วันเวลาปัจจุบัน 17 พ.ย. 2025, 10:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2025, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 8035

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เบื้องหลังการทรงปลงอายุสังขาร
ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต

วันนี้ขอพูดถึงข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของพระพุทธองค์ ๒ เรื่อง

คือ เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธประสงค์ไปดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา
กับเรื่องเกี่ยวกับผลกรรมในอดีตของพระพุทธองค์

ขอว่าตามลำดับ (ถ้าไม่จบก็ขอต่อในตอนหน้า)

๑. เรื่องที่หนึ่ง เบื้องหลังพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร (คือตัดสินพระทัยเสด็จดับขันธปรินิพพาน) ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี แล้วพระพุทธองค์ตรัสเรียกประชุมสงฆ์ ณ อุปัฏฐานศาลา (โรงธรรม) ตรัสสอนให้หมั่นเจริญธรรมที่จะทำให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่ได้นาน อันได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๔ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘

ธรรมะเหล่านี้เนื้อหาว่าอย่างไรบ้าง อยากทราบให้เปิดพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ดูก็แล้วกัน

รุ่งเช้า พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี มีพระอานนท์พุทธอนุชาตามเสด็จ ขณะเสด็จออกจากเมืองไพศาลีทรงยืนเอี้ยวพระศอหันไปทอดพระเนตรเมืองไพศาลี ตรัสกับพระอานนท์ว่า การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

ชาวพุทธเรียกอาการทอดพระเนตรนี้ว่า นาคาวโลก (การเหลียวดูแบบพญาช้าง, การมองอย่างช้างเหลียวหลัง) ต่อมาชาวพุทธได้สร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นอนุสรณ์ขึ้นชื่อว่า พระพุทธรูปปางนาคาวโลก จากนั้นก็เสด็จไปยังภัณฑุคาม อัมพคาม ชัมพุคาม และโภคนคร ตามลำดับ

จากโภคนครก็เสด็จต่อไปยังเมืองปาวา เสวยสูกรมัททวะของนายจุนทะแล้วพระอาการประชวรกำเริบ ทรงข่มทุกขเวทนาไว้ เสด็จต่อไปยังเมืองกุสินารา อันเป็นสถานที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน

พระอานนท์ซึ่งตามเสด็จพระพุทธองค์ตลอดทาง ได้กราบทูลให้พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองใหญ่อื่นๆ เช่น เมืองราชคฤห์ เมืองโกสัมพี เมืองสาวัตถี

แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า พระองค์มีพุทธประสงค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินาราเป็นการเฉพาะ

เมื่อกราบทูลถามเหตุผล เหตุผลที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ ฟังดูไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง อาจจะมีเหตุผลอื่นลึกๆ อยู่ในคำตอบนั้นก็ได้

คือพระองค์ตรัสว่า ที่ไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา เพราะเมืองกุสินาราในอดีตกาลยาวนานโพ้นเป็นเมืองใหญ่

อานนท์ เธออย่ากลัวอย่างนี้ว่ากุสินาราเป็นเมืองเล็กเมืองดอน เมืองกิ่ง

แต่ปางก่อนพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า มหาสุทัสสนะ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม

เมืองกุสินารานี้มีนามว่า กุสาวดี เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ มีความยาวด้านบูรพาและประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้างด้านทักษิณและอุดร ๗ โยชน์

กุสาวดีเป็นราชธานีที่มั่งคั่ง มีผู้คนแน่นหนา มีภักษาหาได้ง่าย

สรุปแล้วเหตุผลที่ทรงมุ่งมั่นจะไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารานี้ให้ได้เพราะเมืองนี้ในอดีตเป็นเมืองใหญ่เป็นที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดิ

ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง ถ้าเอาความยิ่งใหญ่ในอดีตตัดสิน เมืองอื่นๆ ในอดีตก็คงจะใหญ่เหมือนกัน และบางเมืองยิ่งใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบันมายาวนาน เช่นเมืองพาราณสีก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ หรือถ้าเห็นว่าเมืองพาราณสีเป็นฐานที่มั่นของพราหมณ์ เมืองอย่างเมืองไพศาลีก็ยิ่งใหญ่มายาวนาน และเหมาะที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้


รูปภาพ
เมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร
คือตัดสินพระทัยจะเสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินาราแล้ว
รุ่งเช้า พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี
มีพระอานนท์พุทธอนุชาตามเสด็จ ขณะเสด็จออกจากเมืองไพศาลี
ทรงยืนเอี้ยวพระศอหันไปทอดพระเนตรเมืองไพศาลี
ตรัสกับพระอานนท์ว่า การเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2025, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 8035

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ผมก็คิดเล่นๆ (อย่าซีเรียสนะครับ) ว่าพระพุทธองค์ทรงมีพุทธประสงค์อย่างอื่นที่มุ่งหน้าไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราแน่นอน ที่ตรัสบอกพระอานนท์ว่า เมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองใหญ่ในอดีตก็เพื่อจะปลอบพระอานนท์ ที่อยากให้พระองค์ไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ๆ ไม่ควรปรินิพพานที่เมืองเล็กเช่นเมืองกุสินารา

พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าน้อยใจเลยว่าพระองค์ปรินิพพานในเมืองเล็ก ไม่สมพระเกียรติ กุสินาราถึงจะเล็กในปัจจุบัน ในอดีตก็เป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน

เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเป็นดังนี้

๑. เพื่อทรงสงเคราะห์พระประยุรญาติที่เมืองกุสินารา ในพุทธประวัติไม่บอกชัดดอกว่าเมืองกุสินาราเป็นพระญาติวงศ์ของพระพุทธองค์ แต่ผู้รู้หลายท่านแสดงความเห็นว่า พวกมัลลกษัตริย์น่าเป็นเผ่าศากยะหรือสืบมาจากเผ่าศากยะ เพราะมีระบบการปกครองและจารีตประเพณีเหมือนๆ กับพวกศากยะ

ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง ก็ไม่แปลกที่พระพุทธองค์จะ “ต้อง” เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองของพวกเขา เพื่อทรงสงเคราะห์พวกเขาในวาระสุดท้ายของพระพุทธองค์

ในพุทธจริยา ๓ ประการนั้น จริยาทั้ง ๒ คือ โลกกัตถจริยา (ทำประโยชน์แก่ชาวโลก) พุทธัตถจริยา (ทำประโยชน์ในฐานะทรงเป็นพระพุทธเจ้า) พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมาสมบูรณ์แล้ว แต่ญาตัตถจริยา (ทรงสงเคราะห์ญาติ) ยังไม่สมบูรณ์จนกว่าจะเสด็จไปโปรดพระญาติเมืองกุสินารา

การเสด็จไปดับขันธปรินิพพานที่เมืองกุสินารา จึงเป็นการสงเคราะห์ประยุรญาติของพระพุทธองค์นั้นเอง พระญาติฝ่ายศากยวงศ์และโลกิยวงศ์ พระองค์ก็ทรงสงเคราะห์มาหมดแล้ว ยังเหลือแต่พระญาติที่เมืองกุสินารา ซึ่งจะต้องทรงสงเคราะห์เป็นครั้งสุดท้าย

เหล่ามัลลกษัตริย์จะได้มีโอกาสถวายพุทธบูชา ด้วยการจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ และได้ทำบุญกิริยาอย่างอื่น เช่น ถวายทานแก่พระสงฆ์จำนวนมากที่หลั่งไหลมาในงานนี้

เมืองเล็กๆ แต่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระย่อมมีความสำคัญ และเป็นที่เกรงขามของเมืองใหญ่ๆ ไม่บันเบา

เพราะต่างก็รู้ว่า กุสินารา เป็นเมืองที่พระพุทธองค์ทรงเลือกแล้ว

๒. อีกเหตุผลหนึ่ง ถ้าพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในเมืองใหญ่ เช่น เมืองราชคฤห์ เมืองสาวัตถี กษัตริย์เมืองใหญ่นั้นๆ จะต้องถือสิทธิ์เป็นเจ้าของพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์เพียงผู้เดียว เมืองอื่นที่เคารพนับถือพระพุทธองค์ หรือที่เป็นพระประยุรญาติของพระองค์คงไม่มีโอกาสได้ส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปบูชาแน่นอน

แต่เมื่อพระองค์ไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา ซึ่งเป็นเมืองเล็กโอกาสที่พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จะได้รับการแจกแบ่งไปยังเมืองต่างๆ เพื่อสักการบูชาย่อมมีความเป็นไปได้มาก และเป็นไปได้ง่าย

เพราะเมืองเล็กย่อมไม่สามารถขัดขืน หรือหวงพระบรมสารีริกธาตุไว้สำหรับตนแต่ฝ่ายเดียว


การเสด็จไปปรินิพพานที่เมืองกุสินารา จึงไม่เป็นเพียงเพื่อสงเคราะห์เหล่ามัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราเท่านั้น ยังได้สงเคราะห์เมืองใหญ่น้อยอื่นๆ อีกด้วย ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็ขอยืมพังเพยไทยมาพูดว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนั้นแล

ข้อสังเกตของผมฟังได้ไหมครับ ฟังไม่ได้ก็ไม่ต้องฟัง ลืมๆ ไปเสีย ส่วนประเด็นที่สองเอาไว้พูดถึงคราวหน้าก็แล้วกัน


รูปภาพ

:b8: :b8: :b8: ที่มา : หนังสือ บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์
ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต หน้า ๑๔-๑๗


:b50: :b49: รวมคำสอน “อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38913

:b50: :b49: ประวัติและผลงาน “อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44336

:b47: สถานที่ทรงกระทำนิมิตโอภาส ๑๖ ตำบลให้พระอานนท์ทราบ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=87&t=65950

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2025, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 8035

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระยาสวัสสวดีมารทูลอาราธนาให้เสด็จดับขันธปรินิพพาน
:b44: :b47: :b44:

พระพุทธองค์ไม่ต่อพระชนมายุ
ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต

ในแวดวงพระพุทธศาสนา มีพิธีกรรมบางอย่างเกี่ยวกับความตายและการชะลอความตาย ที่ถือปฏิบัติสืบมาเป็นประเพณี พิธีกรรมอย่างแรกเป็นที่รู้จักกันทั่วไป

แต่อย่างหลัง (การต่ออายุ) เด็กๆ สมัยนี้อาจไม่เคยเห็น โบราณท่านทำกันนะครับ

จำได้ว่าสมัยผมเป็นเด็ก ตาผมป่วยหนัก ญาติๆ ไปนิมนต์พระมา ต่ออายุให้คุณตา (พี่สาวผมบอกอย่างนั้น) พระท่านก็มาสวดอะไรบ้าง ตอนนั้นยังเด็กอยู่ ไม่รู้เรื่อง มาทราบภายหลังว่าท่านมาสวดโพชฌงคปริตร แล้วก็จบพิธีด้วยการสวดบังสุกุลเป็น

มีประวัติความเป็นมาว่า สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระโมคคัลลานะอาพาธหนัก จึงเสด็จไปทรงแสดงโพชฌงค์ให้ท่านฟัง ท่านหายอาพาธ

อีกคราวหนึ่งพระมหากัสสปะอาพาธหนัก ก็เสด็จไปทรงแสดงโพชฌงค์ให้ฟัง ท่านมหากัสสปะก็หายอาพาธ

ต่อมาถึงคราวพระพุทธองค์ทรงประชวรหนักบ้าง ทรงรับสั่งให้พระจุนทะสวดโพชฌงค์ให้ฟัง พระพุทธองค์ก็ทรงหายประชวรเช่นเดียวกัน

เพราะเรื่องราวดังนี้และมีความมั่นเช่นนี้ จึงเกิดประเพณีต่ออายุขึ้นในหมู่ชาวพุทธ ถ้าใครป่วยหนักทำท่าจะไปมิไปแหล่ ญาติพี่น้องก็จะนิมนต์พระไปสวดโพชฌงคปริตรให้ฟัง เป็นการยืดอายุออกไปอีก

โพชฌงคปริตร ว่าด้วยโพชฌงค์ (ธรรมะที่เป็นองค์ประกอบแห่งการตรัสรู้, ธรรมะที่ทำให้ตรัสรู้) ๗ ประการคือ สติ ธัมมวิจยะ (การวิจัยธรรม) วิริยะ (ความเพียร) ปีติ (ความปลื้มใจ) ปัสสัทธิ (ความสงบกาย) สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น) อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง)

ถามว่าทำไมพระพุทธองค์และพระสาวกเมื่อฟังสวดโพชฌงค์จึงหายประชวรและหายไข้ ตอบได้ว่า มิใช่เพราะความขลังของบทสวด หากเป็นเพราะฟังเข้าใจและพิจารณาไปตามธรรมที่สวดให้ฟังนั้น เริ่มตั้งแต่การตั้งสติ ระลึกรู้เท่าทันปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งมีอุเบกขา วางเฉย วางใจเป็นกลางอย่างรู้เท่าทัน อาการที่เกิดขึ้นและเป็นไป จิตมีอิสระไม่ถูกทุกขเวทนาครอบงำ

ด้วยวิธีการเช่นนี้อาพาธที่มีอยู่ ทุกขเวทนาที่ประสบอยู่ก็ทุเลาจนหายไปได้ เมื่อกายเจ็บแต่ใจไม่เจ็บด้วย มันจะทนเจ็บไปได้สักกี่น้ำ

ดุจเดียวกับนักมวยสวมนวมขึ้นชกบนเวที เต้นเหยงๆ รอคู่ต่อสู้ขึ้นมาชก คู่ต่อสู้ไม่ขึ้นมาชกด้วย ในที่สุดก็ต้องลงเวทีไป คงไม่มีนักมวยคนไหนที่ชกลมวืดวาดๆ เป็นชั่วโมงบนเวทีนั้นดอกครับ

ในพุทธประวัติมีเหตุการณ์ตอนหนึ่งว่า พระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร (กำหนดพระทัยจะปรินิพพาน) ทันทีที่ทรงปลงอายุสังขาร แผ่นดินก็ไหว จนกระทั่งพระอานนท์ประหลาดใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเข้าเฝ้าทูลถาม (๑) ไหวเพราะลม (๒) ไหวเพราะผู้มีฤทธิ์บันดาล (๓) ไหวเพราะพระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิ (๔) ไหวเพราะพระโพธิสัตว์ประสูติ (๕) ไหวเพราะพระโพธิสัตว์ตรัสรู้ (๖) ไหวเพราะพระพุทธเจ้าหมุนกงล้อคือพระธรรม (แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) (๗) ไหวเพราะพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร (๘) ไหวเพราะพระพุทธเจ้าปรินิพพาน

พระอานนท์รู้ทันทีว่าพระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงยืดพระชนมายุไปอีกสักระยะหนึ่งพูดง่ายๆ ว่า ขอให้ทรงต่ออายุ

พระพุทธองค์ตรัสว่า สายเสียแล้ว เราตถาคตเคยทำนิมิตโอภาส (บอกใบ้) ให้เธอขอตั้งหลายครั้ง (๑๖ ครั้งแน่ะครับ) เธอก็ไม่เห็นขอ ตอนนี้เราตถาคตรับคำเชิญของมารแล้ว จะปรินิพพานในอีกสามเดือนข้างหน้า เรื่องราวดังที่ทราบกันดีแล้วนะครับ

ถ้ายังไม่ทราบ อะแฮ้ม ให้ไปหาหนังสือ วาระสุดท้ายของพระพุทธองค์ ของสำนักพิมพ์มติชน (เจ้าเก่า) มาอ่านเทอญ

ที่จะยกมาพูดกันในวันนี้ก็คือ ถ้าพระพุทธองค์จะทรงต่อพระชมมายุออกไปอีกจะต่อได้จริงหรือ ต่อได้ด้วยวิธีใด การฟังสวดโพชฌงค์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เพียงทำให้หายอาพาธชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่ถ้าจะต่อออกไปยาวๆ เป็นสิบๆ ปีนั้น จะทำได้โดยวิธีใด

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2025, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 8035

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


มีพุทธวจนะตรัสกับพระอานนท์ดังนี้ครับ

“ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดเจริญอิทธิบาท ๔ แล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดุจยาน กระทำให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว อบรมดีแล้ว ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นเมื่อจำนงอยู่ จะพึงดำรงอยู่ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป เราตถาคตก็เจริญอิทธิบาทแล้ว…ถ้าตถาคตปรารถนาจะดำรงอยู่ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัปก็ย่อมทำได้”

ความหมายก็คือ ใครที่บำเพ็ญอิทธิบาท ๔ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ได้เต็มที่บริบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์พันเปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าต้องการจะต่ออายุออกไปอีก หนึ่งกัป หรือ เกินกว่าหนึ่งกัป ก็ย่อมทำได้ ไม่เฉพาะแต่พระพุทธองค์ คนอื่นก็ทำได้

คำว่า กัป ในที่นี้เป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้ในกรณีนี้เท่านั้น หมายถึงระยะเวลาประมาณ ๑๐ ปี เกินกว่าหนึ่งกัป ก็คือเกินไปอีก ๑๐ ปี (รวมเป็น ๒๐ ปี)

ในกรณีของพระพุทธองค์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ถ้าพระองค์ทรงต่ออายุออกไปอีก ๑๐ หรือ ๒๐ ปี ก็จะเป็น ๙๐ พรรษา หรือ ๑๐๐ พรรษา อันเป็นอายุขัยของมนุษย์ทั้งหลายพอดิบพอดี

หรือในอีกความหมายหนึ่ง กัป หมายถึง อายุกัป หรือ อายุขัยของมนุษย์ อายุขัยของมนุษย์ในยุคนี้คือ ๑๐๐ ปี ถ้าผู้เจริญอิทธิบาทเต็มที่แล้วปรารถนาจะมีอายุกัปหนึ่ง (คือมีอายุ ๑๐๐ ปี) ก็ย่อมได้ หรือปรารถนาจะมีอายุเกินกว่ากัปหนึ่ง (คือเกินหนึ่งร้อย เป็น ๑๒๐ ปี) ก็ย่อมกระทำได้

พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า อิทธิบาทที่เจริญเต็มที่แล้วสามารถยืดอายุคนให้มีอายุถึง ๑๐๐ หรือ ๑๒๐ ปีได้ แต่ไม่ทรงอธิบายไว้ว่ายืดได้อย่างไร หาคำอธิบายจากเกจิอาจารย์ (หมายถึงอาจารย์สอนพระศาสนาผู้เป็นออธอริตี้นะครับ ไม่ใช่อาจารย์ขลังแจกเหรียญแจกพระ) ก็ยังหาไม่ได้ จึงขอเดาตามประสาคนรู้น้อยไปก่อน ได้ทราบว่าพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เคยแสดงธรรมแก่ผู้เกษียณอายุราชการ ท่านว่า อิทธิบาทสี่ทำให้อายุยืนได้ อ้างพุทธดำรัสและพุทธประวัติตอนนี้ด้วย ผมยังหาหนังสือไม่พบ

ไว้คราวหน้าจะนำมาสรุปให้ฟังครับ

อิทธิบาท ๔ คือ ความรัก ความเพียร ความเอาใจใส่จดจ่อและการทำงานด้วยปัญญา ถ้าใช้กับงานที่ทำก็คือ รักงาน สู้งาน ทำงานให้ดีให้สำเร็จ เอาใจจดจ่อในงานที่ทำค้างอยู่ แบบกัดไม่ปล่อย ไม่เสร็จไม่ยอม และคิดหาวิธีการแก้ไขข้อบกพร่องเติมเสริมต่อให้สมบูรณ์

เขาว่าความรัก ความพยายามเป็นต้นนี้ มันเป็นพลังขับเคลื่อนให้ยืดอายุได้ เช่น กำหนดจะสิ้นอายุในปีนี้ แต่ไม่ยักตายแฮะ เพราะอะไรหรือครับ คนที่มีความรักงาน ใฝ่งานอย่างมาก กระแสความรักความปรารถนามันจะแรงมาก แรงมากถึงขนาดว่า ฉันยังตายไม่ได้ ถ้างานนี้ไม่สำเร็จ จิตใจก็จะสั่งไปยังร่างกาย (ซึ่งกำลังอ่อนแอเต็มที) ทันทีว่า เฮ้ย เอ็งยังดับไม่ได้นะเว้ยจนกว่างานนี้จะสำเร็จ ต้องอยู่ไปก่อน

แล้วมันก็อยู่ได้จริงๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละครับ

ไม่ต้องดูไกล เอาแค่นักมวยคนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็น วินนี่ ปาเซียนซ่า (คนที่เดินเข้าออกระหว่างคุกกับเวทีมวยน่ะครับ) ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำคอหัก ไม่ตาย หมอต่อคอให้ เข้าเฝือกไว้ หมอบอกว่า ชกมวยไม่ได้อีกแล้ว ให้ปลงซะ

ปาเซียนซ่า บอกว่า ผมต้องชกได้ ผมมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าผมต้องหายและต้องชกมวยอีกได้ แกไม่ยอมแพ้ มีความรัก (ฉันทะ) มีความพากเพียร บากบั่นเพื่อคืนสู่สังเวียนให้ได้ พยายามซ้อมมวยเบาๆ ก่อน จิตใจสั่งตัวเองตลอดเวลาว่า มึงต้องหาย มึงต้องชกมวยได้ ถ้าพูดแบบนักธรรมะก็คือ แกมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เกี่ยวกับการชกมวย ว่าอย่างนั้นเถอะ

แล้วในที่สุดปาเซียนซ่าก็หาย และคืนสู่สังเวียน เป็นนักชกอันตราย

อย่าถามว่า เขียนคอลัมน์ธรรมะธัมโม ก็รู้เรื่องหมัดมวยด้วยหรือ

ผมก็ขอบอกว่า ที่รู้เรื่องอื่นนอกจากธรรมะธัมโมก็เพราะ เด็กเล่าให้ฟัง เช่นเดียวกัน (ฮา)


รูปภาพ

:b8: :b8: :b8: ที่มา : หนังสือ บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์
ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต หน้า ๖๗-๗๒


:b50: :b49: รวมคำสอน “อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38913

:b50: :b49: ประวัติและผลงาน “อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44336

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2025, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1405


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร