วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2010, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2008, 20:41
โพสต์: 448

ที่อยู่: bangkok, Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley ตีแผ่เรื่องจริง เบื้องหลังธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์

ปลาจำนวนหลายล้านตัว ไม่ได้ดำรงอยู่ในระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ ดังนั้นโครงสร้างผิวหนังของมันจึงอ่อนแอเพราะถูกลี้ยงมาอย่างผิดธรรมชาติและถูกจำกัดพื้นที่ ช่างน่าสงสารจริง ๆ ในความรู้สึกของพวกมันมหาสมุทรก็กว้างเพียงเท่านี้เอง


ปลาและกุ้งจำนวนมหาศาล ที่ถูกเลี้ยงด้วยการผสมพันธุ์จะถูกขังอยู่ใต้ท้องทะเล ผู้เลี้ยงจะใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและป้องกันแมลงใต้น้ำ หมักทะเล ในแต่ละวันสัตว์เหล่านี้จะถูกคร่าชีวิตเพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคนับล้านๆตัว
ตีแผ่เรื่องจริง เบื้องหลังธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์

ปลาจำนวนหลายล้านตัว ไม่ได้ดำรงอยู่ในระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ ดังนั้นโครงสร้างผิวหนังของมันจึงอ่อนแอเพราะถูกลี้ยงมาอย่างผิดธรรมชาติและถูกจำกัดพื้นที่ ช่างน่าสงสารจริง ๆ ในความรู้สึกของพวกมันมหาสมุทรก็กว้างเพียงเท่านี้เอง
ตีแผ่เรื่องจริง เบื้องหลังธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์

ปลาจำนวนหลายล้านตัว ไม่ได้ดำรงอยู่ในระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ ดังนั้นโครงสร้างผิวหนังของมันจึงอ่อนแอเพราะถูกลี้ยงมาอย่างผิดธรรมชาติและถูกจำกัดพื้นที่ ช่างน่าสงสารจริง ๆ ในความรู้สึกของพวกมันมหาสมุทรก็กว้างเพียงเท่านี้เอง


ปลาและกุ้งจำนวนมหาศาล ที่ถูกเลี้ยงด้วยการผสมพันธุ์จะถูกขังอยู่ใต้ท้องทะเล ผู้เลี้ยงจะใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและป้องกันแมลงใต้น้ำ หมักทะเล ในแต่ละวันสัตว์เหล่านี้จะถูกคร่าชีวิตเพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคนับล้านๆตัว


ท้องทะเลในปัจจุบันมีสารเคมีปนเปื้อน กว่าสิบล้านชนิด มันจะซึมเข้าไป อยู่ในตัวปลา ผู้ที่บริโภคเนื้อปลาก็จะได้รับสาร Poly -chlorinated Bi -Phenyls และพิษจากสารปรอทเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เป็นโรคตับอักเสบเป็นอัมพาต สตรีคลอดลูกยาก เป็นต้น


เนื่องจากไม่มีขั้นตอนและมาตรฐาน ในการตรวจสอบระดับปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะและสารเคมีในตัวปลา ปลาเหล่านี้จึงเกิดโรคผิวหนัง โรคมะเร็ง และโรคติดต่อมากมาย

บันทึกโรคแทรกซ้อน ดร.นิมิตร มรกตพยาธิตัวจี๊ด เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะปลากับกบ แต่ในเนื้อหมู เนื้อไก่ก็มี ถ้ากินแบบไม่สุก จะเกิดอาการบวมเคลื่อนที่เป็นระยะๆ อาจจะบวมที่มือ วันต่อไปอาจบวมที่แขน เคลื่อนไปเรื่อยๆ เจ็บแบบจี๊ดๆ ถ้าขึ้นสมองก็จะเสียชีวิต
พยาธิชนิดนี้เป็นในลักษณะชีส อยู่ในเนื้อปลาหรือในตับปลาทั่วไปจะมีได้หมด ในเนื้อไก่ เนื้อหมูก็มี ที่หัวจะมีหนามและหัวที่เรียกว่ากระเปาะจะยุบและพองได้ และจะไชได้ พยาธิตัวนี้จะไชไปข้างหน้าและไม่ถอย ถ้าตัวใหญ่ขนาด 3 มม. ก็จะทำให้เกิดการอักเสบ และบวมในบริเวณนั้นๆ
นอกจากนี้ พยาธิตัวตืดในปลา ก่อให้เกิดโรคโลหิตจางอย่างรุนแรง



ปลาเหล่านี้เมื่อถูกล่าและถูกทำร้าย มันจะเกิดภาวะกดดัน หัวใจจะเต้นเร็ว ระบบควบคุมประสาทและประสาทรับความรู้สึกจะเกิดอาการช๊อค หายใจแรงขึ้น ภูมิคุ้มกันก็จะลดลง


ตัวที่ได้รับบาดเจ็บ จะอ้าปากค้าง หายใจเร็วและแรง ตาเบิกกว้างเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดมันจะดิ้นทุรนทุรายบิดตัวไปมาอย่างทรมานจนหมดสติและตายในที่สุด


โดยเฉพาะปลาที่ติดเบ็ด มันจะพยายามจนสุดแรงเพื่อสะบัดตัวให้หลุด แม้ปากของมันจะฉีกขาดเป็นชิ้น ๆ เจ็บปางตายแค่ไหน มันก็ยังคงดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอดแต่จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของมนุษย์ ขณะที่มันเกิดอาการหวากกลัวอย่างรุนแรงนี้ สารเคมีที่เป็นพิษจะหลั่งออกมาและซึมอยู่ทั่วทั้งตัว


ก่อนปลาเหล่านี้ถูกนำมาวางขาย ต้องทนรับกับความเจ็บปวดทรมาน มันจะถูกงดอาหารอยู่หลายสัปดาห์เพื่อเป็นการล้างท้องไม่ให้สิ่งสกปรกเหลือปะปนอยู่ บ้างต้องตายเพราะถูกตีหัว บ้างตายเพราะถูกผ่าท้องถลกหนัง บ้างก็ถูกฝังทั้งเป็นในน้ำแข็งเพื่อให้คงความสดของเนื้อเอาไว้


พ่อค้าจะจับปลาทั้งเป็นๆ มาขอดเกล็ด แล้วสับเป็นชิ้นๆบางตัวถูกผ่าท้องควักไส้ทั้งที่มันยังไม่ทันตาย อนิจจัง...แม้นจะถูกชำแหละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่วายปากและหางของมันยังเคลื่อนไหวด้วยความเจ็บปวดจนหมดลมหายใจ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วจะกินเลือดเนื้อเขาลงอีกหรือ

บันทึกโรคแทรกซ้อน อาจารย์ กนกวรรณ อุโฆษกิจการวิจัยที่ใช้คนเป็น “หนูตะเภา” บ่งชี้แล้วว่าอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นผลดีต่อการรักษาอาการความดันเลือดสูง อาการเจ็บที่หัวใจ ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โรคไต อาการทางสมองเนื่องจากเบาหวาน โรคไขข้ออักเสบและโรคหืด
สถาบันส่งเสริมสุขภาพในอเมริกา ได้ศึกษานักมังสวิรัติ 50,000 คนพบว่า ....นักมังสวิรัติเหล่านี้มีอายุยืนยาวขึ้น มีการพบโรคหัวใจในคนกลุ่มนี้ต่ำมากและอัตราการเกิดมะเร็งต่ำกว่าเมื่อเทียบกับคนอเมริกันที่กินเนื้อ

---------------------------------------------------------



เกิดเป็นไก่ที่มีชะตากรรมเลวร้ายกว่า มันจะมีความวิตกกังวล คับข้องใจกลัวอยู่ตลอดเวลา 10-12 เดือนที่มันถูกขังรวมประมาณ 4 ตัวอยู่ในกรงลวดแคบ ๆ วางเรียงกันอยู่ในโรงลี้ยงที่มืดสลัว อาจมีถึง 50,000-125,000 ตัว มันจะต้องอยู่ในกรงนี้ตลอดชีวิตของมัน


ลูกไก่ตั้งแต่เล็กจนโต จะถูกจับขังในกรงที่แออัดยัดเยียดและไม่ได้รับรังสีจากแสงอาทิตย์เลย ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีภูมิต้านทานโรค ไก่จำนวนมากจึงเป็นมะเร็งและแพร่เชื้อไปยังผู้บริโภค


ไก่ตัวหนึ่งเมื่อมันกางปีก จะกินเนื้อที่ 26 นิ้ว แต่ไนฟาร์มฯ จะจำกัดพื้นที่ให้พวกมันอยู่เพียงแค่ 6 นิ้วเท่านั้น พบว่าไก่จำนวนมากที่ถูกเลี้ยงโดยวิธีดังกล่าว จะมีรูปร่างวิปริต มีเนื้องอกขั้นร้ายแรงตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ


เนื่องจากไก่ขังกรง ถูกเลี้ยงอย่างผิดธรรมชาติ ต้องจมอยู่ในกองอุจจาระ ไก่เหล่านี้จึงอ่อนแอ มันจึงติดเชื้อจากตัวอื่นที่เป็นโรค อาจพูดได้ว่าไก่ที่นำมาขายในตลาดหรือร้านอาหารที่คนรุ่นใหม่นิยมกินกัน ล้วนเป็นโรคมาก่อนทั้งนั้น เราไม่รู้แล้วก็บริโภคเข้าไป


ผลการวิจัยรายงานว่า “ ไก่จำนวนมากกว่า 90% เป็นโรคมะเร็ง ” ในประเทศอังกฤษแต่ละปีมีไก่เนื้อประมาณ 40 ล้านตัวตายเพราะติดเชื้อ พ่อค้าหัวใสรู้ว่าน่องไก่ ปีกไก่ อกไก่ขายดี จึงใช้วีการย้อมแมว นำไก่ที่ติดเชื้อเหล่านั้นกลับมาขายอีก และเป็นอาหารสำหรับเด็กทารก


เพื่อเร่งการเจริญเติบโต สารเคมีชนิดต่าง ๆ จึงถูกนำมาฉีดในตัวไก่ และเลี้ยงด้วย ARSENIC ฮอร์โมน ทำให้อ้วนและโตเร็ว เนื้อที่ได้จะมีสีสันน่าซื้อ ซึ่งปัจจุบันในฟาร์มเลี้ยงไก่มีการฉีดยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าพยาธิและป้องกันโรคระบาด เนื้อไก่จึงอุดมไปด้วยสารเคมีอย่างล้นเหลือ


เพราะนั้นไม่น่าแปลกใจ ที่ไก่เหล่านี้โตเร็วผิดปกติ เพราะถูกอัดฉีดด้วยฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ ซึ่งในอดีตนั้นไก่จะโตเต็มที่ต้องกินเวลา 15 สัปดาห์ แต่ปัจจุบันใช้เวลานิดหน่อยแค่เพียง 7 สัปดาห์ ก็ถูกฆ่าไปขายได้แล้ว


ทุกๆ ปีลูกไก่ตัวผู้ที่เกิดใหม่ จะถูกนำไปฆ่า เอามันไปทำปุ๋ย หรือไม่ก็เอาไปถมที่ ไก่ไข่ก็ประสบชะตากรรมอย่างเดียวกัน เมื่อให้ไข่ได้น้อยลง ไม่คุ้มค่าเลี้ยงดู


ปี 1986 โรงเลี้ยงไก่ในมาเลเซีย ประมาณ 100 แห่ง เผาลูกไก่เกิดใหม่ที่เกินความจำเป็น ใน ปี 1991 ลูกไก่จำนวนหลายหมื่นตัวถูกจับใส่ถุงพลาสติกฝังทั้งเป็น ช่างน่าเวทนาเสียจริง


ส่วนที่เหลือก็ต้องเผชิญกับชะตากรรม อันแสนทารุณ มันจะถูกตัดจงอยปากด้วยมีดที่ร้อนจัด 1 ถึง 2 ครั้งในชีวิตของมัน เมื่อมันมีอายุได้ 1 วัน และอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุได้ 7 สัปดาห์ ทั้งนี้เพราะบางทีจงอยปากจะงอกขึ้นมาอย่างเดิมได้อีก

บันทึกโรคแทรกซ้อน
การตัดจงอยปากนี้ สร้งความเจ็บปวดรุนแรงและเรื้อรังให้แก่ไก่ นักวิจัยเทียบได้กับระดับความเจ็บปวดในแขนขาของคน
เนื้อที่อยู่ในจงอยปากนี้ไวต่อความรู้สึกมาก เมื่อถูกใบมีดร้อนๆ ตัด จะทำให้ไก่สูญเสียความสามารถในการกินอาหาร น้ำ และใซ้ขนไป การตัดจงอยปากนี้จะลดการคุ้ยเขี่ย เพราะไก่จะคุ้ยเขี่ยไปตามพื้นดิน ตลอดวันตามธรรมชาติไม่ได้อีกต่อไป มันจะไม่ค่อยเคลื่อนไหวไปไหน มันจะกินน้อยลงและอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นไข่จะสูงขึ้น ไก่พวกนี้เวลาใช้ปากจิกจะเจ็บปวด มันจึงกินอาหารน้อยลง เขี่ยอาหารให้หล่นทิ้งน้อยลง และ “สูญเสีย” พลังงานน้อยกว่าไก่ธรรมดา






มันจะต้องใช้แคลเซียมในตัวของมัน ผลิตออกมาเป็นเปลือกไข่ไก่ ไก่พวกนี้จึงมักเป็นโรคกระดูกพรุนเพราะต้องอยู่เบียดเสียดกัน เรียกว่า โรคเหงากรง เมื่อแคลเซียมหมด มันจะเป็นอัมพาตและตายจากไป เพราะกินอาหารและน้ำไม่ได้




เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด ไก่เหล่านี้จึงเติบโตขึ้นมาอย่างพิกลพิการ ดวงตาถูกทำร้ายถึงขั้นตาบอดก็มี สมองบาดเจ็บ ไม่มีชีวิตชีวา เป็นอัมพาต อวัยวะภายในตกเลือดฉะนั้น ไก่เหล่านี้มีเชื้อที่เป็นอันตรายแทบทุกตัวก็ว่าได้




ไก่จูกจับขังให้อยู่รวมกัน ในกรงที่คับแคบ ขาทั้ง 2 ข้างจะถูกพันไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ไปไหน เล็บเท้าของไก่บางตัวงอกออกมาจนเกี่ยวติดอยู่กับตาข่าย วิธีแก้ปัญหาของผู้เลี้ยงก็คือ ใช้มีดตัดให้ขาด




โรงฆ่าไก่แต่ละแห่งจะใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง ถึงวันละหนึ่งร้อยล้านแกลอน ซึ่งเพียงพอสำหรับให้คนใช้ได้ถึง 25,000 คน นอกจากนี้ ยังทิ้งสิ่งปฏิกูลที่เหลือจากการแปรรูปเนื้อไก่ ไม่ว่าไขมัน ซากสัตว์ เครื่องในสัตว์ สารชูรสลงในแม่น้ำถึงสิบล้านปอนด์



มะเร็งเต้านม
สถิติผู้หญิงในประเทศไทยเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีพฤติกรรมในการดำรงชีวิตแบบชาวตะวันตกมากขึ้นคือ กินอาหารพวกเนื้อสัตว์มาก นั่นเอง
คำถามมีอยู่ว่า อาหารที่มีส่วนสัมพันธ์กับฮอร์โมนและมะเร็งเต้านมอย่างไร?
คำตอบก็คือ....ผู้หญิงที่กินอาหารมังสวิรัติ ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะถูกขับออกจากร่างกายมากกว่าผู้หญิงที่กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ซึ่งทำให้ ผู้หญิงที่กินอาหารมังสวิรัติมีปริมาณของฮอร์โมนฯในกระแสเลือดน้อยกว่าผู้หญิงที่กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์
ฮอร์โมนเอสโตรเจนผลิตในร่างกายโดยรังไข่และไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ตับจะพยายามขับฮอร์โมนนี้ไปสู่ลำไส้ ซึ่งจะถูกขับถ่ายออกจากร่างกาย การกินอาหารประเภทเส้นใยจะทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกจับไว้กับเส้นในและป้องกันไม่ให้ฮอร์โมนฯ ซึมกลับเข้าไปในร่างกายโดยทางผนังลำไส้ใหญ่
สารอาหารต้านมะเร็ง นักวิจัยศึกษาพบว่า ในอาหารประเภทถั่วเหลืองมีสารต้านมะเร็ง ซึ่งหากบริโภคถั่วเหลืองเป็นจำนวนมากพอก็อาจจะช่วยป้องกัน หรือลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมได้ จากงานวิจัยของ Lee& Day ผู้หญิงที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมน้อยที่สุดควรบริโภคถั่วเหลืองประมาณ 2 ออนช์ต่อวัน
ในการทดลองวิจัยกับหนูทดลองเมื่อหนูเหล่านั้นได้รับอาหารจากถั่วเหลือง ผลปรากฏว่า เป็นครั้งแรกที่ค้นพบสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพืชที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและหยุดยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมได้
จากากรค้นคว้าของ Dr. Mark Messina พบว่าประชากรในประเทศที่บริโภคถั่วเหลืองมาก จะมีอัตรกการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าประชากรในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่บริโภคถั่วเหลือง
เนื่องจากสารชนิดนี้มีคุณสมบัติป้องกันเส้นเลือดฝอยไม่ให้ไปเลี่ยงเนื้องอก หรือเซลล์ที่จะกลายเป็นมะเร็งเมื่อเซลล์ไม่ได้รับอาหารและออกซิเจนจากเส้นเลือดฝอยก็จะฝ่อและตายไปในที่สุด
พืชอีกชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่เต้านมได้คือ บร๊อคโคลี มีรายงานว่าผู้หญิงที่บริโภคพืชผัก 5 ส่วนต่อวัน จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งที่เต้านมลดลง 46 % เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่บริโภคพืชผักวันละเพียง 1-2 ส่วน ผักประเภทดอกกระหล่ำและบร๊อคโคลี จะช่วยป้องกันมะเร็งที่เต้านมได้เนื่องจากมีสารพฤกษเคมี (phytochemical)



มะเร็งต่อมลูกหมาก
สถิติตากสหรัฐอเมริกาพบว่า... ชาวอเมริกันเพศชายเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ ชายอเมริกันที่อายุมากกว่า 50 ปี เป็นมะเร็งชนิดนี้ประมาณ 25 ล้านคน
อาหารที่จะช่วยป้องกันมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่ มะเขือเทศ ซึ่งมีสาร ไลโซเพน (lycopene) เข้มข้นมากกว่าพืชชนิดอื่นๆ ซึ่งการวิจัยได้รายงานผลว่า สารในมะเขือเทศสามารถลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ส่วนใหญ่ผักสด ผลไม้สด จะดีที่สุดในการให้คุณค่าทางด้านโภชนาการ
เมื่อปี 1993 นักวิจัยชาวอิตาลีพบว่า...ผู้ที่บริโภคเนื้อแดงวันละ 30 กรัม (เท่ากับ 5 ออนช์ ของแฮมเบอร์เกอร์) จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากสูงเป็น 2 เท่านักวิจัยคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างในไขมันสัตว์ที่จะเพิ่มระดับฮอร์โมน ซึ่งส่งผลให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ไขมันในสัตว์ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวมีผลก่อให้เกิดมะเร็งได้มากกว่าไขมันในพืช
ถั่วเหลืองซึ่งมีสาร ไฟโทเอสโตรเจน (phytoestrogens) ที่สามารถป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ สารชนิดนี้สามารถหยุดยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ชาวเอเชียซึ่งบริโภคถั่วเหลืองมาก มีสถิติการเสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยมาก
อาหารอีกประเภทหนึ่ง คือ งา ซึ่งมีสารที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมาก จากสถิติทั่วโลกอาหารที่มีปริมาณผลไม้ ผักและถั่วเหลืองต่ำ จะมีผลโดยตรงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากสูง


-----------------------------------------------------





หมูจะถูกขังอยู่ในคอกที่สกปรกโสโครก มันจะดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเอง เพราะเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียวของมัน หมูเหล่านี้จึงมีกลิ่นเหม็นติดตัว หมูที่เลี้ยงในฟาร์มจะเป็นโรคปอดอักเสบ 80 % แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ได้รับเชื้อเหล่านี้เข้าไปด้วยในขณะที่คุณบริโภค




หมูกินของเหลือที่สกปรก จึงป็นแหล่งหมักหมมของพยาธิและเชื้อโรคมากมาย เพราะฉะนั้น มนุษย์ก็กินเนื้อหมูต่ออีกที จึงเป็นสาเหตุของการติดเชื้อพยาธิ ก็คือกินเนื้อที่ไม่สุก พยาธิยังไม่ตาย เมื่อกินเข้าไปก็ติดเชื้อ ถ้าไม่เสียชีวิตก็จะทำให้เจ็บป่วยเรื้อรัง




ผู้เลี้ยงสุกรจะใช้วิธีหยุดการแพร่ระบาด ของเชื้อโรคด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน ยาเร่งการเติบโตสารกันบูด สารสังเคราะห์ ยาดับกลิ่น ผสมกับอาหาร ดังนั้น เนื้อสัตว์เหล่านี้จึงเปรียบเหมือนคลังกักตุนเชื้อโรคและสารเคมีที่เป็นพิษมากที่สุด



บันทึกโรคแทรกซ้อน ดร.นิมิตร มรกต
พยาธิตัแบน พยาธิตัวตืดหมู พยาธิตัวตืดวัว ติดจากการกินเนื้อหมู และนื้อวัวดิบๆ อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กตัวยาว 1.5-12 มตร ส่วนใหญ่จะมี 1-2 ตัวในคนคนหนึ่งอายุจะยาวมาก ตัวตืดวัวอายุ 30-40 ปี ถ้าอยู่ในเนื้อหมูจะเป็นเม็ด คล้ายสาคูเม็ดใหญ่
ภาวะแทรกซ้อนของตัวตืดหมู คือตัวอ่อนขึ้นสมองได้ ทำให้เกิดอาการชัก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นอัมพฤกษ์ พฤติกรรมเปลี่ยน คล้ายคนจะเป็นบ้า แต่ที่จริงแล้วเกิดจากพยาธิตัวนี้
เพราะฉะนั้น การกินเนื้อสัตว์นอกจากจะมีสารพิษสารเคมีตกค้าง ไขมัน คอเลสเตอรอล กรดยูริคแล้ว ยังมีโอกาสจะได้รับตัวเชื้อพยาธิ หรือไข่ของมันที่ทนต่อการปรุงอาหาร และขยายตัวออกลูกหลานในร่างกายของเรา ทำให้เกิดโรคภัยได้ง่ายเสมอ




หมูตัวเมียหรือแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์แข็งแรง หลังคลอดลูกหมูได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ มันก็จะถูกนำไปผสมพันธุ์ใหม่ให้ตั้งท้องครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อเนื่องไปตลอดจนกระทั่งไม่สามารถเกิดลูกหมูได้อีก ถึงตอนนั้นแม่หมูเหล่านี้ก็จะถูกนำไปฆ่าเป็นอาหาร




ลูกหมูที่เกิดใหม่จะถูกหักเขี้ยวและตัดหาง ทันทีที่คลอดออกมา ทั้งที่มันยังลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงวัน วิธีการเช่นนี้ ทุกคนต่างยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ทารุณ แต่ก็ยังไม่วายกินกันได้ลงคอ




แม่หมูจะถูกขังอยู่ในคอกเล็กๆ พอที่จะให้มันลุกขึ้นยืนกับนอนได้แค่นั้น ตั้งแต่เกิดจนตายต้องทนอยู่ในกองปัสสาวะและอุจจาระที่สกปรก ช้ำยิ่งไปกว่านั้นแม่หมูเหล่านี้จะถูกคล้องด้วยโซ่เหล็กรอบตัวตลอดเวลา 4 เดือนที่มันตั้งท้อง




หมูเหล่านี้จะถูกเลี้ยงอย่างผิดธรรมชาติ ปกติมันจะหากินและใช้ชีวิตอยู่บนพื้นดิน แต่ในฟาร์มฯ พวกมันมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน เนื่องจากต้องยืนบนพื้นซิเมนต์ที่แข็งทำให้กีบเท้าของมันถ่างออกเป็น 2 แฉก ทว่าน้ำหนักตัวยิ่งมากเท่าใด มันจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น




เพื่อเป็นการบรรเทาความเจ็บปวด มันจะทรงตัวอย่างไม่สมดุลย์ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้มีผลกระทบต่อระบบกล้ามเนื้อและข้อต่อโดยตรง ดังนั้น หมูที่ถูกเลี้ยงในฟาร์มฯ ที่เป็นพื้นซิเมนต์ ในจำนวนนี้เกือบ 100 % ที่เป็นโรคพิการ


เนื้อสัตว์.....กับอัมพาตจากหลอดเลือดสมอง
เนื้อสัตว์ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ.....ในการเกิดโรคอัมพาตจากหลอดเลือดสมอง ข้อมูลจากสถาบันประสาทวิทยากรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขบ่งชี้ว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดของโรคทางระบบประสาทวิทยาที่รับไว้ในโรงพยาบาล เป็นสาเหตุการตายและความพิการที่สำคัญในประเทศไทย
โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตซึ่งอาจเกิดจากการที่หลอดเลือดตีบตันหรือแตก โรคนี้ถ้าเป็นแล้วแม้รอดชีวิตก็มักจะมีความพิการหลงเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตามโรคนี้สามารถป้องกันได้
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
อันนี้หมายถึงว่า.....ถ้าผู้ใดมีปัจจัยเหล่านี้อยู่จะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้มากกว่าคนปกติ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่........
1.ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมาก
2.โรคหัวใจ
3.โรคเบาหวาน
4.ภาวะไขมันในเลือดสูง
โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการตายและความพิการที่สำคัญ การป้องกันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเมื่อเป็นแล้วถ้าไม่เสียชีวิตก็มักพิการสถานเดียว
อาหารเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
อาหารจัดว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการดำรงชีวิตปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าพฤติกรรมการบริโภคเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือด โรคมะเร็ง เป็นต้น
ความสนใจถึงบทบาทของสารอาหารต่อการป้องกันโรคจึงมีมากขึ้น ดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งพบมากในผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เสียชีวิต
อาหารที่มีประโยชน์ และมีบทบาทในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองที่มีความสำคัญ คือ.......
1.อาหารประเภทที่มีกากใย ชนิดที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งพบมากในถั่ว ฝรั่ง ลูกพรุน ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น ในอาหารเหล่านี้มีสาร “ บี-กลูแคน “ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
2.อาหารที่มีไขมันต่ำ พบว่าผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูงจะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากการศึกษา โดยให้รับประทานอาหารมังสวิรัติร่วมกับอาหารที่มีคอเลศเตอรอลต่ำ และมีการออกกำลังกายร่วมด้วยพบว่า สภาพของหลอดเลือดดีขึ้นถึง 2 เท่า
3.รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป
4.ลดอาหารที่เค็ม
5.รับประทานอาหารประเภทพืช ผัก ผลไม้
ฉะนั้น สารอาหารมีความสำคัญในการป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันและช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย
ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เพิ่มอาหารที่มีกากใยที่ละลายน้ำได้ ควรเพิ่มการบริโภคอาหารจำพวก ผัก ผลไม้และธัญพืช
การรับประทานอาหารที่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้ห่างไกลโรคหลอดเลือดสมองได้ด้วย


---------------------------------------------------





วัวนมจะถูกทำให้ท้องทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลิตน้ำนมออกมาก วัวเหล่านี้อายุสั้นแค่เพียง 4-5 ปีเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากอีตที่มันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ 15-20 ปี สำหรับวัวตัวผู้จะถูกบำรุงด้วยอาหารชนิดพิเศษ และจะถูกส่งไปฆ่าเมื่อได้น้ำหนักตามต้องการ




ตามธรรมชาติลูกวัวจะกินนมแม่ อยู่จนอายุ 1 ปี แต่ในฟาร์มฯ ลูกวัวนมจะไม่ได้กินนมแม่ มันจะถูกแยกจากแม่ตั้งแต่อายุได้วันเดียว หรือ 2-3 วัน นำไปเลี้ยงในคอกที่อับแสงและไม่มีทุ่งหญ้า ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค มันจะถูกป้อนยาและฮอร์โมนตั้งแต่เล็กๆ




ลูกวัวจะถูกเลี้ยงอยู่ในกรงไม้ 5x2 ฟุต โดยไม่มีฟางปู มันจะเกิดอาการเครียดและขาดอาหาร มันอาจเป็นโรคปอดบวม โรคผิวหนัง หรือติดเชื้อในเลือด หลังจาก 14 สัปดาห์ มันเกือบจะเดินไม่ได้ ก็จะถูกส่งไปโรงฆ่า




ลูกวัวจะถูกป้อนให้กินนมเทียม ที่มีไขมันสูง แต่ไม่มีธาตุเหล็ก มันจะพยายามแทะตะปู กรงไม้ และดื่มปัสสาวะของตัวเองเพื่อชดเชยธาตุเหล็ก วัวเหล่านี้จึงอ่อนแอและเป็นโรคจนตาย แต่คนเดี๋ยวนี้กลับหันมานิยมกินเนื้อลูกวัวแทนสเต๊กเนื้อ หารู้ไม่ว่ามีแต่โรคทั้งนั้น




วัวเป็นสัตว์กินหญ้า แต่ในปัจจุบันพบว่าอาหารทีใช้เลี้ยงวัวเหล่านี้ปะปนไปด้วยเศษไม้ เศษกระดาษ ไขมันหญ้าแห้ง หลาสติก เศษขยะที่สกปรก และซีเมนต์ ฯลฯ ผสมอยู่ในอาหาร “ชนิดพิเศษ” เป็นจำนวนไม่น้อย




อาหารชนิดนี้ไม่มีกากและเส้นใยที่มีประโยชน์ มันจะเกิดภาวะเลือดจาง เนื้อที่ได้จึงมีสีชีด ราคาตก ไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติให้ดื่ม แต่มันจะถูกบำรุงด้วยน้ำที่เจือสารเคมี ดังนั้น เนื้อวัวเหล่านี้จึงอุดมไปด้วยสารเคมีมากมาย




ก่อนวัวเหล่านี้จะถูกฆ่า ขาทั้งสองจะถูกผูกด้วยสายรัด และนำมันไปแขวนห้วยหัวลง เนื่องจากวัวมีน้ำหนักตัวมาก มันจะดิ้นจนสุดชีวิตด้วยความกลัว จนกระดูกที่ขาแตกและหัก สร้างความเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมาน เป็นการกระทำของมนุษย์ที่ทารุณโหดร้ายที่สุด




จากนั้นขาของมันจะถูกตรึงไว้ทั้ง 4 ด้าน คอของมันจะถูกแทงด้วยมีดที่คมกริบ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังสนั่นไปทั้งโรงฆ่า ตาทั้งสองเบิกกว้าง สีหน้าของในแสดงออกถึงความอาฆาตและผูกใจเจ็บ นี่หากไม่ใช่ความโหดร้ายทารุณแล้วจะเรียกว่าอะไร




วัวที่เป็นโรคตายจะขายไม่ได้ราคา และไม่ควรบริโภค แต่พ่อค้าที่หวังกำไรฉวยโอกาสเอาซากวัวเหล่านี้มาชำแหละ ตกแต่งด้วยสารเคมีเพื่อให้ดูสด และส่งไปขายได้อีกในราคาที่สูงขึ้น



บันทึกโรคแทรกซ้อน ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดร.วิจิตร บุณยะโหตระ
นับตั้งแต่สัตว์ถูกฆ่า ตัดชำแหละเป็นชิ้นๆ ยกประเภทนำบรรจุเข้าตู้แช่ แล้วขนส่งไปยังตลาดจำหน่ายกว่าจะผ่านแต่ละกระบวนการจนถึงผู้บริโภค เนื้อสัตว์ต้องตกค้างอยู่เป็นเวลาหลายวัน เพื่อรอผู้บริโภคมาซื้อไป กว่าจะถูกปรุงเสร็จเป็นอาหาร ก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
ตามธรรมดา เนื้อสัตว์จะคงความสดอยู่ได้ไม่นานก็จะแปรสภาพ สีจะกลายเป็นสีเทาอมเขียว ดังนั้น ในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จึงมีการใช้สารเคมีช่วยยืดอายุการเน่าเสีย และเจือสารรักษาสีให้เนื้อมีสีแดงดูสดนาน สารเคมีเหล่านี้ทางการแพทย์พบว่า.. เป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้
ปัจจุบันในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้สารเคมีและฮอร์โมนผสมลงในอาหารสัตว์เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ทำให้สัตว์อ้วนท้วนโตเร็ว เนื้อสัตว์ที่ได้จะมีสีสรรน่าซื้อ
แต่การกระทำดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคได้รับสารพิษต่างๆ มากมาย เมื่อบริโภคเนื้อนั้นเข้าไปเป็นประจำ มีการฉีดเซรุ่มและยาปฏิชีวนะต่างๆ เพื่อป้องกันโรคระบาด ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์เป็นประจำ ร่างกายมักมีการด้านยา เมื่อเจ็บป่วย ยาที่กินจึงไม่ค่อยได้ผล
เช่นเดียวกับการใช้ยาฆ่าแมลงศัตรูพืชมากๆ แมลงเหล่านี้ก็จะมีความต้านทานยามากขึ้นเรื่อยๆ ยาที่มีความรุนแรงในขนาดเดิมจะใช้ไม่ได้ผล แมลงกลับจะทวีจำนวนมาขึ้นๆ


ผู้ทีนิยมรับประทานเนื้อวัวเป็นประจำ คุณทราบไหมว่าเนื้อวัวที่คุณกินเข้าไปนั้น ไม่ได้ผ่านการรับรองใดๆ จากกรมอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมาสู่คนเลย


ปี 1997 มีรายงานจาก หน่วยบริการสุขลักษณะเนื้อสัตว์ว่า การรักษาความสะอาดในโรงฆ่าสัตว์ไม่ได้มาตรฐาน เนื้อที่ชำแหละแยกลำไส้จะปนเปื้อนและติดเชื้อมาจากโรงฆ่า อาจมีเชื้อ อี.โค.ไล ซึ่งทำให้ท้องเสีย เป็นตะคริวอย่างแรง อาเจียนและอาจถึงตายได้ เชื้อนี้อยู่ในมูลสัตว์ได้นานเป็นเดือนๆ


กองควบคุมและครวจสอบ โรคติดต่อในเนื้อสัตว์ของอเมริการายงานว่ามีเชื้อ ชาลโมเนลล่า อยู่ในเนื้อสัตว์ซึ่งทำให้อาหารเป็นพิษและมีคนตายด้วยเชื้อดังกล่าวไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านคนต่อปี มีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ในโรงพยาบาลกว่าสิบล้านคน ทำให้อเมริกาต้องสูญเสียเงินกว่าร้อยล้านดอลลาร์เพื่อใช้ในการรักษา


ที่อเมริกาตรวจพบว่า วัวที่ติดเชื้อมะเร็งในเลือด (BLV) มากถึง 20 % ในปี 1991 กระทรวงเกษตรฯ ของอเมริการายงานว่า เชื้อโรคเอดส์ได้แพร่กระจายไปสู่ฝูงวัวแต่ก็ยังไม่มีการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรค


นักวิชาการชาวอังกฤษ กล่าวอย่างมั่นใจว่า.. “การรับประทานเนื้อวัวมีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับการติดเชื้อสูงถึง 60 %” อาการของผู้ติดเชื้อโรควัวบ้าจะปรากฏออกมาในช่วงเวลาอีก 10-40 ปีข้างหน้า


ปัจจุบันมีการนำเนื้อวัว มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็กทารก เด็กวัยเจริญเติบโต หรือผู้ป่วยในโรงพยาบาล คนจำนวนนั้นที่กินเข้าไปเพียงไม่กีสัปดาห์ต้องป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษ หนึ่งในนั้นคือโรควัวบ้า (BSE)


โรควัวบ้า มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ..(BSE) (Bovine Spongioform Encephalopathy) ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ก่อให้เกิดการเสื่อมสลายทางระบบประสาทส่วนกลางในคนและสัตว์ได้

บันทึกโรคแทรกซ้อน รองศาสตราจารย์ ดร.ไมตรี สุทธจิตต์
ปรากฏว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ยังมีโรคร้ายชานิดใหม่อีกชนิดหนึ่งสู่ผู้บริโภคเนื้อสัตว์ รักษาไม่หาย ตายหรือพิกลพิการลูกเดียว โรคนั้นคือ โรควัวบ้า
โรควัวบ้าที่เกิดขึ้นมีสาเหตุแท้จริงมาจากคนเลี้ยงวัว ในยามปกติวัวกินหญ้า ข้าวโพด และเมล็ดพืช แต่เจ้าของฟาร์มหลายแห่งหัวใสขึ้นมา เพื่อให้วัวได้อาหารโปรตีนสูง จึงหลอกวัวให้กินอาหารป่นที่เสริมด้วยโปรตีน ซึ่งเป็นเศษซากเนื้อสัตว์ และอวัยวะภายในจากแกะที่ตายแล้ว โดยนำเอากระดูก และเครื่องในแกะมาป่นเป็นอาหารเสริมให้กับลูกวัวที่แม่วัวไม่มีน้ำนมให้ลูก
ปรากฎว่าหลังจากที่วัวได้รับอาหารเสริมจากแกะแล้ว ต่อมาวัวเหล่านั้นจำนวนมากเกิดเป็นโรควัวบ้า เดินโซซัดโซเซ มีอาการทางด้านระบบประสาท และเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก


มีข่าวออกมาว่า..ผู้ที่กินเนื้อวัวที่เป็นโรควัวบ้าอาจมีโอกาสล้มป่วย เป็นโรคสมองฝ่อ หรือโรค CJD ได้มีอาการทางระบบประสาท คือ ความจำเสื่อมสติปัญญาถดถอยน้อยลงอย่ารวดเร็ว มีอาการเดินซวนเซคล้ายอาการในวัวบ้า กระตุกทั้งตัว ในที่สุดอาจเสียชีวิตได้ภายในไม่เกิน 2 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวและน่าเวทนามาก

บันทึกโรคแทรกซ้อน รองศาสตราจารย์ ดร.ไมตรี สุทธจิตต์
โรคสมองพรุนสมองฝ่อนี้ เป็นชื่อโรคที่ได้ยินก็ทำให้จิตใจหดหู่ห่อเหี่ยวแล้ว เพราะโรคนี้เกิดที่สมองซึ่งเป็นแหล่งสติปัญญา หรือความสามารถสูงสุดของมนุษย์ ใครเป็นโรคนี้ลัวนต้องสูญเสียศักยภาพไปอย่างไม่มีวันกลับคืนดีได้อย่างเดิม โรคสมองฝ่อที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer)
สัตว์ชนิดแรกที่เป็นโรคนี้คือ แกะ แล้วมีการระบาดในอาหารต่อไปในแพะ วัว หมู และสัตว์อื่น จนในที่สุดก็มาถึงคน
สารพิษตัวนี้มันค่อนข้างถาวร ไม่ถูกทำลายได้ง่ายๆทนทานต่อความร้อนถึง 300 0 F
ดังนั้น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในอาหาร มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคสมองฝ่อ CJD ในคนได้มากที่สุด


โรคสมองฝ่อ CJD สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้จากผู้ป่วย CJD คนหนึ่งได้บริจาคเยื่อการจกตาแก่คนไข้รายหนึ่ง จากนั้นไม่นานปรากฏว่าคนไข้รายนั้นก็ได้รับเชื้อ CJD ด้วยเช่นกัน

บันทึกโรคแทรกซ้อน รองศาสตราจารย์ ดร.พิชัย โตวิวิชญ์
การกินอาหารมังสวิรัติ คนทั้งหลายมักเข้าใจว่ากินอาหารมังสวิรัติแล้วจะขาดโปรตีน หรือ อมิโนแอซิดตัวนั้นตัวนี้ นั่นคือ อิทธิพลของนักการค้า เราเกิดเป็นคนหรือเป็นวัวเป็นควายกันแน่ จึงต้องการอะมิโนแอซิดที่มีอยู่ในวัว ควายมาใช้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย
ในอเมริกาโฆษณาป้ายใหญ่โตว่า “เนื้อวัวเป็นอาหาร เย็นที่ดีที่สุด” นี่เป็นความเข้าใจผิดของประชากรโลกหรือผู้บริโภค โดยอิทธิพลของพ่อค้าที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ และยัดเยียดความคิดนั้นให้แก่ประชาชนอย่างไม่ถูกต้อง


--------------------------------------------------------------------

ปฏิรูปการบริโภคเสียใหม่ให้ถูกหลักกินเนื้อสัตว์ท้ายสุดคือการติดกับ
คนทั้วไปเข้าใจว่า.. สัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ กลัวว่าหากทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ที่ตนชอบเป็นการใช้ชีวิตอยู่อย่างเสียเปรียบ เพราะไม่อาจสนองความอร่อยลิ้นของอาหารอันเลิศรสที่ตนเองปรารถนา
แต่โปรดฟังทางนี้.... ทว่าท่านรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป โรคภัยมากมายก็จะคอยติดตามรังควานท่านชีวิตที่เหลืออยู่จะหาความสุขอันสงบได้อย่างไร ในเมื่อต้องมาต่อสู้กับความเจ็บป่วยอย่างทุกข์ทรมาน ซ้ำร้ายกว่านั้นหลังจากจบชีวิตลงแล้วต้องจมลงสู่นรก เพื่อสะสางบัญชีหนี้เวรกรรม
อาตมาพูดความสัตย์ ทุกคนอย่าโลภติดในรสชาติโลภที่จะเสวยสุขอย่างผิดๆ
ตายไปแล้วจะได้ไม่ติดกับ...


กระเพาะมนุษย์เป็นป่าช้าใหญ่โตมาก เพราะสามารถฝังซากสัตว์ที่ถูกฆ่า ถึง 200,000 ตัวได้ในระยะเวลา 60 ปี

บันทึกโรคแทรกซ้อน
ขอให้คิดดู ชีวิตสัตว์ประมาณ 200,000 ตัว จะต้องถูกฆ่าเพื่อคนๆ หนึ่งมีชีวิตอยู่ 60 ปี น่าสลดใจไหมเล่าดูซิ คนเดียวกินอะไรบ้างในชีวิต 60 ปี
ไก่ เป็ด นก32,000
หมู วัว ควาย3,000
กุ้ง หอย ปู ปลา 156,000
สัตว์อื่นๆ 9,000
รวมทั้งสิ้น 200,000


ท่านมีอำนาจเหนือสัตว์อยู่ 200,000 ตัว ท่านจะเว้นชีวิตให้เพื่อความเมตตาไม่ได้เชียวหรือ หรือท่านจะฆ่ามันเพื่อลิ้นของท่าน ท่านจะมีสุขใจได้อย่างไรในเวลาที่เสพเนื้อสัตว์โดยรู้อยู่ว่ารสโอชะนั้นได้ประกอบขึ้นด้วยความรับทุกขเวทนาของสัตว์อื่น


ด้วยความเคยชินกับการกินเนื้อสัตว์ คนเหล่านี้จะพูดว่า.. “เป็ด ไก่ หมู วัว ควาย เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ หากไม่กินก็จะเป็นการผิดต่อเจตนาฟ้า” ถ้าเป็นเช่นนี้สัตว์ป่าที่มันกินคนได้ ทำไมถึงคนกลับไม่ยอมให้มันกินเราบ้าง แล้วอย่างนี้ไม่เป็นการผิดต่อเจตนาฟ้าหรืออย่างไร

บันทึกโรคแทรกซ้อน
วิถีชีวติที่ถูก มนุษย์ไม่ควรถือเอาเลือดเนื้อสัตว์ เป็นอาหาร เราจะพูดเอาแต่ได้ข้างเดียวว่าธรรมชาติสร้างสัตว์ให้เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์นั้น ไม่ยุติธรรม ทุกชีวิตเกิดมาแล้วย่อมมีสิทธิอยู่บนโลกนี้เท่าอายุขัยธรรมดาของมันการที่มันพูดไม่ได้ เถียงไม่ได้ ต่อสู้ไม่ได้ แล้วมนุษย์ทึกทักเอาข้างเดียวว่ามันเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์นั้นไม่ถูก ที่ว่าไม่ถูกก็เพราะมนุษย์รู้ผิดรู้ถูก รู้ว่า ถึงเราไม่กินเนื้อสัตว์เลยเราก็ไม่ตาย แต่ถ้าเรากิน สัตว์ต้องตาย มันยุติธรรมหรือ?..
จึงกล่าวได้ว่า.. ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ ฉะนั้น การที่มนุษย์พากันกินเนื้อจึงเป็นการฝืนธรรมชาติ


คนทั้งหลายมักเข้าใจกันว่า จะต้องกินเนื้อสัตว์ให้มาก โปรตีนจากเนื้อสัตว์จะช่วยให้ร่างกายเติบโตแข็งแรงหากไม่กินเนื้อสัตว์ก็ไม่มีเรี่ยวแรงทำงานหนัก เป็นความเชื่อที่ผิด ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงทำไมสัตว์จำพวกช้าง ม้า วัว ควาย ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีความแข็งแรงทรหด กำลังคนยังสู้ไม่ได้ พวกมันกินหญ้าเป็นอาหารเท่านั้น

บันทึกโรคแทรกซ้อน
โปรตีนจากเนื้อสัตว์ให้โทษมากมาย ถ้ากินมากเกินไป ร่างกายก็จะต้องเก็บกักไว้ทำให้น้ำหนักตัวเกิน และการที่ร่างกายได้รับโปรตีนที่เรากินเข้าไปเกินความจำเป็นนั้น
ประการแรกร่างกายจะต้องพยายามขจัดโปรตีนนี้ออกไปก่อน เมื่อขจัดออกไปไม่หมดจึงจำต้องเก็บไว้ การะบวนการขจัดโปรตีนออกไปนั้น จำเป็นต้องใช้แคลเซียมเป็นตัวเอ็นไซม์ ซึ่งก็ต้องเอามาจากแคลเซียมที่อยู่ในกระดูกในกล้ามเนื้อของเรานั่นเอง ดังนั้น จึงทำให้ร่างกายปวดเมื่อย
ยิ่งกว่านั้นผลร้ายที่ตามมาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้คือ การผลิตแอมโมเนียออกมา กระจายอยู่ทั่วไปในร่างกายด้วย ซึ่งเป็นอันตรายมาก


สุรางคมสูตรบันทึกไว้ว่า. “คนกินแพะ แพะแดดิ้นกลายเป็นคน คนสิ้นชีพกลายเป็นแพะ เกิดเกิดดับดับต่างกินซึ่งกัน” ผลัดกันกินผลัดกันฆ่าอย่างนี้ไปทุกภพทุกชาติ
“หนึ่งคมมีดคืนหนึ่งคมมีด
หนึ่งชีวิตชดใช้หนึ่งชีวิต”




“เพราะว่าความตายนั้นไม่ดี
คนจึงกลัวและเกลียดความตาย
ฉะนั้น การกินเลือดกินเนื้อสัตว์ก็ย่อมไม่ดี
เพราะต้องมีการตายก่อนจึงจะได้กิน
การกินเนื้อก็เท่ากับกินเอาความตายเข้าไปด้วย
ใครว่าการกินเนื้อสัตว์นั้นดี
ก็ควรยอมรับว่าความตายนั้นดีด้วย
ใครว่าความตายนั้นดี
เขาก็ควรจะตายเสียเอ
Prev: เนื้อสัตว์อาหารอันโอชะหรือพญามัจจุราช (Part 1)
Next: เนื้อสัตว์อาหารอันโอชะหรือพญามัจจุราช (Part 3 - ศีลธรรมและข้อแนะนำทางโภชนาการ)

reply share




ปลาและกุ้งจำนวนมหาศาล ที่ถูกเลี้ยงด้วยการผสมพันธุ์จะถูกขังอยู่ใต้ท้องทะเล ผู้เลี้ยงจะใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งการเจริญเติบโตและป้องกันแมลงใต้น้ำ หมักทะเล ในแต่ละวันสัตว์เหล่านี้จะถูกคร่าชีวิตเพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคนับล้านๆตัว


ท้องทะเลในปัจจุบันมีสารเคมีปนเปื้อน กว่าสิบล้านชนิด มันจะซึมเข้าไป อยู่ในตัวปลา ผู้ที่บริโภคเนื้อปลาก็จะได้รับสาร Poly -chlorinated Bi -Phenyls และพิษจากสารปรอทเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เป็นโรคตับอักเสบเป็นอัมพาต สตรีคลอดลูกยาก เป็นต้น


เนื่องจากไม่มีขั้นตอนและมาตรฐาน ในการตรวจสอบระดับปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะและสารเคมีในตัวปลา ปลาเหล่านี้จึงเกิดโรคผิวหนัง โรคมะเร็ง และโรคติดต่อมากมาย

บันทึกโรคแทรกซ้อน ดร.นิมิตร มรกต
พยาธิตัวจี๊ด เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะปลากับกบ แต่ในเนื้อหมู เนื้อไก่ก็มี ถ้ากินแบบไม่สุก จะเกิดอาการบวมเคลื่อนที่เป็นระยะๆ อาจจะบวมที่มือ วันต่อไปอาจบวมที่แขน เคลื่อนไปเรื่อยๆ เจ็บแบบจี๊ดๆ ถ้าขึ้นสมองก็จะเสียชีวิต
พยาธิชนิดนี้เป็นในลักษณะชีส อยู่ในเนื้อปลาหรือในตับปลาทั่วไปจะมีได้หมด ในเนื้อไก่ เนื้อหมูก็มี ที่หัวจะมีหนามและหัวที่เรียกว่ากระเปาะจะยุบและพองได้ และจะไชได้ พยาธิตัวนี้จะไชไปข้างหน้าและไม่ถอย ถ้าตัวใหญ่ขนาด 3 มม. ก็จะทำให้เกิดการอักเสบ และบวมในบริเวณนั้นๆ
นอกจากนี้ พยาธิตัวตืดในปลา ก่อให้เกิดโรคโลหิตจางอย่างรุนแรง



ปลาเหล่านี้เมื่อถูกล่าและถูกทำร้าย มันจะเกิดภาวะกดดัน หัวใจจะเต้นเร็ว ระบบควบคุมประสาทและประสาทรับความรู้สึกจะเกิดอาการช๊อค หายใจแรงขึ้น ภูมิคุ้มกันก็จะลดลง


ตัวที่ได้รับบาดเจ็บ จะอ้าปากค้าง หายใจเร็วและแรง ตาเบิกกว้างเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดมันจะดิ้นทุรนทุรายบิดตัวไปมาอย่างทรมานจนหมดสติและตายในที่สุด


โดยเฉพาะปลาที่ติดเบ็ด มันจะพยายามจนสุดแรงเพื่อสะบัดตัวให้หลุด แม้ปากของมันจะฉีกขาดเป็นชิ้น ๆ เจ็บปางตายแค่ไหน มันก็ยังคงดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอดแต่จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของมนุษย์ ขณะที่มันเกิดอาการหวากกลัวอย่างรุนแรงนี้ สารเคมีที่เป็นพิษจะหลั่งออกมาและซึมอยู่ทั่วทั้งตัว


ก่อนปลาเหล่านี้ถูกนำมาวางขาย ต้องทนรับกับความเจ็บปวดทรมาน มันจะถูกงดอาหารอยู่หลายสัปดาห์เพื่อเป็นการล้างท้องไม่ให้สิ่งสกปรกเหลือปะปนอยู่ บ้างต้องตายเพราะถูกตีหัว บ้างตายเพราะถูกผ่าท้องถลกหนัง บ้างก็ถูกฝังทั้งเป็นในน้ำแข็งเพื่อให้คงความสดของเนื้อเอาไว้


พ่อค้าจะจับปลาทั้งเป็นๆ มาขอดเกล็ด แล้วสับเป็นชิ้นๆบางตัวถูกผ่าท้องควักไส้ทั้งที่มันยังไม่ทันตาย อนิจจัง...แม้นจะถูกชำแหละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่วายปากและหางของมันยังเคลื่อนไหวด้วยความเจ็บปวดจนหมดลมหายใจ เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วจะกินเล


แก้ไขล่าสุดโดย muntana เมื่อ 28 ต.ค. 2010, 19:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2010, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5113

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอสารภาพว่าอ่านไม่จบ กลัวจะช็อค


แต่เราเดาได้ไม่ยากว่า อาหารหลายอย่างในโลกนี้มันเต็มไปด้วยพิษ ทั้งพิษจากอาหารเองโดยตรงและพิษที่เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคของเรา

ทางแก้....แก้ที่ตัวเราและดูแลคนในครอบครัวด้วยการ...กินอยู่แต่พอดีๆ กินหมู ไก่ ปลา ไข่ ผัก ฯลฯ ในปริมาณที่เหมาะสม อย่างน้อย...นอกจากจิตใจดี กายดี โรคน้อยแล้ว ก็คงช่วยให้ได้รับสารพิษมั่ง อะไรมั่งน้อยลงหน่อย จะได้ไม่เร่งวันตายตัวเองมากนัก

อาหารที่ชาวบ้านผลิตเองก็อย่าคิดว่า ดีที่สุด สะอาด ธรรมชาตินะคะ สมัยนี้ไม่มีแล้วธรรมชาติล้วนๆน่ะ ปลาในตลาดก็ซัดยามาตั้งแต่ในเรือแล้ว เพราะใช้แต่น้ำแข็งเอาไม่อยู่(จากกลางทะเล)ไม่ใช่แค่น้ำแข็งแพงหรอก แต่เพราะว่า การหาปลาก็ต้องออกไปหาหลายวันมากขึ้นเพื่อให้คุ้มต้นทุนต่างๆดังนั้นเมือ่ได้ปลาแล้วจึงต้องฟรีซในเรือหลายวัน น้ำแข็งมันเอาไม่อยู่ (ฟังแพปลาเขาเล่ามาอีกที)

เนือ้หมู ที่ฆ่าเองก็มีขายค่ะ ไม่ผ่านโรงฆ่าสัตว์ก็มีนะ ก็มีทั้งสารเ่ร่ง สารพัด บางทีปล่อยให้มันกินลูกปาล์ม ไขมันของหมูจะเหลืองเข้ม บอกไม่ถูก ครั้งก่อนนู้นซื้อมาต้มจืด สุกแล้วยังเนื้อชมพู(เหมือนดิบ) เราทิ้งทั้งหม้อเลย ไม่กล้ากินจริงๆ

สรุปว่า เราว่า กินพอดีๆ ดีที่สุด ยังไงคนเราก็ต้องตายอยู่ดี กินหรือไม่กินก็ตาย เอาแค่ว่า ระวังยังไม่ตายอย่าให้เป็นโรคเพราะพฤติกรรมการกินก็พอ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2010, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สงสัยการเกิดเป็นสัตว์นรก ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่บนโลกมนุษย์ นี่ซะละกระมัง

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2010, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2008, 20:41
โพสต์: 448

ที่อยู่: bangkok, Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตที่ปลายมีด

Tagged with: ชีวิต ทางลัด นก
ชีวิตที่ปลายมีด
ชีวิตที่แสนเศร้าใจ ไม่คิดว่ามนุษย์จะทำได้ ไร้ซึ่งความปราณี

Tagged with: ชีวิต มังสวิรัติ ร่ำไห้ สัตว์

http://www.mindcyber.com/?tag=%e0%b8%8a ... 4%e0%b8%95
--------------------------------------------------------------------------------


แก้ไขล่าสุดโดย muntana เมื่อ 20 ต.ค. 2010, 20:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron