วันเวลาปัจจุบัน 23 ส.ค. 2025, 21:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2024, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




2024-10-21-050643106watermark.png.jpg
2024-10-21-050643106watermark.png.jpg [ 169.59 KiB | เปิดดู 1675 ครั้ง ]
การวินิจฉัยโดยกิจแห่งญาณ
[๕๖๓] ข้อว่า โดยกิจแห่งญาณ ความว่า พึงทราบวินิจฉัยแม้โดยกิจแห่งสัจจ-
ญาณดังต่อไปนี้.
ก็สัจจญาณมี ๒ อย่าง คือ : อนุโพธญาณ ญาณคือความรู้ตาม ๑ ปฏิเวธญาณ
ญาณคือความแทงตลอด ๑ โนบรรดาญาณทั้ง ๒ นั้น อนุโพธญาณ เป็นโลกิยะ ย่อมเป็นไป
ในนิโรธและในมรรค ด้วยอำนาจการได้ฟังตาม ๆ กันมาเป็นต้น ปฏิเวธญาณ เป็นโลกุตตระ
ทำนิโรธให้เป็นอารมณ์แล้ว ย่อมแทงตลอดสัจจะทั้ง ๔ โดยกิจ ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัส ไว้ว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นย่อมเห็นแม้ทุกสมุทัย ย่อมเห็นแม้นิโรธ
ย่อมเห็นแม้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
" ดังนี้
พึงกล่าวไปทั้งหมดเถิด ก็กิจแห่งปฏิเวธญาณนี้นั้นจักมีแจ้งในญาณทัสสนวิสุทธิ.
ก็สัจจญาณที่เป็นโลกิยะนี้ใดในโลกิยญาณนั้น ทุกขญาณ ย่อมห้ามได้ซึ่งสักกายทิฏฐิ
อันเป็นไปด้วยอำนาจครอบงำคือความกลุ้มรุม สมุทยญาณ ย่อมห้ามอุจเฉททิฏฐิ นิโรธ-
ญาณ
ย่อมห้ามสัสสตทิฏฐิ มรรคญาณ ย่อมห้ามอกิริยทิฏทิฏฐิ.

อีกอย่างหนึ่ง ทุกขญาณ ย่อมห้ามการปฏิบัติผิดในผล กล่าวคือความสำคัญว่า
เที่ยง ว่างาม ว่าเป็นสุข ว่าเป็นตัวตนในขันธ์ทั้งหลาย ที่เว้นจากความเที่ยง ความงาม ความ
สุข ความเป็นตัวตน สมุทยญาณ ย่อมห้ามความปฏิบัติผิดในเหตุ ที่เป็นไปด้วยการนับถือ
ในสิ่งที่มิใช่เหตุ ว่าเป็นเหตุ ว่าโลกย่อมเป็นไปเพราะเหตุ มีพระอิศวร สิ่งที่เป็นประธาน พระ
กาล และสภาวะ เป็นต้น นิโรธญาณ ย่อมห้ามความปฏิบัติผิดในนิโรธ อันเป็นการถือ
อปวัคคะ คือการถือการหลุดพ้นอยู่ที่อรูปโลก อยู่ที่โลกถูปิกา คือยอดโลกเป็นต้น มรรค-
ญาณ
ย่อมห้ามความปฏิบัติผิดในอุบาย อันเป็นไปด้วยอำนาจความถือในสิ่งที่มิใช่ทางแห่ง
ความริสุทธิ์ อันมีประเภทเป็นกามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยค ว่าเป็นทางแห่ง
ความบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนั้น โบราณาจารย์จึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า
ตราบใด นรชนยังไม่รู้แจ้งสัจจะทั้งหลาย
ตราบนั้น ก็ยังหลงอยู่ในโลก ในเหตุเกิดของโลก
ในนิพพานอันเป็นที่ดับของโลก และในอุบายถึง
นิพพานนั้น ดังนี้ ฯ

พึงทราบวินิจฉัยแม้โดยกิจแห่งญาณในอริยสัจนี้ ด้วยประการฉะนี้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2024, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


พรรณนาการวินิจฉัยโดยกิจแห่งญาณ
[๕๖๓] คำว่า แห่งสัจจญาณ ได้แก่ แห่งญาณที่ปรารภสัจจะทั้งหลาย เป็นไป
อนุโพธญาณย่อมตรัสรู้ครั้งเดียวเท่านั้น เหมือนปฏิเวธญาณก็หามิได้ โดยที่แท้ เป็นความ
ตรัสรู้ตาม ๆ กันมา เพราะเกิดขึ้นปอย ๆ จึงชื่อว่า อนุโพธะ, อีกนัยหนึ่ง ความตรัสรู้ที่ไป
ตามข้อความที่ได้ยินได้ฟังมา ความปริวิตกไปตามอาการ ความเห็น ความเพ่ง และความ
ถูกใจ ก็ชื่อว่า อนุโพธะ, ชื่อว่า อนุโพธญาณ ก็เพราะอรรถว่า เป็นญาณอันนั้นแหละ. ก็
อนุโพธญาณนั้นย่อมตรัสรู้โดยประจักษ์ก็หามิได้ แต่ตรัสรู้โดยการนึกคิดเป็นลำดับ
อำนาจการได้ยินได้ฟังมาเป็นต้น คำว่า โดยกิจ ได้แก่ กิจมีการกำหนดรู้เป็นต้น

จริงอยู่ ด้วยการทำกิจนั่นเหละ แม้กิจเหล่านั้นก็นั้นก็ย่อมปรากฏอยู่แก่อนุโพธญาณนั้น
เหมือนสัจจะมีทุกข์ที่จะพึ่งกำหนดรู้เป็นต้น ก็นมรรคญาณที่เกิดขึ้นแก่ท่านผู้มีใจปลีกออก
จากสังขารทั้งหลายด้วยวิฏฏานุปัสสนา ย่อมกำหนดทุกข์ กระทำวิสังขารยาวอันเป็นที่สลัด
ออกแห่งทุกข์ให้เป็นอารมณ์ และย่อมละตัณหาอันเป็นตัวถึงทุกข์ และกระทำให้แจ้ง คือ
สัมผัสนิโรธ. มรรคญาณนั้นที่เกิดพร้อมกับองค์มรรคอื่นมีสัมมาสังกัปปะเป็นต้น ย่อมยัง
มรรคให้เกิด เหมือนพระอาทิตย์เกิดพร้อมกับรัศมีฉะนั้น

ก็ญาณที่ยังไม่ละสังขารเป็นไปอยู่ ไม่อาจทำกิจนี้ทั้งหมดได้ เพราะยังไม่ออกไป
จากนิมิตและปวัตตะ เพราะฉะนั้น ญาณนั้นซึ่งกระทำกิจเหล่านี้อยู่ ย่อมยังสัจจะมีทุกข์
เป็นต้นให้แจ่มแจ้งได้ ด้วยการกำจัดเสียซึ่งสัมโมหะในสัจจะเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ท่าน
อาจารย์จึงกล่าวว่า ย่อมแทงตลอดสัจจะทั้ง ๔ อธิบายว่า ด้วยการแทงตลอดครั้งเดียว.

(๙๙) หากจะมีคำถามว่า คำว่า ผู้นั้นย่อมเห็นแม้ทุกขสมุทัย ดังนี้ ท่านกล่าว
หมายถึงการเห็นในกาลอื่นกระมัง ?

เฉลยว่า หามิได้, การพิจารณาความที่บุคคลผู้เห็นสัจจะอย่างเดียว จะเป็นผู้เห็น
สัจจะอื่นอีก ๓ โดยมีพระบาลีว่า ดูกรอาวุโส ผู้ใดแลย่อมเห็นทุกข์ ผู้นั้นย่อมเห็นสมุทัย
ด้วย ดังนี้เป็นตันนี้ ก็เพราะพระควัมปติเถระได้นำพระสูตรนี้มาเพื่อจะยังความข้อนั้นให้
สำเร็จ และเพราะในบรรดาสัจจะทั้งหลาย เมื่อบุคคลเห็นสัจจะแต่ละอย่าง ๆ ก็ประกอบ
รวมการเห็นสัจจะอื่นอีก ๓ ด้วย. เมื่อถือเอาเนื้อความเป็นอย่างอื่น ก็ไม่น่าที่จะประกอบ
ความที่บุคคลผู้เห็นสัจจะมีสมุทัยเป็นต้น จะต้องเป็นผู้เห็นสัจจะมีทุกข์เป็นต้น เพราะใน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2024, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


การตรัสรู้ตามลำดับ สัจจะที่ได้เห็นไว้ก่อน ภายหลังจะไม่เห็นอีก: ก็ความที่บุคคลเห็น
สัจจะมีสมุทัยเป็นต้น เป็นผู้เห็นสัจจะมีกข์เป็นต้นนั้น ท่านประกอบไว้ด้วยพระบาลีเป็นต้น
ว่า บุคคลใดเห็นทุกขสมุทัย บุคคลนั้นย่อมเห็นแม้ทุกข์. โลกิยํ โยค สจฺจญาณํ แปลว่า
สัจจญาณอันเป็นโลกิยะ ตตฺถ โยค โลกิยญาเณ แปลว่า ในโลกิยญาณนั้น. ความครอบงำ
กล่าวคือ ความกลุ้มรุม ชื่อว่า ปริยุฏฐานาภิภโว แปลว่า ความครอบงำคือความกลุ้มรุม คือ
ด้วย,อำนาจแห่งความครอบงำคือความกลุ้มรุมนั้น. ทุกขญาณ ย่อมห้ามความกลุ้มๆ
สักกายทิฏฐิ เพราะเห็นแต่เพียงกองแห่งสังชารล้วนๆ การเห็นสมุทัยย่อมห้ามอุจเฉทฐิ
ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจความครอบงำคือความกลุ้มรุม เพราะเห็นความไม่ขาดตอนของเหตุ
กับผลที่สัมพันธ์กัน โดยพระบาลีว่า ดูกรกัจจานะ เมื่อบุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตาม
ความเป็นจริงซึ่งเหตุเกิดของโลกอยู่ ความไม่มีในโลกใด ความไม่มีในโลกนั้น ก็ย่อมไม่มี
การเห็นนิโรธ ก็ย่อมห้ามสัสสตทิฏฐิ เพราะดับเหตุได้โดยการดับของผล โดยพระบาลีว่า
เมื่อบุคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบธรรมดาตามเป็นจริงซึ่งความดับของโลกอยู่ ความมีในโลก
อันใด ความมีอันนั้น ก็ไม่มี. ความเห็นมรรค เพราะเห็นโดยประจักษ์ซึ่งการกระทำของตน
ก็ย่อมละอกิริยทิฏฐิ มีอาทิว่า การกระทำของตนย่อมไม่มี การกระทำของผู้อื่นก็ย่อมไม่มี
การกระทำของบุรุษก็ย่อมไม่มี. ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความเศร้ามเหมองแห่งสัตว์
สัตว์ทั้งหลายไม่ นั้นเหตุ ไม่มีปัญหา ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์
แห่งสัตว์ที่ทั้งหลาย, สัตว์ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยย่อมบริสุทธิ์เอง. พึงเห็นว่ท่านถือเอา
แล้วด้วยศัพท์ว่า อกริยทิฏฐิ นั่นเองในที่นี่ ก็อเหตุทิฏฐิแม้นั้น ย่อมละใด้ด้วยการเห็นทาง
แห่งความบริสุทธิ์แล. ทุกขญาณก็ ย่อมห้ามการปฏิบัติผิดในผล เพราะย่อมเห็นความที่
ทุกข์อันเป็นผลของสมุทัย เป็นสิ่งที่ไม่มีความยั่งยืนเป็นต้น

ผู้ที่ถือลัทธิว่า โลกมีพระอิศวรเป็นเหตุ ย่อมกล่าวว่า พระอิศวรย่อมยังโลกให้เป็น
ไป ย่อมจัดแจงโลก ย่อมห้ามโลก ย่อมรวมรวบโลก.

ผู้ที่ถือลัทธิว่า โลกมีสิ่งที่เป็นประธานเป็นเหตุ ย่อมกล่าวว่า โลกย่อมแจ่มแจ้งโดย
สิ่งที่เป็นประธาน และย่อมหดูในเพราะสิ่งที่เป็นประธานนั่นแหละ.

ผู้ถือลัทธิพระกาล ย่อมกล่าวว่า
พระกาลย่อมสร้างสัตว์ทั้งหลาย พระกาลย่อมสังหารสัตว์ทั้งหลาย
พระกาลย่อมปลุกสัตว์ที่หลับทั้งหลาย ก็พระกาลใคร ๆ ล่วงละเมิดได้ยาก ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร