วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 12:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2009, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดังกล่าวข้างต้นว่า =>


ทั้งรูปฌาน ๔ และอรูปธรรม ๔ เรียกรวมกันว่า สมาบัติ (๘)

ภาวะจิตในฌานนั้น เป็นภาวะที่สุขสงบผ่องใส ไม่มีความเศร้าหมองขุ่นมัว ไม่มีสิ่งรบกวน

ให้สะดุด หรือ ติดข้องอย่างใดๆ เรียกว่าปราศจากนิวรณ์




(ดูคำอธิบายและรายละเอียดรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ สักเล็กน้อย)


การเจริญสมาธินั้น จะประณีตขึ้นไปเป็นขั้นๆ โดยลำดับ ภาวะจิตที่มีสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิ

แล้ว เรียกว่า ฌาน (absorption)

ฌานมีหลายขั้น ยิ่งเป็นขั้นสูงขึ้นไปเท่าใด องค์ธรรมต่างๆ ที่เป็นคุณสมบัติของจิต

ก็ยิ่งลดน้อยลงไปเท่านั้น


ฌาน โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ระดับใหญ่ๆ และแบ่งย่อยออกไปอีก ระดับละ 4 รวมเป็น 8

เรียกว่า ฌาน 8 หรือสมาบัติ 8 คือ

1. รูปฌาน 4 ได้แก่


1) ปฐมฌาน (ฌานที่ 1) มีองค์ธรรมประกอบ 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

2) ทุติยฌาน (ฌานที่ 2) มีองค์ประกอบ 3 คือ ปีติ สุข เอกัคคตา

3) ตติยฌาน (ฌาน 3) มีองค์ประกอบ 2 คือ สุข เอกัคคตา

4 ) จตุตถฌาน (ฌาน 4) มีองค์ประกอบ 2 อุเบกขา เอกัคคตา


2. อรูปฌาน 4 ได้แก่


1) อากาสานัญจายตนะ (ฌานที่กำหนดอากาศ -space อันอนันต์)


2) วิญญาณัญจายตนะ (ฌานที่กำหนดวิญญาณอันอนันต์)


3) อากิญจัญญายตนะ (ฌานที่กำหนดภาวะที่ไม่มีสิ่งใดๆ)

4) เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ฌานที่เลิกกำหนดสิ่งใดๆ โดยประการทั้งปวงเข้าถึงภาวะมีสัญญา

ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่)


:b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

เมื่อท่านจัดเป็นขั้นของความสุข พระพุทธเจ้าก็จัดฌานว่า เป็นความสุขที่ประณีตตามขั้นของฌานนั้นๆ

ศึกษาความสุข 10 ขั้น ลิงค์นี้

viewtopic.php?f=2&t=18652

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 20:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2009, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




11045_0079.JPG
11045_0079.JPG [ 29.71 KiB | เปิดดู 1397 ครั้ง ]
tongue ขออนุญาตท่านกรัชกายลงท้ายขั้นไว้ตอนนี้ 1 ช่วงเป็นธรรมทัศนะนะครับ

ตามที่ได้สังเกตจากข้อความในกระทู้ต่างๆ จะลงความเห็นกันไว้เป็นส่วนมากว่า สมถะภาวนา กับวิปัสสนาภาวนา ต้องเจริญไปควบคู่กัน

เรามาลองฟังอีกทัศนะหนึ่งกันดีใหมครับ

หลังจากที่สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงใช้พระชนม์ชีพของพระองค์ ทดสอบอยู่กับกามสุขาลิกานุโยโค จนพระชนมายุถึง 29 พรรษา

ทดสอบอยู่กับอัตตกิลมมัตถานุโยค คือการเจริญสมถะภาวนา ตามแบบของพราหมณ์ ฮินดู ฤาษี ชีไพร อยู่อีกเกือบ 6 ปี

ที่ สุดพระองค์ก็ได้พบทางสายกลางคือการเจริญปัญญา โดยมี สติ สมาธิ เป็นกองหนุน ค้นคว้าเข้าไปใน รูป - นาม กาย - ใจ จนพบสัจจธรรมความจริง คือสามัญลักษณะทั้ง 3 อริยสัจ 4 จนทรงละมิจฉาทิฐิ อวิชชาได้หมดสิ้น ได้ถึงอรหัตผล พ้นทุกข์และความเวียนว่ายตายเกิด เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้นั่นคือ มรรค มีองค์ 8 อันแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ ปํญญามรรค 2 ศีลมรรค 3 สมาธิมรรค 3

ชื่อย่อของการเจริญมรรค 8 นั้นคือ วิปัสสนาภาวนา

พิจารณา จากความเป็นมาของมรรค 8 นั้น จึงเห็นได้ว่า การเจริญวิปัสสนาภาวนานั้น มีความพร้อม เบ็ดเสร็จ สมบูรณ์อยู่ในตัวแล้ว เพราะมีทั้ง ปัญญา ศีล ความเพียร สติ สมาธิ ร่วมกันทำงาน เป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน สนับสนุนกัน ถ่วงดุลย์กัน อยู่ในตัวพร้อมมูลแล้ว

ใคร ผู้ใดก็ตาม ตีความแตก จับประเด็นของวิปัสสนาภาวนาได้ถูกต้องแล้ว จะเจริญวิปัสสนาภาวนา อันเป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และมีอยู่เฉพาะในพุทธศาสนา เป็นเอกลักษณะของพระพุทธศานา ไม่มีอยู่ในศาสนาอื่นๆ เจริญเพียงวิปัสสนาภาวนาให้ถูกต้องเพียงอย่างเดียวก็จะสามารถนำพาตนให้เข้า ถึง มรรค ผล นิพพาน ได้ ไม่ื่เนิ่นช้าอย่างแน่นอน

ที่พระ พุทธองค์จะต้องทรงแสดงเรื่องสมถะภาวนาอยู่หลายที่หลายแห่งในพระสูตรก็เพราะ ลูกศิษย์ของพระองค์สมัยนั้นล้วนแล้วแต่ฤาษี ชี ไพร อเจลกะ นักสมถะทั้งหลายทั้งสิ้น พระองค์จึงต้องทรงเชื่อมโยงความรู้ของท่านเหล่านั้น เข้ามาต่อยอด คือสมาธิดีแล้ว ก็นำมาต่อยอดเจริญปัญญาต่อไป ก็จึงพากันบรรลุนิพพานได้อย่ามากมาย

แต่ในปฐมเทศนา ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้เป็นอันดับแรกก่อนเพื่อนเลยว่า
ดูก่อนปัญจวัคคีย์ สิ่งสุดโต่ง 2 อย่างที่เธอไม่พึงกระทำ คือ กามสุขัลลิกานุโยโค กับ อัตตกิลมถานุโยโค
เธอพึงเดินตามมัชฌิมาปฏิปทา คือ มรรค มีองค์ 8

สิ่ง สำคัญที่สุดคือการมาตีความของคำว่า กามสุขัลลิกานุโยโค อัตตกิลมถานุโยโคและมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าตีความหมายได้ถูกต้องการปฏิบัติธรรมให้ถึงมรรค ผล นิพพาน จะไม่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเลย

แต่ถ้าตีความหมายผิด การปฏิบัติธรรมให้ถึงมรรค ผล นิพพาน จะกลายเป็นเรื่องที่ยาก ลำบาก ใช้เวลานานแสนนาน

จะ ตีความ กามสุขัลลิกานุโยโค อัตตกิลมถานุโยโคและมัชฌิมาปฏิปทา อย่างไร จึงจะเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม และสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ

ไว้มาติดตามดูกันต่อไปนะครับ
:b8: smiley

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2009, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




anibfly14.gif
anibfly14.gif [ 12.4 KiB | เปิดดู 1390 ครั้ง ]
คุณอโศกะพึงศึกษา

หลักการสำคัญการบรรลุนิพพาน หรือหลักการของการตรัสรู้ที่


viewtopic.php?f=2&t=26467


หรือที่นี่


http://www.free-webboard.com/travel.php ... ati&qid=47

ไม่มีความเห็นอื่นคั่นให้สะดุด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร