วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 02:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 00:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ในวงล้องปฎิจสมุปปาทสายเกิดนั้นเรียงกันมาตั้งแต่อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิด นามรูปเรียงไปจนครบ :b2: :b2: :b2: แต่สายดับนั้นเรียงมาตั้งแต่ต้นจนถึงนามรูป(เกิดเป็นเรานี่แหละ)หมายความเอาขันต์ทั้ง5 เมื่อขบวนการผ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ย่อมมีสฬายตนะ เมื่อมีสฬายตนะย่อมผัสสะจริงมั้ยครับ จะห้ามอย่างไรไม่ให้เกิดผัสสะคงไม่ได้ เมื่อมีผัสสะใครจะห้ามไม่ให้เกิดเวทนา คงไม่มีนะครับ เมื่อมีเวทนา ย่อมทำให้เกิดตัณหา ตรงนี้แหละครับ ที่เราสามารถตัดวงล้อปฎิจสมุปปบาทได้ โดยใช้อุเบกขา ตัดตรงช่วงเวทนาไม่ให้ก้าวสู่ตัณหา อุเบกขาเป็นธรรมใหญ่ ความวางเฉยใจเป็นกลางไมเข้าไปปรุงแต่งความรู้สึกที่ชวนใคร่ ชวนหลงไหล ความรู้สึกเจ็บปวด ไม่น่าพอใจ จนทำให้เกิด ตัณหา ปฎิฆะ ความไม่น่าพอใจต่างๆ เพราะการนั้งสมาธินั้น มีสติ มีการพิจารณาสภาพธรรมมะ มีความเพียร เกิดปิติ ปัสสัทธิ จนจิตตั้งมั่น มีอุเบกขา โพชฌงค์7ครบทุกอย่าง วิชชาใช้ตรงนี้ เมื่อวางอุเบกขาตัณหาก็ไม่เกิด เมื่อตัณหาไม่เกิด อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นก็ไม่มี ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศกะ ฯลฯก็ไม่มี นี้คือความรู้ที่ผมได้เรียนมาจากครูบาอาจารย์ ผมมั่นใจเพราะเกิดผลดีแก่ชีวิตเป็นอย่างมากอย่างที่เคยได้กล่าวมาแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงเกิดแก่ทุกท่าน :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 02:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ครูบาอาจารย์...ท่านว่า....ตัดตรงไหนก็ขาดทั้งวงได้เหมือนกัน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 06:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ :b8:
อนุโมทนากับคำกล่าวของพี่กบนอกกะลาด้วยครับ และขออนุญาติเสริมเพิ่มสักนิดครับว่า เหตุที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่าตัดตรงไหนของปฏิจฯก็สามารถตัดได้ทั้งวงเหมือนกันเพราะ การจะตัดอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นได้นั่น ผู้ปฏิบัติต้องทำญาณ 3 ให้สำเร็จก่อน เมื่อกตญาณเกิดแล้วความหลงในสมมติทั้งหลายก็ตกไป อุปาทานก็ดับไปเพราะเห็นตามความจริงแล้วนั่นเองครับ

ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เวทนา ๕ แบ่ง การเสวยอารมณ์ ออกเป็นห้าอย่าง คือ
สุข หมายถึง ความสุข ความสบายทางกาย
ทุกข์ หมายถึง ความทุกข์ ความไม่สบาย ความเจ็บปวดทางกาย
โสมนัส หมายถึง ความแช่มชื่น ปลื้มใจ สุขใจ
โทมนัส หมายถึง ความเสียใจ ความเศร้าโศก เศร้าหมอง ทุกข์ใจ
อุเบกขา หมายถึง ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์


เวทนามีห้าก็จริง แต่เสวยได้ครั้งละหนึ่ง

เมื่อใดเสวยสุขเวทนา เมื่อนั้นไม่ได้เสวยเวทนาอย่างอื่นเลย
เมื่อใดเสวยทุกขเวทนา เมื่อนั้นไม่ได้เสวยเวทนาอย่างอื่นเลย
เมื่อใดเสวยโสมนัสเวทนา เมื่อนั้นไม่ได้เสวยเวทนาอย่างอื่นเลย

เป็นอย่างนั้น

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 07:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดไม่เป็นสังขาร
อวิชชา เป็นเหตุเกิด สังขาร หลังจากนั้นล้วนเป็น สังขาร
อวิชชาดับ เกิดวิชชา เป็นเหตุเกิด วิสังขาร

สังขารปรุงแต่งทุกอย่าง
ตัณหา เป็นปลายทางของสมุทัย
อุปทาน เป็นต้นทางของทุกข์
สายเกิดทั้งหลาย เป็น ทุกข์ และสมุทัย
สายดับทั้งหลายเป็น นิโรธและมรรค
ทุกขั้นตอนในชีวิต จะไหลไปตามกระแส ปฏิจจสมุปบาท
กระแสปฏิจจสมุปบาท ซ้อนกันอยู่ เป็นกระแสธรรม ที่ไหลจากในออกนอก
ทุกคำสอนของพุทธองค์ ล้วนอยู่ใน ปฏิจจสมุปบาท


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออธิบายต่อครับ ในเมื่อวงล้อสายเกิดนั้นเป็นเพียงการธิบายให้รู้ว่าการที่เราไม่รู้อะไรนั้นจะเป็นวงจรแบบนี้หมุนอยู่อย่างนี้ ในสายดับนั้นเป็นการพิจารณาตอนที่มีเราแล้วเท่านั้นลงไป จะย้อนขึ้นไปหาอวิชาใหม่ไม่ได้เพราะโง่แล้ทำให้มีเรา มนุษย์จึงคิดหาวิธี จนพบวิธีนี้ลองมาไล่กันดู ในเมือมมีตัวตนเราแล้ว(รูปนาม) ย่อมมีผัสสะ ไม่มีไม่ได้เป็นไปไม่ได้ กั้นไม่ได้ เมื่อมีผัสสะย่อมมีเวทนา ก็กั้นไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่มีเวทนา สามารถอุเบกขาได้กับเวทนาได้ แล้วทำไมต้องกั้นตรงล่ะ? ระหว่างการนั่งสมาธิเพราะการนั่ง สมาธินั้น มีความเวทนาที่หยาบกล้ามากี่ทำให้เกิดปฎิฆะ ความไม่พอใจ เราได้วางเฉยกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจได้อย่างที่สุด (และปฎิฆะ ความไม่พอใจในเรื่องต่างๆก็จะถูกกำจัดไปด้วยเพราะเป็นลักษณะเดียวกัน) และการนั่งสมาธินั้นมีความสบายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสัมผัสได้ เราก็วางอุเบกขากับสิ่งที่เบาสบายมีความสุขที่สุดได้ก็เช่นเดียวกัน (ความสุขในลักษณะอื่นๆความพอใจในลักษณะอื่นๆก็ทูกกำจัดไปด้วย) หรือพูดง่ายว่าเราไม่เข้าไปปรุงแต่งมันทั้งสุขและทุกข์ในจิตไร้สำนึกนั้นเอง :b43: :b43: :b43: วิชานี้แพร่หลายในสังคมวิปัสสนาทั่วโลก เป็นที่ยอมรับในระดับสากลทีเดี๋ยว มีทั้งคริสต์ มุสลิม และศาสนาอื่นๆมากมาย เพื่อนๆลองเข้าไปศึกษาได้ จากเว็บนี้นะครับเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นนะครับhttp://www.oknation.net/blog/tanakrit/2009/08/21/entry-1 :b4: :b4: :b4: :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 22 ก.ค. 2012, 11:22, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 08:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ขออธิบายต่อครับ ในเมื่อวงล้อสายเกิดนั้นเป็นเพียงการธิบายให้รู้ว่าการที่เราไม่รู้อะไรนั้นจะเป็นวงจรแบบนี้หมุนอยู่อย่างนี้ ในสายดับนั้นเป็นการพิจารณาตอนที่มีเราแล้วเท่านั้นลงไป จะย้อนขึ้นไปหาอวิชาใหม่ไม่ได้เพราะโง่แล้ทำให้มีเรา มนุษย์จึงคิดหาวิธี จนพบวิธีนี้ลองมาไล่กันดู ในเมือมมีตัวตนเราแล้ว(รูปนาม) ย่อมมีผัสสะ ไม่มีไม่ได้เป็นไปไม่ได้ กั้นไม่ได้ เมื่อมีผัสสะย่อมมีเวทนา ก็กั้นไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่มีเวทนา สามารถอุเบกขาได้กับเวทนาได้ แล้วทำไมต้องกันตรงล่ะ? ระหว่างการนั่งสมาธิเพราะการนั่ง สมาธินั้น มีความเวทนาที่หยาบกล้ามากี่ทำให้เกิดปฎิฆะ ความไม่พอใจ เราได้วางเฉยกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจได้อย่างที่สุด (และปฎิฆะ ความไม่พอใจในเรื่องต่างๆก็จะถูกกำจัดไปด้วยเพราะเป็นลักษณะเดียวกัน) และการนั่งสมาธินั้นมีความสบายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสัมผัสได้ เราก็วางอุเบกขากับสิ่งที่เบาสบายมีความสุขที่สุดได้ก็เช่นเดียวกัน (ความสุขในลักษณะอื่นๆความพอใจในลักษณะอื่นๆก็ทูกกำจัดไปด้วย) หรือพูดง่ายว่าเราไม่เข้าไปปรุงแต่งมันทั้งสุขและทุกข์ในจิตไร้สำนึกนั้นเอง :b43: :b43: :b43: วิชานี้แพร่หลายในสังคมวิปัสสนาทั่วโลก เป็นที่ยอมรับในระดับสากลทีเดี๋ยว มีทั้งคริสต์ มุสลิม และศาสนาอื่นๆมากมาย เพื่อนๆลองเข้าไปศึกษาได้ จากเว็บนี้นะครับเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นนะครับhttp://www.oknation.net/blog/tanakrit/2009/08/21/entry-1 :b4: :b4: :b4: :b4: :b4:


ในส่วนของผัสสะ อย่าลืม มันมี เจตนา และนมสิการ มาด้วย ใช้มันลด ผัสสะ ลง และ สัญญา จะทำให้รู้ว่า ผัสสะ ไหนควรหลีกเลี่ยง

มันใช้งานได้จริงตรง ชีวิตประจำวันนี้แหละครับ ไม่ต้องนั่งสมาธิเสมอไปหรอกครับ ขอให่มีสติ สัมปชัญญะ และมีสมาธิควรแก่งาน แค่แว็ปเดียว ก็จะเห็น แต่ละขั้นของสังขารนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
bigtoo เขียน:
ขออธิบายต่อครับ ในเมื่อวงล้อสายเกิดนั้นเป็นเพียงการธิบายให้รู้ว่าการที่เราไม่รู้อะไรนั้นจะเป็นวงจรแบบนี้หมุนอยู่อย่างนี้ ในสายดับนั้นเป็นการพิจารณาตอนที่มีเราแล้วเท่านั้นลงไป จะย้อนขึ้นไปหาอวิชาใหม่ไม่ได้เพราะโง่แล้ทำให้มีเรา มนุษย์จึงคิดหาวิธี จนพบวิธีนี้ลองมาไล่กันดู ในเมือมมีตัวตนเราแล้ว(รูปนาม) ย่อมมีผัสสะ ไม่มีไม่ได้เป็นไปไม่ได้ กั้นไม่ได้ เมื่อมีผัสสะย่อมมีเวทนา ก็กั้นไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่มีเวทนา สามารถอุเบกขาได้กับเวทนาได้ แล้วทำไมต้องกันตรงล่ะ? ระหว่างการนั่งสมาธิเพราะการนั่ง สมาธินั้น มีความเวทนาที่หยาบกล้ามากี่ทำให้เกิดปฎิฆะ ความไม่พอใจ เราได้วางเฉยกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจได้อย่างที่สุด (และปฎิฆะ ความไม่พอใจในเรื่องต่างๆก็จะถูกกำจัดไปด้วยเพราะเป็นลักษณะเดียวกัน) และการนั่งสมาธินั้นมีความสบายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสัมผัสได้ เราก็วางอุเบกขากับสิ่งที่เบาสบายมีความสุขที่สุดได้ก็เช่นเดียวกัน (ความสุขในลักษณะอื่นๆความพอใจในลักษณะอื่นๆก็ทูกกำจัดไปด้วย) หรือพูดง่ายว่าเราไม่เข้าไปปรุงแต่งมันทั้งสุขและทุกข์ในจิตไร้สำนึกนั้นเอง :b43: :b43: :b43: วิชานี้แพร่หลายในสังคมวิปัสสนาทั่วโลก เป็นที่ยอมรับในระดับสากลทีเดี๋ยว มีทั้งคริสต์ มุสลิม และศาสนาอื่นๆมากมาย เพื่อนๆลองเข้าไปศึกษาได้ จากเว็บนี้นะครับเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นนะครับhttp://www.oknation.net/blog/tanakrit/2009/08/21/entry-1 :b4: :b4: :b4: :b4: :b4:


ในส่วนของผัสสะ อย่าลืม มันมี เจตนา และนมสิการ มาด้วย ใช้มันลด ผัสสะ ลง และ สัญญา จะทำให้รู้ว่า ผัสสะ ไหนควรหลีกเลี่ยง

มันใช้งานได้จริงตรง ชีวิตประจำวันนี้แหละครับ ไม่ต้องนั่งสมาธิเสมอไปหรอกครับ ขอให่มีสติ สัมปชัญญะ และมีสมาธิควรแก่งาน แค่แว็ปเดียว ก็จะเห็น แต่ละขั้นของสังขารนั้น
ถึงจะมีสิ่งอืนเข้ามาเป็นส่วนร่วมก็ถูกครับ แต่อย่างไรเราก็ไม่สามารถ ยับยั้งผัสสะไม่ให้เกิดได้อยู่ดี ถูกต้องครับเราสามารถทำได้ทุกขณะ แต่ในช่วงนั่งสมาธินั้น ทุกอย่างเป็นที่สุดของผัสสะครับเพราะสุขก็สุขที่สุด ทุกข์ก็ทุกที่สุด ถ้าเราวางอุเบกขากับสิ่งที่สุดได้ ก็วางได้กับทุกอย่างครับ มันตัวเดียวกัน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเสริมนิดต่ออีกนิหนึ่ง อาตาปี สัมปะชาโน สติมา ดูการอธิฐานความเพียร ส่วนบุคคลยังไม่พร้อมก็ ทำไปในทุกขณะ( อธิฐานการงานไป) ภิกษุ ท ! เรายังรู้สึกได้อยู่ซึ่งธรรม ๒ อย่าง คือความไม่รู้จักอิ่ม จักพอ (สันโดษ) ในกุศลธรรมทั้งหลาย และ ความเป็นผู้ไม่ถอยกลับ(อัปปฏิวานี)ในการทำ ความเพียร.
ภิกษุ ท ! เราย่อมตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการ อธิษฐานจิต) ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบากบั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว จักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้
ภิกษุ ท ! การตรัสรู้เป็นสิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท อนุตตรโยคักเขมธรรม ก็เป็น สิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท.
ภิกษุ ท ! ถ้าแม้พวกเธอ พึงตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการอธิ ฐานจิต)ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือด แห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบาก บั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้วจักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้ แล้วไซร้;
ภิกษุ ท ! พวกเธอก็จักกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า อันเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรผู้ออก บวชจากเรือนเป็นผู้ไม่มีเรือนโดยชอบ, ได้ต่อกาลไม่นานในทิฏฐธรรม เข้าถึงแล้ว แลอยู่ เป็นแน่นอน.

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดไม่เป็นสังขาร

ผมว่าผิดแล้วครับ แล้วอสังขตธรรมล่ะครับ อสังขตธรรมไม่ใช่สังขารนะครับ
ฝึกจิต เขียน:
อวิชชา เป็นเหตุเกิด สังขาร หลังจากนั้นล้วนเป็น สังขาร
อวิชชาดับ เกิดวิชชา เป็นเหตุเกิด วิสังขาร

ผมว่าคุณกำลังมั่วอยู่นะครับ เอาสังขารในขันธ์ห้ามาปนเปกับสังขารในปฏิจสมุบาท
ผมว่าถ้ายังไม่เข้าใจอะไรก็ไม่ต้องแสดงความเห็นก็ได้ครับ :b13:
ฝึกจิต เขียน:
สังขารปรุงแต่งทุกอย่าง

ใครบอกคุณล่ะครับว่าสังขารปรุงแต่งทุกอย่าง
สังขารเป็นผลที่เกิดจากจิตไปปรุงแต่งธรรมแล้วยึดมั่นถือมั่นไว้
สิ่งที่จิตยึดมั่นถือมั่นไว้เขาเรียกสังขารครับ
ฝึกจิต เขียน:
ตัณหา เป็นปลายทางของสมุทัย
อุปทาน เป็นต้นทางของทุกข์

มันอะไรของคุณครับต้นทาง ปลายทาง อย่าสักแต่พูดเอามันซิครับมันจะเกิดการสับสน
ในปฏิจจสมุบาท มันไม่มีต้นทางปลายทางหรอก
สิ่งต่างๆในปฏิจจฯ มันเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน มันวนเวียนกันเป็นวัฏจักร
มีสิ่งนี้ย่อมเกิดสิ่งนี้ ตามกฎอิทัปปัจจถตา
ฝึกจิต เขียน:
สายเกิดทั้งหลาย เป็น ทุกข์ และสมุทัย
สายดับทั้งหลายเป็น นิโรธและมรรค
ทุกขั้นตอนในชีวิต จะไหลไปตามกระแส ปฏิจจสมุปบาท
กระแสปฏิจจสมุปบาท ซ้อนกันอยู่ เป็นกระแสธรรม ที่ไหลจากในออกนอก
ทุกคำสอนของพุทธองค์ ล้วนอยู่ใน ปฏิจจสมุปบาท

อยากหัวเราะแต่มันหัวเราะไม่ออกครับ เล่นเอาพระธรรมมาปุยี่ปูยำแบบนี้
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ว่า เพราะความยึดมั่นจึงทำให้เกิดปฏิจสมุบาทขึ้น
ดังนั้นเราจึงควรปฏิบัติเพื่อไม่ให้ยึดมั่น จะได้ไม่หลงวนเวียนอยู่ในกระบวนการปฏิจสมุบาทนั้น

แต่คุณดันมาบอกว่าทุกคำสอนของพระพุทธองค์ ล้วนอยู่ในวงปฏิจสมุบาท
ผมว่าคุณไปไกลสุดกู่แล้วนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ในส่วนของผัสสะ อย่าลืม มันมี เจตนา และนมสิการ มาด้วย ใช้มันลด ผัสสะ ลง และ สัญญา จะทำให้รู้ว่า ผัสสะ ไหนควรหลีกเลี่ยง

มันใช้งานได้จริงตรง ชีวิตประจำวันนี้แหละครับ ไม่ต้องนั่งสมาธิเสมอไปหรอกครับ ขอให่มีสติ สัมปชัญญะ และมีสมาธิควรแก่งาน แค่แว็ปเดียว ก็จะเห็น แต่ละขั้นของสังขารนั้น

ไปใหญ่แล้วครับ ผัสสะไหนควรหลีกเลี่ยงเขาจะเรียกผัสสะหรือครับ
พูดธรรมอย่าพูดแบบจินตนาการซิครับ

แล้วเรื่องเจตนามันอยู่ในส่วนของ กายสังขารและวจีสังขาร
มันไปเกี่ยวอะไรกับผัสสะครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 11:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็โง่อยู่กับ สัญญาเดิมๆ เลยมืดบอด นั้นละ อวิชชา :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ถึงจะมีสิ่งอืนเข้ามาเป็นส่วนร่วมก็ถูกครับ แต่อย่างไรเราก็ไม่สามารถ ยับยั้งผัสสะไม่ให้เกิดได้อยู่ดี ถูกต้องครับเราสามารถทำได้ทุกขณะ แต่ในช่วงนั่งสมาธินั้น ทุกอย่างเป็นที่สุดของผัสสะครับเพราะสุขก็สุขที่สุด ทุกข์ก็ทุกที่สุด ถ้าเราวางอุเบกขากับสิ่งที่สุดได้ ก็วางได้กับทุกอย่างครับ มันตัวเดียวกัน


คุณบิกทู่ครับผมเห็นคุณพูด ผัสสะเอย อุเบกขาเอย
บอกช่วงทำสมาธิทุกอย่างเป็นที่สุดของผัสสะ
บอกวางอุบกขา ผมถามหน่อย คุณวางอุเบกขาอย่างไรครับ
แล้วไอ้ที่สุดของผัสสะมันเป็นอย่างไรครับ ผมว่าคุณกำลังเอาศัพท์เอาบัญญัติ
มาละเลงเล่นอยู่นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ก็โง่อยู่กับ สัญญาเดิมๆ เลยมืดบอด นั้นละ อวิชชา :b32: :b32: :b32:

เอาเหตุผลมาคุยกันดีกว่าครับ
มันหมดยุคหมดสมัยแล้ว
กับสำนวนด่าทอประชดประชัน :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2012, 11:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ฝึกจิต เขียน:
ก็โง่อยู่กับ สัญญาเดิมๆ เลยมืดบอด นั้นละ อวิชชา :b32: :b32: :b32:

เอาเหตุผลมาคุยกันดีกว่าครับ
มันหมดยุคหมดสมัยแล้ว
กับสำนวนด่าทอประชดประชัน :b13:



ท่านเคยเอาประโยคนี้ ไปบอกตัวเองมั้ยครับ s006


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 76 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron