วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2008, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ประวัติ พระมหากปินะ หรือ พระมหากัปปินเถระ เอตทัคคะในทางผู้ให้โอวาทภิกษุ

พระมหากัปปินะ เป็นพระโอรสของพระมหากษัตริย์ผู้ครองนครภุกฎวดี ในปัจจันตชนบท มีพระนามเดิมวา “กัปปินะ” เมื่อพระราชบิดาทิวงคตแล้วได้ครอบครองราชย์สมบัติสืบต่อมา ได้พระนามใหม่ว่า “พระเจ้ามหากัปปินะ” มีพระอัครมเหสีพระนามว่า “อโนชาเทวี” ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระราชาผู้ครองนครสาคละ แห่งแคว้นมัททรัฐพระเจ้ามหากัปปินะ มีพระราชหฤทัยใฝ่ต่อการศึกษาแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะทรงฝักใฝ่ในการออกบวชเพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพานอันเป็นคุณธรรมเบื้องสูง ทุก ๆ วันพระองค์จะส่งอำมาตย์ออกไปสืบข่าวจากทิศทั้ง ๔ ว่ามีข่าวอะไรบ้าง โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับพระรัตนตรัย อำมาตย์เหล่านั้นออกจากพระนครไปไกล ๒-๓ โยชน์ทุกวัน ค่ำแล้วก็กลับมารายงานข่าวให้ทรงทราบ พระเจ้ามหากัปปินะ มีม้าอันเป็นพระราชพาหนะ ๕ ม้า คือ ม้าชื่อพละ ม้าชื่อพลวาหนะ ม้าชื่อปุปผะ ม้าชื่อปุปผวาหนะ และ ม้าชื่อสุปัตตะ โดยปกติพระองค์จะทรงม้าชื่อสุปัตตะ เป็นประจำ ส่วนม้าที่เหลือจะพระราชทานให้อำมาตย์หรือทหารใช้เป็นพาหนะไปสืบข่าวต่าง ๆ ทรงทราบข่าวพระรีตนตรัยเกิดขึ้นในโลก วันหนึ่ง พระองค์เสด็จประพาสราชอุทยานพร้อมด้วยอำมาตย์ และข้าราชบริพาร ๑,๐๐๐ คน ได้พบพ่อค้าที่เดินทางมาจากเมืองสาวัตถี รับสั่งให้เข้าเฝ้าถามข่าวสารจากเมืองสาวัตถุนั้น ครั้นเมื่อพ่อค้าได้กราบทูลว่า:-

“ขอเดชะ ข่าวอื่นไม่มี แต่ในเมืองสาวัตถีนั้น บัดนี้ มีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม และมี
พระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้วในโลก พระเจ้าข้า”

พระเจ้ามหากัปปินะ พอได้สดับคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น ทั่วทั้งพระวรกายถูกปีติโสมนัสเข้าครอบงำอย่างท่วมท้น จนหลงลืมพระสติไปชั่วขณะ พอสติสัมปปชัญญะ กลับคืนมาแล้ว พระองค์ได้ตรัสถามซ้ำอีกถึง ๓ ครั้ง บรรดาพ่อค้ากราบทูลยืนยันเช่นเดิม จึงรับสั่งให้อำมาตย์เขียนพระราชสาสน์ ถึงพระชายา รับสั่งให้พระราชทานรางวัลแก่พ่อค้าจำนวน ๓ แสนกหาปณะ และขอสละราชสมบัติให้พระชายารับครอบครองสืบต่อไป ส่วนพระองค์เองพร้อมด้วยอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดเหล่านี้ จะขอออกบวชอุทิศเฉพาะแต่พระผู้มีพระภาค ดังนี้แล้ว มอบพระราชสาสน์นั้นให้พ่อค้านำไปถวายแด่พระชายา แม้อำมาตย์เหล่านั้นก็เขียนจดหมายถึงภรรยาของตน ๆ ดุจเดียวกัน จากนั้นได้ติดตามพระมหากัปปินะ ออกจากพระราชอุทยานมุ่งสู่พระนครสาวัตถี

เสด็จออกผนวชพร้อมด้วยอำมาตย์

เส้นทางเสด็จของพระเจ้ามหากัปปินะนั้น เต็มไปด้วยความยากลำบากทุรกันดารผ่านทั้งป่าและภูเขา โดยเฉพาะมีแม่น้ำใหญ่ ๓ สาย คือ แม่น้ำอารวปัจฉา แม่น้ำนีลวาหนา และแม่น้ำจันทภคา ขวางหน้าอยู่ ซึ่งแต่ละสายนั้น ทั้งกว้างและลึกมาก จะข้ามได้ก็ต้องอาศัยเรือหรือแพขนาดใหญ่ ซึ่งก็หาได้ยาก พระเจ้ามหากัปปินะ ทรงมีพระดำริว่า “ถ้าจะรอเวลาหาเรือหรือแพก็จะทำให้ล่าช้า เพราะความเกิดนำไปสู่ความแก่ ความแก่นำไปสู่ความเจ็บและความเจ็บนำไปสู่ความตาย ทุกลมหายใจเข้าออกย่อมนำไปสู่ความแก่และความตายทั้งนั้น เราไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ดังนั้นเราออกบวชเพื่ออุทิศต่อพระรัตนตรัย ด้วยอานุภาพแห่งรัตนตรัยนั้น ขอให้น้ำนี้จงอย่าได้เป็นเหมือนน้ำเลย” ครั้นทรงมีพระดำริดังนี้แล้ว ทรงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพุทธานุสติเป็นต้นแล้ว เสด็จลงสู่แม่น้ำพร้อมทั้ง บริวาร ๑,๐๐๐ คน ม้าทั้งหลายวิ่งไปบนผิวน้ำเหมือนกับวิ่งบนแผ่นดิน แม้แต่ปลายกีบม้าก็ไม่เปียกเลยสักนิดเดียว

พระพุทธองค์ทรงรับเสด็จ

เวลาใกล้รุ่งของราตรีนั้น พระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ามหากัปปินะ พร้อมทั้งบริวาร ผู้ทรงสละราชสมบัติ ออกผนวชอุทิศเฉพาะพระรัตนตรัย ท้าวเธอพร้อมทั้งบริวารจักบรรลุพระอรหัตผลพร้อมทั้งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย สมควรที่ที่เราตถาคตจักกระทำการต้อนรับเสด็จครั้นแล้ว พระพุทธองค์ทรงบาตรและจีวรเสด็จออกต้อนรับสิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ประหนึ่งว่าพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงต้อนรับกำนันนายบ้าน ฉะนั้น ได้ประทับเปล่งพระรัศมีภายใต้ร่มต้นนิโครธ ณ ริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคาพระเจ้ามหากัปปินะ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า “แสงสว่างนี้ไม่ใช่แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ หรือแสงสว่างจากเทวดาตนใดตนหนึ่ง จักต้องเป็นแสงสว่างแห่งพระบรมศาสดาอย่างแน่นอน” เมื่อทรงพระดำริดังนี้แล้วเสด็จลงจากหลังม้าพร้อมทั้งบริวาร เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตามสายแห่งพระรัศมีนั้น ถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาให้สดับจบลงแล้ว พระราชาพร้อมทั้งบริวารได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วกราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ได้ประทานด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา

พระราชเทวีและภรรยาอำมาตย์ออกบวช

พระนางอโนชาเทวี ได้รับข่าวสารจากพ่อค้าเหล่านั้น ตรัสซักถาม ได้ทราบความแน่ชัดทุกประการแล้ว เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าเช่นกัน ให้รางวัลแก่พ่อค้าเหล่านั้นแล้ว ชักชวนภรรยาอำมาตย์ทุกคนเสด็จออกบวช โดยทำนองเดียวกันกับพระราชสามี พระพุทธองค์ทรงรับเสด็จดุจเดียวกันกับพระเจ้ามหากัปปินะ และทรงบันดาลฤทธิ์มิให้สามีภรรยาเหล่านั้นเห็นกัน เพื่อมิให้เป็นอันตรายต่อการฟังธรรม เมื่อพระนางเสด็จมาถึงแล้วได้กราบทูลถามถึงพระราชสามีและหมู่อำมาตย์ พระบรมศาสดารับสั่งให้ประทับนั่งลงก่อนแล้วจะได้พบกัน ณ ที่นี้ เมื่อพระราชเทวีและหญิงเหล่านั้นประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาให้สดับ เมื่อจบธรรมกถา พระราชเทวีและหญิงเหล่านั้นได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ส่วนพระเจ้ามหากัปปินะ และภิกษุบริวารเหล่านั้น ซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยได้บรรลุพระอรหัตผลด้วยกันทั้งหมด พระพุทธองค์จึงทรงคลายฤทธิ์ให้พระราชเทวีเห็นพระราชสามี และหญิงเหล่านั้นเห็นสามีของตน ๆ แล้วกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์รับสั่งให้ไปอุปสมบทในสำนักของนางภิกษุณีที่เมืองสาวัตถี และพระพุทธองค์ก็ทรงพาภิกษุเหล่านั้นเสด็จสู่กรุงสาวัตถี

พระเจ้ามหากัปปินะเปล่งอุทาน

พระเจ้ามหากัปปินะนั้น ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่พักหรือที่ใดก็ตามท่านมักจะเปล่งอุทานว่า “สุขหนอ สุขหนอ” อยู่เสมอ ภิกษุทั้งหลายคิดว่าท่านยังรำลึกถึงความสุขในราชสมบัติอยู่ จึงพากันไปกราบทูลพระบรมศาสดา พระพุทธองค์แม้ทรงทราบแล้ว แต่ก็รับสั่งให้พระเจ้ามหากัปปินะเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามเหตุแห่งการเปล่งอุทานให้ได้ยินกันทั่ว ณ ที่นั้น เพื่อคลายความสงสัยแล้วตรัสว่า:-

“ภิกษุทั้งหลาย พระมหากัปปินะบุตรของเรานี้ เปล่งอุทานอย่างนั้นเพราะปรารภอมต มหานิพพาน เป็นการเปล่งเพราะความเอิบอิ่มในธรรม”

ได้รับยกย่องในตำแหน่งเอตทัคคะ

ท่านได้รับมอบหมายจากพระบรมศาสดา ให้เป็นผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งท่านก็ได้สนองพระบัญชาด้วยดีพระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้ให้โอวาทภิกษุ

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ย. 2008, 11:39
โพสต์: 316

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: :b41: :b41: :b44: :b44: :b44: :b41: :b41: :b41: :b39: :b39: :b39: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: Kiss Kiss Kiss :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
คิดดี พูดดี ทำดี มองเเต่ดีเถิด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกราบนอบน้อม พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปักเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระธรรม และ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2010, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

:b44: :b44: :b44:

รูปภาพ

ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะอธิษฐาน
ด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจปฏิบัติไว้ดีแล้ว
จงเป็นพลวปัจจัย เป็นนิสัยตามส่งให้ข้าพเจ้าเกิดความสุข ความเจริญ
และเกิดปัญญาญาณทั้งในชาตินี้ ชาติหน้าตลอดชาติอย่างยิ่ง
จนบรรลุถึงพระนิพพานในอนาคตกาลนั้น เทอญ.


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2011, 04:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุๆๆขอบพระคุณค่ะ :b8: :b8: :b8:
เอกะจะรัง จิตตัง จิตดวงเดียวท่องเที่ยวไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร