วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 12:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: :b44: มันง่ายหรือยาก? :b44: :b44: :b44:

:b41: มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งรถไฟกลับจากต่างจังหวัด ผู้โดยสารบนรถตู้นอนส่วนใหญ่ใส่หน้ากากป้องกันโรคหวัด 2009 ทำให้เห็นแต่รอยยิ้มของดวงตาที่ส่อความเป็นมิตรให้ซึ่งกัน
:b41: มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง เมื่อใกล้สถานีหัวลำโพง ก็ย้ายเข้ามานั่งตรงที่นั่งตรงข้ามกับผม เพราะผู้โดยสารคนเดิมลงที่สถานีสามเสน อยู่ๆ แกก็เปรยกับผมว่า รู้สึกอย่างไรที่คนไทยเราทุกวันนี้เอาแต่เกลียดชังกัน บ้านเมืองวุ่นวายไม่รู้จบเพราะแบ่งพรรคแบ่งพวก
:b41: ไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร ก็มีผู้โดยสารสตรีสูงวัยอีกคน ให้ความเห็นแทรกเข้ามาว่า ควรจะให้ทั้งฝ่ายนั้นและฝ่ายนี้ละลายสีเข้าหากัน จะได้เปลี่ยนเสื้อเป็นสีแสด ชายคนแรกก็เสริมความคิดเห็นของตนว่า น่าจะไม่เอาทั้งสองสี ทำให้ผมแอบคิดขำๆไม่ได้ว่า อย่างนี้ ก็ต้องใส่เสื้อสีขาวนะซิ
:b41: สักครู่ใหญ่ ทั้งสองคนก็หันมาจ้องหน้าผม ดูก็รู้ทันทีว่า กำลังถามความเห็นของผมบ้าง ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบไปว่า ถ้าจะให้บ้านเมืองสงบ อยู่อย่างสันติสุข ดูแล้วน่าจะง่าย แต่ก็ไม่ง่าย ถ้าจะว่ายากมันก็ไม่ยาก เพื่อนผู้โดยสารทั้งสองคนเลยงง เค้นตาจ้องผมอย่างขุ่นข้องหมองใจว่า พูดอะไรกันแน่ เงียบไปสักครู่ ทั้งสองคนก็อดเอ่ยปากขึ้นเกือบพร้อมกันไม่ได้ว่า เป็นอย่างไรหรือ
:b41: ผมเลยถามคุณผู้หญิงก่อนว่า คุณลองคิดดู แต่ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้นะครับว่า คุณผู้ชายที่ร่วมคุยอยู่ด้วยมีอะไรที่เธอรู้สึกไม่ชอบบ้าง เธอเงียบครุ่นคิดสักครู่แล้วส่ายหน้า บอกว่าลึกๆแล้วเธอก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วผมก็ถามคุณผู้ชายที่นั่งตรงข้ามผมว่า แล้วคุณลองคิดดูโดยไม่ต้องพูดออกมาว่า คุณผู้หญิงมีอะไรที่คุณไม่ชอบบ้าง เขานิ่งคิดสักครู่ก็ตอบเช่นกันว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
:b41: ผมเลยถามต่อว่า ถ้าอย่างนั้น หากมีคนมาให้ข้อมูลคุณทั้งสองเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีต่างๆของทั้งสองฝ่าย คุณจะรู้สึกอย่างไร ปรากฏว่า ทั้งสองคนตอบเกือบพร้อมกันว่า ก็ต้องไม่ชอบแน่

:b41: ทีนี้ ผมเลยได้โอกาส ถามทั้งสองคนว่า แล้วคุณทั้งสองคิดว่า ถ้าจะให้ทุกคน ย้อนมองส่องใจ ตนเอง หาข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตัวเองอย่างจริงใจ จะทำได้ไหม ทั้งสองงงอยู่พักหนึ่ง ก็ตอบว่า
:b41: :b41: :b41: “มันน่าจะง่ายนะแต่ก็ไม่ง่าย คิดดูแล้วไม่น่าจะยากแต่มันก็ยากนะ” :b41: :b41: :b41:

ผมเลยย้อนยืนยันคำตอบของผมว่า “นั่นแหละที่ผมหมายถึง”
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

:b41: ป.ล. คนเราถ้าเอาแต่โทษผู้อื่น แล้วยังเกี่ยงให้คนอื่นต้องปรับเปลี่ยนตัวเขาเพื่อให้ถูกใจเรา มันเป็นเรื่องยากจนเป็นไปไม่ได้ เหมือนชี้นิ้วด่าว่าคนอื่น แล้วใครเขาจะยอมให้ด่าข้างเดียว เขาก็ต้องพยายามหาข้อผิดพลาดของอีกฝ่ายมาตอบโต้ อย่างนี้แล้วเมื่อไรจึงจะยอมและยุติกันได้ ทั้งๆที่ปรัชญาทางสรีระก็บอกเป็นปริศนาธรรมแล้วว่า ตอนที่ยกนิ้วชี้ด่าว่าคนอื่น นิ้วโป้งจะต้องกดลงบังคับให้ อีกสามนิ้ววกกลับเข้าด่าว่าตัวเอง มันเหมือนการสาดโคลน สร้างมลทินให้กันและกันไม่รู้จบ ยิ่งชี้ด่า ก็ยิ่งย้อนหาตนเองมากยิ่งขึ้นๆ เปรอะไปทั้งสองฝ่าย ในทางตรงกันข้าม ถ้าอยากให้เงาในกระจกยิ้มให้ตน ตนก็ต้องยิ้มให้กระจกเงาก่อน ความจริงแล้ว คนเรานั้นถ้าสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้แล้ว จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้ คำตอบจึงอยู่ที่ คนเราทุกคนมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงผู้อื่น หรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่มันต้องเริ่มต้นจากตัวเองก่อนเสมอ ต้องวิเคราะห์ตนเองอย่างถ่องแท้จริงใจ หาข้อผิดพลาด ข้อบกพร่องของตนเองก่อน รู้มโนธรรม เมื่อรู้แล้วก็ควรสำนึกผิดอย่างใจจริง แล้วแก้ไข ชำระล้างจิตใจตนเองให้บริสุทธิ์ เมื่อจิตตนเองบางเบาจากอกุศล มลทินแล้ว จิตที่เป็นบุญจากเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาและสติปัญญาก็จะเกิดขึ้นภายในใจเรา คนผู้นั้นก็จะไม่โทษหรือจ้องจับผิดผู้อื่น แต่จะเห็นผู้อื่นที่หลงผิดเป็นแบบเรียนที่ให้ความรู้ ให้ข้อคิดเตือนใจตนเอง เกิดจิตเมตตาสงสารในความทุกข์ร้อนรนของผู้หลงผิด จะให้อภัย ผู้ที่ทำผิดเองก็จะรู้สึกเขินอาย รู้สำนึกผิด ไม่กล้าฝืนทำผิดต่ออีกฝ่าย สังคมโลกก็จะสงบสุขร่มเย็น เพราะทุกๆคนรู้จักย้อนมองส่องตน หาข้อผิดพลาดของตนเองแล้วแก้ไข แทนที่จะเที่ยวจ้องจับผิดผู้อื่น นี่จึงเป็นยุคโลกพระศรีอารย์ ที่จิตสติเป็นใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งมหัศจรรย์มากมายที่อดีตเมื่อสามสิบปีก่อนก็คิดไม่ถึง เช่นโลกไซเบอร์ ที่การสื่อสารไร้พรหมแดน เหมือนมีหูทิพย์ ตาทิพย์ มีตาวิเศษสามารถมองเห็นแม้อนุภาคของโมเลกุลในระดับนาโนมิเตอร์ไม่ว่าสสาร วัตถุ แสง สี เสียง อวกาศ เหมือนปาฏิหารมิใช่หรือ? แต่ถ้าจิตขาดสติปัญญาในสัจธรรม ก็คงต้องตกเป็นทาสมอมเมาจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นจากสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมไหม่ๆที่สลับซับซ้อนในยุคนี้อย่างแน่นอน
โดย ผู้พยายามตื่น

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร