกันไปไม่จากตายก็จากเป็นกันเท่านั้น ไม่แน่นอนไม่ว่าภายในกายหรือนอกกายเหมือนกันหมดทุกอย่าง มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งนั้น เราได้ใช้ปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติธรรมดาแล้ว จิตสังขารก็หยุดปรุงหยุดแต่ง ไม่มีสิ่งใดจะมั่นคงถาวรอยู่ในโลกอันนี้สักอย่างเดียวเลย มีแต่เสื่อมชำรุดลงไปสู่สภาพเดิมของเขาตามธรรมชาติ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับเป็นอยู่อย่างนั้น และไม่มีอะไรจะมั่นคงอยู่กับที่ไปได้เลย ก็มีแต่จะทรุดลงไปทุกระยะ

ไม่ว่าภายนอกภายในให้เราใช้ปัญญา ให้พินิจพิจารณาให้มากขึ้น ถ้าไปเห็นคนแก่ก็ให้น้อมเข้ามาหาเราว่าเราก็เหมือนกันอย่างนี้หนอ หนีไปไหนก็ไม่พ้นเป็นอย่างนี้ไปได้ เยียวยาแล้วก็แก่จริงอย่างนี้หนอ เราจะหนีให้พ้นไปไม่ได้ ถ้าเราไปเห็นคนเจ็บก็ให้พิจารณาว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเราก็ต้องเจ็บอย่างเดียวกันนี้และหนีไปไหนไม่พ้นเป็นอย่างนี้ๆ ไปได้เลย ถ้าเราไปเห็นคนตายก็ให้น้อมเข้ามาหาเรา ในวันหนึ่งเราต้องตายอย่างนี้แน่ เราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย กันทั้งนั้น ไม่ว่าสัตว์บุคคลตัวตนเขาเรา ถ้าเราได้พิจารณาเห็นเช่นนี้แล้ว ก็เกิดความสังเวชสลดใจของตนเองขึ้นมาในใจของตนเอง ถ้าผู้พิจารณาอยู่บ่อยๆ แล้วจะมีความแยบคายเบื่อหน่ายขึ้นมา อยากจะออกจากห่วงของกามนี้ไปเสียให้พ้นได้อย่างแท้จริงตามสติปัญญาเห็นชอบมาก่อนนั้น และพิจารณาอยู่บ่อยๆ ถ้าไปเห็นสัตว์ตาย ต่างก็ใช้ปัญญาของตนเองว่า ตนกับสัตว์ก็จะต้องตายเหมือนกัน และก็ลงไปเป็นดินตามเดิม ถ้าตายลงไปแล้วก็ไปเป็นดินตามเดิม ธรรมดาเกิดมาแล้วก็ดับไป ถ้าเราเกิดมาแล้วก็กลับลงไปเป็นดิน ก็ไม่มีอะไรจะมั่นคงถาวรอยู่ได้ มีแต่เสื่อมลงไปสู่พระไตรลักษณ์ทั้งหมด จึงได้รียกว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ ก็ไม่มีอะไรสักอย่างเดียวเป็นของเราเลย ก็เหลือแต่จิตดวงเดียวเท่านั้น จะไปสู่ทุคติหรือสุคติเท่านั้น เป็นที่ไปสำเร็จได้ด้วยบุญกรรมนำไปตกแต่งให้ไปได้

ถ้าเราได้พินิจพิจารณาแล้วอย่างรอบคอบถี่ถ้วนดีแล้วอย่างแจ้งชัดไปด้วยปัญญาเห็นชอบมาแล้ว เราก็ตั้งใจมั่นอยู่ในหลักปัจจุบันเพื่อไม่ให้เผลอสติ ให้เรามีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้มันเคลื่อนไหวเอนเอียงไปตามอารมณ์ อารมณ์ต่างๆ ก็ไม่ปรุงไม่แต่งอะไร ทั้งนี้ก็เพราะปัญญาได้ค้นคิดหาเหตุหาผลดีแล้วอย่างรอบคอบถี่ถ้วนถาวร มันก็ไม่ปรุงแต่งอะไรขึ้นมาอีก มันก็รวมลงสู่พระไตรลักษณ์ทั้งหมด ตัวเราก็จะเป็นไปเพื่ออยู่เท่านั้น ไม่มีอะไรจะเอาไปได้สักอย่างเดียว ก็ยินยอมพร้อมใจ โลกนี้ทุกอย่างทั้งร่างกายข้าวของเงินทองทุกอย่างก็มอบไว้กับโลกนี้หมดทุกอย่าง ของภายนอกนับแต่ข้าวของเงินทองทุกอย่างก็มอบไว้กับโลกอันนี้ไว้แล้ว เหลือแต่จิตกับผู้รู้อยู่เป็นกลางไม่เอนเอียงแส่ส่ายไปมา รู้อยู่ก็รู้อยู่กับหลักปัจจุบัน ไม่ใช่เก็บเอามาปรุงแต่ง รู้แล้วก็ปล่อยไปวางไป มันก็ดับไปเองเท่านั้น มันเบื่อหน่ายคายออกมาหมดแล้วกับของไม่เที่ยงอันนี้

ถ้าเราใช้ปัญญาของเราให้สำรวจตรวจตราดูแล้ว ได้รู้เห็นตามปัญญาเห็นชอบมาแล้วเป็นพื้นฐานของจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาแล้วจึงก้าวขึ้นไปเป็นสัมมาสังกัปปะจึงตั้งใจดำริออกจากหน้าที่ของกามไปเสียให้พ้น ก็เพราะมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงมาก่อนแล้ว ก็เห็นแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด เพราะมันมีแต่เรื่องจะทุกข์อยู่เท่าถึงวันตาย

หลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในโลกอันนี้ ไม่ว่าภายนอกภายในมีแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด เรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ก็เรื่องอื่นก็เกิดมาอีกอยู่อย่างนี้ และเรื่องของโลกไม่มีอะไรจะแน่นอนสักอย่าง แล้วมันก็มั่นใจอยากออกจากหน้าที่ของกามไปตามที่ปัญญาเห็นชอบนั้น เพื่อให้มันถูกต้องตามหลักของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว มันก็มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันกันกับเครื่องสัมผัสทั้งหลายมันก็ผ่านเราไปได้ มันไม่มาข้องอยู่กับจิตของเรา ก็เรียกว่าผู้รู้แท้เห็นจริงในสัจธรรมทั้งหลายอย่างรอบคอบดีแล้ว ก็เรียกว่าผู้ปฏิบัติซื่อตรงต่อพระธรรมอย่างแท้จริง แล้วก็เห็นทางพ้นทุกข์ไปได้อย่างแท้จริง ก็เพราะเราเป็นผู้มีความตั้งใจได้มั่นไปในทางที่ชอบอยู่แล้ว คิดก็คิดไปในทางชอบ คิดมีเหตุมีผล ก็คิดเป็นบุญกุศลของตนและคนอื่น ไปอยู่ในที่ชอบ ไปเพื่อให้มีเมตตากรุณาต่อกันและกัน ไปพอได้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2023, 13:50 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญสติปัฏฐาน ๔


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2023, 13:50 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ 1


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2023, 13:50 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ 2


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร