วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 13:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโอกาสแสดงความเห็นถึงเรื่อง
...สภาวะธรรมที่มีอยู่...อันหนึ่งครับ

บางคนเรียกจิตบ้าง..ใจบ้าง..ผู้รู้บ้าง..จิตหนึ่งบ้าง..ธาตุรู้บ้าง..อะไรอีกต่างๆ
...มีลักษณะเป็นนามธรรม..ไม่เป็นสังขาร..ไม่อยู่ในขันธ์5..ไม่อยู่ในปฏิจสมุปบาท..ไม่อยู่ในอายตนะใดๆ แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ถูกบดบังด้วยสังขารความคิดปรุงต่างๆ
..ในที่นี้ขออนุญาตเรียกว่าจิต..
และขออธิบายการทำงานอย่างหยาบๆดังนี้

จิตนี้ถ้าเปรียบก็จะเป็นเหมือน..สิ่งๆหนึ่งที่เป็นที่รองรับ..เป็นที่ทำงานของตัวปรุงแต่งทั้งหลายทางบาลีน่าจะเรียกว่า..เจตสิก..
เป็นที่รับส่งข้อมูลของขันธ์5และอายตนะทั้งหลาย..เป็นตัวภพของ..อวิชา....กรรม
..การปรุงแต่งเกิดเป็นสังขารนี้จึงมีอยู่ตลอดเวลา..เพราะมีปัจจัยที่ใหม่ๆถูกส่งผ่านมาทาง อายตนะทั้งภายนอกภายใน และ ขันธ์5มาให้ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
อันเก่าดับไปอันใหม่เกิดมา..เอาอันนี้ไปรวมอันนั้นวุ่นวายไปหมด..แต่มันก็เป็นหน้าที่ของมัน..
..สังขารที่เกิดขึ้นมาก็แบ่งอย่างหยาบๆเป็น3ทางคือ ทางดี ทางขั่ว และกลางๆ ..สังขารเหล่านั้นแสดงตัวกลับมาทางขันธ์5ในรูปแบบต่างๆ..
วนเวียนไปมาอยู่อย่างนี้ ไม่รู้ต้นรู้ปลาย..
แต่ตัวจิตนี้เป็นเพียงสิ่งที่รองรับ..สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เท่านั้น..เป็นผู้ดู..ผู้รู้เท่านั้นไม่มีสิทธ์มีเสียงอะไร
.
.

...ที่เราปฏิบัติอบรมจิตใจ กันแทบเป็นแทบตายก็เพื่อย้อนเข้ามาให้ถึงต้นตอของมันก็คือ ตัวจิตนี้เอง ที่เราเอาสติแนบไปกับพุทโธๆไม่ให้ไปส่งส่ายหาอารมณ์อื่น หรือกรรมฐาน40 หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ หรือพิจารณาไตรลักษ์ ตามแต่จริตนิสัยของแต่ละคน


ก็เพื่อ
จะย้อนไปถึงต้นตอคือตัวจิตที่มันเป็นที่เกิดดับของสังขารทั้งหลายจริงๆ..เป็นตัวภพของอวิชชา กิเลสอนุสัยจริงๆ ..ไปดูจิตเห็นจิตจริงๆ..การฆ่ากิเลสจริงๆ
สติปัฏฐาน4ที่แท้จริงก็จะเริ่มจากตรงนี้..

ถ้าหากว่า..พิจารณาจนปล่อยได้แม้กระทั่งผู้พิจารณาและตัวจิตได้จริงๆแล้ว

...จะเหลืออะไร..????????


..เหมือนก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่ง..ตกลงพื้นแตกดัง..เพล้ง!!!!!..มันจะเป็นยังไง



....มันก็ตัวใครตัวมัน...เท่านั้นเอง..


...โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน...

....เป็นความเห็นส่วนบุคคล...


...แล้วความเห็นของคุณ..คิดว่าสภาวะธรรมนี้มีจริงหรือไม่..หรือคลาดเคลื่อนอย่างไร..


..หรือเป็นเป็นแค่เพียง..นิทานหลอกเด็กเรื่องนึง!!!!!....

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


แก้ไขล่าสุดโดย ชิวว์ เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 20:14, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..เหมือนก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่ง..ตกลงพื้นแตกดัง..เพล้ง!!!!!..มันจะเป็นยังไง

อิ อิ ... โป่งสวรรค์หลุดมือ... แล้วมันจะลอยไปไหน... :b12: :b12:

ขอโอกาสแสดงความเห็นถึงเรื่อง ...สภาวะธรรมที่มีอยู่...อันหนึ่งครับ

หลายก็ได้...สภาวะธรรมแบบที่ชิวว์เล่า เอกอนอ่านแล้วเข้าใจ
เพราะเอกอนก็...เห็นเช่นนั้น...
แต่ไม่รู้จะปรึกษาใคร คิดถึงแต่ศรีธัญญา... :b3: :b3:
ได้แต่อัดอั้นเก็บเงียบไว้ในใจ และคิดว่าตนนั้นผิดลู่ผิดทางมาตลอด :b3: :b3:


บางคนเรียกจิตบ้าง..ใจบ้าง..ผู้รู้บ้าง..จิตหนึ่งบ้าง..ธาตุรู้บ้าง..อะไรอีกต่างๆ
...มีลักษณะเป็นนามธรรม..ไม่เป็นสังขาร..ไม่อยู่ในขันธ์5..ไม่อยู่ในปฏิจสมุปบาท..ไม่อยู่ในอายตนะใดๆ แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา แต่ถูกบดบังด้วยสังขารความคิดปรุงต่างๆ
..ในที่นี้ขออนุญาตเรียกว่าจิต..


อืมห์....เอกอนไม่ได้ขออนุญาติใคร แต่เอกอนอุทานว่า
อ้าว....เวร.... :b5: ห้วย....
เซ็งเลยตู... หมดสนุกเลย....


และขออธิบายการทำงานอย่างหยาบๆดังนี้

จิตนี้ถ้าเปรียบก็จะเป็นเหมือน..สิ่งๆหนึ่งที่เป็นที่รองรับ..เป็นที่ทำงานของตัวปรุงแต่งทั้งหลายทางบาลีน่าจะเรียกว่า..เจตสิก..


นี่ล่ะ ชามก๋วยเตี๋ยว...

เป็นที่รับส่งข้อมูลของขันธ์5และอายตนะทั้งหลาย

อิ อิ แอบมาลอกข้อสอบเอกอนตั้งกะเมื่อไร สารภาพมานะ

..เป็นตัวภพของ...อวิชา...กรรม
..การปรุงแต่งเกิดเป็นสังขารนี้จึงมีอยู่ตลอดเวลา..เพราะมีปัจจัยที่ใหม่ๆถูกส่งผ่านมาทาง อายตนะทั้งภายนอกภายใน และ ขันธ์5มาให้ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
อันเก่าดับไปอันใหม่เกิดมา..เอาอันนี้ไปรวมอันนั้นวุ่นวายไปหมด..แต่มันก็เป็นหน้าที่ของมัน..


อิ อิ ชอบจัง ตรงที่มันก็เป็นหน้าที่ของมัน

..สังขารที่เกิดขึ้นมาก็แบ่งอย่างหยาบๆเป็น3ทางคือ ทางดี ทางขั่ว และกลางๆ ..สังขารเหล่านั้นแสดงตัวกลับมาทางขันธ์5ในรูปแบบต่างๆ..
วนเวียนไปมาอยู่อย่างนี้ ไม่รู้ต้นรู้ปลาย..
แต่ตัวจิตนี้เป็นเพียงสิ่งที่รองรับ..สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เท่านั้น..เป็นผู้ดู..ผู้รู้เท่านั้นไม่มีสิทธ์มีเสียงอะไร


อืมห์....เห็นว่างั๊นเหมือนกัน

...ที่เราปฏิบัติอบรมจิตใจ กันแทบเป็นแทบตายก็เพื่อย้อนเข้ามาให้ถึงต้นตอของมันก็คือ ตัวจิตนี้เอง

ก็เพื่อ
จะย้อนไปถึงต้นตอคือตัวจิตที่มันเป็นที่เกิดดับของสังขารทั้งหลายจริงๆ..เป็นตัวภพของอวิชชา กิเลสอนุสัยจริงๆ ..ไปดูจิตเห็นจิตจริงๆ..การฆ่ากิเลสจริงๆ
สติปัฏฐาน4ที่แท้จริงก็จะเริ่มจากตรงนี้..

ถ้าหากว่า..พิจารณาจนปล่อยได้แม้กระทั่งผู้พิจารณาและตัวจิตได้จริงๆแล้ว

...จะเหลืออะไร..????????


ห้วย...ตัวใครตัวมันละ...เด้อ

เป็นความเห็นส่วนบุคคลจริง ๆ ห้วย...


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 20:59, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แนวโน้มความคิดของคุณนั้น อันตรายมาก
ขอย้ำว่าอันตรายมากๆจริงๆ

การศึกษาพระพุทธธรรมนั้น
สิ่งที่สำคัญมากข้อหนึ่ง ที่คุณไม่ทำ คือการปฏิบัติ
ได้แต่ครุ่นคิดในสิ่งที่ได้ฟังได้อ่าน แต่ไม่ปฏิบัติ จึงไม่รู้

การปฏิบัติ ไม่ใช่แค่สักว่าปฏิบัติ
แต่ต้องฉลาดในการปฏิบัติด้วย กล่าวคือรู้จักปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม

เปรียบเทียบเหมือนคุณเรียนอยู่ ป.1
แต่คุณไปสงสัยความรู้ระดับปริญญาเอก
แล้วก็ใช้ปัญญาระดับ ป.1 ไปครุ่นคิดเรื่องปริญญาเอก
และเพราะปัญญามีจำกัด คิดยังไงก็ไม่ได้
ก็เลยเหมาว่าเรื่องที่ปริญญาเอกคุยกันนั้นคงไม่จริง

ถ้าคุณเรียน ป.1 สิ่งที่คุณควรจะสงสัย คือข้อสอบของ ป.1
ไม่ใช่ของปริญญาเอก

นิพพานเป็นเรื่องของปริญญาเอก
ในขณะที่คุณ อาจจะยัง ทำสมาธิยังไม่ได้เลย


การศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะนั้น ต้องรุ้จักความพอดี
ให้มันมีเหตุมีผล สมควรแก่กัน
ต้องมีลำดับ มีขั้น

คนที่จะสงสัยเรื่องนิพพานได้ เห็นนิพพานได้ มีภูมิเดียว คือพระอนาคามี
นอกจากนั้นแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ ต่อให้คิดไปจนพระพุทธเจ้ามาเกิดอีกสัก 10 พระองค์ ก็เปล่าประโยชน์
เป็นการสงสัยที่ไม่ฉลาด ผิดขั้นลัดตอน ผิดธรรมชาติ


เรื่องจิตในสภาวะที่คุณพูดมา คนทำได้ เขาไม่สงสัยเลย
ที่สงสัยกัน ก็มีแต่คนทำไม่ได้

ผมขอแนะนำในฐานะเคยผ่านจุดที่คุณเป็นอยู่มาก่อน
ได้แต่บอกว่า เลิกคิดเรื่องสวรรค์ นิพพานอภินิหาร เรื่ออภิญญา อะไรทั้งหลาย
ให้เลิกอยากรู้ให้หมด มันไม่มีประโยชน์
ให้คุณจำกัดความสนใจอยู่แต่การตั้งหน้าถือศีล 5 ให้ได้ หัดทำสมาธิให้ได้
นี่เป็นข้อสอบที่ต้องผ่านฉลุยให้ได้เสียก่อน


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 21:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ บรรทัดที่ ๖๗๘๕ - ๖๘๑๓. หน้าที่ ๒๙๑ - ๒๙๒.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B= ... agebreak=0




ไม่มีปล่อยจิต มีแต่ต้องตั้งมั่นสำรวมอายตนให้ละเอียดยิ่งขึ้น
เพื่อให้เข้ากับอายตนนั้นมีอยู่(อายตนนิพพาน)
หากปล่อยจิตไม่ให้ตั้งอยู่ในสัมมาสมาธิแบบแก่กล้ายิ่งๆขึ้นไปก็เท่ากับว่า อกุศลครอบงำก็หล่นตุ๊บมาคลุกกับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสธรรมรมณ์แบบโลกๆ มาคลุกอยู่กับอายตนะโลกๆ ไม่สามารถรู้ยิ่งได้
ซึ่งผู้ที่รู้ยิ่ง ย่อมไม่ปรับจิตมาคลุกเคล้าโลกีย์หรอก
นี่คือความเห็นส่วนตัว

ยิ่งจะเอาชามไม่เอาฌาณนี่ :b32: ขัดแย้งมรรคมีองค์8 ขัดแย้งไตรสิกขา ๆลๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ บรรทัดที่ ๖๗๘๕ - ๖๘๑๓. หน้าที่ ๒๙๑ - ๒๙๒.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B= ... agebreak=0




ไม่มีปล่อยจิต มีแต่ต้องตั้งมั่นสำรวมอายตนให้ละเอียดยิ่งขึ้น
เพื่อให้เข้ากับอายตนนั้นมีอยู่(อายตนนิพพาน)
หากปล่อยจิตไม่ให้ตั้งอยู่ในสัมมาสมาธิแบบแก่กล้ายิ่งๆขึ้นไปก็เท่ากับว่า อกุศลครอบงำก็หล่นตุ๊บมาคลุกกับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสธรรมรมณ์แบบโลกๆ มาคลุกอยู่กับอายตนะโลกๆ ไม่สามารถรู้ยิ่งได้
ซึ่งผู้ที่รู้ยิ่ง ย่อมไม่ปรับจิตมาคลุกเคล้าโลกีย์หรอก
นี่คือความเห็นส่วนตัว

ยิ่งจะเอาชามไม่เอาฌาณนี่ :b32: ขัดแย้งมรรคมีองค์8 ขัดแย้งไตรสิกขา ๆลๆ

ในระหว่างที่ภาวนาอยู่คุณรู้หรือมันอยู่ฌานไหน..มันก็เป็นไปของมันตามสภาพจะเป็นฌานไม่เป็นฌานจะไปห่วงมันทำไม
บริกรรมก็บริกรรมไป..พิจารณาก็พิจารณาไป..จะมาห่วงนับฌานทำไม

..........

ไอ้เรื่องปล่อยไม่ปล่อยอันนี้ยกไว้ครับ
ยังไปไม่ถึงจุดนั้น

ขอบคุณที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น
เจริญในธรรมครับ

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


แก้ไขล่าสุดโดย ชิวว์ เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 21:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ บรรทัดที่ ๖๕๖๙ - ๖๕๘๐. หน้าที่ ๒๘๑.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B= ... agebreak=0
:b42: :b42: :b42:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมหรือครับ คุณจะเอา ชามไม่เอา ฌาณ ซึ่งนับจากปฐมฌาณขึ้นไป ยังไม่เหมาเอาโลกุตระฌาณเลยนะครับ แล้วจะเป็นผู้รู้เลยหรือ :b10: :b5: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




index15.gif
index15.gif [ 3.35 KiB | เปิดดู 4970 ครั้ง ]
ถือชามก๋วยเตี๋ยวไม่ดีหล่นตกแตก ก็อด ...สิครับ :b12:เอนไลท์ เอ๊ยยย คุณชิวว์ :b3: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 21:46, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนคุณชาติสยาม และท่านหลับอยู่
เรื่องที่ผมโพสไปมันสูงส่งตรงไหนไม่ทราบ
แค่นี้นักปฏิบัติเค้าเรียกเพิ่งจะเห็นที่ทำงาน เพิ่งรู้จิตสงบ
ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรแม้แต่นิดเดียว

คุณเพ้อเจ้อไปถึงสวรรค์ถึงนิพพาน

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โทดที ถือซะว่าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




abc%20(0).gif
abc%20(0).gif [ 16.32 KiB | เปิดดู 4932 ครั้ง ]
การฆ่ากิเลส อืม์ คงไม่ต้องใช้อาสวักขยญาณสินะคงต้องใช้ ไหลก็รู้อย่างเดียว :b32:

ดูหนังก่อนดีกว่า smiley


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 22:13, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
การฆ่ากิเลส อืม์ คงไม่ต้องใช้อาสวักขยญาณสินะคงต้องใช้ ไหลก็รู้อย่างเดียว :b32:

ดูหนังก่อนดีกว่า smiley

ไอ้เรื่องฆ่ากิเลสหรืออาสวักขยญานนั้นมันยังอีกไกลนะครับ

คุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า
ที่ผมแสดงความเห็นนี้คือจะชี้ให้เห็นถึงสภาวะตัวหนึ่งที่ได้พบเมื่อจิตสงบระดับนึง เป็นสภาวะที่รู้ไม่มีคำพูด ใบ้รับประทานประมาณนี้ ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนักหนา

ถ้าหากทำให้เข้าใจผิดก็ขออภัยด้วย

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 22:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะธรรมอันเป็น ธรรมชาติของสัตว์ทั้งหลาย นำสัตว์เข้าสู่ภพ มีอยู่

เรียกจิตบ้าง..ใจบ้าง ธาตุรู้บ้าง..
เป็นสังขตะธรรม อันเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มีคูหาคือรูปกายในกามาวจรภพ ที่เรียกว่ามนุษยโลกนี้บ้างเป็นที่อาศัย

อนุมานตามภาษาว่า มีลักษณะเป็นนามธรรม

สัขตะธรรม หรือธรรมชาติของสภาวะดังกล่าว คือขันธ์ 4 เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้สำเร็จเป็นจิต อันได้แก่
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์

สังขตะธรรม หรือธรรมชาติของสภาวะดังกล่าว คือ จิตและเจตสิก(พฤติจิต)เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้สำเร็จเป็นจิต

สังขตะธรรมดังกล่าว เนื่องจากเป็นสังขตะธรรม พระพุทธองค์จึงทรงตรัสสอนให้เห็นชัดได้ด้วยปฏิจสมุปปาทาธรรม

สังขตะธรรมดังกล่าว มีรูปกายเป็นที่อาศัย จึงทำให้เกิดความแบ่งแยกความรู้เกี่ยวกับ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และผัสสะต่างๆขึ้นมา และสังขตะธรรมนั่นเอง คืออายตนะภายใน

และขออธิบายการทำงานอย่างหยาบๆดังนี้

จิตนี้ถ้าเปรียบก็จะเป็นเหมือนหัวหน้างานที่ทำงานได้ด้วยตนเอง มีองคาพยพต่างๆ เรียกว่าเจตสิกเป็นตัวขับเคลื่อนแห่งจิตนั้น ไปตามความรู้ความต้องการของหัวหน้างาน

การขับเคลื่อน การแสดงออก พฤติ ต่างๆนั้น เรียกว่า เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง โดยมีอายตนะรองรับที่เหมาะที่สมทั้งสิ้น

เมื่อจิตยังมีเหตุคือ ราคะ โทสะ โมหะยังไม่สิ้น จิตและเจตสิก จึงแสดงตัวในภพต่างๆ เป็นความยึดมั่นถือมั่น เพราะด้วยอำนาจแห่งความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง เรียกว่า อวิชชา

ความยึดมั่นในบุญ ความยึดมั่นในบาป ความยึดมั่นในอเนญชา อันเป็นสังขาร เจตนา กรรมของจิตที่จิตเข้าถึงอยู่จึงปรุงแต่งจิตให้แสดงตัวในภพนั้นๆ

ตราบใดที่ความยึดมั่นถือมั่นดังนี้ยังประกอบอยู่กับจิต จิตจึงอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ตลอดไป

ที่เราปฏิบัติอบรมจิตใจ ก็เพื่อละความยึดมั่นถือมั่น ต่อสภาวะนี้คือจิตนี้เอง โดยอบรมจิตด้วยสมถะวิปัสสนา นั่นเอง

เพราะเหตุไร
เพราะ ความสละวาง ความยึดถือว่า รูป เป็นตน
แม้สละวางกระทั่ง ความยึดถือว่า จิต เป็นตน เป็นวัตถุที่พึงยึดถือได้ เช่นกัน

สติปัฏฐาน4ที่แท้จริงก็จะเริ่มจากตรงนี้..
คือการระลึกอยู่รู้อยู่ ถึงความไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่เพ่งเล็งอยากได้ อยากมี อยากเป็น สละวางทุกสิ่ง
โดยมีสติระลึกอยู่รู้อยู่เช่นนั้น โดยมีกาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งก็คือขันธ์ 5 ทั้งหลายเป็นที่ตั้งนั่นเอง

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ผมแสดงความเห็นนี้คือจะชี้ให้เห็นถึงสภาวะตัวหนึ่งที่ได้พบเมื่อจิตสงบระดับนึง เป็นสภาวะที่รู้ไม่มีคำพูด ใบ้รับประทานประมาณนี้


ภาวะที่เดิมทีเรารู้สึกว่านี่คือเรา แต่ปรากฎว่ามันชักจะไม่ใช่นี่หว่า...หง่ะ

อะไรอย่างเงี๊ยะ...ใช่ป่าว...คะ

คือแบบว่า ตอนนั้น เอกอนตระหนักแก่ใจประมาณนั้น


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 22:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
ที่ผมแสดงความเห็นนี้คือจะชี้ให้เห็นถึงสภาวะตัวหนึ่งที่ได้พบเมื่อจิตสงบระดับนึง เป็นสภาวะที่รู้ไม่มีคำพูด ใบ้รับประทานประมาณนี้


ภาวะที่เดิมทีเรารู้สึกว่านี่คือเรา แต่ปรากฎว่ามันชักจะไม่ใช่นี่หว่า...หง่ะ

อะไรอย่างเงี๊ยะ...ใช่ป่าว...คะ

คือแบบว่า ตอนนั้น เอกอนตระหนักแก่ใจประมาณนั้น


...ตอนนั้นมันคิดไม่ออกครับ
...รู้อย่างเดียว
...แต่ภายหลังแล้วมันก็คิดเตลิดเปิดเปิงไปหมด อย่าให้พูดเลยครับ
...ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ก็คงแย่

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 137 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร