วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2013, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 174


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒


บรรลุธรรมถึงที่สุดแล้วเหมือนกันหมด


มันมีหลายครั้งต่อหลายครั้ง กิเลสหลายกองทัพ กองทัพธรรมก็หลายกองทัพ สู้กัน ดูวัดดอยธรรมเจดีย์จะมีสองครั้ง ครั้งหนึ่งที่ว่าเดินจงกรมอยู่ตอนเช้าๆ เช้ามืดตี ๕ ที่จิตมันสว่างไสว คือมันว่างหมดเลย นั่นละเราก็มาคิดอัศจรรย์ใจเจ้าของ โถ ใจดวงนี้ทำไมมันถึงได้อัศจรรย์นัก (ครั้งแรกที่สว่างมีธรรมะขึ้นมาเตือนว่า มีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ แต่หลวงตาคิดไม่ออกในตอนนั้น) นั่นละพระธรรมขึ้น ธรรมชาติเป็นผลมาดั้งเดิมเรื่อยมาจนกระทั่งถึงขั้นว่างหมดเลย อัศจรรย์เจ้าของ ตี ๕ เดินจงกรมอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ ทางจงกรมไปตามทิศใต้ทิศเหนือ คือมันเป็นทางตรงแน่วกลางคืนเดินดี เวลาไหนก็เดินดี เช้าวันนั้นประมาณตี ๕ ดูจิต แหม มันสว่างไสว สว่างแล้วยังไม่แล้วยังว่างหมดเลย อัศจรรย์เจ้าของ โอ้โห จิตนี้เป็นขนาดนี้เชียวน้า มันสว่างไสว

สักเดี๋ยวหนึ่งธรรมที่เหลือนั้นมาอีกนะ นี้ก็เป็นกิเลสประเภทหนึ่งที่หลอกให้หลง ที่หลอกให้หลงนั่นคือกิเลส เรารู้ไม่ทันมัน จึงได้หลงได้อัศรรย์ความสว่างของจิต ว่างไปหมดเลย นี่เราอัศจรรย์ นี่มันก็ยังไม่ถึง แต่จิตก็ยังไม่สำคัญว่าถึงแล้ว ทีนี้พระธรรมท่านก็เตือน พออันนี้สงบลงพระธรรมเตือนขึ้นมาเลย ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เราเลยงงแก้ไม่ตก เดือนสามอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ แก้ไม่ตก งงเลย เอ๊ มันจุดต่อมอย่างไรน้า ถ้าหากไปพูดให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังแล้วดีไม่ดีสำเร็จในเดี๋ยวนั้นเลย เพราะมันก้าวเดียวเท่านั้นละ ก้าวที่สองก็ตูมเลย มันเปิดไว้แล้วแต่ยังไม่เข้าเฉยๆ

อัศจรรย์ แล้วธรรมท่านก็เตือนขึ้นมาว่าถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ จุดก็คือจุดสว่างไสว จุดว่างเปล่า ตัวจิตยังไม่ว่าง สิ่งเหล่านั้นว่างหมดแล้ว มันวางหมด ว่างหมด แต่ตัวเองยังไม่ว่าง ยังไม่วาง มันอยู่จุดนี้นะ ถ้าหากว่าไปเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังดีไม่ดีปึ๋งในเดี๋ยวนั้นเลย บรรลุ ที่ว่าพระสาวกทั้งหลายไปกราบทูลธรรมะถวายพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรมไม่น้อยนะ คือปัญหาอย่างนี้ละ พอไปถึงมันจะลงแล้วตีเลย ลงเลย ตูมเลย นั่น อันนี้ไม่มีใครมาตีให้ซี เลยงง อัศจรรย์ ทำไมมันสว่างไสวเอานักหนา

จากนี้เราก็ลงจากดอยธรรมเจดีย์ไปองค์เดียว ธรรมดาเราไปองค์เดียว ไปอยู่ทางเลยศรีเชียงใหม่เข้าไปลึกๆ อยู่ในภูเขาเหมือนกัน ไปพักที่ถ้ำผาดัก จนกระทั่งเดือนหก สามเดือนกลับมา กลับมาก็ขึ้นเขาอีก เขาลูกนี้แหละลูกดอยธรรมเจดีย์ มันแบกปัญหาอันนี้ละไป ที่ว่ามีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เราก็เลยงง เลยแบกปัญหานี้ไป ไปไหนแบกไปไหนปลงก็ไม่ลง จนกระทั่งเดือนหก กลับมาก็ขึ้นเขานี้ละวัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ กลับมาก็พิจารณาจุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ อันนั้นก็มีแต่เรื่องใจ เศร้าหมองก็ใจ ผ่องใสก็ใจ สุขก็ใจ ทุกข์ก็ใจ ทำไมใจนี่เป็นได้หลายอย่างนักนา มันรำพึง

พอว่าอย่างนั้นแล้วจิตอยู่ในมัธยัสถ์วางเป็นกลาง ไม่ได้คิดไม่ได้คำนึงอะไร ว่าจะจ่อกับอะไรก็ไม่จ่อ หากอยู่กลางๆ พอธรรมเตือนขึ้นมาอย่างนี้แล้วก็หยุดพักไป นิ่ง วางเฉย แล้วบอกขึ้นมาอีกว่าความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอนัตตานะ คือไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ความหมายว่าอย่างนั้น เป็นอนัตตา พออันนี้ว่าแล้วก็สงบเงียบ ตอนนั้นไม่ตั้งใจจะจดจ่อกับงานอะไร อยู่ว่างๆ อยู่กลางๆ อุเบกขา ผางขึ้นมาเลยเชียว นั่น บทเวลาจะเป็น ไม่ได้มาเป็นตอนตั้งใจนะ

อย่างพระอานนท์สำเร็จในอิริยาบถสี่ คือนั่งจริงๆ ก็ไม่ใช่ ว่าจะนอนเอนไปหัวยังไม่ถึงหมอนผางขึ้นตรงนั้นเลย ท่านว่าอิริยาบถสี่ คือจิตจดจ่ออยู่ตรงไหนยังไปไม่ได้นะ ถ้าไม่ปล่อยเสียก่อนยังไปไม่ได้ มีจดจ่ออยู่..พระพุทธเจ้าว่าเรา (พระอานนท์) จะบรรลุธรรมตอนเช้าสังคายนาแล้วเอานั่นมาเป็นอารมณ์ เลยไม่ทำงานจุดที่จะให้บรรลุ เลยเอาอันนั้นมาเป็นอารมณ์เลยไม่ได้เรื่อง ทีนี้พอทอดธุระ อ้าวนี่ก็จะสว่างแล้ว วันพรุ่งนี้ก็จะสังคายนาแล้ว เราเป็นองค์ที่ ๕๐๐ ยังขาดเราคนเดียว พักเสียก่อน ไม่สำเร็จก็จำเป็นแหละ

พอว่าอย่างนั้นแล้วก็เข้าพัก คือที่ไปเจาะจงกับอะไรมันไม่ถอย มันจับอยู่นั้น นั่นไม่ใช่มรรคผลนิพพาน มันสัญญาอารมณ์ต่างหาก พอถอยจิตออกมาทีนี้ทอดธุระหมดทีนี้นะ พอเอนลงไปหัวยังไม่ถึงหมอน จะว่านั่งก็ไม่ใช่ จะว่านอนจริงๆ ก็ไม่ใช่คือเอนๆ ก็ตรัสรู้ผางขึ้นมา พอเช้าก็แสดงปาฏิหาริย์เลย ถึงวันเวลาที่จะประชุมสังคายนา ๕๐๐ องค์ เว้นไว้ช่องหนึ่ง คือพระอานนท์ ว่าจะได้พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ พระพุทธเจ้านะรับสั่งเอง สังคายนาวันนั้นเหลือไว้พระอานนท์องค์เดียว เป็น ๔๙๙ องค์

พอถึงเวลาแล้ว..แต่ก่อนมันจ่อว่าจะได้ตรัสรู้ตามที่พระพุทธเจ้าสั่ง แต่มันไปหมายเสียซิ มันไม่เข้ามาทำงาน พอจิตถอยออกมา ปล่อยทุกอย่างแล้วเอนลง ก็ผางขึ้นมาเลย สำเร็จอิริยาบถสี่พระอานนท์ จะว่ายืนก็ไม่ใช่ จะว่านั่งจะว่านอนก็ไม่เชิง อยู่ตรงกลาง อิริยาบถสี่ เช้าวันทำสังคายนาเว้นช่องว่างไว้นั้น พระอานนท์ก็ผึงขึ้นตรงนั้นเลย ฤทธิ์เดชของพระอานนท์ที่เป็นสักขีพยานว่าพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ที่จะทำสังคายนานี้เต็ม ๕๐๐ แล้ว ๔๙๙ ว่างไว้ช่องหนึ่งสำหรับพระอานนท์ เพราะพระอานนท์นี้เป็นตู้พระไตรปิฎก เป็นพหูสูตได้ศึกษามานาน อย่างไรพระอานนท์ต้องได้เข้าในที่ประชุม พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้หมดแล้ว มีแต่พระอรหันต์ล้วนๆ ๔๙๙ เหลือพระอานนท์องค์เดียวผึงขึ้นก็ ๕๐๐ พอดี

อย่างนั้นละพระพุทธเจ้ารับสั่งผิดที่ไหน รับสั่งตรงไหนไม่ผิด ตอนที่ท่านว่าอย่างนั้นจิตมันก็ส่ายแส่ไปเจาะจงหรือหมายนั้นหมายนี้ จิตมันไม่เข้าทำงาน พอปล่อยวางหมดทอดอาลัยเท่านั้นจิตก็ปล่อยนั้นลงผึงเลย เป็นอย่างนั้นละ เรียกว่าบรรลุนั้นบรรลุนี้เราอย่าเข้าใจว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัยนะ ล่วงมาหลายปีหลายเดือนนั้นเป็นมืดกับแจ้ง บาปกับบุญไม่ได้ล่วง เป็น อกาลิโก คือบาปกับบุญ การบำเพ็ญคุณงามความดีตลอดเวลาก็เป็นอกาลิโกของบุญ การทำความชั่วตลอดเวลาก็คือการสั่งสมความชั่วเข้าใส่ตัวตลอดเวลา จึงเรียกว่าอกาลิโก เป็นได้ทั้งบาปทั้งบุญ ทำเวลาไหนถ้าเป็นบาปก็เป็น ถ้าเป็นบุญก็เป็นทั้งนั้นละ

ท่านจึงว่าอกาลิโก หากาลเวลาไม่ได้ ธรรมท่านว่าอย่างนั้น เพราะเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าว่าสวากขาตธรรม สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้ว ไม่มีที่จะบกพร่องหรือเหลือหลอไปที่ไหนไม่มี พอดี พอลงจุดนั้นก็พอดี เป็นมัชฌิมา เป็นอกาลิโก เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้นละ ใครปฏิบัติก็ได้เพราะธรรมเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่เวล่ำเวลา ทำเวลาเช้าเวลาบ่ายอะไรถึงจะได้อย่างนั้นไม่ใช่ ทำไปๆ ความดีนี้ก็หนุนเข้าๆๆ ถ้าทำความชั่วก็เพิ่มเข้าๆ เป็นอกาลิโก ทำบาปก็ตามทำบุญก็ตามทำบุญเวลาไหนเป็นบุญเมื่อนั้น ทำเวลาไหนเป็นบาปเมื่อนั้นถ้าสร้างบาป จึงเรียกว่าอกาลิโก จึงต้องให้บำเพ็ญ ทุกข์ยากลำบากขี้เกียจขี้คร้านก็ฝืนหัวกิเลส ตีหัวมันไป มันก็ค่อยเป็นไปเอง

ท่านผู้ที่ว่าบรรลุธรรมเป็นสรณะของพวกเรา ไม่ใช่ท่านไปกอบไปกำมาเลยนะ ท่านทำแทบตายเหมือนกัน ทั้งยากทั้งง่ายทั้งลำบากอะไรต่ออะไรท่านก็ไม่ถอย จนได้สำเร็จขึ้นมา นั่นพอ เพราะความบึกบึน ถ้าไม่บึกบึนไม่ได้นะ ต้องบึกบึน ท่านจึงว่าเป็นอกาลิโก ถ้าไม่ปฏิบัติไม่รู้ไม่เข้าใจนะที่ท่านว่าอกาลิโก หรือสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว คือชอบพอดีทั้งหมดเลย อยู่ในนั้นหมด ถ้าอาหารก็ไม่เค็มเกินไป ไม่เผ็ดเกินไป ไม่เปรี้ยวเกินไป ไม่หวานเกินไป อยู่ในความพอดี นั่นละเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้เท่านี้ให้พอดี ถ้าปฏิบัติตามนั้นแล้วพอดี บรรลุ เรียกว่ามัชฌิมา

ท่านว่าธรรมเกิดกิเลสเกิดด้วยกันมีนะ ทีแรกนี้มีกิเลสเกิดหลอกๆ ธรรมตามแก้กัน เกิดในตัวเองไม่ได้คิดได้อ่านอะไร อยู่เฉยๆ เวลาเงียบๆ มันจะโผล่ขึ้นมาเป็นคำๆ เหมือนเราพูดนี่แต่พูดอยู่ในหัวใจ เป็นคำแต่เป็นคำในหัวใจ ไม่ได้เป็นคำพูดออกมาอย่างนี้ อย่างที่พูดว่ากิเลสเกิด นั่นละกิเลสหลอก ธรรมเกิดธรรมแก้ได้ ยกตัวอย่างพอจำได้ก็คือลงมาจากภูเขาตอนเช้า กะวันเวลาแล้วว่าจะลงให้ถึงบ้านเขา บิณฑบาตถึงหมู่บ้านเขา คงพอจะไปถึง มันไกล อดอาหารหลายวันด้วย วันนั้นกะว่าจะพอถึงบ้าน พอมาถึงกลางทางไปไม่ได้แล้วเลยนั่งเจ่าอยู่นั้น จิตมันไม่ได้เจ่าซีมันหมุนของมัน

สักเดี๋ยวกิเลสเกิด เงียบๆ ในใจ นี่ท่านบำเพ็ญเพียรอดข้าวว่าจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายเวลานี้รู้ไหม คืออดข้าวทรมานเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายเวลานี้รู้ไหม กิเลสมันเยาะเย้ย พอทางนั้นสงบปั๊บทางนี้ก็ขึ้นรับกันเลย เราที่จะตั้งอกตั้งใจปรุงแต่งอย่างนั้นไม่มีนะ ทั้งธรรมทั้งกิเลสเกิดเราก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้มันเกิดอย่างนั้น ทีนี้เวลามาแก้กันก็ไม่ได้ตั้งอกตั้งใจว่าจะมาแก้แบบนั้น พออันนี้สงบลงไปกิเลสเกิดสงบลงไปว่าท่านจะตายรู้ไหม ทางนี้ก็ขึ้นพับรับกันเลย อ้าว การกินนี้ก็กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอาตายก็ตาย นั่นเห็นไหมล่ะ มันก็ดีดผึง มันไม่ถอย

เราถ้าเชื่อตามกิเลสก็ล้มไปเลย กิเลสว่าเราจะตาย กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม มันขู่ ทางธรรมะก็รับกันเลย กินก็กินมาตั้งแต่วันเกิด ก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอาตายก็ตาย ข้ามไปได้เลย นี่ละธรรมเกิด กิเลสเกิด เบื้องต้นกิเลสเกิดเสียก่อน ธรรมะแก้กันเรียกว่าธรรมเกิด ก็ผึงไปได้เลย ละเอียดเท่าไรๆ ใจดวงนี้ดวงเดียวเท่านั้นละต่อธรรมาสน์หรือว่าเวทีกิเลสกับธรรมเป็นคู่ต่อยกัน ที่ว่าพื้นฐานคือความอดความทนความพากความเพียรเป็นเวที ซัดกันอยู่บนเวที แล้วแพ้ชนะกันตรงนั้นละ

เวลาบำเพ็ญมากๆ เข้าไปนี้ส่วนมากมีแต่ธรรมะเกิด ทีแรกกิเลสเกิดจะเอาให้ธรรมะแพ้ เวลาปฏิบัติเข้าไปไม่หยุดไม่ถอยกิเลสเกิด ธรรมะเกิดแก้กันเรื่อยๆ เมื่อมันหมดทุกสิ่งแล้วไม่มี กิเลสประเภทที่เคยหลอกๆ ไม่มี ธรรมะที่จะเคยแก้กันๆ ก็ไม่มี ตกลงธรรมก็ไม่เกิด กิเลสก็ไม่เกิด เกิดในสงครามอันนั้นเพราะกิเลสแพ้สงครามไปแล้ว มันตกเวทีไปแล้ว เราจะไปต่อยลมต่อยแล้งอะไร ก็ลงเวทีไปสบายซิ กิเลสตกลงไปตายกองกันอยู่ใต้เวทีแล้วยังจะไปต่อยลมต่อยแล้งเขาก็จะว่านักมวยคนนั้นเป็นบ้า เทียบกันอย่างนั้นซิ

ถ้าพูดถึงเรื่องความเพียร โถ พิลึกๆ คือเราก็พูดให้ฟังทุกอย่างแล้วกับพี่น้องทั้งหลาย ตามนิสัยมันเป็นอย่างนั้น คือนิสัยเราผาดโผนจริงจังมาก ถ้าลงได้ตัดสินใจลงอะไรเป็นที่แน่ใจแล้วเอานะผางเลย ให้ถอยไม่มีถอย การพิจารณาถ้ายังไม่ลงใจยังไม่ลง รอ กำลังก็ยังไม่มีพอ พอลงใจแล้วนะเอาช่องนี้ลงแล้วก็ผึงเลยๆ มันเด็ด เอาจริงเอาจัง เด็ดเลย แล้วก็ชนะทุกทีนะถ้าลงได้ซัดกันทีไร ชนะหลายครั้งหลายหนมันก็ชนะเด็ดขาดได้อย่างที่ว่าวันที่ ๑๕ พฤษภา นั่นละเวลามันเด็ดจริงๆ

ไม่ได้ถามใครเลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้สาธุไม่มีที่จะทูลถาม ถามอะไรกัน พระพุทธเจ้าองค์นี้กับพระพุทธเจ้าองค์นี้อันเดียวกันแล้ว ผู้นี้ก็หลุดพ้น ผู้นี้ก็หลุดพ้นเสมอกันหมดแล้วถามกันหาอะไร เวลามันยังไม่รู้พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรน้า ท่านเป็นองค์อย่างไร นั้นพระสรีระ เรือนร่างของพระพุทธเจ้า คือเรือนร่างของจิตที่บริสุทธิ์วิเศษแล้ว ว่าพระพุทธเจ้ารูปร่างกลางตัวเป็นอย่างนั้นๆ บทเวลาเข้าถึงธรรมแล้ว ธรรมของศาสดา ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมแท้ แล้วผางทีเดียวเท่านั้นมันเป็นอันเดียวกันหมดแล้วจะไปแข่งกับอะไร

ท่านว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายเมื่อบรรลุธรรมถึงที่สุดแล้วเหมือนกันหมด ไม่ต้องถามกัน บาลีท่านก็มีรับรอง คือเหมือนกันเลย ไม่ต้องถามกัน พระพุทธเจ้ามีกี่องค์ ดูนี้แล้วมันก็เหมือนกันกับอันนี้แหละ มีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ มาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เหมือนอันนี้ด้วยกันหมด แล้วจะไปถามใคร นั่นถ้ามันรู้จริงๆ แล้วไม่ถาม พระพุทธเจ้าเป็นองค์ใดนั้นเป็นเรือนร่างต่างหาก พระพุทธเจ้าองค์นั้นรูปร่างกลางตัวเป็นอย่างนั้นๆ นี่เป็นเรือนร่างที่อยู่ที่อาศัยของจิตดวงนั้น พอจิตดวงนั้นพ้นแล้วก็เป็นเรือนร่างของธรรมธาตุ เป็นธรรมธาตุก็ได้ หรือว่านิพพานเที่ยงก็ได้ แต่ให้มันถนัดใจก็ว่าเป็นธรรมธาตุ แต่นิพพานเที่ยงแล้วจะว่าอะไร เป็นขนาดไหนนิพพานก็เที่ยง ไม่มีความหวั่นไหวผันแปรไปไหน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึงแล้ว จึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ไม่แปร อยู่เหนือกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หมด

อันที่ว่านี้ก็แบบเดียวกันธรรมธาตุเหมือนกันอีก แล้วจะมาเถียงกันที่ตรงไหน ธรรมธาตุกับนิพพานไม่เถียงกัน เอาให้มันเห็นชัดๆ ในหัวใจอันนี้ นี่พูดตรงๆ นะไม่ได้ถามใครเลย เวลาเป็นขึ้นมามันถึงขนาดที่ว่าตัวสั่นก็ได้หรือว่าอะไรก็ได้เวลามันแสดงขึ้นมา เวลาขึ้นมานี้มันมีขณะหนึ่งนะ มันเป็นข้อเปรียบเทียบกัน รูปธรรม-นามธรรม นามธรรมน่ะพ้น รูปธรรม คือภพชาติมันเหมือนกับเป็นหน่อมะพร้าวตั้งไว้ พอพรึบหน่อมะพร้าวคว่ำเลย นี่เป็นเครื่องเปรียบเทียบกัน ขึ้นในเวลาเดียวกันนะ

พอกิเลสขาดสะบั้น กิเลสเป็นเหมือนหน่อมะพร้าว กิเลสขาดสะบั้นมันคว่ำลงไปเลย พร้อมกันทางนี้ก็ขาดจากกันไปเลย นั่น มันมีเครื่องเปรียบเทียบอยู่นะ ปั๊บๆ เลย ท่านจึงพูดว่าพระอรหันต์มีสี่ประเภท สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต ไม่ได้เหมือนกัน เมื่อถึงที่สุดแล้วสิ้นกิเลสเหมือนกัน แต่กิริยาไหวตัวตอนจะสิ้นนั้นผิดกัน ต่างกันตรงนั้น ส่วนบนสุดแล้วเหมือนกันหมด

คนทั้งโลกเขาว่า..พวกถือศาสนาถืออะไร พวกปฏิบัติธรรมเป็นพวกครึพวกล้าสมัย เป็นอย่างไรกับคำพูดอย่างนี้น่ะ เอาออกมาจากไหน ถอดออกมาจากหัวใจที่เป็นมาเล่าให้ฟัง ไม่ได้มาจากไหนนะ จากหัวใจที่เป็นขึ้นมานี่ เหอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ มันซ้ำนะให้มันถึงใจ เวลามันผางขึ้นมาเหมือนฟ้าดินถล่มนะ แต่ฟ้าดินมันก็อยู่ของมัน มันเป็นระหว่างจิตกับกิเลสพรากจากกัน ขาดสะบั้นจากกัน มันสะเทือนหมดจนตัวโยกเลยเชียว ตัวโดดผึงเลย แรงนะ กิเลสกับจิตที่มันพันกันมากี่กัปกี่กัลป์เวลามันขาดกันนี้ผาง ตัวไหวเลยนะ

พูดเสียใครจะว่าเป็นบ้าก็ให้ว่าเสีย มันได้เป็นอย่างนั้นมาแล้วนี่จะให้ว่าอย่างไร แทบเป็นแทบตายไม่รู้กี่ครั้งกี่หนกับประกอบความเพียร ซัดกันเสียจน โถ บางทีคิดนะอยู่ในภูเขาคนเดียวข้าวก็ไม่ได้กิน อยู่ในภูเขา อยู่ในถ้ำคนเดียว นั่งภาวนาจนก้นแตก เออ เขายังมีความสุขความสบายรื่นเริงบันเทิงบ้างนะ ไอ้เรามานั่งจมอยู่ในนรกทั้งเป็นนี่มันอย่างไรกัน มันเป็นนะในจิต กิเลสมันหลอก นั่นเขาก็จมอยู่ในนรกทั้งเป็น ไปนรกเมืองผีเขาก็จะจมอีก อันนี้นรกทั้งเป็น เอา ยอมรับจมๆ นรกเมืองผีไม่ไป ไม่จม นั่นมันแก้กัน เอาๆ ไปเถอะ ดีดผึงอีก มันแก้กัน มันเป็นอยู่ในจิต มันแก้กัน ดีดผึงๆ แก้กัน

นั่นละบทเวลามันเป็นจริงๆ นี้ร่างกายดีดผึงนะ ใจกับกิเลสนั่นละพรากจากกัน เรียกว่าโลกธาตุไหวมันเป็นอันนี้ต่างหากนะ ไม่ได้เป็นโลกธาตุ ที่ว่าโลกธาตุคว่ำมันหวั่นไหว จิตกับกายกับกิเลสมันพันกัน เวลาขาดจากกันมันดีดใส่กัน ดีด สะดุ้งปึ๊งเลย นั่นเป็นได้ อันนี้เรายอมรับ ส่วนที่ว่าฟ้าดินถล่มท่านเอาเป็นข้อเปรียบเทียบเฉยๆ ฟ้าดินถล่มก็ดินน้ำลมไฟนี่ละกับจิตตวิมุตติมันพรากจากกัน พรากผางเลย นั่นละท่านว่าฟ้าดินถล่ม มันถล่มอยู่ในใจ กิเลสกับธรรมฟัดกันขาดสะบั้นลงไป

ทีนี้มันก็ขึ้นละซิ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้เหรอๆ ให้มันถึงใจ มันเป็นอยู่ในจิตนะ เหอ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร เข้ามาเป็นอันเดียวกันแล้วนะ ใครจะระลึกขนาดไหนก็ตาม ก่อนขณะนี้จะเกิดต้องปั๊บระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกันทั้งนั้น ตัวเราเองก็เป็น ก่อนขณะนี้จะแสดงขึ้นมา พออันนี้แสดงผางขึ้นมาแล้วมันเป็นอันเดียวกัน เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ซ้ำ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ เป็นอันเดียวกันหมด เป็นอย่างนี้ละเหรอ เวลาขึ้นไม่ถามใคร อันนี้มันเป็นอันเดียวกันแล้ว แต่ก่อนเราคิดไว้ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นกิ่งก้านสาขาของต้นนี้แหละ แต่เวลามันรวมปุ๊บเข้ามาแล้วเป็นต้นเดียวกัน อย่างนี้ละเหรอ กิ่งก็กิ่ง ต้นไม้ต้นนี้ละเหรอ ใบนี้ละเหรอ ลงมาจนกระทั่งถึงลำต้น ลำต้นไม้อย่างนี้ละเหรอ รากแก้วรากฝอยของไม้ต้นนี้ทั้งนั้นละ ละเหรอๆ ไปหมด มันอยู่ด้วยกัน

ฟังเสียนะวันนี้ ใครได้ฟังพระพุทธเจ้าบำเพ็ญสอนธรรมเหล่านี้ สวากขาตธรรมแปลว่าอะไร แปลว่าตรัสไว้ชอบแล้ว พวกเรามันไม่ชอบ มันเถลไถล แม้แต่ฟังเทศน์อย่างนี้มันหลับทั้งฟังนี้ก็มี ไปหาเคาะมันเสียหน่อยน่ะ หัวไหนมันง่วงฟาดเลย มันเป็นอย่างไร มันไม่ยอมฟังเสียง ฟังแต่เสียงมันกล่อมกันกับหมอนน่ะ สัปหงก วันนี้สายกว่าทุกวัน วันนี้ธรรมะกับกิเลสออกฟัดกันบนเวทีให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังกันทั่วถึงวันนี้นะ ธรรมะก็ออก กิเลสก็ออก ซัดกันบนเวทีพึ่งจบลงเดี๋ยวนี้ เจ้าของจะตายไปละ ให้พร

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=5394&CatID=2

รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพรูปภาพรูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


แก้ไขล่าสุดโดย หนวดเต่า เมื่อ 05 ก.ย. 2013, 10:04, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 174


 ข้อมูลส่วนตัว


เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
บาป-บุญ-นรก-สวรรค์ มี


...ตอนที่สรุปนี้มันเอากันหนักอยู่นะ ตอนมันต้อนกันเข้าๆ ที่จะหาตัวรากเหง้าของความเกิดแก่เจ็บตายได้แก่อวิชชา พอไปถึงนั้นแล้วสรุปลงละที่นี่ ตอนจะเอาละที่นี่ อะไรเราก็พิจารณาหมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีปัญหา แล้วทำไมมันมีปัญหาอยู่ที่จิต เดี๋ยวว่าดี เดี๋ยวว่าชั่ว เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ มันทำไมมันปลิ้นปล้อน สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้ปลิ้นปล้อน ถ้าว่าว่างเขาก็ว่างหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่จิตทำไมมันไม่ว่าง มันก่อเรื่องตัวเองตลอดเวลา เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง เดี๋ยวว่าผ่องใส เป็นอยู่อย่างนี้มันเป็นเพราะเหตุไร ไล่เข้ามาหาจิตดวงนี้

สักเดี๋ยวธรรมก็เกิด นี่ละเรียกว่าธรรมเกิด ธรรมเตือน ธรรมเกิด คำว่าสุขก็ดี นั่นธรรมเกิดนะนั่น เตือนเราเวลานั้น เวลาสุดท้ายละนั่น คำว่าเศร้าหมองก็ดี คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี เหล่านี้ทั้งหมดเป็นอนตฺตานะ เท่านั้นละ คืออนตฺตาต้องปล่อยวางให้หมด ความหมาย สะดุ้งในจิต แต่เวลานั้นก็นิ่ง จิตเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้วนิ่ง นิ่งด้วยอำนาจของมหาสติมหาปัญญาแต่ไม่ทำงานอะไร หากไม่เผลอไปไหน ถ้าว่าเป็นนักมวยก็เรียกว่าต่อยเวลาเผลอ ทีนี้เวลานิ่ง จิตไม่ได้ทำงาน จิตเวลาจะพ้นจริงๆ ไม่ได้ทำงานอะไรนะ ให้มันเห็นอย่างนั้นซี วางตัวเป็นกลาง มัธยัสถ์ เป็นกลาง

สักเดี๋ยวก็ผางขึ้นมาเลยเชียว ทีนี้วัฏวนอยู่ในหัวใจตกคว่ำออกไป ขาดสะบั้นไปหมด โลกนี้ว่างไปหมด ประหนึ่งว่าโลกธาตุหวั่นไหว ร่างกายของเรานี้ดีดผึงเลย มันแรง ดีดผึง วัฏจิตคือกิเลสกับใจกับธรรมพรากจากกัน ขาดสะบั้นจากกันลงไปแล้วจิตก็ดีดขึ้นมา ทีนี้จ้าครอบหมดโลกธาตุเลยที่นี่ เต็มที่ หายห่วง หมด ตอนจิตกับกิเลสพรากจากกันนี้นี่ละทำความกระเทือนมากที่สุด กิเลสกับธรรมพรากจากกัน วัฏวนความเกิดแก่เจ็บตายกับพระนิพพานพรากจากกัน ปรากฏว่าโลกธาตุนี่ไหวไปหมด ความจริงก็ไหวที่กายของเรา มันดีดขึ้นเลยนะกาย

ขึ้นอุทานเลยเชียว โอ้โห พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้เหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้เหรอ อย่างนี้เหรอ ซ้ำ เหอ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้เหรอๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้เหรอๆ โห พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร แต่ก่อนตั้งแต่เราเริ่มแรกถือศาสนามา พุทโธ ธัมโม สังโฆ เราไม่ได้ปล่อย แต่พอถึงวาระจะปล่อยปล่อยเอง ปล่อยแล้วก็สอนเราในตัวเลย
โห พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นั่นมันเป็นแล้วนะนั่น โห ธรรมแท้มีอันเดียว นั่น ธรรมธาตุมีอันเดียว นิพพานมีอันเดียว ไม่มีกฎอนิจฺจํตัวสมมุติเข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวาย นิพพานจึงเที่ยง นิพพานเที่ยงอย่างนี้เอง ธรรมแท้อย่างนี้เอง ธรรมธาตุแท้อย่างนี้เอง หาที่ไหนหานิพพาน จากนั้นก็ก้มกราบพระพุทธเจ้า ไม่ได้นอน วันนั้นไม่นอน จะว่าอยู่ด้วยความปีติยินดีมันก็เลยโลกเลยสงสารไปเสีย อะไรก็เลยไปหมด มันจ้าครอบโลกธาตุ ไม่ใช่ธรรมดาจิตดวงนี้เป็นของเล่นเมื่อไร...

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4957&CatID=2

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 174


 ข้อมูลส่วนตัว


เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ธรรมประเภทนี้หาที่ไหนไม่เจอ


...มัธยัสถ์กลางๆ ไม่เอนไปทางไหนไม่ทำงาน จะเผลอก็ไม่เผลอจะทำงานก็ไม่ทำ นั่นละกิเลสขาดสะบั้นตรงนั้น ธรรมทำงานเต็มที่ ที่ว่าบรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรมเวลานั้นจิตไม่ทำงาน คือพิจารณาหมดแล้วทุกอย่างหมดแล้วมาเป็นอุเบกขากลางๆ ให้เผลอไม่เผลอ เป็นแต่เพียงไม่เอนไปทำงานนั้นงานนี้ต่อไป สุดเท่านั้น นี่พูดจริงๆ เป็นอย่างนั้นละ เพราะวินิจฉัยถึงเรื่องจิตเป็นได้หลายอย่าง ทำไมเดี๋ยวเศร้าหมองเดี๋ยวผ่องใส เดี๋ยวว่าสุขเดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าดีว่าชั่ว ทำไมจิตดวงนี้จึงเป็นได้หลายอย่างนัก

เพราะพิจารณาหมดแล้วมันปล่อยหมด ยังเหลือแต่จิตกับอวิชชาพันกันอยู่ พอเข้าไปถึงนั้นแล้วก็ไปถึงตัวอวิชชา เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวผ่องใสเดี๋ยวเศร้าหมอง ทำไมจิตดวงนี้เป็นได้หลายอย่างนักนะ จากนั้นจิตก็นิ่ง แล้วก็ขึ้นมาว่า ความผ่องใสความเศร้าหมอง ความสุขความทุกข์เหล่านี้เป็นอนัตตา พอว่าอนัตตานี้แล้วจิตก็นิ่งนะ ตอนนี้นิ่งอันนี้นิ่งเพื่อจะพังทลายสมมุติ นิ่งเฉย สักเดี๋ยวก็ผางขึ้นมาเลย นี่ละที่ตัดสินกันขั้นสุดท้ายสำหรับเราเอง ว่าความสุขก็ดีทุกข์ก็ดีเศร้าหมองก็ดีผ่องใสก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ รวมกันลงอนัตตาสำหรับเรา พอว่ามันก็ผางซิ...

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4631&CatID=2

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


แก้ไขล่าสุดโดย หนวดเต่า เมื่อ 25 มิ.ย. 2013, 22:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 00:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 174


 ข้อมูลส่วนตัว


เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส
ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
สายบุญสายกรรมมีอยู่


...พอพิจารณารวมลงมาถึงจุดนั้นก็มีความรำพึงขึ้นมาว่า ทำไมจิตดวงเดียวนี้จึงเป็นได้หลายอย่างนัก เวลามันจะคว่ำโลกธาตุนะ จิตดวงเดียวนี้ทำไมจึงเป็นได้หลายอย่างนัก เดี๋ยวว่าดี เดี๋ยวว่าชั่ว เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ แม้จะไม่มีมากมายแต่ก็เป็นเครื่องหมายให้ทราบแล้วว่าสิ่งเหล่านี้มี เศร้าหมองก็มีตามธรรมขั้นนั้น ผ่องใสก็มีในธรรมขั้นนั้น ยังไม่ใช่ขั้นหลุดพ้น รำพึงว่าดีว่าชั่วก็มีตามธรรมขั้นนี้ สุขทุกข์ก็มีอยู่ตามธรรมขั้นนี้

พออันนี้ยุติลงไปปั๊บมันรำพึงในขณะที่มันจะเป็นขึ้นมา มันรำพึงว่าทำไมจิตดวงเดียวนี้มันจึงเป็นได้หลายอย่างนัก เดี๋ยวว่าดี เดี๋ยวว่าชั่ว เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ หาความแน่นอนไม่ได้ มันเป็นอะไร จิตก็จิตดวงเดียว รู้อย่างเดียว ทำไมมันจึงมีหลายสันพันคมมากนัก นี่เป็นความรำพึงในขณะนั้น สักเดี๋ยวธรรมะอันหนึ่งผุดขึ้นมาละ ครั้งสุดท้ายนะ พอพิจารณาสิ่งเหล่านี้ยุติลง จิตสงบลง แล้วพระธรรมผุดขึ้นมาเป็นคำๆ คำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี คำว่าเศร้าหมองก็ดี คำว่าผ่องใสก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ นี้เป็นคำสอนผุดขึ้นมาเป็นคำๆ ในหัวใจเรานี้แหละ

พอคำสอนอันนี้สอนขึ้นมาดับลงไปเท่านั้น จิตตอนนั้นจะว่าทำงานอะไรก็ไม่ทำ จะว่าเจาะจงอะไรก็ไม่เจาะจง จะว่าเผลอไปที่ไหนก็ไม่เผลอ อยู่กลางๆ ไม่ทำงานอะไรเลย นั่นละขณะโลกธาตุหวั่นไหวขึ้นที่นั่น พอว่าเท่านั้นจิตก็นิ่งอยู่ท่ามกลางแห่งความวางเฉย จะว่าตั้งหน้าเฉยเสียจริงๆ ก็ไม่ใช่ เพราะจิตนี่มันละเอียดสุดยอดแล้ว ว่าวางเฉยมันก็ยังหยาบนะ เฉยอันนั้นไม่ใช่เฉยอย่างนี้ ทีนี้พอคำดำรินี้ตกลงไปทั้งสองอย่าง ที่ว่าธรรมเหล่านั้นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เศร้าหมองก็ดี ผ่องใสก็ดี เหล่านี้เป็นอนัตตานะ

พูดง่ายๆ คือว่ายังเป็นวัฏวนไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น ไม่ควรจะตายใจกับมัน ความหมายว่าอย่างนั้น พอว่าอย่างนั้นแล้วจิตหยุดพัก ทีนี้จะว่าทำอะไรก็ไม่ทำ จะว่าเจาะจงกับสิ่งใดก็ไม่ใช่ จะว่าเผลอไปไหนก็ไม่เผลอ อยู่กลางๆ อย่างนั้น สักเดี๋ยวก็ผางขึ้นมาเลยที่นี่ โหย เหมือนฟ้าดินถล่มเลยนะ ลักษณะอันหนึ่งเป็นภาพที่ปรากฏขึ้นมาในขณะที่จิตมันคว่ำวัฏจักรนั้นน่ะมันเหมือนหน่อมะพร้าว หน่อมะพร้าวมันคว่ำ มันเป็นต้นมะพร้าวเล็กๆ มันเป็นภาพนะ ภาพละเอียด เป็นข้อเทียบเคียงกันกับจิตที่ละเอียดในขณะนั้น

พอว่าเท่านั้นแล้วมันก็พรึบ ทีนี้ต้นมะพร้าวเล็กๆ นี้เหมือนกับว่ามันคว่ำลงไปเลย คว่ำลงไปพร้อมกันกับจิตที่แสดงโลกธาตุไหวนั่นละ พรึบลงพร้อมกันเลย คราวนี้มันจ้าขึ้นมา โอ้โห นี่ฟังเสียท่านทั้งหลายฟัง เทศน์คำนี้ดูเรายังไม่เคยเทศน์ที่ไหน หากจะมีบ้างก็นานแสนนานถึงจะได้พูดคำนี้ขึ้นมา พอต้นมะพร้าวเล็กๆ คว่ำลงพร้อมกับขณะที่จิตมันพลิกตัวพรึบเท่านั้นละมันก็จ้าขึ้นมาเลย ทีนี้แดนโลกธาตุเหมือนหนึ่งว่าหวั่นไหวไปหมดเลย ร่างกายนี้สะดุ้งผึงเลยนะ อยู่ธรรมดาเรานี้ละแต่เวลามันแสดงฤทธิ์เดชของจิตที่มันแสดงลวดลายในเวลานั้นมันเหมือนโลกธาตุหวั่นไหวนะ คือเป็นเรื่องหนักมาก เป็นเรื่องที่ว่าอัศจรรย์มาก อะไรก็มากๆๆ เกินไปหมดนั่นแหละ

นั่นละที่ว่าเหมือนโลกธาตุคว่ำ หรือว่าเหมือนโลกธาตุไหว เหมือนฟ้าดินถล่มตอนนั้นนะ มันพลิกลงผึง จากนั้นมาก็จ้าเลย พอจ้าแล้ว โอ้โห ทีนี้หมดขณะจ้าเสียก่อน พอคลี่เรื่องจ้าลงไปแล้วทีนี้มันจ้าไปหมด มองไปไหนนี้มันครอบโลกธาตุ โอ้โห จิตดวงนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ จิตของเราทำไมเป็นอย่างนี้ เราไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ ทีนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ คำว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่เราเคยระลึกติดหัวใจเรามาตั้งแต่วันระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆได้มาจนกระทั่งถึงบัดนี้ บัดนี้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร เป็นแล้วนะนั่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ รวมเป็นอันเดียวเป็นธรรมแท่งเดียว มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นั่นพร้อมรับความอัศจรรย์...

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4531&CatID=2

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2013, 00:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 174


 ข้อมูลส่วนตัว


เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
กิเลสขาดจากใจอยู่ไหนสบายหมด


...ท่านจะไปเรียกหาอะไร ความพออยู่กับท่านหมดแล้วไปเรียกหาอะไร วุ่นไปไหน เท่านั้นละ นี่ผลแห่งการปฏิบัติธรรม แต่สำคัญผู้ภาวนาต้องขึ้นกับสติ สติเป็นสำคัญมากปล่อยไม่ได้เลย สติสำคัญมากทีเดียวตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมหาสติมหาปัญญา สติล้มลุกคลุกคลาน เอา ตั้ง มันล้มก็ตั้ง การตั้งสตินี้เราได้พิจารณา เวลามันมีผิดมีพลาดตั้งไม่อยู่แล้วล้มลงไป ตั้งขึ้นมา พลิกไปทางไหนๆ พิจารณาเป็นเพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้ บางวันตั้งได้แน่ว แล้วบางวันทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เพราะความละเอียดมันไหวนิดหนึ่งก็รู้จิตนะ ไม่ใช่มันเป็นอย่างโลกสงสารทั่วๆ ไปเป็นกัน มันเป็นอยู่ในส่วนละเอียดของจิต มันไหวนิดหนึ่งก็รู้

เช่น มีลักษณะผ่องใสหรือเศร้าหมอง สุขบ้างทุกข์บ้าง พอรู้เท่านั้นละจับได้ๆ นำมาเป็นปัญหาถามตัวเอง เป็นอะไรจิตดวงนี้ถึงเป็นได้หลายอย่างนัก เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง สุดท้ายจึงรวมยอดเข้ามาว่า ธรรมที่ว่าทั้งหมดนี้เป็นอนัตตานะ เท่านั้น จิตหยุดไม่ทำงานอะไรเลย เรียกว่าวางเฉย นี่เป็นปัจจุบันเต็มส่วนแล้วนะ ควรแก่ธรรมจะเกิดขึ้นอย่างเต็มเหนี่ยว จากนั้นก็ผางขึ้นมาเลย พระอานนท์ก็ปล่อยหมดความกังวล ที่ว่าจะบรรลุธรรมในวันสังคายนา หวังอยู่ๆ มันไม่ได้เข้ามาปล่อยตรงกลางให้เป็นปัจจุบัน ทีนี้พอท่านเข้ามาหมดแล้วมาเป็นปัจจุบัน ทอดอาลัย ก็ผางขึ้น

อันนี้ก็เหมือนกัน พออันนี้รวมเข้ามาเป็นอนัตตาเท่านั้น พอเป็นอนัตตาแล้วก็เป็นอุเปกขา นิ่งเฉย เอาตอนนั้นละตอนนิ่งเฉย จะว่าเจาะจงกับงานใดๆ ไม่มีทั้งนั้นเวลานั้น เรียกว่าอุเบกขาโดยหลักธรรมชาติ เป็นปัจจุบันในหลักธรรมชาติ ขึ้นตรงนั้นเอง ผางเลย มันรู้จนกระทั่งกิเลสกับจิตมันขาดจากกัน รู้ขนาดนั้นละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ...

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4007&CatID=2

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


แก้ไขล่าสุดโดย หนวดเต่า เมื่อ 25 มิ.ย. 2013, 22:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2013, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 174


 ข้อมูลส่วนตัว


เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒
ใจเด็ดกิเลสขาด


...เดี๋ยวอันหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ธรรมหรืออะไรก็แล้วแต่จะพูด คำว่าใสก็ดี คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าเศร้าหมองก็ดีขึ้นมา โอ้โห เป็นบทเป็นบาทนะ คำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าเศร้าหมองก็ดี ธรรมสองเงื่อนนี้เป็น อนตฺตา นะ ว่าอย่างนั้นขึ้น พอว่าอย่างนั้นมันจึงเป็นเหมือนกับว่าภาพอันหนึ่งที่มันขึ้นเป็นข้อเทียบเคียงกันนั้น เหมือนกับว่ามะพร้าวมีกะลาเดียวนี้ มันออกถึงสองหน่อ หน่อหนึ่งทางเศร้าหมอง หน่อหนึ่งทางผ่องใส หน่อหนึ่งทางสุข หน่อหนึ่งทางทุกข์ พูดง่าย ๆ มันเป็น อนตฺตา นะ ทั้งสองนี้มันขึ้นมาจากกะลาอันเดียวนี้ คือทั้งสองอย่างนั้นมันขึ้นมาจากใจดวงเดียวนี้ จากธรรมชาติอันนี้อันเดียว อันที่ว่าเป็นรากฐานใส ๆ นี่

พอทางนี้ขึ้นอย่างนั้นพับ งงเลยเรา ตรงนั้นนะ จะว่าพิจารณาอะไรอยู่ก็ไม่ใช่ จะว่าจ่ออยู่ในจิตดวงนี้ก็ไม่เชิง นี่ตรงนี้จิตเป็นกลางจริง ๆ เราจึงยอมรับเรื่องพระอานนท์เรื่องอิริยาบถ ๔ คือ ตอนนั้นท่านจะอะไรท่านก็ไม่เชิง พิจารณาอะไรก็ไม่เชิง จะเผอเรอไปข้างนอกก็ไม่ไป จิตดวงนี้ไม่ไปละไปอย่างนั้นน่ะ จะจดจ่อทำงานอะไรแท้ก็ไม่ใช่

อันนี้จิตก็อยู่ในจังหวะที่กำลังเฉย ๆ ธรรมดา จะว่าจ่อนี้ก็ไม่เชิง จะว่าทำอะไรอยู่ก็ไม่ใช่ อยู่ธรรมดา เหมือนกลาง ๆ ในขณะนั้น มันถึงได้พุบขึ้นเลย ที่ว่าเป็นหน่อมะพร้าวออกจากกะลาเดียวนี้ มันคว่ำนี้ลงเลย พอคว่ำปุ๊บไปพร้อมกันหมดเลย คือดวงสว่างนี้ละมันไปกระจายไปหมด ที่สว่างอัศจรรย์ นี่ละมะพร้าว มะพร้าวทั้งลูก หน่อดีชั่ว สุขทุกข์มันเป็นคู่กัน มันเกิดจากอันนี้ มันก็ไปด้วยกันทั้งสอง พอคว่ำปุ๊บมันก็ผ่านไปเลยหายพร้อม...

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=886&CatID=3

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 00:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.พ. 2007, 20:39
โพสต์: 174


 ข้อมูลส่วนตัว


เทศน์อบรมพระ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕
จิตเป็นของแปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์


...การพิจารณาต้องรู้รอบและปล่อยวางได้ เพราะถ้ายังไม่เห็นโทษในความรู้ของตนเองก็จะยกความรู้ขึ้นเหยียบย่ำในสิ่งทั้งหลายที่ตนเข้าใจว่าตนรู้ แท้จริงความรู้ชนิดนี้เป็นความรู้ภายใต้ของอวิชชาต่างหาก จนกว่าจะรู้รอบความรู้นี้อีกครั้งหนึ่ง เพราะความรู้นี้เป็นตัวเหตุตัวการที่จะก่อความรัก ความชัง ความดี ความชั่ว หรือความสุข ความทุกข์ทั้งหมด มันก่อตัวขึ้นจากความรู้อันนี้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ

ลืมเรียนให้ทราบตอนว่า เมื่อจิตได้ปรากฏเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้ว ความรู้ที่ว่านี้เป็นความรู้แปลกมากเหมือนกัน คล้าย ๆ กับว่าเป็นความรู้ที่มีรสชาติ และอัศจรรย์ เลยเข้าใจว่านั้นเป็นนิพพานแล้วติดได้เหมือนกัน ที่จริงควรพิจารณาความว่างเปล่าและผู้รู้อันนั้น กับอาการที่เกิดขึ้นจากผู้รู้นั้นแล เป็นอารมณ์พิจารณาทวนไปทวนมาไม่หยุดยั้ง จนเห็นโทษแห่งความรู้เช่นเดียวกันกับสภาวะส่วนอื่นๆ ทั้งหยาบ กลาง ละเอียดแล้วนั่นแหละ จึงจะมีโอกาสปล่อยวางได้ แต่อาการปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยเอาเฉย ๆ ตามที่เราคาดกัน จะต้องมีสภาพอันหนึ่งซึ่งจะให้นามก็ลำบากเหมือนกัน แต่พอเข้าใจได้ว่ามันตัดสินขึ้นมาเอง

ขณะนั้นเรียกว่าขณะถอดถอนตนเอง หรือกลับเข้ามารู้ตนเอง เมื่อเรากลับเข้ามารู้ตนเองและปล่อยวางตนเอง จะมีขณะอันหนึ่งซึ่งเป็นขณะที่ไม่เคยมี และไม่เหมือนกับขณะจิตที่รวม ขณะจิตที่สงบ แต่ขณะจิตที่ตัดภพ ตัดชาติ ตัดสมมุติ หรือทำลายความอัศจรรย์ของจิตดวงสมมุตินี้นั้น เป็นขณะอันหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ ทั้งไม่เคยประสบมาแต่กาลไหนๆ ได้เกิดขึ้นมาเอง โดยที่ใคร ๆ ไม่ได้คาดหมายเอาไว้ เราจะว่าจิตของเรามีความเผลอไปในสิ่งใดก็ไม่ใช่ จะว่าจดจ่ออยู่กับอะไรก็ไม่เชิง คล้าย ๆ กับว่าขโมยมาสอยเอาสิ่งของเวลาเราเผลอฉะนั้น

ขณะจิตอันหนึ่งซึ่งเป็นธรรมชาติที่แปลกและอัศจรรย์ยิ่งกว่าธรรมชาติใด ๆ มาปรากฏขึ้นในขณะเดียวเท่านั้น เพราะขณะจิตนั้นได้ทำงาน หรือว่าลบล้างความหลงของตนเองสิ้นสุดลงไปแล้วนั้นแล เราจึงจะเห็นโทษแห่งความเป็นมา ผ่านมาเอง เราจะเห็นโทษแห่งปฏิปทาที่เป็นมาที่ลุ่มๆ ดอนๆ คือ มีทั้งผิดทั้งถูกสับสนระคนกันไป เหมือนข้าวสารกับแกลบรำฉะนั้น และคุณแห่งปฏิปทาของเราที่ได้ปฏิบัติมาแต่ต้นจนถึงจุดนี้ ว่าเป็นสวากขาตธรรม และเป็นนิยยานิกธรรมโดยแท้ ฉะนั้นเมื่อขณะจิตนั้นได้ทำงานสิ้นสุดลงไปแล้ว ไม่เห็นมีเรื่องอะไรที่จะเป็นปัญหาให้ขบคิดต่อไปอีก นอกจากใจดวงเดียวเท่านั้นไปก่อเรื่องราวทั้งหลาย แล้วนำมาเผาลนตนเองให้เดือดร้อนเท่านั้น จึงมีให้นามว่าปัญหาโลกแตก คือปัญหาหัวใจ

บาลีท่านว่า ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ รู้เห็นตามเป็นจริงตามสภาวะนั้นๆ จึงหมดการตำหนิติชมในสภาวธรรมทั่วๆ ไป พร้อมทั้งการตำหนิติชมในตัวเอง สมมุติภายในและภายนอกก็ยุติกันลงได้ สิ่งทั้งหลายภายในจิตก็ไม่มี จิตนั้นเป็นวิสุทธิจิตจึงพ้นจากสมมุติไป ท่านเรียกชื่ออีกว่าวิมุตติ ที่ให้ชื่อเช่นนั้นถ้าจะเปรียบเทียบแล้วก็เหมือนกับชื่อของวัด จะเป็นวัดใดก็ตาม ยกตัวอย่าง เช่น วัดบวรนิเวศ ท่านติดป้ายไว้หน้าวัดบวรฯว่า วัดบวรนิเวศ การติดป้ายไว้นั้นติดไว้เพื่อใคร พระเณรในวัดบวรฯ รู้แล้ว ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมาอ่านป้ายวัดนี้คือวัดบวรฯ ก่อนจะเข้าออกจากวัด หรือจะหลับนอน ที่ติดไว้ก็เพื่อคนที่ไม่รู้จักวัดบวรฯ เขาจะอ่านที่ป้ายและรู้ว่า อ้อ นี้คือวัดบวรฯ

ท่านให้ชื่อว่าวิมุตติก็เช่นเดียวกัน สำหรับท่านที่หลุดพ้นไปแล้วจะให้ชื่อว่า วิมุตติ หรือนิพพาน ไม่เห็นจำเป็นอะไร แต่ก็ตั้งชื่อเป็นกรุยเป็นหมายเพื่อให้โลกที่มีสมมุติให้รู้กัน และเพื่อท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจ และเพิ่มกำลังความเพียรเพื่อนิพพาน แต่เมื่อเข้าถึงธรรมคือนิพพานแล้ว มันก็หมดปัญหาไปตามๆ กัน ความสำคัญว่าตนโง่ตนฉลาดก็หมดไป ความสำคัญว่าตนเศร้าหมอง หรือผ่องใสก็หมดไป เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งนั้น ธรรมชาตินั้นไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ จึงเข้ากันไม่ได้

สิ่งใดที่จะมาสัมผัสในทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็สักแต่ว่าเท่านั้น เพราะจิตหมดเรื่องแล้ว สิ่งทั้งหลายจึงไม่มีเรื่อง พลอยหมดไปตาม ๆ กัน เครื่องกังวลและภาระใดๆ ทั้งที่เป็นส่วนหยาบ ส่วนกลาง และส่วนละเอียด หยุดการรักษา คำว่ารักษาหมายถึงจิตโดยเฉพาะ ไม่ได้หมายถึงมรรยาททางกาย วาจา เช่น มีแผลอยู่ในอวัยวะของเราส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งรักษายังไม่หายสนิท เราจะต้องพยายามรักษาและระวังสิ่งที่มากระทบ และพอกยา ทายาอยู่เสมอ จนกว่าจะหายสนิท

http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2626&CatID=3

.....................................................
เมื่อเจ้าจักเห็น จงเห็นฉับพลัน พอตั้งต้นคิด หนทางปิดตัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 62 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร