วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 15:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2013, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




5075-1.jpg
5075-1.jpg [ 47.07 KiB | เปิดดู 2293 ครั้ง ]
เส้นทางครอบครัวไทยในยุคโลกาภิวัตน์

"ครอบครัว" เป็นหน่วยทางสังคมที่เล็กที่สุดแต่มีความสำคัญที่สุดสังคมจะเข้มแข็งได้ก็ต้องมีครอบครัวที่เข้มแข็ง

"ผมรักคุณนะ แต่งงานกับผมนะ"มักเป็นประโยคคุ้นหูที่ทุกคนคาดเดาได้เมื่อละครหลังข่าวใกล้อวสานพระเอกก็จะพูดกับนางเอกแบบนี้เสมอแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าชีวิตจริงนอกนวนิยายของผู้คนทั่วไปนั้นจบลงเช่นใด

**ปรากฏการณ์ความรุนแรงในครอบครัว**

"พ่อจ๋า อย่าทำแม่เลยนะ" ... "พ่อจ๋า-แม่จ๋า อย่าทำหนูเลย หนูกลัวแล้ว โอย โอย"

รายงานสถิติจากโรงพยาบาล 70 แห่งของสาธารณสุข ในปี 2547 มีผู้กระทำรุนแรงถึง 6,596 ราย มีสตรีที่ถูกทำร้ายถึง 3,335 ราย เด็กถูกทำร้ายถึง 2,626 ราย เฉลี่ยทุก 2 ชั่วโมงจะถูกทำร้าย 1 คน ส่วนใหญ่ด้วยฝีมือของคนใกล้ชิด เช่น สามี และบุคคลในครอบครัว และเกือบครึ่งหนึ่งเป็นความรุนแรงทางเพศ..ซึ่งในทุกๆ เด็ก 10 คนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ จะมีอย่างน้อย 1 รายที่ถูกกระทำโดยพ่อของตนเองนอกนั้นเป็นปู่ ตา น้า อา ลุง พ่อเลี้ยง ฯลฯ...ใครบ้างจะรู้ว่า เด็กๆที่ถูกกระทำเหล่านี้เมื่อเติบโตขึ้นในวันหน้า เขาจะกลายเป็นคนเก็บกด ก้าวร้าวและกระทำความรุนแรงต่อผู้อื่นด้วยเช่นกันในเวลาต่อมา

**ครอบครัวสมรสน้อยลง หย่าร้างเพิ่มขึ้น**

ความไม่ลงรอยกันของสามีภรรยา การใช้อารมณ์ต่อกันในครอบครัวมีให้เห็นจนชินตา"เมื่ออยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลิกกันไปเลย"..."แน่จริงก็ไปหย่ากันเดี๋ยวนี้เลย" ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า มีการสมรสน้อยลงและหย่าร้างเพิ่มขึ้นโดยภาคกลางมีอัตราหย่าร้างสูงสุด ส่วนภาคอีสานมีคนแต่งงานน้อยที่สุด

ข้อมูลจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครองระบุว่า... จากการสำรวจ 17,309,344 บ้าน เมื่อปี 2545 พบว่า การจดทะเบียนลดลงเหลือ 291,734 คู่ จากช่วง 1 ปีที่มี 324,661 คู่..และจดทะเบียนหย่า 77,735 คู่ เพิ่มขึ้น 1 ปีที่มี 76,037 คู่

**เด็กและผู้สูงอายุยังคงถูกทอดทิ้ง**

ขณะเดียวกันก็พบว่า ปัจจุบันมีครอบครัวเดี่ยวถึง 55% และครอบครัวขยายลดลงเหลือ 32.1% คิดเป็นจำนวน
ครอบครัวเดี่ยวประมาณ 16 ล้านครอบครัว และมีพ่อหรือแม่ที่เลี้ยงลูกตามลำพังถึง 1.3 ล้านครอบครัว
(กระทรวงวัฒนธรรมและสถาบันรามจิตติ ,2548) รวมทั้งมีผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งปีละ 2,804 คน และเด็กถูกทอดทิ้ง 8,013 คน (สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ,2548)

**สัมพันธภาพในครอบครัวไม่อบอุ่น ขาดการให้เวลาแก่กันอย่างมีคุณภาพ**

ผลการสำรวจผู้ปกครอง 1,066 ครอบครัว ในเขตกรุงเทพมหานคร(มูลนิธิเครือข่ายครอบครัวร่วมกับศูนย์ประชามติสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยรามคำแหง ,2546) พบว่า...พ่อแม่ส่วนใหญ่ทำงานวันละ 7 - 9 ชั่วโมง โดยพ่อแม่ร้อยละ 43 รู้สึกห่างเหินกับลูก เนื่องจากในแต่ละวันมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูกเพียง 1 - 3
ชั่วโมง ในแง่ของเด็กเองก็รู้สึกห่างเหินกับพ่อแม่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

**วัตถุนิยมและบริโภคนิยมเป็นใหญ่**

"ถ้าเลือกได้จะไม่มีผัวไทย เพราะจนแล้วยังงี่เง่าอีก"
ประโยคนี้เป็นคำพูดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในภาคอีสานที่ต้องการทำงานหาเงินให้พ่อแม่โดยไม่เลือกว่าจะเป็นวิธีไหนเธอตั้งใจมีสามีต่างชาติและเห็นว่าการมีเงินเพื่อมีหน้ามีตานั้นสำคัญมากเด็กผู้หญิงจำนวนไม่น้อยต้องกลายเป็นเครื่องมือทำเงินเพื่อหน้าตาของครอบครัว(งานวิจัยของพญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ,สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ,2547)

"หนูภูมิใจมากที่ได้ผัวฝรั่งจนได้มาอยู่ด้วยกันที่เยอรมนี..หนูมีวันนี้ได้ก็เพราะหนูเคยทำงานที่พัฒน์พงษ์...เจอกันครั้งแรกเขาก็ชอบหนูเลยเดินตามก้นหนูไม่ห่างเลย.. หนูไม่อายที่จะบอกใครๆว่าการเป็นผู้หญิงขายตัวที่พัฒน์พงษ์ ทำให้หนูพบความสุขในวันนี้" (ศุภลักษณ์ เก่งบัญชา ,สัมภาษณ์หญิงไทยในเยอรมนี ,2545)

ทั้ง 2 เหตุการณ์ข้างต้น ยากที่จะตัดสินว่าเธอผิดหรือไม่ดี...เพราะเธอเลือกแล้วที่จะเดินไปบนเส้นทางแห่งอาชีพอิสระที่เธอเห็นว่ามีศักดิ์ศรีเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้..และเป็นหนทางที่ไม่ลำบากเกินความรู้ความสามารถของเธอ...แน่นอนว่ามีผู้หญิงไทยจำนวนไม่น้อยที่แต่งงานกับสามีต่างชาติเพราะเชื่อว่าเขาจะรักและดูแลเธอไปตลอดชีวิต แต่ทว่าความจริงที่ผู้เขียนพบนั้น กว่า 50% ของหญิงไทยในต่างแดนก็คือ การตกอยู่ในสภาพเมียทาส...ต้องทำงานมืด(ผิดกฎหมาย)
ที่มีรายได้น้อยเพื่อหาเลี้ยงสามีกรรมกรที่ตกงาน...ยิ่งกว่านั้นหญิงไทยบางคนต้องทนทุกข์ทรมานกับสามีเจ้าชู้โดยถูกทอดทิ้งให้อยู่กับลูกเล็กๆ เชื้อสายไทย - เยอรมัน อีก 2 คน ตามลำพังเธอไม่เคยได้รับเงินค่าเลี้ยงดูลูกเพราะสามีต่างชาติแกล้งเธอโดยการขอหย่าและทำตัวล้มละลายเพื่อมิให้ภรรยาคนไทยได้ทรัพย์สินส่วนแบ่งจากตนเองแม้แต่น้อย

สิ่งที่ผู้เขียนห่วงใยหญิงไทยและอยากฝากพ่อแม่ที่คิดจะขายลูกเพื่อหวังร่ำรวยมีหน้ามีตานั้นก็คือ ขอให้ตระหนักว่าไม่มีแผ่นดินไหนจะอบอุ่นและน่าอยู่เท่ากับแผ่นดินไทย-แผ่นดินแม่ของเราอีกแล้วหญิงไทยในต่างแดนหลายคนปรารภกับผู้เขียนว่า...ทุกข์ทรมานและลำบากมากในต่างแดนแต่กลับบ้านที่เมืองไทยไม่ได้ แม้จะคิดถึงพ่อแม่พี่น้องเพียงใดก็ต้องทนเพราะหากกลับไปแบบไม่มีอะไรก็อายชาวบ้านเขา..ชีวิตเธอเหล่านั้นช่างรันทดเพียงใดอยู่ก็ไม่ได้ - กลับก็ไม่ได้

จึงอยากฝากคำถามท่านผู้อ่านว่า..
การบูชาเงินและวัตถุเป็นที่ตั้งนั้น..แท้ที่จริงแล้วให้ความสุขในชีวิตได้จริงหรือ?

**ความไม่เท่าทันสื่อ - ค่านิยมติดเซ็กซ์ ขายเซ็กซ์**

"วัยรุ่นหญิงบ้านเราจำนวนไม่น้อยสอบถามเพื่อนชายผ่านอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องเห็นหน้ากันว่าสำเร็จความใคร่ทำอย่างไร..ร่วมเพศกันรู้สึกอย่างไร..เวลาหลั่งน้ำอสุจิเป็นอย่างไร..บางคนนัดแนะพบปะกันตามแหล่งบันเทิง
มีการกินเหล้าเสพยาเพื่อให้ใจกล้า และจบลงที่การมีเพศสัมพันธ์มีการแลกเปลี่ยนคู่นอนกันและจดสถิติแข่งกันไว้อวดเพื่อน"(รายงานสำรวจของนิสิตครุศาสตร์ จุฬาฯ ปี 2546 จากกลุ่มตัวอย่าง 800 คน ในกรุงเทพมหานคร)

นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ติดเช็กซ์-ขายเซ็กซ์ในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มมากขึ้น..โดยมักสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองชอบดูภาพโป๊ในอินเตอร์เน็ต วีซีดีและค้าประเวณีเพื่อหาความสุขทางเพศ..ควบคู่ไปกับการหาเงินไปใช้จ่ายในสิ่งไม่จำเป็นและฟุ่มเฟือย..ซึ่งพบเยาวชนมีความโน้มเอียงในการขายบริการทางเพศมากขึ้นจาก386,555 คน ในปี 2546 มาเป็น 472,575 คน ทั้งนี้สื่อทางอินเตอร์เน็ตและมือถือได้มีบทบาทกลายเป็นห้องค้าบริการทางเพศของเยาวชนมากขึ้น(งานวิจัยนิสิตครุศาสตร์ จุฬาฯ ,2545)

ปรากฏการณ์ข้างต้น สะท้อนความไม่เท่ากันสื่อของเด็ก เยาวชน และครอบครัวควบคู่ไปกับความหลงใหลไปกับสิ่งเร้ารอบตัวทั้งทางวัตถุ จิตใจและทางเพศอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สะท้อนให้เห็นภูมิต้านทานที่อ่อนแอของเด็ก เยาวชนและครอบครัวไทยอย่างน่าวิตกยิ่ง...พ่อแม่ผู้ปกครองน้อยคนที่จะรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับลูกของตนในขณะนี้...หรือเมื่อรู้ก็มักสายเกินแก้

**ครอบครัวไทยจะไปทางไหนดี**

ปรากฏการณ์ความรุนแรงในครอบครัว ครอบครัวสมรสน้อยลง หย่าร้างเพิ่มขึ้น เด็กและผู้สูงอายุยังคงถูกทอดทิ้ง สัมพันธภาพในครอบครัวไม่อบอุ่น ขาดการให้เวลาแก่กันอย่างมีคุณภาพ วัตถุนิยมและบริโภคนิยมเป็นใหญ่ความไม่เท่าทันสื่อ - ค่านิยมติดเซ็กซ์ ขายเซ็กซ์ของเด็กและเยาวชน ฯลฯ

ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า..เมื่อสังคมเป็นเช่นนี้แล้ว "ครอบครัวไทยจะไปทางไหนดี"

ประการที่ 1 ภาคีด้านครอบครัว ที่ประกอบด้วยองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการและประชาชน(โดยการประสานงานของโครงการครอบครัวเข้มแข็ง สถาบันครอบครัวรักลูก)มีมติเห็นพ้องร่วมกันว่า...

1.1 ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรประกาศให้ "ครอบครัวเป็นวาระแห่งชาติ"โดยระดมทุกองค์กรและทุกระดับของสังคม ตั้งแต่ระดับระดับชาติไปจนถึงรากหญ้าในชุมชนร่วมกันสำรวจทบทวนกลไกของรัฐและสังคม รวมทั้งร่วมกันปกป้องคุ้มครองครอบครัวอย่างจริงจัง เพื่อให้ครอบครัวสามารถทำหน้าที่ของตนได้เต็มศักยภาพ

1.2 สร้างพื้นที่จัดการเรียนรู้ด้านครอบครัวทั่วประเทศ...ในทุกรูปแบบ ทุกกลไกทุกภาคส่วน และทุกระดับ...เพื่อให้เกิดเวทีครอบครัวเรียนรู้ - ครอบครัวศึกษาแก่บุคคลทุกเพศทุกวัยในทุกระบบและทุกชุมชน

1.3 ขยายพื้นที่สร้างสรรค์ และจำกัดพื้นที่ไม่สร้างสรรค์(จัดระบบโซนนิ่ง)โดยให้มีพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัย - มีคุณภาพเป็นแหล่งเรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกันสำหรับครอบครัวและชุมชน

1.4 พัฒนาสื่อสร้างสรรค์ต่อครอบครัว..โดยจำกัดควบคุมสื่อที่ทำร้ายเด็กและครอบครัวอย่างจริงจัง รวมทั้งผลิตและเผยแพร่สื่อที่มีคุณภาพ..กำจัดสื่อลามก..สื่อรุนแรง..หนุนกลไกภาคประชาคมเพื่อเฝ้าระวังสื่อ

1.5ปรับปรุงกฎหมายและระบบสวัสดิการเพื่อการปกป้องและช่วยเหลือครอบครัวทุกกลุ่ม..ให้เกิดผลบังคับใช้กฎหมายลาคลอดอย่างจริงจัง..มีศูนย์รับเลี้ยงเด็กในที่ทำงาน..เพิ่มความช่วยเหลือพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยากลำบากรวมทั้งพ่อแม่ที่มีลูกพิการ พ่อแม่ที่ยากจน อย่างเหมาะสม

ประการที่ 2 ถึงเวลาแล้วที่ทุกครอบครัวต้องหันกลับมาให้เวลากับตนเองและสมาชิกในครอบครัวให้มากขึ้น..ให้เวลาพูดคุยรับฟังปัญหา -ความรู้สึกสุขทุกข์ของครอบครัว..มอบสัมผัสรักที่อบอุ่นใกล้ชิดแก่กันอันนำมาซึ่งความเชื่อมั่นไว้วางใจต่อกันในครอบครัว

ประการที่ 3 กลไกของรัฐต้องเร่งรณรงค์ส่งเสริมให้ "วันอาทิตย์เป็นวันครอบครัว"เพื่อให้ทุกครอบครัวมีโอกาสใช้เวลาว่างทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกันอย่างมีคุณภาพ..เป็นที่น่ายินดีว่าขณะนี้มี อบจ.หลายแห่งให้ความสนใจวางแผนจัดกิจกรรม Beautiful Sundayและค่ายสายสัมพันธ์พ่อ-แม่-ลูกขึ้นในท้องถิ่นแล้ว

ประการที่ 4 ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เฝ้าระวัง ป้องกัน ช่วยเหลือให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวเพื่อนบ้านที่ประสบปัญหาเพื่อมิให้เกิดปัญหาความรุนแรงในเด็ก สตรี และครอบครัว โดยต้องถือว่า "ความรุนแรงในครอบครัวมิใช่เรื่องส่วนตัว..แต่เป็นเรื่องของทุกคน" อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีกลไกโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ จัดตั้ง "ศูนย์พึ่งได้"ขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรงในภาวะวิกฤต(One Stop Crisis Center) ในระบบสหวิชาชีพแล้วโดยผู้ประสบปัญหาและผู้พบเห็นเหตุการณ์สามารถแจ้ง Hotline สายด่วนของศูนย์พึ่งได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่นเดียวกับ Happy Line 1507 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่พร้อมให้คำปรึกษาปัญหาเร่งด่วน 24 ชั่วโมง

ประการที่ 5 สนับสนุนให้เกิดเครือข่ายครู - พ่อแม่ ในแต่ละโรงเรียนให้มากที่สุดเพื่อเป็นกลไกในการดูแล เฝ้าระวัง สำรวจ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาเด็ก เยาวชนและครอบครัว ได้อย่างเข้าถึงและทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น

ประการที่ 6 สนับสนุนให้ทุกชุมชน ตำบล และจังหวัดทั่วประเทศ เกิด"ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน" ที่ริเริ่มโดยชุมชน บริหารจัดการโดยชุมชนเพื่อชุมชนให้มากที่สุด โดยศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นกลไกในการเฝ้าระวัง ดูแลป้องกัน ช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาครอบครัวและชุมชนได้อย่างทันท่วงทีและประสิทธิภาพ..ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้ อบจ./ อบต./ เทศบาล จัดกิจกรรมสนับสนุนครอบครัวผาสุกเพื่อเตรียมความพร้อมคู่สมรสหรือครอบครัวใหม่..ให้มีความรู้ ทักษะ และทัศนคติในการใช้ชีวิตคู่ และการเลี้ยงดูลูกอย่างเหมาะสมต่อไปด้วย

ประการที่ 7 สนับสนุนให้เกิด "สมัชชาครอบครัวจังหวัด" และ "สมัชชาครอบครัวแห่งชาติ"เพื่อเป็นกลไกในการสำรวจ - ทำความเข้าใจสถานการณ์ครอบครัวของแต่ละจังหวัดและทำความเข้าใจภาพรวมระดับประเทศ..โดยสมัชชาครอบครัวแห่งชาติจะมีภารกิจรายงานสถานการณ์ครอบครัวไทยเป็นประจำทุกปีเพื่อเสนอให้รัฐสภาและรัฐบาลรับทราบและนำไปปรับปรุงแก้ไขนโยบายและแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาครอบครัวและสังคมไทยในระยะยาว

ถึงเวลาแล้ว..ที่ทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ทุกระดับของสังคม ต้องหันหน้าเข้าหากันโดยตระหนักร่วมกันถึงภารกิจการพัฒนาครอบครัวไทยให้เข้มแข็ง มั่นคง มีคุณภาพร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหาครอบครัวแบบองค์รวม บูรณาการ และยั่งยืน

ถึงเวลาแล้ว..ที่รัฐบาลจะต้องตระหนักและใส่ใจต่อประเด็นปัญหาครอบครัวไทยและผลักดันเรื่อง “ครอบครัว” ให้เป็น “วาระแห่งชาติ” โดยเร็ว

ก่อนที่”สุขภาวะ-วุฒิภาวะ” ของเด็ก เยาวชน และครอบครัวไทย จะสูญสิ้นพังทลายไปด้วยอำนาจของทุนนิยม สุขนิยม วัตถุนิยม บริโภคนิยมสุดขั้ว - ไร้ขีดจำกัด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป..จนมิอาจเรียกกลับคืนได้

“หากครอบครัวไทยไม่แข็งแรง..ก็ไม่มีวันที่ประเทศไทยจะแข็งแรงได้เช่นกัน”


โดย : ศุภลักษณ์ เก่งบัญชา
สำนักส่งเสริมสถาบันครอบครัว สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2013, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2008, 09:20
โพสต์: 349


 ข้อมูลส่วนตัว


บทความนี้เป็นประโยชน์กับทุกคนคะ :b8: :b1: ขออนุโมทนาคะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร