วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2015, 14:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่อุดม ญาณรโต

วัดป่าสถิตย์ธรรมวนาราม
บ้านหนองผักแว่น ต.ศรีชมภู อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ

ชาติกำเนิด
หลวงปู่อุดม ญาณรโต ท่านเกิดในตระกูลชาวนา บิดาและมารดาท่านเป็นชาวนา หาปูหาปลากินตามธรรมชาติ ท่านเกิดเมื่อประมาณวันที่เท่าไรท่านก็ไม่สามารถบอกได้ ท่านเล่าว่าคนสมัยก่อนไม่ค่อยจำกัน ท่านบอกได้แต่ปีที่เกิด และเดือนที่ท่านเกิดคือ ประมาณวันอังคารที่ ๒ เดือนพฤษภาคม ปีขาล พ.ศ.๒๔๖๙ อยู่ในสกุล เชื้อขาวพิมพ์ ลักษณะรูปร่างของท่าน สันทัด สีผิวดำแดง โดยมีโยมบิดาชื่อ นายแว่น เชื้อขาวพิมพ์ และมารดาชื่อนางบับ เชื้อขาวพิมพ์ มีพี่น้องร่วมสายเลือดทั้งหมด ๔ คน รวมหลวงปู่ คือ

๑. นางสม เชื้อขาวพิมพ์ (เสียชีวิตแล้ว)
๒. หลวงปู่อุดม ญาณรโต
๓. นายพรหมา เชื้อขาวพิมพ์
๔. นางลับ เชื้อขาวพิมพ์

ชีวิตวัยเยาว์
ชีวิตในสมัยเด็ก ท่านก็เหมือนเด็กชาวนาทั่วไป บิดามารดาทำนา ท่านก็ไปช่วยทำนา หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ท่านชอบในเพศบรรพชิตมาก ท่านเห็นพระภิกษุสงฆ์เดินผ่านมา ท่านก็เกิดความเลื่อมใสขึ้นมาเอง ตั้งแต่วัยเด็ก นี่ก็เนื่องมาจากโยมบิดาและมารดาของท่านได้พาปฏิบัติศาสนกิจต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ในพุทธศาสนา เช่น ครูบาอาจารย์ในสมัยท่านพระอาจารย์มั่น บิดามารดาท่านมักพาไปปฏิบัติศาสนกิจมาด้วยโดยตลอด เช่น หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน หลวงปู่มหาปิ่น ซึ่งเป็นน้องชายของหลวงปู่สิงห์ เป็นต้น ท่านเล่าว่าโยมบิดาท่านเคยได้บวชเณรอยู่ และสึกออกมามีครอบครัว ส่วนมารดาของท่านก็เข้าวัดทำบุญอยู่เป็นปกตินิสัย จึงทำให้ท่านมีความสนิทสนม และใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนามาโดยตลอดนั่นเอง

บรรพชา
เนื่องจากในวัยเด็ก ท่านเห็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว เกิดความปีติเลื่อมใสในสมณะสงฆ์ (มีความสุขเมื่อได้เห็นพระสงฆ์) ท่านคงมีความคิดที่อยากออกบวชอยู่ภายในใจมาโดยตลอด จากนั้นเมื่อท่านเริ่มโตเป็นหนุ่มท่านเคยได้อ่านหนังสือสวดมนต์และปฏิบัติสมาธิภาวนา ของหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม และพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล ซึ่งทำให้ท่านจับจิตจับใจ มีจิตใจเข็มแข็งเด็ดเดี่ยว และมั่นใจในการที่จะได้บวชถือคลองเพศสมณะ ท่านได้ช่วยบิดามารดาทำนา หาปูหาปลา ตามประสาชาวโลก ท่านเล่าว่าปูปลาสมัยก่อนหาง่ายมาก ตัวก็ใหญ่โตทั้งนั้น ท่านเคยดำน้ำเพื่อหาปลา น้ำลึกมากๆ หลายเมตรอยู่ ทำให้ท่านเลือดไหลออกมาจากหู (หูหนวก) ท่านมีอาการหูหนวกอยู่แรมเดื่อนกว่าจึงจะหายเหมือนเดิม ท่านบอกว่าชีวิตฆราวาสนั้นเป็นทุกข์ ต้องทำบาป สร้างกรรมเวรอยู่โดยตลอด จนในที่สุดเมื่อท่านมีอายุครบ ๒๓ ปี ท่านจึงได้ขอบิดามารดาของท่าน เข้าบรรพชาอุปสมบท ในวันที่ ๒๒ เมษายน ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส มรณภาพนั่นเอง โดยมีพระอุปัชฌาย์คือ พระครูอรุณสังฆกิจ (มหาเถื่อน อุชุกโร) วัดกุดเรือคำ ต.กุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร และพระครูพิพิธธรรมสุนทร (หลวงปู่คำฟอง เขมจาโร) วัดสำราญนิวาส อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และได้ฉายาทางภิกษุว่า ญาณรโต (ซึ่งแปลว่าผู้ทรงไว้ซึ่งญาณ) และในปีนั้นนั่นเอง ท่านได้เดินทางไปร่วมพิธีเผาศพหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร พร้อมทั้งพระอุปัชฌาย์ และพระกรรมวาจาจารย์ของท่านทั้งสองด้วย ท่านบอกว่างานศพหลวงปู่มั่นใหญ่โตมาก มีพระกรรมฐานมากมายเต็มไปหมด โดยสมัยก่อนวัดป่าสุทธาวาสยังคงมีสภาพเป็นป่าดงพงไพรอยู่ มีต้นไม้ใหญ่มากมายไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่เต็มไปด้วยหมู่บ้านเต็มไปหมด

(ข้อมูลตามพรรษานี้ เป็นข้อมูลที่อัด และทอดเทปจากการสนทนาถาม-ตอบกับหลวงปู่อุดม ญาณรโต เมื่อท่านอายุ ๘๒ ปี)

พรรษาที่ ๑-๒ (พ.ศ.๒๔๙๒-๒๔๙๓)
ท่านอยู่กับพระอุปัชฌาย์ พระครูอรุณสังฆกิจ (มหาเถื่อน อุชุกโร) ที่วัดกุดเรือคำ ต.กุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๓-๕ (พ.ศ.๒๔๙๔-๒๔๙๗)
ท่านเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆและกลับมาอยู่ที่วัดภูข้าวหลวง อ.สหัสขัน จ.กาฬสินธุ์

พรรษาที่ ๗-๑๕ (พ.ศ.๒๔๙๘-๒๕๐๖)
วัดบ้านนาโสก อ.นาแก ต.บ้านแก้ง จ.นครพนม ซึ่งเป็นบ้านญาติของท่านและเป็นบ้านเกิดของท่านเองต่อจากนั้นท่านได้ไปพักอาศัยอยู่กับ หลวงปู่ลี ฐิตธัมโม ตอนนั้นหลวงปู่ลี ท่านอยู่วัดศรีชมพู ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๒๐ (พ.ศ.๒๕๐๗-๒๕๑๕)
ท่านธุดงค์ไปอยู่ทางภาคเหนือบ้าง เช่น สุโขทัย แพร่ น่าน ลำปาง อุตรดิตถ์ พิจิตร เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เรื่อยมา โดยท่านได้ไปพบกับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ หลวงปูตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอาจารย์ตื้อ จ.เชียงใหม่, หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่, หลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย จ.ลำปาง, หลวงปู่หลวง กตปุญโญ วัดคีรีสุบรรพต ต.พระบาท จ.ลำปาง โดยช่วงระยะเวลาที่ธุดงค์ในแถบภาคเหนือตั้งแต่จังหวัดเพชรบูรณ์นั้น ท่านมีสหธรรมมิกที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน คือ หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล วัดอนาลโย จ.พะเยา และหลังจากที่ท่านไปธุดงค์ที่เชียงใหม่กลับมาท่านจึงได้มาอยู่ที่วัดป่าสถิตธรรมวนาราม ต.ศรีชมพู อ.พรเจริญ จ.หนองคาย จนกาละสมัยปัจจุบันนี้ (นี้เป็นเพียงประวัติย่อๆ เท่านั้นส่วนรายละเอียดปีกย่อยสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ประวัติหลวงปู่ลี ฐิตธัมโม)

ครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่ได้ไปพำนักอาศัย และฟังธรรม

ครูบาอาจารย์ เท่าที่หลวงปู่จำได้และเล่าให้กระผมได้ฟังมานั้น ในอดีตที่ผ่านมาแล้วทั้งหลาย ในบางคราวท่านก็อาจจะลืมไปบ้าง ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ได้ ก็อาจจะไม่ละเอียดมากนัก เพราะองค์หลวงปู่เอง ท่านเป็นพระเถระผู้พูดน้อยมาก เป็นจริตนิสัยอยู่แล้ว ส่วนตัวข้าพเจ้าจะก็ต้องพยายามสอบถามท่าน เท่าที่ท่านท่านพอจะจำได้นั้น มีก็ดังนี้ต่อไปนี้ครับ

๑. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

๒. หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

๓. หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

๔. หลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

๕. หลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก อ.เมือง จ.สุรินทร์

๖. หลวงปู่ลี ฐิตธัมโม วัดเหวลึก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

๗. พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่แดง ธมฺมรกฺขิโต) วัดป่าประชานิยม อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์

๘. หลวงปู่เอี่ยม วัดภูข้าวหลวง อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์

การเดินธุดงค์
ท่านเล่าว่าตั้งแต่โยมบิดาของท่านเสียชีวิตด้วยโรคชรา ตอนอายุ ได้ ๗๓ ปี ก่อนท่านออกเดินธุดงค์ และมารดาท่านก็มาเสียชีวิตด้วยโรคชราเช่นกัน เมื่อตอนอายุได้ ๗๙ ปี หลังจากที่ท่านธุดงค์กลับมาจากจ.เชียงใหม่ ท่านเล่าว่าตอนที่ท่านได้ไปพำนักอยู่เพื่อฟังธรรมกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋งนั้น ท่านเกิดความประทับใจมาก หลวงปู่แหวนท่านเทศแบบง่ายๆ สั้นๆ แต่มีคุณภาพมากๆ คำพูดของท่านลึกซึ้งกว้างขวางมากนัก น่าเลื่อมใสมากๆ ซึ่งในเวลานั้นหลวงปู่ลี วัดเหวลึก ท่านก็ได้ไปร่วมฟังธรรมกับหลวงปู่แหวน และกับองค์ท่านด้วย ท่านอยู่ฟังธรรมกันประมาณ ๒-๓ คืน

จากนั้นท่านได้เดินทางไปจังหวัดลำปาง และเพชรบูรณ์ โดยเดินเท้าไป บางทีฆราวาสเห็นก็อาสาพาไปส่งบ้าง ท่านใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑ เดือนเศษ โดยท่านเดินทางผ่านจังหวัด สุโขทัย แพร่ น่าน ลำปาง อุตรดิถต์ พิจิตร และเพชรบูรณ์ และใช้เวลาเดินทางจากเพชรบูรณ์ไปเชียงใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณอีก ๒ เดือน ท่านเล่าว่าตอนเดินทางผ่าน จ.สุโขทัย ได้พบฆราวาสที่กินเจ คนแถวนั้นมักใส่ขนมปัง และน้ำตาลอ้อย โดยบางครั้งเขาจะนำขนมกับข้าวสุกใส่ให้เต็มบาตรเลย ไม่มีกับข้าวคาวเลย ท่านฉันทีแรกๆก็อร่อยดี แต่หลายวันเข้ามันชักไม่อร่อย โดยในตอนนั้นท่านได้เดินทางด้วยเท้าธุดงค์ร่วมกับพระอาจารย์ไพบูรณ์ สุมังคโล วัดอนาลโย จ.พะเยา ซึ่งท่านทั้งสอง สนิทสนมและคุ้นเคยกันอยู่เป็นอย่างดี

การปฏิบัติธรรม
โดยปกติหลวงปู่อุดมท่านชอบเดินจงกรม และนั่งสมาธิภาวนาเพื่อปฏิบัติทางจิตของท่านอยู่โดยตลอด ท่านบอกว่า หากวันไหนไม่ได้เดินจงกรมแล้วล่ะก็ เดือดร้อนไม่ได้เลยนะ จิตจะเศร้าหมองทันที สมัยที่ท่านอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านปฏิบัติธรรมอยู่นั้น จิตของท่านเกิดความสว่าง มีความสุขมาก จิตตกถึงฐานของจิต เข้าสู่พื้นเดิม ท่านเปรียบเหมือนการสักผ้า ถ้าผ้ามันลาย พื้นเดิมของจิตมันก็ลาย ถ้าผ้ามันดำ จิตพื้นเดิมมันก็ดำ (สำนวนของหลวงปู่อุดม) ท่านบอกว่ามันถึงฐานของมัน มีความสุขมากไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่า มันมีความปีติ อิ่มอกอิ่มใจมาก ท่านจึงเอาตรงนี้มาเป็นอารมณ์ และค้นหาเข้าไปในจิตต่อจนถึงที่สุดของใจ ท่านเล่าว่ามันมีปัญญามากมายหลายอย่างเกิดขึ้นมา ท่านบอกว่าท่าน อดนอน อดอาหารเพื่อทำความเพียรภาวนา อยู่ ๕ วัน ๕ คืน ท่านบอกว่า อดนอนนี่ทุกข์ยิ่งกว่าอดอาหารอีก แต่เพราะว่ามีปีติอยู่ ท่านจึงสามารถทำได้ ภายหลังจากวันที่ ๕ วันผ่านไป จิตของท่าน ก็เบาสบาย ได้กำลังใจ และส่วนกำลังกาย ก็ยังแข็งแรงดีอยู่ เวลาธรรมเกิดขึ้นมา ๑๐๐ % ท่านนั่งสมาธิไปได้จนถึงแจ้งเลย (เช้าเลย) การปฏิบัติของท่านในเวลา ๖ โมงเย็น จนถึง ๕ ทุ่ม ท่านมักจะเดินจงกรม และในเวลา ๕ ทุ่มขึ้นไป ท่านจะนั่งสมาธิภาวนาไปเลื่อยจนบางทีถึงสว่างก็มี ในคราวที่ใจของท่านรวมลงจนถึงสภาวะเดิมของจิต ท่านเล่าว่ามีความสุขมากๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นนั้น เหมือนกับอยู่ตรงหน้า สามารถยื่นมือแทบจะจับได้ต่อหน้าต่อตานี้เลยทีเดียว จิตมันไม่ท้อไม่ถอย กระจ่างหมดทุกอย่าง มันหาใจ แก้ใจตัวเองได้หมดทุกอย่าง ในเวลาฟังธรรมพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เพียงนิดหน่อยเท่านั้น จิตท่านก็สว่างโพรงเลย ท่านบอกว่าจิตท่านเห็นธรรมที่วัดป่าอาจารย์ตื้อ จ.เชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นท่านพำนักอาศัยอยู่กับ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมนั่นเอง ท่านยังเล่าต่ออีกว่า หลวงปู่ตื้อนั้น ท่านจะเป็นพระที่เทศตรงไปตรงมามาก จนในบางครั้งดูแล้วอาจจะไม่ไพเราะ แต่ท่านก็บอกว่า ผู้มีปัญญาก็ต้องเลือกฟังให้ถูกกับจิตของตนเอง อันไหนดีก็นำมาปฏิบัติให้ถูกกับจิตของตน ในยามที่ท่านเข้าไปนวดแขน นวดขาให้กับหลวงปู่ตื้อนั้น หลวงปู่ตื้อท่านจะเทศให้หลวงปู่อุดมฟัง หลวงปู่อุดมท่านเล่าว่าจับจิตจับใจมากเลยทีเดียว ทำให้เกิดความเลื่อมใสในองค์ของหลวงปู่ตื้อมากมายยิ่งขึ้นเลยทีเดียว องค์หลวงปู่ตื้อนั้น ท่านขุดดิน ฟันต้นไม้ ต้นกล้วยได้ ซึ่งจริงๆ แล้วสำหรับพระต้องปรับเป็นอาบัติ ส่วนองค์หลวงปู่ตื้อนั้นท่านคงอยู่เหนือสมมุตไปแล้ว เพราะในคราหนึ่งหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง ท่านห้ามหลวงปู่ตื้อไม่ให้ทำเช่นนี้ แต่หลวงปู่ตื้อกลับหันมากล่าวกับหลวงปู่แหวนว่า ไม่ต้องมาสอนเฮาหรอกน่า เราพ้นแล้ว (จิตของหลวงปู่ตื้อท่านหลุดพ้นไปแล้วนั่นเอง)



มีต่อ <<<<


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร