วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2008, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
(พระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ณ บริเวณท้องสนามหลวง)



วั ฒ น ธ ร ร ม สุ ว ร ร ณ ภู มิ ใ น ง า น พ ร ะ เ ม รุ
ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์

งานพระสุเมรุ หรือการทำศพเจ้านายชั้นสูงนั้น
ตั้งอยู่บนฐานความเชื่อเกี่ยวกับการกำจัดศพอยู่สามอย่าง

คือ ความเชื่อดั้งเดิมที่ปรากฏในหมู่ลายชนชาติของอุษาคเนย์
ศาสนาฮินดู และพระพุทธศาสนา


ทั้งสามส่วนนี้ประกอบพิธีขึ้นโดยผสมกลมกลืนกัน
แต่ความเชื่อดั้งเดิมเป็นแกนหลัก
ส่วนอื่นประกอบเข้ามาในภายหลังและออกจะอยู่ที่ผิวนอก

:b44: โ ล ก นี้ โ ล ก ห น้ า :
แ ล ะ พิ ธี ศ พ ใ น ค ว า ม เ ชื่ อ ดั้ ง เ ดิ ม


มีหลักฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้วว่า
ผู้คนในอุษาคเนย์เชื่อว่าคนตายจะไปอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษ
ซึ่งอาจอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้วงน้ำ หรือบนยอดเขาสูง
นั่นก็คือดินแดนของบรรพบุรุษ

ภาพสลักบนกลองมโหระทึกชิ้นหนึ่ง
แสดงการเดินทางของวิญญาณผู้ตายไปยังดินแดนบรรพบุรุษโดยทางเรือ

บรรพบุรุษในดินแดนแห่งนี้คือพลังชีวิต
หรือพลังที่ก่อให้เกิดความงอกงามบนพื้นโลก
อาจติดต่อกับลูกหลานในโลกได้โดยผ่านพิธีกรรม
และตราบเท่าที่ลูกหลานยังรักษาความสัมพันธ์ของบรรพบุรุษไว้
พลังชีวิตก็จะหลั่งเข้ามาชีวิตและแผ่นดินของลูกหลานตลอดไป


ฉะนั้นการประกอบพิธีกรรมที่ถูกต้องเพื่อให้ได้รับพลังชีวิตที่ขาดหาย จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
และหนึ่งในพิธีกรรมนี้ก็คือการทำศพ เมื่อคนตายกำลังเดินทางไปสู่แผ่นดินบรรพบุรุษ

ในท้าวฮุ่งขุนเจือง ดูเหมือนวิญญาณของบรรพบุรุษเจ้าเท่านั้นที่จะกลายเป็นแถน
ซึ่งสื่อสารกับชนชั้นเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอช่วยปกปักรักษาลูกหลานที่เป็นเจ้าทั้งด้วยอิทธิฤทธิ์
และการยกทัพลงมาช่วยทำสงคราม (หรือลงโทษลูกหลานที่ไม่อยู่ในฮีต ในคอง)
ส่วนวิญญาณของสามัญชนและคนอื่นๆ ไม่ได้ร่วมเป็นพวกแถนด้วย
ส่วนจะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรไม่ทราบได้

(ในความเชื่อของชวาและบาหลี ซึ่งจะกล่าวถึงข้างหน้า
ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถรับพลังชีวิตจากบรรพบุรุษได้เท่าๆ กัน
มีบางคนนั้นที่สามารถรับได้มากกว่าคนอื่น
และเมื่อรับได้มากกว่าคนอื่นจึงสามารถระบายไปสู่คนอื่นหรือสังคมโดยรวมได้
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เจ้าในท้าวฮุ่งเจือง คือกลุ่มคนที่สามารถรับพลังชีวิตได้มากกว่าคนธรรมดา)


พิธีกรรมในการทำศพของชาวอุษาคเนย์โบราณ
ก็มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งวิญญาณผู้ตายไปยังดินแดนของบรรพบุรุษ
แต่เรารู้รายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรมไม่มาก

อย่างไรก็ตาม มีงานศึกษาพิธีกรรมทำศพของชาวบาหลี
ซึ่งน่าจะรักษาคติเก่าไว้ได้มาก จึงขอนำมากล่าวสังเขปในที่นี้

เมื่อคนสำคัญ เช่นนักบวชหรือหัวหน้าหมู่บ้านถึงแก่กรรม
เขาจะปล่อยให้ศพเน่าเปื่อยผุพังไปจนเหลือแต่โครงกระดูก
แล้วจึงนำกระดูกนั้นลงไห นำไหไปฝังแล้วก็ตั้งรูปหินหรือไม้ของผู้ตายไว้เหนือหลุมศพ
รูปเคารพนี้เจตนาให้อยู่เป็นการถาวรเพื่อให้ผู้ตายหมายรู้ได้
อาจหลั่งพลังชีวิตผ่านสถานที่นั้นได้ต่อไป นี่คือการฝังศพครั้งที่สอง

การปล่อยให้เน่าเปื่อยผูพังเป็นครั้งที่หนึ่ง
กระดูก (ที่ที่เผาแล้วและยังเผา) ในไหพบได้ทั่วไปในอุษาคเนย์
รวมทั้งแหล่งมีชื่อเช่นทุ่งไหหิน โกศน่าจะสืบมาจากไหนี้เอง

นอกจากนี้ การที่หัวหน้าหรือนักบวชถึงแก่กรรม
ย่อมหมายความว่าผู้ที่มีความสามารถพิเศษในการรับพลังชีวิตจากบรรพบุรุษได้สูญสิ้นไป
เป็นช่วงเวลาที่สังคมหรือชุมชนขาดความสมดุลย์อย่างยิ่ง
น่ากลัวอันตรายเพราะขาดพลังชีวิตที่เหมาะสมจากบรรพบุรุษ

จึงต้องมีการจัดเลี้ยงฉลองเป็นการเลี้ยงหลายวัน
เพื่อดึงเอาพลังชีวิตที่ชุมชนสูญเสียไปกลับคืนมา
และเพื่อปลอบขวัญคนที่ยังมีชีวิตอยู่

หนึ่งในมหรสพที่ใช้ในพิธีศพคือการเล่นหนังชวา (วายัง ปุรวา)
หนังชวามีกำเนิดมาจากการบูชาบรรพบุรุษโดยแท้
เพราะเงาที่เป็นรูปคนอันบิดเบี้ยวนั้นเป็นตัวแทนอย่างดีของวิญญาณบรรพบุรุษ

(เชื่อกันในเมืองไทยว่าเพราะศาสนาอิสลามห้ามทำรูปคนหรือสัตว์แข่งพระเจ้า
จึงทำให้หนังชวาต้องมีรูปบิดเบี้ยว
แต่ได้พบภาพแกะสักรูปวายัง ปุรวา บนหินสมัยมัชปาหิต ก่อนที่จะรับนับถือศาสนาอิสลาม
แสดงว่าประเพณีทำรุตัวหนังให้บิดเบี้ยวมีมาก่อน)


แม้เรื่องที่เล่นคือมหาภารตะ แต่ก็มีการแต่เติมเสริมต่อ
จนอาจถือได้ว่าเป็นการบรรยายวีรกรรมของบรรพบุรุษ

หลังจากชาวบาหลีรับนับถือศาสนาฮินดูแล้ว
พระบรมศพของกษัตรย์ (ซึ่งเหลือแต่อัฐิ) จะถูกถวายพระเพลิง
แต่ก่อนจะถวายพระเพลิงจะมีพิธีกรรม
เรียกเอาดวงพระวิญญาณกลับมาสิงที่อัฐินั้นเป็นการชั่วคราว
และเรียก “ร่าง” นั้นว่า “ปุษปะศรีระ”
หลังการถวายพระเพลิงแล้ว ก็จะลอยส่วนใหญ่ของพระบรมอัฐิทิ้งไป

มีอะไรหลายอย่างในการทำศพ “เจ้านายไทย”
ที่อาจเข้าใจได้จากพิธีกรรมของบาหลี
เช่นการที่พระโกศมีช่องให้พระบุพโพไหออกนั้น
( และมีพิธีกรรมที่ต้องกระทำแก่พระบุพโพนั้น)
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการทำศพให้แห้งจากเนื้อหนังมังสา
จนเหลือแต่ส่วนที่อาจกลายเป็น ปุษปศรีระมากที่สุด

หลังจากบรรจุพระศพลงพระโกศแล้ว ก็ต้องเอาหน้ากากทองปิดพระพักตร์
จะว่าเพื่อป้องกันความไม่น่าดูเมื่อพระศพเน่าเปื่อยแล้วก็ได้
แต่น่าสังเกตด้วยว่า “หน้ากาก” มักเป็นตัวแทนของสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ผู้สวมเสมอ
ซ้ำหน้ากากทองที่ใช้สวมนั้น
ก็ทำเป็นรูปหน้าที่ปราศจากความรู้สึกใดใด เรียบเฉย และสงบ

เป็นไปได้หรือไม่ว่า
นี่คือพิธีกรรมขั้นหนึ่งในการเตรียมพระศพไปสู่ความเป็นบรรพบุรุษ
สู่ดินแดนไกลโพ้นของบรรพบุรุษ


ในประเพณีโบราณงานพระเมรุเป็นมหกรรมใหญ่
ประกอบด้วยมหรสพหลายๆ ชนิด (เช่นเดียวกับงานศพของชาวบ้าน)
นี่คือการชดเชยพังชีวิตที่ขาดหายไป
เพราะการสูญเสียเจ้านายที่สามารถรับพลังชีวิตได้สูง
และเป็นการปลอบขวัญผู้มีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่

ส่วนการเก็บพระอัฐิไว้ในเจดีย์สถาน เช่นวัดประจำรัชกาล หรือวัดที่เจ้านายทรงอุปถุมภ์
ก็สอดคล้องกับการฝังอัฐิไว้ไต้รูปเคารพแทนตน
เพื่อให้สามารถกลับมาคืนพลังชีวิตแก่แผ่นดินได้ตลอดไป

รูปภาพ
[ภาพเขาพระสุเมรุ-สัญลักษณ์ของระบบจักรวาลใน “ไตรภูมิพระร่วง” :
ภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านหลังพระแก้วมรกต ภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม]



:b44: ฮิ น ดู แ ล ะ พุ ท ธ

นักประวัติศาสตร์ที่เป็นที่เคารพนับถือคนหนึ่งเสนอความเห็นว่า
การสร้างพระเมรุเพื่อทำศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่นั้น
คงเริ่มมีมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง
ซึ่งรับเอาประเพณีของเขมรเข้ามาหาอย่าง
แทนที่จะสร้างด้วยศิลาขนาดใหญ่ ก็ทำให้เป็นเครื่องไม้ที่อลังการแทน


พระเมรุมาศก็คือเขาพระสุเมรุอันเป็นที่ประทับของพระอินทร์
“บรรพบุรุษ” ของชาวอุษาคเนย์ได้ถูกเปลี่ยน
หรือถูกปรับให้สอดคล้องกับความเชื่อของเทพเจ้าของฮินดูพุทธมานานแล้ว
การนำเอาพระบรมศพไปตั้งทื่ยอดเขาพระสุเมรุ
ก็คือการส่งดวงพระวิญญาณคืนกลับไปสู่พระเป็นเจ้าโดยตรง

หรือหากพูดด้วยภาษาความเชื่อดั้งเดิม
คือการจำลองที่อยู่ของบรรพบุรุษขึ้นบนพื้นโลก นำพระบรมศพไปส่งถึงที่นั่นเอง

ในส่วนพระราชพิธีทางพระพุทธศาสนา ซึ่งมักมีกันเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน
หากมองจากคติของพุทธ ก็คือการเตือนให้มี มรณานุสติ
แต่หากมองจากความเชื่อดั้งเดิม
คือการเสกเป่ามิให้ลูกหลานต้องสูญเสียพลังชีวิตไปกับการจากไปของผู้ตายนั่นเอง


รูปโฉมภายนอกของงานพระสุเมรุอาจดูเป็นฮินดูพุทธ
แต่ลึกลงไปจริงๆ แล้วก็คือการปฏิบัติสืบความเชื่อดั้งเดิมของอุษาคเนย์นั่นเอง


:b8: :b8: :b8:

(ที่มา : วัฒนธรรมสุวรรณภูมิในงานพระเมรุ โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์, หน้า ๑๐๔-๑๐๙ ใน “พระเมรุ” แรกมียุคกรุงศรีอยุธยา เลียนแบบนครวัด “วิษณุโลก” : สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ. (เอกสารเผยแพร่โดย กองทุนเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะ กระทรวงวัฒนธรรม; ร่วมเผยแพร่โดย สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย สถาบันการศึกษาทางเลือก)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2015, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2008, 09:20
โพสต์: 349


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโมทนาสาธุการค่ะ
:b8: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2019, 08:58 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร