วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 22:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่อยากจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเองโดยตรงค่ะ
ไม่ได้มีเจตนาที่จะกล่าวพาดพิงถึงผู้ใด ที่อยากจะเล่าก็แค่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า
จะมีหลาย ๆ คนที่ได้อ่านหันเข้ามาปฏิบัติธรรมกันมาก ๆ ขึ้น
ทำนุบำรุงพุทธศาสนามาก ๆ ขึ้น ประกอบกับเป็นการระบายความทุกข์ใจส่วนตัวที่มีมานานหลายปี
แต่พูดให้ใครฟังแทบไม่ได้ หาคนจะมาเข้าใจก็ยากเหลือเกิน
ต้องประสบทั้งความทุกข์ทรมานทางกายและใจที่แสนสาหัส ( เพียงแต่ไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็นเท่าไร ) ^^


ทีแรกก็กะจะเก็บประสบการณ์ตรงเหล่านี้เอาไว้คนเดียว
ไม่คิดจะแบ่งปันให้คนอื่น ๆ ฟังหรือรับรู้เลย แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า
ถ้าหากเรื่องราวของฉันจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ ที่ยังลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า
ฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งเหลือเกินว่า เรื่องราวในระยะเวลาหกปีเต็มของชีวิตฉัน
จะช่วยทำให้หลาย ๆ คนได้หันมาฉุกคิดเวลาจะทำกรรมชั่วใด ๆ แล้วหันกลับมาทำแต่กรรมดี
และผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมได้หันมาปฏิบัติธรรมมาก ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ฉันเองหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุก ๆ ท่านจะได้เดินทางเข้าสู่แดนพระนิพพาน
เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ผจญกับความทุกข์สารพัดมากมายขนาดนี้





ป.ล. ตอนนี้ติณสุขภาพแย่มาก ๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นแค่วันนี้วันเดียวคงจะเล่าไม่จบ
โดยความตั้งใจก็จะค่อย ๆ เล่าไปเรื่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์และเวลาที่เกิดขึ้นในแต่ละปี
บางวันก็อาจจะไม่ได้เข้ามาในบอร์ด เพราะว่าอยู่หน้าจอคอมนาน ๆ ก็ไม่ได้ ^ ^
และชื่อบุคคลที่กล่าวถึง ติณขออนุญาตใช้ชื่อที่สมมติขึ้นมานะคะ


ขอให้ทุก ๆ ท่านที่เข้ามาอ่านเจริญในธรรมทุก ๆ ท่านค่ะ สาธุ ๆๆ





..........


time is a valuable thing - เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า คำกล่าวคำนี้คงจะเป็นความจริงที่เหนือกว่าความจริงใด ๆ



ปีนี้ฉันอายุ 25 ปี ใคร ๆ ก็บอกว่า ฉันยังเด็กอยู่ ยังต้องมีอนาคต มีชีวิตที่สดใส
เป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นสร้างฐานะให้กับตัวเอง


เพื่อน ๆ ของฉันในวัย 25 ปี
บางคนกำลังเรียนต่อปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยชื่อดัง
บางคนกำลังมีความสุขกับการมีคนรักและกำลังเตรียมตัวจะแต่งงาน
บางคนกำลังเรียนต่อปริญญาโทในต่างประเทศ เพื่อจะได้มีอนาคตหน้าที่การงานที่ดี ๆ
บางคนกำลังก้าวหน้าในอาชีพการงานของตัวเอง
และอื่น ๆ อีกมากมาย


ส่วนชีวิตฉันนะหรอ ไม่ต้องพูดถึงฉันหรอก ฉันไม่ได้จัดอยู่ในประเภทใด ๆ เลยของคนกลุ่มนั้น
เพราะฉันเป็นคนที่เรียนหนังสือไม่จบ เป็นคนป่วย หรือเรียกให้ถูก ๆ ก็คนที่ได้แต่รอความตายไปวัน ๆ
พอฉันพูดกับใคร ๆ ว่า ฉันมีความรู้สึกว่าฉันคงอยู่ได้อีกไม่นานหรอกนะ ก็มีแต่คนบอกว่าฉันพูดอะไรบ้า ๆ
แต่ฉันกลับคิดในทางตรงกันข้าม ฉันกลับคิดว่า ความตายนั้นเป็นเรื่องที่ปกติแสนจะปกติในชีวิตมนุษย์
ไม่ว่าใครหน้าไหน ก็ไม่มีวันหนีความตายพ้นไปได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักร้องมีชื่อเสียง เป็นพระราชา เป็นเจ้าของธุรกิจพันล้าน หรือเป็นเพียงขอทานยาจกที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ ในท้ายที่สุดคุณก็ต้องตายจากโลกนี้กันไปทั้งนั้น


เมื่อฉันพูดกับพี่ ๆ น้อง ๆ หรือเพื่อนที่พอจะสนิทสนทกันอยู่บ้างว่า ฉันคงอยุ่ได้อีกไม่นานหรอกนะ
ก็มีแต่คนว่าฉัน ว่าทำไมฉันถึงพูดจาอะไรแบบนี้ พูดจาไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
ใคร ๆ ก็ต้องตายกันทั้งนั้น จะรีบคิดว่าตัวเองจะตายไปทำไม


ฉันไม่รู้จะอธิบายไปเพื่ออะไรให้คนพวกนั้นเข้าใจ
ในเมื่อสิ่งที่ฉันพูดมันคือความจริงทั้งนั้น
น้ำหนักที่ลดลงมาจากปกติถึง 10 กิโลกรัม ร่างกายที่ซูบผอมจนเห็นแต่ซี่โครง
แม้กระทั่งเส้นเลือดก็เริ่มจะเห็น ๆ แล้ว
หายใจเข้า หายใจออกก็แสนจะลำบาก บางครั้งหายใจไม่ได้ หน้าไม่มีสีเลือดก็เคยมาแล้ว

เวลาจะนอนก็นอนแบบคนปกติไม่ได้ ต้องงอตัวนอน บางทีก็ต้องเอาหมอนมาฟุบแทน
แต่ละวันแต่ละคืนกว่าจะหาท่านอนใ้ห้ตัวเองได้ ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ
จะเดินไปไหนมาไหนแต่ละทีก็หอบเหนื่อย ยังกับไปวิ่งรอบสนามกีฬามาสักสิบรอบ
และอาการมากมายอีกสารพัดที่ฉันขี้เกียจจะจำแล้วละ ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไรบ้าง
แล้วนี่ฉันพูดเรื่องไม่ดีตรงไหนกันหนอ ในเมื่อมันก็เห็นกัน ๆ อยู่
ว่านี่คือสภาพของคนที่ใกล้จะโบกมือลาโลกนี้แล้ว ฮ่า ๆๆ



ฉันก็เข้าใจดีอยู่หรอก ว่าคนพวกนั้นคงทำใจไม่ได้เรื่องของฉัน
มันก็จริงอยู่หรอก เมื่อพูดถึงความตาย หลาย ๆ คนมักจะทำใจไม่ได้
เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องสูญเสียพลัดพรากจากคนที่รักไป
แต่ไม่ใช่กับตัวฉัน
ในวันนี้ ฉันยินดีที่จะยอมรับความตายแต่โดยดี มากเสียกว่าที่จะต้องมีชีวิตอยู่แบบทรมาน ๆ เช่นนี้
ฉันไม่กลัวความตาย และไม่คิดด้วยว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวแต่อย่างใด


เมื่อไม่นานมานี้ แม่ก็เพิ่งจะพูดกับฉันด้วยว่า
เวลาสวดมนต์ หนูก็ขอให้หนูตายก่อนพ่อกับแม่นะ
เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง ใคร ๆ ก็ต้องว่าแม่ฉันบ้าไปแล้วแน่ ๆ



ตั้งแต่เด็กจนโตฉันคิดอยู่เสมอ คนเราเกิดมาเพื่ออะไร
ในเมื่อมองไปทางไหน ฉันไม่เคยเห็นใครมีความสุขจริง ๆ เลยสักคน
ไม่ว่าจะรวย จน เรียนเก่ง เรียนไม่เก่ง สวย หล่อ ขี้เหร่ สูง ต่ำ ดำ ขาว
มนุษย์มีทุกข์อยู่เสมอ เพราะไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
นั่นคือความคิดของฉันเมื่อฉันเรียนชั้นมัธยม




ฉันจำได้ว่า ฉันเคยถามพ่อว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร
แล้วพ่อฉันก็ตอบว่า คนเราเกิดมาเพื่อทำความดีไงลูก
นั่นคือสิ่งเดียว ที่ทำให้ใจฉันยังคงเ้ป็นสุขที่ตัวเองยังมีลมหายใจอยู่จนถึงวันนี้
ในตลอดระยะเวลาห้าปีกว่า ๆ ที่ฉันต้องเผชิญกับความทุกข์หนักหนาแสนสาหัส
เป็นความทุกข์ที่ใคร ๆ ได้รับรู้ก็คงไม่อยากจะเชื่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเรื่องจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาค่ะคุณติณ

จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวนะคะ
หลายคนที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าคนที่เป็นมะเร็งขั้นเริ่มต้น
เนื่องจากพอรู้ผลตรวจก็จิตหดหู่จนทำให้ร่างกายทรุดหนัก

ตอนนี้คุณติณก็กำลังทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
ดิฉันคิดว่ายังดีกว่าอีกหลายคนที่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความประมาท
ไม่มีโอกาสได้รู้และทำในสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่ชีวิตมนุษย์ควรจะได้

ความตายมาถึงพวกเราทุกคนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ไม่เลือกว่าจะเป็นคนดีหรือเลว จนหรือรวย อ่อนแอหรือแข็งแรง
เห็นแข็งแรงๆในวันนี้ เผลอเดินข้ามถนนไม่ระวังก็ถูกรถชนตายได้

จริงๆจิตเกิดดับตลอดเวลา
เพียงแต่จิตดวงสุดท้ายในภพนี้ จะไปเป็นปฏิสนธิจิตในภพใหม่รูปใหม่
ตราบที่ยังมีอวิชชา

พวกเราทุกคนต่างก็เป็นนักเดินทางผู้โดดเดี่ยวในสังสารวัฏ
ไม่มีใครหรืออะไรจะตามเราไปได้ นอกจากข้อมูลกรรมที่สั่งสมไว้ในจิต
ตอนนี้ก็สั่งสมแต่สิ่งดีดีให้จิตนะคะ ขอเล่าให้ฟังเรื่องนึงค่ะ
พระรูปหนึ่งท่านพบนางฟ้ามากราบนมัสการ แล้วจำไม่ได้
ที่แท้เมื่อชาติก่อนนางฟ้านี้เคยเป็นคุณยายขายพวงมาลัยอยู่ที่วัดท่านนี่เอง
(จะสื่อว่าชาติภพถัดไปเราอาจมีอัตภาพที่ดีกว่าตอนนี้ก็ได้ค่ะ ตามเหตุที่เราเคยทำไว้)

เป็นกำลังใจให้ค่ะ :b46:

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ติณณาห์ เขียน:
ปีนี้ฉันอายุ 25 ปี ใคร ๆ ก็บอกว่า ฉันยังเด็กอยู่ ยังต้องมีอนาคต มีชีวิตที่สดใส

ไม่น่าเชื่อ..และไม่อยากจะเชื่อ..ที่ผู้หญิงอายุเพียงเท่านี้จะต้องมารับผลวิบากกรรมแสนสาหัสก่อนวัยอันควร...อันเรือนร่างของมนุษย์เรานี้มันเป็นที่พักอาศัยของโรคแท้ๆ ซึ่งทุกคนหลีกเลี่ยงไม่พ้นแน่..
เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เป็นกฏธรรมชาติ
....มองโลกในแง่ดี..และให้กำลังใจ..เมื่อมีกำลังใจย่อมจะมีผลทางกำลังกาย..ไม่อยากจะบอกให้เชื่อเลยว่าโรคร้ายของคุณมีทางหายได้...คุณอาจจะหัวเราะงอหาย..เพราะคุณเชื่อว่าหมอสมัยใหม่พร้อมเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าคุณจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้..จะอยู่ได้ถึงวันนั้นวันนี้..
เฮอ..!!!คุณคงท้อแล้วท้ออีก...จนเจริญมรณสติ..รายวัน..เตรียมตัวตาย..ไม่กลัวความตาย..เห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา..อันนี้ต้องยอมรับจิตใจของคุณติณจริงๆ..มันยิ่งใหญ่..มันเป็นธรรมชั้นสูง..มันเป็นวิปัสสนา....มองเห็นความไม่เที่ยง..แม้แต่ผิวกายตัวเองที่เริ่มแห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควร..แม้แต่รอยเส้นเลือดที่ผุดขึ้น...มันก็เป็นสักว่าธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ (มีอากาศ วิญญาน)มาประชุมกันเข้าก็เลยสมมุติกันว่าเป็นคนล่ะ..เป็นมนุษย์..เป็นนั่นเป็นนี่ล่ะ...
....ลองนึกพิจารณาดู..ในอุปาทาน..ขันณ์..รูป เวทนา สัญญา สังขาร..วิญญาน..ถ้าคุณหลุดออกจากสิ่งจองจำเหล่านี้..หรือหลุดออกจากความมีตัวตน..ความยึดมั่น..ถือมั่น..ความทุกข์คุณจะทุเราเบาบางลงหรือแทบจะไม่มี..คงมีแต่ความเจ็บปวดทางกายเท่านั้น..แต่ใจนั้นสงบสุขอย่างยิ่ง..แม้ความเจ็บปวดนี้มันก็ไม่เที่ยง..มันมีเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไป..ดับไปในที่นี้ไม่ใช่ว่าตาย..คุณลองสุงเกตุดู..ว่าจริงไหม..มันปวดตลอดทุกเวลาหรือไม่..บางครั้งจิตคุณเตลิดออกไปถึงใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด..ความเจ็บปวดนั้นมันก็จะหายไปชั่วขณะ..เกิดๆดับๆ..อยู่..เหมือนกับจิตนี่แหละ..ที่คิดได้ตลอดเวลาปรุงแต่งตลอดเวลา เกิดๆ ดับๆ อยู่...
.......ถ้าคุณยังมีกำลังที่จะมาโพสต์ กระทู้เพื่อเผยแผ่ เตือนสติแก่ญาติกัลยาณมิตรในเวบนี้อยู่..แสดงว่าคุณยังมีสติ..ขอให้คุณเข้ามาบ่อยๆ เท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย..อันนี้มีประโยชน์..เป็นบุญกุศล..กระผมขออนุโมทนา...โรคร้ายของคุณไม่ร้ายอย่างที่คิด...จงเชื่อและศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..คุณสามารถ..เจริญภาวนาเมตตา...เจริญกรรมฐาน..เจริญสมถะ-วิปัสสนา..เวลานั้นมีค่ามากหากวันนี้คุณมีแรงปฏิบัติ..สะสมไปทีละเล็กที่ละน้อย..อย่ามองวันข้างหน้าว่าเราจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มันเป็นเพียงแค่มายา..ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นเป็นของน้อยนัก..มองวันนี้ ปัจจุบันนี้..เดี๋ยวนี้..มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม..มีความเพียรที่จะปฏิบัติ..นั่งสมาธิ..เดินจงกรม..หรือนอนสมาธิ..ทุกอิริยาบทคุณสามารถกระทำได้
บางทียาที่หมอให้ประจำวันที่ช่วยระงับความเจ็บปวดอาจจะไม่มีผลเท่า ยาธรรมะทีคุณปฏิบัติทางใจเพื่อละกิเลสทั้งปวงและไม่มีผลข้างเคียงเป็นอย่างอื่น..นอกจากความสงบ....และเมื่อสภาวะจิตใจสงบปราศจากสิ่งใดรบกวนแล้ว..โรคร้ายมันก็ย่อมทำอะไรเราไม่ได้..แรงใจมาแรงกายก็ต้องมา
...ขอเป็นกำลังใจอย่างยิ่งยวด..และขอให้คุณมีแรงกายแรงใจเข้ามาเล่าธรรมสู่กันฟังทุกวันครับ

เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2010, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


จันทร์ ณ ฟ้า เขียน:


ความตายมาถึงพวกเราทุกคนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ไม่เลือกว่าจะเป็นคนดีหรือเลว จนหรือรวย อ่อนแอหรือแข็งแรง
เห็นแข็งแรงๆในวันนี้ เผลอเดินข้ามถนนไม่ระวังก็ถูกรถชนตายได้





เป็นกำลังใจให้ค่ะ :b46:



ขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะพี่จันทร์ หนูขออนุญาตเรียกแบบนี้แล้วกัน อิ ๆ


ความตายนี่มันไม่เลือกปฏิบัตินะคะ หนูว่า
ไม่ว่าจะป่วย ไม่ป่วย สวย รวย จน พอบทคนเราจะถึงเวลาตายก็ต้องตายทุกคน
แล้วแต่กรรมที่ทำมา แม่หนูบอกหนูแบบนี้ ^ ^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2010, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตเล่าเรื่องต่อเลยนะคะ หายไปสองวัน อาการร่อแร่อีกแล้ว ฮ่า ๆๆ




...................


อีกไม่กี่วันต่อจากนี้ก็จะถึงวันครบรอบที่ติณโดนหามเข้าโรงพยาบาล - คืนวันที่ 19 มิถุนายน 2547
ปีนั้นติณสอบเข้าเรียนได้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากบ้านคุณพ่อคุณแม่ติณอยู่ต่างจังหวัด
ติณจึงต้องย้ายมาอยู่กับญาติที่กรุงเทพ ซึ่งก็คือ คุณปู่คุณย่า และคุณอา


ก่อนหน้าวันที่ 19 มิถุนายน ราว ๆ สองสัปดาห์ ( เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยกำลังเปิดเืทอมพอดี )
ติณเริ่มมีอาการตัวร้อน ไข้ขึ้นสูงมาก ตอนไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแถว ๆ บ้าน
พยาบาลบอกว่าไข้ขึ้นสูงถึง 39 องศา ระดับเกร็ดเลือดต่ำลงกว่ามาตรฐานครึ่งหนึ่ง
ขนาดที่ว่าคุณหมอเรียกอาไปสอบถามว่ามีคนในครอบครัวเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือเปล่า
แต่คนในครอบครัวติณไม่มีประวัติว่าใครเคยเป็นโรคนี้เลยสักคน อาการนอกจากนี้ก็คือ
ลำไส้ทำงานผิดปกติ เวลาที่ทานอะไรเข้าไป มันก็ถ่ายออกมาทันที มารู้ทีหลังก็คือ ลำไส้ติดเชื้อ
ไปโรงพยาบาลครั้งแรก คุณหมอวินิจฉัยว่า ติณเป็นไข้ติดเชื้อ ก็สั่งยามาให้กิน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น


จนกระทั่งคืนวันที่ 19 ไข้ที่คนที่บ้านคิดว่ามันจะลดลงมันกลับไม่ลดลงเลย
ความรู้สึกของตัวติณเองในตอนนั้นก็คือ รู้สึกเหมือนตัวเองสามารถเปล่งรังสีความร้อนออกมาได้
ติณยังจำได้ไม่เคยลืมเลยว่า คืนนั้นคุณย่ามาเช็ดตัวให้ จนสุดท้ายท่านคงเห็นว่า อาการไม่ดีขึ้น
ก็เลยสั่งให้อาไปเรียกแท็กซี่พาติณไปโรงพยาบาลอีกแห่ง


เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เมื่อเข้าไปตรวจที่แผนก ER คำถามแรกที่หมอถามติณก็คือ
เป็นยังไงบ้าง รู้สึกเหนื่อยไหมคะ ??
ตอนนั้นก็งง ๆ เอ๊ะ ทำไมถามเราแบบนี้ละ ก็เพราะตอนนั้นติณไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด
แล้วคุณหมอก็สั่งให้พยาบาลลากถึงอ็อกซิเจนพร้อมกับเครื่องช่วยหายใจเอามาให้ติณใส่
จากนั้นคุณหมอก็ซักถามอาการ อย่างเช่นว่า เริ่มรู้ตัวว่ามีไข้ตอนไหน แล้วคำถามอีกหลายคำถาม
ในที่สุดหมอก็สั่งให้ admit


นึกถึงช่วงเวลานั้นแล้วก็ขำ ๆ เพราะในห้องของแผนก ER เตียงรอบ ๆ ข้างติณมีแต่คนสูงอายุ
คือมีแต่คนรุ่นคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย เห็นจะมีก็แต่ติณคนเดียวนี่ละที่เป็นเด็ก

ตอนที่นอนอยู่ที่ ER พี่พยาบาลก็เอายาชนิดหนึ่งมาให้ติณกิน เป็นยาน้ำีที่อร่อยมากจริง ๆ
รสชาติเหมือนเอาเกลือทะเลสักสิบกิโลมาต้มรวมกัน เพราะมันเค็มแสนเค็ม โคตระจะเค็ม
ตอนแรกติณเองก็สงสัยเอ๊ะ ยาอะไรน้อ ทำไมพี่พยาบาลต้องเอาเหยือกน้ำกับแก้วน้ำมาวางไว้ข้าง ๆ ด้วย
แถมตอนนั้นเอามาให้ พี่เขายังมีอารมณ์บอกติณอีกว่า
ทานยาเสร็จแล้ว ดื่มน้ำตามเยอะ ๆ นะคะ = =' ไอ้เราก็คิดว่ามันจะไปกัดกระเพาะหรอ ถึงต้องดื่มน้ำตามมาก ๆ ทีไหนได้
พี่น้องครับ มันเค็มมาก เค็มลงไปถึงข้างในคอเลยค่ะ ยาที่ว่าก็คือ ยา K แปลเป็นภาษาพื้น ๆ มันคือ โปแทสเซียมเหลว โดนสั่งให้กินเพราะหมอบอกว่าระดับโปแทสเซียมในเลือดลดลง




วันถัดมา วันที่ 20 มิถุนายน 2547
คุณแม่ของติณลงมาจากต่างจังหวัด เพราะคุณย่าโทรศัพท์ไปบอกว่าติณอยู่ที่โรงพยาบาล
วันนั้นถ้าจำไม่ผิด ติณถูกส่งให้ไป x - ray ปอด ทำ ultrasound ที่ท้อง
จริง ๆ ก็ลืมไปแล้วว่าวันไหน แต่เป็นช่วงแรกที่เข้าไปที่โรงพยาบาลนี่ละค่ะ
ปรากฎว่าหลังจากตรวจสารพัด ทั้ง x- ray , ultrasound ตรวจเลือด ตรวจฉี่
อาการที่พบก็คือ หนึ่งปอดด้านขวาของติณทะลุ และสองก็คือมีก้อนเนื้อติดอยู่ที่ไตด้านขวา
ซึ่งก้อนเนื้อที่ไตใหญ่มาก ๆ มันดึงเลือดในตัวติณไปหล่อเลี้ยงแล้วก้อนที่ว่านี่ก็กำลังจะแตก
เลือดเริ่มไหลออกมาแถมลงไปทางลำไส้เล็ก ทำให้ลำไส้เล็กติดเชื้อ
นั่นคือสาเหตุว่าทำไม ติณกินอะไรเข้าไปก็จะถ่ายท้องออกมาทันที




จากนั้นก็ย้ายไปอยู่อีกแผนกหนึ่ง จำชื่อแผนกไม่ได้แล้ว TT^TT
จนกระทั่งหมอเริ่มมาคุย ๆ บอกว่า อาจจะต้องใส่ท่อเข้าไปในปอดที่มันทะลุ
ตอนนั้นก็ไม่คิดอะไร เพราะว่าทำใจเอาไว้แล้ว ตั้งแต่ตรวจมาแล้วเจอนั่นโน่นนี่
ในใจก็คิด เอาเหอะ ถึงจะอยากกลับบ้านมากแค่ไหน ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ฮือ ๆๆ




มีเรื่องหนึ่งที่ตลกก็คือ ตอนที่แม่มาถึงโรงพยาบาล แม่เล่าให้ติณฟังว่า
เมื่อวานแม่ไปทำบุญที่บ้านของเพื่อนคุณย่าท่านหนึ่ง ( ติณมีย่าหลายท่านค่ะ แบบว่า ที่บ้านครอบครัวใหญ่ คุณย่าที่กล่าวถึง ทั้งท่านที่ติณมาอยู่ด้วย และท่านที่แม่พูดถึง เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของปู่แท้ ๆ ของติณเอง งงกันไหมนี่ ^ ^" )

ก็แม่ก็เล่าให้ฟังว่า แม่ไปเจอพี่คนหนึ่งเป็นลูกชายของคนที่มาทำบุญที่บ้านนี้
คือทุก ๆ ปี บ้านของเพื่อนคุณย่าท่านนี้จะนิมนต์พระคุณเจ้ามาเทศน์ มีให้ทำสังฆทาน
ถวายผ้าไตร แล้วแต่ละคนก็จะเอาอาการกับข้าวมาในงาน ช่วย ๆ กันอะไรแบบนี้ค่ะ
ซึ่งตอนเด็ก ๆ กว่าตอนนั้นติณก็เคยไปบ้านนี้อยู่สองสามครั้ง ^ ^



พอดีว่าพี่คนนี้เขาดูดวงแม่นมาก แม่ติณก็เลยยื่นมือให้พี่เขาดูเล่น ๆ ไม่ได้คิดจะดูจริงจังอะไร
เขาก็ทักแม่ติณว่า คุณน้าครับปีนี้ลูกสาวคนโต คุณน้าอายุเท่าไร แล้วอยู่ที่ไหน
ตอนนี้กรรมมาถึงตัวน้องเขาแล้วนะครับ


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะ แค่ไม่ถึงวันหลังจากที่แม่ติณโดนทักมา ติณก็โดนหามเข้าโรงพยาบาล
แถมจัดอยู่ในประเภทคนป่วยอาการใกล้จะตาย หมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิด ติณตายแน่นอน
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นติณสุขภาพดีมาโดยตลอด เล่นกีฬาได้ปกติ เดินก็ปกติ


ที่ไม่อยากจะเชื่ออีกอย่าง ก็คือพอตรวจไปเรื่อย ๆ ในที่สุดหมอก็ลงความเห็นว่า
ติณป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่มีทางให้รักษาให้หายขาดได้
นั่นหมายความว่า ติณเป็นโรคนี้มาตั้งแต่เกิด แต่อาการไม่เคยกำเริบเลยจนกระทั่งติณอายุ 19 ปี
แถมโอกาสที่จะเป็นโรคนี้มีแค่หนึ่งในห้าหมื่นหรือหนึ่งในห้าแสนนี่ล่ะค่ะ ( น่าจะเป็นอย่างหลัง )
ตอนนั้นก็อึ้ง ๆ ไปเหมือนกัน เฮ้ย เป็นไปได้ไงนี่ เราเป็นโรคอะไรกันเนี่ย อะจ๊ากกกก


อีกเรื่องที่น่าตลกก็คือ โรคที่ว่านี่ คนที่เป็นจะต้องปัญญาอ่อน เป็นอาการหลัก ๆ เลย
คุณหมอบอกมาแบบนั้นค่ะ แต่ติณกลับเป็นคนปกติ แถมยังเรียนเก่งอีกต่างหาก TT^TT
เพราะเวลาหมอมาตรวจจะถามแทบทุกคนเลยว่า นี่เรียนอยู่ปี่หนึ่งที่จุฬาจริง ๆ หรอ
ไม่ก็ถามทำนอง เรียนคณะอะไร เก่งจังเลย เหมือนกับไม่อยากจะเชื่อว่า คนไข้เคสแบบติณจะมีจริง ๆ

........


วันนี้ก็ไปพักก่อนนะคะ เริ่มจะไม่ไหวอีกแล้ว TT^TT


แก้ไขล่าสุดโดย ติณณาห์ เมื่อ 09 มิ.ย. 2010, 12:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2010, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เราเป็นศิษย์สถาบันเดียวกันเลย...

บุญกุศลใดใดที่พี่เคยทำไว้
พี่ขอให้น้องติณและเจ้ากรรมนายเวรของน้องติณด้วยนะคะ
เข้มแข็งเจริญในธรรมนะคะ
พี่ขวัญ

น้องติณคะ ช่วยส่งที่อยู่มาให้พี่ทาง t.jannapat@gmail.com ได้มั้ยคะ
พี่จะขอส่งหนังสือเล่มนึงไปให้ (ยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ-ดร.สนอง วรอุไร)
พี่ซื้อเก็บไว้หลายเล่ม เพื่อจะส่งให้ญาติธรรมค่ะ
เนื่องจากเป็นหนังสือเล่มแรกที่ทำให้พี่ตัดสินใจก้าวออกจากทุกข์ด้วยตัวเอง
และมีส่วนในการเปลี่ยนเส้นทางกรรมของพี่มาก ลองดูนะคะ

ได้ยินว่าหากเราขอให้ผู้เข้าปฏิบัติธรรมหลายๆคน อุทิศกุศลอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม
ให้เราและเจ้ากรรมนายเวร ก็มีผลมากค่ะ

พี่ขอยกคำสอนของดร.สนอง วรอุไร เกี่ยวกับเรื่องกรรมมาณ ที่นี้นะคะ

1. ยอมรับความจริงของบุพกรรมและยอมชดใช้วิบากของกรรมที่ตามมาทันในชาติปัจจุบัน
ชดใช้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น

2. ทำบุญใหญ่แลกหนี้ บุญใหญ่ต้องทำด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนา
แล้วอุทิศบุญที่เกิดขึ้นให้กับเจ้าหนี้เวรกรรมไปเรื่อย ๆ
วิธีนี้เป็นการเอาบุญแลกกับหนี้บุพกรรมที่เป็นเวรต่อกัน

3. สร้างความดีหนีหนี้ ด้วยการพัฒนาตัวเองให้มีความเพียร
ไม่ประพฤติอกุศลกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น เพียรกำจัดอกุศลกรรมเก่าให้หมดไป
เพียรทำความดีทุกรูปแบบให้มีกำลังหนีทันอกุศลวิบากที่จะตามมาให้ผล
และสุดท้ายเพียรรักษาความดีที่พัฒนาได้ให้คงอยู่

4. พัฒนาจิตตนเองหมดอาสวกิเลส ไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือใจอีกต่อไป

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


แก้ไขล่าสุดโดย จันทร์ ณ ฟ้า เมื่อ 09 มิ.ย. 2010, 13:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2010, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม้แต่หมอ ก็ยังวินิจฉัย..ไม่ตรงกัน..หลายโรงบาลหลายโรค
หนึ่งใน แสน หนึ่งใน ล้าน
เมื่อก่อนก็แขงแรงดีเรียนก็เก่ง.ไม่ได้ปัญญาอ่อน..ในทางโลกก็ต้องดูแลรักษา
ในทางธรรม..เขาว่าเป็นโรค กรรม วิบากกรรมส่งผลมาถึง
จงมีสติและยิ้มยอมรับผลกรรมอันนี้...แต่หาก กุศลกรรมเรายังมีก็จะฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ได้
เจริญเมตตาภาวนา แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร..ทุกเมื่อ..ทุกเวลา
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน..เท่าที่มีเวลามีแรง..อันนี้มีผลและอานิสงส์มาก
โรคร้ายยิ่งกว่านี้ก็ยังปรากฏว่ามีผู้หายขาด...ขอให้กำลังใจ
ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2010, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มรณะ ธัมโมหิ มระณัง อะนะติโต
เรามีความตายเป็นธรรมดา เราจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2010, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณทุก ๆ ท่านนะคะที่แนะนำในสิ่งที่ดี ๆ อนุโมทนา สาธุ ค่ะ ^ __ ^

ขออนุญาตเล่าเรื่องต่อเลยนะคะ

.............


หลังจากนั้น ติณก็นอนอยู่ที่โรงพยาบาลเกือบ ๆ สองเดือนเต็ม
ย้ายเข้าย้ายออกอยู่หลายแผนก จำได้ว่า ไปอยู่แผนกอายุรกรรมประมาณสองสามรอบได้
แถมยังไปนอนในไอซียูสองรอบ เพราะว่าโดนจับขึ้นเขียงไปสองรอบ
ทั้งผ่าตัดเอาก้อนเนื้อที่ไตออก ( จริง ๆ คือผ่าเอาไตด้านขวาออกไปด้วย ) = ='
แล้วก็ส่องกล้องที่ปอด ทุกวันนี้หลักฐานร่องรอยก็ยังมีให้เห็น ( รอยแผล )
มองร่างกายตัวเองทีไรก็ปลงมันทุกครั้งไป ใคร ๆ มาเห็นแผลบนตัวติณก็มีแต่คนรู้สึกสยอง ๆ
มีแต่คนถามว่า ตอนนั้นเจ็บมากไหม ในใจติณก็คิด ตั้งแต่เกิดมาความเจ็บปวดเป็นอย่างไร ก็ได้รู้รสชาติของมันก็ตอนไปนอนอยู่โรงพยาบาลนั่นละ


ทุกขเวทนาทางกายที่ติณได้รับตลอดระยะเกือบ ๆ สองเดือนนั้นมีสารพัด


เริ่มตั้งแต่ไม่ว่าติณจะกินอาหารอะไรเข้าไปก็จะต้องถ่ายท้องตลอดเวลา
ทุก ๆ วันจะโดนเจาะเลือดสามเวลา ( หลังอาหาร ) โดนเจาะจนเส้นเลือดเขียวกันเลยทีเดียว
ทุก ๆ วันจะโดนจับ x-ray ปอด
แล้วก็โดนเอาท่อเสียบเข้าไปที่ปอดทั้งสองข้าง ทีแรกโดนด้านขวาก่อน นอนโรงพยาบาลไปสักพัก
คุณหมอบอกว่า ปอดด้านซ้ายหนูมันเกิดทะลุขึ้นมาีอีกแล้ว
การใส่ท่อ ที่เรียกกันว่า chest drain หมอจะเอาท่อขนาดประมาณหัวแม่มือเราจับยัดเข้าไปที่ข้างลำตัว
ติณยังจำได้จนทุกวันนี้เลยว่า หมอทำยังไง ขั้นแรกหมอจะเอาปากกามามาร์กจุดที่จะยัดท่อเข้าไป
แล้วก็ฉีดยาชา มันเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาโดยไม่ต้องสั่ง ฉีดไปราว ๆ สามเข็ม ทรมานสุด ๆ
จากนั้นก็เอามีดกรีด นี่ก็ไม่ต้องพูดถึง ในใจตอนนั้นติณได้แต่คิด ที่ฉันทำอะไรใครมาหนอ ถึงได้ต้องมาทุกข์ทรมานมากขนาดนี้กัน
เกิดมาชาตินี้ แม้แต่ฆ่าแมลงสาปตายไปแค่ัตัวเดียวโดยไม่ตั้งใจ ติณยังคิดมาก คิดแล้วคิดอีก
แม้แต่จะตีสุนัขติณก็ไม่เคยคิดจะทำ เพราะกรรมอันใดหนอ ถึงได้ต้องมารับผลของกรรมเช่นนี้
หลังจากที่หมอเอามีดกรีดมาถึงตอนที่หมอค่อย ๆ เอาท่อใส่เข้าไปนี่ล่ะค่ะ มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถที่จะบรรยายได้เลยจริง ๆ เจ็บมาก มากจนไม่รู้จะหาคำพูดใด ๆ มาใช้บรรยายความรู้สึกเจ็บนี้ได้เลย
นอกจากนี้ก็คือ ทุก ๆ วันไข้จะขึ้นสูงตลอด จนต้องกินยาลดไข้ แต่กินไปก็เท่านั้นเพราะไข้จะลดลงไปอยู่ที่ 38 องศา ซึ่งก็ยังสูงอยู่ดี
ทุก ๆ วัน ก่อนที่จะไปผ่าตัด สภาพไม่ต่างอะไรจากคนที่โดนล่ามโซ่ให้อยู่กับที่ แต่นี่โดนล่ามด้วยสายยางที่เจาะเข้าไปในปอด วัน ๆ ได้แต่นั่งอยู่กับเตียง
ลิ้นและคอเต็มไปด้วยฝ้า เพราะว่า ร่างกายมันร้อนมาก ทำให้เวลาทานข้าว แม้แต่ข้าวเม็ดเดียวก็เจ็บจนน้ำตาไหลออกมา อย่าพูดถึงเวลาทานยา โดยเฉพาะยา K ดื่มแค่แก้วเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนทานไฟ เพราะว่ามันเผาคอ เจ็บแสบปวดร้อน
รวมไปถึงตอนที่ผ่าตัดแล้้วนอนอยู่ไอซียู ทุก ๆ วัน พี่พยาบาลจะเอาสายยางเล็ก ๆ สอดลงไปในท่อที่ใช้ช่วยหายใจ เพื่อดูดเสมหะออกจากท่อ หลังจากดูดออกนี่ซิคะ
มันก็จะไอ พอไอกล้ามเนื้อหน้าท้องจะเกร็ง แล้วตอนนั้นติณเพิ่งผ่าไตออกไป เป็นแผลใหญ่มากที่ท้อง
เจ็บสุดแสนจะเจ็บ เวลาพี่พยาบาลเดินเข้าห้องมาเพื่อจะดูดเสมหะให้ ติณจะส่ายหน้าก่อนเลยเป็นอันดับแรก อารมณ์ประมาณว่า ไม่เอาแล้วค่ะพี่ หนูโคตรทรมานเลย แต่ไม่ทำก็ไม่ได้นะคะ ถ้าหายใจไม่ได้ก็ตายเหมือนกัน ^^
แล้วก็ยังมีตอนส่องกล้องที่ปอด หลังจากทำเสร็จ ติณไม่สามารถลุกนั่งเองได้ เพราะหลังทั้งหลังปวดร้าวไปหมด เจ็บเพราะแผลที่อยู่ข้างใน
และความทุกขเวทนาทางกายอีกมากมาย ที่เจอไม่เว้นแต่ละวันในตลอดระยะเกือบ ๆ สองเดือน



ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวติณเองผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ ถึงผ่านมาได้ ติณก็ยังใช้ชีวิตโดยประมาทอยู่ดี
ซึ่งคือเรื่องราวหลังจากที่ติณออกจากโรงพยาบาลแล้ว เรียกได้ว่า ขนาดเจ็บขนาดนี้ไอ้ติณคนนี้ก็ยังไม่สำนึก
เอาไว้วันต่อ ๆ ไป จะมาเล่าให้ฟังนะคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตติณ ชีวิตเกือบ ๆ สี่ห้าปีที่รู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในหลุมดำ เวียนว่ายอยู่แต่ในโลกแห่งความมืด ^ ^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 15:37
โพสต์: 112

ชื่อเล่น: ดอกพุทธ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รับรู้ รับฟัง อ่านมาตลอด

แม้กายไม่สบาย แต่ขอให้ใจเข้มแข็ง

วันนี้เรายังอยู่ แสดงว่าวันนี้เป็นของเรา วิเศษสุดแล้วค่ะ

ขอให้การรับรู้ของน้องติณในทุกวัน รู้ด้วยใจ ใฝ่ในธรรม

มีธรรมะคุ้มครองกายและใจ ขอให้สุขภาพกายและใจดีวันดีคืนนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

.....................................................
หลอมจิตบรรจง สู่แสงแห่งธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็คงขอเอาใจช่วย ให้ทุกอย่างในชีวิตคุณผ่านไปด้วยดีหายป่วยนะครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 11:00
โพสต์: 30

ชื่อเล่น: น้ำ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นกำลังใจให้อีกคนนะครับ....มี พระนิพนธ์
สมเด็จพระญาณสังวร มาฝากด้วยครับ...

ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด
พระนิพนธ์
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ไม่มีสักคนเดียว ที่จะหนีความตายพ้น

ทุกคนมีความรู้แก่ใจ ว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีสักคนเดียวที่จะหนีความตายพ้น แล้วทุกคนมีความได้เปรียบอยู่ประการหนึ่ง ที่มีความรู้นี้ติดตัวติดใจอยู่ แต่แทบทุกคนก็มีความเสียเปรียบอยู่ประการหนึ่ง ที่ไม่เห็นค่า ไม่เห็นประโยชน์ของความรู้นี้ จึงมิได้ใส่ใจเท่าที่ควร ปล่อยปละละเลย รู้จึงเหมือนไม่รู้ สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์จึงเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า

ความรู้ว่าตัวตาย เป็นคุณประโยชนิ์ยิ่งใหญ่

ความรู้ว่าทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย เป็นสิ่งเป็นคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ แม้ใส่ใจในความรู้นี้ให้เท่าที่ควร ก็จะสามารถนำให้เกิดคุณเกิดประโยชน์แก่ตนเองได้มหาศาล ยากจะหาประโยชน์ใดอาจเปรียบได้

ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา สอนให้หัดตายก่อนถึงเวลาตายจริง

ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหลาย สอนให้หัดตายก่อนถึงเวลาตายจริง ท่านสอนให้หัดตายไว้เสมอ อย่างน้อยก็ควรวันละครั้ง ครั้งละ 5 นาที 10 นา เป็นอย่างน้อย การหัดตายนั้นบางผู้บางพวกน่าจะเริ่มหัดคิดถึงสภาพเมื่อตนกำลังจะถูกประหัตประหารให้ถึงตาย คิดให้ลึกซึ้งถึงความกลัวตายของตนในขณะนั้น แล้วก็คิดจนถึงเมื่อต้องถูกประหัตประหารถึงตายจนได้ แม้จะกลัวแสนกลัว แม้จะพยายามกระเสือกระสนช่วยตนเองให้รอดพ้นอย่างไร ก็หารอดพ้นไม่ต้องตายด้วยความทรมานทั้งกายทั้งใจ

.....................................................
อายุสั้นหรือยืนไม่สำคัญ ที่เราเกิดมาเพื่อมีโอกาสสร้างความดี สั่งสมบุญบารมี นำชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2010, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอื่นอยากจะบอกว่า รู้สึกดีใจมาก ๆ ค่ะที่ได้เข้ามาในบอร์ดนี้
แต่ก่อนติณไม่สนใจศึกษาเรื่องพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
ด้วยความที่ตัวเองเป็นเด็ก ยังคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องน่าเบื่อเหลือเกิน
แต่พอได้มาเจอทุกข์หนักหนากับตัวเอง ประกอบกับที่บ้านคุณแม่ท่านชอบเปิดคลื่นวิทยุธรรมะฟังอยู่เป็นประจำ
มันก็เลยฟังไป ๆ ค่อย ๆ ซึมซับไป


สิ่งที่ติณอยากจะเล่าก็คือ เรื่องข้างต้นที่เล่ามานั้น เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของชีวิตที่เจอแต่ความทุกข์ล้วน ๆ
ในช่้วงระยะเวลาห้าปีกว่า ๆ ที่ต้องทนทุกข์กับสภาพที่ไม่อยากจะคิดเลยว่าตัวเองจะเจออะไรแบบนั้น



ติณอยากจะบอกว่าทุกวันนี้อาการป่วยของติณกลับมากำเริบอีกรอบแล้วค่ะ
หลังจากที่หกปีก่อนผ่าตัดไปสองครั้ง คราวนี้ก้อนเนื้อแพร่กระจายเต็มปอดติณไปหมด
ปอดติณเสื่อมสภาพไปแล้วราว ๆ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ติณคิดว่าตอนนี้อาจจะมากกว่านั้นไปแล้ว
ทำให้ติณต้องหยุดเรียน จากที่กำลังเรียนใกล้จะจบอยู่เต็มที เหลืออีกแค่ไม่กี่หน่วยกิต
ติณจำเป็นที่จะต้องกลับมาอยู่บ้าน ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง
อาบน้ำก็ต้องลากเก้าอี้เข้าไปในห้องน้ำ เวลาจะสระผมก็เหนื่อยหอบ แปรงฟันนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ
เดี๋ยวนี้ติณจะต้องแปรงฟันที่เตียงนอน

อาการป่วยของติณได้มาถึงจุดที่หมอไม่สามารถที่จะประคับประคองอาการได้อีกแล้ว
ตลอดเวลาหกปีกว่า ๆ สิ่งที่หมอทำคือดูแลติณไปเรื่อยในเชิงดูแลสภาพจิตใจมากกว่า
เพราะโรคที่ติณเป็นไม่มียาใด ๆ จะมารักษาได้ มีแต่จะคงที่กับทรุดลงไปเรื่อย ๆ


ปีที่แล้วติณก็โดนหวัดเล่นงาน ปอดอักเสบ นอนโรงพยาบาลไปหลายวัน
ยอมรับเลยว่าตอนนั้นก็รู้ตัวแล้วว่า ปีนี้คงไม่รอดแน่ ๆ อาการเราจะต้องแย่ลงไปอีก
แล้วมันก็เป็นแบบที่ติณคิดเอาไว้จริง ๆ สภาพติณตอนนี้แม้กระทั่งจะออกไปนอกบ้านก็ทำไม่ได้ค่ะ
มันทรมานแบบสุด ๆ แค่เจอควัน เจอฝุ่นนิดเดียว ติณไอไม่หยุด ยิ่งปอดไม่ดีด้วยอยู่แล้ว
พอไอ ก็ยิ่งหอบ ยิ่งเหนื่อยไปอีก


ทุกวันนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ติณรู้สึกดีกับการที่ิติณเป็นแบบนี้
ติณเชื่อในเรื่องเวรและกรรม เชื่อแบบหมดใจมาตั้งแต่ป่วยเมื่อคราวนั้น
เพราะมันไม่มีเหตุผลใด ๆ มารองรับได้อย่างสมเหตุสมผลอีกแล้วว่า
ทำไมคนที่มีจิตใจเมตตา ไม่เคยคิดจะทำบาปทำกรรมกับใครแบบติณถึงต้องเผชิญกับวิบากกรรมที่หนักเช่นนี้
ประกอบกับไม่ว่าติณจะไปดูดวงที่ไหน ๆ โดยส่วนมากจะเป็นแม่ไปดูให้กับมีคนรู้จักพาไป
ก็ทักตรงกันหมดทุกรายเลยว่า สิ่งที่เจอนี่คือ วิบากกรรม คือกรรมในอดีตชาติ คือเศษของกรรมที่ติณต้องชดใช้
เพราะติณเคยผิดศีลข้อที่หนึ่งมาก่อน เคยทรมานเขา เคยใช้งานเขา ทำให้เขาต้องเหนื่อย แล้วไม่ยอมให้เขาพัก
ที่พูดถึงนี่คือ เจ้ากรรมนายเวรติณ เป็นสัตว์มีคุณค่ะ ก็คือ ช้าง ม้า วัว ควาย
ทุกวันนี้ติณคิดอย่างเดียวว่า ติณจะต้องอดทนให้ได้ เพราะว่าเขาคงเคยเจ็บปวดมามากกับการกระทำของติณเองในอดีตชาติ
ติณก็ได้แต่สวดมนต์ ปฏิบัติ ทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปใ้ห้ ขอให้เขาอโหสิกรรม
จะว่าไปแล้วอาจจะเป็นความโชคดีที่โรคของติณมากำเริบตอนนี้ ตอนที่พ่อกับแม่ติณท่านยังมีชีวิตอยู่
ถ้าหากโรคดันไปกำเริบตอนติณอายุเยอะ ๆ กว่านี้ ตอนที่พ่อกับแม่เสียไปแล้ว
ติณคงต้องทุกข์มากกว่านี้ เพราะช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ก็คงไม่มีใครดูแลติณ
โดยเฉพาะคุณแม่ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระคุณกับติณมากที่สุด ที่ติณไม่รู้ว่าจะสามารถทดแทนบุญคุณที่ได้มาเกิดเป็นลูกท่านในชาตินี้ให้หมดได้อย่างไร
เพราะติณดูแลตัวเองยังแทบจะไม่ได้เลย
แม่เป็นคนสอนเอาหนังสือธรรมะมาให้ติณอ่าน บอกให้ติณสวดมนต์ นั่งสมาธิ
เป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะ ที่ติณอ่านหนังสือธรรมะไปน้ำตาไหลไป สวดมนต์ไปร้องไห้ไป
เพราะในทุก ๆ เรื่องมันตรงกับชีวิตติณเยอะมาก



วันนี้ถึงแม้จะใช้ชีวิตแบบยากลำบากกว่าเด็กคนอื่น ๆ แต่ติณก็คิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน
เพราะคนหลายคนตายไปโดยไม่รู้ตัว
ในชีวิตนี้ติณไม่ขออะไรอีกแล้ว ขอแค่ตอนจะตายขอให้ติณตายโดยมีสติครบสมบูรณ์ก็พอ
ขอแค่ให้ติณชดใช้กรรมที่ได้เคยทำมาให้หมดไปในชาตินี้ เพียงเท่านี้จริง ๆ ค่ะ




วันต่อ ๆ ไปจะมาเล่าเรื่องวิบากกรรมที่ติณได้รับให้ฟังต่อนะคะ
แต่คราวนี้ไม่ใช่ทุกขเวทนาทางกายแล้วค่ะ เป็นทุกขเวทนาทางใจล้วน ๆ เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2010, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 12:12
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมะทำให้เรามีเพื่อน ที่นี่ก็คือเพื่อนของเราคะ ฉันก็คนหนึ่งที่เข้ามาที่นี่เพราะไม่สบายใจ เเล้วฉันก็ได้คำเเนะนำจากเพื่อนๆ ไม่ว่าจะยังไง จะอยู่ในโลกใบนี้ หรือ อีกโลกหนึ่ง พระธรรมคือเพื่อนที่จะอยู่กับเรา ไปทุกๆ ที่ที่เราจะไป ดีใจคะ ที่ได้มีเพื่อน ที่เป็นกัลยาณมิตรเช่นนี้ รวมถึงคุณติณด้วยนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2010, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อดทนนะคะน้องติณมันเป็นวิบากกรรมจริงๆ ทำใจยอมรับผลแห่งกรรมที่เคยก่อไว้ให้ได้โดยดุษฎีอย่างที่น้องทำอยู่ ใจของน้องที่ไม่มีความพยาบาทใดๆจะทำให้ผลแห่งวิบากนั้นลดลงเรื่อยๆ น้องไม่มีวันรู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหมดแต่อย่าหมดกำลังใจนะคะ พยายามที่จะมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ต่อไปเพื่อตัดกรรมนั้นให้ขาด ถือศีลทำสมาธิสะสมบุญเอาไว้ใช้ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เป็นมนุษย์สามารถทำแบบนั้นได้มากกว่าเป็นอื่นๆค่ะ เรื่องความตายน้องก็มองมันถูกแล้วว่ามันเป็นธรรมดา กรรมกำหนดไว้หมดแล้วล่ะค่ะว่าจะอยู่ยังไงจะตายเมื่อไหร่ เรามีหน้าที่จัดการกับจิตใจของเราเองให้อยู่อย่างเข้าใจในกรรม

เป็นกำลังใจให้ค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร