วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2009, 23:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ความเดิมเรื่องนี้อยู่ที่
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=20716



รูปภาพ

ณ แผ่นดินมคธขณะนี้เวลาจวนสิ้นทิวาวารแดดในยามเย็นกำลังอ่อนลงสู่สมัยใกล้วิกาล

ทอแสงแผ่ซ่านไปยังสาลีเกษตร แลละลิ่วเห็นเป็นทางสว่างไปทั่วประเทศสุดสายตา

ดูประหนึ่งมีหัตถ์ทิพย์มาปกแผ่อำนวยสวัสดี

เบื้องบนมีกลุ่มเมฆเป็นคลื่นซ้อนซับสลับกันเป็นทิวแถว ต้องแสงแดดจับเป็นสีระยับวะวับแววประหนึ่งเอาทรายทองไปโปรยปราย เลื่อนลอยลิ่ว ๆ เรี่ย ๆ รายลงจดขอบฟ้า

ชาวนาและโคก็เมื่อยล้าด้วยตรากตรำทำงาน ต่างพากันดุ่ม ๆ เดินกลับเคหสถานเห็นไร ๆ เงาหมู่ไม้อันโดดเดี่ยวอยู่กอเดียว ก็ยืดยาวออกทุกที ๆ มีขอบปริมณฑลเป็นรัศมีแห่งสีรุ้ง อันกำแพงเชิงเทินป้อมปราการที่ล้อมกรุงรวมทั้งทวารบถทางเข้านครเล่า



ชายผู้หนึ่งหลังจากพึ่งแลบลิ้นให้กับนักบวชผู้หนึ่งตรงทางเดินฝั่งคันนาโน้น เดินบ่นพึมพร่ำมาว่า

หึ หึ คิดจะมาหรอกเราว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะว่ามีอินทรีย์ผ่องใสหรอ ไม่เชื่อหรอก


แต่แล้วสายตาของชายผู้นั้นก็สะดุดลงกับร่างของชายคนหนึ่งที่นอนหมดสติอยู่ริมคันนา แต่งตัวประหลาด

เค้ารีบส่งเสียงตะโกนดังลั่น ณ ชายทุ่งแห่งหนึ่ง บอกให้ลุกๆ อย่ามานอนขวางทางวัวของเขา

จอหน์ งวงเงียค่อยๆลุกขึ้น.....


ชายแปลกหน้า "ดูก่อน อาคันตุกะ ท่านมาเป็นผู้ละเคหสถานหรือ ดูไม่ใช่คนแถวนี้ เพราะเหตุไฉนจึงมานอนนิ่งอยู่นี่ ?"

จอหน์รู้สึกตัวตื่นขึ้น ท่าทีตกใจที่พบบุรุษนายผิวดำหนึ่งมีหนวดเครายาวรุงรัง ไม่สวมเสื้อนั่งอยู่ใกล้ๆ.............

จอหน์ "ท่านคือใครกัน หรือเราตายไปแล้ว เราอยู่ในนรกหรือสวรรค์กันเนี่ย"

ชายแปลกหน้า "ท่านยังไม่ตายหรอก เพราะเราก็ยังไม่ตาย นี่คือแผ่นดินแค้วนมคธ"

จอหน์ "อุทานในใจขึ้นว่า เรายังไม่ตายจริงๆด้วย นี่มือเรา นี่แขนเรายังอยู่ ลมหายใจก็ยังมีอยู่ ลองหยิกเนื้อดูก็เจ็บนะ เรายังมีชีวิตอยู่จริงๆด้วย แล้วแคทละอยู่ที่ไหน เราเดินทางมาถึงที่ไหนกัน "

เนื่องจากจอหน์ไม่เคยศึกษาพุทธประวัติเหมือนแคทจึงไม่รู้ว่าตนเองมาถึงแผ่นดินครั้งพุทธกาลแล้ว

จอหน์ "ท่านชื่ออะไรนะ เราชื่อจอหน์นะ เรามาจากโลกปี พศ. 5000 ท่านเห็นผู้หญิงที่มากับเราหรือไม่"

ชายแปลกหน้า "อาคันตุกะท่านพูดอะไร ฟังไม่รู้เรื่องเลย ข้าเป็นอาชีวกชื่ออุปกะ เราเห็นท่านผู้เดียวนอนนิ่งอยู่ที่นี่ ไม่ผู้อื่นใด"

อ้างคำพูด:
อาชีวก

คำแปล2

(มค. อาชีวก) น. นักบวชนอกพระพุทธศาสนาพวกหนึ่งในครั้งพุทธกาล.


อาชีวกชื่ออุปกะได้พบพระผู้มีพระภาคเสด็จดำเนินทางไกลระหว่างแม่น้ำคยาและไม้โพธิพฤกษ์ ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรอาวุโส ท่านบวชอุทิศใคร? ใครเป็นศาสดาของท่าน? หรือท่านชอบธรรมของใคร?.

เมื่ออุปกาชีวกกราบทูลอย่างนี้แล้ว. พระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสพระคาถาตอบอุปกาชีวกว่าดังนี้

เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวง
อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวง
ละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะ
ความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึง
อ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเรา
ก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับ
ทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก
เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียว
เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลส
ได้แล้ว เราจะไปเมืองในแคว้นกาสี เพื่อ
ประกาศธรรมจักรให้เป็นไป เราจะตีกลองประกาศ
อมตธรรมในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ.

รูปภาพ

อุปกาชีวกทูลว่า ดูกรอาวุโส ท่านปฏิญาณโดยประการใด ท่านควรเป็นผู้ชนะหาที่สุดมิได้ (อนันตชิน) โดยประการนั้น.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลเหล่าใดถึงความสิ้นอาสวะแล้ว บุคคลเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ชนะเช่นเรา ดูกรอุปกะ เราชนะธรรมอันลามกแล้วเพราะฉะนั้นเราจึงชื่อว่าอนันตชิน


เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อุปกะแสดงอาการสั่นศีรษะและแลบลิ้น พร้อมทั้งกล่าวว่า เป็นให้พอเถิดพ่อ ดังนี้ แล้ว ถือเอาทางผิดเดินหลีกไป.



แสดงว่าจอหน์ย้อนเวลามาลงช่วงสัปดาห์ที่ 8 จริงแต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านอุปกาชีวกไปแล้วโดยที่จอหน์ไม่รู้พุทธประวัติเหมือนกับแคทเลย

จอหน์ "ท่านอุปกะ เราไม่รู้เลยนะว่าเราอยู่ที่ไหน แต่เราเดินทางมาไกลกับผู้หญิงที่ชื่อแคทคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เราคงพลัดหลงกันแล้ว ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เราไม่มีความรู้เลยว่าจะไปที่ไหน แต่จุดประสงค์เรามาเพื่อต้องการพบพระพุทธเจ้า รับฟังธรรมอันวิจิตรพิศดารกับพระองค์ท่านเพื่อนำธรรมะนั้นกลับไปช่วยโลกของเรา"

อุปกะ ท่านสงสัยจะสติไม่ดีแน่เลย ดุการแต่งตัวซิแปลกๆ เอาเถอะเพื่อเมตตาต่อท่าน เราจะพาไปสำนักพระพุทธเจ้าที่ดังมากแห่งหนึ่งในกรุงราชคฤห์นะ

จอหน์ รู้สึกดีใจที่ได้ยินเรื่องเช่นนี้ แต่ก็อดเสียใจที่สูญเสียแคทไปไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงขอไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านของอุปกะชีวกก่อน

:b48: :b48: :b48: เดี๋ยวมาครับ :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


แก้ไขล่าสุดโดย ฌาณ เมื่อ 01 มี.ค. 2009, 23:03, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2009, 14:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนากับความเพียรในการนำข้อความมาโพสค่ะคุณฌาน

ใกล้ๆแล้วค่ะ เดี๋ยวก็ได้ละ ดาว 10 ดวง :b4:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2009, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามีบทตบจูบ ตบลงเตียงๆ อะไรทำนองนี้รับรองเรตติ้งกระฉูดครับ
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2009, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: k. คามินธรรม ชอบบทนี้ด้วยหรือคะ :b10: เราก็ชอบดูเหมือนกันนะยิ่งน้องอั้ม(ชาย)นะ
เล่นไม่อยากพลาดเลค่ะ :b12: :b12:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2009, 22:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b22: บทจูบๆตบๆ ต้องยกให้อาจารย์คามินธรรมแต่งแล้วครับคุณพี่ o wan ผมไม่ถนัดนะครับ :b5:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2009, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b13: :b13: เล่าเสริมความเดิมหน่อยนะครับ กันงงงงงง :b23: :b23:

รูปภาพ

ทั้งแคทและจอหน์ได้เดินทางผ่านรูหนอนย้อนเวลามาสู่แดนพุทธภูมิได้สำเร็จตามวันและเวลาที่ตั้งไว้

แต่เกิดเหตุขัดข้องของเครื่องยนต์ทำให้ทั้งคู่หลุดกระเด็นออกไปคนละสถานที่

จอหน์ ตกลงใกล้เคียงกับสถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากที่สุด แต่ล่าช้าไปเพราะหมดสติอยู่
จึงพลาดการพบพระพุทธเจ้าไปอย่างน่าเสียดาย(ถึงพบจอหน์ก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้พุทธประวัติ)

ต้องมาพบอุปกะชีวกแทน และจอหน์ก็ไม่เคยศึกษาพุทธประวัติเลยจึงไม่รู้เลยว่า อุปกะชีวกผู้นี้มีความสำคัญอย่างไร ปรากฏอยู่ตอนไหนของพุทธกาล จึงพลาดโอกาสที่จะพบพระพุทธเจ้าไป(กรรมมาบัง)

ส่วนแคท นั้นตกลงไปที่แค้วนวัชชี บริเวณสวนมะม่วงในนครเวสาลี ตนเองรู้และศึกษาพุทธประวัติเป็นอย่างดี จึงได้เปรียบจอหน์มาก แคทรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไปในพุทธกาล และรู้ว่าบุคคลที่พบเป็นใคร แล้วตนเองควรทำอย่างไรต่อไป


หลายท่านอาจสงสัยว่าแล้วเครื่องย้อนเวลามันตกลงตรงไหน ทั้งคู่จะเดินทางกลับอย่างไร ตอนนี้เก็บเงียบไว้ก่อนให้ตื่นเต้นครับ........ :b4: :b4:

ส่วนที่ทั้งแคทและจอหน์สามารถติดต่อพูดคุยกับคนในยุคนั้นได้อย่างไร อันนี้อ้างเหตุผลทางเทคนิคครับที่ว่าย้อนเวลาสู่ยุคไหน ภาษาพูดก็จะปรับเข้าอยู่ยุคนั้นโดยอัตโนมัติ

อิอิ.... :b9:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2009, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ณ นครซึ่งมั่งคั่งสมบูรณ์

รูปภาพ

เป็นนครที่มีนามกระเดื่องลือว่า มีคนแต่งกายงามที่สุด ปานหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ มีสระโบกขรณีมากหลายเป็นที่รื่นรมย์ ปราสาทแห่งเจ้าฉิจฉวีเสียดยอดระดะดูงามตาพิลาสพิไล โดยเฉพาะลิจฉวีสภาซึ่งจงใจทำอย่างประณีตบรรจงงามวิจิตร เป็นที่ประชุมแห่งกษัตริย์ลิจฉวีผู้พร้อมใจกับปกครองบ้างเมืองโดยสามัคคีธรรม นครซึ่งมีปราการสามชั้น มีเบื้องหลังเป็นป่าใหญ่ทอดยาวเหยียดสูงขึ้นไปจนถึงหิมาลัยบรรพต นครแห่งนี้คือ เวสาลีแห่งแค้วนวัชชี


เวสาฬี

เป็นเมืองที่มั่งคั่งกว้างใหญ่ไพศาล มีประชาชนมากมาย เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาอาหาร การค้าขายเจริญรุ่งเรือง มีพ่อค้าต่างเมืองเดินทางมาติดต่อค้าขายอย่างคับคั่ง และหนึ่งในความเสื่อม แต่เป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองคือ มีหญิงงามเมืองที่มีความงดงาม ชื่อว่า อัมพปาลี

(คือเธอมีความงามมาก สมัยนี้เรียกว่านางงาม สมัยนั้นเรียกว่างามเมือง)

รูปภาพ

นางเป็นสตรีผู้เลอโฉม มีผิวพรรณผุดผ่องเฉิดฉายยิ่งนัก น่าดู น่าพอใจ และนางยังเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมซึ่งประกอบไปด้วย การฟ้อนรำ และการขับร้อง ซึ่งหาผู้ใดเปรียบเทียบได้ยาก บุคคลทั้งหลายที่มีความต้องการพานางไปร่วมอภิรมย์ด้วย จะต้องจ่ายค่าตัวคืนละห้าสิบกหาปณะ


ณ สวนป่า อัมพปาลีวัน

ขณะที่นางอัมพปาลีเดินอุ้มลูกชายชื่อวิมละ พร้อมบริวารเหล่านางคณิกาข้าใช้ทั้งหลายของนาง

(พระเจ้าพิมพิสาร ในคราวยังเป็นหนุ่ม ฟัง (ข่าว) รูปสมบัติของนางอัมพปาลี เกิดความกำหนัดยินดี มีคนติดตาม ๒-๓ คนไปสู่พระนครไพศาลี โดยเพศที่คนจำไม่ได้ สำเร็จการอยู่ร่วมกับนางในคืนวันหนึ่ง ครั้งนั้น วิมละปฏิสนธิในท้องของนาง เป็นเพศชาย ต่อมาโตขึ้นก็บวชสำเร็จเป็นพระอรหันต์นามว่าวิมลโกณฑัญญะ)

อ้างคำพูด:
อดีตชาติของนางอัมพปาลี
ครั้งหนึ่งนางได้ไปนมัสการพระเจดีย์
โดยได้ทำประทักษิณ เวียนขวารอบเจดีย์

ขณะกำลังเดินประทักษิณอยู่
นางได้เห็นภิกษุณีรูปหนึ่งได้เดินทำประทักษิณอยู่ตรงหน้าเธอ ภิกษุณีรูปนั้นได้
บ้วนน้ำลายลงพื้น เมื่อนางอัมพปาลีเห็น จึงเกิดความไม่พอใจที่เห็นกิริยาดังนั้น
จึงได้สบถคำด่า ภิกษุณีรูปนั้นว่า
"อีหญิงแพศยา"

นางอัมพปาลีนั้นหารู้ไม่ว่า ภิกษุณีรูปนั้นคือพระอรหันตขีณาสพ ผู้สิ้นอาสวะ

ผลกรรมที่ใช้วาจาหยาบด่าว่าพระอรหันต์นั้น เมื่อนางอัมพปาลี
ซึ่งที่จริงแล้วก็ได้บำเพ็ญบารมีมามาก และใกล้จะบรรลุธรรมชั้นสูงในชาตินั้น
แต่ได้พลาดพลั้งด่าทอพระอรหันต์

หลังจากภพชาตินั้น นางอัมพปาลีได้เสวยทุกขเวทนาในมหานรกนานแสนนาน
เมื่อหมดกรรมจากนรก จึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์บริเวณสวนมะม่วง(เป็นโอปปาติกะที่โคนต้นมะม่วง เพราะบังเกิดที่โคนต้นมะม่วง จึงถูกเรียกว่า อัมพปาลี)

แต่เศษกรรมที่ติดมาด้วยคือ ทำให้นางต้องเป็นหญิงโสเภณีในชาตินั้น
เพราะผลกรรมที่ด่าพระอรหันต์ว่าเป็น หญิงแพศยา

และต่อมานางได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้สร้างวิหารถวายสงฆ์
ได้ฟังธรรมจนเลื่อมใสในรสพระธรรม แล้วได้ออกบวชเป็นภิกษุณี
จนที่สุดได้บรรลุเป็นพระอรหันต์


รูปภาพ


เวลาคล้อยบ่าย นางกำลังมองดูผลมะม่วงที่ออกเป็นพวงระย้า ดังเช่นทุกปี
พลันสายตาของนางสะดุดตากับแสงประหลาดสีแดงจ้ามากปรากฎขึ้น ณ โคนต้นมะม่วงต้นหนึ่ง นางและบริวารตกใจกลัววิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง ขณะที่นางกำลังจะหันหลังวิ่งหนีนั้นแสงสีแดงก็หายไปพร้อมกับปรากฏร่างคล้ายมนุษย์แต่งตัวประหลาดนอนหมดสติ สลบไสลอยู่.....



นางพยายามรวบรวมสติ พลันนึกถึงอดีตของนางที่เกิดแบบโอปาติกะคาคบไม้ต้นมะม่วง หรือว่านางผู้นี้จะกำเนิดคล้ายนาง นางทั้งตื่นเต้นและดีใจที่ได้พบกับคนที่กำเนิดเช่นเดียวกันจึงรีบเข้าไปปลุกผู้หญิงคนนั้น..........


อัมพปาลี "นี่นางเป็นใคร มาจากไหน เหตุไฉนจึงมาบังเกิดที่โคนต้นมะม่วงดั่งเรา ตื่นเถอะๆ"


แคท รู้สึกตัวตื่นขึ้น ลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจและตื่นเต้น ภาพที่แคทเห็นเบื้องหน้าเป็นสตรีชาวเอเชียผมดำขลับ ตากลมเป็นประกาย ผิวสวยงามดั่งทอง

"นางเป็นใครกัน ที่นี่ที่ไหนช่วยบอกเราด้วย แล้วจอหน์ละท่านเห็นจอหน์บ้างไหม ผู้ชายผมสีทองที่มากับเรา"

อัมพปาลี "เราชื่ออัมพปาลี เป็นหัวหน้าเหล่านางคณิกาของเมืองเวสาลี และเป็นเจ้าของสวนมะม่วงที่ท่านนั่งอยู่นี้ แล้วท่านละมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร"

แคท รู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตแล่นเข้ามาในหัวใจ ใบหน้าแดงร้อนวาบด้วยความตื่นเต้นและปิติมาก โอ้นี่เราข้ามเวลามาสู่ยุคพุทธกาลได้สำเร็จจริงๆหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ แล้วจอหน์ละหายไปไหนแล้ว โธ่ เราคงพลัดหลงกันเป็นแน่แท้

แคท "เราชื่อแคทมาจากโลกอนาคตปี พ.ศ.5000 เราย้อนเวลามากับเครื่องย้อนเวลาสู่สมัยพุทธกาลกับจอหน์ สามีของเรา เพื่อจะมาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และนำธรรมนั้นกลับไปสู่โลกของเรา"

อัมพปาลี ท่าทางงงงวย และคิดว่าที่นางพูดเช่นนี้คือกล่าวอดีตที่มาของโอปปาติกะเช่นเดียวกับนางนางจึงไม่สนใจ นางกล่าวขึ้นว่า "เรายินดีและดีใจนะแคท ที่เราสองคนมีเหตุกำเนิดจากโอปปาติกะเช่นเดียวกัน"

แคท ทวนคำพูดในสมอง อัมพปาลี คณิกา เมืองเวสาลี โอปปาติกะ เหมือนที่นางศึกษามาในพระไตรปิฏกเลย โอ้เป็นความจริงๆด้วย นางก้มกลับแทบเท้านางอัมพปาลี ด้วยเหตุว่าในอนาคตนางอัมพปาลีผู้นี้จะได้ถวายสวนนี้แด่พระพุทธเจ้าและบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

อัมพปาลี "อุ้ย...ท่านมากราบเราทำไม เราไม่ใช่พระพุทธเจ้านะ ตอนนี้ยังไม่พระพุทธเจ้าที่ไหนเลยเราเป็นนางคณิกา"

แคท นึกขึ้นได้พลางคิดว่า แสดงว่าตอนนี้นางยังไม่พบพระพุทธเจ้าเลยเป็นแน่ เราควรไม่บอกเรื่องนี้แก่นาง และเราควรอาศัยอยู่ที่นี่ก่อนเพราะอนาคตนางอัมพปาลีจะได้พบพระพุทธเจ้า เราจะได้ฟังธรรมด้วย

แคท "เรากราบท่านเพราะว่า เราไม่รู้จะไปอาศัยที่ไหน เราขอพักอยู่กับท่านได้ไหม"

อัมพปาลี "เรายินดีต้อนรับนะน้องรัก เรานับถือท่านเป็นน้องสาวของเราละกันเพราะเรากำเนิดมาคล้ายกัน แต่สถานที่แห่งนี้มีแต่นางคณิกา ไม่ทราบว่าน้องรักจะสะดวกพักไหม"

แคท "เราขอขอบพระคุณท่านมาก อย่างไรเสียที่นี่คือที่เราควรอยู่เพื่อสิ่งที่เราปราถนามาทั้งชีวิต" (คือฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า)

อัมพปาลี "ดีละ ดีละ งั้นเราจะพาท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะกับที่นี่ นับจากนี้ท่านคือน้องสาวเรานะแคท"




:b4: รอเดี๋ยวครับ

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2009, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


อุปกะและจอหน์ได้พักอาศัยอยู่แถบบ้านพรานล่าเนื้อ นับวันได้ก็เกือบสัปดาห์แล้ว

อาการของจอหน์เริ่มดีขึ้น แข็งแรงขึ้น และปรับสภาพเข้ากับสภาพแวดล้อมแถวนี้ได้แล้ว
ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก นับถือกันเป็นพี่เป็นน้อง......


(อนาคตอุปกะได้ฟังธรรมกับพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี)

เวลางามยามค่ำคืนหนึ่ง อุปกะกับจอหน์พากันไปเที่ยวที่อุทยานนอกเมือง

อุทยานนี้งดงามมาก ตั้งอยู่ริมฝั่งอันสูงของแม่คงคา มีต้นไม้ใหญ่ใบครึ้ม มีสระบัวขนาดใหญ่ มีศาลาที่พักอาศัย และซุ้มมะลิเลื้อย ซึ่งในเวลานั้น :b53: :b52: :b51: :b49: :b49:

ประชาชนพากันไปเที่ยวหาความสำราญใจกันเกลื่อนกล่น รู้สึกเบิกบานใจไม่น้อย

ในขณะที่ได้ยินเสียงนกโกกิลา นกประหรอตเทศ ร้องขอบฟ้าทางเบื้องตะวันตก เปลี่ยนจากสีทองเป็นสีดำหลัวขมุกขมัวลง ภูมิประเทศโดยรอบมืดตามลงทุกที ค้างคาวที่เกี่ยวเกาะบนต้นรังเห็นดำทะมึนทึน ตกใจด้วยได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา ก็ปล่อยเท้าที่เกาะแล้วกางปีกถลาร้องเสียงแหลมหายไปทางสวนผลไม้ในแถวนั้น


:b47: :b48: :b49: :b45: :b50: :b45: :b42: :b43: :b39: :b44:

อุปกะ "นี่จอหน์เราเดินทางพ้นอุทยานนี้ไปหน่อยก็จะพบกับสำนักพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งแล้วนะ"

(ตอนนั้นอุปกะคิดเอาเองว่าเจ้าลัทธินี้เป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะคนนับถือกันมาก)

อ้างคำพูด:
ในสมัยพุทธกาลมีสมณพราหมณ์เจ้าลัทธิต่างๆ จำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของมหาชนมีอยู่ 6 ท่าน คือ

ปูรณกัสสปะ

มักขลิโคสาล

อชิตเกสกัมพล

ปกุธกัจจายนะสัญชัยเวลัฏฐบุตร

และนิครนถนาฏบุตร

เจ้าลัทธิเหล่านี้ แม้แต่พระราชามหากษัตริย์ เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ยังหาโอกาสไปสนทนาสอบถามปัญหาทางปรัชญาด้วย ครูแต่ละท่านมีบริษัทบริวารคนละหลายร้อย และทั้ง 6 ท่านนี้ต่างก็กล่าวว่าตนเป็นพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ แต่ถึงกระนั้นเมื่อถูกถามปัญหายากๆ และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครูทั้ง 6 ท่านก็ยังแสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏอยู่



จอหน์ "จริงหรออุปกะ เราจะได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพุทธเจ้าแล้ว จอหน์พูดขึ้นด้วยเสียงดีใจแต่หน้ากลับเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด"

อุปกะ "จริงสิ เอ้านี่ท่านไยไม่ดีใจล่ะ"....

จอหน์ "เรานึกถึงแคทนะสิ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมกับเรา"

อุปกะ "เรื่องมันผ่านไปแล้วน่า ท่านน่าจะยินดีนะ พรุ่งนี้เราจะพาท่านไปสำนักพระพุทธเจ้า"

คืนนั้นกลับมาถึงที่พัก จอหน์ตื่นเต้นและดีใจเป็นที่สุดที่ความหวังของเขาใกล้จะเป็นจริงแล้ว เขานอนไม่หลับทั้งคืน อยากให้สว่างไวไว เพื่อที่จะฟังธรรมกับพระพุทะเจ้าตามปณิธานที่ให้ไว้กับพระอนันตระ

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2009, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 23:00
โพสต์: 48

ที่อยู่: บางแค

 ข้อมูลส่วนตัว


รอ...(อยากจะเร่ง แต่เกรงใจคุณฌาน)

.....................................................
คำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างมาทั้งหมดนี้ ส่วนมากเป็นของครูบาอาจารย์ ผู้เขียนหนังสือต่างๆ พ่อแม่ ญาติ ผู้มีคุณและเพื่อนๆของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขอความกรุณาชี้แนะด้วย และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้แจกจ่ายธรรมทานนั้นขอให้ผลบุญนั้นส่งถึง บุคคลที่ได้กล่าวมา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ข้าพเจ้าขอถวายเป็นพุทธบูชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2009, 23:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รุ่งเช้าวันนี้อากาศปลอดโปร่ง


ณ กรุงราชคฤห์

อุปกะเดินนำหน้า จอหน์รู้สึกหัวใจเบิกบานเบ่งโตแทบจะโลด พอล่วงเข้าไปในกรุงได้สักหน่อย
เห็นผู้คนจราจรล้นหลามตามถนนผิดปกติ ต้องเดินผ่อนช้าลง

จนมาถึงที่แห่งหนึ่ง อันเป็นย่านที่จะเข้าถนนใหญ่ในกรุง
ต้องเดินเบียดแทรกฝูงชนต่อไปอีกได้ ตามถนนใหญ่ประดับธงทิวปลิวไสว มีพรมห้อยลงมาจากหน้าต่างและระเบียงหน้ามุข ข้างถนนก็มีเฟื่องดอกไม้โยงกันระนาวตลอดไปทั้งสองข้าง คล้ายกับมีงานรื่นเริงอย่างใหญ่

อุปกะถามผู้คนในเมืองทราบว่ามีงานประจำปีบนยอดเขา ซึ่งจัดขึ้นทุกปี

เสียงดังมาจากข้างหลังว่า..............


"ขอทางหน่อยท่านผู้เจริญ" "ขอทางหน่อยท่านผู้เจริญ"

พร้อมเสียงแตรเป่า กลองโยนตีสลับกันไปมา

มีขบวนนำแต่งชุดสีสดสวยนำหน้าพร้อมเสลี่ยงทองคำจำนวน 500 เป็นเครื่องแหน
ร่วมกับขบวนรถม้าอาชาไนย 500 วิ่งตามมา

อุปกะและจอหน์และคนอื่นๆรีบหลบเข้าข้างทางมองขบวนแห่นั้นอย่างตื่นตาตื่นใจ
มีบุรุษ 2 นาย ท่าทางสง่างามมากผิวดั่งทองอยู่ในขบวนนั้น.......


จอหน์ "นั่นขบวนกษัตริย์ หรือขุนนางผู้ใหญ่ในกรุงราชคฤห์ใช่ไหม"

อุปกะ "เปล่าหรอกท่าน เป็นขบวนของมาณพ 2 คนที่ชอบมาดูมหรสพร่วมกันทุกปีที่งานประจำปีแห่งนี้แหละ"

มาณพ 2 คนนั้นคืออุปติสสะและโกลิตะ (แต่จอหน์ไม่รู้)

อ้างคำพูด:
โดยเหตุที่อุปติสสะและโกลิตะเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ซึ่งตระกูลของทั้ง ๒ ผูกสัมพันธ์กันมานานถึง ๗ ชั่วอายุคน ฉะนั้นจึงได้รับการเลี้ยงดูคล้ายๆกัน ครั้นเติบโตเป็นหนุ่มบิดาของทั้ง ๒ ได้จัดหาเด็กหนุ่มวัยเดียวกันมาเป็นบริวารคนละ ๕๐๐ เวลาจะไปเล่นน้ำในแม่น้ำหรือจะไปหาความสำราญในอุทยาน

อุปติสสะจะมีวอทองเป็นพาหนะนั่งไป
ส่วนโกลิตะจะมีรถเทียมม้าอาชาไนยเป็นพาหนะพาไป
โดยมีบริวารห้อมล้อมคนละ ๕๐๐ ดังกล่าวแล้ว

อุปติสสะและโกลิตะออกบวชหลังจาก ชมมหรสพบนยอดเขาแล้ว เรื่องมีว่า ในเมืองราชคฤห์มีงานประจำปีอยู่อย่างหนึ่ง คือการ แสดงมหรสพบนยอดเขา อันได้แก่การเล่น ละครรวมทั้งการแสดงอื่นๆ แต่ละปีที่ผ่าน มามีผู้คนทั้งในเมืองราชคฤห์เองและจากต่างเมือง เดินทางไปชมกันเป็นจำนวนมาก อุปติสสะและโกลิตะก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วย ในปีนี้ก็เช่นกัน อุปติสสะและโกลิตะได้ไปชมมหรสพด้วยกัน โดยบริวารได้จัดให้นั่งอยู่ด้วยกันเหมือนเช่นทุกปี


อุปกะ "นี่จอหน์เราควรจะเที่ยวงานประจำปีนี้สักวันก่อนดีไหม ก่อนที่จะไปสำนักพระพุทธเจ้ากัน"

จอหน์เห็นดีด้วย ในใจคิดว่าเผื่อจะพบแคทในงานนี้จะได้ชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน

อุปกะและจอหน์เที่ยวชมงานประจำปีเกือบตลอดคืน ..............

ไม่มีแม้แต่เงาของแคท
จอหน์รู้สึกเศร้าใจมาก :b2: :b2:

:b47:
ทั้งสองคนมานั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
วันนี้พระจันทร์เต็มดวงสะท้อนเงาในแม่น้ำเหมือน มีพระจันทร์สองดวงฉนั้น

เสียงพลุ ดอกไม้ไฟ ประปราย มีแสงระยิบระยับแข่งกับแสงดาวบนท้องฟ้า

จอหน์สายตาเหม่อลอยคิดถึงแคทไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

ส่วนอุปกะก็ใจเหม่อลอยถึงลูกสาวนายพรานล่าเนื้อคนหนึ่งที่ชื่อ สุชาวดี ที่ตนแอบรักอยู่เงียบๆในใจ ไม่กล้าบอกใครเพราะตนถือเพศเป็นนักบวชอยู่


(หาอ่านรายละเอียดได้จากเรื่องอุปกะชีวกกับพวงดอกไม้มาร ก่อนที่อุปกะจะได้เป็นพระอนาคามี)
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
อุปกะ "จอหน์ เดี๋ยวเช้าแล้วเมื่อเราไปส่งท่านเข้าไปสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านกับเราเห็นทีต้องแยกทางกันละนะ ท่านก็ไปตามทางของท่าน ส่วนเราจะไปตามทางของเรา"

จอหน์ "อ้าวท่านอุปกะ ทำไมไม่ไปเฝ้าฟังธรรมพระพุทธเจ้ากับเราละ"

อุปกะ "อย่าเลยท่าน ยังไม่ถึงเวลา เมื่อท่านไปแล้ว มีเรื่องร้อนใจก็กลับมาพบเราได้ เรายังคงอาศัยอยู่แถวหมู่บ้านพรานล่าเนื้อนั่นละ"

กึ่งมัชฌิมยามแห่งราตรีแล้ว อากาศซึ่งเยียบเย็นได้เย็นเยียบลงไปอีก
อุปกะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างพลิกกลับไปกลับมา กระสับกระส่ายไม่อาจจะหลับตาลงสู่นิทรารมณ์ได้

แน่นอนทีเดียว ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟ คือราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง... ไฟที่ปราศจากควันและไร้แสง แต่มีความรุนแรงเผาใจให้ร้อนรุ่ม คือไฟราคะนี่เอง ไม่อาจจะดับได้ด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ในโลกนี้

:b48: :b40: :b40: :b40: :b40: :b40:

อรุณรุ่ง ลมเช้าพัดแผ่วกระทบกายประสาท อุปกะสลัดผ้าห่มลุกขึ้นนั่งตรึกตรองอยู่อย่างลึกซึ้งตลอดราตรีที่ผ่านมาเขามิได้หลับเลย คำกล่าวที่ว่า


"ความรักเป็นบ่อเกิดแห่งความกระวนกระวายดิ้นรนหนักหน่วงและซึมเศร้า"

นั้น ช่างเป็นความจริงเสียเหลือเกิน

อุปกะส่งเสียงเรียกปลุกจอหน์เตรียมตัวไปสำนักพระพุทธเจ้ากัน.............


ณ อุทยานอันร่มรื่นในกรุงราชคฤห์ ภายใต้กำแพงไม้ไผ่รอบทั้งสี่ด้าน
คร่าคร่ำไปด้วยนักบวชน้อยใหญ่ บ้างนุ่ง ขาว ห่มขาว เดินขวักไขว่กันไปมาเต็มไปหมด

บ้างนั่งสนทนากันอยู่ริมโคนไม้ มีอารามที่สวยงามที่สุด และใหม่ที่สุดอยู่ตรงกลางสวน
มีห้องประชุม ห้องเก็บของ มีสระใหญ่ปลูกบัวขาว บัวขาบ บัวหลวง บัวเขียว บานสะพรั่ง ชูดอกไสว ยังมีพันธุ์ไม้หลายหลากเป็นทิวแถว ที่ทำเป็นซุ้มเป็นพุ่มก็มี สะอาด สวยงาม และร่มรื่น



:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

จอหน์ "โอ้นี่หรือสำนักพระพุทธเจ้า"

{จอหน์รู้สึกแปลกใจที่เห็นการแต่งตัวของนักบวชที่นี่ไม่เหมือนดั่งพระอนันตระที่เขาเคยพบเห็น}

อุปกะ "เออน่าไม่ผิดหรอก สำนักนี้แหละ ชาวมคธเป็นจำนวนมากต่างนับถือเป็นพระอรหันต์"

จอหน์ ยังงงๆ "แล้วพระองค์มีนามว่าอะไรละ....."

อุปกะ อ๋อ นามของท่านคือ สัญชัยเวลัฏฐบุตร.............

(แต่วววววว) :b33: :b33: :b33:

อ้างคำพูด:
สัญชัยเวลัฏฐบุตรเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานะและพระสารีบุตรเมื่อครั้งยังเป็นอุปติสสะและโกลิตมานพก็เคยศึกษาอยู่กับท่าน ซึ่งเป็นเจ้าลัทธิของพวกปริพาชก ตั้งสำนักเผยแพร่อยู่ที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ชาวมคธเป็นจำนวนมากต่างนับถือในเจ้าลัทธินี้ แต่เมื่ออุปติสสะและโกลิตมานพพร้อมบริวารจำนวน มากออกจากสำนักไปขอบวชกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัญชัยเวลัฏฐบุตรจึงกระอักเลือดจนถึงแก่มรณกรรม

ลัทธิของสัญชัยเวลัฏฐบุตรจัดอยู่ในประเภท "อมราวิกเขปวาทะ" คือ เป็นลัทธิที่หลบเลี่ยงไม่แน่นอน ดังที่สัญชัยเวลัฏฐบุตรกล่าวกับพระเจ้าอชาตศัตรูในสามัญญผลสูตรว่า ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า โลกอื่นมีอยู่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ความเห็นของอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีอยู่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ความเห็นของอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายเกิดอีกหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่า เกิดอีก ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดอีก ความเห็นของอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่...

พระเจ้าอชาตศัตรูทรงดำริว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้ สัญชัยเวลัฏฐบุตรนี้ โง่กว่าเขาทั้งหมด งมงายกว่าเขาทั้งหมด เพราะแนวคำสอนกลับกลอก เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่สามารถบัญญัติอะไรตายตัวได้ เพราะกลัวผิดบ้าง ไม่รู้บ้าง พูดซัดส่ายเหมือนปลาไหลในกรตังคสูตร กล่าวประณามว่า เป็นลัทธิคนตาบอด ไม่สามารถนำตนและผู้อื่นให้เข้าถึงความจริงได้ มีปัญญาทราม โง่เขลาไม่กล้าตัดสินใจใดๆ ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่รู้จริงอย่างถ่องแท้


จอหน์ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยว่าพระพุทธเจ้าที่ตนจะมาพบนั้นชื่ออะไร จึงหลงเชื่ออุปกะ
จึงจะอยู่ที่นี่ก่อนเพื่อศึกษาธรรมของพระศาสดา

ทั้งสองได้ร่ำลาซึ่งกันและกัน.......แยกกันไปตามทางแห่งตน

:b42: :b30: :b30: :b30: :b30: :b30: :b30:


สวัสดีครับผม.....เดี๋ยวมาครับ..... :b4:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2009, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


เมื่ออุปกะเดินมาส่งจอหน์ถึงบริเวณหน้าประตูสำนักอาจารย์สัญชัยแล้ว
ได้ฝากจอหน์ไว้กับเพื่อนที่เคยรู้จักกันนายหนึ่งชื่อ อาติก
ซึ่งเป็นศิษย์ของอาจารย์สัญชัยช่วยดูแลจอหน์ต่อ......

แล้วทั้งคู่ก็ร่ำรากันอยู่ตรงหน้าประตูนั้น

อาติกได้พาจอหน์ไปรู้จักกับหัวหน้าศิษย์อาจารย์สัญชัยขณะนั้นเพื่อแนะนำจอหน์อีกทีหนึ่ง


หัวหน้าศิษย์ "ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นผู้ทิ้งเรือน หรือ มีจุดประสงค์อันใดที่จะมาที่นี่"

จอหน์ "กระผมชื่อจอหน์ครับ " " ต้องการมาศึกษาธรรมอันสูงส่งของพระศาสดาที่นี่เพื่อนำกลับไปช่วยเหลือเพื่อนมนษย์ที่บ้านของกระผมซึ่งกำลังเดือดร้อนแผ่นดินลุกเป็นไฟอยู่ในขณะนี้"


หัวหน้าศิษย์ "ดีแล้ว ท่านมาดีแล้ว มาถูกแล้ว อาจารย์ของเรามีธรรมอันวิเศษ มีคุณอันเลิศแก่ชาวมคธทั้งหลาย อาจารย์ของเราคือพระอรหันต์ หาผู้ใดเปรียบเทียบมิได้ แต่ท่านมีคุณสมบัติวิเศษอันใดที่จะพบท่านเล่า"

:b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

จอหน์เคยได้ยินได้ฟังเรื่องพระอรหันต์มาก่อนจากแคท รู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่งที่ตนใกล้จะบรรลุจุดมุ่งหมายนี้แล้ว

จอหน์รำพึง.....โอ้ท่านพระศาสดาที่กระผมเฝ้ารอ อยู่ที่นี่เองหรือ เป็นบุญของกระผมเหลือเกิน เราปราถนาที่จะเข้าเฝ้าพระศาสดาเพื่อฟังธรรมอันล้ำเลิศนั้น......


จอหน์ "กระผมไม่มีสมบัติอันใดเลย ปราถนามาฟังธรรมเท่านั้น"

หัวหน้าศิษย์ "ถ้าเช่นนั้นท่านอาจจะพบยากสักหน่อยแล้ว เพราะพระอาจารย์ของเราท่านไม่ค่อยว่างมีกิจรับแขกและสนทนากับกษัตริย์ต่างๆประจำทุกวัน"

อาติก กระซิบกับจอหน์ว่าท่านต้องมีของกำนัลแก่ท่านหัวหน้าคนนี้ด้วย มิฉนั้นท่านจะไม่มีโอกาสได้พบเลย......จอหน์รู้สึกฉงน.....เหมือนกับโลกอนาคตที่เขาอยู่เลยนะ มีคอรัปชั่นด้วย จอหน์จึงล้วงไปหยิบนาฬิกาโรเล็กซ์ในกระเป๋าที่ติดตัวมาจากโลกยืนส่งให้หัวหน้าศิษย์แล้วบอกว่า

จอหน์ "นี่เรียกว่า นาฬิกา ใช้บอกเวลา"...............

หัวหน้าศิษย์ "รับมาดูงงงง อะไรหว่ามีท่อนเล็กๆหมุนได้ด้วย งงงงง แต่ก็ดูสวยดี ถามขึ้นว่ามันกินได้ไหม"

จอหน์ "กินไม่ได้แต่เทห์ คือ ต้องสวมข้อมือไว้แล้วจะดูเท่ห์ครับ".......

หัวหน้าศิษย์ "เอ้าๆ .....รอก่อนนะท่านขณะนี้อาจารย์ของเรากำลังมีแขกบุคคลสำคัญ 2 ท่านมาขอบวชอยู่ในสำนักเราพร้อมบริวารอีก 500 คน เมื่อเสร็จจากแขกสำคัญแล้วเราจะพาท่านไปพบ ตอนนี้ขอเชิญท่านพักผ่อนให้ตามสบายก่อน"

:b52: :b51: :b53:

"นี่อาติก เจ้าพาจอหน์ไปพำนักยังที่พักของเจ้า เปลี่ยนชุดเสื้อผ้าให้เป็นดั่งลัทธิพวกเรา ดูแลอาหารการกินให้ดี"

จอหน์ "กล่าวขอบคุณและรู้สึกปลื้มปิติยินดียิ่งนัก"

อาติกพาจอหน์เดินแนะนำอาณาบริเวณของสำนักอันกว้างใหญ่ไปรอบๆ ผ่านห้องประชุมอันเป็นศาลาโถงโล่งขนาดใหญ่ ขณะนี้มีบุคคลเนื่องแน่เกือบเต็มห้องประชุม มีรถเทียมม้าทองและแคร่ทองจอดเรียงรายอยู่ภายนอก

จอหน์ "เอ้า....อาติกเราเคยเห็นหมู่รถ หมู่แคร่ทองพวกนี้นะเมื่อวานก่อน ทำไมมาอยู่ที่นี่....."

อาติก "ขบวนทั้งหมดนี้เป็นของบุตรนางพรหมณ์แห่งบ้าน “โกลิตคาม” และ “อุปติสคาม ผู้ซึ่งมาติดต่อขอบวชอยู่ในสำนักของเราเช่นกัน"

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

อ้างคำพูด:
ในเวลานั้นเองปรากฏว่าโกลิตะกับอุปติสะสองมารพากันไปดูมหรสพในกรุงราชคฤห์ (ขอโทษ...ลืมบอกไปว่าบ้านทั้งสองนี้อยู่ใกล้กรุงราชคฤห์มหานคร) เป็นอันว่าตามธรรมดาการดูมหรสพเขาย่อมชอบใจในมหรสพที่แสดง เวลาที่ควรจะให้รางวัลก็ให้รางวัล เวลาที่ควรจะมีการรื่นเริงก็มีการรื่นเริง

แต่ว่าการดูมหรสพครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายในการดูมหรสพ คือว่าทั้งโกลิตะก็ดี อุปติสะก็ดี ทั้งสองคนนี้เวลาที่จะไปดูมหรสพ ตามพระบาลีว่า “มญฺจาติ มญฺจิ” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า
“บรรดาญาติทั้งหลายเอาเตียงมาซ้อนกันเข้า ให้เด็กทั้งสองนี้นั่งสูงกว่าคนอื่นทั้งหมด เพราะเป็นลูกของมหาเศรษฐีและลูกนายบ้านนั้น”


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

วันนั้นคนทั้งสองต่างดูมหรสพไม่มีใครแสดงความรื่นเริงบันเทิงใจมีแต่ความเงียบสงบสงัด เพราะความรู้สึกของทั้งสองคนเกิดขึ้นมาว่า

“นักแสดงมหรสพก็ดี คนที่มาดูมหรสพนี่ก็ดี ทั้งหมดนี้ไม่มีใครมีอายุเกิน ๑๐๐ ปี ตายหมด เป็นอันว่าถ้าเราจะเพลิดเพลินด้วยการดูมหรสพในที่สุดเราก็ต้องตาย แล้วชาวบ้านทั้งหลายเหล่านี้ก็ตาย นักแสดงมหรสพทั้งหมดก็ตาย

ครั้นเมื่อตายแล้วสภาพของชีวิตไม่ถึงที่สุดแต่เพียงเท่านั้น ตายแล้วถ้ากรรมที่เป็นกุศลยังไม่ถึงที่สุดเพียงใดความเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารก็ย่อมมีขึ้น เป็นอันว่าพวกเราก็ไม่พ้นความตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย ไม่มีประโยชน์อันใดกับความเกิดความตายในชีวิต”
ทั้งสองคนต่างคนต่างนั่งคิดไม่ได้ปรึกษากันว่า

“ในเมื่อธรรมที่ทำให้บุคคลเกิดแล้วก็ตายมีได้ ก็ต้องมีธรรมที่ทำให้คนเกิดแล้วไม่ตายมันต้องมี เพราะว่าทั้งสองประการนี้เป็นของคู่กัน คือมีมืดก็ต้องมีสว่างฉันใด เมื่อธรรมที่ทำให้บุคคลเกิดขึ้นมาแล้วตายได้ฉันใด ก็ต้องมีธรรมส่วนหนึ่งที่เรียกกันว่า “โมกขธรรม” (คำว่า โมกขธรรม แปลว่า ธรรมที่เป็นเครื่องพ้น) ธรรมที่ทำให้คนเกิดแล้วไม่ตายต้องมี”
ครั้นเมื่อมหรสพแสดงจบลงทั้งสองศรีไม่ได้ให้รางวัลตามปกติที่เป็นมา แต่พอมหรสพเลิกแล้วท่านอุปติสะจึงได้ถามโกลิตะว่า

“โกลิตะ วันนี้เพื่อนเป็นยังไงนะ…ไม่รื่นเริงเหมือนวันก่อน การดูมหรสพถึงซึมเซาไป”

ท่านโกลิตะจึงถามท่านอุปติสะว่า

“เพื่อนก็เหมือนกัน วันนี้ดูลีลาของเพื่อนนั้นไม่มีการรื่นเริง เราก็มีความสงสัย


ท่านอุปติสะจึงได้บอกความในใจตามที่พูดมา ท่านโกลิตะก็บอกว่า “เราก็คิดตามนั้น”
สองคนจึงปรึกษากันว่า “ถ้าเช่นนั้นเราทั้งสองก็ไม่ควรจะกลับบ้าน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปควรจะแสวงหาโมกขธรรม ธรรมเป็นเครื่องพ้นจากความตาย แต่ว่าการที่จะปฏิบัติธรรมประเภทนี้ไซร้ เราจะต้องบวชเป็นบรรพชิตอย่างใดอย่างหนึ่ง”

ทั้งสองคนตกลงกันว่าจะบวช จึงได้มาปรึกษากันว่า
“เวลานี้มีคณาจารย์อยู่มาก เราควรจะเลือกสำนักคณาจารย์สำนักไหนดี...?”
ทั้งสองคนก็ปรึกษากันว่า เวลานี้ท่านสัญชัยปริพาชกเป็นคณาจารย์ที่มีสำนักใหญ่ที่สุดในบรรดาคณาจารย์ทั้งหลายแล้วก็อยู่ใกล้เมืองราชคฤห์มหานคร (เป็นอันว่าอยู่ใกล้ ๆ บ้านนั่นเอง) เราควรจะไปบวชในที่นั้น

เมื่อทั้งสองท่านตกลงกันแบบนี้แล้วจึงได้แบ่งบริวารอีกคนละครึ่ง คือให้บริวาร ๕๐๐ คน แบ่งเป็น ๒๕๐ คน ฝ่ายละ ๒๕๐ คน ฝ่ายท่านโกลิตะก็ให้บริวาร ๒๕๐ คน กลับบ้านพร้อมด้วยม้าอาชาไนย ๕๐๐ ตัว ท่านอุปติสะก็แบ่งบริวาร ๒๕๐ คน พร้อมด้วยยานพาหนะที่เป็นทองคำ ๕๐๐ คัน กลับบ้าน ให้ไปแจ้งแก่บิดาและมารดาว่า

“เราทั้งสองไม่กลับบ้าน จะบวชเป็นบรรพชิตคิดจะหาโมกขธรรม คือธรรมเป็นเครื่องพ้นจากความตาย”
หลังจากนั้นแล้วทั้งสองท่านก็พาบริวารทั้งหมดรวม ๕๐๐ คนด้วยกันไปสำนักของท่านสัญชัยปริพาชก ไปขอเรียนโมกขธรรม คือธรรมเป็นเครื่องพ้น

ท่านสัญชัยปริพาชกดีใจมากเพราะว่าคนทั้งสองนี้เป็นลูกของมหาเศรษฐี และก็เป็นนายบ้านด้วย พาบริวารมาตั้ง ๕๐๐ คน มาบวชในสำนักของท่าน ท่านก็ดีใจพร้อมรับ

ครั้นเมื่อสองท่านเข้าไปบวชแล้วก็ปรากกว่าลาภสักการะก็เกิดแก่ท่านสัญชัยปริพาชกมาก เพราะลูกนายบ้านเข้าไปบวช คนทั้งหลายก็มีความเลื่อมใสในสำนักนี้ เป็นเหตุให้สัญชัยปริพาชกมีลาภสักการะเหลือเฟือเกินที่จะคิดมากคือเปรียบไม่ได้กับกาลก่อน


จอหน์รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง มั่นใจมากขึ้นว่าธรรมของพระศาสดาในสำนักแห่งนี้คงมีคุณอนันต์ ผู้คนในเมืองนี้จึงมีศรัทธาล้นหลามกันขนาดนี้

:b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2009, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขณะที่จอหน์กำลังอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในที่พักของอาติกนั้น
อาติกได้เดินมาบอกว่า............


"ท่านจอหน์ ท่านอาจารย์ของเราเชิญตัวท่านไปพบแล้ว"

จอหน์ยิ่งลิงโลดดีใจเป็นอันมาก.............
รีบเปลี่ยนชุดและเดินตามอาติกไปยังเรือนของอาจารย์สัญชัย................ :b41: :b41:

รูปภาพ
เรือนของอาจรย์สัญชัยอยู่ติดริมสระน้ำใหญ่ เป็นเรือนไม้สัก มีขนาดใหญ่หลายช่วงเสา
ลักษณะคล้ายกุฎิสงฆ์ ซึ่งนำมารวมกันจำนวน 6-9 ห้อง ด้านหน้าเป็นระเบียง

มุมสุดหัวท้ายของระเบียงกั้นเป็นห้องน้ำ ห้องส้วมและห้องเก็บของ
ระเบียงนี้ เรียกว่า พะไล เป็นระเบียงกว้างไว้สำหรับรับแขกแปลกหน้าและผู้ที่ต้องการสนทนาธรรมกับอาจรย์สัญชัย..... :b38: :b38: :b38:

จอหน์และอาติกนั่งรอกับพื้นที่ระเบียงนั้น หัวหน้าศิษย์เดินหายเข้าไปภายในประตูเรือน.....



หัวหน้าศิษย์ "ข้าแต่ท่านพระอาจรย์ผู้ประเสริฐ ท่านผู้ค้นสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ในแผ่นดินนี้หาผู้ใดเปรียบไม่"

"ศิษย์ขอนำบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่ง มารับฟังธรรมของท่านผู้เป็นอรหันต์ ผู้พ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้ว ขอท่านอาจารย์ได้โปรดสงเคราะห์ด้วยเถิด"........


สายลมเย็นยามค่ำพัดมาอ่อนๆ..................
พร้อมหอบเอากลิ่นดอกลั่นทมคละคลุ้งมาด้วยรู้สึกรัญจวนใจยิ่งนัก...... :b43: :b43:

ยามนี้หัวใจใครใดเท่าจะสุขยิ่งมากกว่าจอหน์.....
จอหน์หวลนึกถึงพระอนันตระ หวลนึกถึงแคท และหวลนึกถึงเพื่อนๆของเขาในโลกของอนาคตที่จะกลับไปช่วยให้ทุกคนพ้นทุกข์อันแสนสาหัส.......

ขณะที่ทุกคนอยู่ในความสงบนั้น......

มีเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินเข้ามา สายตาจอหน์ชำเลืองไปเห็นนักบวชสูงอายุท่านหนึ่ง
มีหนวดเคราดำสลับขาว หน้าผากมีรอยขหมวดย่น ริมฝีปากบาง ผิวขาวเนียน
บ่งบอกถึงความสุขสบายกายแต่แฝงด้วยความกังวลใจและดูเจ้าอุบายยิ่งนัก

เสียงหัวหน้าศิษย์กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า......


"ทุกท่านคาระวะท่านศาสดาสัญชัย ผู้เป็นอรหันต์แห่งมคธแค้วนของเรา"

ทุกคนก้มกราบแทบพื้น......
จอหน์นั่งมอง งงงงง.......
อาติกต้องสะกิด จึงก้มกราบตาม.........
:b26:

อาจารย์สัญชัย "เจ้าหรือนามว่าจอหน์"

.........`เดี๋ยวมาครับผม.......... :b31: :b31:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: เรื่องราวของจอหน์กับท่านอาจารย์สัญชัยกำลังเข้าได้เข้าเข็มเลยครับ....

ตอนนี้ผมนึกมุขยังไม่ออกครับ... :b31: :b31: :b31:

ขอตัดบทข้ามไปยังเมืองเวสาลีก่อนนะครับว่า.....
แคทของเราเป็นอย่างบ้าง...... :b11:

หรือ

เป็นนางคณิกาตามอัมพปาลีไปแล้วครับ (จะมีบทตบๆจูบๆ...อย่างที่ต้องการไหมหนอ อิอิ) :b22:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ย้อนกลับมาที่นครเวสาลี ......

ในสถานที่ๆเรียกว่าสวนอัมพปาลี แหล่งคณิกาอันมีชื่อที่สุดในแถบนี้ผู้คนมานิยมมาเที่ยวที่นี่มากมายหลายหน้าหลายตา เพราะที่เวสาลีแห่งนี้งดงามดั่งเมืองสวรรค์ พรั่งพร้อมไปด้วยหญิงงามเมืองอันเรื่องลือขจรไปไกล .........

ตั้งแต่แคทได้มาศัยอยู่กับอัมพปาลี หญิงคณิกาที่งดงามดุจนางฟ้าบนสวรรค์.........
แคทก็รับหน้าที่ช่วยงานเล็กๆน้อยๆเป็นการทดแทนคุณของนาง แม้ว่านางจะชวนให้แคทเป็นนางคณิกาด้วย เพราะนางคิดว่าแคทมีกำเนิดคล้ายนาง......


อ้างคำพูด:
ตำแหน่งนางคณิกานี้ โบราณถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติมาก เพราะเป็นตำแหน่งที่พระราชาทรงตั้งโดยคัดเอาสตรีที่มีเรือนร่างสะคราญตาที่สุด และชำนาญฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรีอย่างดีเยี่ยม

สตรีผู้มีเกียรติได้ดำรงตำแหน่งนครโสเภณีเป็นคนแรก ชื่ออัมพปาลี นัยว่าเป็นผู้มีรูปร่างผิวพรรณเฉิดฉาย น่าเสน่หายิ่งนัก ราคาตัวคราวละ ๕๐ กหาปณะ (ประมาณ ๒๐๐ บาท) เกียรติศัพท์เมืองไพศาลี มีหญิงนครโสเภณี ผู้เลอโฉมสำหรับบำเรอชาย ได้ยินไปยังแว่นแคว้นแดนไกล เป็นเหตุให้พ่อค้าคฤหบดีจากเมืองต่างๆ ขนเงินขนทองมาทิ้งให้เมืองไพศาลีเป็นจำนวนมาก


แต่แคทปฏิเสธ............

ขณะที่แคทเดินแจกผ้าอบน้ำหอมให้กับผู้มาเยือนเป็นชายกลุ่มหนึ่งเพื่อนำไปเช็ดหน้าเช็ดตา
ก็ได้ยินเสียงกำลังคุยกันถึงเรื่องเหตุการณ์ที่แต่ละคนไปประสบมาในแต่ละที่

ได้ความว่าชายกลุ่มนี้เป็นนักศึกษาจากตักศิลา คนหนึ่งคงเป็นผู้เรียนวิชาแพทย์มา กำลังสาธยายถึงประสบการณ์ที่ตนเล่าเรียนมา

รูปภาพ

อ้างคำพูด:
[color=#4040FF]ตักกศิลา (Takshasila or Taxila)

เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งมายาวนานที่สุดกว่าทุกมหาวิทยาลัยที่กล่าวมา ตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล มหาวิทยาลัยตักกศิลาไม่ใช่มหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาโดยเฉพาะ เพราะตั้งมาก่อนพุทธกาล แนวการสอนจึงเป็นพระเวทของพราหมณ์เป็นหลัก แต่วิชาที่สอนมีหลายสาขา คือ การปกครอง อักษรศาสตร์ ยุทธศาสตร์แพทยศาสตร์ นาฎศิลป์ ดาราศาสตร์ เป็นต้น

มีนักศึกษาที่มีชื่อเสียงในสมัยพุทธกาลคือ ๑. พระเจ้าปเสนทิโกศล ๒.หมอชีวกโกมารภัจจ์ ๓.พันธุลเสนาบดี ๔. มหาโจรองคุลิมาล

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขณะนั้นมีนางคณิกาคนหนึ่งชื่อ สุภาวดี ทำหน้าที่เต้นระบำต้อนรับแขกผู้มาเยือนเกิดปวดท้องขึ้นมากระทันหันจนต้องเป็นลมล้มลงไปนั่งกับพื้นเวทีที่ร่ายรำอยู่นั้น

แคทรีบวิ่งเข้าไปประคองนางให้ลุกขึ้นนอนบนเตียงไม้ไผ่ริมชายคาเรือนคณิกาแห่งหนึ่ง
มีชายหนึ่งคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาช่วยและอาสาจะช่วยดูแลนาง.....


นศพ. "ผมชื่อ ปัญจาริก เป็นนักษาแพทย์จากตักศิลานะ ขอดูอาการของนางหน่อย"

แคทและเหล่านางคณิกาอีก2-3 คนจึงหลีกทางให้.......

นศพ. "แม่นาง เจ้าป่วยด้วยเหตุไรเล่าวานบอก ข้าช่วยได้จะช่วยเจ้านะ"

สุภาวดี "โอ้ท่านหมอ...... ข้าปวดเหลือเกินบริเวณท้องด้านขวามาเกือบวันแล้ว"

นางนั่งกุมท้องด้วยความเหนียมอาย เพราะหมอหนุ่มชื่อปัญจาริกท่านี้มีใบหน้าตาหล่อคมขำยิ่งนัก

นศพ. "อย่ามัวอายอยู่กระนั้นเลยนางเจ้า ขอข้าได้ตรวจดูท้องแม่นางหน่อยเป็นไร"

แคท "จับมือสุภาวดีแน่นพื่อให้กำลังใจ ทำใจดีๆไว้นะสุภาวดี เดี๋ยวให้หมอเขาดูหน่อย ไม่เป็นไรละเดี๋ยวจะได้หายเสียที"

นศพ. คลำหน้าท้องของนางและกดดู นางเกร็งหน้าท้องแข็ง สีหน้าบ่งบอกถีงความเจ็บปวดมาก และถามว่า "แม่นาง เจ้าต้องเต้นระบำรับแขกมานานหรือยัง"

สุภาวดี "ข้าเต้นมาตั้งแต่พอจำความได้ นี่ก็อายุ 24ปีแล้ว อาการปวดท้องก็เป็นมาหลายปีแล้วแต่ครั้งนี้มากที่สุด"

นศพ. "ลักษณะอาการเจ็บปวดของเจ้านี้ เคยมีท่านอาจารย์ชีวกโกมารภัจ ท่านได้สอนไว้ว่าอาจเกิดจากปัญหาลำไส้บิดได้ เพราะเจ้ามีหน้าที่ต้องเต้นรำบ่อย หลายปี อาจจะต้องตัดลำไส้ที่บิดกันออก ในยุคสมัยนี้มีแต่ท่านอาจารย์ของข้าเท่านั้นที่จะรักษาท่านได้"

อ้างคำพูด:
ครั้งหนึ่งลูกชายเศรษฐีเมืองพาราณสี ป่วยเป็นโรคลำไส้พิการ มีอาการอาหารไม่ย่อย อุจจาระปัสสาวะ ไม่สะดวก ทำให้ร่างกายซูบผอม หมอชีวกได้รักษาด้วยการผ่าท้องตรงจุดลำไส้ และตัดไส้ที่พิการนั้นออก ใส่ยาแล้วเย็บบาดแผล ให้ยาสมานแผลจนหายเป็นปกติ


สุภาวดี "ข้าเห็นทีจะต้องตายแน่ ไม่มีใครพาข้าไปหรอก ข้าเป็นนางคณิกา ไม่มีญาติมิตร อยู่เพียงตัวคนเดียวกับท่านอัมพปาลี ไม่มีใครพาข้าไปพบท่านหมอชีวกได้หรอก"

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 43 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร