วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 15:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2014, 14:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


บันทึกนี้เป็นส่วนที่ขยายความของบันทึก มหัศจรรย์ฝันรู้ตัว (Lucid Dreaming) โปรดอ่านบทความดังกล่าวนี้ก่อน

http://www.gotoknow.org/posts/91444

เทคนิคในการทำให้เกิดความฝันรู้ตัว

แม้ว่าความฝันรู้ตัวจะเกิดขึ้นได้เองเป็นบางครั้ง แต่หากต้องการจะฝันรู้ตัวโดยตั้งใจแล้วละก็ คุณจะต้องมุ่งมั่น โดยมีแรงบันดาลใจหนุนหลัง อีกทั้งยังต้องใช้ความพยายามพอสมควรทีเดียว

หากไม่นับเทคนิคที่เป็นภูมิปัญญาโบราณแล้ว ตัวอย่างเทคนิคสมัยใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
การหวนระลึกถึงความฝัน (Dream Recall) :

ผู้เชี่ยวชาญด้านความฝันรู้ตัวบอกว่า เงื่อนไขสำคัญอย่างแรกสุดที่คุณจะต้องทำให้ได้ก็คือ สามารถจดจำความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้เป็นอย่างดี
คุณอาจสงสัยทำไมต้องจำความฝันได้ด้วย?

คำตอบก็คือ หากคุณจำความฝันได้อย่างแม่นยำ คุณก็จะคุ้นเคยกับความฝันของคุณเองจนสามารถจดจำรูปแบบและลักษณะเด่นๆ ได้ รูปแบบและลักษณะเด่นๆ ที่ว่านี้แหละที่จะช่วยให้คุณรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ในการฝันครั้งต่อๆ ไป ในทางกลับกัน หากคุณเป็นคนที่จำความฝันไม่แม่น ก็เป็นไปได้ว่า แม้คุณจะฝันรู้ตัว (ตอนกำลังนอน) แต่พอตื่นขึ้นมาก็ลืมหมด อย่างนี้ก็เท่ากับเสียของนั่นเอง

เรื่องการฝึกจำความฝันนี้ อาจใช้การจดบันทึกลงใน สมุดบันทึกฝัน (ฝรั่งเรียกว่า dream journal) ซึ่งจะช่วยให้คุณจำได้แม่นยำขึ้นเรื่อยๆ

การทดสอบว่าสภาวะที่เป็นอยู่นั้นว่าจริงหรือเปล่า (Reality Testing) :

เทคนิคนี้คล้ายๆ กับที่สอนกันว่า ถ้าไปเจออะไรที่แปลกๆ หรือไม่ชอบมาพากล แล้วให้ลองหยิกตัวเองดูสักที ถ้าเจ็บก็จะได้รู้ว่าจริงนะ ไม่ได้ฝัน แต่นักวิจัยบอกว่า เทคนิคนี้สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักฝันมือใหม่ โดยคุณจะต้องปฏิบัติหลายๆ ครั้งในวันๆ หนึ่ง
วิธีการง่ายๆ เช่น ลองอ่านหนังสือสักข้อความหนึ่ง จากนั้นให้หันไปมองที่อื่น แล้วกลับมาอ่านใหม่อีกครั้งว่าข้อความในหนังสือยังเหมือนเดิมไหม หรือ ลองเพ่งจิตให้ข้อความในหนังสือเปลี่ยนแปลงไป

ฟังดูแปลกๆ พิลึก แต่เชื่อไหมว่า จากการวิจัยพบว่า หากคุณกำลังฝันรู้ตัวอยู่ ข้อความบนหน้าหนังสือนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปได้ถึง 75% ในการอ่านซ้ำครั้งแรก และอาจถึง 95% ในการอ่านซ้ำครั้งที่สอง



สัญลักษณ์ที่บ่งว่ากำลังฝัน (Dreamsigns) :

สิ่งที่ปรากฏในความฝันที่ทำให้ผู้ฝันรู้ตัวว่าตัวเองกำลังฝันอยู่แน่ๆ เช่น รู้สึกว่าตัวเองกำลังเหาะเหินเดินอากาศอยู่อย่างเพลิดเพลิน เห็นสัตว์ที่มีรูปร่างหรือสีสันแปลกๆ พบเจอกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว หรือ รัฐบาลประกาศว่า หวยใต้ดินได้หมดไปจากเมืองไทยแล้ว อะไรทำนองนี้
คุณต้องศึกษาความฝันของตัวเองจนกระทั่งคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ที่บ่งว่าคุณกำลังฝัน สัญลักษณ์นี้แตกต่างกันไป ของใครของมัน โดยหากเจ้าสัญลักษณ์นี้โผล่ขึ้นมาอีกเมื่อไร คุณก็จะมั่นใจว่ากำลังฝันอยู่แน่ๆ


การเหนี่ยวนำความฝันรู้ตัวโดยใช้เครื่องมือช่วยจำ (Mnemonic Induction of Lucid Dreams - MILD) :

เทคนิคนี้เรียกย่อๆ ว่า ไมลด์ (MILD) และมีขั้นตอนหลัก 4 ขั้น ดังนี้
ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะตื่นขึ้นในระหว่างที่กำลังนอนอยู่ และหากกำลังฝัน ก็จะจดจำความฝันนั้นไว้
ก่อนล้มตัวลงนอนใหม่ ให้ตั้งใจว่าจะต้องรู้ตัวให้ได้ว่ากำลังฝันในระหว่างหลับครั้งต่อไป โดยอาจบอกตัวเองว่า “คราวหน้าหากฝัน ฉันจะรู้ตัวว่ากำลังฝัน” ดร. ลาเบิร์จบอกว่าให้ท่องประโยคนี้ซ้ำๆ เหมือนท่องบ่นมนตรา โดยมีสมาธิแน่วแน่
ขณะที่กำลังท่องมนตร์อยู่นั้น ก็ให้จินตนาการพร้อมๆ กันไปด้วยว่า ได้กลับเข้าไปในฝันที่เพิ่งฝันก่อนตื่นขึ้นมา (หรืออาจจะเป็นฝันอื่นที่จดจำได้) และแสร้งทำเป็นรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ โดยมองหาสัญลักษณ์ที่บ่งว่าคุณกำลังฝันไปด้วยพร้อมๆ กัน
ทำขั้นตอนที่ 2 และ 3 ซ้ำจนคุณผล็อยหลับไป หรือจนกระทั่งความตั้งใจแน่วแน่เข้าที่ คือคิดแต่ว่าจะต้องรู้ตัวขณะกำลังฝันให้จงได้
เทคนิค MILD นี้คิดค้นโดยตัว สตีเฟน ลาเบิร์จ เอง และเป็นส่วนหนึ่งในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเขา


การงีบหลับ (Napping) :

จากการศึกษาพบว่า การตื่นขึ้นมาระหว่างที่กำลังหลับเพลินๆ อยู่นั้นสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการฝันรู้ตัวได้ หากใช้เทคนิคนี้ คุณต้องตื่นก่อนเวลาตื่นปกติราวๆ 1 ชั่วโมง แล้วอยู่ต่อสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ไปนอนต่อ
ผลจากการศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า วิธีนี้จะเพิ่มโอกาสในการฝันรู้ตัวได้ราว 15-20 เท่า เมื่อเทียบกับการไม่ใช้เทคนิคใดๆ เลย โดยในระหว่างที่ตื่นอยู่นี้ ดร. ลาเบิร์จ แนะนำว่า คุณควรอ่านบทความเกี่ยวกับการฝันรู้ตัว (ต้องเป็นหนังสือของเขาหรือเปล่าหว่า?) จากนั้นก็ทำการทดสอบความเป็นจริง และต่อด้วยเทคนิค MILD ในขณะที่ค่อยๆ ผล็อยหลับไป


ประวัติของบทความ :

บันทึกนี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของบทความ มหัศจรรย์...ฝันรู้ตัว ซึ่งเคยตีพิมพ์ในนิตยสาร สารคดี ฉบับเดือนมกราคม 2550 : บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย บัญชา ธนบุญสมบัติ

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อก่อนดิฉันเคยเล่นหวยบ้างเป็นบางครั้ง แต่ตอนนี้เลิกเล่นแล้วค่ะ
เคยฝันมีคนมาบอกให้ท่องหวย เลข 3 ตัว
ในฝันก็ฝันอยู่ในห้องนอนนั่นแหละ แต่มีกระดานดำเหมือนห้องเรียน และก็มีผู้ชายตัวใหญ่ๆ ดำๆ
เสื้อไม่ใส่เห็นกล้ามเป็นมัดๆ เลยค่ะ
มีเขียนตัวเลขเขียนไว้บนกระดาน 3 ตัวแล้วคุณผู้ชายคนนี้แกก็ยืนเอาไม้ชี้ตัวเลขให้เราท่อง เหมือนครูกับนักเรียนอย่างไรอย่างนั้นเลยค่ะ ดิฉันก็เป็นนักเรียนที่ดีค่ะ ท่องตามไม่ดื้อท่องไปท่องมาอยู่พักหนึ่งในฝัน

พอตื่นมาตอนเช้าก็จำตัวเลขได้แม่นยำ เป๊ะๆ แล้วก็ซื้อหวยที่ทำงาน เรียกว่าทุ่มสุดตัวแบบคนจน
ถ้าถูกก็ได้หลายหมื่นค่ะ ปรากฏว่าเลขที่ออกนั้น เลข 3 ตัวเรียงมาถูก 2 ตัวแรก แต่ตัวสุดท้าย มันลดมาหนึ่งคลิ๊ก ตอนนั้นก็คิดว่าทำไมคนหมุนไม่ออกแรงอีกจี๊ดหนึ่ง (จำตัวเลขไม่ได้แล้วหลายปีแล้ว)

ยกตัวอย่างให้เข้าใจคือเลข 3 ตัวที่ท่องในฝันสมมุติคือ 589
แต่หวยออก 588 มันเป็นอย่างนี้แหละค่ะ

แต่ที่น่าทึ่งมากกว่าเรื่องหวย คือเรื่องนี้ค่ะ ในบริเวณนั้น สมัยก่อนโน้นๆๆๆ มีคนเคยตกต้นหมากตายค่ะ
คนที่ตายเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ผิวดำตกต้นหมากลงมาตายคาที่ ปัจจุบันนี้เค้าไปทั่วบริเวณนั้นแหละค่ะ
เมื่อเร็วๆ นี้ก็ไปเดินอยู่ในบ้านคนแถวนั้น เรียกว่าเห็นกันสดๆ คนเค้าก็ทำบุญไปให้แกค่ะ

มีคนเห็นแกเยอะ ทั้งเห็นสดๆ และเห็นในฝัน มาเล่าสู่กันฟังก็คนเดียวกันนี้แหละค่ะ
แหม๋ มีการแวะมาห้องนอนของดิฉันด้วย มาบอกหวยตอนดึก แต่ทำไมไม่บอกให้ลดตัวหลังด้วย

มีป้าแกที่บ้านอยู่บริเวณนั้นมาถามว่า ดิฉันเคยเห็นผู้ชายคนนี้มั้ย แล้วป้าแกก็บอกรูปร่างผิวพรรณให้ฟัง
ดิฉันก็บอกว่ารู้จัก เคยเจอในฝัน :b12: ก็เค้านั่นแหละเจ้าถิ่นที่ตกต้นหมากตายค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 16:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

ทำไมผีต้องบอกหวยให้ไม่ตรงด้วยล่ะ... :b10:

เน๊อะ

แค่แต้มเดียวเอง จะบอกให้ตรง ๆ หน่อยก็ไม่ได้เน๊อะ... :b12:

:b1:

เรื่องร่างดำ ๆ
จริง ๆ มีช่วงหนึ่ง แม่อยู่บ้านคนเดียว
แม่เอกอนกำลังนอนเคลิ้ม ๆ อยู่ ๆ ก็ถูกเงาสัตว์ตัวดำ ๆ กระโดดเข้าใส่
แม่ก็ท่องมนต์สู้ และมันก็ทำเสียงงู๊งี๊ และหายไป

และในช่วงนั้นเอกอนก็ปิดเทอม กลับมาบ้าน
ก็มีวันหนึ่ง เอกอนกำลังหลับ แต่เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น
เอกอนรู้สึกถึงมีเงาสัตว์สีดำ ๆ เดินย่องขึ้นบันไดมาและมาแอบจ้องอยู่ตรงประตู
เอกอนก็จ้องไปที่มัน เมื่อมันเห็นเราไม่เผลอ มันก็หลบฉากไป

เอกอนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา และทบทวนสิ่งที่รู้สึกเมื่อตะกี๊
คือ ในนั้นเอกอนรู้สึกเหมือนว่า มันเป็นจิตของคนที่เล่นของแล้วของเข้าตัวน่ะ
ซึ่งมันก็จะเข้ามาจัดการกับคนที่จิตตกน่ะ
ถ้าจิตแข็ง ไม่เผลอมันก็เข้ามาทำอะไรไม่ได้

เอกอนก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอตอนเย็นก็ไปงานเลี้ยงกับแม่
แม่ก็เล่าเรื่องเงาสัตว์สีดำให้เพื่อน ๆ ในวงฟัง

เอกอนก็บอกว่า เอกอนก็เจอ ...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2014, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


คือเราไม่ใช่คนเล่นหวยมืออาชีพ จึงไม่รู้เคล็ดวิชาเค้าค่ะ เรามันแค่มือสมัครเล่นจึงไม่รู้ว่าถ้าผู้หญิงฝัน
เค้าให้ลดตัวสุดท้ายลง 1 .....แหม๋ มารู้เอาเมื่อสายเสียแล้ว
เคยถูกหวยด้วยครั้งหนึ่ง แต่บังเอิญเจ้ามือหวยถูกตำรวจจับ เป็นอันว่าถูกหวยแต่เป็นโมฆะเพราะเจ้ามือโดนตำรวจจับ ...อาภัพจริงๆ เรื่องนี้

ที่เอกอนเล่าว่าเงาสัตว์สีดำๆ นี่ขอบอกว่าสยองมาก :b14:
เอกอนกับแม่ก็เก่งไม่เบาเหมือนกันนะคะ คุณไสยทำอะไรแม่ลูกคู่นี้ไม่ได้ :b4:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2014, 13:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ที่เอกอนเล่าว่าเงาสัตว์สีดำๆ นี่ขอบอกว่าสยองมาก :b14:
เอกอนกับแม่ก็เก่งไม่เบาเหมือนกันนะคะ คุณไสยทำอะไรแม่ลูกคู่นี้ไม่ได้ :b4:


น่ากลัวจริง ๆ ด้วย :b5: :b14: :b5: :b14:

...เมื่อวานเอกอนก็เข้ามาตอบกระทู้เพิ่มเติมรอบนึง
แต่...ก็เปลี่ยนใจลบ เพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่เล่านัก

สำหรับแม่ แม่เป็นคนใจเด็ด ใจแข็ง
และแม่ก็สวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แม่เชื่อถืออย่างหมดใจไว้ตลอด
แต่ตอนนั้นห่วงหลุด แม่ต้องถอดเอาไปซ่อมที่ร้านทอง
เหลือแต่หลวงพ่อวัดปากน้ำ... :b1:
พอเกิดเหตุการณ์นั้น
แม่ก็รีบกลับไปเร่งร้านทองให้ซ่อมให้เสร็จและเอากลับมาสวมทันที

ส่วนเอกอน ไม่มีอะไร ไม่ได้มีวิชาความรู้ความสามารถอะไร
เพียงแต่...ก่อนที่จะเกิดเหตุ อาจารย์มาหาเอกอนและบอกว่า
แถวละแวกบ้าน มีคนเล่นคุณไสยมาอาศัยอยู่ในละแวก
และเขาจะใช้วิชาเข้าไปครอบงำ จะทำให้ผู้ที่โดน เกิดจิตวิปริต วิปลาส
จิตจะร้อนรุ่ม อาจจะป่วย ฉุนเฉียว และชีวิตโดยรวมของเขาร้อนเป็นไฟ ประสบปัญหาประดังเข้ามา
ซึ่งเราจะได้เจอเขาส่งของมาหาแน่ ...
อาจารย์ก็ไม่ได้สอนวิชาอะไรให้ป้องกันตัวสักอย่าง ...
อาจารย์บอกว่า การสู้ ไม่ว่าจะสู้ด้วยวิธีไหน
คือการสู้ ผลที่ออกมามันไม่เป็นคุณต่อทั้งผู้แพ้ และผู้ชนะ
จิตที่คิดทำอะไรลงไปเพื่อป้องกันตัวเอง
บางครั้งใจเราอาจจะก้าวไปสู่การสู้อย่างไร้ความเมตตาปราณีได้
และมันก็จะเป็นวังวนแห่งอารมณ์ที่เราอาจจะหลุดออกมาจากมันได้ยาก
ถ้าจะสู้ ก็คือ...จงทำใจ ให้ใช้ความดีของเรา ให้ผู้ที่คิดจะทำร้ายเรานั้น ปราณีกับเราเถอะ
อาจารย์บอกว่า ความกลัว-กิเลส ในตัวเราจะเป็นแรงดึงดูด
อาจารย์บอกว่า ให้วางใจในคุณธรรมที่เราได้สะสมมา พยายามทรงจิตตัวเองเอาไว้ อย่าหวั่นไหว
ความกลัว/กิเลส จะเป็นแรงดึงดูดพลังงาน ถ้ามันไม่ปรากฎในจิตเรา
หรือกำลังมันไม่เพียงพอที่จะดึงดูดพลังที่เขาส่งมา สิ่งนั้นก็จะไม่เข้ามา เข้ามาไม่ได้
เพราะถ้าเข้ามาจิตเขาก็จะกระทบกับกระแสพลังงานที่ทำให้จิตเขาอ่อนลง
...
ให้มั่นใจว่า แม้แต่อสูรที่ชั่วร้ายที่สุด ก็จะไม่เข้ามาข้องกับจิตลักษณะหนึ่ง
ให้อสูรที่ว่าร้ายที่สุด ก็มี ใจอ่อน ละอาย ยั้งมือ สำนึกในศีล
และด้วยอารมณ์นี้ จะทำให้เขาละอายจนต้องหนี อยู่ในละแวกต่อไปไม่ได้
...

เอกอนก็ทำใจไว้พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่อาจารย์มาเตือนอยู่แล้ว
ซึ่งพอเห็น ก็เลยวางใจตามที่อาจารย์บอก
คือ พยายามทรงจิตให้นิ่งเฝ้ามองสิ่งนั้น ให้สิ่งนั้นตัดสินใจเอง ...
:b14: :b5: :b14: :b5:
...
:b1: ...เขาจึงหันหลังกลับไป...ไม่เข้ามา...

:b8: :b8: :b8:

คืออาจารย์เอกอนท่านนี้
ตั้งแต่ต้น ท่านสอนให้เอกอนวางใจให้เหมือนตนเองเป็นเพียงขี้ดิน
ที่...เชื่อใจ ไว้ใจ วางใจ แล้วแต่ธรรม(แวดล้อม)จะปราณี...

อาจารย์บอกว่า ลองทำใจดู
ถ้าเราไม่สร้างแรงกดดันให้กับสิ่งแวดล้อม(ธรรม)
สิ่งแวดล้อม(ธรรม)ก็จะไม่สะท้อนแรงกดดันกับเรา

:b1:

คือเอกอนก็เลยไม่เคยคิดว่าเอกอนเก่ง
เพราะ ... ไม่ใช่ว่าเอกอนทำการต่อสู้กับเขา เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายละเว้นปราณีเราเอง

:b8: :b8: :b8:

ซึ่งหลังจากนั้น 3 วัน
ก็มีข่าวหญิงคนหนึ่งย้ายกลับไปอยู่บ้านนอก ... ทันที
หลังจากที่ย้ายมาอยู่กับลูกเป็นเวลาหลายเดือน ไม่มีวี่แววว่าจะไป แต่อยู่ ๆ ลูกเขาก็บอกว่า
แม่ดื้อจะไปท่าเดียว ไม่ยอมอยู่ บอกว่า อยู่ไม่ได้แล้ว
ซึ่งแม่เขาคนนี้ล่ะ ที่ชาวบ้านต่างซุบซิบกันในหมู่บ้าน
ว่าคือคนเล่นของที่เที่ยวปล่อยของใส่คนในหมู่บ้าน

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2014, 13:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสมองที่น่าสนใจ... :b1: :b1:
เอามาแบ่งปัน

บางส่วนจากหนังสือ
"โลกจิต"
เขียนโดย แทนไท ประเสริฐกุล

10 อันดับอาการบาดเจ็บทางสมองยอดเยี่ยม (ตอน2)
....

อันดับที่ 5 อันนี้ไม่ใช่โรคนะครับ แต่เป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่น่าสนใจ
ก่อนหน้านี้เรามักจะคิดกันว่า อาการบาดเจ็บทางสมองจะต้องนำมาแต่เรื่องร้าย ๆ เท่านั้น
แต่ปรากฏว่าเมื่อต้นปี 2007 ทีมวิจัยของด๊อกเตอร์เบชาร่า(Antoine Bechara) ที่มหาวิทยาลัย
เซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย เพิ่งจะค้นพบเป็นครั้งแรกว่า การที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน
บางทีก็สามารถก่อให้เกิดผลดีได้เหมือนกัน
กลุ่มผู้ป่วยที่ด็อกเตอร์เขาศึกษา เดิมล้วนเป็นคนที่สูบบุหรี่มาก่อนทั้งสิ้น ทว่าพอหลังจากเกิดเรื่อง
ขึ้นกับสมอง ผลปรากฏว่ามีจำนวนไม่น้อยเลย ที่สามารถเลิกบุหรี่ได้เองอย่างฉับพลันโดยอัตโนมัติ
เลิกแล้วเลิกเลยเป็นปลิดทิ้ง ราวกับเป็นปาฏิหาริย์ก็ว่าได้
……คนไข้คนหนึ่งวัยกลางคน สูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 สูบมากถึงวันละ 40 มวน
แต่พอได้รับการผ่าตัดปุ๊บ ฟื้นมาวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าตั้งแต่นั้นมาแกก็ไม่สูบบุหรี่อีกเลย
เรียกว่า เลิกได้อย่างถาวร
ลุงแกให้สัมภาษณ์ว่า จริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเลิกด้วยซ้ำ เพียงแต่อยู่ๆร่างกายมันก็เหมือนกับ
ลืมไปเอง.... ว่าไอ้ความรู้สึกอยากยานี้มันเป็นยังไง เรื่องราวของคนไข้อื่นอีก 10 กว่าคนก็เป็นทำนองเดียวกัน

ทุกคนได้รับความเสียหายที่บริเวณสมองส่วนเดียวกันหมด นั่นก็คือ ส่วนที่มีชื่อว่า Insula
ซึ่งตั้งอยู่ลึกลงไปนิดหน่อยตรงตำแหน่งขมับเหนือหูขึ้นมานิดนึง
.....

ส่วนคนที่จะเลิกนิสัยเสพติดอย่างอื่น อย่างเช่น ติดเหล้า หรือติดโค้ก จะทดลองวิธีนี้ด้วยก็ได้
เพราะ อินซูล่าจริง ๆ แล้วดูเหมือนจะรับผิดชอบเรื่องความรู้สึกอยาก ความรู้สึกติดหลาย ๆ อย่าง
ไม่ใช่เพียงแค่บุหรี่อย่างเดียวมันเป็นสมองส่วนที่คอยเรียนรู้ที่จะจดจำความสบายของร่างกาย
หลังจากได้รับอะไรบางอย่าง(หรือไม่ก็ ความไม่สบายหลังจากขาดอะไรบางอย่าง) จากนั้นจะค่อย
ส่งสัญญาณไปกระตุ้นสมองส่วนที่อยู่เหนือขึ้นไป ซึ่งเป็นตัวกำหนดสติความรับรู้ของคนเรา
ให้เกิดความลงแดง ความอยากได้ความรู้สึกเหล่านั้นขึ้นมา เหตุนี้เอง คนที่วงจรในส่วนนี้ขาดไป
ไม่มีอินซูล่าคอยกระตุ้นจึงไม่รู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากเสพใด ๆ ทั้งสิ้น
.....

นอกจากความอยากแล้ว ตัณหาที่กลับด้านกันคือ “ความไม่อยาก” ก็เกี่ยวข้องกับการทำงานของอินซูล่าด้วย
เช่น ความกลัวเจ็บ ความขยะแขยง ความอับอาย ไม่กล้าสู้หน้าคน ฯลฯ
ที่ผ่านมามีงานวิจัยน่าสนใจมากพบว่า ในผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำจะมีอินซูล่าที่หนาและหยักกว่าปกติ
นั่นอาจจะสะท้อนถึงการมีสติรู้ทันสภาวะกายใจตนเองมากกว่าคนทั่วไป และอาจรวมไปถึงอำนาจ
ควบคุมที่จะดับกิเลสตัณหาต่าง ๆ



smiley

สนับสนุนเด็กไทย และนักปฏิบัติธรรม ให้รักการอ่านค่ะ...
งานวิจัยที่เอื้อและมีคุณประโยชน์ต่อการศึกษาปฏิบัติธรรม
ต่อผู้ที่สนใจค้นหาความจริงเกี่ยวกับความเป็นไปแห่งชีวิต
ให้ได้มีความรู้ความเข้าใจอยู่บนหลักพื้นฐานความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจก็มีอยู่เยอะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2014, 23:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


จริง ๆ ในหนังสือเรื่อง "โลกจิต" มีภาวะทางจิตที่น่าสนใจอีกมากมาย
อย่างเช่น อาการของ Synesthesia

Synesthesia เป็นลักษณะอาการที่มีการโยงสัมผัสหนึ่งเข้ากับอีกสัมผัสหนึ่ง
อย่างเช่น ได้ยินเสียงแหลม ๆ ก็จะนึกเห็นภาพวัสดุรูปทรงแหลม ๆ
แต่ที่เป็นเคสที่น่าสนใจ คือ การเห็นตัวเลข และเห็นสี
อย่างเห็นเลข 1 เป็นสีแดง 2 เป็นสีน้ำเงิน 3 เป็นสี... ประกอบการเห็นไปทุกครั้ง
ไม่ว่าอักษรนั้นจะเขียนด้วยสีใดก็ตาม

คนที่สามารถเห็นแสง เห็นออร่า ได้ก็ด้วย อาการที่ว่านี้

และก็พบว่า คนตาบอดสี ก็ปรากฎอาการซินเนสเตเซียได้
และแม้แต่คนตาบอด ก็ปรากฎอาการซินเนสเตเซียได้
เป็นการเห็นที่สมองสร้างขึ้น ... :b1:

Idiot Savant หรือ อัจฉริยะปัญญาอ่อน
คือ เป็นผู้ที่มีพัฒนาการหรือสติปัญญาที่ต่ำกว่าคนทั่วไป
แต่กลับมีพรสวรรค์เป็นอัจฉริยะระดับสุดยอดในด้านแคบ ๆ
ปัจจุบัน ใช้คำว่า Savant เฉย ๆ
ซึ่ง Savant ส่วนใหญ่จะเกิดมาพร้อมก้บอาการออทิสติก

Savant ที่น่าสนใจคนหนึ่งคือ แดเนียล แทมเม็ต
เป็นออทิสติกอ่อน ๆ มีพรสวรรค์ในด้านความจำ และเขามีอาการของ ซินเนสเตเซีย ... :b1:
เขาเป็นคนที่คิดเลขได้ไว และการคิดเลขของเขาก็ไม่ปกติ
ตรงที่ว่า เขาเองก็อธิบายไม่ถูก
เขาบอกว่าเขามองเห็นตัวเลขขึ้นมา และเห็นเป็นภาพ เป็นสี เป็นรูปร่าง เป็นไฟ
เป็นแสง ๆ ต่าง ๆ นานา เสร็จแล้วพอจับมาชนๆ จิ้มๆ ผสมๆกัน
สุดท้ายก็ออกมาเป็นคำตอบเอง ...

นักปฏิบัติธรรม คุ้น ๆ อาการเหล่านี้กันบ้างหรือไม่ ... :b1:

นักวิจัยทดสอบอาการของกลุ่ม Savant พบว่า
พวก Savant จะมีความผิดปกติที่สมองซีกซ้ายส่วนหน้า
ทำให้ความสามารถของสมองส่วนนี้อ่อนกว่าคนธรรมดา
ซึ่งทำให้สมองอีกส่วนที่ปกติจะถูกสมองส่วนนี้ข่ม
แสดงตัวแข็งแรงออกมาอย่างเด่นชัด คือการคิดแบบสมองซีกขวานำ
การค้นพบนี้มาพร้อมกับทฤษฏี "ปลดปล่อยซีกขวาให้เป็นอิสระจากซีกซ้าย"

:b1: :b1: :b1:

เอกอนเคยเห็นลักษณะการปรากฎของอาการ ซินเนสเตเซีย และ Savant
ยังจำการปรากฎของมันได้ และเฝ้าตั้งข้อสังเกตสิ่งที่ปรากฎมาโดยตลอด

มีช่วงหนึ่ง สายตาเอกอนแปลกไป อ่านพระไตรปิฎก และเห็นเป็นเลขฐาน
เป็น code ที่มีท่วงทำนองจังหวะที่สอดคล้องกับจังหวะของจักรวาล
และเห็นรูปทรง สี แสง และก็เห็นการจับนั่น ชนนี่ เชื่อมโน่น
และมันก็เป็นความเข้าใจของมันขึ้นมาเอง ...

ไม่ได้เป็นเช่นนั้นได้ตลอด ...

:b1:

ยังมีอีกหลายอาการทางจิต ที่น่าสนใจ

...
บางทีเอกอนคิดว่า นักปฏิบัติธรรมได้มีความรู้ไว้บ้างก็ดี
เพราะ...การปฏิบัติธรรมบางอย่าง
มันเป็นการไปยุ่งวุ่นวายกับการทำงานต่าง ๆ ของสมอง
ทำให้เกิดกระแสลัดวงจรในสมองขึ้นได้... :b14: :b32: ...
ซึ่งกระแสที่ลัดวงจร ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปรากฎบางอย่างขึ้นมาได้... :b12:
...

ยิ่งนักปฏิบัติเป็นผู้ที่ชอบสังเกตปรากฎการณ์ต่าง ๆ อันสืบเนื่องจากการปฏิบัติ
และยิ่งมีความรู้เรื่อง "จิต" มากเท่าไร
ก็อาจจะยิ่งเชื่อมโยง ศาสนากับวิทยาศาสตร์ ให้เข้าใกล้กับได้มากยิ่งขึ้น

:b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร