วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 07:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




3001Touchdown-A-2004-2004f.jpg
3001Touchdown-A-2004-2004f.jpg [ 98.42 KiB | เปิดดู 8595 ครั้ง ]
ข้าพเจ้าสุขใจไร้หมองหมาง
ได้เดินไปบนทางตามที่ฝัน
มีโอกาสช่วยเหลือและแบ่งปัน
ทั้งสร้างสรรค์ใจตนให้พ้นภัย

ข้าพเจ้าพบคนต่างกิเลส
ก่อภัยเภทล้นหลามตามนิสัย
จึ่งมองดูด้วยความที่เข้าใจ
ว่าเป็นภัยเฉพาะตนคนสร้างกรรม

ข้าพเจ้าถูกเหมาเป็นผู้ร้าย
เขามาป้ายสีใส่ไม่อิ่มหนำ
ข้าพเจ้าดูสีที่ป้ายทำ
รู้เป็นวิบากกรรมสร้างผลงาน

ข้าพเจ้าเข้าใจไม่เอาเรื่อง
รู้ว่าเปลืองเวลาในสังสาร
เขาคือเขา เราคือเรา ต่างสันดาน
พบแล้วผ่านไม่รั้งผูกฝังใจ

ข้าพเจ้าสงสารผู้พาลนั้น
หากผลกรรมตามทันอนาคตสมัย
ต้องเจ็บร้อนเพราะกรรมที่ทำไป
คงยิ้มได้แค่ตอนนี้ที่ปัจจุบัน

ข้าพเจ้าพบสิ่งไม่ดีงาม
จึงตั้งใจหลีกทรามไม่สังสรรค์
แยกเส้นทางด้วยความรู้เท่าทัน
เพื่อไม่พบสิ่งนั้นในชีวี

ข้าพเจ้าสุขใจในเส้นทาง
แม้นมีหลุมบ่อบ้างในวิถี
ก็มุ่งมั่นเดินไปด้วยความดี
เพราะปลายทางสายนี้แสนงดงาม

อภิบาลธรรม....ดอกแก้ว

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 01 ก.ย. 2009, 21:59, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_14.jpg
05117_14.jpg [ 106.36 KiB | เปิดดู 8634 ครั้ง ]
เสียงเอะอะโวยวายคล้ายฟ้าร้อง
แผดความก้องสะทือนจนเลื่อนลั่น
หลายคนกรูมาดูในฉับพลัน
ว่าใครนั้นเปล่งเสียงเปรี้ยงปร้างมา

กลางไทยมุงพุ่งพล่านปานน้ำเดือด
คนหนึ่งเชือดอีกคนจนไร้ค่า
คนหนึ่งคล้ายยักษ์ใหญ่ใช้ศาตรา
แต่อีกคนสงบท่าหน้ายิ้มงาม

ไม่ทุ่มเถียงเกี่ยงใครใช้เสียงสวน
ไม่ยียวนย้อนใครไร้คำถาม
ไม่โยกโย้โอ้อวดประกาศนาม
ไม่ถือตนแก้ความตามเชือดคืน

หลายคนว่าเขาแพ้แก่เหตุผล
อีกหลายคนว่าเขาผิดไม่คิดขืน
หลายคนเจ็บร้อนแทนเป็นไฟฟืน
อีกหลายคนหยิบยื่นดอกไม้ไฟ

ในใจคนผู้ทนต่อเกมบ้า
มีหลักว่าอย่าพ่ายอนุสัย
ทุ่มเถียงกันพลันกิเลสลุกท่วมใจ
สงบไว้ใช่อ่อนแอหรือแพ้คน

ความถูกผิดคิดยากมากเงื่อนไข
ถูกของเราของใครให้ต่างผล
ถูกกฎหมายถูกใจให้สินบน
ถูกเหตุผลของธรรมนำถูกจริง

ทุ่มเถียงไปก็มิใช่จะชนะ
แพ้เป็นพระสุขใจได้หลายสิ่ง
ทำดีแล้วถูกว่าอย่าประวิง
เป็นคนจริงต้องทำต่ออย่าท้อใจ

ให้โอกาสเขาระบายใช้ศักดา
ดีกว่าให้เขาบ้าเป็นไหนไหน
เมตตาให้เขาได้รับอภัย
นี่แหละเป็นการให้โอกาสทอง

อย่าติดข้องหมองไหม้ในศักดิ์ศรี
ว่าเขายีเหยียบย่ำทำเราหมอง
เรื่องศักดิ์ศรีคืออัตตาอย่าหมายปอง
ที่ควรครองคือทำใจไร้อัตตา

อภิบาลธรรม....ดอกแก้ว

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_18.jpg
05117_18.jpg [ 29.18 KiB | เปิดดู 8618 ครั้ง ]
อันคุณงามความดีที่ปรากฏ
จะงามงดเลิศค่าถ้าสร้างสรรค์
ปลอดจากโทษก่อประโยชน์อเนกอนันต์
พาชีวันพ้นตำหนิพิชิตชัย

ก่อนจะทำสิ่งใดให้ตรึกตรอง
ว่าสอดคล้องหรือข้องขัดธรรมไหน
สัตบุรุษผู้มีหลักประจำใจ
เจ็ดข้อในคุณสมบัติขจัดมาร

คือเป็นผู้รู้เหตุไร้เภทภัย
ทำการใดรู้จักผลที่สืบสาน
สร้างเหตุเพื่อรับผลสุขสราญ
รู้คิดอ่านรอบคอบประกอบกรรม

ต้องเป็นผู้รู้จักตนบนหน้าที่
ทุจริตมิให้มีล่วงถลำ
ไม่กระทบลบหลู่ตู่ถ้อยคำ
อ่อนน้อมนำวินัยไม่ถือดี

ต้องเป็นผู้รู้ประมาณการครองชีพ
ไม่รัดบีบกุศลจนหลีกหนี
รู้จักกาลก่อนกระทำกรรมวิธี
สมควรมีแก่สถานเหมาะกาลกัน

ต้องเป็นผู้รู้จักประชุมชน
ไม่ถือตนเหลือกตาให้น่าขัน
ทุกสถานล้วนมีบุคคลสำคัญ
ไม่หุนหันทำสิ่งขืนฝืนประเพณี

ต้องเป็นผู้รู้จักเลือกคบคน
เพื่อพาตนพ้นภัยในวิถี
ผู้ส้องเสพสิ่งลามกโกหกวจี
ปลีกชีวีสร้างเพลงธรรมนำจิตใจ

แล้วคุณงามความดีที่กระทำ
จะงามล้ำงามงดอย่างสดใส
ไม่กระเทือนใครต้องหม่นหมองใจ
มองเมื่อใดก็ผ่องพิศสัปปุริสธรรม

อภิบาลธรรม ดอกแก้ว

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_13.jpg
05117_13.jpg [ 108.65 KiB | เปิดดู 8619 ครั้ง ]
การเอาชนะ
เกินขานไขในยามความรักหวาน
ทุกเหตุการณ์สร้างสุขสู่สมัย
เอื้อนเอ่ยถึงด้วยความอิ่มเอมใจ
ล้วนส่วนดีมีนัยให้ชื่นชม

เกินรับฟังในครั้งใจขุ่นหมอง
ทุกถ้อยกรองไว้ด้วยรสขื่นขม
มุ่งบาดจิตคนฟังให้ช้ำตรม
แส้อารมณ์ฟาดลงตรงชิงชัง

สิ่งดีงามเกิดยามใจงามสวย
จิตไม่ป่วยแข็งแรงด้วยความหวัง
สิ่งเลวร้ายเกิดเมื่อใจภินท์พัง
เพลิงกิเลสประดังฤทธิ์ทำลาย

เป็นเช่นนี้ที่เราเขาเสมอ
เมื่อพบเจอในสิ่งไม่คาดหมาย
ความผิดหวังออกมาวาดลวดลาย
ผ่านทางกายวาจามาเถียงกัน

บางครั้งหาใช่เพียงคำวิวาท
ยังประกาศว่าร้ายอย่างหุนหัน
มุ่งชนะสะใจเป็นสำคัญ
แตกสัมพันธ์แยกข้างร้างไมตรี

สิ่งดีงามยามรักต้องสลาย
เพราะความโกรธทำลายจนสิ้นศรี
กว่าสร้างได้ใช้เวลานานหลายปี
แต่ทำลายชั่วนาทีสำเร็จพลัน

เอาชนะอะไรให้ครวญคิด
อย่าทำมิตรเป็นอมิตรไม่สร้างสรรค์
เปรมอารมณ์เพียงครู่ไม่ข้ามวัน
หลังจากนั้นเดียวดายในซากพัง

อภิบาลธรรม ดอกแก้ว......

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_2.jpg
05117_2.jpg [ 40.54 KiB | เปิดดู 8614 ครั้ง ]
เคยคิดว่าอย่าใจร้อนตอนพบเรื่อง
อาจสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงแก้ปัญหา
เพราะรีบเร่งเกินไปไม่ตรวจตรา
จึงนำพาเสียหายมาให้ตน

หากเร่งรีบทำไปเพราะใจชอบ
รีบโกยกอบสิ่งนั้นเพราะชอบผล
อาจขาดทุนย่อยยับพาอับจน
กลุ้มกมลผลสวนทางต่างจากใจ

หากรีบเร่งทำไปเพราะไม่ชอบ
รีบโต้ตอบดุเดือดมุ่งผลักไส
เกิดแตกหักเสียหายกระจายไกล
เป็นเรื่องใหม่เรื่องใหญ่สิ้นไมตรี

เขาบอกให้ใจเย็นเป็นเบื้องแรก
พบสิ่งแปลกแตกต่างจากวีถี
ก่อนโต้ตอบชอบชังคิดให้ดี
ก่อนเปิดเผยวจีใช้กำลัง

อย่าใจร้อน..ให้ใจเย็นเป็นนิสัย
ทำสิ่งใดมีสติเป็นรากฝัง
เพราะสติเจือจุนหนุนพลัง
ช่วยยับยั้งเสียหายได้ฉับพลัน

มีสติ..ดูเหมือนง่ายในภาษา
ทั้งสามัญธรรมดาจนน่าขัน
หลายคนพูดและสอนกันทุกวัน
ว่าให้หมั่นเจริญไว้ในชีวา

มีสติ..มิใช่เพียงรู้สึกตัว
แต่รู้ทั่วยับยั้งใจไม่โถมถา
ไปในบาปอกุศลที่ชินชา
รั้งจิตตาเอาไว้ให้เคียงบุญ

มีสติ..จึงไม่ง่ายในหลักพุทธ
ต้องรู้หยุดสร้างบาปให้เนืองหนุน
รู้จักบาป ไม่ทำบาป ให้ขาดทุน
มีสติเป็นร่มบุญให้ใจเย็น

อภิบาลธรรม ดอกแก้ว

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_7.jpg
05117_7.jpg [ 96.33 KiB | เปิดดู 8631 ครั้ง ]
เคยปิดใจไม่รับกับข่าวสาร
เบื่อคนพาลมากเรื่องเปลืองสมอง
หลบผู้คนโดดเดี่ยวเปลี่ยวใครมอง
เพื่อปกป้องตัวตนให้พ้นภัย

พอนานวันพลันเหงาและเศร้าสร้อย
ใจเกินร้อยก็ถอยถดและหดหาย
เคยมีกลัวปิดรั้วรอบกรอบกาย
เพียงแค่หมายป้องเงาเหล่าอันตราย

ต้องหัดฟังผู้อื่นแม้นฝืนจิต
เพื่อป้องกันความคิดที่หุนหัน
ออกจากมุมมืดมาหาตะวัน
เพื่อเหตุผลครบครันกระจ่างตา

มาบัดนี้เปิดรับกับทุกสื่ง
ยอมรับกับความจริงอิงความหมาย
หลากผู้คนยิ้มกลับรับด้วยใจ
ส่งกลับไปด้วยจิตมิตรไมตรี

อภิบาลธรรม แก้วประภัสสร

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_8.jpg
05117_8.jpg [ 34.29 KiB | เปิดดู 8629 ครั้ง ]
อยู่ในมุมมืดมิดคิดทวนทบ
เรื่องที่ได้ประสบสะเทือนขวัญ
หาสาเหตุตัวการพัลวัน
ว่าใครกันตัวปัญหาน่าเกลียดชัง

คิดไปตามเรื่องราวที่ร้าวจิต
คิดและคิดเพิ่มแค้นให้ยิ่งฝัง
คิดคนเดียวด้วยโกรธเป็นกำลัง
คิดจริงจังด้วยใจที่ร้อนรน

บางครั้งฟังความเห็นของผู้อื่น
ก็ไม่ชื่นเพราะตรงข้ามในเหตุผล
ก่อความชังครั้งใหม่ในบุคคล
บางครั้งชื่นกมลเขาเห็นตาม

ถือตนเองเป็นหลักในความคิด
ยากจะเห็นถูกผิดข้อควรถาม
มีแต่คำตัดสินที่วู่วาม
กลายเป็นความผิดพลาดขาดไตร่ตรอง

เมื่อคิดอยู่คนเดียวมุมเดี่ยวโดด
เห็นคุณโทษบางแง่แค่หนึ่งสอง
มองไม่เห็นสามสี่ห้าที่น่ามอง
จึงพลาดครองประโยชน์ใหญ่แก้ไขตน

บางเรื่องราวทุกคนมีส่วนผิด
ส่วนถูกคนละนิดในเหตุผล
บางเรื่องเขาผิดมากกว่าทุกคน
บางเรื่องเราไม่พ้นผิดเช่นกัน

ต้องหัดฟังผู้อื่นแม้นฝืนจิต
เพื่อป้องกันความคิดที่หุนหัน
ออกจากมุมมืดมาหาตะวัน
เพื่อเหตุผลครบครันกระจ่างตา

อภิลาบธรรม ดอกแก้ว

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_3.jpg
05117_3.jpg [ 33.07 KiB | เปิดดู 8617 ครั้ง ]
เมื่อจุดยืนยึดรากความยโส
ความดื้อก็ใหญ่โตเป็นต้นขวัญ
มีกิ่งก้านกระด้างไปด้วยกัน
ปวงใบนั้นหนาหยาบเพราะอวดดี

มีลมมาแรงหนักก็หักโค่น
เพราะไม่โอนอ่อนตามยามหลีกหนี
ความทะนงทำลายสิ้นชีวี
เราต่างรู้เรื่องนี้กันมานาน

ทั้งที่รู้เราก็อยู่อย่างไม้นั้น
แล้วชีวันก็ไร้สุขสนาน
ความทะนงปิดประตูตัดสะพาน
ไม่สื่อสารอ่อนน้อมถ่อมศักดา

หยิ่งผยองในตนจนผู้อื่น
ไม่กล้ายื่นไมตรีจนแน่นหนา
เกรงกระทบความกระด้างสร้างระอา
ปล่อยคนกล้าให้เสรีวิถีตน

ทั้งที่รู้เราก็อยู่อย่างอวดกล้า
มีเรื่องราวเข้ามาหลายครั้งหน
ยึดถิ่นฐานไม่ถอยสู้อดทน
แต่ไม่ก่อเกิดผลในด้านดี

ทั้งที่รู้เราก็อยู่อย่างไม้แก่
ไม่แยแสคำเตือนเบือนหน้าหนี
ยึดในความสามารถที่ตนมี
ไม่รู้ชี้ข้อแนะนำหรือคำใคร

ทั้งที่รู้เราก็อยู่อย่างประมาท
เพราะเราขาดปัญญามาช่วยไข
ว่าอ่อนน้อมนั้นคือกุศลมัย
หาได้พ่ายแพ้ใครเมื่อถ่อมตน

ขอบคุณอภิบาลธรรม คุณดอกแก้ว

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_15.jpg
05117_15.jpg [ 64.96 KiB | เปิดดู 8640 ครั้ง ]
ทุกข์ระทมก้มหน้าน้ำตาไหล
มีรอยเจ็บที่ใจยากรักษา
คำนึงครวญหวนคิดเรื่องผ่านมา
ร่ำร้องหาสุขดังเก่ามาเคล้าคลอ

แล้วพร่ำโกรธโทษคนทำตนทุกข์
ชีพสิ้นสุขเพราะใจใฝ่ร้องขอ
ตั้งโจทย์ให้ผู้อื่นมาพะนอ
มอบความผิดว่าเขาก่อเป็นตัวการ

ครั้นโทษเขาเฝ้าคิดแล้วอภัย
พอที่จะทำใจอย่างกล้าหาญ
ไม่ถือโทษโกรธใครให้ยาวนาน
เพราะใจนั้นคิดอ่านว่า..ตนดี

ความที่คิดว่าตนถูกผูกปัญหา
กลายเป็นว่าคนอื่นร้ายน่าหน่ายหนี
ยึดมั่นในชีวิตตนเป็นคนดี
จึงไม่มีการตรวจตราสิ่งน่าชัง

ความขัดแย้งเกิดขึ้นในสองฝ่าย
วิเคราะห์ได้ถึงสาเหตุในเบื้องหลัง
เกิดจากใจที่ไม่ระมัดระวัง
จึงชอบชังสวนทางสร้างแยกซอย

หากมุ่งคิดว่าเขาผิดเรายิ่งพลาด
ต้องฉลาดแก้ปัญหาอย่าท้อถอย
มองหาความผิดตนบนร่องรอย
จะมากน้อยก็ต้องพบประสบกล

เมื่อรู้ถึงความผิดคิดแก้ไข
ไม่ถือตนเป็นใหญ่ไร้เหตุผล
คอยระวังไม่ก่อเหตุร้อนรน
ฝึกใจตนมีสติปัญญาครอง

ใครเขาทำไม่ดีก็ช่างเขา
แก้ใจเราออกจากบาปให้พ้นหมอง
เกิดที่ตน.. แก้ที่ตน ..หมั่นตรึกตรอง
สุขทั้งผองจักคืนสู่ผู้ฝึกตน

ขอบคุณอภิบาลธรรม คุณดอกแก้ว

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_10.jpg
05117_10.jpg [ 78.55 KiB | เปิดดู 8638 ครั้ง ]
ฝึกคนอื่น หมื่นคน ล้วนแต่ง่าย
กลับคลับคล้ายทำให้ตนเป็นหม่นหมอง
ด้วยดวงจิตติดยึดหยิ่งลำพอง
หลงว่าเหนือคนทั้งผอง ... ไม่ตรองตน

หากฝึกตนเพียงคนเดียว อย่างเคี่ยวคร่ำ
ย่อมสูงขึ้นจากน้ำครำ ... ความหมองหม่น
เป็นดอกบัว พิสุทธิ์ สุดยอดคน
เพียงฝึกฝน ... ตนเอง ให้เคร่งพอ

ฝึกคนอื่นหมื่นแสน ... ทั่วแดนโลก
ยังไม่พ้นทุกข์โศกที่เกิดก่อ
หากฝึกตนให้พ้นทุกข์ ... สุขยังรอ
อย่าทดท้อฝึกฝน ... ใจตนเอง.

ขอบคุณอภิบาลธรรม คุณเพชรตะวัน

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




05117_11.jpg
05117_11.jpg [ 41.11 KiB | เปิดดู 8661 ครั้ง ]
เรื่องบางเรื่องเปลืองเปล่าไม่เข้าท่า
หากเก็บมาอาจรกสกปรกสมอง
ดั่งสุมเพลิงโหมไฟไม่ตรึกตรอง
ทุกข์ทั้งผองร้อนรนเกิดคนใด ?

แท้จริงผู้เผชิญผจญคือคนเก็บ
ยามบาดเจ็บโทษคนอื่นหยิบยื่นให้
พระพุทธองค์ทรงตรัสเห็นชัดนัย
บัวสี่เหล่าแบ่งไว้หลักในธรรม

โทษคนอื่นแลเห็นเป็นใหญ่โต
เอ็ดตะโรโกรธเกลียดหน้าเครียดคว่ำ
คราวตนเองประหนึ่งว่าระอาจำ
อ้างขำขำเล็กน้อยผิดหน่อยเดียว

เมื่อปากลามตามนึกปราศฝึกใจ
วินิจฉัยมุมมองสิ่งข้องเกี่ยว
แล้วตัดสินคดีความวู่วามเชียว
เผลอประเดี๋ยวเรื่องร้อนจะย้อนตน

ควรฝึกใจให้แกร่งก่อนกล้ากล่าว
ทบทวนทุกเรื่องราวสิ่งฉาวฉล
จะผิดถูกอย่างไรใครซ่อนกล
ฝึกหัดตนให้คล่องก่อนมองใด

ขอบคุณอภิบาลธรรม คุณอัลมิตรา

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 26 ส.ค. 2009, 21:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2009, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว




c07-p01.jpg
c07-p01.jpg [ 124.02 KiB | เปิดดู 8452 ครั้ง ]
บนเส้นทางแห่งชีวิต...
กับการก่อเกิดใหม่ของสรรพสิ่งเหนือ ยอดเขาช้างเผือก

“เป้ใบเก่า รองเท้าคู่เดิม”....เรื่อง/นพดล กันบัว.........ภาพ
ที่มา : ความเอื้อเฟื้อจากอนุสาร อ.ส.ท.ปีที่ 47 ฉบับที่ 6 เดือน มกราคม พ.ศ.2550

กว่า 60 ปีมาแล้ว ที่ทำการทำเหมืองแร่ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองกาญจนบุรี ในสมัยนั้นไม่มีใครรู้จักชื่อเหมืองปิล๊อก เพราะมปิล๊อกเป็นหนึ่งในเหมืองที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่ง หากจะบอกว่ารายได้จากเหมืองแร่คือลมหายใจของชีวิตคนกาญจนบุรี ตลอดจนผู้แสวงหาโชคจากทั่วทุกภูมิภาคก็คงไม่ผิดนัก เหมืองแร่คือบ่อรายได้ใหญ่ของผู้คนจำนวนคนหลายพันคน หรืออาจจะถึงเรือนหมื่นด้วยซ้ำ จากจำนวนเหมืองที่มีอยู่ไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง ท่ามกลางภาวะความโหดร้ายของโลกธรรมชาติที่ต้องฝ่าฟันเพื่อเอาชนะ ความเป็นอยู่ของคนเหมืองไม่ได้สะดวกสบาย แต่ทำไมผู้คนไม่น้อยเลือกที่จะใช้ชีวิตในเส้นทางสายนี้ ความเป็นอยู่ของคนเมืองไม่ได้สะดวกสบาย แต่ทำไมผู้คนไม่น้อยเลือกที่จะใช้ชีวิตในเส้นทางสายนี้ คำตอบง่ายๆ คือผลตอบแทนจากเม็ดเงินที่มากกว่าอาชีพ อื่นๆ เฉกเช่นในยุคทองของการประมง ที่ไต้ก๋งหรือลูกเรือประมงสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองอย่างมหาศาล เล่ากันว่าในยุคสมัยที่กุ้งปูปลาในท้องทะเลยังมีเหลือเฟือ ไต้ก๋งเรือทิปนักร้องด้วยทองคำกันทีเดียว

วิถีชีวิตของคนทำเหมืองอาจจะมีรายได้ไม่มากเท่าชาวประมง และต้องใช้ชีวิตผจญกับโลกธรรมชาติที่โหดร้ายมากกว่า แต่การทำเหมืองก็มีรายได้ดีกว่าอีกหลายอาชีพ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนหนุ่มสาวในยุคสมัยหนึ่งจะเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิตของตนเองเป็นชาวเหมือง เช่นเดียวกับลุงทาที่เล่าความหลังเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นเมื่อปี พ.ศ.2494 ให้ฟังว่า พื้นเพดั้งเดิมเป็นคนพัทลุง แต่ยอมเดินทางไกลมาถึงกาญจนบุรีเพื่อทำเหมืองแร่ในช่วงที่มีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ในยุคสมัยนั้น การเดินทางขึ้นไปทำเหมืองปิล๊อกต้องเดินเท้าขึ้นมาจากบ้านไร่ ใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองวัน ขณะที่ขบวนรถที่ต้องขนเสบียงหรือนำแร่ลงมาอาจจะต้องใช้เวลาครึ่งค่อนเดือนหรือหนึ่งเดือนทีเดียว

ลุงทาบอกว่าในยุคสมัยนั้น บริเวณแถบนี้คือผืนป่าขนาดใหญ่ มีไม้ขนาดสี่ถึงห้าคนโอบเต็มไปหมด มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างชุกชุม ในช่วงเวลาฤดูฝน ฝนมักตกติดต่อกันไม่น้อยสี่ถึงห้าเดือนจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น เพราะถูกปกคลุมด้วยสายหมอกตลอดทั้งวัน ขนาดต้องจุดตะเกียงเจ้าพายุตลอดเพื่อให้แสงสว่าง ต่างจากในปัจจุบันที่ฝนเริ่มไม่ตกตามฤดูกาล ผืนป่าที่เคยสมบูรณ์ก็กลายสภาพเป็นเขาหัวโล้นทั้งหมด ส่วนหนึ่งมาจากการทำเหมือง อีกส่วนหนึ่งมาจากการโค่นป่า

ในอดีต แร่ดีบุกและวุลแฟรมมีค่าไม่น้อยไปกว่าทองคำและสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับคนที่นี่ ในช่วงฤดูฝนก็ทำเป็นเหมืองฉีด ขอเข้าสู่ฤดูแล้ง น้ำน้อยก็ทำเป็นเหมืองขุด เหมืองที่นี่จึงมีทั้ง 2 ลักษณะ เรียกว่าทำกันเกือบตลอดทั้งปี จากชุมชนเล็กๆ ก็ขยายเป็นชุมชนใหญ่ จากเหมืองไม่กี่แห่งก็กลายเป็นเหมืองเล็กเหมืองน้อยมากมาย กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่จนกลายเป็นเมืองขนาดย่อมๆ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่น้อยไปกว่าชุมชนพื้นล่าง ค่าแรงวันละ 15 บาท เดือนหนึ่งได้ประมาณ 400-450 บาท ถือเป็นรายได้ที่หรูพอสมควร ทำงาน 1 เดือน สามารถซื้อทองหนัก 1 บาทใส่ได้ โก้น้อยเสียที่ไหน วิถีชีวิตของคนทำเหมืองแร่ปิล๊อกวนเวียนอยู่แบบนี้ร่วม 30 ปีทีเดียว กว่าจะถึงยุคสิ้นสุดของการทำเหมืองเมื่อปี พ.ศ. 2528 เพราะแร่ราคาตกจนไม่คุ้มกับการลงทุน โลกสมัยใหม่สามารถสร้างสิ่งทดแทนที่มีน้ำหนักเบากว่าได้นั่นเอง ถึงวันนี้ หน้าประวัติศาสตร์ของการทำเหมืองแร่ปิล๊อกที่หลงเหลืออยู่ คือชุมชนบ้านอีต่องกับเศษซากของการทำเหมืองที่ยังปรากฎตามเหมืองต่างๆ เท่านั้นเอง

วันนี้ดูเหมือนชาวอีต่องเหลือทางเลือกอยู่ทางเพียงเดียวคือการท่องเที่ยว ลุงทาบอกกับผมว่า ถ้าเลือกได้ขอกลับไปใช้ชีวิตอย่างเก่าดีกว่า แม้ว่าจะลำบากเรื่องการเดินทางและชีวิตความเป็นอยู่บ้าง แต่ก็เป็นชีวิตที่เผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน มีก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ผู้คนก็คบกันง่ายๆ ต่างจากสมัยนี้ที่หาความจริงใจไม่ค่อยมี รถเสียเมื่อก่อนยังจอดทิ้งไว้ได้ แต่ปัจจุบันจอดทิ้งได้ที่ไหน นั่นคือบทสรุปของชีวิตในห้วง 60 ปีที่ผ่านมาของลุงทา ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เส้นทางที่ลุงทาต้องการ แต่มันเป็นเส้นทางที่ไม่อาจเลือกได้

ชีวิตใหม่ ชีวิตเพื่อการท่องเที่ยวของชาวอีต่อง
บ้านอีต่องในวันนี้ ในอดีตคือที่ตั้งของเหมืองปิล๊อก ซึ่งก็ยังคงมีร่องรอยของการทำเหมืองให้เห็นอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก นี่คือหน้าประวัติศาสตร์การทำเหมืองแร่ที่มีความสำคัญที่สุดของกาญจนบุรีและประเทศไทย ในวันนี้เหมืองที่เคยมีอยู่เกือบทั้งหมดหยุดกิจการสิ้นเชิง แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูงชัน นำมาซึ่งความงดงามของท้องทะเลแห่งขุนเขา อีต่องจึงเป็นทางเลือกใหม่ของคนที่ชอบความเหน็บหนาว ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาและท้องทะเลหมอกยามเช้า โดยไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงภาคเหนือ นี่คือดินแดนที่แทบไม่เชื่อว่าสายตาว่าอยู่ในภาคกลาง ซึ่งมีความงดงามของโลกธรรมชาติไม่ได้ด้อยไปกว่าพื้นที่ภาคเหนือ

ผมมีโอกาพูดคุยกับกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ เขาเล่าว่า แต่เดิมบ้านอีต่องเรียกว่านะอีต่อง (ไม่แน่ใจว่าใช้ น หรือ ณ กันแน่) คำว่า นะ หมายถึง เทวดา อี หมายถึง บ้าน ต่อง หมายถึง ภูเขา รวมแล้วหมายถึง ภูเขาเทวดา เหตุที่เขาเรียกว่าเป็นภูเขาเทวดา คงเนื่องมาจากสภาพภูมิประเทศที่มีความสูงมากที่สุดในเทือกเขาละแวกนี้ทั้งหมด ความเป็นชุมชนเหมืองปิล๊อกในอดีตยังคงสามารถสัมผัสได้จากรูปแบบโครงสร้างบ้านที่เป็นเรือนแถวยาวเป็นบล๊อกๆ ไล่ระดับตามความชันของสันเขาลงเป็นชั้นๆ บ้านเหล่านี้บางหลังมีอายุร่วม 50 ปี บางหลังได้รับการปรับปรุงและสร้างขึ้นใหม่ ปัจจุบันบ้านอีต่องมีฐานะเป็นตำบลขึ้นอยู่กับอำเภอทองผาภูมิ การท่องเที่ยวคือส่วนหนึ่งของความหวังที่จะเรียกความรู้สึกและความรุ่งโรจน์แห่งอดีตให้คืนกลับมา ด้วยความงดงามของสภาพภูมิประเทศที่มีอยู่ ผสมผสานไปกับร่องรอยอดีตของการทำเหมือง ผมเชื่อว่าความคึกคักจะคืนกลับมาที่อีต่องอีกครั้ง เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักเดินทางที่ชอบแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ ของชีวิต

อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ในความหลากหลายที่ดำรงอยู่
อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เป็นอุทยานแห่งชาติที่กำลังประกาศจัดตั้ง มีพื้นที่ราว 700,000 ไร่ หรือ 1,120 ตารางกิโลเมตร ทิศเหนือติดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ทิศใต้ติดอุทยานแห่งชาติไทรโยค ทิศตะวันอกติดอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และทิศตะวันตกติดกับเขตแดนสหภาพพม่า สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงชัน มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 1,000-1,259 เมตร โดยมียอดเขาช้างเผือกเป็นยอดเขาที่มีระดับความสูงมากที่สุดหลงเหลืออยู่ก่อเกิดเป็นน้ำตกสำคัญหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำจ๊อกกะดิ่น น้ำตกเจ็ดมิตร พื้นที่เหมืองเก่า ซึ่งบางแห่งก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ตลอดจนท้องน้ำของเขื่อนเขาแหลม

นี่คืออุทยานแห่งชาติทางภูเขาที่มีความแตกต่างจากอุทยานฯ ทางภูเขาแห่งอื่นๆ จุดเด่นของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ นอกจากสภาพภูมิประเทศที่งดงามแล้ว ที่ผู้คนกล่าวถึงค่อนข้างมากเห็นจะเป็นบ้านทาร์ซานครับ เขาสร้างบ้านพักอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นอุทยานแห่งชาติเพียงแห่งเดียวกระมังที่สร้างบ้านพักบนต้นไม้ และมักเป็นทางเลือกในลำดับต้นๆ ของผู้เข้าพัก พื้นที่ลานตั้งแคมป์ซึ่งตั้งอยู่ตามไหล่เขาได้รับการปรับระดับเป็นที่ราบ พร้อมจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นดวงตะวันยามเช้า ท้องทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม และเขาช้างเผือกอย่างชัดเจน ในความรู้สึกของผม นี่คือจุดกางเต็นท์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของผืนป่าย่อมๆ ที่จะให้ความร่มรื่นตลอดทั้งวัน

เขาช้างเผือก วิถีแห่งชีวิต วิถีแห่งธรรมชาติ

เรื่องราวของเขาช้างเผือกเป็นสิ่งที่ผมรับรู้มานาน จากการเดินทางมาที่บ้านอีต่องหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสขึ้นไปสัมผัสอย่างจริงจัง จวบจนฤดูหนาวของปีนี้ผมตัดสินใจเดินทางกลับไปที่อีต่องอีกครั้งเพื่อจัดการกับสิ่งที่เคยค้างคาในใจ โดยมีเพื่อนร่วมทางคนเดิม คือนพดล กันบัว ที่จะเข้ามาถ่ายทอดความงดงามจากภาพถ่ายให้สัมผัส

เขาช้างเผือกเป็นเทือกเขาที่มีลักษณะแนวยาวโอบล้อมด้วยแนวหน้าผาสองด้าน จึงกำหนดเส้นทางขึ้นลงให้มีเพียงเส้นทางเดียว ซึ่งบางช่วงต้องเลาะตะเข็บแดนประเทศเพื่อนบ้านสั้นๆ ส่วนตัวเขาช้างเผือกจริงๆ อยู่ในเขตประเทศไทยทั้งหมด เส้นทางเดินเท้าขึ้นเขาช้างเผือกที่สะดวกและใกล้ที่สุดคือบริเวณบ้านอีต่อง จากบริเวณหน้าโรงงานก๊าซในฝั่งประเทศไทย ที่เรียกกันว่าบล๊อกวาล์ว ซึ่งหากมีรถขับเคลื่อนสี่ล้อรับส่งก็จะประหยัดแรงในการเดินได้ประมาณ 2 กิโลเมตร ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเริ่มถามหา

กะเหรี่ยงนำทางบอกความหมายของชื่อเขาช้างเผือกให้ฟังว่า เมื่อก่อนเคยพบช้างเผือกในพื้นที่นี้ มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว ด้วยความสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนี้ในอดีต ทำให้สัตว์ป่าขนาดใหญ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่จะพบช้างเผือกก็คงมีความเป็นไปได้ เพียงแต่ช้างเผือกในความรู้สึกของกะเหรี่ยงคงไม่ตรงตามนิยามความหมายของช้างเผือกไทย อาจจะเป็นเพียงช้างที่มีลักษณะสีผิวออกขาวก็เป็นได้

การเดินทางขึ้นยอดเขาช้างเผือกแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงใหญ่ ๆ ช่วงแรกจะเป็นการเดินเท้าตามเส้นทางรถยนต์ แล้วไต่ระดับความสูงไปทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ช่วงที่สองจะเริ่มไต่ระดับความสูงชันมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านป่าไผ่และป่ารุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมาทดแทนป่ารุ่นเก่า เพื่อขึ้นไปยังสันเขาซึ่งเป็นท้องทุ่งหญ้า จากนั้นก็จะตัดลงสันเขาลูกถัดไป ซึ่งถูกใช้เป็นพื้นที่ในการตั้งแคมป์ โดยใช้เวลาในการเดินเท้าราว 4-5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน

สันแอ่งที่ราบแห่งนี้ เป็นพื้นที่แอ่งที่ราบที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตขนาดกางเต็นท์ได้มากมาย ดูเหมือนว่าโลกธรรมชาติของเขาช้างเผือกจะกำหนดไว้แบบนี้ มันคงไม่ต้องการให้คนขึ้นไปรบกวนมากนัก ด้วยข้อจำกัดในเรื่องนี้ คงต้องมีการจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปบนเขาช้างเผือกในแต่ละวัน เพราะไม่ใช่เพียงที่กางเต็นท์เท่านั้นที่มีปัญหา แต่ผลกระทบในเรื่องต่างๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขยะ หรือเรื่องมลภาวะในเรื่องต่างๆ

ตัวยอดเขาช้างเผือกจริงๆ ต้องเดินเท้าจากบริเวณที่พักขึ้นไปอีกราว 1 ชั่วโมงเศษ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่สามของการเดินทางที่ถือว่าอันตรายมากที่สุด

ผมเองยอมรับโดยดุษฎีและไร้ซึ่งข้อโต้แย้งว่า ช่วงที่สามของการเดินทางเพื่อขึ้นไปยังยอดเขาช้างเผือกมัหนักหนาสาหัสโหดหินเกินกว่าที่คิดไว้ มิน่าละ คนนำทางและลูกหาบอีกคนไม่ยอมขึ้นไปด้วย เหลือลูกหาบเพียงคนเดียวพร้อมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ยอมขึ้นไป ลูกหากและคนนำทางไม่ได้กลัวความสูงของขุนเขา แต่เขากลัวพื้นที่อยู่เพียงแห่งเดียว ซึ่งถือเป็นช่วงที่อันตรายที่สุดของการเดินทาง เพราะถ้าพลาดขึ้นมามันอาจหมายถึงชีวิต พวกเขาเรียกมันว่า สันคมมีด

เมื่อผมขึ้นไปถึงสันคมมีดในความคิดของผมกับความเป็นจริงแตกต่างกันสิ้นเชิง ผมเคยพบสันคมมีดที่ดอยมดว่าเล็กนิดเดียว แต่ก็เป็นเพียงสันคมมีดที่เป็นสันดิน หรืออย่างดอยม่อนจองก็เป็นสันดิน ซึ่งอดีตก็เล็กนิดเยว เมื่อมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปมาก สันก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ตรงกันข้ามกับสันคมมีดของเขาช้างเผือก ซึ่งเป็นแนวหินเรียงรายต่อเนื่องกันเป็นทางยาวประมาณ 10 เมตรเห็นจะได้

1 เมตร คือความกว้างของสันคมมีด ซึ่งมีลักาณะคล้ายสะพานหิน มันทำให้ผมต้องเดินแบบสี่ขาแบบไม่อายฟ้าดิน ขนาดลูกหาบกะเหรี่ยงที่ว่าแน่ๆ ยังต้องข้ามแบบสี่ขา เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ว่าช่ำชองก็ยังต้องข้ามแบบสี่ขา แล้วยังบอกว่าเสียว ขอแค่ครั้งเดียว แล้วผมเป็นใคร จะหาญกล้าไปเดินแบบสองขา เชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าที่จะเดินแบบสองขาผ่านเจ้าสันคมมีดไปได้ เพราะสองข้างทางของสันคมมีดมันคือแนวหน้าผาสูงชันที่ไล่ระดับลงไปจนถึงหุบเขาเบื้องล่าง หากพลาดท่าเกิดตกลงไป แค่นึกว่าจะลงไปเก็บอย่างไรก็แย่แล้วครับ

แต่ก็ใช่ว่าจะอันตรายจนไม่สามารถข้ามไปได้ เพียงแต่เราต้องใช้ความระมัดระวังและความกล้ามากกว่าปกติเท่านั้น ความกล้าและความมุ่งมั่นเท่านั้นคือสิ่งที่จะเอาชนะความขลาดในตัวของเราเอง ที่สำคัญที่สุด คืออย่าประมาท เพราะความปราทมักนำมาซึ่งความสูญเสียเกินกว่าที่คาดคิดเสมอๆ

ผมใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงเศษก็ขึ้นไปถึงยอดเขาช้างเผือกอย่างทุลักทุเลพอสมควร 1,249 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางอาจจะดูไม่สูงมากนัก แต่ก็สูงพอที่จะทำให้ผมกลายเป็นคนที่ยืนอยู่สูงที่สุดของขุนเขาทั้งหมด ดูเหมือนว่าเส้นทางสายนี้เองทำเอาผมเครียดและเกร็งมากกว่าการเดินทางครั้งอื่นๆ แต่เมื่อขึ้นไปถึงบริเวณยอดสูงสุด ความหวาดกลัวที่ผ่านมากลับหายไป สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะได้รับการชดเชยจากความงดงามของโลกธรรมชาติเบื้องหน้า มันถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาน้อยใหญ่รอบด้าน บ้านอีต่องที่เดินทางผ่านมามองเห็นอยู่ไกลโพ้น บนยอดเขาช้างเผือกปกคลุมด้วยท้องทุ่งหญากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีไม้ใหญ่อาศัยอยู่เลย นี่คือยอดเขาที่มีท้องทุ่งหญ้ากินอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งของเมืองไทย น่าเสียดายที่ช่วงเวลาที่ไปสภาพอากาศไม่แจ่มใสเท่าที่ควร ประกอบกับหญ้าเริ่มแห้ง ทำให้เขาช้างเผือกดูแห้งแล้งกว่าที่มันควรจะเป็น แต่ความแห้งแล้งที่ว่านี้ มันแฝงไว้ด้วยความยิ่งใหญ่ตระการตาไม่น้อย

กว่า 6 ชั่วโมงของการเดินทางอาจจะดูไม่ยาวไกลนักเมื่อเทียบกับขุนเขาลูกอื่นๆ ที่อาจใช้เวลามากกว่านี้ แต่ผมบอกได้เลยว่า มันเป็น 6 ชั่วโมงแห่งการหล่อหลอมให้เกิดความกล้าในจิตใจ แตกต่างจากขุนเขาลูกอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะช่วงสุดท้ายของการเดินทาง แรงกายที่มีอยู่อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการเดินทางเสมอไป หากแต่เป็นความกล้าที่ซ่อนอยู่ในจิตใจต่างหาก ที่จะนำพาเราไปสู่ยอดเขาช้างเผือกได้อย่างแท้จริง

การเดินทางครั้งนี้จึงก่อให้เกิดความแปลกแยกในจิตใจผมไม่น้อยในมุมหนึ่งของความรู้สึก ผมว่าจริงๆ แล้ววงจรชีวิตคนเราอาจไม่ได้ยาวอย่างที่เราคิด เส้นทางเดินของชีวิตอาจจะสั้นกว่าที่เราคาดหวัง บางเศษเสี้ยวของความรู้สึกบางครั้งมันอยู่นอกเหนือจากการควบคุมของเราโดยสิ้นเชิง ระหว่างความกล้าและความกลัวบางครั้งมันก็แค่เส้นบางๆ ที่แทบจะแยกออกจากกันไม่ออก ความกล้าอาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องแซ่ซ้องสรรเสริญเสมอไป ขณะที่ความกลัวก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องได้รับการประณาม ความกล้าและความกลัวซ่อนอยู่ภายใต้จิตสำนึกลึกๆ ของมนุษย์ทุกคน เพียงแต่เราจะนำมันออกมาในห้วงเวลาไหนเท่านั้นเอง คนที่ยอมรับว่ากลัว บางครั้งก็คือคนกล้าที่แท้จริง ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ กับการเดินทางครั้งนี้

ขอขอบคุณ
คุณทัศนัย เปิ้นสมุทร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ
เพื่อนร่วมทางและลูกหาบทุกคน
ที่ให้ประสบการณ์ครั้งใหม่ของการเดินทางของชีวิตที่เขาช้างเผือก

ข้อมูลประกอบการเดินทาง
โดยรถยนต์ การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิและบ้านอีต่อง จากอำเภอทองผาภูมิ ใช้เส้นทางบ้านไร่- บ้านอีต่อง (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3272) รวมระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ถึงบ้านอีต่อง เป็นทางลาดยางตลอด แต่ขึ้นเขาสูงชัน ที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 21

ในกรณีเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง มีรถสองแถวให้บริการจากบ้านอีต่องไปอำเภอทองผาภูมิ โดยออกเดินทางจากบ้านอีต่องไปอำเภอทองผาภูมิ โดยออกเดินทางจากบ้านอีต่องในช่วงเช้า เที่ยวแรกเวลา 06.30 น. ส่วนขากลับจากทองผาภูมิจะออกเดินทางในช่วงเวลา 10.00 น. และเวลา 12.00 น. รถจอดบริเวณหน้าร้านเซเวน อีเลฟเวนในตลาดทองผาภูมิ ควรตรวจสอบเวลาที่แน่นอนอีกครั้ง ค่าโดยสารคนละ 60 บาท

การเดินป่าขึ้นยอดเขาช้างเผือกควรติดต่อประสานงานและขอนุญาตจากทางอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ติดต่อประสานงานและขออนุญาตจากทางอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่โดยตรง เพื่อสร้างบรรทัดฐานและกฎระเบียบต่างๆ ร่วมกัน ใช้เวลาประมาณ 2 วัน 1 คืน โดยเริ่มต้นเดินเท้าที่บริเวณบล๊อกวาล์ว (โรงงานก๊าซฝั่งไทย) ใช้เวลาในการเดินเท้าประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถึงจุดตั้งแคมป์ จากจุดตั้งแคมป์ถึงยอดเขาช้างเผือกใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ถือเป็นช่วงยากและลำบากที่สุด เนื่องจากเส้นทางขึ้นเขาสูงชันตลอด และต้องผ่านสันคมมีด ซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายที่สุดของการเดินทาง ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

ลูกหาบ
ติดต่อลูกหาบได้ที่บ้านอีต่อง ในอัตราวันละ 250-300 บาท ต่อวัน ลูกหาบจะทำหน้าที่หาบน้ำเป็นหลัก นอกเหนือจากเสบียงอาหารและสัมภาระ ในส่วนของน้ำกินและน้ำใช้ตลอดการเดินทางควรหาแกลลอนน้ำขนาดใหญ่ หรือซื้อน้ำดื่มที่บรรจุถังขนาดใหญ่ 5-6 ลิตร จะสะดวกและคล่องตัวที่สุด

สิ่งที่ต้องเตรียมตัว

แม้ว่าการเดินทางขึ้นยอดเขาช้างเผือกจะมีช่วงเส้นทางชันไม่มากนัก แต่ระยะทางการเดินเท้าไกลพอสมควร ประกอบกับช่วงลงเขาสภาพจะเป็นดินปนกรวด ซึ่งค่อนข้างลื่น ควรใช้รองเท้าที่เกาะพื้นดี และควรมือถุงมือเพื่อใช้ในการปีนป่ายและดึงหญ้าคาในช่วงขึ้นเขาลงเขาชันๆ นอกจากนี้ ควรสวมหมวก เนื่องจากเส้นทางเดินเท้าส่วนใหญ่เป็นการเดินทางกลางแจ้ง แสงแดดค่อนข้างแรง แต่พอกลางคืนสภาพาอากศจะหนาวและลมแรง จึงควรเตรียมอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อม นอกเหนือกจากยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยานวดต่างๆ

อาหาร
ควรเป็นอาหารที่ใช้น้ำค่อนข้างน้อยและมีน้ำหนักเบา เพราะบริเวณที่พักไม่มีน้ำ หากจะลงไปเอาน้ำต้องใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับประมาณชั่วโมงเศษ อาหารมื้อเที่ยงระหว่างเดินทางควรเป็นอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากร้านสวัสดิการอุทยานฯ หรือร้านอาหารที่บ้านอีต่อง เพื่อประหัดเวลาและน้ำในการหุงหาอาหาร เหลืออาหารมื้อที่ต้องทำกินจริงๆ เพียงมื้อเย็นและมื้อเช้าวันรุ่งขึ้น
ในส่วนของร้านอาหารทั่วไป มีร้านอาหารสวัสดิการของอุทยานฯ ให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. และที่บ้านอีต่องก็มีร้านอาหารให้บริการหลายร้านเช่นเดียวกัน

ที่พัก
ที่พักที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านอีต่อง คือบ้านพักของอุทยานฯ มีบ้านทาร์ซานต้นไม้และบ้านพักธรรมดาว ส่วนของเอกชนมีของป้าเกลน บริเวณเหมืองสมศักดิ์แต่สภาพเส้นทางค่อนข้างลำบาก ต้องใช้รถปิกอัพ หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
ส่วนพื้นที่ในการตั้งแคมป์สามารถใช้บริการได้หลายแห่ง เช่น บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ บริเวณโรงเรียนบ้านอีต่อง และบริเวณจุดชมวิวเขาช้างศึกซึ่งมีฐาน ตชด.ตั้งอยู่

อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ โทรศัพท์ 081-382-0395
กองร้อยตระเวนชายแดนที่ 135 โทรศัพท์ 034-591-118
รูปภาพ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 01 ก.ย. 2009, 22:05, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 20:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

วนอุทยานภูฝอยลม

ตำนานภูฝอยลม “ภูฝอยลม” เป็นพื้นที่ภูเขาที่มีสภาพอุดมสมบรูณ์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติพันดอน-ปะโค อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตร ตั้งชื่อตามชื่อของไลเคนชนิดหนึ่ง ชื่อว่า “ฝอยลม” ซึ่งเกาะอาศัยอยู่ตามกิ่งของต้นไม้ใหญ่กระจายอยู่เต็มพื้นที่ ต่อมาได้มีการให้สัมปทานทำไม้ และมีราษฎรเข้ามาจับจองและบุกรุกพื้นที่เพื่อจัดตั้งหมูบ้าน จึงทำให้สภาพป่าเริ่มเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ จนทำให้ ”ฝอยลม” เริ่มน้อยลงจนแทบจะหาไม่ได้ในพื้นที่ ในระหว่างปี 2528-3532 ส่วนราชการต่างๆ นำดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีในขณะนั้น (นายสายสิทธิ พรแก้ว) ได้ร่วมกันเคลื่อนย้ายราษฎร เหล่านั้นออกจากพื้นที่ป่า โดยจัดให้อยู่พื้นที่ใหม่ ซึ่งไม่ส่งผลกระทบกับการทำลายนิเวศปี 2533 สำนักงานป่าไม้เขตจังหวัดอุดรธานี ได้จัดอบรมเยาวชน เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ชื่อว่า “โครงการเยาวชนอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้” เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงทัศนะคติให้คนรุ่นใหม่ได้หันมาสนใจ และเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ต่อมาในปี 2535 ได้ทำการปรับปรุงหลักสูตรและกิจกรรมอบรมให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และเปลี่ยนชื่อโครงการใหม่เป็น “โครงการเยาวชนพิทักษ์ไพร” โดยใช้ชื่อย่อว่า “ย.พ.พ.” ปี 2535 กรมป่าไม้ได้อนุมัติงบประมาณจัดทำโครงการส่วนรวมพรรณป่าไม้ 60 พรรษามหาราชินี เพื่อเทิดพระเกียรติแด่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมพันธ์ไม้ป่าของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจนเป็นสถานที่สำหรับการศึกษาและพักผ่อนหย่อนใจของจังหวัดอุดรธานี

ปี 2541 กรมป่าไม้ได้อนุมัติงบประมาณจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าพันดอน-ปะโค ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการสร้างแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยพัฒนาป่าสงวนให้เป็นแหล่งท่อง เที่ยว

ปี 2545 ในสมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยว โดยการนำเสนอและการสนับสนุนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี เขต 4 ( นายธีระยุทธ วานิชชัง ) จึงได้รับอนุมัติเงินก่อสร้างบ้านพักห้องน้ำ ศาลาห้องประชุม ศาลาพักผ่อนแหล่งน้ำ และปรับปรุงภูมิทัศน์ในพื้นที่ ให้บริการ และเปลี่ยนชื่อโครงการใหม่เพื่อความสะดวกในการจดจำ และเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเป็น “ โครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ภูฝอยลม ” ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “ Phu Foilom Ecotourism Project ” และในปีเดียวกันนี้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ( นายชัยพร รัตนนาคะ ) ได้มีแผนการที่จะพัฒนาพื้นที่ ภูฝอยลม ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาค จึงได้หางบประมาณสร้างแหล่งน้ำเพิ่มเติม สร้างถนนลาดยาง และจัดทำโครงการอุทยานก่อนประวัติศาสตร์ และเส้นทางไดโนเสาร์ โดยการสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ปั้นไดโนเสาร์ชนิดต่างๆ ขนาดเท่าของจริง ปั้นจระเข้และเต่าโบราณ จัดทำหุ่นจำลองและวิวัฒนาการ ของลิงจนกลายเป็นมนุษย์ จัดทำนาฬิกาแดด โดยมีเส้นทางเดินเท้าและการปรับปรุงภูมิทัศน์ในบริเวณโดยรอบ ทั้งนี้ ในการจัดสร้างอุทยานก่อนประวัติศาสตร์ดังกล่าว ในเวลาดำเนินการเพียง 96 วัน ( ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2545 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2546 )

:: การเดินทาง ::
- เส้นทางสายอุดร-ดงเค็ง-หนองแสง-ภูฝอยลม ระยะทางประมาณ 45 กม.
- เส้นทางสายอุดร-บ้านเหล่า-หลุบหวาย-หนองแสง-ภูฝอยลม ระยะทางประมาณ 52 กม.
- เส้นทางสายอุดร-ทางพาดกุมภวาปี-สามเหลี่ยม-หนองแสง-ภูฝอยลม ระยะทางประมาณ 60 กม.
- เส้นทางสายอุดร-ห้วยเกิ้ง-ท่ายม-หนองแสง-ภูฝอยลม ระยะทางประมาณ 73 กม.

รูปภาพ

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


แก้ไขล่าสุดโดย บุหลัน..เลื่อนลอย เมื่อ 06 ก.ย. 2009, 20:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2009, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ย. 2009, 22:11
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บนหุบเขาแห่งความสงบ

มองผ่านม่านสลัวเข้าไปในเมืองใหญ่
ที่นั้น...เหล่าผู้คนกำลังวางแผนทำร้ายกัน
เสียงด่าทอ...เสียงอาวุธประหัตประหาร
ทุกหนทุกแห่งมีแต่เสียงร้องครวญ โหยไห้ อย่างทุกข์ทรมาน
สันติภาพได้เคลื่อนตัวไปกระซิบอยู่ใกล้ๆ “ พวกเธอต้องการฉันไหม?”
พวกคนเหล่านั้นกำลังเมามันต่อเหตุการณ์ที่ประทุุอยู่ตรงหน้า
ไม่ได้ยินเสียงของสันติภาพสักน้อยนิด

สันติภาพได้เดินทางไปทุกหนทุกแห่งเฝ้าโอดครวญอยู่ในใจ
“ทำไมไม่มีใครฟังเสียงหรือต้องการฉันเลย”

สันติภาพเริ่มร้องไห้และท้อถอย...
พวกคนเหล่านั้นไม่ฟังเขาและได้ขับไล่เขาออกไปให้พ้น
แหงนมองดดวงดาวและถามว่า. .
”ดวงดาวเจ้าขาทำไมผู้คนไม่ต้องการฉัน” ดวงดาวตอบว่า “ฉันไม่รู้หรอก...
ฉันมีหน้าที่กระพริบแสงให้กำลังใจแก่คนเดินทางในเวลากลางคืน..ลองถามพระจันทร์ดูซิ “

สันติภาพหันไปถามพระจันทร์. “พระจันทร์เจ้าขาทำไมผู้คนไม่ต้องการฉัน”
พระจันทร์ตอบว่า "ฉันไม่รู้หรอกสันติภาพ
ฉันเป็นพระจันทร์ มีข้างขึ้นข้างแรมและทอแสงในเวลากลางคืนเท่านั้น
ลองถามพระอาทิตย์ดูซิ “

รุ่งเช้าสันติภาพก็หันไปถามดวงอาทิตย์
“ดวงอาทิตย์เจ้าขาทำไมผู้คนเล่านั้นไม่ต้องการฉัน” พระอาทิตย์ตอบว่า
“ฉันไม่รู้หรอกฉันมีหน้าที่ส่องแสงในเวลากลางวัน ลองถามสายลมดูซิ
สายลมเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนอาจจะให้คำตอบเธอได้ “

สายลมพัดพลิ้วละลิ่วเข้ามา..สันติภาพเข้าไปทักสายลมอย่างดีใจ...
”สายลมเธอหยุดก่อนได้ไหม ฉันขอถามเธอหน่อย ทำไมผู้คนเหล่านั้นไม่ต้องการฉัน”

สายลมยิ้มอย่างใจดีและถามกลับว่า..."
เธอได้ถามดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์แล้วใช่ไหม ?..เขามีหน้าที่ต่างกันอย่างไร?"
สันติภาพตอบว่า “ถามแล้ว
ดวงดาวกระพริบแสงในเวลากลางคืน
พระจันทร์ก็เหมือนกัน มีข้างขึ้นข้างแรมและทอแสงในเวลากลางคืน
และพระอาทิตย์ส่องแสงในเวลากลางวัน “
สายลมถาม “พวกเขามีหน้าที่แตกต่างกันไหม?...

สันติภาพนิ่งและคิดไตร่ตรองดู
“เออใช่..พวกเขาทำงานมีหน้าที่ต่างกัน...มีคุณค่า
และให้ประโยชน์ต่อมนุษย์โลกแตกต่างกัน
และพวกเขามีช่วงเวลาทำงานเป็นของตนเองด้วย “

สายลมยิ้มและพูดว่า “เห็นไหม..ทุกอย่างมีความสำคัญต่อมนุษย์ที่แตกต่างกัน
และมีช่วงเวลาเป็นของตนเอง ..และตอนนี้เป็นเวลาของใครหละ?.
.สันติภาพตอบว่า “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของสงคราม “
สายลมหัวเราะ “เออ..ใช่แล้วตอนนี้เป็นเวลาของสงคราม
เธออยู่เฉยๆไม่ต้องไปเสนอให้เขา...
ไม่นานหรอกพวกเขาทำร้ายกันจนอ่อนล้าก็จะเรียกใช้เธอเอง...
สันติภาพเธอมองย้อนไปในอดีตซิเกิดเรื่องราวเช่นนี้ ซ้ำๆกันเสมอ

สงคราม..และสันติภาพ..
ต่างมีช่วงเวลาเป็นของตนเองเฉกเช่นกลางวันและกลางคืน...
มันเป็นธรรมชาติแห่งชีวิตที่เป็นอย่างนี้มาตลอด
สันติภาพขอบคุณสายลมที่ชี้แนะ
และให้คำตอบที่เข้าใจรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ
สันติภาพจะรออยู่ตรงนี้
เมื่อเวลาของสงครามหมดสิ้นไป
สันติภาพจะกลับไปสู่ผู้คนอีกครั้ง....

.....................................................
"ขอมีสติเข้มแข็งดั่งขุนเขา..แต่ขอมีจิตใจอ่อนโอนดั่งขนนก"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย เพลิง. เมื่อ 08 ก.ย. 2009, 15:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร