วันเวลาปัจจุบัน 29 พ.ค. 2023, 06:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2020, 07:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กุสราชมหาสัตว์ ๑

กุสราชมหาสัตว์ ๑

สมัยหนึ่งระหว่างที่พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ครานั้นพระองค์ได้ทรงปรารภถึงภิกษุรูปหนึ่งผู้ไม่ยินดีในธรรมมีใจใคร่จะสึกว่า“ เราได้ยินว่ากุลบุตรชาวสาวัตถีผู้หนึ่งถวายตนเข้ามาบรรพชาแล้ว ขณะบิณฑบาตเห็นสตรีนางหนึ่งแต่งกายงดงามก็ถือเอานิมิตนั้นมาครุ่นคิด หมดความยินดีในพรหมจรรย์ ปล่อยให้จีวรเศร้าหมอง เล็บงอกยาว ไม่หลับไม่ฉัน จนร่างกายผ่ายผอมอุปมาดั่งเทวบุตรเห็นนิมิตห้าประการบอกว่าตนใกล้ถึงกาลจุติแล้ว ฉันใดฉันนั้น ”

บรรดาสงฆ์เมื่อฟังต่างก็ร้อนใจ จึงให้พระรูปหนึ่งไปพาตัวภิกษุรูปนั้นมาเข้าเฝ้า เมื่อพระที่ถูกพาดพิงมาถึงแลได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเสร็จ องค์บรมครูจึงตรัสถามเขาว่า “ ดูก่อนภิกษุ เราได้ยินว่าเธอจะสึกหรือ? ” ภิกษุผู้มีใจเบื่อหน่ายในเพศบรรพชิตได้ทูลว่า “ เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า ” องค์บรมครูครั้นทรงสดับจึงทรงมีพระดำรัสตรัสแก่พระรูปนั้นว่า

“ ดูก่อนสมณ เธอจงอย่าปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำดวงจิตเธอเลย ธรรมดาสตรีย่อมเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ขอเธอจงห้ามใจอย่าไปรักใคร่ในมาตุคามเถิด บุรุษใดแม้จักถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก แต่ฤทธิ์ของเขาก็ต้องเสื่อมเพราะมีใจไปปฏิพัทธ์ในหญิงงาม สุดท้ายต้องถึงความพินาศก็เพราะมาตุคามเป็นเหตุ ” เมื่อตรัสดังนี้แล้วก็ทรงนิ่งเฉย มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยคำใดอีก ภิกษุทั้งหลายเพื่อต้องการจักทราบความนัยโดยละเอียด จึงอาราธนาพระองค์ให้ทรงขยายความในเรื่องดังกล่าว องค์บรมครูเมื่อทรงเห็นถึงความปรารถพวกเขา จึงทรงยกเอานิทานมาแสดง

ย้อนไปเมื่อครั้งอดีตอันเนิ่นนาน มีราชาองค์หนึ่งครองกรุงกุสาวดี แคว้นมัลละ นามว่า พระเจ้าโอกกากราช ทรง เป็นกษัตริย์ที่เหล่าปวงประชาต่างให้ความเคารพเทิดทูนเป็นอย่างยิ่ง ราชาพระองค์นี้ทรงมีพระมเหสีนางหนึ่งชื่อ สีลวดี ทรงเป็นสตรีที่มีความงดงามทั้งกายและใจ โดยเฉพาะศีลาจารวัตรที่พระนางทรงยึดถือปฏิบัติ ได้เป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วแคว้น จนผู้คนต่างก็ทราบกันดี ดังนั้นพระนางจึงทรงเป็นที่รักของจอมกษัตริย์ยิ่งกว่าสนมใด แต่ทุกสิ่งทุกล้วนไม่มีอะไรสมบูรณ์

หลังจากทรงอภิเษกสมรสกับจอมกษัตริย์ ผ่านมาหลายปีองค์เทวีก็ยังไม่ทรงสามารถให้กำเนิดพระโอรสแก่พระเจ้าโอกกากราชได้ เหตุนี้จึงทำให้ชาวเมืองไม่พอใจ จนวันหนึ่งชาวเมืองได้มารวมกันยังลานหน้าพระ บรมมหาราชวังเพื่อจักร้องเรียนพระราชาว่า บ้านเมืองจักถึงกาลพินาศหากพระองค์ยังทรงไร้ซึ่งรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ องค์ราชาเมื่อทรงสดับก็ทรงตอบไปว่าพระองค์ทรงใช้หลักธรรมในการปกครอง ไฉนบ้านเมืองจึงจักพินาศเล่า? แต่ชาวเมืองแย้งว่าถึงพระองค์จักทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมก็จริง แต่การที่ทรงไร้ซึ่งรัชทายาทอาจเป็นสาเหตุให้ชนเหล่าอื่นคิดช่วงชิงเอาพระราชสมบัติได้ แล้วก็จักนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมือง ฉะนั้นขอโปรดทรงขวนขวายให้ได้มาซึ่งรัชทายาทโดยไวเถิด

พระราชาครั้นทรงสดับจึงตรัสถามพวกเขาว่า แล้วจักให้พระองค์ทรงทำอย่างไร? เหล่าพสกนิกรซึ่งได้เตรียมวิธีไว้ให้แล้ว พอฟังจึงทูลไปว่า อย่างแรกพระองค์ต้องทรงอนุญาตให้นางสนมรุ่นเยาว์ออกนอกวังไปมีสัมพันธ์กับบุรุษอื่นเป็นเวลาเจ็ดวัน จากนั้นค่อยเรียกมาถามว่านางตั้งครรภ์หรือไม่ หากยังไม่ตั้งครรภ์ก็ทรงอนุญาตให้สนมนางต่อไปทดลองดู ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงสนมรุ่นกลาง แลรุ่นใหญ่ ในบรรดาสนมที่มีอยู่ ๑๖,๐๐๐ นางนั้น ย่อมต้องมีสักนางที่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้เป็นแน่

พระราชาหลังทรงฟังคำแนะนำของชาวเมืองก็ทรงปฏิบัติตาม แต่ถึงพระองค์จักส่งสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ นางไปมีสัมพันธ์กับบุรุษอื่นจนสิ้น ทว่าก็หาได้มีนางใดจักให้กำเนิดพระโอรสแก่พระองค์แม้แต่เพียงนางเดียว! ดังนั้นบัลลังก์แคว้นมัลละจึงยังไร้ซึ่งรัชทายาทเหมือนเดิม ฝ่ายชาวเมืองเมื่อเห็นว่ากาลก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้วแต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวของรัชทายาท จึงพากันมารวมตัวร้องเรียนอีกครั้ง

ครั้งนี้จอมกษัตริย์ได้ตรัสกับพวกเขาว่าพระองค์ได้ทรงทำตามที่พวกเขาบอกแล้วทุกประการ จนไม่เหลือแม้แต่สนมสักนาง แต่ก็หาจักมีนางใดให้กำเนิดพระโอรสแก่พระองค์ได้ แล้วอย่างนี้จักให้พระองค์ทรงทำอย่างไร? บรรดาชาวเมืองพอฟังก็ให้ประหลาดใจนัก จึงปรึกษากัน

หลังได้ข้อสรุปจึงทูลว่าสนมทั้งหมื่นหกพันนางนั้นคงจักเป็นผู้ทุศีลเสียเป็นแน่ จึงไม่มีผู้มีบุญลงมาเกิดในครรภ์พวกนาง เอาอย่างนี้ ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีผู้เป็นอัครมเหสีได้ทรงทดลองเถิด ด้วยพระนางทรงเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ พวกตนเชื่อว่าองค์เทวีจักต้องทรงสามารถให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้แน่ จอมกษัตริย์เมื่อทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกปวดร้าวพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพระนางสีลวดีทรงเป็นพระมเหสีที่พระองค์ทรงรักใคร่เทียบได้กับชีวิตจิตใจ แต่เพื่อบ้านเมือง จำต้องทรงตัดพระทัยให้พระนางไปทดลองดู

หลังชาวเมืองกลับไปจอมราชาได้ทรงรับสั่งให้ทหารออกไปป่าวประกาศทั่วพระนครว่านับจากนี้เป็นเวลา ๗ วันพระองค์จะทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีออกจากวังไปเลือกบุรุษที่นางพึงใจ เพื่อให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ บุรุษใดปรารถนาจักถูกรับเลือก ให้มาประชุมพร้อมกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังในเช้าวันนั้น!
ครั้นถึงเช้าวันที่แปดราชาโอกกากราชได้ทรงให้นางกำนัลไปตกแต่งประดับประดาพระมเหสีด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จากนั้นทรงรับสั่งให้ทหารรักษาวังเปิดบานทวารพระบรมมหาราชวัง อัญเชิญจอมเทวีเสด็จพระราชดำเนินออกสู่ด้านนอก

เวลานั้น ณ ภพดาวดึงส์อันเป็นที่อยู่ของมเหสักห์จอมเทพพระนามว่า ท้าวสักกเทวราช ด้วยอานุภาพแห่งศีลที่พระมเหสีสีลวดีได้ทรงรักษา ทันทีที่พระนางทรงย่างพระบาทพ้นบานทวารของพระบรมมหาราชวัง ภพขององค์อมรินทร์ก็เกิดอาการร้อนเร่าขึ้นมาทันใด องค์เทพราชาพอทรงเห็นก็ทรงรู้ว่าบัดนี้แดนมนุษย์โลกต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่ จึงทรงกำหนดจิตดู

ทันใดก็ทรงทราบพระนางสีลวดีผู้เปี่ยมด้วยศีลกำลังจะเสียสละตนเองเพื่อบ้านเมือง โดยทรงยอมมีความสัมพันธ์กับบุรุษอื่นเพื่อให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระเจ้าโอกกากราช พอทรงทราบดังนั้นจึงทรงคำนึงขึ้น “ เราจะยอมให้ศีลขององค์เทวีด่างพร้อยไม่ได้เด็ดขาด แลจักต้องให้นางได้พระโอรสสมปรารถนาด้วย การนี้เห็นทีคงต้องให้เทพบุตรองค์ใดองค์หนึ่งไปเกิดเป็นบุตรนางเสียแล้ว แต่จักให้องค์ใดไปดีหนอ? ” ทันใดก็ทรงเห็นภาพของพระโพธิสัตว์ซึ่งใกล้ถึงกาลจักต้องจุติจากภพดาวดึงส์ไปบังเกิดยังเทวภูมิชั้นที่สูงขึ้นไป เมื่อทรงทราบดังดังนั้นท้าวเธอจึงไม่รอช้า รีบเสด็จไปยังวิมานของพระมหาสัตว์พร้อมด้วยเทพผู้ติดตามทันที

พอไปถึงก็ตรัสกับเทพโพธิสัตว์ว่า “ดูก่อนมหาสัตว์ ขอท่านจงไปเกิดในครรภ์ของมเหสีสีลวดียังภพมนุษย์เถิด” แลเพื่อจักให้พระโพธิสัตว์ยอมรับในเทวบัญชา จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงทรงหันมาตรัสกับเทพผู้ติดตามข้างๆว่า “ ถึงท่านเช่นกัน จงไปเกิดเป็นพระโอรสของพระนางสีลาวดีร่วมกับพระมหาสัตว์ด้วยเถิด ” ทันทีที่ทรงรับสั่งเสร็จจอมเทพผู้เลื่องนามก็ไม่ทรงอยู่ให้เทพบุตรทั้งสองได้โต้แย้งแต่อย่างใด รีบเสด็จลงจากดาวดึงส์ภพมาปรากฏกายยังลานหน้าพระบรมมหาราชวังในร่างของพราหมณ์แก่ผู้หนึ่งทันใด

ขณะนั้น ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวังอันกว้างใหญ่ ล้วนคลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษจนแทบจะหาที่ยืนไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษน้อย บุรุษใหญ่ ไล่ไปจนถึงบุรุษวัยใกล้ขึ้นเมรุ ล้วนพากันมายืนอวดโฉมรอให้พระนางสีลวดีทรงเลือกตนไปเป็นคู่อภิรมย์กันให้สลอน บรรดาคนเหล่านั้นพอเห็นท้าวสักกะในร่างพราหมณ์แก่ก็มายืนปิดท้ายรอรับเลือกกับเขาด้วย ต่างก็พากันหัวเราะออกมา ไม่เพียงเท่านั้น บางรายยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางกันไปต่างๆนานาอีก พราหมณ์เฒ่าเมื่อถูกเหล่าฉกรรจ์ดูถูกเขาก็แสร้งทำมีโมโห จึงกล่าวาจาโต้ตอบไป แต่เนื่องจากด้วยวัยที่แก่ชรา เสียงที่พูดออกมาจึงดูสั่นพร่า แถมยังตะกุกตะกักอีก

“ ชิ ชะ! เจ้า พวก ผู้เยาว์ ถึง กาย เรา มัน จักแก่ก็จริง แต่ความ กระชุ่ม กระชวย มันหาได้แก่ตาม ไปด้วย เสียเมื่อไหร่ เราจัก แสดงให้เห็นว่า พระนาง สี ล วดี จัก ต้อง เป็น ของเรา แน่นอน ขอพวกท่าน จงคอย ดูเถอะ ” บุรุษทั้งหลายเมื่อฟังพวกเขาก็ยิ่งพากันหัวเราะขบขันเข้าไปใหญ่ แต่พราหมณ์ชราหาได้สนใจไม่ เขากำลังครุ่น คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจักมิให้ศีลขององค์เทวีต้องด่างพร้อย ทันใดก็ผุดความคิดขึ้นมา จึงตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงเปิดทางให้กับข้าพเจ้า บัดเดี๋ยวนี้!”

ทันทีที่พูดจบพราหมณ์เฒ่าก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม กระโจนไปข้างหน้าสุดตัวราวกับอาชาชำนาญศึกยังไงยังงั้น แต่ช่างเป็นเรื่องประหลาดนัก เสียงที่เขาตะโกนครั้งนี้ไฉนมันจึงมิได้สั่นพร่าแลตะกุกตะกักเหมือนดั่งคราแรก แต่กลับกังวานราวกับเสียงระฆังใบใหญ่ที่ถูกตีโดยผู้ที่มีพละกำลังปานฉะนั้น บรรดาชายฉกรรจ์ที่ออขวางอยู่เมื่อได้ยินต่างก็ถึงกับหูอื้อกันไปตามๆกัน และไม่เพียงเท่านั้น

ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนพวกเขาแต่ละคนก็มีความรู้สึกเหมือนว่าตนนั้นถูกวัวบ้าขวิดยังไงยังงั้น เนื่องจากมีแรงมหาศาลกระแทกเข้าหาพวกตน จนพวกเขาต้องกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทางล้มระเนระนาดกองอยู่กับพื้น และยังมิทันที่พวกเขาจักลุกขึ้นพราหมณ์ชราที่ถูกตราหน้าว่าไม่เจียมสังขาร บัดนั้นก็ขึ้นมายืนอวดโฉมอยู่แถวหน้าสุดได้อย่างง่ายดาย ขณะนั้นพระนางสีลวดีได้เสด็จมาถึงเบื้องหน้าพราหมณ์แก่พอดี ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า เอื้อมมือไปคว้าข้อพระหัตถ์ของนางเอาไว้ทันใด จากนั้นก็จูงพระนางออกจากลานหน้าพระบรมมหาราชวังหายลับไปในพริบตา!

บรรดาบุรุษที่มัวแต่หันไปดูผู้ที่ถูกพราหมณ์เฒ่าเบียดใส่นอนร้องครวญครางอยู่ที่พื้น ต่างไม่มีผู้ใดสังเกตว่าด้าน หน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พอหันกลับมาไม่เห็นร่างของพราหมณ์เฒ่าแลองค์มเหสีแล้ว ก็ถึงกับยืนงงกันเป็นไก่ตาแตก พอได้สติรู้ว่าตนเสียรู้ให้กับพราหมณ์ชราแล้ว จึงพากันผรุสวาทออกไป

“ ดูเถิดท่านผู้เจริญ! พราหมณ์แก่ได้พาพระเทวีผู้เลอโฉมหนีไปแล้ว ตาเฒ่านี่ช่างไม่รู้ว่าสิ่งใดควรฤามิควรกับตนเลย ถึงพระทวีเองก็เช่นกัน มิได้ทรงขวยอายเลยว่าพราหมณ์ชราคราวปู่เป็นผู้พาตนไป ไฉนจึงยอมไปกันง่ายๆเช่นนี้ ช่างน่าแค้นใจจริงๆ! ” ฝ่ายพระเจ้าโอกกากราชที่ทรงเฝ้ามองอยู่ทางช่องพระแกล ครั้นทรงเห็นพราหมณ์ชราพาพระมเหสีของพระองค์ไป ก็ทรงเสียพระทัยไม่แพ้กัน

กล่าวถึงท้าวสักกะในร่างราหมณ์เฒ่า หลังทรงพามเหสีสีลวดีออกจากประตูเมืองแล้ว ก็ทรงพานางมายังเรือนไม้ที่พระองค์ได้ทรงเนรมิตไว้ก่อนหน้านี้ พอมาถึงก็ทรงเชื้อเชิญให้นางขึ้นเรือน ลำดับนั้นพระเทวีพอทรงเห็นเรือนไม้ที่กว้างขวางใหญ่โตเกินกว่าฐานะของพราหมณ์ชราจักพึงมีได้ จึงตรัสถามจอมทเทพว่า
“ พ่อเอย นี่เรือนของพ่อรึ? ” จอมเทพในร่างพราหมณ์แก่พอฟังจึงตอบว่า “ ใช่แล้วน้องหญิง กาลก่อนพี่อยู่คนเดียว บัดนี้มีน้องมาอยู่ด้วย ฉะนั้นพี่ต้องออกไปหาข้าวสารมาเพิ่มก่อน ขอน้องจงพักบนเครื่องลาดนี้เถิด ”

ไม่เพียงแต่พูด ว่าแล้วท้าวสุรบดีก็ทรงเอาพระหัตถ์อันอ่อนนุ่มแตะไปที่กายขององค์เทวีทันที มเหสีสีลวดีพอทรงถูกฝ่าพระหัตถ์ของท้าวสักกะแตะใส่ ก็ทรงเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาทันใด เพียงไม่ถึงอึดใจก็ทรงเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ท้าวโกสีย์เมื่อทรงเห็นพระชายาของพระเจ้าโอกกากราชทรงหมดสติ จึงทรงอุ้มนางเข้ามาไว้ในอ้อมพระอุระ จากนั้นก็ทรงทะยานขึ้นท้องฟ้าเหาะกลับดินแดนตาวติงสาโดยพลัน

พอมาถึงไพชยนต์ปราสาทก็ทรงวางนางลงบนทิพอาสน์อันประดับด้วยสัตพิธรัตน์(แก้วเจ็ดประการ) จากนั้นก็เสด็จไปพักผ่อนพระวรกายในสวนอุทยานทิพย์ปุณฑริกวันเพื่อรอนางตื่นขึ้นมา มเหสีสีลวดีหลังจากทรงหลับไปได้สักพักก็ทรงตื่นขึ้น พอทรงตื่นมาเห็นห้องบรรทมตกแต่งด้วยสิ่งของที่วิจิตรงดงามเกินกว่าจักพรรณนา แต่ละอย่างแต่ละชิ้นล้วนไม่เคยทรงเห็นจากที่ไหนมาก่อน ก็ทรงทราบว่าพราหมณ์ชราผู้นี้คงมิใช่มนุษย์เสียเป็นแน่ คงจักเป็นท้าวสักกะจำแลงกายมา ดังนั้นจึงทรงลุกจากพระแท่นบรรทมเสด็จออกมายังนอกปราสาท

เพลานั้นสมเด็จพระอมรินทราธิราชกำลังประทับอยู่บนพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ตั้งอยู่โคนต้นปาริฉัตร แวดล้อมไปด้วยเหล่านางฟ้า เมื่อทรงเห็นมเหสีสีลวดีเดินออกมาจึงทรงกวักพระหัตถ์เรียกให้นางเข้ามาหา องค์เทวีเมื่อทรงเห็น จึงเสด็จเข้าไป เมื่อไปถึงท้าวสักกะได้ตรัสกับนางว่า “ ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้เจ้าคงทราบแล้วว่าพี่เป็นใคร เอาอย่างนี้เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา พี่จะให้พรเจ้าหนึ่งอย่าง ขอเจ้าจงบอกมาเถิดว่าต้องการสิ่งใด ” องค์เทวีพอทรงสดับจึงทูลว่า

“ ขอเดชะพระผู้ทรงฤทธิ์ ขอพระองค์โปรดทรงประทานพระโอรสพระองค์หนึ่งให้แก่หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ ” ท้าวสหัสนัยน์ครั้นทรงสดับจึงตรัสว่า “ ดูก่อนน้องหญิง อย่าว่าแต่พระโอรสหนึ่งพระองค์เลย พี่จะให้เจ้าสอง พระองค์ก็แล้วกัน แต่โอรสทั้งสองนี้องค์หนึ่งจักเป็นผู้เรืองปัญญามากสามารถ แต่ทว่ารูปไม่งาม ส่วนอีกองค์จักเป็นผู้ที่มีรูปงาม แต่ด้อยสามารถ พระโอรสทั้งสองนี้เจ้าปรารถนาองค์ไหนก่อนฤา? ” มเหสีสีลวดีพอทรงสดับจึงทูลว่า “ ขอเดชะ หม่อมฉันต้องการพระโอรสที่เรืองปัญญาก่อนเพคะ ” ท้าววาสพเมื่อฟังจึงตรัสว่า “ ดูก่อนน้องหญิง เจ้าจักได้ตามที่เจ้าปรารถนา แลนอกจากพรแล้วเรายังจักประทานสิ่งของให้เจ้าอีก ๕ อย่าง คือ หญ้าคาทิพย์ ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉัตรทิพย์ และ พิณโกกนท ”

หลังตรัสจบจอมเทพแห่งตาวติงสาก็ทรงใชเทพฤทธิ์บันดาลให้พระนางสีลวดีหมดสติไปทันใด จากนั้นก็ทรงอุ้มนางเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมายังภพมนุษย์ พอมาถึงก็ทรงวางนางลงบนพระแท่นบรรทมของพระเจ้าโอกากราช จากนั้นก็ทรงลูบพระนาภี (ท้อง) ขององค์เทวีด้วยพระอังคุฐ (นิ้วหัวแม่มือ) ด้วยอาการขึ้นลง แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับเทวภูมิในบัดดล ช่างเป็นที่อัศจรรย์นัก ทันทีที่ท้าวโกสีย์ทรงลูบพระนาภีของมเหสีสีลวดีเสร็จเท่านั้น พระโพธิสัตว์เทพบุตรก็จุติจากดาวดึงส์ภพลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของพระนาง ทันทีทันใดเช่นกัน ลำดับนั้นองค์เทวีทรงรู้ว่า บัดนี้นางได้ทรงตั้งครรภ์แล้ว!

เช้ารุ่งขึ้นเมื่อพระเจ้าโอกกากราชทรงตื่นจากบรรทมเห็นพระชายาทรงหลับอยู่ข้างๆ ก็ให้ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสถามนางว่า “ ดูก่อนพระชายา เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใดรึ? แล้วใครเป็นคนพาเจ้ามา? ” พระเทวีซึ่งกำลังทรงหลับอยู่อย่างเป็นสุข ครั้นทรงได้ยินคำถามจอมกษัตริย์ จึงทรงค่อยๆลืมพระเนตรขึ้น จากนั้นได้ทูลว่า

“ ข้าแต่มหาราชา หม่อมฉันมาถึงตั้งเมื่อคืนเพคะ ท้าวสักกเทวราชทรงพาหม่อมฉันมาส่ง ” องค์ราชาครั้นทรงสดับก็ให้ทรงคลางแคลงพระทัย จึงตรัสถามว่า “ ดูก่อนเทวี เราเห็นเจ้าถูกพราหมณ์แก่พาไป ไฉนเจ้าจึงมากล่าวความเท็จกับเราเล่า? ” มเหสีสีลวดีทูลว่า “ ขอพระองค์โปรดทรงเชื่อหม่อมฉันเถิดเพคะ องค์อมรินทร์ทรงพาหม่อมฉันไปยังดาวดึงส์ภพ แล้วก็ทรงพาหม่อมฉันมาส่งยังโลกมนุษย์จริงๆเพคะ ”

แต่ถึงพระนางจะทรงอธิบายเพียงใดจอมราชาก็หาทรงยอมเชื่อไม่ ดังนั้นพระนางจึงทรงนำของวิเศษ ๕ อย่างที่ท้าวสักกะทรงประทานให้ ออกมาแสดงต่อพระพักตร์ องค์ราชาธิบดีพอทรงเห็นของแปลกประหลาดที่พระองค์ไม่เคยทรงเห็นจากที่ไหนมาก่อนจึงทรงยอมเชื่อ จากนั้นจึงตรัสถามถึงเรื่องที่ทรงกังวลต่อพระชายาว่า “ ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ พักเรื่องท้าวสักกะไว้ก่อนเถิด พี่อยากทราบว่าการที่เจ้าหายไปครั้งนี้ เจ้าได้บุตรกลับมาหรือไม่? ” องค์เทวีครั้นทรงสดับจึงตรัสว่า “ ข้าแต่มหาราช บัดนี้หม่อมฉันได้ตั้งครรภ์แล้วเพคะ! ”

จอมกษัตริย์พอทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงบัญชาให้นางกำนัลรีบไปนำเครื่องบำรุงครรภ์มาถวายพระชายาเป็นการด่วนทันที จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศข่าวดีนี้ให้กับประชาชนทั่วแคว้นรับทราบโดยทั่วกัน แลให้ทุกครัวเรือนร่วมกันเฉลิมฉลองให้กับองค์รัชทายาทที่เพิ่งจักปฏิสนธิในพระครรภ์นี้ เป็นเวลาจ็ดคืนเจ็ดวัน

จำเนียรกาลผ่านไป จนถึงกำหนดทศมาสพระนางสีลวดีก็ได้ทรงประสูติพระโอรสนามว่า กุสติณราชกุมาร (กุสราชกุมาร) ให้กับพระเจ้าโอกกากราชสมดั่งพระทัยปรารถนา แลถัดจากนั้นอีก ๑๐ เดือนก็ทรงประสูติพระโอรสองค์ที่สองนามว่า ชยัมบดีราชกุมาร ให้กับจอมราชาอีก พระกุมารทั้ง ๒ ต่างก็ทรงเจริญพระชันษาด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ พระเชษฐากุสราชนั้นทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ที่มีพระปัญญาเป็นเลิศ ไม่ว่าจักทรงศึกษาเล่าเรียนศิลปะแขนงใด ก็ทรงถึงซึ่งความสำเร็จทั้งหมด จนพระชนมายุได้ ๑๖ พระชันษาพระบิดาก็ทรงปรารถนาจะมอบราชสมบัติให้ วันหนึ่งจอมราชาได้ทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระนางสีลวดีมาเข้าเฝ้า เมื่อองค์เทวีเสด็จมาถึงจอมกษัตริย์จึงตรัสว่า

“ ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้พี่ได้ตัดสินใจจะมอบราชสมบัติให้แก่ลูกกุสราช แลจักให้เหล่านางฟ้อนมาบำรุงบำเรอเขาในขณะที่เราทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ จักได้เห็นลูกของเราครองราชย์อย่างมีความสุข ก็ลูกของเราคิดชอบใจพระธิดากษัตริย์ใดในชมพูทวีป พี่ก็จะไปขอพระธิดาองค์นั้นมาเป็นมเหสีของเขา น้องเห็นเป็นอย่างไร? ” มเหสีสีลวดีครั้นทรงสดับจึงตรัสว่า “ หม่อมฉันเห็นด้วยเพคะ ” ในเมื่อทั้งสองต่างเห็นตรงกัน หลังจากทรงกลับจากเข้าเฝ้าแล้ว องค์เทวีจึงมีรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลเรื่องดังกล่าวแก่พระราชโอรสกุสราชทราบ เพื่อจักทรงหยั่งเชิงดู

พระมหาสัตว์เมื่อทรงสดับถ้อยคำที่นางกำนัลทูลถวาย ก็ทรงดำริว่าตนนั้นมีหน้าตาไม่งดงาม พระธิดาผู้สมบูรณ์ด้วยรูปหากมาเห็นก็คงจักต้องตอบปฏิเสธเสียเป็นแน่ เรื่องอะไรจะมาทนอยู่กับพระสวามีที่มีหน้าตาขี้ริ้ว เห็นทีเราควรอยู่เป็นโสดดีกว่า คอยบำรุงบิดามารดาให้มีความสุข แหละพอท่านทั้งสองสิ้นพระชนม์ เราก็จักออกบวช เพื่อประโยชน์แห่งตนในโลกหน้า! เมื่อทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับนางกำนัลว่า “ ดูก่อนพี่สาว เราหาได้ปรารถนาในราชสมบัติไม่ แลก็ไม่ต้องการนางฟ้อนด้วย พอพระชนกและพระชนนีสวรรคตเราจักออกบวช ขอพี่สาวจงไปตอบพระมารดาดังนี้เถิด ” นางกำนัลพอฟังจึงมิรอช้า รีบกลับมาทูลให้พระมเหสีสีลวดีทรงรับทราบทันที

องค์เทวีครั้นทรงสดับก็ทรงรู้สึกเสียพระทัย แต่ก็ทรงหายินยอมไม่ ผ่านไปสองวันพระนางก็ทรงรับสั่งให้นางกำนัลกลับไปถามใหม่ แต่พระมหาสัตว์ก็ยังทรงยืนยันคำเดิม เป็นอยู่อย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา จนครั้งที่สี่พระ โอรสกุสราชได้ทรงดำริว่า “ ธรรมดาลูกจะขัดขืนพ่อแม่ร่ำไปนั้นหาควรไม่ จำเราจักต้องทำอุบายอะไรสักอย่างให้พระมารดาทรงเปลี่ยนพระทัย! ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงทรงให้มหาดเล็กไปขนเอาทองคำจากท้องพระคลังมาเก็บไว้ที่ตำหนักพระองค์สองคันรถ จากนั้นก็ทรงให้เขาไปตามช่างทองมาพบ เมื่อช่างทองมาถึงพระองค์ได้ตรัสกับช่างทองว่า “ ดูก่อนนายช่าง เราอยากจักได้รูปหล่อสตรีมาตั้งไว้ในห้องนอนเรา ขอท่านจงเอาทองคำหนึ่งคันรถนี้ไปหล่อเป็นรูปสตรีเถิด เสร็จแล้วจงนำมาให้เราดู ” ช่างทองพอฟังก็มิรอช้า รีบเข็นรถทองคำคันหนึ่งจากไปทันที ฝ่ายพระโอรสครั้นพอนายช่างไปแล้ว ก็ทรงเข็นรถทองคำคันที่เหลือไปยังด้านหลังพระตำหนักของพระองค์บ้าง แล้วก็ทรงทำการหล่อรูปสตรีขึ้นมาเช่นกัน!

ธรรมดาความปรารถนาของพระโพธิสัตว์ย่อมสำเร็จสมดังประสงค์ทุกประการ ดังนั้นรูปหล่อสตรีที่พระโอรสกุสราชทรงหล่อขึ้นจึงมีความงามราวกับมีชีวิตจริง เมื่อทรงหล่อเสร็จก็ทรงนำเอาเครื่องทรงของราชธิดากษัตริย์มาสวมให้กับรูปหล่อนั้น จากนั้นก็ทรงนำรูปหล่อไปเก็บไว้ในห้องบรรทม จนนายช่างหล่อรูปสตรีของเขาเสร็จแลได้เข็นรูปหล่อของตนมาแสดงต่อพระพักตร์พระมหาสัตว์จึงตรัสให้เขาไปยกเอารูปหล่อของพระองค์ในห้องบรรทมออกมาว่า “ ดูก่อนนายช่าง ขอท่านจงไปเอารูปหล่อสตรีของเราในห้องนอนออกมาเถิด เราจักดูซิว่ารูปหล่อของท่านกับของเรา ใครจักงามกว่ากัน! ” ช่างทองพอฟังจึงรีบลุกไปตามรับสั่งทันที

เนื่องจากในห้องบรรทมมิได้เปิดบานพระแกลไว้ ฉะนั้นข้างในจึงดูสลัว พอนายช่างเข้าไปเห็นสตรีสวมเครื่องทรงราชธิดากษัตริย์นั่งอยู่ จึงสำคัญผิดคิดว่าเป็นนางอัปสรจำแลงกายมาร่วมอภิรมย์กับพระราชโอรส จึงลนลานกลับมาทูลพระมหาสัตว์ว่า“ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า! ข้าพระบาทไม่ทราบว่ามีพระแม่เจ้าประทับอยู่ในห้องบรรทม จึงละลาบละล้วงเข้าไป ขอพระองค์โปรดทรงงดโทษให้กับข้าพระบาทด้วยเถิดพระเจ้าข้า! ” พระโอรสกุสราชครั้นทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัส “ ดูก่อนนายช่าง สตรีที่ไหนรึ? ที่ท่านเห็นนั้นคือรูปหล่อทองคำของเราต่างหาก หาใช่สตรีจริงๆเสียเมื่อไหร่ ขอท่านจงไปนำออกมาเถิด ” นายช่างพอฟังจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง

ครั้งนี้พอไปถึงเขาค่อยๆยื่นมือไปแตะที่ผิวของรูปหล่อก่อน พอสัมผัสถึงความเย็นเฉียบของเนื้อโลหะจึงยอมเชื่อว่านางมิใช่มนุษย์ ดังนั้นจึงยกเอารูปหล่อออกมา พระมาสัตว์เมื่อทรงเห็นว่ารูปหล่อของพระองค์นั้นงดงามกว่าของนายช่างอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ จึงรับสั่งให้เขานำรูปหล่อของเขาไปเก็บไว้ในท้องพระคลัง จากนั้นก็ทรงให้ทหารยกเอารูปหล่อของพระองค์ขึ้นบนแคร่ส่งไปยังตำหนักพระมารดา พร้อมกับทรงฝากพระดำรัสให้ทหารไปบอกพระนางว่า หากแผ่นดินอันกว้างใหญ่มีสตรีที่งามเหมือนดังรูปหล่อนี้ นั่นแหละพระองค์จึงจักทรงยอมอยู่ครองเรือน!

องค์เทวีพอทรงสดับวาจาที่ทหารบอก แหละทรงทอดพระเนตรเห็นรูปหล่อที่มีความงามเหนือคำบรรยาย ก็หาได้ทรงยอมแพ้ไม่ ทรงย่างพระบาทไปมาครุ่นคิดว่าจักทรงทำอย่างไร ถึงจักทำให้บุตรชายยอมอยู่ครองเรือน จนผ่านไปครู่ใหญ่พระนางก็ทรงคิดวิธีได้ จึงตรัสให้นางกำนัลไปตามท่านอำมาตย์มาพบ

เมื่อท่านอำมาตย์มาถึงพระนางได้ทรงบัญชาให้เขาจัดขบวนคณะทูต นำรูปหล่อทองคำนี้ขึ้นรถม้าปิดผ้าคลุมไว้อย่าให้ผู้ใดเห็น จากนั้นให้เขาท่องไปยังเมืองต่างๆทั่วชมพูทวีป หากพบพระราชธิดากษัตริย์ใดมีรูปร่างงดงามราวกับรูปหล่อ ก็จงถวายรูปหล่อนี้แด่พระราชาเมืองนั้น แล้วให้กราบทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละจักขอกระทำอาวาหวิวาหมงคล(การแต่งงานแบบฝ่ายหญิงต้องย้ายมาอยู่กับฝ่ายชาย)พร้อมกันนั้นก็ให้เขากำหนดวันนัดหมายกับทางเมืองนั้นให้เป็นที่เรียบร้อย เสร็จแล้วให้รีบกลับกรุงกุสาวดีมารายงานให้พระนางทราบเป็นการด่วน ท่านอำมาตย์พอได้รับบัญชาจึงรีบไปดำเนินการตามรับสั่งทันที

ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนคณะทูตแห่งแคว้นมัลละก็ได้เดินทางออกจากกรุงกุสาวดี ท่องไปตามแว่นแคว้นต่างๆ พอถึงเมืองใดพวกเขาก็ตกแต่งรูปหล่อทองคำด้วยเครื่องประดับแลดอกไม้ ยกขึ้นบนวอ รอจนโพล้เพล้ก็นำรูปหล่อไปตั้งไว้ริมทางก่อนจะลงสู่ท่าน้ำ จากนั้นก็แอบซุ่มฟังเสียงผู้คนที่มาอาบน้ำคุยกัน บรรดาผู้ที่มาอาบน้ำพอเห็นสตรีนั่งอยู่บนวอต่างก็ไม่มีผู้ใดคิดว่านางเป็นรูปหล่อ พากันเอ่ยปากชมเชยว่า “ แม่หญิงนางนี้ช่างงามจริง ผิวพรรณผ่องใสเสียนี่กระไร แม้นางอัปสรก็คงมิได้งามเกินกว่านี้แน่ ไฉนจึงมานั่งที่นี่ได้ ในเมืองเราไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสตรีที่งามเยี่ยงนี้ เห็นทีคงจักเป็นสตรีจากต่างเมือง ” หลังซุบซิบแล้ว พวกเขาก็พากันลงไปยังท่าน้ำ ฝ่ายพวกอำมาตย์ที่แอบซุ่มอยู่ พอได้ยินถ้อยคำที่ชาวเมืองคุยกันก็ลงความเห็นว่าเมืองนี้คงไม่มีสตรีที่งามเท่ารูปหล่อแน่ จึงออกเดินทางไปยังเมืองอื่นต่อ

พวกเขาเที่ยวทำอุบายลักษณะนี้ไปในทุกแคว้นที่เดินทางผ่าน จนกระทั่งมาถึง กรุงสาคละ เมืองหลวงแคว้น มัททะ ซึ่งมี พระเจ้ามัททราช ทรงเป็นราชาปกครองแคว้น พระเจ้ามัททราชพระองค์นี้ทรงมีพระธิดาอยู่ถึง ๘ นาง แต่ละนางต่างก็มีรูปโฉมที่งดงาม โดยเฉพาะพระธิดาองค์โตที่มีนามว่า ประภาวดี กล่าวได้ว่าทั่วทั้งชมพูทวีปหาได้มีสตรีใดจักมีรูปโฉมงดงามเสมอนาง แม้ยามราตรีภายในห้องอันมืดมิดก็ยังเรืองรองไปด้วยแสงที่แผ่ออกมาจากกายนาง ดุจดั่งแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณยังไงยังงั้น

พระธิดาประภาวดีทรงมีพี่เลี้ยงนางหนึ่งเป็นหญิงหลังค่อม ทุกเย็นพี่เลี้ยงค่อมจักให้หญิงรับใช้ ๘ นางถือหม้อไปตักน้ำที่ท่าน้ำมาให้พระธิดาทรงสรง โพล้เพล้วันหนึ่งขณะที่นางรับใช้ทั้งแปดกำลังจะลงไปที่ท่าน้ำ ทันใดหญิงรับใช้นางหนึ่งก็เหลือบไปเห็นรูปหล่อของคณะทูตเข้า พอเห็นนางก็เข้าใจว่ารูปหล่อนั้นเป็นพระธิดาพวกนางแอบเสด็จมาสรงน้ำ โดยที่ไม่บอกให้พวกนางทราบ จึงแสร้งพูดขึ้น“ พวกท่านจงดูเถิด พระธิดาประภาวดีนี้ช่างเป็นผู้ว่ายากเสียจริง ตรัสว่าจักทรงสรงน้ำอยู่ที่พระตำหนัก ไฉนจึงมาประทับอยู่ข้างทางเสียได้? ช่างไม่เกรงเลยว่าจักทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ” ไม่เพียงแต่พูด แถมนางยังชี้ไม้ชี้มือไปที่รูปหล่อด้วยต่างหาก

หญิงรับใช้ทั้งเจ็ดพอฟังจึงหันไปมองตามที่นางบอก ทันใดก็เห็นพระธิดาแอบมาประทับอยู่จริง ดังนั้นจึงพากันเดินเข้าไป พอถึงนางผู้เป็นหัวหน้าจึงพูดขึ้นว่า “ พระธิดาประภาวดีเพคะ ไฉนจึงมาประทับอยู่ ณ ที่นี้ ช่างเป็นการไม่สมควรเลยนะเพคะ เพราะอาจทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียได้! ” ว่าแล้วนางก็ยื่นมือเข้าไปแตะที่แขนรูปหล่อ ทันทีที่นิ้วของนางสัมผัสกับผิวรูปหล่อนางก็ถึงกับสะดุ้งโหยงจนต้องยกมือขึ้นแทบไม่ทัน เพราะมันช่างเย็นเฉียบราวกับเกล็ดหิมะดีๆนี่เอง นางรับใช้ทั้งเจ็ดเมื่อเห็นอากัปกิริยาพี่ใหญ่ต่างก็หัวเราะขึ้นมา หนึ่งในนั้นอดใจไม่ไหวจึงถามไปว่า “ ท่านพี่เป็นอะไรรึ? ไฉนจึงต้องสะดุ้งตกใจปานนั้น? ” ผู้เป็นพี่ใหญ่พอฟังจึงตอบว่า “ จักไม่สะดุ้งได้ยังไง พวกเจ้าดูซิ! เราสำคัญผิดคิดว่ารูปหล่อนี้คือพระธิดาประภาวดี ช่างน่าขันจริงๆ! ” ทันทีที่นางพูดจบเหล่าคณะทูตที่ซ่อนตัวอยู่ต่างก็ออกมาจากที่ซ่อนทันใด ท่านอำมาตย์ผู้เป็นหัวหน้ารีบถามนางว่า

“ ดูก่อนน้องหญิง ที่ท่านกล่าวว่าพระธิดาประภาวดีนั้น ท่านหมายถึงผู้ใดรึ? ” หญิงรับใช้ผู้เป็นหัวหน้าเมื่อฟังจึงตอบว่า “ ก็หมายถึงพระธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราชน่ะซิ! จะหมายถึงผู้ใดได้ รูปหล่อนี้หากเปรียบกับพระรูปโฉมของนาง ยังเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว! ” ท่านอำมาตย์พอฟังก็ให้แสนดีใจ รีบบอกความเป็นมาพวกตนให้นางทราบทันที จากนั้นก็ขอให้นางพาไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามัททราชเป็นการด่วน เมื่อขบวนคณะทูตมาถึงมหาดเล็กได้พาพวกเขาไปยังท้องพระโรง จากนั้นก็เข้าไปถวายรายงานให้องค์เหนือหัวได้ทรงรับทราบ

ราชามัททะครั้นได้ทรงสดับคำรายงานก็รีบเสด็จมายังท้องพระโรงทันที หลังจากที่จอมกษัตริย์ทรงขึ้นประทับเรียบร้อย อำมาตย์ผู้เป็นหัวหน้าคณะจึงกราบทูลว่า “ ข้าแต่มหาราช พระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละได้ฝากพระดำรัสมาตรัสถามพระองค์ว่า พระองค์ทรงมีพระเกษมสำราญดีฤาพระเจ้าข้า? ” ราชามัททะพอทรงสดับจึงตรัสว่า “ เราสบายดี พวกท่านมายังแคว้นเรามีธุระอันใดรึ? ” หัวหน้าคณะทูตได้กราบทูลว่าพระราชาของตนมีพระประสงค์จะมอบราชสมบัติให้แก่องค์รัชทายาทกุสราช ผู้มีพระสุรเสียงก้องกังวานดังราชสีห์ มีพละกำลังประดุจพญาคชสาร ดังนั้นจึงส่งพวกตนมาถวายบังคมแด่พระองค์ โดยมีพระประสงค์จักขอพระราชทานพระนางประภาวดีผู้เป็นพระราชธิดาองค์โต ให้แก่พระราชโอรสกุสราช ไม่ทราบพระองค์ทรงมีความเห็นเยี่ยงไร?พอกล่าวจบหัวหน้าทูตแคว้นมัลละก็ได้ถวายเครื่องราชบรรณาการและรูปหล่อทองคำแด่พระเจ้ามัททราช

ราชามัททะครั้นทรงเห็นเครื่องราชบรรณาการเป็นจำนวนมาก และรูปหล่อสตรีทองคำที่งามเกินพรรณนา ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงดำริขึ้น “ แคว้นเล็กอย่างเราจักได้เกี่ยวดองกับแคว้นใหญ่อย่างมัลละ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ! ” ดังนั้นจึงทรงตอบตกลงไปทันที

หัวหน้าคณะทูตเมื่อเห็นราชามัททะไม่ขัดข้อง จึงแจ้งหมายกำหนดการที่จะมารับพระธิดาประภาวดีให้กับพระ องค์ได้ทรงรับทราบ จากนั้นก็ขอพระราชอนุญาตลากลับยังแคว้นมัลละ เพื่อรีบมาทูลให้พระเจ้าโอกกากราชได้ทรงรับทราบเป็นการด่วน

เมื่อคณะทูตกลับมาถึงกรุงกุสาวดี ท่านอำมาตย์ได้เข้าถวายรายงานให้พระเจ้าโอกกากราชได้ทรงรับทราบถึงความสำเร็จของภารกิจ จอมราชันครั้นทรงสดับจึงมีรับสั่งให้จัดเตรียมขบวนขันหมากอย่างยิ่งใหญ่เพื่อไปรับพระธิดาประภาวดีมาเป็นพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่มโหฬารก็ออกเดินทางจากแคว้นมัลละมุ่งสู่แคว้นมัททะทันที ฝ่ายราชามัททราชเมื่อทรงทราบข่าวการเสด็จมาของพระเจ้าโอกกากราช พระองค์ก็ทรงจัดเตรียมการต้อนรับไว้อย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

หลังขบวนขันหมากของพระเจ้าโอกากราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละแลได้เข้าพักเป็นที่เรียบร้อย ถัดจากนั้นสองวันราชวงศ์ทั้งสองก็ได้ทรงมีพระปฏิสันถารต่อกันและกัน ระหว่างการสนทนาพระมเหสีสีลวดีได้ทรงปรารภขึ้นว่า “ ดูก่อนมหาบพิตร ตั้งแต่หม่อมฉันมาพักที่แคว้นพระองค์ นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว แต่หม่อมฉันก็ยังไม่เคยเห็นพระพักตร์ของพระธิดาประภาวดีเลยเพคะ ” ราชามัททะพอทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัสให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระธิดาประภาวดีมาเข้าเฝ้า

สักพักพระธิดาองค์โตพร้อมด้วยหมู่พระพี่เลี้ยงก็เสด็จมาถึงยังท้องพระโรง เมื่อมาถึงนางได้ทรงทรุดพระองค์ลงถวายบังคมยังเบื้องพระยุคลบาทของว่าที่พระสัสสุ (แม่ผัว) พระมเหสีแคว้นมัลละพอทรงทอดพระเนตรเห็นว่าที่ลูกสะใภ้แต่งองค์ด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จึงทรงคำนึงขึ้น “ พระธิดาประภาวดีนางนี้ช่างเป็นหญิงที่มีรูปโฉมงดงามจนยากจักหานางใดในแผ่นดินเทียบได้ ส่วนโอรสเราซิกลับมิได้มีรูปงามเสมอนางแม้เพียงเศษเสี้ยว หากนางเห็นใบหน้าที่แท้จริงของลูกเรา เห็นทีคงจักไม่คิดจักแต่งงานด้วยเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย จำเราต้องหาอุบายอะไรสักอย่างแล้ว! ”

เมื่อทรงดำริดังนี้ จอมนางแห่งแคว้นมัลละจึงตรัสกับพระเจ้ามัททะว่า “ ข้าแต่มหาราช พระธิดาประภาวดีช่างเป็นหญิงที่งดงามเสียเหลือเกิน คู่ควรแก่พระโอรสของหม่อมฉันเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่จารีตประเพณีแห่งสกุลหม่อมฉันที่มีมาแต่โบราณมีข้อกำหนดไว้ ถ้าพระธิดาสามารถประพฤติตามได้ หม่อมฉันก็ยินดีรับนางไว้เป็นพระสุณิสาเพคะ ” ราชามัททะพอทรงสดับจึงตรัสถามถึงจารีตที่ว่านั้นเป็นเช่นไร มเหสีสีลวดีจึงทรงอธิบายว่า

“ ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมเนียมของราชวงศ์แคว้นมัลละ พระชายาจะพบหน้าพระสวามีในยามกลางวันมิได้ จนกว่าจะทรงตั้งพระครรภ์ หากพระธิดาประภาวดีทรงสามารถปฏิบัติตามประเพณีของแคว้นหม่อมฉันได้ หม่อมฉันก็จักรับพระนางไว้เป็นพระสุณิสาทันที ”

ราชามัททะครั้นทรงสดับจึงทรงหันไปตรัสถามบุตรีว่า “ ดูก่อนลูกเรา เจ้าสามารถปฏิบัติตามได้หรือไม่? ” พระนางประภาวดีทรงเห็นว่ามิได้เป็นเรื่องยากอันใด จึงทรงตอบพระบิดาไปว่านางสามารถปฏิบัติได้ ทั้งสองราชวงศ์พอฟังก็ให้ดีพระทัยเป็นเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพระเจ้าโอกกากราชจึงทรงถือโอกาสนี้ถวายพระราชทรัพย์จำนวนมหาศาลอันเป็นเครื่องสินสอดแก่พระเจ้ามัททราชทันที หลังจากนั้นสองวันจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็ทรงรับเอาพระธิดาแห่งแคว้นมัททะเสด็จกลับกรุงกุสาวดีทันที เมื่อทรงมาถึงสมเด็จพระราชาธิบดีก็ทรงประกาศให้ประชาชนตกแต่งบ้านเรือนให้สว่างไสวเพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลอง ปลดปล่อยนักโทษคดีไม่ฉกรรจ์ให้เป็นอิสระ จากนั้นได้ทรงกำหนดวันอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทกับพระธิดาแคว้นมัททะ แลที่สำคัญ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พระโอรสกุสราชขึ้นเป็นกษัตริย์แทนพระองค์โดยมีผลนับแต่วันประกาศทันที

หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แคว้นมัลละได้ส่งราชทูตออกไปแจ้งยังแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีปว่า บัดนี้แคว้นมัลละได้มีพระราชาองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว อาณาจักรใดที่มีพระธิดาขอให้ส่งพระธิดาแคว้นตนมาถวายแด่พระเจ้ากุสราช อาณาจักรใดที่มีพระโอรสหากหวังความเป็นมิตร ขอให้ส่งพระโอรสแคว้นตนมาเป็นพระราชอุปัฏฐากให้กับราชากุสราชเช่นกัน ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าทรงมีพระสนมเป็นบริวารมากมาย ทรงปกครองประเทศด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์ใดในชมพูทวีป ส่วนพระนางประภาวดีพอทรงผ่านพระราชพิธีอภิเษกสมรส ไม่นานพระนางก็ถูกสถาปนาขึ้นเป็นพระอัครมเหสีของแคว้นมัลละ


แก้ไขล่าสุดโดย pinit เมื่อ 29 ก.ค. 2022, 15:27, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2020, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กุสราชมหาสัตว์ ๒

กุสราชมหาสัตว์ ๒

กล่าวถึงพระนางประภาวดี หลังทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอัครมเหสี พระนางก็ยังไม่เคยทรงเห็นพระพักตร์ของพระสวามีในยามกลางวันเลย แม้แต่เพียงครั้งเดียว ถึงพระมหาสัตว์ก็เหมือนกัน ตั้งแต่รุ่งอรุณจวบจนพระอาทิตย์ตกดินพระองค์ก็ยังไม่เคยทรงเห็นพระพักตร์ของพระชายาเช่นกัน จนวันหนึ่งพระราชาโพธิสัตว์ก็มิอาจทรงทนต่อไปได้ จึงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระมารดาเพื่อจักทรงขออนุญาตพบหน้าพระชายาในยามกลางวันบ้าง แต่มเหสีสีลวดีได้ทรงห้ามไว้ โดยตรัสว่าให้รอจนกว่าพระนางประภาวดีจักทรงตั้งครรภ์ก่อน แต่ความอยากเห็นหน้าภรรยานั้นมันช่างมีกำลังนัก ทำให้จอมราชามิอาจประทับนิ่งได้ จึงเสด็จไปรบเร้าพระมารดาแทบไม่เว้นแต่ละวัน ในที่สุดมเหสีสีลวดีก็มิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของราชบุตร จึงตรัสว่า

“ เอาอย่างนี้ลูกเรา ถ้าเจ้าไม่อาจห้ามใจได้ ยังงั้นก็จงปลอมตัวไปคอยอยู่ที่โรงช้างก็แล้วกัน เดี๋ยวแม่จะพาพระชายาเจ้าไปยังที่นั่น แล้วก็จงดูเสียให้พอใจ แต่จำไว้ อย่าให้นางรู้ตัวเป็นอันขาด! ” พระมหาสัตว์ครั้นทรงสดับพระดำรัสพระมารดา ก็ให้แสนลิงโลดพระทัย รีบเสด็จกลับตำหนักเพื่อทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นคนเลี้ยงช้างทันที

ฝ่ายมเหสีสีลวดีเมื่อทรงเห็นบุตรสุดที่รักคล้อยหลังปแล้ว ก็ทรงรับสั่งให้ทหารไปทำความสะอาดโรงช้างเป็นการด่วน จากนั้นพระนางก็เสด็จไปยังตำหนักของพระสุณิสาเพื่อจักชวนลูกสะใภ้ไปดูความยิ่งใหญ่ของโรงช้างหลวงด้วยกัน

เมื่อพระสัสสุแลพระสุณิสาเสด็จมาถึงโรงช้าง เพลานั้นราชากุสราชในฉลองพระองค์ของคนเลี้ยงช้างพอทรงเห็นพระชายาเสด็จมาพร้อมพระมารดา ก็ทรงนึกสนุกขึ้นมา จึงทรงหยิบเอามูลช้างก้อนหนึ่งที่แห้งติดพื้นขว้างไปที่ภรรยา เทวีประภาวดีเมื่อทรงถูกคนเลี้ยงช้างแกล้งปามูลช้างใส่ บัดนั้นก็ทรงพิโรธโกรธกริ้วขึ้นมาทันใด จึงทรงตวาดใส่เจ้าตะพุ่นหญ้าช้างว่า

“ เหม่! เจ้าทาสผู้บังอาจ เราจักให้พระราชาทรงลงโทษตัดมือเจ้าเสียบัดนี้ คอยดูเถอะ! ” ตรัสแล้วพระนางก็ทรงหันมาทูลพระสัสสุให้ลงโทษคนเลี้ยงช้างผู้นี้ทันที มเหสีสีลวดีทรงเกรงว่าเรื่องจักบานปลายจึงทรงโผเข้าไปกอดพระสุณิสาพร้อมกับทรงปลอบโยนว่า “ โถ..คนดีของแม่อย่าขุ่นเคืองไปเลยลูก ไฉนจึงจักเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเล่า? ” ตรัสพลางก็ทรงใช้พระหัตถ์ลูบพระปฤษฎางค์(หลัง)ของพระสุณิสาไปพลาง พร้อมกันนั้นก็ทรงถลึงพระเนตรไปทางพระมหาสัตว์ พระนางประภาวดีเมื่อทรงฟังแม่สามีตรัสดังนั้นก็ทรงตรัสอะไรไม่ออกจำต้องทรงนิ่งเอาไว้

ถัดจากนั้นสองวันพระเจ้ากุสราชก็ทรงปรารถนาจักเห็นพระชายาอีก จึงเสด็จไปทรงรบเร้าพระมารดาเหมือนเคย องค์มหาเทวีมิอาจทรงทนต่อการรบเร้าได้จึงตรัสให้จอมราชันเสด็จไปรออยู่ที่โรงม้า เดี๋ยวพระนางจักทรงพาพระชายาไป แลพอเหสีสีลวดีและพระนางประภาวดีเสด็จไปถึงโรงม้าก็ถูกพระมหาสัตว์ทรงแกล้งด้วยการเอามูลม้าปาใส่เหมือนครั้งก่อน เดือดร้อนถึงจอมเทวีต้องทรงทำหน้าที่ปลอบโยนกันเป็นการใหญ่อีก

อยู่มาวันหนึ่งพระนางประภาวดีก็ทรงนึกอยากจะเห็นพระพักตร์ของพระสวามีบ้าง จึงเสด็จไปยังตำหนักพระสัสสุ เพื่อทรงขอให้องค์เทวีทรงพานางไปพบกับพระสวามี แต่ผู้เป็นแม่ผัวได้ทัดทานไว้ ว่าอย่าได้กระทำผิดจารีตเลย ดังนั้นจึงสงบไปได้พักหนึ่ง แต่พอผ่านไปสองสามวันนางก็อยากจักเห็นพระพักตร์ของราชากุสราชอีก จึงเสด็จไปทรงรบเร้าเอากับแม่สามีอีก เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายครา ในที่สุดมเหสีสีลวดีก็มิอาจทรงทนต่อการรบเร้าได้ จึงตรัสกับลูกสะใภ้ว่า

“ ดูก่อนลูกแม่ หากเจ้าปรารถนาจักเห็นหน้าพระสวามีจริงๆ อย่างนั้นวันพรุ่งนี้เจ้าจงเปิดสีหบัญชรคอยดูเอาเถิด ราชากุสราชพระสวามีเจ้าพร้อมด้วยเหล่าทหารองครักษ์ จักกระทำประทักษิณพระนครในวันพรุ่งนี้! ” พระนางประภาวดีพอทรงสดับก็ให้ทรงตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รีบทูลแม่สามีเสด็จกลับพระตำหนักเพื่อรอชมพระพักตร์ของพระเจ้ากุสราชในเช้าวันพรุ่งนี้ทันที

หลังจากธิดาแคว้นมัททะเสด็จกลับแล้ว มเหสีสีลวดีก็ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศทั่วพระนคร เช้าพรุ่งนี้ราชากุสราชจะเสด็จเยี่ยมประชาชน ขอให้ชาวเมืองทั้งหลายตกแต่งบ้านเรือนให้งดงาม จากนั้นก็ทรงให้นางกำนัลไปทูลพระชยัมบดีผู้เป็นพระอนุชาว่า วันพรุ่งนี้การเสด็จประทักษิณเลียบพระนคร ขอให้พระชยัมบดีทรง เครื่องต้นของกษัตริย์ แลให้ประทับบนอาสน์ด้านหน้าของช้าง ส่วนพระเชษฐากุสราชให้ประทับที่อาสน์หลัง

เช้ารุ่งขึ้นพระสัสสุและพระสุณิสาก็ทรงพากันเสด็จไปประทับรออยู่ที่สีหบัญชร เพื่อรอชมกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค เพลานั้นขบวนเสด็จได้ผ่านมาถึงด้านหน้าของพระบรมมหาราชวัง มเหสีสีลวดีพอทรงเห็นจึงตรัสกับพระสุณิสาว่า “ ประภาวดีลูกแม่ เจ้าจงดูความสง่างามของพระสวามีเจ้าเถิด ” พระนางประภาวดีพอทรงทอดพระเนตรเห็นพระชยัมบดีซึ่งมีพระรูปโฉมงดงามราวเทพบุตร ประทับอยู่บนอาสน์ด้านหน้าของช้าง ก็ทรงสำคัญผิดคิดว่าเป็นราชากุสราชพระสวามี จึงทรงรู้สึกโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง

แต่พอทรงเหลือบไปเห็นทหารที่นั่งบนอาสน์ด้านหลังซึ่งมีใบหน้าขี้ริ้ว หาซึ่งความหล่อไม่เจอ ความสุขเมื่อครู่ก็พลันเหือดหายลงไปจนสิ้น เนื่องจากทรงจำได้ว่าเจ้าผู้นี้ก็คือเจ้าตะพุ่นหญ้าช้างผู้สามหาวนั่นเอง และยิ่งทรงเห็นเขาแสดงอาการโบกไม้โบกมือยั่วเย้ามาให้ตน พระนางก็ยิ่งทรงขัดเคืองพระทัยมากยิ่งขึ้น จนสุดจักทรงข่มได้ จึงทรงหันมาตรัสกับพระสัสสุว่า “ เสด็จแม่เพคะ ไฉนควาญช้างที่นั่งด้านหลังเสด็จพี่กุสราช จึงเป็นผู้ที่ดื้อด้านเสียเหลือเกิน มิได้ยำเกรงพระราชอำนาจแห่งกษัตริย์แม้แต่น้อย บังอาจแสดงกิริยามิบังควรในงานพระราชพิธีเยี่ยงนี้ได้ ผู้ใดฤาที่เป็นคนจัดให้เจ้าผู้ไม่มีสง่าราศีเช่นนี้ไปนั่งบนอาสน์ด้านหลังพระเจ้าแผ่นดินได้? ”

องค์มหาเทวีพอทรงสดับคำถามของพระสุณิสา เพื่อจะทรงปิดบังฐานะของพระมหาสัตว์ จึงเสตรัสว่า “ ดูก่อนลูกแม่ ธรรมดาการระวังป้องกันด้านหลังพระราชานั้นมิอาจมองข้ามได้ ถึงหน้าตาเจ้าผู้นี้จะดูขี้ริ้ว แต่ฝีมือนั้นยากจักหาผู้ใดในแผ่นดินเทียบได้! ” พระสุณิสาครั้นทรงได้ฟังคำแก้ต่างจากแม่สามีที่มีให้ต่อเจ้าขี้ริ้วผู้นี้เป็นหนที่สาม ก็ทรงรู้สึกคลางแคลงพระทัยขึ้นมา จึงทรงดำริว่า “ เหตุไฉนเจ้าตะพุ่นหญ้าช้างผู้นี้จึงได้รับการปกป้องจากเสด็จแม่เสียเหลือเกิน ขนาดแสดงกิริยาหยาบช้าต่อเรเช่นนี้าก็ยังไม่ถูกลงโทษ ชะรอยหรือเขาจะเป็นตัวราชากุสราชเอง! ก็พระเจ้ากุสราชพระองค์นี้คงจักมีพระพักตร์ที่แสนน่าเกลียดเป็นแน่ ฉะนั้นจึงไม่ยอมแสดงพระองค์ให้เราเห็น! ” พอทรงคิดดังนี้จึงทรงก้มกระซิบบอกนางค่อมที่หมอบอยู่ข้างๆว่า

“ ดูก่อนพี่ค่อม ขอพี่จงไปเฝ้าอยู่ที่โรงช้างเถิด แลคอยดูว่าพระเจ้ากุสราชนั้นประทับบนอาสน์ด้านหน้าหรือว่าด้านหลังช้างกันแน่ หากผู้ใดลงจากหลังช้างก่อน ผู้นั้นก็คือราชากุสราช! ” นางค่อมพอรับบัญชาจึงรีบปลีกกายไปซุ่มอยู่ข้างโรงช้างทันที

หลังขบวนพยุหยาตราเสด็จจนรอบพระนครก็วกกลับไปที่โรงช้าง พอถึงโรงช้างพระชยัมบดีผู้ซึ่งประทับอยู่อาสน์ด้านหน้าแทนที่จักเสด็จลงจากหลังช้างก่อน ที่ไหนได้ เจ้าควาญขี้ริ้วผู้มีกิริยาสามหาวกลับเป็นผู้ลงก่อนซะยังงั้น จากนั้นพระชยัมบดีราชกุมารจึงเสด็จลงตามทีหลัง

พระมหาสัตว์เมื่อทรงลงจากหลังช้างแล้วด้วยพระอุปนิสัยที่ทรงเป็นคนรอบครอบ ก็ทรงหันไปมองรอบๆตามความเคยชิน จึงทรงเห็นนางค่อมที่เฝ้าแอบมองพอดี ดังนั้นจึงทรงให้ทหารไปพาตัวนางมา เมื่อทหารพานางมาถึงจอมราชันได้ตรัสบอกนางห้ามนำเรื่องที่เห็นนี้ไปทูลให้พระชายาประภาวดีรับทราบโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นศีรษะของนางอาจไม่อยู่บนบ่า นางค่อมด้วยความเกรงกลัวพระอาญาจึงรับปากด้วยเสียงที่สั่นระรัว พอกลับไปถึงก็ทูลผู้เป็นนายว่าพระเจ้ากุสราชที่ประทับบนอาสน์ด้านหน้าเสด็จลงก่อน พระชายาประภาวดีครั้นทรงสดับก็ทรงให้คลายพระกังวล

หลายวันต่อมาพระมหาสัตว์ก็ทรงเกิดความปรารถนาอยากจะเห็นพระชายาอีก จึงทรงเข้าไปรบเร้าพระมารดา มเหสีสีลวดีพอทรงถูกรบเร้าย่อมมิอาจทรงทนได้เหมือนเคย จึงตรัสให้จอมราชันไปซ่อนตัวอยู่ในสระนิลุบล พระโพธิสัตว์ครั้นทรงสดับก็รีบเสด็จไปยังสระบัวทันใด พอคล้อยหลังราชบุตรองค์เทวีก็เสด็จไปยังตำหนักของพระสุณิสาเพื่อจักทรงชวนนางเสด็จประพาสอุทยานหลวงด้วยกัน หลังจากที่แม่ผัวและลูกสะใภ้ได้เที่ยวชมอุทยานหลวงจนเมื่อยล้าแล้ว ลำดับนั้นพระมเหสีสีลวดีได้ทรงพาพระธิดาแคว้นมัททะเสด็จมาถึงสระบุณฑริกพอดี

พระนางประภาวดีพอทรงทอดพระเนตรเห็นสระโบกขรณีอันดารดาษไปด้วยโกมุทชาติหลากสีสัน ส่ายก้านเอนไหวไปตามแรงลม แลพลิ้วน้ำที่ใสเป็นประกายยามต้องแสงอาทิตย์ ความเมื่อยล้าที่มีก็พลันมลายลงไปจนสิ้น ทรงปรารถนาจะสรงน้ำขึ้นมาทันใด ดังนั้นจึงตรัสชวนเหล่าพระพี่เลี้ยงให้ลงเล่นน้ำด้วยกัน ระหว่างที่ทรงสรงน้ำอย่างสนุกสนาน สายพระเนตรก็ทรงเหลือบไปเห็นดอกจงกลนีดอกหนึ่งซึ่งมีสีสันสวยงามเกินดอกใด ดังนั้นทรงใคร่จะเก็บเอามาเชยชม จึงทรงค่อยๆแวกว่ายเข้าไป พอถึงก็ทรงเอื้อมพระหัตถ์หมายจักเด็ดเจ้าดอกอุบลนี้

ลำดับนั้นราชากุสราชผู้ทรงแอบอยู่ด้านหลังใบบัว พอทรงเห็นพระชายาเอื้อมพระหัตถ์มาด้วยความเผลอสติคิดจักทรงหยอกล้อพระชายาเล่น จึงทรงโผล่พระพักตร์ออกจากใบบัวพร้อมกับทรงคว้าพระหัตถ์ของนางเอาไว้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังทรงเปล่งเสียงออกไปอีกว่า “ เราคือราชากุสราช! ”

ฝ่ายพระธิดาแคว้นมัททะจู่ๆทรงเห็นใครไม่รู้โผล่ออกมาจากหลังใบบัวเข้ามาจับมือถือแขนของตนไว้ ก็ทรงตกพระทัยเป็นกำลัง และยิ่งพอทรงเหลือบไปเห็นใบหน้าของคนจับอีก ก็ยิ่งทรงสำคัญผิดคิดไปว่าเป็นยักษ์จำแลงกายมา จึงถึงกับทรงวิสัญญีภาพหมดสติไปในทันใด ก่อกิดเป็นความโกลาหล จนพระมเหสีสีลวดีต้องทรงให้พระพี่เลี้ยงอุ้มนางกลับตำหนักเป็นการด่วน

หลังจากทรงฟื้นพระสติแลทรงได้คิดทบทวน พระธิดาแห่งแคว้นมัททะก็ทรงทราบว่าผู้ที่จับมือนางนั้น ที่แท้ก็คือเจ้าตะพุ่นหญ้าช้างที่มีใบหน้าขี้ริ้วนั่นเอง เห็นทีเขาจักต้องเป็นราชากุสราชเสียเป็นแน่ มิฉะนั้นไฉนจึงกล้าทำ ตามอำเภอใจได้ถึงปานนี้ พระนางไม่ทรงปรารถนาจะมีพระสวามีที่มีพระพักตร์แสนจะน่าเกลียดอย่างนี้ ดังนั้นจึงทรงคิดจักหนีไปจากแคว้นมัลละ หลังจากที่ทรงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ นางจึงตรัสให้เหล่าพระพี่เลี้ยงไปเตรียมราชรถแลข้าวของไว้ให้พร้อม สองยามคืนนี้นางจะหนีไปจากแคว้นนี้ เหล่าพระพี่เลี้ยงพอรับพระบัญชาก็รีบไปดำเนินการตามรับสั่งทันที

แต่การเตรียมข้าวของของพระธิดาแคว้นมัททะหาได้รอดไปจากสายตาของทหารคนสนิทที่พระเจ้ากุสราชทรงส่งไปอารักขานางไม่ ดังนั้นเขาจึงรีบนำความเข้ากราบทูล พระมหาสัตว์ครั้นทรงสดับจึงทรงดำริขึ้น “ ครั้งนี้หากเราไม่อนุญาตให้นางกลับแคว้นมัททะ เห็นทีนางคงต้องอกแตกตายเสียเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย เราควรให้นางกลับไปก่อน จากนั้นค่อยไปพานางกลับมาทีหลัง น่าจักเป็นการดี ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัสให้ทหารคนสนิทไปบอกยามเฝ้าประตูวัง ว่าอย่าได้ขัดขวางขบวนเสด็จของพระชายาเป็นอันขาด ปล่อยให้นางเสด็จไป ดังนั้นยามสองคืนนั้นขบวนเสด็จของพระชายาประภาวดีจึงเสด็จออกจากแคว้นมัลละไปได้อย่างราบรื่น โดยไม่มีอุปสรรคใด!

สาเหตุที่ทำให้พระนางประภาวดีมิได้ทรงรักใคร่ในพระเจ้ากุสราชทั้งๆที่ทรงเป็นพระชายานั้น ก็เพราะอำนาจของแรงอธิษฐานที่ทรงตั้งความปรารถนาไว้ในชาติปางก่อนนั่นเอง ถึงพระมหาสัตว์ก็เหมือนกัน ที่ทรงเกิดมามีพระพักตร์ไม่งดงามก็เพราะอำนาจแห่งวิบาก (การให้ผลของกรรม) ที่เคยทรงทำไว้ในชาติที่แล้วเช่นกัน หากจะเท้าความถึงปฐมเหตุของเรื่องนี้ เรื่องก็มีอยู่ว่า

ในอดีตอันเนิ่นนานมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองพาราณสีสักเท่าไหร่ หมู่บ้านนี้มีครอบครัวที่สนิทสนมรักใคร่กันอยู่สองครอบครัว ครอบครัวหนึ่งมีบุตรชาย ๒ คน อีกครอบครัวหนึ่งมีบุตรสาว ๑ คน พระโพธิสัตว์ในชาตินั้นได้ทรงถือกำเนิดเกิดมาเป็นคนน้องของครอบครัวที่มีบุตรชาย สองตระกูลนี้ต่างไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ จนถึงวัยที่บุตรของทั้งฝ่ายจักต้องมีคู่ ตระกูลฝ่ายชายจึงไปสู่ขอลูกสาวของอีกฝ่ายให้มาเป็นภรรยาของลูกชายคนโต ซึ่งฝ่ายหญิงก็มิได้ปฏิเสธอันใด หลังแต่งเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายชายผู้เป็นสะใภ้ก็ปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม มิได้ขี้เกียจขี้คร้าน ขยันดูแลการบ้านการเรือนได้เป็นอย่างดี

กระทั่งเช้าวันหนึ่งลูกสะใภ้ได้ทำขนมที่มีรสชาติอร่อยให้กับครอบครัวสามีรับประทาน แต่เช้านั้นพระโพธิสัตว์ไม่อยู่บ้าน ออกไปเก็บของป่าตั้งแต่ยังไม่สางดี ดังนั้ผู้เป็นสะใภ้จึงแบ่งขนมส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้เขา ส่วนที่เหลือก็แจกจ่ายกันบริโภคภายในครัวเรือนจนสิ้น บังเอิญว่าสายวันนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งบิณฑบาตผ่านมาพอดี พี่สะใภ้พอเห็นก็เกิดศรัทธา จึงนำขนมในส่วนของน้องสามีถวายให้ท่านไป ในใจนั้นก็คิดว่าเดี๋ยวค่อยทำให้เขาใหม่ก็แล้วกัน

แต่ทว่าเหตุการณ์หาได้เป็นดั่งที่คิดไม่ พอคล้อยหลังพระคุณเจ้าไม่ถึงอึดใจพระมหาสัตว์ก็กลับมาถึงเรือนพอดี จึงทันเห็นหลังของท่านอยู่ไวๆ ดังนั้นจึงถามพี่สะใภ้ว่าผู้ใดมาเรือนรึ? ภรรยาพี่ชายตอบว่าไม่มีผู้ใดเรือนดอก เป็นสมณะรูปหนึ่งบิณฑบาตผ่านมา นางเห็นท่านมีกิริยาน่าเลื่อมใสจึงนำขนมในส่วนของเขาถวายท่านไป ขอเขาจงทำใจให้ผ่องใสเถิด เดี๋ยวนางจะรีบทำให้ใหม่ แต่เวลานั้นพระมหาสัตว์กำลังหิวอยู่พอดี พอฟังพี่สะใภ้บอกดังนั้นเขาจึงไม่ฟังอีร้าค่าอีรม รีบวิ่งตามพระเถระไปทันใด

พี่สะใภ้พอเห็นน้องสามีวิ่งตามพระคุณเจ้ไปก็รู้แล้วว่าเขาจะทำอะไรจึงรีบออกจากเรือนกลับไปยังบ้านตน พอถึงก็ตักเอาเนยใสที่ครอบครัวนางเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ มีสีประดุจดอกจำปา ใส่ลงในภาชนะที่เตรียมไว้จนเต็ม จากนั้นก็วิ่งตามน้องสามีไปจนทันกัน พอถึงก็เห็นในมือของเขามีห่อขนมที่นางได้ถวายพระคุณเจ้าไปกำแน่นอยู่ในมือ ส่วนพระเถระท่านก็กำลังหันหลังเตรียมตัวจะจากไป ดังนั้นนางจึงนิมนต์ให้ท่านหยุดก่อน จากนั้นก็เข้าไปเอาเนยใสที่ตักมาจากเรือนมารดา เทลงในบาตรท่านจนหมด

เนยใสพออยู่ในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า บัดนั้นมันก็เกิดเป็นรัศมีเหลืองอร่ามแผ่กระจายออกไปโดยรอบจน เป็นที่อัศจรรย์ พี่สะใภ้พอเห็นก็ให้ปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง จึงเปล่งวาจาอธิษฐานว่า “ หากแม้นชาติหน้าฉันใดลูกตายจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ขอให้ลูกจงมีร่างกายที่ผ่องใสงดงาม มีรัศมีรุ่งเรืองตระการเกินกว่าหญิงใดในแผ่นดิน แลขอให้ลูกอย่าได้อยู่ร่วมกับคนที่เป็นอสัตบุรุษเยี่ยงน้องสามีผู้นี้ในที่แห่งเดียวกันเลย!”

ด้านพระโพธิสัตว์ซึ่งยังยืนถือห่อขนมมิได้จากหนีไปไหน พอได้ยินพี่สะใภ้อธิษฐานเช่นนั้นก็ให้นึกโกรธนางขึ้นมาทันใด จึงนำขนมที่ถืออยู่ในมือนั้นใส่กลับเข้าไปในบาตรใหม่ พร้อมกันนั้นก็เปล่งวาจาอธิษฐานบ้างว่า

“ ข้าแต่พระคุณเจ้า ไม่ว่าพี่สะใภ้ของข้าพเจ้านางนี้จะไปเกิดในภพภูมิไหน ใกล้ไกลเพียงใด ก็ขอให้ข้าพเจ้าพึงมีความสามารถไปนำนางกลับมาเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้าให้จงได้ด้วยเถิด! ”

แลด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรมที่ทั้งคู่ได้ทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้าในครานั้น พอมาเกิดชาตินี้พระนางประภาวดีจึงทรงมีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งเป็นประกายเกินกว่าหญิงใดในหล้าจักเทียบได้ ส่วนพระมหาสัตว์เนื่องจากทรงทำกุศลขณะที่จิตมีโทสะ ดังนั้นพอมาเกิดชาตินี้พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่มีรูปโฉมขี้ริ้วไม่งดงาม ทั้งนี้ก็เพราะกรรมเก่าที่ทำไว้ให้ผลนั่นเอง!

ย้อนกลับมาเข้าเรื่อง หลังจากพระนางประภาวดีเสด็จออกจากเมืองกุสาวดีแล้ว ขบวนของนางก็มุ่งตรงสู่แคว้น มัททะโดยมิได้ทรงแวะ ณ ที่ใดเลย จนล่วงครึ่งเดือนจึงเสด็จถึงกรุงสาคละ ฝ่ายราชากุสราชหลังจากที่พระชายาเสด็จหนีไป พระองค์ก็ทรงโศกเศร้าพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แม้เหล่านางกำนัลจะบำรุงบำเรอด้วยวิธีต่างๆนานาก็หาทำให้พระองค์ทรงคลายจากความคิดถึงพระชายาได้ จนรุ่งสางวันหนึ่งเมื่อความอดทนถึงที่สุด พระองค์จึงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระมารดาเพื่อทูลขอพระราชอนุญาตออกไปตามพระนางประภาวดีกลับมา

มเหสีสีลวดีครั้นทรงสดับน้ำเสียงอันเศร้าสร้อยของลูกชาย ก็ทรงรู้ว่าลูกตนนั้นมีความรักในพระชายาเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสเตือนสติว่า “ ลูกเอ๋ย! หากเจ้าปรารถนาเยี่ยงนั้นแม่ก็ไม่ว่าอะไร แต่ขอจงจำไว้ ขึ้นชื่อมาตุคามนั้น ย่อมเป็นผู้มีใจไม่บริสุทธิ์ ฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจักทำการใดหากเกี่ยวข้องด้วยอิสตรี ก็ขอให้จงพิจารณาไตร่ตรองให้รอบครอบก่อนเสมอ ขอลูกแม่จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด! ” หลังตรัสเตือนสติบุตรชายแล้ว องค์เทวีก็ทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปนำของบริโภคอันเลิศรสชนิดต่างๆใส่ลงในโหลทองคำจนเต็ม เพื่อเตรียมไว้ให้บุตรชายบริโภคระหว่างทาง

ฝ่ายพระเจ้ากุสราชครั้นทรงรับของเสวยจากพระมารดาแล้ว ก็ทรงถวายบังคมลาด้วยการทำประทักษิณ ๓ ครั้ง จากนั้นก็เสด็จกลับพระตำหนักเพื่อทรงจัดเตรียมข้าวของสำหรับเดินทาง ทรงเหน็บพระแสงอาวุธห้าอย่างเข้าที่พระกฤษฎี(สะเอว) ทรงหยิบกหาปณะหนึ่งพันใส่ย่าม และที่มิอาจลืมได้ก็คือพิณโกกนุท ทรงนำใส่ถุงผ้าไปด้วย แล้วบัดนั้นจอมราชาแห่งแคว้นมัลละก็เสด็จออกจากพระนครทันใด เนื่องจากทรงเป็นผู้ที่มีพละกำลังมากดังนั้น ระยะเวลาจากเช้าถึงเที่ยงพระองค์ก็ทรงสามารถเดินทางได้ถึง ๕๐ โยชน์ แหละพอพักเสวยพระกระยาหารมือกลางวันเสร็จก็เสด็จต่อไปได้อีก ๕๐ โยชน์ ฉะนั้นเวลาเพียงหนึ่งวันพระองค์ก็ทรงเดินทางมาถึงชายแดนของกรุงสาคละได้อย่างเป็นที่อัศจรรย์

เมื่อทรงมาถึงขณะนั้นได้เป็นเวลาเย็นแล้ว ดังนั้นจึงทรงพักสรงน้ำก่อน หลังชำระพระวรกายเป็นที่เรียบร้อยพระองค์ก็ทรงรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า จึงเสด็จเข้าเมืองทันใด แลด้วยเดชะแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า ทันทีที่ทรงเหยียบแผ่นดินของแคว้นสาคละ พระนางประภาวดีที่บรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทม จู่ๆก็ทรงรู้สึกร้อนรุ่มพระวรกายขึ้นมาทันใด มิอาจทรงฝืนบรรทมอยู่บนเตียงต่อไปได้ จำต้องเสด็จลงมานอนที่พื้นแทน!

หลังจากทรงเข้าเมืองแล้วพระมหาสัตว์ก็ทรงย่างพระบาทไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย ระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินสายพระเนตรก็ทรงมองดูสภาพบ้านเมืองสองฟากถนนไปด้วย ขณะนั้นมีหญิงชาวบ้านนางหนึ่งกำลังนั่งรับลมยามค่ำอยู่หน้าบ้าน นางพอเห็นจอมราชาซึ่งเป็นคนต่างเมืองผ่านมาในยามนี้จึงร้องเรียกพระองค์ให้เข้ามาพักที่บ้านนางก่อน พระมหาสัตว์เมื่อทรงสบตากับนางก็ทรงรู้ว่านางเป็นหญิงมีน้ำใจ จึงทรงย่างพระบาทเข้าไป หญิงชาวบ้านพอเห็นกิริยาท่าทางของจอมกษัตริย์ต่างจากคนธรรมดา จึงรีบไปตักน้ำมาให้พระองค์ทรงใช้ล้างพระบาท จากนั้นก็เข้าห้องไปจัดที่บรรทมถวาย

จอมราชาหลังจากทรงเร่งเดินทางมาอย่างรีบร้อน จึงมิได้แวะพักที่ใด พอทรงล้มพระวรกายลงบนที่นอนที่หญิงชาวบ้านจัดให้ ก็ทรงหลับไปในบัดดล หญิงผู้มีน้ำใจพอเห็นพระองค์บรรทมหลับ จึงเข้าครัวไปเตรียมอาหารที่จักทำถวายในเช้าพรุ่งนี้ ครั้นรุ่งเช้าพอพระมหาสัตว์ทรงตื่นขึ้น นางก็อัญเชิญให้พระองค์เสวยพระกายาหารที่บ้านนาง ราชาพลัดถิ่นเมื่อทรงได้รับการต้อนรับอย่างดีจากหญิงชาวบ้าน ก็ให้ทรงรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของนาง จึงทรงพระราชทานทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะพร้อมกับโหลทองคำที่ใส่ของเสวยระหว่างทาง ให้นาง จากนั้นก็ทรงฝากพระแสงเบญจาวุธไว้ที่บ้านนาง แล้วพระองค์ก็ทรงหยิบห่อพิณโกกนุทเสด็จพระราชดำเนินจากไป

หลังออกจากเรือนหญิงชาวบ้านราชากุสราชก็ทรงถามผู้คนที่สัญจรบนท้องถนนถึงที่ตั้งของโรงช้างหลวงว่าอยู่ ณ ที่ใด จากนั้นก็เสด็จไปยังสถานที่นั้นทันที พอไปถึงก็ตรัสกับหัวหน้าโรงช้างว่าจักทรงขอช่วยงานที่โรงช้างสักระยะเพื่อแลกกับอาหารและที่พัก หัวหน้าโรงช้างพอเห็นรูปร่างของพระโพธิสัตว์ก็ตัดสินใจรับไว้ทันที

ค่ำวันนั้นหลังจากเสร็จงาน พระมหาสัตว์ก็ทรงหยิบพิณโกกนุทออกมาจากห่อผ้า พร้อมกันนั้นก็ทรงคำนึงว่า “ ชาวสาคละเอ๋ย บัดนี้ขอพวกท่านจงฟังเสียงพิณนี้เถิด ” จากนั้นก็ทรงดีดพิณพร้อมกับทรงขับร้องควบคู่กันไป ลำดับนั้นพระนางประภาวดีที่กำลังบรรทมอยู่ที่พื้นข้างพระแท่นบรรทม พอทรงสดับเสียงพิณของจอมราชาก็ทรงทราบทันทีว่า บัดนี้พระเจ้ากุสราชได้เสด็จตามนางมาถึงกรุงสาคละแล้ว!

เสียงพิณผสานเสียงร้องที่พระมหาสัตว์ทรงร้องออกไป ได้แผ่กังวานไปทั่วนครสาคละ แม้แต่พระเจ้ามัททราชที่กำลังบรรทมอยู่ พอทรงสดับก็ถึงกับทรงรำพึงอยู่ในพระทัยว่า “ ใครหนอช่างดีดพิณแลขับร้องได้ไพเราะนัก อย่ากระนั้นเลย พรุ่งนี้เราควรให้มหาดเล็กไปเรียกคนผู้นี้มาทำการขับกล่อมในวัง ท่าจักดี ”

พระมหาสัตว์หลังจากทรงขับร้องไปได้สักพักก็ทรงหยุดร้อง ด้วยทรงเกิดความคิดว่า การที่พระองค์ทรงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้คงยากจักมีโอกาสที่จักพบกับพระชายา หากทรงอยู่ต่อก็คงมิเกิดประโยชน์อันใด รังแต่จักทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ ดังนั้นรุ่งขึ้นจึงเสด็จออกจากโรงช้างกลับไปยังเรือนของหญิงผู้มีน้ำใจอีกครั้ง เพื่อเสวยพระกระยาหารที่บ้านนาง พอเสวยเสร็จก็ทรงฝากพิณไว้กับนาง จากนั้นก็เสด็จไปยังโรงปั้นหม้อหลวงเพื่อจักทรงขอฝากตัวเป็นศิษย์เขาเป็นลำดับต่อไป

เมื่อมาถึงโรงปั้นหม้อหลวง ช่างปั้นหม้อหลวงพอเห็นพระวรกายอันกำยำของจอมกษัตริย์ก็รับไว้ทันที จากนั้นก็ประเดิมงานแรกด้วยการให้พระองค์ทรงไปขนดินสำหรับปั้นหม้อมาเก็บไว้ที่โรงปั้นตามตำแหน่งที่เขาบอก ส่วนตัวเขาอ้างว่ามีธุระต้องไปทำด้านนอก จากนั้นก็เดินออกจากโรงปั้นไป เย็นวันนั้นหลังจากช่างปั้นหม้อกลับมาถึงโรงปั้น พอเห็นกองดินที่พระมหาสัตว์ทรงขนมากองไว้ก็ถึงกับอ้าปากตาค้างพูดอะไรไม่ออก ด้วยคาดไม่ถึงว่ามันจะมีขนาดใหญ่ถึงปานนี้ กองดินเบื้องหน้าหากให้คนทั่วไปขนกัน ก็ต้องใช้แรงงานอย่างน้อยเป็นจำนวน ๘ ถึง ๑๐ คน จึงจักได้กองเท่าภูเขาเลากาเช่นนี้ แต่นี่เกิดจากแรงงานของคนเพียงคนเดียว มันช่างอัศจรรย์จริงๆ!

หลังจากมีดินสำหรับปั้นหม้ออยู่ได้นานนับเดือน รุ่งขึ้นจอมราชาจึงตรัสกับช่างปั้นหม้อว่าอยากจักขอทดสอบฝีมือปั้นให้เขาดู เพื่อเขาจะได้ชี้แนะ ผู้เป็นอาจารย์พอฟังก็ไม่ขัดข้อง ดังนั้นพระมหาสัตว์จึงทรงลงมือปั้นโดยทรงหยิบดินวางลงบนแท่นปั้นหม้อ จากนั้นก็ทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งผลักก้านไม้ที่ติดกับแท่นปั้นให้หมุน พระองค์ทรงออกแรงผลักครั้งเดียวปรากฏแท่นปั้นหม้อกลับหมุนต่อเนื่องติดกันเป็นเวลาถึงครึ่งค่อนวันทีเดียว!

พระมหาสัตว์ได้ทรงปั้นภาชนะต่างๆออกมามากมายหลายชนิด เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง นอกจากนั้นยังทรงวาดลวดลายลงบนภาชนะด้วย ภาพที่วาดส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ทรงมีต่อพระนางประภาวดี
หลังจากทรงปั้นเสร็จจอมราชาก็ทรงนำภาชนะเหล่านั้นไปผึ่งแดด จากนั้นจึงทรงนำไปเผา พอทรงเผาเสร็จก็ทรงนำไปให้นายช่างดู ช่างปั้นหม้อพอเห็นภาชนะดินเผาของพระมหาสัตว์ก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก เนื่องจาก ตั้งแต่เขาทำงานด้านนี้มายังไม่เคยเห็นภาชนะใดจักมีความงามเท่านี้มาก่อน ดังนั้นพอรุ่งเช้าเขาจึงรีบขนเอาถ้วยโถโอชามที่พระมหาสัตว์ทรงปั้นนั้นขึ้นเกวียน โดยตั้งใจจักนำไปให้พระเจ้ามัททราชทรงทอดพระเนตรดู

เมื่อมาถึงพระราชวังราชามัททะพอทรงเห็นเครื่องปั้นดินเผาที่แสนหมดจดงดงามจนไม่มีที่ติ ก็ให้ทรงอัศจรรย์ จึงตรัสถามช่างปั้นหม้อว่า “ นี่นายช่าง ภาชนะเหล่านี้ใครเป็นคนปั้นรึ? ไฉนจึงงามเสียเหลือเกิน ” ช่างปั้นหม้อพอฟังก็คิดจักเอาความดีเข้าตัว จึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะ! ข้าพระบาทเป็นผู้ปั้นเองพระเจ้าข้า ” องค์ราชาพอทรงสดับก็ทรงรู้ว่าช่างปั้นหม้อผู้นี้กล่าวความเท็จ จึงตรัสว่า “ ดูก่อนคนปั้นหม้อ ภาชนะที่เจ้าปั้นมีหรือที่เราจะจำฝีมือเจ้าไม่ได้ จงตอบเรามาตามสัตย์ว่าผู้ใดเป็นคนปั้นกันแน่? ”

ช่างปั้นหม้อพอฟังน้ำเสียงที่เริ่มแข้งกร้าวของพระเจ้ามัททะ ก็ถึงกับเหงื่อกาฬแตกพลั่ก พูดตะกุกตะกักตอบจอมราชาไปว่า “ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ภาชนะเหล่านี้ลูกศิษย์คนใหม่ของข้าพระบาทเป็นคนปั้นพระเจ้าข้า! ” จอมกษัตริย์พอทรงสดับจึงตรัสว่า “ ฝีมือเยี่ยงนี้เขาไม่น่าจักเป็นศิษย์เจ้า เจ้านั่นแหละควรจักเป็นศิษย์เขา จงไปบอกเขาว่าให้ทำภาชนะชนิดต่างๆเพิ่มขึ้นให้มากกว่านี้ เราจักนำไปมอบให้ธิดาทั้งแปดของเราไว้เชยชมเล่น แลนี่ทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะ ขอจงไปมอบให้เขาด้วย แลจงบอกเขาว่านี่เป็นรางวัลที่เราประทานให้ ส่วนถ้วยโถ โอชามเหล่านี้เจ้าจงนำไปมอบให้กับธิดาของเราทุกนาง ” ช่างปั้นหม้อพอเห็นองค์เหนือหัวมิได้ทรงติดพระทัย เอาความเรื่องที่ตนโกหก จึงลอบถอนใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็รีบนำภาชนะเหล่านั้นไปยังตำหนักของพระ ธิดาทั้งแปดทันที

กล่าวถึงพระนางประภาวดี ตั้งแต่ทรงทราบว่าราชากุสราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละพระนางก็ทรงวิตก กินไม่ได้นอนไม่หลับไม่เว้นแต่ละวัน พอช่างปั้นหม้อนำภาชนะดินเผามาถวายก็ทรงดีพระทัย คิดว่าจักได้มีอะไรสวยๆ งามๆมาดูเพื่อคลายกังวล จึงทรงหยิบภาชนะใบหนึ่งขึ้นมาทันที แต่พอทรงเห็นลวดลายบนภาชนะเท่านั้น ความดีพระทัยเมื่อครู่ก็ให้ปลาตหายไปจนสิ้น ซ้ำยังทรงวิตกกังวลเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก ทรงถามนายช่างว่าผู้ใดเป็นคนปั้นภาชนะเหล่านี้?

ช่างปั้นหม้อหลังได้รับบทเรียนจากองค์ราชามาหมาดๆจึงมิกล้าอวดอ้าง รีบตอบพระธิดาองค์ใหญ่ไปทันทีว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์คนใหม่ตน องค์เทวีพอทรงสดับก็ทรงรู้ว่าเป็นใคร จึงทรงขว้างภาชนะที่ทรงถืออยู่นั้นทิ้งลงพื้น พร้อมกันนั้นก็ตรัสกับนายช่างด้วยพระสุรเสียงอันดังว่าพระนางไม่ทรงต้องการของเหล่านี้ ขอเขาจงไปมอบให้กับผู้ที่ปรารถนาเถิด เพลานั้นพระภคินีทั้งเจ็ดพอทรงสดับเสียงภาชนะแตกแลเสียงเอะอะโวยวายของพระพี่นาง จึงพากันเสด็จออกจากห้องรีบมายังตำหนักของพระนางประภาวดีทันที พอมาเห็นเศษกระเบื้องแตกเกลื่อนพื้นก็ทรงยิ้มแย้มให้กัน พระขนิษฐานางหนึ่งทรงคิดจักปลอบนาง จึงตรัสว่า

“ เสด็จพี่ประภาวดีเพคะ ไฉนจึงทรงขว้างปาภาชนะเหล่านี้เล่า หรือทรงเข้าพระทัยว่าพระสวามีกุสราชทรงเป็นผู้ปั้น? ขออย่าทรงระแวงพระทัยไปเลย ภาชนะเหล่านี้ท่านนายช่างเป็นผู้ปั้นต่างหาก ขอพระพี่นางโปรดทรงรับไว้เถิด ” องค์เทวีมิทรงต้องการให้บรรดาพระภคินีรู้เรื่องพระองค์ จึงทรงนิ่งเฉย มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยคำใด

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ พอช่างปั้นหม้อยื่นกหาปณะหนึ่งพันให้ พร้อมกับบอกว่าราชามัททะมีรับสั่งให้ทำภาชนะเพิ่ม พระองค์ก็ทรงดำริขึ้น “ ถึงเราจักอยู่ที่นี้ก็คงไม่อาจเห็นหน้าพระชายาได้ อย่ากระนั้นเลย เราควรจักไปยังที่ใหม่ดีกว่า ” พอทรงดำริดังนี้จึงเสด็จออกจากโรงปั้นไปยังสำนักของนายช่างสาน

ราชาพเนจรเมื่อทรงมาฝึกงานอยู่ที่โรงสานหลวง ก็ทรงช่วยนายช่างสานวาดลวดลายลงบนพัด ทรงวาดเป็นรูปต่างๆมากมาย เช่น รูปเศวตฉัตร รูปสถานที่ที่พระนางประภาวดีทรงเสวย รูปสถานที่ที่พระนางประภาวดีทรงยืนจับผ้าเป็นต้น นายช่างพอเห็นผลงานของท้าวเธอก็ถึงกับอัศจรรย์ใจ ไม่คิดว่าจักมีความงดงามถึงปานนี้ จึงรีบนำพัดเหล่านั้นไปให้ราชามัททะทรงทอดพระเนตรทันที

ราชามัททะครั้นทรงเห็นภาพวาดบนพัดก็ทรงอัศจรรย์พระทัยไม่แพ้กัน จึงตรัสถามช่างสานว่าผู้ใดเป็นคนวาด นายช่างสานพอฟังก็คิดจะเอาความดีความชอบเหมือนช่างปั้นหม้อ จึงตอบไปว่าตนเป็นคนวาดเอง ซึ่งพระเจ้า มัททะก็หาได้ทรงเชื่อไม่ หลังทรงคาดคั้นเอาความจริง ในที่สุดเขาก็สารภาพว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์คนใหม่ เหตุการณ์ลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นกับราชาพลัดถิ่นอีกหลายครั้งหลายคราด้วยกัน ดังนั้นพระองค์จึงต้องทรงย้ายที่พำนักไปเรื่อย จนสุดท้ายได้ทรงมาขอสมัครเป็นลูกมือของสำนักห้องเครื่องต้น(ห้องครัว)หลวง

วันหนึ่งหลังจากหัวหน้าพนักงานเครื่องต้นได้ปรุงอาหารของพระเจ้ามัททะเสร็จ เขาก็นำอาหารใส่กระเช้าเตรียมจะหาบไปให้พระราชาเสวย ก่อนไปเขาได้ให้เนื้อติดกระดูกชิ้นหนึ่งแก่ลูกมือคนใหม่ แล้วบอกให้ไปย่างกินเอง จากนั้นตัวเขาก็หาบกระเช้าเข้าวัง พระมหาสัตว์ครั้นทรงได้เนื้อติดกระดูกมาก็ทรงนำชิ้นเนื้อนั้นขึ้นย่างบนเตา ไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อพอถูกเปลวไฟ บัดนั้นมันก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำมัน หยดลงบนถ่านเพลิงเสียงดังฉี่ๆ ไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งกลิ่นฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วพระราชวังอีก ขณะนั้นราชามัททะกำลังจักทรงเปิดฝาครอบภาชนะพระกายาหารที่พนักงานเครื่องต้นนำมาถวาย พอทรงได้กลิ่นเนื้อย่างของพระมหาสัตว์ พระองค์ถึงกับทรงเอ่ยปากถามพ่อครัวว่า “ นี่ท่านพ่อครัว ท่านกำลังย่างอะไรอยู่รึ? ไฉนจึงหอมเพียงนี้? ”

พนักงานเครื่องต้นพอฟังจึงกราบทูลว่า “ หามิได้พระเจ้าข้า ข้าพระบาทมิได้ย่างอันใด กลิ่นที่หอมเพลานี้ เห็นทีคงจักเป็นเนื้อติดกระดูกที่ข้าพระบาทให้ลูกมือคนใหม่ปิ้งบริโภคกินเองพระเจ้าข้า ” ราชามัททะพอทรงสดับจึงรับสั่งให้เขารีบไปนำเนื้อชิ้นนั้นมาให้พระองค์ลองชิมดู พนักงานเครื่องต้นพอฟังจึงมิรอช้า รีบวิ่งไปยังห้องครัวเพื่อนำเนื้อดังกล่าวมาให้องค์เหนือหัวทันใด พอมาถึงก็ส่งชิ้นเนื้อให้กับองค์ราชา

ราชามัททะพอทรงรับชิ้นเนื้อพระองค์ก็ทรงค่อยๆยกชิ้นเนื้อนั้นขึ้นมาแตะที่พระชิวหา ทันทีที่พระชิวหาของพระองค์สัมผัสกับความอ่อนนุ่มหอมกรุ่นของเนื้อเท่านั้น รสชาติแห่งความอร่อยจนสุดบรรยายก็แผ่ซ่านไปทั่วพระวรกาย ถึงกับทำให้จอมกษัตริย์มิอาจทรงหยุดเสวยได้ จนกระทั่งเหลือแต่กระดูกขาวโพลนนั่นแล จึงทรงยอมวางลง หลังเสวยเสร็จพระองค์ได้ตรัสให้มหาดเล็กไปนำทรัพย์มาหนึ่งพันกหาปณะฝากพ่อครัวให้ไปมอบให้กับลูกมือคนใหม่ของเขา นอกจากนั้นยังตรัสว่านับแต่นี้ไปเขาไม่ต้องปรุงพระกายาหารให้กับพระองค์แล้ว แต่ให้เจ้าลูกมือคนใหม่เป็นผู้ปรุงแทน

พนักงานเครื่องต้นหลังได้รับพระบัญชาจึงไปบอกพระมหาสัตว์ตามที่องค์เหนือหัวตรัส พร้อมกันนั้นก็ยื่นทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะให้ไป ราชากุสราชพอทรงสดับคำพ่อครัวก็ให้ทรงยินดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทรงรู้ว่าบัดนี้ความปรารถนาของพระองค์ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว อีกไม่ช้าพระองค์จักทรงได้เห็นพระพักตร์ของภรรยาอันเป็นที่รักแล้ว ดังนั้นจึงทรงยกทรัพย์ทั้งหมดให้พนักงานเครื่องต้นเป็นการตอบแทน

เช้ารุ่งขึ้นหลังจากที่ทรงได้รับพระบัญชาให้ทรงทำหน้าที่เป็นพ่อครัว พระมหาสัตว์ก็ทรงตื่นบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อมาปรุงพระกายาหารสำหรับราชามัททะแลพระธิดาทั้งแปด พอทำเสร็จก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยไปส่งที่ตำหนักขององค์ราชาก่อน จากนั้นจึงเสด็จไปยังตำหนักของพระนางประภาวดีและพระธิดาทั้งเจ็ด ลำดับนั้นพระนางประภาวดีพอทรงทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยมา ก็ทรงดำริขึ้น

“ ราชากุสราชผู้นี้เหตุใดจึงแสร้งทำงานเยี่ยงทาสกรรมกร ไฉนจึงมิได้คำนึงถึงเกียรติ์แลศักดิ์ศรีของจอมกษัตริย์ หากเราจักทำนิ่งเฉยเธอก็จะสำคัญว่าเราปรารถนาในตัวเธอ แลก็คงจะไม่ไปไหน คงจักเฝ้าจับจ้องมองเราอยู่แต่ในที่นี้แห่งเดียว ฉะนั้นเราควรจักขับไล่พระองค์ไปเสีย อย่าให้อยู่แม้เพียงชั่วครู่หนึ่งเลย! ” พอทรงดำริดังนี้จึงทรงเอาพระหัตถ์ข้างหนึ่งจับบานประตูที่ลั่นดาลไว้ จากนั้นก็ทรงเปิดบานประตูที่เหลืออีกบานชะโงกพระพักตร์ออกไปตรัสกับพระมหาสัตว์ผู้เป็นพระสวามีว่า

“ ดูก่อนราชาแห่งแคว้นมัลละ พระองค์ทรงหาบกระเช้ามาด้วยพระทัยไม่ซื่อตรง คงจักเสวยทุกข์ทั้งกลางวันแลกลางคืนเสียเป็นแน่ ขอเชิญเสด็จกลับกรุงกุสาวดีไปเถิด หม่อมฉันไม่ปรารถนาเห็นพระองค์ผู้มีผิวพรรณทรามอยู่ ณ ที่นี้! ” พระโพธิสัตว์ครั้นได้ทรงสดับวาจาเสียดสีของพระชายา ก็ให้ทรงดีพระทัยว่านางทรงกล่าววาจาด้วย จึงตรัสไปว่า “ ประภาวดีเอ๋ย! พี่ติดใจในผิวพรรณของเจ้าจึงจากเมืองกุสาวดีมาหาเจ้าถึงที่นี่ พี่มีความพอใจที่ได้เห็นเจ้าจึงยอมทิ้งบ้านทิ้งเมืองมา หวังจักได้รื่นรมย์อยู่ในพระราชนิเวศน์ของเจ้า ดูก่อนน้องนางอันเป็นที่รัก พี่ลุ่มหลงเจ้าจนไม่รู้ว่าพี่นั้นมาจากทิศไหน แลจักไปต่อยังทิศไหน พี่หลงใหลดวงเนตรอันแจ่มจรัสดุจดวงตามฤค(กวาง) ของเจ้าผู้ทรงภูษากรองทอง แลห้อยสังวาลทอง โปรดเถิดน้องผู้มีเรือนร่างอันงดงาม พี่ปรารถนาแต่เจ้าเท่านั้น พี่ไม่ปรารถนาพระราชสมบัติใดๆเลย! ”

พระธิดาประภาวดีพอทรงสดับคำพูดเกี้ยวพาราสีของพระสวามีก็ทรงดำริอยู่ในพระทัยว่า“ ขนาดเรากล่าวถ้อยคำขับไล่ไสส่งหวังจักให้เจ็บแสบ แต่จอมกษัตริย์พระองค์นี้ยังกลับมาพูดจาเกี้ยวพาเราได้ ช่างเป็นผู้ที่ดื้อด้านเสียจริง! หากท้าวเธอจักอ้างสิทธิ์ว่าเป็นพระสวามีเราแล้วเข้ามาจับมือถือแขน ใครเล่าจะห้ามเธอได้? แลหากมีใครมาแล้วได้ยินคำโต้ตอบของเราในครั้งนี้ เห็นทีความลับที่พระเจ้ากุสราชเสด็จมายังกรุงสาคละก็คงจักต้องรับรู้ถึงพระกรรณของเสด็จพ่อเป็นแน่! ” พอทรงดำริดังนี้องค์เทวีประภาวดีก็ทรงรู้สึกนึกกลัวขึ้นมา จึงทรงรีบปิดบานทวารทันที

ฝ่ายพระมหาสัตว์เมื่อทรงเห็นพระชายาปิดบานทวารใส่ จึงทรงวางเครื่องเสวยไว้หน้าห้อง จากนั้นก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยไปยังห้องพระธิดาองค์อื่นต่อ พอคล้อยหลังพระมหาสัตว์ไปได้สักพักพระชายาประภาวดีก็ทรงให้นางค่อมไปนำพระกายาหารหน้าห้องเข้ามา แล้วก็ทรงยกอาหารเหล่านั้นให้พระพี่เลี้ยงไป ส่วนพระนางเองกลับทรงเอาอาหารของนางค่อมมาเสวยแทน ซ้ำยังทรงกำชับนางมิให้บอกเรื่องนี้ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาดนับแต่นั้นนางค่อมก็เลยได้ลาภปากเป็นเครื่องเสวยอันโอชะอย่างไม่คิดไม่ฝัน ส่วนอาหารชั้นเลวของตนนั้นก็น้อมถวายให้พระนางประภาวดีเสวยไป!


แก้ไขล่าสุดโดย pinit เมื่อ 03 ส.ค. 2022, 14:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2021, 10:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กุสราชมหาสัตว์ ๓

กุสราชมหาสัตว์ ๓

หลังจากพระเจ้ากุสราชได้ทรงตอบโต้ถ้อยคำกับพระนางประภาวดีในวันนั้นแล้ว ผ่านมาหลายวันพระองค์ก็มิได้ทรงเห็นพระพักตร์ของพระนางอีกเลย ทำให้ทรงเกิดความกังขาว่านางมีความรู้สึกเช่นไรต่อพระองค์ ดังนั้นจึงทรงคิดจักทดสอบดู

เช้าวันหนึ่งหลังจากทรงถวายพระกายาหารให้กับพระธิดาทุกพระองค์แล้ว พระมหาสัตว์ก็ทรงหาบกระเช้าย้อนกลับมาทางห้องของพระนางประภาวดีอีกครั้ง พอถึงหน้าห้องก็ทรงกระทืบพระบาทลงบนพื้นจนเกิดเสียงสนั่น ถ้วยชามในกระเช้ากระทบกันเกรียวกราว จากนั้นก็ทรงแสร้งถอนพระทัยเฮือกใหญ่ พร้อมกับทรงก้มลงฟุบอยู่บนพื้น ทำประหนึ่งว่าถึงแก่วิสัญญีภาพ

ลำดับนั้นพระนางประภาวดีซึ่งกำลังประทับอยู่ในห้อง พอทรงสดับเสียงโครมครามก็ให้ทรงตกพระทัย ทรงรีบเปิดบานทวารออกมาทอดพระเนตรทันที พอทรงเห็นพระโพธิสัตว์ถูกไม้คานหาบกระเช้าทับพระอุระนอนหมดสติอยู่ จึงทรงดำริว่า “ ราชากุสราชพระองค์นี้ทรงเป็นผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเป็นอย่างยิ่ง การที่ทรงต้องมาทนยอมลำบากทั้งกลางวันแลกลางคืนก็เนื่องเพราะเราเป็นเหตุ ท้าวเธอทรงเป็นสุขุมาลชาติ (ผู้ดีมีตระกูล) มาแต่กำเนิด มิเคยตรากตรำงานหนักมาก่อน ครั้งนี้ถูกไม้คานเครื่องเสวยทับเอา ไม่รู้จักยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่หรือเปล่า? หรือว่าจักทรงสิ้นพระชนม์แล้ว? ” พอทรงดำริดังนั้นจึงเสด็จออกจากห้องมาทรงก้มดูว่าจอมราชันย์ยังมีพระปัสสาสะ(ลมหายใจ)อยู่หรือไม่

ฝ่ายจอมกษัตริย์ที่ทรงแสร้งทำเป็นสลบ พอทรงเห็นพระชายาทรงก้มลงมา ทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงยกพระหัตถ์คว้าเอาพระวรกายของพระนางเข้ามาไว้ในอ้อมพระอุระทันที องค์เทวีไม่ทรงคิดว่าจู่ๆจักถูกพระเจ้ากุสราชทรงกระทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่ ก็ถึงกับทรงตกพระทัยเผลอกิริยาผรุสวาทออกไปว่า “ ดูก่อนราชากุสราช ผู้ใดปรารถนาคนที่เขาไม่ปรารถนาตน ผู้นั้นย่อมมีแต่ความเสื่อม หม่อมฉันไม่ได้รักพระองค์ พระองค์ก็จะบังคับให้หม่อมฉันรัก ก็ในเมื่อคนเขาไม่รักไยพระองค์ยังจักปรารถนาให้เขารักอีก! ”

พระมหาสัตว์ครั้นทรงถูกพระชายาด่าว่าแต่ก็หาได้ทรงโกรธเคืองไม่ เนื่องเพราะพระทัยล้วนเปี่ยมไปด้วยความปฏิพัทธ์ในตัวนาง ดังนั้นจึงตรัสว่า “ ดูก่อนประภาวดีเอ๋ย นรชนใดได้คนที่เขาไม่รักมาเป็นคนรัก เราสรรเสริญการได้นี้ว่าเป็นสิ่งดี การไม่ได้ต่างหากที่เป็นความชั่วช้า ” พอพระเจ้ากุสราชตรัสดังนั้นพระธิดาองค์โตของแคว้นมัททะก็ยิ่งทรงพิโรธโกรธเคืองเข้าไปใหญ่ จึงตรัสกลับมาด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าวว่า “ พระองค์ทรงปรารถนาหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันหาได้ปรารถนาพระองค์ เปรียบไปก็เหมือนบุรุษโง่เขลาเอาไม้กรรณิการ์มางัดเพชรที่ฝังอยู่ในหิน เหมือนผู้โง่งมเอาตาข่ายมาดักลม ซึ่งการกระทำทั้งสองย่อมมิอาจเป็นไปได้! ”

พระมหาสัตว์พอทรงสดับ จึงตรัสกลับไปว่า “ เพชรนี้คงฝังอยู่ในใจเจ้าที่แข็งกระด้างเสียเป็นแน่ เ พราะตั้งแต่พี่เหยียบแผ่นดินกรุงสาคละ พี่ยังไม่เคยได้รับความชื่นชมจากเจ้าเลย น้องพี่ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองพี่อยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่เจ้ายังคงแสดงกิริยาเยี่ยงนี้ ตราบนั้นพี่ก็คงต้องเป็นพนักงานเครื่องต้นทำอาหารให้เจ้าเสวยอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ต่อเมื่อใดที่เจ้ายิ้มให้พี่ เมื่อนั้นแลพี่ก็จะเลิกเป็นพนักงานเครื่องต้น แลจักกลับไปเป็นราชากุสราชคนเดิมของเจ้า ”

เทวีประภาวดีพอทรงสดับพระดำรัสของพระมหาสัตว์ จึงทรงดำริขึ้น“ ราชากุสราชผู้นี้ยิ่งพูดก็ยิ่งเซ้าซี้ เห็นทีเราจักต้องกล่าวมุสาวาทให้เธอไปจากที่นี่ด้วยอุบายดีกว่า ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัสว่า “ ข้าแต่จอมกษัตริย์ โหรของแคว้นมัททะเคยทำนายหม่อมฉันว่า พระสวามีที่แท้จริงของหม่อมฉันนั้นมิใช่ราชาแห่งแคว้นมัลละ! พวกเขายังสัญญาว่าหากทำนายผิด พวกเขาจักยอมให้หม่อมฉันบั่นร่างออกเป็น ๗ ท่อนเลย ”

จอมราชันพอทรงสดับก็ให้ทรงขบขันเป็นยิ่งนัก จึงตรัสกลับไปบ้าง “ ดูก่อนน้องหญิง โหรของแคว้นมัลละก็เคยทำนายพี่เช่นกัน พวกเขาบอกว่าพระมเหสีของราชากุสราชผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีพระสุรเสียงดุจราชสีห์ มีพละกำลังดุจคชสาร นอกจากพระธิดาองค์โตแห่งแคว้นมัททะแล้ว พระธิดาเมืองใดก็มิคู่ควรกับจอมราชันเยี่ยงพี่ได้! ”

พระนางประภาวดีพอทรงสดับก็ให้ทรงมีพระโมโหโกรธาจนถึงกับพระวรกายสั่น แต่ก็อับจนหนทางไม่ทราบจักทรงตอบโต้ราชันผู้มีพระพักตร์ด้านทนพระองค์นี้ได้อย่างไร ประโยชน์อะไรที่นางจักทรงมายืนโต้เถียงอยู่อย่างนี้ ดังนั้นจึงทรงแสดงกิริยาปั้นปึ่งเสด็จลงส้นพระบาทดังตึงๆกลับเข้าห้องไป พร้อมกันนั้นก็ทรงปิดบานทวารเสียงดังโครมใส่พระพักตร์ของพระเจ้ากุสราช พระมหาสัตว์พอทรงเห็นดังนั้นก็ทรงแอบยิ้มอยู่ในพระทัย จากนั้นก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยกลับยังที่พำนักซึ่งก็คือโรงเครื่องต้นนั่นเอง นับแต่นั้นทั้งสองก็มิได้ทรงพบหน้าค่าตากันอีกเป็นเวลาถึงครึ่งค่อนปี!

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ตั้งแต่ทรงรับหน้าที่เป็นพนักงานเครื่องต้น พระองค์ก็ทรงได้รับความลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจักทรงทำพระกายาหารยังมิพอ ยังต้องทรงผ่าฟืน ล้างภาชนะน้อยใหญ่ พอล้างเสร็จก็ยังต้องทรงไปหาบน้ำเพื่อนำกลับมาใช้อีก แม้แต่ยามบรรทมก็ยังต้องบรรทมอยู่ข้างรางน้ำทิ้ง ตื่นบรรทมก็ต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ต้องเสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทั้งนี้ก็เพราะกามราคะความหลงใหลในรูปโฉมของพระนางประภาวดีเป็นเหตุแท้ๆ!

จนวันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นนางค่อมพระพี่เลี้ยงเดินผ่านมาทางห้องเครื่องต้นจึงตรัสเรียกไว้ นางขุชชาค่อมพอได้ยินพระดำรัสแทนที่จักรีบเดินเข้าไปหา ที่ไหนได้กลับเร่งฝีเท้าหนีไปเสียยังงั้น ดังนั้นพระองค์จึงรีบเสด็จตามไปทันที พอทันกันจึงตรัสกับนางว่า “ นี่แน่ะค่อมเอ๋ย! นายเจ้านี่ช่างมีใจจืดใจดำเสียเหลือเกิน เรามาอยู่วังเจ้านานเพียงนี้ คำถามเจ็บไข้ไม่สบายสักคำก็ยังไม่เคยได้ยินจากปากนาง ยกเรื่องของกินของใช้ไม่ต้องพูดถึง ผ้าสักท่อนหมอนสักใบไม่เคยจักมีน้ำใจหยิบยื่นมาให้แม้แต่น้อย แต่ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้เราไม่ติดใจ ว่าแต่เจ้าเถิด หากเราจักขอให้เจ้าทำอะไรสักอย่างจักได้มั้ย? อย่างเช่นจงพานายเจ้ามาพบเราสักครั้ง ไม่ทราบเจ้าสามารถทำได้หรือไม่? หากเจ้าทำได้เราจะให้สร้อยคอทองคำแก่เจ้าเส้นหนึ่ง! ”

นางค่อมพอฟังจอมกษัตริย์จะให้รางวัลเป็นสร้อยคอทองคำก็ตาลุกวาว จึงรีบทูลไปว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตา หากทรงสัญญาจะให้สร้อยทองแก่หม่อมฉัน อย่างนั้นขอพระองค์เชิญเสด็จกลับที่พักไปก่อน อีกสองวันหม่อมฉันสัญญาจักพาองค์เทวีมาพบพระองค์แน่นอน ขอจงทรงรอฟังข่าวดีเถิด ” พอทูลดังนั้นนางก็ขอพระราชอนุญาตกลับยังตำหนักพระธิดา

ถัดจากนั้นสองวันพระพี่เลี้ยงค่อมก็ทำทีเข้าไปทำความสะอาดห้องบรรทมของพระนางประภาวดีเหมือนปกติ แต่ครั้งนี้นางเก็บกวาดอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ จนไม่เหลือสิ่งของใดๆพอจะใช้หยิบจับได้ แม้แต่รองพระบาทนางก็นำออกไปไว้นอกห้องจนหมด จากนั้นก็ลากม้านั่งตัวหนึ่งมาวางคร่อมธรณีประตูเอาไว้ แล้วก็ลากม้านั่งอีกตัวมาวางไว้ด้านตรงข้ามเพื่อใช้สำหรับเป็นที่พาดพระบาท เสร็จแล้วนางก็นั่งลงบนม้านั่งตัวที่คร่อมธรณีประตู พร้อมกับทูลเรียกพระนางประภาวดีให้เสด็จมานอนบนตักนาง เดี๋ยวนางจักหาเหาบนพระเศียรให้

องค์เทวีเมื่อทรงเห็นพระพี่เลี้ยงวางม้านั่งค่อมธรณีประตูก็ให้ทรงรู้สึกสงสัย จึงถามนางว่าไฉนจึงไม่ทำในห้องเหมือนเคย นางขุชชาตอบว่าตรงนี้แสงจ้าดีมองเห็นง่ายขอพระนางโปรดทรงรีบมาโดยไวเถิด พระธิดาประภาวดีเมื่อทรงสดับจึงเสด็จไปบรรทมบนตักนาง

ระหว่างที่องค์เทวีกำลังทรงหลับพระเนตรอยู่บนตักพระพี่เลี้ยงอย่างสบายนั้น มือหนึ่งนางค่อมก็แหวกเส้นพระเกศาแสร้งทำเป็นมองหาไข่เหา อีกมือหนึ่งนางก็ยกขึ้นไปจับเส้นผมของตนเพื่อรูดเอาไข่เหาที่อยู่บนศรีษะกำไว้ในมือ จากนั้นก็แสร้งอุทาน “ ตายจริง! พระเศียรเทวีมีไข่เหาอยู่เต็มเลยเพคะ ” ว่าแล้วนางก็แบมือที่กำไข่เหาให้พระนางประภาวดีทรงทอดพระเนตร “ ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อมจักจัดการให้เกลี้ยงเลย ขอพระธิดาทรงบรรทมให้สบายเถิด ”

ขณะที่มือทำเป็นแหวกเส้นพระเกศาปากก็พร่ำพรรณนาถึงความทุกข์ยากของพระมหาสัตว์ว่า “ ช่างน่าสงสารราชากุสราชเสียจริงเพคะ ทรงยอมสละได้แม้แต่ราชบัลลังก์เพื่อสตรีอันเป็นที่รัก ทรงยอมลำบากแม้จักต้องทรงลุกขึ้นมาหุงหาพระกายาหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พอหุงเสร็จก็ต้องทรงหาบเครื่องเสวยตะรอนๆ เอาไปถวายให้ตามพระตำหนักต่างๆอีก พอทุกพระองค์เสวยเสร็จก็ต้องทรงตามมาเก็บถ้วยโถโอชามที่ใช้แล้วเพื่อนำไปล้าง พอทรงล้างเสร็จจักพักสักหน่อยก็ถึงเพลามื้อกลางวันแล้ว ต้องทรงลงมือทำพระกายาหารต่ออีก หมุนไปวนมาอย่างนี้จนถึงเที่ยงคืนสองยามถึงจักได้บรรทม ทั้งนี้ก็เพราะทรงหวังจักได้เห็นหน้านางอันเป็นที่รักเท่านั้น ค่าจ้างค่าแรงก็มิได้ทรงเรียกร้องแต่อย่างใด ทรงหวังเพียงคำปฏิสันถารจากหญิงคนรักเวลาบังเอิญได้พบกันเท่านี้ก็ทรงดีพระทัยแล้ว แต่นี่แม้เพียงคำทักทายสักคำจากหญิงคนรัก ก็ยังมิเคยได้ทรงสดับจากปากของนาง ช่างเป็นชายชาติอาชาไนยผู้น่าสงสารจริงๆ! ”

พระนางประภาวดีพอทรงสดับคำที่พระพี่เลี้ยงพร่ำพรรณนา ก็ทรงให้มีพระพิโรธโกรธาขึ้นมาทันใด จึงทรง
ลุกขึ้นจากตักนางพร้อมกับทรงตวาดออกไปด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า “ เหม่! นางขุชชาค่อม จงรีบหุบปากของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! เจ้ามาพูดเช่นนี้ฤามิกลัวว่าเราจักตัดลิ้นเจ้า ไฉนจึงกล้ากล่าววาจาสามหาวเยี่ยงนี้ต่อเราได้! ”

ลำดับนั้นนางค่อมพอเห็นพระธิดาทรงโกรธจริงจัง จึงตัดสินใจผลักนางเข้าไปในห้องทันใด ส่วนตนก็รีบออกจากห้องพร้อมกับปิดบานประตูแลดึงเชือกชักลูกดาล (กุญแจไขประตูสมัยโบราณ) มาเก็บไว้กับตน พระนางประภาวดีเมื่อไม่มีเชือกชักลูกดาลก็มิอาจจะทรงเปิดบานทวารออกจากห้องได้ จึงทรงทุบบานทวารอยู่ด้านในพร้อมกับตรัสให้นางค่อมรีบเปิดบานทวารเป็นการด่วน นางขุชชาซึ่งยืนอยู่ด้านนอกเพื่อจักเกลี้ยกล่อมพระนางจึงทูลว่า

“ ข้าแต่พระแม่เจ้า รูปร่างของท่านนอกจากจักดูงดงามแล้ว ที่เหลือยังจักมีประโยชน์อันใดเล่า มันสามารถจักยังชีวิตผู้คนให้อยู่ได้เหมือนอาหารหรือ? พระเจ้ากุสราชแม้จักทรงมีพระรูปโฉมมิเทียบพระองค์ แต่คุณสมบัติอย่างอื่นกษัตริย์ทั่วทั้งชมพูทวีปหาเทียบได้ไม่ ทรงเป็นมหาราช ทรงเป็นนักปราชญ์เรืองปัญญา ทรงเป็นราชาที่มีทรัพย์มหาศาล ทรงมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก ทรงมีพระราชอาณาจักรกว้างใหญ่ ทรงมีพระทัยรักศิลปะ ทรงมีทักษะด้านการยุทธ์ ทรงมีพระสุรเสียงประดุจราชสีห์ ทรงชำนาญดนตรีการขับร้อง ขอจงทรงไตร่ตรองให้ดีเถิดว่าบุรุษทั่วทั้งแผ่นดิน ยังจักมีผู้ใดมีความสามารถเสมอจอมราชันได้อีก ฉะนั้นขอพระธิดาโปรดทรงกระทำความรักให้บังเกิดกับท้าวเธอเถิด ”

พระนางประภาวดีเมื่อทรงสดับคุณสมบัตินานัปการของพระสวามีแทนที่จักทรงคล้อยตาม ที่ไหนได้กลับยิ่งทรงมีพระโมโหโกรธามากเข้าไปใหญ่ ทรงตวาดกลับไปว่า “ เหม่! นางขุชชาค่อม เจ้านี่ช่างเป็นคนอกตัญญูเสียจริง เจ้าคิดจะขู่เรารึ? ” พี่เลี้ยงค่อมพอฟังจึงตอบว่า “ หามิได้ หม่อมฉันมิได้ขู่ หากแต่คอยปกป้องพระนางต่างหาก ที่ผ่านมาหม่อมฉันมิได้ทูลองค์เหนือหัวว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว ก็เพราะเห็นแก่พระนาง อย่างไรเสียเพลานี้จักเข้าไปทูลให้ทรงทราบ ก็น่าจักยังไม่สายเกินไป! ” องค์เทวีพอทรงสดับก็ให้ทรงหวาดหวั่นว่าจักมีผู้อื่นแอบได้ยิน ดังนั้นจึงทรงจำพระทัยยอมรับปากนาง

ฝ่ายพระมหาสัตว์หลังจากทรงตกลงกับนางค่อมแล้ว ผ่านไปหนึ่งวันไม่ทรงเห็นนางมารายงานผล ก็ให้ทรงรู้สึกกระวนกระวายพระทัย และยิ่งพอบวกกับความลำบากเรื่องที่อยู่ที่บรรทม ตลอดจนภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จึงทรงคิดว่านางค่อมผู้นี้เห็นทีคงจักพึ่งไม่ได้เสียเป็นแน่ แม้จักทรงอยู่ที่นี่ต่อก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าของหญิงสุดที่รัก ดังนั้นจึงทรงคิดจะกลับแคว้นมัลละไปเยี่ยมพระมารดากับพระบิดา เพลานั้นท้าวสักกะซึ่งทรงเฝ้าดูพฤติการณ์ของพระมหาสัตว์อยู่ตลอดเวลา พอทรงเห็นองค์โพธิสัตว์ทรงท้อพระทัย จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงทรงดำริขึ้น “ ราชากุสราชไม่ได้เห็นหน้าพระนางประภาวดีมาเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว จึงให้รู้สึกท้อแท้ ครั้งนี้เราจักทำให้เธอสมประสงค์! ”

เมื่อทรงดำริดังนี้ บัดนั้นจอมเทพผู้เกรียงไกรจึงทรงรับสั่งให้เทพใต้พระบัญชาปลอมเป็นราชทูต ๗ ขบวน อ้างเป็นทูตจากกรุงสาคละ เดินทางไปยังแคว้น ๗ แคว้น เพื่อส่งสาสน์ให้พระราชาแต่ละแคว้นทราบว่าพระนางประภาวดีทรงเป็นอิสสระจากพระเจ้ากุสราชแล้ว ขณะนี้กำลังประทับอยู่ที่กรุงสาคละ หากพระราชาแคว้นนั้นมีพระประสงค์จักรับนางไปเป็นพระชายา ก็จงรีบเสด็จมารับเอาเถิด พระราชาทั้ง ๗ พอทราบ จึงต่างพากันยกทัพมายังกรุงสาคละเพื่อจักมารับเอาตัวพระธิดาองค์โตแคว้นมัททะไปเป็นชายาตน

พอทัพทั้ง ๗ ยกมาถึงเขตพระนครชั้นนอกของกรุงสาคละ ราชาแต่ละแคว้นถึงทรงทราบว่ามิได้มีแต่พระองค์เพียงผู้เดียวที่ต้องการพระนางประภาวดี แต่ยังมีกษัตริย์อีกถึง ๖ แคว้นก็ทรงมีพระประสงค์เช่นเดียวกัน เมื่อกษัตริย์แต่ละแคว้นต่างรู้ความจริง ดังนั้นบรรดาท้าวเธอจึงทรงเข้าร่วมปรึกษาหารือกันเพื่อหาทางแก้เผ็ดพระเจ้ามัททะ พระราชาแคว้นหนึ่งได้ตรัสต่อที่ประชุมว่า

“ ดูเถิดท่านทั้งหลาย ก็ราชามัททะนี้มีพระนางประภาวดีผู้เลอโฉมอยู่เพียงนางเดียว แต่จะยกให้กับลูกเขย ๗ คน ช่างเป็นการกระทำของคนบ้าใบ้เสียสติจริงๆ สงสัยคงจักเห็นพวกเราเป็นทารกอมมือกระมัง จึงแกล้งหยอกล้อเยี่ยงนี้? ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเราจงช่วยกันจับราชาพระองค์นี้มาลงโทษเถิด! ” เมื่อราชาทั้งเจ็ดต่างก็มีความเห็นตรงกัน ดังนั้นแต่ละแคว้นจึงส่งพระราชสาสน์ไปยังแคว้นมัททะให้ส่งพระนางประภาวดีมาให้แคว้นตน มิฉะนั้นกรุงสาคละจักต้องเรียบเป็นหน้ากลอง

ด้านพระเจ้ามัททะผู้ทรงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พอทรงสดับพระราชสาสน์ของกษัตริย์เจ็ดแคว้น ก็ทรงให้ตกพระทัยเป็นกำลัง รีบรับสั่งให้มหาดเล็กไปตามเสนาอำมาตย์ตลอดจนแม่ทัพนายกองทั้งหลายมาเข้าเฝ้าทันที หลังจากที่เหล่าเสนาอำมาตย์แลแม่ทัพได้ปรึกษาหารือกัน จึงทูลราชามัททะว่า

“ ขอเดชะ ราชาทั้ง ๗ แคว้นเสด็จมาเพราะประสงค์จักได้พระธิดาประภาวดีไปเป็นพระชายา หากพระองค์มิทรงยกนางให้ ท้าวเธอทั้งเจ็ดก็จักทรงยกทัพมาพังกำแพงเมืองเรา เห็นทีครานี้แคว้นเราคงจักต้องถึงกาลย่อยยับเสียเป็นแน่! ฉะนั้นพวกกระหม่อมเห็นว่าพระองค์ควรทรงส่งพระราชธิดาไปให้กษัตริย์เหล่านั้นเสีย พระเจ้าข้า ” ราชามัททะพอทรงสดับก็ทรงคำนึงขึ้น

“ หากเรายกลูกสาวให้กษัตริย์แคว้นใดแคว้นหนึ่ง กษัตริย์ที่เหลือก็คงจักต้องยกทัพเข้ามาตีเมืองเรา แต่เราถ้าไม่ยกให้ใครเลย กรุงสาคละก็หนีไม่พ้นจักต้องพินาศอยู่ดี เฮ้อ! ช่างเป็นเรื่องที่ยากจักหาทางออกเสียจริง! ก็เพราะนางลูกไม่รักดีกลับทิ้งพระราชาผู้เลิศกว่าใครในชมพูทวีปมาโดยรังเกียจว่ารูปชั่ว บัดนี้เมื่อกรรมตามมาถึง เห็นทีคงต้องปล่อยให้นางรับผลแห่งการกระทำของตนไปแต่เพียงผู้เดียว! ” พอทรงดำริดังนี้จึงจำตัดพระทัยตรัสต่อที่ประชุมว่า

“ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความสงบสุขของบ้านเมืองแลอาณาประชาราษฎร์จักต้องมาก่อน ก็พระธิดาประภาวดีคือต้นเหตุแห่งปัญหา ฉะนั้นเพื่อมิให้เหล่าพสกนิกรตลอดจนไพร่พลทั้งหลายต้องมาล้มตาย เราจักสั่งประหารนางลูกไม่รักดีคนนี้เสีย จากนั้นตัดแบ่งร่างนางออกเป็น ๗ ท่อนส่งให้กับพระราชาเจ็ดแคว้นก็แล้วกัน! ” พอทรงประกาศดังนั้นทั่วทั้งท้องพระโรงที่อึงคะนึงไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ บัดนั้นก็ให้เงียบกริบลงไปราวกับว่าห้องโถงที่กว้างใหญ่ไร้ซึ่งผู้คน เนื่องจากไม่มีผู้ใดคิดว่าองค์ราชาจักทรงตัดสินพระทัยเยี่ยงนี้ นางกำนัลนางหนึ่งซึ่งนั่งแอบฟังอยู่ด้านนอก พอได้ยินพระดำรัสขององค์เหนือหัวก็ถึงกับตกใจจนหน้าซีด ค่อยๆขยับตัวถอยมา พอพ้นสายตาของเหล่าทหารรักษาวังก็รอช้า รีบวิ่งมาทูลให้พระนางประภาวดีได้ทรงรับทราบทันที

องค์เทวีผู้ทรงมีสีพระวรกายดั่งทองคำ ทรงผ้าโกไสยพัสตร์ พอทรงสดับคำพูดของหญิงรับใช้ก็ถึงกับทรงมีสีพระพักตร์ซีดเผือดลงทันที พระเนตรทั้งสองหลั่งนองไปด้วยพระอัสสุชล ทรงนั่งนิ่งๆโดยไม่ตรัสคำใดทั้งสิ้นจากนั้นสักพักจึงทรงค่อยๆลุกขึ้นจากที่ประทับ เสด็จพระราชดำเนินไปยังตำหนักพระมารดาราวกับคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง พอเสด็จไปถึงก็ทรงรำพึงรำพันต่อพระพักตร์พระมารดาว่า

“ ข้าแต่พระมารดา ขอพระมารโปรดจำดวงหน้าอันงดงามของลูก ดวงเนตรอันสุกสกาว แลผิวที่ผ่องเป็นนวลใยนี้ไว้เถิด อีกไม่กี่เพลามันก็จักไม่ปรากฏให้ทรงได้เห็นอีกแล้ว กษัตริย์ทั้งเจ็ดแคว้นจักใช้ดาบอันคมกริบมาเชือดมาเฉือนมันแล้วโยนทิ้งเสียในป่า ฝูงแร้งกาก็จะพากันมารุมจิกกินแย่งชิงเนื้อหนังของลูกกันให้สับสนอลหม่าน ฝ่ามืออันอ่อนละมุนแลมีเล็บแดงชมพูนี้ ก็จะถูกกษัตริย์ทั้งหลายตัดทิ้ง แล้วโยนให้ฝูงสุนัขจิ้งจอกกัดแทะกัน ข้าแต่พระมารดา หากกษัตริย์เหล่านั้นได้นำเอาเนื้อของลูกไปจนหมดสิ้นแล้วขอพระมารดาโปรดทรงนำเอากระดูกของลูกจากพวกเขามาเผาเสีย แลขอโปรดทรงปลูกสวนกรรณิการ์ไว้ในสถานที่ที่เผาศพลูกด้วยเถิด ยามใดที่ดอกกรรณิการ์เบ่งบาน ปุยหิมะตกโปรยปรายในเหมันตฤดู กาลนั้นขอพระมารดาโปรดพึงระลึกนึกถึงว่า ครั้งหนึ่งพระมารดาทรงเคยมีบุตรสาวที่มีผิวพรรณเยี่ยงนี้! ”

พระมเหสีแห่งแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพร่ำเพ้อของบุตรสาว ก็มิอาจทรงจับต้นชนปลายได้ จึงถามนางกำนัลที่ตามเสด็จพระธิดาถึงรายละเอียด พอทรงทราบว่าพระเจ้ามัททราชมีรับสั่งให้ประหารบุตรสาวก็รีบเสด็จไปเข้าเฝ้าทันที พอไปถึงก็ทรงมีพระดำรัสกับจอมราชาว่า “ ข้าแต่มหาราช พระองค์จะทรงประหารธิดาหม่อมฉันแล้วบั่นเป็นท่อนส่งให้กษัตริย์ทั้งเจ็ดแคว้นจริงหรือเพคะ! ” ราชามัททะเมื่อทรงสดับก็ทรงพยายามกลั้นพระอัสสุชลมิให้หลั่งไหล ทรงแสร้งตอบพระชายาไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าวว่า

“ เป็นเช่นนั้นจริง ก็ธิดาท่านมาทอดทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปไปด้วยรังเกียจว่ารูปชั่วไยเล่า ที่ผ่านมาท้าวเธอไม่ทรงติดพระทัยเอาความก็ถือว่าเป็นบุญของแคว้นเราแล้ว บัดนี้เมื่อความพินาศกำลังจักกล้ำกลายบ้านเมือง นอกจากหนทางตายแล้ว ไม่มีวิธีอื่น ฉะนั้นพระธิดาประภาวดีจักต้องรับผลแห่งความทะนงในรูปโฉมของตนที่มีต่อพระเจ้ากุสราช! ”

องค์มเหสีพอทรงสดับก็เหมือนหนึ่งว่าดวงพระทัยจักขาดสียให้ได้ ค่อยๆเสด็จกลับพระตำหนักดังราวกับคนไร้ซึ่งวิญญาณ เมื่อเสด็จมาถึงทรงเห็นพระพักตร์ของธิดาเปี่ยมไปด้วยพระอัสสุชลเต็มสองเบ้า ก็ทรงหลั่งน้ำพระเนตรตามไปด้วย จากนั้นจึงค่อยๆตรัสปลอบบุตรสาวว่า

“ ลูกเอ๋ย! บิดาเจ้าไม่อาจทำตามคำขอของแม่ได้ เห็นทีวันนี้เจ้าคงไม่แคล้วจักต้องไปสู่สำนักแห่งพระยายมเสียเป็นแน่ ก็บุตรคนใดไม่เชื่อฟังบิดามารดาผู้เห็นประโยชน์แห่งลูกหลาน บุตรคนนั้นย่อมรับผลที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเยี่ยงนี้แล ที่ผ่านมาหากเจ้าไม่ทิ้งราชากุสราชกลับแคว้นเรา วันนี้ก็คงไม่มีเรื่องเยี่ยงนี้ ประภาวดีเอ๋ย! เสียงกลองชัยที่ดังตึงๆ เสียงช้างศึกที่แผดกังวานก้อง เจ้าเห็นตระกูลไหนยิ่งใหญ่กว่าตระกูลแห่งพระสวามีเจ้าหรือไม่ ไฉนเจ้าจึงจากมา? เสียงนกยูงนกดุเหว่าที่กู่ขับขาน เสียงกุมารร้องรำทำเพลง เจ้าเห็นตระกูลไหนจักมีความสุขยิ่งกว่าตระกูลแห่งพระสวามีเจ้าหรือไม่ ไฉนเจ้าจึงจากมา? ถ้าวันนี้พระเจ้ากุสราชผู้เป็นจอมราชันประทับอยู่ที่นี่ มีหรือกษัตริย์ทั้งเจ็ดจักกล้ามาแสดงกิริยาที่กำแหงถึงปานนี้ คงจะถูกจอมกษัตริย์ขับไล่เสียจนแตกกระเจิงเป็นแน่ แต่เจ้ากลับทำลายเกราะคุ้มภัยของเจ้าด้วยตนเอง แล้วอย่างนี้จะโทษใครเล่า? ”

พระนางประภาวดีพอทรงสดับคำพระมารดาที่ว่า หากพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่ก็คงจักทรงขับไล่กษัตริย์เหล่านี้จนแตกกระเจิง ก็เหมือนหนึ่งว่าคนที่ติดอยู่ในถ้ำอันมืดมิด จู่ๆก็เห็นแสงสว่างส่องเข้ามาจากปากถ้ำ ทรงอุทานขึ้นในพระทัยว่า “ ก็พระเจ้ากุสราชผู้ทรงพระปรีชาสามารถเพลานี้ก็ทรงอยู่ในพระราชวังของเรามิใช่รึ? เช้าที่ผ่านมายังทรงหาบเครื่องเสวยมาส่งเราเหมือนเคย จำเราจักบอกความจริงให้พระมารดาทราบเสียเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับพระมเหสีว่า

“ ข้าแต่พระมารดา ก็พระเจ้ากุสราชผู้มีพระปรีชาอันยอดเยี่ยม สามารถย่ำยีกษัตริย์ทั้งเจ็ดให้พ่ายแพ้ราบคราบได้ เพลานี้พระองค์ก็ทรงอยู่ที่นี่แล้วนี่เพคะ! ” องค์มเหสีพอทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกสงสารบุตรสาวขึ้นมาจับใจ ทรงคิดว่าลูกตนคงจักกลัวความตายเสียจนสติเลอะเลือน ดังนั้นจึงตรัสปลอบโยนว่า “ โถ! ลูกแม่ เจ้าคงจักกลัวตายเสียจนสติเลอะเลือนแล้ว หากพระเจ้ากุสราชอยู่ที่นี่มีหรือแม่จะไม่รู้ เพียงพระองค์เสด็จมาถึงกึ่งทางก็จะต้องส่งพระราชสาส์นมายังแคว้นเราแล้ว แลยิ่งหากทรงรู้ว่าแคว้นเรากำลังมีเรื่องคอขาดบาดตายอยู่ มีหรือพระองค์จักไม่ทรงปรากฏกายออกมาช่วยเหลือ แต่พระเจ้ากุสราชที่ลูกเพ้อนั้นคงจักกลัวตายเสียล่ะกระมัง? จึงมิเห็นแม้เงา! ”

พระธิดาประภาวดีพอทรงเห็นพระมารดาไม่ทรงเชื่อ จึงตรัสว่า “ หากพระมารดาทรงไม่เชื่ออย่างนั้นขอจงเสด็จไปที่บานพระแกลแล้วทรงทอดพระเนตรไปที่โรงเครื่องต้นซิเพคะ พนักงานที่ทรงพระภูษาหยักรั้งแหละกำลังทรงก้มพระองค์ล้างถ้วยชามอยู่ นั่นก็คือพระเจ้ากุสราช แหละพระองค์ก็ประทับอยู่ที่วังเราเป็นเวลาถึงเจ็ดเดือนแล้วเพคะ ” ลำดับนั้นพระมเหสีแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพระธิดาจึงทรงเพ่งสายพระเนตรจ้องไปที่พระพักตร์นาง ขณะเดียวกันก็ทรงค่อยๆย่างพระบาทไปยังบานพระแกล พอถึงก็ทรงหันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรตามที่พระนางประภาวดีตรัส

บัดนั้นองค์มหาเทวีก็ทรงเห็นพระมหาสัตว์ในฉลองพระองค์อันเก่าซอมซ่อ ดูแล้วไม่ต่างจากพวกไพร่ทาสกำลังก้มตัวล้างถ้วยชามอยู่ พอทรงเห็นดังนั้นพระแม่เจ้าก็ถึงกับทรงเผลอพระองค์ตรัสบริภาษบุตรสาวไปด้วยพระ
สุรเสียงอันดังว่า “เหม่! ประภาวดี! ไฉนเจ้าจึงเป็นหญิงจัณฑาลประทุษร้ายต่อตระกูลถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นถึงพระราชธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราช เหตุใดจึงเปรียบพระสวามีด้วยชนชั้นต่ำเยี่ยงทาสเล่า? ” ผู้เป็นบุตรสาวเมื่อถูกพระมารดาทรงตำหนิจึงตรัสว่า

“ หม่อมฉันหาได้เป็นหญิงจัณฑาล แลหาได้ประทุษร้ายต่อตระกูลเหมือนดั่งที่พระมารดาตรัสไม่ ที่ทรงเห็นนั้นก็คือพระเจ้ากุสราชพระโอรสของพระเจ้าโอกกากราชจริงๆเพคะ! พระราชาองค์ใดสามารถเชิญให้พราหมณ์สองหมื่นคนมาบริโภคอาหารในเวลาใดก็ได้ พระราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! พระราชาองค์ใดสามารถสั่งทหารให้เตรียมช้างศึกสองหมื่นเชือก เตรียมรถศึกสองหมื่นคันในเวลาใดก็ได้ พระ ราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! หากแต่พระมารดาทรงเข้าพระทัยผิดไปเองว่าพระองค์ทรงเป็นทาส ขอถวายพระพร! ”

มเหสีแคว้นมัททะเมื่อทรงสดับคำพรรณนาพระอิสริยยศของพระมหาสัตว์จากปากลูกสาวด้วยคำพูดที่หนักแน่นไม่สะทกสะท้าน ก็ทรงดำริอยู่ในพระทัยว่า “ ฤาลูกเราจักกล่าวความจริง เพราะดูจากท่าทางที่นางพูดเหมือนจักมิได้โกหก เห็นทีเราควรไปทูลให้องค์เหนือหัวได้ทรงรับทราบไว้ก่อนท่าจักดี ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงเสด็จไปยังท้องพระโรงทันที

ฝ่ายพระราชาธิบดีซึ่งกำลังทรงย่างพระบาทวนไปแล้วก็วนมาครุ่นคิดถึงปัญหาที่หนักพระอุระอยู่ในเวลานี้ พอทรงเห็นพระมเหสีเสด็จมา จึงตรัสถามว่ามาด้วยเรื่องใด เมื่อทรงสดับเรื่องราวที่พระชายาทูลถวายก็มิทรงรอช้า รีบเสด็จมายังตำหนักพระนางพร้อมกับองค์มหาเทวีทันที เมื่อเสด็จมาถึงก็ทรงเห็นบุตรสาวไม่รักดียังนั่งร้องไห้อยู่ จึงตรัสถามว่า “ ดูก่อนประภาวดี สิ่งที่แม่เจ้าพูดป็นความจริงหรือไม่? ” พระธิดาแคว้นมัททะพอทรงสดับจึงทรงตอบไปว่า “ เป็นจริงเพคะ! ” ราชามัททะพอทรงได้ฟังก็ให้ทรงแช่มชื่นพระทัยขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ทรงยอมเชื่อเสียทีเดียว ทรงหันไปตรัสถามนางค่อมที่หมอบข้างๆว่าจริงหรือไม่

นางขุชชาค่อมพอได้ฟังพระดำรัสยังมิทันที่จอมราชาจักตรัสจบก็รีบตอบไปว่า “ เป็นจริงทุกประการเหมือนดังที่พระธิดาตรัสเพคะ ” พระเจ้ามัททราชพอได้รับการยืนยันจากพระพี่เลี้ยงก็ให้ทรงโล่งพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แต่พอทรงนึกถึงการกระทำของบุตรสาวก็ทรงกลับมามีพระโมโหอีก จึงทรงหันมาตรัสบริภาษลูกสาวด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า

“ เหม่! นังลูกไม่รักดี ไฉนเจ้าจึงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเอาเสียเลย พระเจ้ากุสราชผู้เป็นพระสวามีเจ้าทรงมีทแกล้วทหารกล้ามากมายเหลือคณานับ มีช้างศึกม้าศึกมากกว่ากองทัพใด ทรงมาพำนักที่วังเราตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว แต่เจ้ากลับเพิ่งมาบอกตอนนี้ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ความผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เดี๋ยวรอให้พ่อเข้าเฝ้าพระองค์ก่อน แล้วจะมาคิดบัญชีกับเจ้า! ”

หลังทรงติเตียนบุตรสาวเป็นการใหญ่แล้ว พระราชาธิบดีก็เสด็จไปยังสำนักของพระมหาสัตว์ เมื่อทรงไปถึงก็ทรงมีพระปฏิสันถารกับจอมราชันถึงความผิดบุตรสาว ที่มิได้แจ้งให้พระองค์ทราบว่าพระมหาสัตว์เสด็จมาถึงแคว้นพระองค์ตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนก่อน ซ้ำยังทรงปลอมพระองค์เป็นพนักงานเครื่องต้นอีก ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงการขอโทษอย่างจริงพระทัย ราชามัททะจึงทรงคุกเข่าก้มลงกราบพระเจ้ากุสราชผู้เป็นพระชามาดา (ลูกเขย) แทนบุตรสาว

พระมหาสัตว์พอทรงเห็นพระสัสสุระ(พ่อตา)ทรงก้มลงกราบตน ก็ทรงรีบเข้าไปประคองให้ทรงลุกขึ้นทันที จากนั้นได้ตรัสกับพ่อตาว่า “ หม่อมฉันมิได้ปกปิดการมาของหม่อมฉันต่อพระองค์เลยพระเจ้าข้า แลพระองค์ก็มิได้ทรงมีความผิดใดที่หม่อมฉันจักต้องงดโทษให้ ” พระเจ้ามัททะพอทรงสดับคำลูกเขยก็ทรงให้ดีพระทัย จึงเสด็จกลับตำหนักเพื่อตรัสให้บุตรสาวมากราบขอขมาโทษต่อพระราชาแห่งแคว้นมัลละ “ ดูก่อนนางลูกไม่รักดี เจ้าจงรีบไปขอขมาโทษต่อพระสวามีเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! ดูซิพระองค์ยังจักทรงประทานชีวิตให้กับเจ้าอีกหรือไม่! ”

พระนางประภาวดีครั้นสดับคำพระบิดา จึงเสด็จมายังโรงเครื่องต้นพร้อมด้วยพระภคินีทั้งเจ็ดและนางบริจาริกาอีกเป็นจำนวนมาก ลำดับนั้นพระมหาสัตว์เมื่อทรงเห็นพระชายาสุดที่รักกำลังเสด็จมาจึงทรงคำนึงขึ้น “ วันนี้เราจักทำลายทิฐิการทะนงตนของนางให้จงได้ เราจักต้องให้นางหมอบลงบนโคลนใกล้กับเท้า คอยดูเถอะ! ” เมื่อทรงดำริดังนี้ก่อนที่พระนางประภาวดีจะเสด็จมาถึงราชากุสราชจึงทรงเทน้ำลงบนดินรอบบริเวณที่ประทับ จนลานดินรอบๆเฉอะแฉะกลายเป็นโคลนขึ้นมา

พอพระชายาผู้มีผิวพรรณผุดผ่องราวกับทองคำเสด็จมาถึง จอมราชันก็คอยทรงมองว่าพระนางจักทรงแสดงอากัปกิริยาเยี่ยงไรที่เห็นพื้นสกปรก แต่แทนที่จอมกษัตริย์จักทรงเห็นท่าทางที่ขยักแขยงของนาง ที่ไหนได้องค์เทวีกลับทรงก้มลงกราบขอขมาโทษต่อพระองค์ด้วยกิริยาอันนอบน้อมบนพื้นที่เฉอะแฉะ โดยมิได้ทรงสนพระ ทัยเลยว่าดินโคลนที่สกปรกนั้นจักทำให้ฉลองพระองค์เปรอะเปื้อนหรือไม่ ทรงซบพระเศียรลงกอดพระยุคลบาทของพระมหาสัตว์พร้อมกับตรัสขออภัยต่อพระองค์ว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ตลอดเจ็ดเดือนหม่อมฉันมิเคยได้อยู่รับใช้พระองค์เลย หม่อมฉันรู้สึกสำนึกผิดถึงการกระทำของตนเป็นยิ่งนัก นับแต่นี้ไปไม่ว่าพระองค์จักทรงบัญชาให้หม่อมฉันทำอะไร หม่อมฉันสัญญาว่าจักปฏิบัติตามทุกประการ หม่อมฉันจะไม่แสดงท่าทีรังเกียจต่อพระองค์ให้ทรงเห็นอีกเป็นอันขาด ขอพระองค์โปรดทรงงดโทษให้กับหม่อมฉันด้วย หากพระองค์ไม่ทรงอภัย เห็นทีพระบิดาคงจักให้เพชฌฆาตตัดร่างหม่อมฉันออกเป็นท่อนๆ แล้วส่งให้กษัตริย์ทั้งเจ็ดเป็นแน่! ”

พระมหาสัตว์ครั้นทรงสดับคำขออภัยจากนางอันเป็นที่รัก ก็ทรงดำริขึ้น “ ครั้งนี้หากเราไม่อภัย เห็นทีนางคงจักต้องหัวใจแตกสลายเป็นแน่ จำเราจักปลอบนางให้คลายจากความกังวลเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงตรัสว่า “ ดูก่อนประภาวดี เมื่อน้องยอมลดศักดิ์ศรีมาขอขมาพี่ มีหรือพี่จักไม่ให้อภัย พี่ไม่เคยโกรธเจ้าผู้มีผิวประดุจรัศมีจันทร์เลย โปรดอย่ากังวล พี่ขอสัญญานับแต่นี้ไปพี่จักไม่แกล้งเจ้าอีก ที่ผ่านมาถ้าพี่โกรธเจ้าด้วยความสามารถของพี่มีหรือบ้านเมืองเจ้าจักดำรงคงอยู่ได้ถึงป่านนี้ แต่เพราะพี่รักเจ้าต่างหาก ถึงสู้ยอมทนลำบากมาเป็นพนักงานเครื่องต้นคอยปรุงอาหารให้เจ้าเสวย เจ้าคงจักเห็นถึงความรักที่พี่มีต่อเจ้าแล้วนะ เอาล่ะบัดนี้เมื่อพี่ยังอยู่ทั้งคน กษัตริย์แคว้นใดยังจักกล้ามาแย่งเอาพระมเหสีของพี่ไปอีกก็ลองดู ถ้ามันไม่กลัวหัวหลุดจากบ่า! ” ตรัสแล้วราชากุสราชก็ทรงประครองพระชายาให้ลุกขึ้นพร้อมกับให้นางไปคอยที่บนตำหนักก่อน จากนั้นพระองค์ก็เสด็จจากโรงเครื่องต้นไปยังพระลานหลวงทันที

เมื่อเสด็จไปถึงจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็ทรงสำแดงเดชานุภาพด้วยการบันลือสีหนาทเปล่งพระสุรเสียงกู่ก้องจนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วพระลานหลวง ยังผลให้ชาวเมืองตลอดจนข้าราชบริพารที่อยู่แถวนั้นพากันตระหนกตกใจกันไปตามๆกัน หลังจากทรงบันลือสีหนาทแล้วพระองค์ก็ทรงตบพระหัตถ์ติดๆกัน จนเกิดเป็นเสียงก้องกังวานไปทั่ว จากนั้นก็ทรงประกาศต่อชาวเมืองที่ออกมาดูว่า

“ ดูก่อนชาวสาคละนคร เราราชากุสราชพระชามาดาแห่งแคว้นมัททะ บัดนี้เราจักจับเป็นกษัตริย์ทั้งเจ็ดให้ท่านทั้งหลายได้ประจักษ์เต็มสองตา! ขอพวกท่านจงคอยดูเถิด ” หลังจากทรงประกาศศักดานุภาพต่อหน้าชาวเมือง จอมกษัตริย์แห่งแคว้นมัลละก็เสด็จกลับมาเข้าเฝ้าพระเจ้ามัททะ เพื่อจักทรงขอยืมไพร่พล อาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนช้างศึกม้าศึกต่อพระราชาธิบดีว่า “ ข้าแต่พระสัสสุระ ขอพระองค์โปรดเสด็จไปทรงสรงสนานแลพัก ผ่อนคลายพระอิริยาบถให้เป็นที่สบายพระทัยเถิด เรื่องการศึกไว้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเอง ” ราชามัททะพอทรงสดับดังนั้นก็ให้ทรงเบิกบานพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงหันไปตรัสกับเหล่าอำมาตย์ว่าให้ช่วยทำการอุปัฏฐากจอมราชันอย่าให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด จากนั้นก็เสด็จกลับขึ้นปราสาทไป

บรรดาอำมาตย์พอรับพระบัญชาต่างก็พากันจัดแจงกั้นพระวิสูตรล้อมรอบโรงเครื่องต้นทันที จากนั้นก็ให้ช่างกัลบกเข้าไปตัดพระเกศา ปลงพระมัสสุ (หนวด) พอโกนหนวดตัดผมเสร็จก็ให้นางกำนัลมาช่วยอาบสรงให้กับพระมหาสัตว์ หลังจากทรงชำระพระวรกายแล้ว เหล่าอำมาตย์ก็ให้เจ้าพนักงานนำเครื่องทรงแลเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์มาแต่งให้กับจอมราชัน จากนั้นจึงอัญเชิญพระเจ้ากุสราชให้เสด็จขึ้นสู่สีหบัญชรเพื่อทรงทอด พระเนตรกองทัพข้าศึกที่ยกมาล้อมเมือง

จอมราชาเมื่อทรงยืนอยู่หน้าสีหบัญชรได้ทรงมองออกไปรอบด้าน พร้อมกับทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ จากนั้นก็ทรงเปล่งพระสุรเสียงกึกก้องออกไปว่า “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงคอยดูเราจัดการกับพวกข้าศึกเถิด ” บรรดานางสนมนางกำนัลเมื่อทราบว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จขึ้นสีหบัญชร ต่างก็พากันเปิดหน้าต่าง เปิดประตูออกมาดูพระกิริยาท่าทางของพระองค์ที่ทรงเยื้องกราย ทรงปรบพระหัตถ์ ทรงเปล่งพระสุรเสียง กันอย่างตื่นตาตื่นใจ

เพลานั้นมหาดเล็กได้มาถวายรายงานว่าบัดนี้พระเจ้ามัททะได้ทรงจัดเตรียมช้างศึกม้าศึกพร้อมไพร่พลให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอพระองค์ทรงบัญชามาเถิดว่าจักให้ออกศึกเมื่อใด พอทรงสดับดังนั้นจอมกษัตริย์จึงเสด็จลงจากสีหบัญชรขึ้นประทับบนคอช้างซึ่งมีเศวตฉัตรประดับด้วยอัญมณีอันวิจิตรตระการตา และก่อนจักทรงไสช้างออกนอกประตูเมืองพระองค์ได้ตรัสให้ทหารไปพาพระนางประภาวดีมาพบ พอพระนางเสด็จมาถึงพระองค์ก็ทรงให้องค์เทวีขึ้นประทับบนอาสน์ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง) อันมีจตุรงคินีเสนา (กองทัพที่ประกอบ ด้วยกำลังพล ๔ เหล่า คือ เหล่าช้าง เหล่าม้า เหล่ารถ และ เหล่าราบ ) แวดล้อมเป็นกระบวนทัพ จากนั้นจึงเสด็จออกศึกทางประตูด้านทิศปราจีน

ทัพพระมหาสัตว์พอเคลื่อนพ้นประตูเมือง จอมกษัตริย์ได้ตรัสให้หยุดทัพอยู่ที่หน้ากำแพงก่อน จากนั้นพระองค์ก็ทรงไส้ช้างออกไปยืนอยู่หน้าขบวนแต่เพียงผู้เดียว ทรงกวาดพระเนตรดูทัพข้าศึกที่ตั้งประจันหน้า แล้วบัดนั้นพระองค์ก็ทรงเปล่งพระสุรสีหนาทออกไปว่า “ ดูก่อนเจ้าผู้มีใจบังอาจทั้งหลาย เราราชากุสราช ราชบุตรแห่งพระเจ้าโอกกากราช ใครที่ยังรักชีวิตอยู่ก็จงยอมอ่อนน้อมให้กับเราเสียบัดนี้ มิฉะนั้นพวกเจ้าจักต้องกลายเป็นผีหัวขาดด้วยกันทั้งหมด! ”

กษัตริย์ทั้ง ๗ พอทรงทอดพระเนตรเห็นพระรูปร่างอันสูงใหญ่เกินกว่าบุรุษทั่วไปเกือบเท่าตัวของพระมหาสัตว์ ได้ยินพระสุรสีหนาทที่ทรงบันลือประดุจราชสีห์คำราม ต่างก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำจนถึงกับพระหัตถ์อ่อน แม้แต่พระขรรค์ที่ทรงถืออยู่ก็ยังมิอาจที่จักกำไว้ได้ ต้องปล่อยให้ร่วงลงพื้นเกรียวกราว แต่ละพระองค์ต่างก็รีบไสช้างหันหลังกลับ หนีเอาชีวิตรอดกันไปคนละทิศคนละทาง บรรดาไพร่พลเมื่อเห็นผู้เป็นนายรักตัวกลัวตาย หนีเอาตัวรอดไปแต่เพียงผู้เดียว ต่างก็พากันแตกตื่นขวัญเสีย พากันทิ้งอาวุธหลบหนีตามผู้เป็นนายไปราวกับฝูงมฤคได้ยินเสียงคำรามของพญาราชสีห์ยังไงยังงั้น จนกองทัพทั้งเจ็ดเกิดความระส่ำระสายไม่เป็นรูปขบวน

เพลานั้นท้าวสักกะมเหสักขเทวราชแห่งตาวติงสา เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นราชากุสราชทรงมีชัยเหนือกษัตริย์เจ็ดแคว้นโดยมิได้เสียเลือดเสียเนื้อแต่อย่างใด ก็ให้ทรงชื่นชมในความสามารถของพระมหาสัตว์เป็นอย่างยิ่ง จึงเสด็จลงจากเทวโลกมาปรากฏกายยังเบื้องพระพักตร์ของจอมราชัน พร้อมกับทรงยื่นลูกแก้ววิเศษชื่อ เวโรจนะ ให้แก่พระมหาสัตว์เพื่อเป็นรางวัล จอมกษัตริย์เมื่อทรงเห็นราชาแห่งเทพเสด็จลงจากฟากฟ้ามาร่วมแสดงความยินดีกับพระองค์ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่งจึงทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปรับลูกแก้ววิเศษไว้ แต่ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์นัก พอพระหัตถ์ของพระมหาสัตว์สัมผัสกับลูกแก้วเท่านั้น พระพักตร์ที่ดูขี้ริ้วอัปลักษณ์บัดนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นผ่องใสงดงาม ราวกับเทพบุตรจำแลงมายังไงยังงั้น!

หลังจากทรงมีชัยชนะเหนือข้าศึกราชากุสราชก็ทรงนำทัพเสด็จกลับเข้าเมือง พร้อมกันนั้นก็ทรงให้ทหารนำตัวกษัตริย์ทั้งเจ็ดไปยังท้องพระโรง พอทหารพากษัตริย์เจ็ดมาถึงพระองค์ได้ตรัสกับพระสัสสุระว่า “ ขอเดชะมหาราชา! กษัตริย์ทั้ง ๗ นี้บังอาจกล้ายกทัพมารุกรานแคว้นพระองค์ บัดนี้พวกเขาได้ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งพระองค์แล้ว ขอพระองค์โปรดทรงวินิจฉัยเถิดว่าจักทรงลงโทษสถานใด! ”

ราชามัททะพอทรงสดับคำของพระชามาดา จึงตรัสว่า “ ข้าแต่จอมราชัน! พระองค์ทรงเป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ใดในชมพูทวีป ขอพระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสินเถิด หากพระองค์ประสงค์เช่นไรก็ให้เป็นไปตามนั้น! ” พระเจ้ามัททะเพื่อจะทรงหลีกเลี่ยงมิให้ผิดพ้องหมองใจกับกษัตริย์ทั้งเจ็ด จึงโยนหน้าที่ตัดสินมาให้พระมหาสัตว์ทรงทำหน้าที่แทน ด้านพระชามาดาก็ทรงรู้เท่าทันความคิดของพระสัสสุระ จึงทรงดำริว่า “ ประโยชน์อะไรเล่าที่เราจะไปฆ่ากษัตริย์เหล่านี้ การที่พวกเขายกทัพมาก็ถือว่าเป็นคุณกับเรา เพราะทำให้น้องประภาวดีหันกลับมารักเรา ฉะนั้นการมาของพวกเขาก็จงอย่าได้เปล่าประโยชน์เลย จำเราจักยกพระภคินีของน้องประภาวดีที่มีอยู่ถึง ๗ นาง ให้เป็นรางวัลแก่พวกเขาก็แล้วกัน! ” เมื่อทรงดำริดังนั้นจึงตรัสว่า

“ ดูก่อนท่านทั้งเจ็ด ในเมื่อองค์เหนือหัวมัททะทรงมอบหมายให้เราเป็นผู้ตัดสินความผิดพวกท่าน ฉะนั้นเราจักขอตัดสินพวกท่านดังนี้ เนื่องจากพระราชาแคว้นมัททะทรงมีพระราชธิดาซึ่งทรงพระรูปโฉมอยู่ถึง ๗ นาง แลแต่ละนางก็ยังไม่ทรงมีคู่หมั่นหมาย การมาของพวกท่านเบื้องแรกถือเป็นโทษ แต่บัดนี้ถือว่าเป็นคุณ เพราะแคว้นมัททะและแคว้นพวกท่านจักได้สร้างสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน พระราชาธิบดีมัททราชทรงมีพระประสงค์จักทรงขอเป็นทองแผ่นเดียวกับพวกท่านโดยจักทรงยกพระธิดาทั้ง ๗ ให้เป็นมเหสีงพวกท่าน ไม่ทราบพวกท่านมีความเห็นเช่นไร? ”

กษัตริย์ทั้งเจ็ดคราแรกต่างก็พากันหมดอาลัยตายอยากแล้ว คิดว่าพวกตนคงมิมีโอกาสอยู่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้แน่ แต่พอฟังคำตัดสินของพระมหาสัตว์ก็เหมือนหนึ่งว่ามัจฉาที่ถูกจับขึ้นบก แล้วจู่ๆก็ถูกจับโยนลงไปในน้ำใหม่อีกครั้ง มันช่างเป็นเรื่องที่ยากจักเชื่อจริงๆ! ต่างพากันถวายบังคมขอบพระทัยพระมหาสัตว์กันเป็นการใหญ่

หลังจากทรงจัดการเรื่องราวต่างๆในแคว้นมัททะเสร็จสิ้น ถัดจากนั้นไม่กี่วันพระมหาสัตว์ก็ทรงขอพระราช อนุญาตราชามัททะพาพระชายาประภาวดีเสด็จกลับแคว้นมัลละ

ขณะที่ทั้งสองประทับนั่งในราชรถพระฉวีวรรณและพระรูปโฉมของจอมกษัตริย์ที่ทรงเปลี่ยนไป ทำให้พระองค์ทรงดูงามสง่าทัดเทียมกันกับพระชายาจนแทบจักกล่าวได้ว่ามิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันและกันเลย

ด้านมเหสีสีลวดีพอทรงทราบข่าวการเสด็จกลับของราชบุตรพระนางก็ทรงให้ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับสั่งให้ทหารออกไปป่าวประกาศถึงข่าวมงคลนี้ให้กับประชาชนทั้งหลายได้รับทราบโดยทั่วกัน พร้อมกันนั้นก็ทรงให้ชาวเมืองประดับประดาบ้านเรือนตนให้เป็นที่สวยงาม จากนั้นจึงทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ทหารนำเครื่องบรรณาการเป็นจำนวนมากตามเสด็จพระนางแลพระชยัมบดี ออกไปต้อนรับพระมหาสัตว์ถึงยังนอกพระนคร

เมื่อขบวนเสด็จผ่านกำแพงเมืองเข้ามาพระมหาสัตว์ได้ทรงสั่งให้กระทำประทักษิณพระนคร จากนั้นตรัสให้มีการเฉลิมฉลองการละเล่นมหรสพสมโภชเป็นเวลา ๗วัน ๗ คืนในกาลนั้นพระเจ้ากุสราชและพระนางประภาวดีต่างก็ทรงสมัครสมานสามัคคีรักใคร่กัน ทรงช่วยกันปกครองพระราชอาณาจักรกรุงกุสาวดีให้เจริญรุ่งเรืองสืบมา ตลอดพระชนมายุของทั้ง ๒ พระองค์…

ครั้นพระศาสดาตรัสชาดกเรื่องนี้จบภิกษุผู้เบื่อหน่ายในธรรมก็บรรลุโสดาปัตติผล กลายเป็นพระอริยบุคคลในสายของวันนั้นเอง.

หมายเหตุ :

พระเจ้าโอกกากราชในกาลนั้น ก็คือ พระเจ้าสุทโทธนะ
พระมเหสีสีลวดีในกาลนั้น ก็คือ พระนางศิริมหามายา
ชยัมบดีราชกุมารในกาลนั้น ก็คือ พระอานนท์
นางค่อมในกาลนั้น ก็คือ นางขุชชุตตราอุบาสิกา
พระนางประภาวดี ก็คือ พระนางยโสธรามารดาของพระราหุล
พระเจ้ากุสราชในกาลนั้น ก็คือ พระบรมศาสดา
ที่มาของเรื่อง .. อรรถกถา กุสชาดก ว่าด้วยพระเจ้ากุสราชลุ่มหลงรูปโฉมของนางประภาวดี ....

ด้วยความปรารถนาดี

สืบ ธรรมไทย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร