วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 09:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 22:58
โพสต์: 30

ที่อยู่: BKK

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 16 มค.นี้ เพื่อนผมเสีย เพราะขับรถแล้วโดนเบียด ไปพลิกคว่ำฟาดตอหม้อทางด่วน

แล้วหลังจากเหตุการณ์นี้ ผมก็เริ่มกลัวๆ อยู่บ้าง แต่ก็ทำให้ผมใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท

แต่ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยครับ แต่ละวันคิดแต่เรื่องตายๆๆ เดี๋ยวคิดว่าตัวเองตายมั่ง คนรอบข้างตายมั่ง คิดแต่เรื่องที่ไม่ดีๆ

จนเมื่อคืน ผมอ่านหนังสือถึง ตี1 ก็ได้ยินเสียงวิ๊ดดดๆ ร้อง โหยหวนมาก แต่ได้ยินแผ่วๆไม่ดังเท่าไร
แล้วผมก็อ่านไปอีกสักพักก็เข้านอน พอเข้านอนนี่ฝันเลยครับ ฝันว่ามีขโมยเข้าทางหลังบ้าน(ตึกแถวครับ)
มากัน 2 คน กำลังปีนเข้ามา แล้วผมก็ถือขวานไปด้ามหนึ่ง แอบอยู่พอมันโผล่หัวเข้ามาผมก็ฟันคอมัน
กะให้ขาดแต่ทีนี้ไม่ขาด มันจับมือผมพยายามเอาขวานมาฟันผมคืน แล้วผมก็สะดุ้งตื่น

พอตื่นมา บอกตัวเอง เฮ้ยย ทำไมเราฝันแบบนี้เนี่ย ไม่ดีเลย แล้วก็หลับไปครับ ทีนี้รู้สึก
ว่าเหมือนไปนอนทับใครสักคน หรือหลายๆคนนี่ล่ะ แล้วผมโดนล๊อกคอ ล๊อกแขน ขา ดิ้นไม่หลุด
ระหว่างนั้นมีเสียงหวีดร้องที่หู 2 ข้างเลยครับ เสียงหลอนมากๆเลย ผมก็คิดถึงบทสวดมนต์ ก็สวดๆไป
มันก็ไม่หลุด จนผมคิดว่า สวดต่อไปมันก็ไม่ปล่อย เอางี้ ตั้งสติ พุท โธๆ... สักพัก หลุดครับ
แล้วผมก็ตื่นมามอง หัวเตียงก็มีพระ สร้อยคอผมก็แขวนพระ แล้วทำไมมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ครับ

เสริมอีกนิดนึง คือว่า พักนี้ ผมไปไหนตอนมืดๆ เวลาผมเดินผ่านข้างทาง ไฟข้างถนน มักจะดับตอนที่ผมเดินไปใกล้ๆมันครับ 2-3ครั้งแล้ว มันบังเอิญ หรือมีอะไรกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับผมหรือเปล่า

ผมเกิดปี 34 ครับ เค้าว่ากันว่า ปีนี้ 34 ชงแรง แรงมาก เพื่อนผมที่เสียก็ 34 เดือนเดียวกัน

ผมกลัวครับ

ช่วยผมด้วย ขอบพระคุญอย่างสูงครับ

.....................................................
<~ จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ ~>

< "..There is nothing either good or bad but thinking makes it so.." >


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีสองทางเลือกครับ

1. แผ่เมตตา
ส่งความปราถนาดีออกไปให้เขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ถ้าไม่รู้จะคิดอะไรก็ควรจะหัดท่องบทแผ่เมตตาเอาไว้ให้คุ้นเคย เวลาท่องจะได้ไม่ขัดเขิน

แล้วเวลาท่อง ก้ต้องเข้าใจทราบซึ้งไปตามความหมายที่พูดด้วย
พูดง่ายๆว่า ท่องด้วยความจริงใจ เข้าใจจริงๆไปตามนั้น รู้สึกเมตตาอย่างบริสุทธิ์ใจ
แล้วบอกเขาว่า ขออุทิศส่วนกุศลให้


หรือถ้าเราเคยทำความดีอะไร มีเรื่องดีๆอะไร ใหญ่ๆ ชัดๆ
ก็เล่าให้เขาฟังไปเลยว่าเคยช่วยคนนั้นอย่างนั้นอย่างนี้ แชร์ประสบการณ์ที่เราทำดีให้เขาฟัง
เขาก้จะรู้สึกดีขึ้นได้

ถ้าเขายังไม่หายไป ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ
แล้วถ้ายังไม่หายอีก คราวนี้เข้าโหมดเชิดใส่
กล่าวคือวางอุเบกขา ไม่สนใจแล้ว

แล้วเราก็หางานให้ใจเราทำ จะได้ไม่ไปสนใจพวกเขาด้วยการสวดมนต์
พยามสวดด้วยความตั้งใจ จดจ่อ มีสมาธิหน่อย สวดด้วยความปราณีต
แล้วใจเรามันจะสาละวนกับบทสวดเองครับ เมื่อใจเราสงบแล้วจะดีเอง
อะไรที่ไม่อยากเห็น ถึงเวลาสมควรแก่ มันก้จะหายไปครับ
ไม่ต้องไปสงสัยว่าจริงไม่จริง ฝันหรือตื่น
เพราะไม่ว่าเก๊หรือเทียม ผลลัพธ์คือเราก็หลอนอยู่ดี เดือดเนื้อร้อนใจอยู่ดี



2. ฝึกเจริญสติครับ จะช่วยให้เรามีธรรมโอสถ รัาษาใจเอาไว้
ต้องไปหาความรู้เรื่องการเจริญสติ http://www.wimutti.net
ฟังหลวงพ่อปราโมทย์เทศน์สองสองแผ่นก็จะเข้าใจ

วิธีนี้ผมใช้กับตัวเองครับ ประสบการณืตรง ได้ผลครอบจักรวาลมากครับ
นอกจากจะไม่ค่อยฝันแล้ว ต่อให้เจอเรื่องจริงๆก็ไม่ตกใจอะไรมากครับ
เช่น แถวบ้านผมเขาก่อสร้างกัน เสียงอึกทึกไม่เว้นวาย เหล็กบ้าง ปูนบ้าง เครื่องจักรบ้าง

เวลาก่อนหลับ รู้ตัวดี ผมก็ไม่เดือดร้อน หลับได้สบายมาก
เวลาหลับอยู่ ไม่รู้ตัวนะ แล้วมีเสียงก่อสร้างดังมากๆเปรี้ยงขึ้นมาปลุกเรา
ความโกรธหงุดหงิดมันแค่แว๊บขึ้นมานิดเดียวพร้อมๆกับเสียง เหมือนเสียดหน้าอกจิ๊ดนึง
แล้วจบไปไล่ๆกันกับเสียง แล้วผมหลับต่อได้สบายมาก ไม่มีหงุดหงิดโกรธเคือง
มันจะโป๊งเป๊งยังไงผมก็หลับได้

นี่คืออานุภาพเล็กน้อยของการเจริญสติ ขนาดเวลาหลับยังทำงานได้
ช่วยรักษาใจเราให้เป้นปกติสุขได้

เรื่องผีก็ใช้ได้ครับ พักหลังๆผมไมค่อยมีอารมณ์อะไรเลย
ขนาดเปิดรูปซานติก้านอนกอดกันผมก็แปลกใจตัวเองว่าทำไมเราเฉยได้ ดูรูปศพแล้วไม่หวั่นไหวอะไร
ก็เลยหาเรื่องให้มีอารมณ์เช่น สนใจเรื่องผี อ่านเรื่องผี กะจะให้กลัวเล่นๆ
ก็มีกลัวบ้าง แต่แป๊บเดียวก็หายไป
จนต้องสร้างจินตนาการเอง กะจะให้กลัว แต่มันก็แต่นิดหน่อย

บางทีคิดว่าจะเชิญของจริงมาเลย แบบขอให้มาช่วยหลอกหน่อย
แต่ hard core เกินไป ยังไม่กล้าพอ กลัวสติแตกเหมือนกัน

.............
โดยสรุปคือ วิธีเจริญสติ
ถ้าหมั่นเจริญสติจนเป็นนิสัย แม้หลับอยู่ มันก้ช่วยเราได้จริงๆ ยืนยัน นอนยัน โยคะยันได้เลย
ผีจะมาจริงๆ หรือแค่สมองมันฝันจินตนาการก้ตาม
เราก้รักษาใจเราให้เป็นปกติสุข หลับสบาย หลับต่อได้ทุกสถานการณ์ ด้วยพลังสติ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 23:00
โพสต์: 48

ที่อยู่: บางแค

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยกับคุณคามินธรรมครับ

ผีกลัวพระไหม ส่วนตัวผม ถ้าผีจะไม่ทำอะไรพระ ก็ต้องเป็นพระดี พระมีศีล พระที่ไ่ด้อบรบจิต ภาวนา ถึงไม่กลัวพระ ก็ต้องเกรงใจกันมั่ง^^' ส่วนพระเครื่อง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ถ้าจิตใจเตลิด ก็ระเบิดเถิดเทิงละครับ

สวดมนต์...ถ้าสักแต่สวด ก็มีผลน้อยกว่าตั้งใจสวดมาก... จะมีก็แค่เพราะเราระลึกคุณพระรัตนตรัยระดับนึงถึงได้สวดมนต์ ไม่นึกถึงไม่สวดหรอก ว่างั้น

ผลที่ออกมาของคุณเมื่อ ตั้งสติ และพุทโธ แล้วผลออกมาก็ดี ก็สมควรทำ

ส่วนเรื่องไฟดับ อาจจะบังเอิญว่าหลอดไฟเสีย+คุณอยู่ในช่วง วิตกกังวล เลยทำให้จินตนาการ ไปต่างๆนานาก็เป็นไปได้ ถ้าให้ดีตั้งสติตลอดเวลา ถ้าเริ่มกลัวก็สวดมนต์ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ก็เป็นวิธีที่ดีีระดับนึง

เรื่องปีชง อือ... กลัวไปใย ผมก็ยอมรับนะครับว่าเรื่องพวกนี้มันมีอยู่จริง พวกดูดวง ดูดาว ดูฤกษ์ ผมก็เคยโดนตอนเมื่อ4-5ปีก่อน ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจทางศาสนานักหนาก็เหมือนคนทั่วๆไป ที่จะสวดมนต์แค่เวลามีพิธี ตอนนั้นมีคนทักให้ไปไหว้นู่นไหว้นี้ แต่ไม่สนใจ ปีนั้นก็เจออุบัติเหตุ 3 รอบเห็นได้ แต่ไม่นักหนาเท่าไหร่นะครับ
แต่อย่างว่าแหละ...เราทำอะไรไม่ได้ คนที่บอกให้แก้กรรมนู่น แก้กรรมนี้ส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยสนใจเสียเท่าไหร่ ถ้าเราแก้กรรมอะไรนั้นแล้ว ก็ยังทำตัวไม่ดีอีก พอเริ่มมีคนทักนู่นทักนี้(ทั้งๆที่ไม่รู้จริงหรือเปล่า คนพวกนั้นก็เปิดตำราทักเราเหมือนกัน)ก็แก้ไปเรื่อยๆ - -'' ถ้าเราทำดีไปเรื่อยๆ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มั่นใจว่าเราทำดีเสียอย่าง อย่างน้อยผลมันก็ออกมาดีกว่าคุณไม่ตั้งใจทำความดีเลย

ตอนนี้แนะนำว่า...ควรทำอะไรก็ตามที่ให้จิตใจเบิกบาน...โดยที่ไม่เบียดเบียนใคร ทำใจให้ลืมๆมันไปก่อน เช่นดูหนัง ออกกำลังกาย อ่านหนังสืออ่านเล่น

ทำเป็นเล่นไป ถ้าวิตกจริตมาก เดี๋ยวหลังคาแดงไม่รู้น๊า^^' เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด อาจะเพราะคิดไปเองก็ได้

ส่วนถ้าคิดจะมาศึกษาธรรมก็อนุโมทนาบุญครับ
ปฏิบัติได้สักระยะนึง ในที่นี้ของผมแค่อ่านหนังสือธรรมมะ + สวดมนต์+ แผ่เมตตา + รักษาศีลนะครับ ถ้าได้นั่งสมาธิ เดินจงกรมก็ดีมาก^^v แล้วเรื่องพวกนี้สำหรับคุณจะรู้ว่าไม่น่ากลัวอย่างที่คิดถึงเรื่องที่คุณว่าจะเป็นผีๆสางๆก็เถอะ

.....................................................
คำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างมาทั้งหมดนี้ ส่วนมากเป็นของครูบาอาจารย์ ผู้เขียนหนังสือต่างๆ พ่อแม่ ญาติ ผู้มีคุณและเพื่อนๆของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขอความกรุณาชี้แนะด้วย และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้แจกจ่ายธรรมทานนั้นขอให้ผลบุญนั้นส่งถึง บุคคลที่ได้กล่าวมา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ข้าพเจ้าขอถวายเป็นพุทธบูชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่กลัวหรอกครับ....ท่านเองยังไม่กลัวเลย แล้วผีจะกลัวทำไม :b10:
จากเรื่องที่เล่ามา....สิ่งนึงที่ท่านต้องทำและก็ต้องทำให้ได้ก็คือ
ท่านเองต้องไม่กลัวผีครับ

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

:b4: :b4:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 23:00
โพสต์: 48

ที่อยู่: บางแค

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบ การ์ตูน ของท่าน ฌาณ จริงๆ มีเยอะจริงท่าน

.....................................................
คำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างมาทั้งหมดนี้ ส่วนมากเป็นของครูบาอาจารย์ ผู้เขียนหนังสือต่างๆ พ่อแม่ ญาติ ผู้มีคุณและเพื่อนๆของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขอความกรุณาชี้แนะด้วย และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้แจกจ่ายธรรมทานนั้นขอให้ผลบุญนั้นส่งถึง บุคคลที่ได้กล่าวมา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ข้าพเจ้าขอถวายเป็นพุทธบูชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 23:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


หมั่นสวดมนต์ ไหว้พระ กราบพระให้จิตใจสงบ
แผ่เมตตา แล้วผีก็จะถอยไปเอง :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2009, 01:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 22:58
โพสต์: 30

ที่อยู่: BKK

 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
.............
โดยสรุปคือ วิธีเจริญสติ
ถ้าหมั่นเจริญสติจนเป็นนิสัย แม้หลับอยู่ มันก้ช่วยเราได้จริงๆ ยืนยัน นอนยัน โยคะยันได้เลย
ผีจะมาจริงๆ หรือแค่สมองมันฝันจินตนาการก้ตาม
เราก้รักษาใจเราให้เป็นปกติสุข หลับสบาย หลับต่อได้ทุกสถานการณ์ ด้วยพลังสติ


เวลาอยู่ในที่มืดๆ มันชอบจินตนาการไม่เืรื่อยเลยครับ มุมโ้น้น ซอกนี้ ใต้โต๊ะ ตู้ เตียง เพดาน

โอยยย..

ขอบคุณมากครับ ผมจะลองเจริญสติดูนะครับ

.....................................................
<~ จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ ~>

< "..There is nothing either good or bad but thinking makes it so.." >


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2009, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 22:58
โพสต์: 30

ที่อยู่: BKK

 ข้อมูลส่วนตัว


deboykung เขียน:
เห็นด้วยกับคุณคามินธรรมครับ

ผีกลัวพระไหม ส่วนตัวผม ถ้าผีจะไม่ทำอะไรพระ ก็ต้องเป็นพระดี พระมีศีล พระที่ไ่ด้อบรบจิต ภาวนา ถึงไม่กลัวพระ ก็ต้องเกรงใจกันมั่ง^^' ส่วนพระเครื่อง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ถ้าจิตใจเตลิด ก็ระเบิดเถิดเทิงละครับ
สรุปคือไม่ได้ช่วยกันเลยว่างั้นเถอะ :b14:

สวดมนต์...ถ้าสักแต่สวด ก็มีผลน้อยกว่าตั้งใจสวดมาก... จะมีก็แค่เพราะเราระลึกคุณพระรัตนตรัยระดับนึงถึงได้สวดมนต์ ไม่นึกถึงไม่สวดหรอก ว่างั้น

ผลที่ออกมาของคุณเมื่อ ตั้งสติ และพุทโธ แล้วผลออกมาก็ดี ก็สมควรทำ

ส่วนเรื่องไฟดับ อาจจะบังเอิญว่าหลอดไฟเสีย+คุณอยู่ในช่วง วิตกกังวล เลยทำให้จินตนาการ ไปต่างๆนานาก็เป็นไปได้ ถ้าให้ดีตั้งสติตลอดเวลา ถ้าเริ่มกลัวก็สวดมนต์ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ก็เป็นวิธีที่ดีีระดับนึง
ทำไมมันบังเอิญบ่อยจัง ผมแอบหวั่นๆนะเนี่ย

เรื่องปีชง อือ... กลัวไปใย ผมก็ยอมรับนะครับว่าเรื่องพวกนี้มันมีอยู่จริง พวกดูดวง ดูดาว ดูฤกษ์ ผมก็เคยโดนตอนเมื่อ4-5ปีก่อน ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจทางศาสนานักหนาก็เหมือนคนทั่วๆไป ที่จะสวดมนต์แค่เวลามีพิธี ตอนนั้นมีคนทักให้ไปไหว้นู่นไหว้นี้ แต่ไม่สนใจ ปีนั้นก็เจออุบัติเหตุ 3 รอบเห็นได้ แต่ไม่นักหนาเท่าไหร่นะครับ
แต่อย่างว่าแหละ...เราทำอะไรไม่ได้ คนที่บอกให้แก้กรรมนู่น แก้กรรมนี้ส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยสนใจเสียเท่าไหร่ ถ้าเราแก้กรรมอะไรนั้นแล้ว ก็ยังทำตัวไม่ดีอีก พอเริ่มมีคนทักนู่นทักนี้(ทั้งๆที่ไม่รู้จริงหรือเปล่า คนพวกนั้นก็เปิดตำราทักเราเหมือนกัน)ก็แก้ไปเรื่อยๆ - -'' ถ้าเราทำดีไปเรื่อยๆ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มั่นใจว่าเราทำดีเสียอย่าง อย่างน้อยผลมันก็ออกมาดีกว่าคุณไม่ตั้งใจทำความดีเลย

ตอนนี้แนะนำว่า...ควรทำอะไรก็ตามที่ให้จิตใจเบิกบาน...โดยที่ไม่เบียดเบียนใคร ทำใจให้ลืมๆมันไปก่อน เช่นดูหนัง ออกกำลังกาย อ่านหนังสืออ่านเล่น

ทำเป็นเล่นไป ถ้าวิตกจริตมาก เดี๋ยวหลังคาแดงไม่รู้น๊า^^' เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด อาจะเพราะคิดไปเองก็ได้
นั่นแหละครับท่าน ถ้ายังไง บอกคุณแม่ผมไปหาแถวๆนั้นนะครับ :b2:

ส่วนถ้าคิดจะมาศึกษาธรรมก็อนุโมทนาบุญครับ
ปฏิบัติได้สักระยะนึง ในที่นี้ของผมแค่อ่านหนังสือธรรมมะ + สวดมนต์+ แผ่เมตตา + รักษาศีลนะครับ ถ้าได้นั่งสมาธิ เดินจงกรมก็ดีมาก^^v แล้วเรื่องพวกนี้สำหรับคุณจะรู้ว่าไม่น่ากลัวอย่างที่คิดถึงเรื่องที่คุณว่าจะเป็นผีๆสางๆก็เถอะ

.....................................................
<~ จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ ~>

< "..There is nothing either good or bad but thinking makes it so.." >


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2009, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 22:58
โพสต์: 30

ที่อยู่: BKK

 ข้อมูลส่วนตัว


ฌาณ เขียน:
รูปภาพ

:b4: :b4:


โอ้ ชอบครับ แน่นอนมากเลยการ์ตูนชุดนี้

ขอบคุณครับ

:b12:

.....................................................
<~ จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ ~>

< "..There is nothing either good or bad but thinking makes it so.." >


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2009, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 22:58
โพสต์: 30

ที่อยู่: BKK

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านครับผม

เิริ่มนิ่งมานิดนึงแล้วครับ อะไรจะเิกิดมันก็ต้องเิกิด :b6:

.....................................................
<~ จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ ~>

< "..There is nothing either good or bad but thinking makes it so.." >


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2009, 03:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


StellaR เขียน:
เวลาอยู่ในที่มืดๆ มันชอบจินตนาการไม่เืรื่อยเลยครับ มุมโ้น้น ซอกนี้ ใต้โต๊ะ ตู้ เตียง เพดาน

โอยยย..

ขอบคุณมากครับ ผมจะลองเจริญสติดูนะครับ


เบื้องต้นง่ายมากเลยครับ
สังเกตุดู ว่าเรากำลังกลัว แค่นั้นเองครับ
อาจจะหลับตาเอาไว้ จะง่ายขึ้น

ความกลัวเห็นง่าย ยิ่งกลัวมากยิ่งเห็นง่าย
เมื่อเห้นแล้วก้สังเกตุมันไปเรื่อยๆไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้
สังเกตุที่ความรู้สึกกลัว สังเกตุที่กายว่ามันกำลังสั่น กำลังฮึ่มๆที่หน้าอก ขนหัวลุก สันหลังวาบ
ก็สังเกตุไปให้ทั่วๆ ว่าอ๋อ นี่ความกลัวที่ใจมันเป้นอย่างนี้
มันทำอะไรกับร่างกายอย่างนี้อย่างนี้
แล้วเดี๋ยวความกลัวมันจะหายไปเองครับ

ถ้าทำตามนี้ รับรองว่าพวกความคิดที่กำลังจินตนาการไปต่างๆนาๆ มันจะไม่ได้แอ้มหรอกครับ
ความคิดมันจะขาดๆไป คิดยังไงก็คิดไม่ยาว ไม่เป้นเรื่องเป้นราว
และเพราะความคิดปรุงแต่งมันเป็นต้นเหตุ ผลลัพธ์คือความกลัว
เมื่อความคิดปรุงแต่งมันติดๆดับๆ ความกลัวก้จะติดๆดับๆ
และเมื่อความปรุงแต่งหมดไป ความกลัวก้หมดไปครับ
......................

แรกๆเจริญสติ กว่าความกลัวจะหายไปอาจจะใช้เวลานิดนึง
ถ้าฝึกไปนานๆ เนืองๆ มันจะไม่ใช้เวลานาน บางทีแว็บเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2009, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2004, 08:57
โพสต์: 154


 ข้อมูลส่วนตัว


StellaR เขียน:


พอตื่นมา บอกตัวเอง เฮ้ยย ทำไมเราฝันแบบนี้เนี่ย ไม่ดีเลย แล้วก็หลับไปครับ ทีนี้รู้สึก
ว่าเหมือนไปนอนทับใครสักคน หรือหลายๆคนนี่ล่ะ แล้วผมโดนล๊อกคอ ล๊อกแขน ขา ดิ้นไม่หลุด
ระหว่างนั้นมีเสียงหวีดร้องที่หู 2 ข้างเลยครับ เสียงหลอนมากๆเลย ผมก็คิดถึงบทสวดมนต์ ก็สวดๆไป
มันก็ไม่หลุด จนผมคิดว่า สวดต่อไปมันก็ไม่ปล่อย เอางี้ ตั้งสติ พุท โธๆ... สักพัก หลุดครับ
แล้วผมก็ตื่นมามอง หัวเตียงก็มีพระ สร้อยคอผมก็แขวนพระ แล้วทำไมมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ครับ



**********************
เป็นอาการของระบบประสาทครับ ไม่ใช่เพราะผีที่ไหน
เมื่อคุณได้ สติ ระบบประสาทเริ่มตื่นตัวเข้าที่เดิม มันก็หายเป็นปกติ
อย่าเข้าใจผิดสิครับ

เรื่อง ปีชง อย่าเครียดกับมันมากครับ
ผมเกิด ปีชวด ซึ่งจะ ชงกับปีม้า แต่เชื่อไหมว่า ทุกปีม้า ผมจะมีรายได้เพิ่มขึ้น มีงานมาให้ ทำให้มีรายได้เพิ่ม เป็นแบบนี้เสมอ ผมเลยชอบปีม้าซึ่งเป็นปีชงนั่นแหละ

♥ ♥ ♥ ♥ ♥

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ


แปลว่า ขอถึงซึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

สมด้วยพระดำรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า

ก็บุคลใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์

ว่าเป็นสรณะ (ที่ระลึก ที่พึ่ง) บุคคลนั้นย่อมเห็น

อริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ คือ ย่อมเห็นทุกข์

เหตุเกิดของทุกข์ ความดับทุกข์ และอริยมรรคมีองค์ ๘

ซึ่งเป็นทางให้เข้าถึงความดับทุกข์

สรณะ(ที่ระลึก ที่พึ่ง) อย่างนั้นแลจึงจะเป็นสรณะอันเกษม

เป็นสรณะอันสูงสุด เพราะอาศัยสรณะนั่น บุคคล

จึงหลุดพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้.

*********************************


"สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน

ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดมายึดถือเป็นสรณะที่พึ่งของตนแล้ว

ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้ง ๓ ก็ปรากฏแก่เขาอยู่ทุกเมื่อ

จึงว่าเป็นที่พึ่งแก่บุคคลจริง เมื่อปฏิบัติตามสรณะทั้ง ๓ จริงๆ

แล้วจะคลาดแคล้วจากภัยทั้งหลาย อันก่อให้เกิดความร้อนอกร้อนใจได้อย่างแน่นอน"

จงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

โดย หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ จ.เลย

ผู้มีสรณะเป็นที่พึ่งที่ระลึก ความข้อนี้

มีหลักพระบาลีรับรองในมหาสมัยสูตรดังจะยกมาอ้างอิง

ในสมัยหนึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในราวป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ์

พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ซึ่งล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดประมาณ ๕๐๐ รูป ครั้งนั้นแล

เทวดาทั้งหลายพร้อมกันมาจาก ๑๐ โลกธาตุ มาประชุมกันแล้วยืนอยู่ในที่อันควรข้างหนึ่ง

ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าและทัศนาพระอรหันต์ทั้งหลาย

ซึ่งท่านเป็นผู้พ้นจากกิเลสสง่างามด้วยศีล หมดจดไม่มีมลทินแล้ว

ได้กล่าวภาษิตคาถานี้ว่า


เย เกจิ พุทธํ สรณํ คตา เส

น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ

ปหาย มานุสํ เทหํ

เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺตีติ.


แปลความว่า ถ้าชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่นับถือภายในใจจริงแล้ว

ชนเหล่านั้นจักไม่ไปเกิดในอบายภูมิ ๔ คือนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน

เมื่อตายจากอัตภาพแห่งมนุษย์แล้ว จักไปเกิดในหมู่เทพยดาทั้งหลาย

สรณะทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญอันตรธานไปไหน

ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอ ผู้ใดมายึดถือเป็นสรณะที่พึ่งของตนแล้ว

ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้ง ๓ ก็ปรากฏแก่เขาอยู่ทุกเมื่อ

จึงว่าเป็นที่พึ่งแก่บุคคลจริง เมื่อปฏิบัติตามสรณะทั้ง ๓ จริงๆ

แล้วจะคลาดแคล้วจากภัยทั้งหลาย อันก่อให้เกิดความร้อนอกร้อนใจได้อย่างแน่นอน


**************************

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ท่องไว้ตอนที่ใจคอไม่ดีเถิดครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2009, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อทำบุญแล้วควรอุทิศบุญให้ท่านเหล่านี้ จากพระไตรปิฎก ฉบับมกุฎราชวิทยาลัย ชุด 91 เล่ม
เล่มที่ 49 หน้า 30

บุคคลผู้ไม่ตระหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือปรารภถึงบุรพเปตชน (นึกถึงบรรพบุรุษผุ้ตายไป)
หรือเทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน หรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ
คือ ท้าวธตรฐ ๑ ท้าววิรุฬหก ๑ ท้าววิรูปักษ์ ๑ ท้าวกุเวร ๑
ให้เป็นอารมณ์แล้วพึงให้ทาน

ท่านเหล่านั้นเป็นอันบุคคลได้บูชาแล้ว และทายก (ผู้ให้ทาน) ก็ไม่ไร้ผล

ความร้องไห้ ความเศร้าโศก หรือความร่ำไห้อย่างอื่น ไม่ควรทำเลยเพราะความร้องไห้เป็นต้นนั้น
ย่อมไม่เป็น ประโยชน์แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ญาติทั้งหลาย (ที่ตายไป) คงตั้งอยู่ตามธรรมดาของตน ๆ
อันทักษิณาทาน (สิ่งของทำบุญ) นี้ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์
ให้แล้ว (อุทิศให้ญาติที่ตายไป) ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุรพเปตชนโดยทันที สิ้นกาลนาน.



และ เล่ม 61 หน้า 555

บทว่า คนฺธพฺพา ความว่า ได้ยินว่า เทวดาผู้มีกำเนิด ๔ เกิดภายใต้ท้าวจาตุมมหาราช ชื่อว่า คนธรรพ์.
บทว่า ปิตโร ได้แก่ ท้าวมหาพรหม.
บทว่า เทวา ได้แก่ เทวดาชั้น ฉกามาพจร (เทวดาทั้ง 6 ชั้น)
ด้วยสามารถแห่งอุปัตติเทพ (เทพที่ผุดเกิดขึ้น)
บทว่า ตาทิโน ความว่า ท่านเหล่านั้นต่างมีชีพ มีชีวิตสม่ำเสมอหล่อเลี้ยงชีวิตไว้
เพื่อพระราชาผู้ทรงยินดีในกุศลอย่างนั้น เพราะพระราชาเช่นนั้น เมื่อทรงกระทำบุญทาน เป็นต้น
ย่อมทรงอุทิศส่วนบุญแก่เทวดาทั้งหลาย เทวดาเหล่านั้น
รับอนุโมทนาส่วนบุญนั้นแล้ว ย่อมเจริญด้วยทิพยยศ.
บทว่า อนุติฏฺฐนฺติ ความว่า เมื่อพระราชาเช่นนั้นทรงทำความเพียรถึงความไม่ประมาทอยู่
เทวดาทังหลายย่อมพากันพิทักษ์รักษา ตามไปจัดแจงอารักขา อันชอบธรรม.


อุทิศบุญบ่อยๆ เพื่ออนุเคราะห์แก่เปรตทั้งหลาย เล่ม 49 หน้า 348.....เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้มีปัญญา พึงให้ทักษิณา (ผลบุญ) บ่อย ๆ
เพื่ออนุเคราะห์แก่เปรตทั้งหลาย

เปรตเหล่าอื่น บางพวกนุ่งผ้าขี้ริ้วขาด รุ่งริ่ง บางพวกนุ่งผม หลีกไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่เพื่อหาอาหาร
บางพวกวิ่งไปแม้ในที่ไกลก็ไม่ได้อาหารแล้ว กลับมา บางพวกสลบแล้วเพราะความหิวกระหาย
นอนกลิ้งไปบนพื้นดิน บางพวกล้มลงที่แผ่นดินในที่ตนวิ่งไปนั้น ร้องไห้ร่ำไรว่า
เมื่อก่อนเราทั้งหลายไม่ได้ทำกุศล (ความดี) ไว้ จึงได้ถูกไฟคือความหิวและความกระหายเผาอยู่
ดุจถูกไฟเผาแล้ว ในที่ร้อน เมื่อก่อน พวกเรามีธรรมอันลามก เป็นหญิงแม่เรือนมารดาทารกในตระกูล
เมื่อไทยธรรม (ของทำบุญ)ทั้งหลายมีอยู่ไม่กระทำที่พึ่งแก่ตน
เออ…ก็ข้าวและน้ำมีมากแต่เราไม่กระทำการแจกจ่าย ให้ทาน
และไม่ได้ให้อะไรในบรรพชิตทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติชอบ
อยากทำแต่กรรมที่คนดีไม่พึงทำ เป็นคนเกียจคร้านใคร่แต่ความสำราญและกินมาก
ให้แต่เพียงโภชนะก้อนหนึ่ง ด่าปฏิคาหก (ผู้รับทาน) ผู้รับอาหาร เรือน
พวกทาสีทาสา (คนรับใช้ชาย – หญิง) และผ้าอาภรณ์ของเราเหล่านั้น
ไม่สำเร็จประโยชน์แก่พวกเรา พวกเขาไปบำเรอคนอื่นหมด เรามีแต่ส่วนแห่งทุกข์
เราจุติ (ตาย) จากเปรตนี้แล้ว จักไปเกิดในตระกูลอันต่ำช้าเลวทราม คือ ตระกูลจักสาน ตระกูลช่างรถ
ตระกูลนายพราน ตระกูลคนจัณฑาล ตระกูลคนกำพร้า ตระกูลช่างกัลบก
นี้เป็นคติ (ที่ไปเกิดของสัตว์) แห่งความตระหนี่

ส่วนทายกทั้งหลายผู้มีกุศลอันทำไว้แล้ว ในชาติก่อน ปราศจากความตระหนี่ ย่อมยังสวรรค์ให้บริบูรณ์
และย่อมยังนันทวันให้สว่างไสวรื่นรมย์แล้วในเวชยันตปราสาทสำเร็จความปรารถนา
ครั้นจุติ (ตาย) จากเทวโลกแล้ว ย่อมเกิดในตระกูลสูง มีโภคะ (ทรัพย์สมบัติ) มาก....

ให้ทานแล้วอุทิศทันที(ไม่ใช่กรวดน้ำนะ) ทำทานและอุทิศดังตัวอย่างจากพระไตรปิฎกนั่นเขาจะได้รับทัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2009, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณStellaR ครับ



สิ่งที่คุณโดนเขาเรียกว่า "ผีอำ" ครับ

ผมจะเล่าให้ฟัง ร่างกายมนุษย์เป็นแค่หุ่นยนต์ หุ่นยนต์ก็ต้องมีแบตเตอรี่หรือพลังงาน มันถึงจะเดินหรือทำอะไรได้ ตอนที่มนุษย์เพศเมียท้อง จะมีวิญญาณธาตุดวงใดดวงหนึ่งเข้าสิงร่างกายเด็กนั้น พอวิญญาณธาตุดวงนี้เข้าสิงร่างกายเด็กคนนั้นแล้ว มันจะ copyหน่วยความรู้ ความจำ และความรู้สึกต่างๆของร่างกายเด็กคนนั้น แล้วมันจะเติมพลังงานชีวิตหรือเป็นแบตอเตอรี่ให้เด็กคนนั้นทำกิจกรรมในโลกด้วย วิญญาณธาตุที่มาสิงเด็กเป็นของจริงหรือเป็นชั้นในของเด็ก ชั้นนอกหรือแบตเตอร์รี่ของเด็ก คือ วิญญาณขันธ์


เวลาที่คุณหลับก็คือคุณตาย ช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณcharge หรือ เติมพลังแบตเตอรี่ให้วิญญาณขันธ์ บางครั้งไอ้วิญญาณธาตุ(เจตภูต)ของคุณก็อออกจากร่าง เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นโลกแท้จริงที่คุณมา อีทีนี้ในโลกวิญญาณมันไม่ได้มีคุณอยู่เพียงคนเดียว มีวิญญาณดวงอื่นอยู่เต็มไปหมด

ตอนนี้มาเข้าเรื่องของคุณ

ผมโดนล๊อกคอ ล๊อกแขน ขา ดิ้นไม่หลุด....ก็คุณโดนวิญญาณดวงอื่นล๊อกคอ ล๊อกแขน ขา ของวิญญานของคุณน่ะซิ

ระหว่างนั้นมีเสียงหวีดร้องที่หู 2 ข้างเลยครับ เสียงหลอนมากๆเลย.....ก็เป็นเสียงจากโลกวิญญาณน่ะซิครับ

ผมก็คิดถึงบทสวดมนต์ ก็สวดๆไป..... ไม่ได้ผลหรอกครับ ผมเลยทำมาแล้วทั้งนั้น

มันก็ไม่หลุด จนผมคิดว่า สวดต่อไปมันก็ไม่ปล่อย เอางี้ ตั้งสติ พุท โธๆ ... สักพัก หลุดครับ... มันไม่ได้หลุดเพราะคุณบริกรรมพุทโธ มันหลุดเพราะระยะเวลาที่วิญญาณดวงอื่นสามารถติดต่อสื่อสารกับวิญญาณธาตุในร่างกายมนุษย์หมด ถ้าคุณไม่ดิ้น คาดว่าไม่เกิน 5 นาทีหลุด ถ้าคุณพยายามดิ้น ก็คือคุณพยายามเข้าร่างมนุษย์ของคุณ จะใช้เวลาครึ่งนาที หรือนาทีก็หลุด แต่จะให้หลุดง่ายๆ อย่าไปดิ้นรนครับ พยายามขยับนิ้ว หรือขยับคิ้ว หรือพยายามลืมตา

บริกรรมพุทโธ ระวังวิญญาณธาตุ(เจตภูต)จะลอยออกนอกร่างไปที่เพดานนะครับ

แล้วผมก็ตื่นมามอง หัวเตียงก็มีพระ สร้อยคอผมก็แขวนพระ แล้วทำไมมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ครับ

.....ผมเคยลงเอาพระร่วม 100 องค์ วางไว้รอบตัวผมเลย ผีหรือดวงวิญญาณอื่นไม่กล้าเข้าครับ ไม่ใช่เพราะเขากลัวพลังของพระนะครับ เขาเข้ามาก็ต้องเดินหรือเหาะข้ามพระครับ เขาไม่อยากทำ เพราะเป็นการลบหลู่พุทธศาสนา

พระที่ห้อยคอต้องดูว่าศักดิ์สิทธิ์ไหม มีกิติคุณแบบใด ถ้าเป็นให้คุณให้โชคลาบ ให้รำให้ลวย อย่างนี้กันผีไม่ได้ครับ วิญญาณที่มาหาคน ส่วนใหญ่มาหาเพราะ

1. คุณไปทำความแค้นอะไรเขาไว้
2. เขาต้องการบุญกุศลจากคุณ เพราะในโลกวิญญาณอยู่กันด้วยผลบุญอย่างเดียว คนที่ทำบุญมาน้อยแต่ทำบาปไม่มาก หรือทำบาปมาก แต่รับโทษบาปในนรกแล้ว ก็เกิดเป็นเปรตเป็นสัมภเวสี ขอความช่วยเหลือจากมนุษย์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร