วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 01:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




006.jpg
006.jpg [ 7.51 KiB | เปิดดู 3492 ครั้ง ]
ปรินิพพานญาณ


ปรินิพพานญาณ เป็น ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลส และขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว

ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลส และขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็นปรินิพพานญาณอย่างไร ฯ

สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ ย่อมยังความเป็นไป.........
แห่ง “กามฉันทะ” ให้สิ้นไปด้วยความ.....
...... “ไม่พยาบาท ”
...... “ไม่เบียดเบียน”
...... “ออกจากกาม”
...... “ออกจากเรือน”




เจริญในธรรมครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ ย่อมยังความเป็นไปแห่ง “ถีนมิทธะ”ให้สิ้นไป ด้วย “อาโลกสัญญา”


สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ ย่อมยังความเป็นไปแห่ง “อุทธัจจะ” ให้สิ้นไป ด้วย “ความไม่ฟุ้งซ่าน”


สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ ย่อมยังความเป็นไปแห่ง “วิจิกิจฉา” ให้สิ้นไป ด้วย “การกำหนดธรรม”


สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ ย่อมยังความเป็นไปแห่ง “อวิชชา” ให้สิ้นไป ด้วย “ญาณ”


สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ ย่อมยังความเป็นไปแห่ง “ความไม่ยินดี” ด้วย “ความปราโมทย์ ”



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมปชานบุคคล หมายถึง บุคคลผู้รู้สึกตัวด้วย สัมปชัญญะ ๔ คือ

สาตถกสัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัวในกิจที่เป็นประโยชน์แก่ตัว
สัปปายสัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัวในปัจจัยที่สบาย
โคจรสัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัวในธรรมอันเป็นโคจร
อสัมโมหสัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัวในความไม่หลงงมงาย



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ ย่อมยังความเป็นไปแห่ง “นิวรณ์” ให้สิ้นไป ด้วย....
...... ปฐมฌาน
......ทุติยฌาน
......ตติยฌาน
......จตุตถฌาน
......อากาสานัญจายตนสมาบัติ
......วิญญาณัญจายตนสมาบัติ
......อากิญจัญญายตนสมาบัติ
......เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ


สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ยังความเป็นไปแห่ง “กิเลสทั้งปวง” ให้สิ้นไป ด้วย “อรหัตมรรค” ฯ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิง..............

สัมปชานบุคคลในศาสนานี้
ย่อมยังความเป็นไปแห่ง “กามฉันทะ” ให้สิ้นไปด้วยความไม่พยาบาท ฯลฯ

"ยังความเป็นไป" (ปวตฺตํ) คือ ความเป็นไปแห่งปริยุฏฐานกิเลส และความเป็นไปแห่งอนุสัยกิเลส ตามสมควรในที่ทั้งปวง


อนุสัยกิเลส หมายถึง กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ใน+++ อนุสัย ๗ นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สังโยชน์ ๗

๑. กามราคะ = ความกำหนัดในกาม ความอยากได้ ติดใจในกาม
๒. ปฏิฆะ = ความขัดใจ ความหงุดหงิดขัดเคืองคือโทสะ
๓. ทิฏฐิ = ความเห็นผิด การถือความเห็น เอาความคิดเห็นเป็นความจริง
๔. วิจิกิจฉา = ความลังเล ความสงสัย
๕. มานะ = ความถือตัว
๖. ภวราคะ = ความกำหนัดในภพ ความอยากเป็น อย่างยิ่งใหญ่ อยากยั่งยืน
๗. อวิชชา = ความไม่รู้จริง คือ โมหะ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 00:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิง..............

สัมปชานบุคคลในศาสนานี้ ย่อมยังความเป็นไปแห่ง “กามฉันทะ”
ให้สิ้นไป ด้วยความไม่พยาบาท ฯลฯ

"ให้สิ้นไป" (ปริยาทิยติ) คือ ทำให้เป็นไปไม่ได้.........
.....ด้วยสามารถแห่ง"วิกขัมภนปหาน"(วิกฺขมฺภนปรินิพฺพานํ)ในธรรมทั้งหลายที่ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งสมถะและวิปัสสนา
.....ด้วยสามารถแห่ง"ตทังคปหาน" (ตทงฺคปรินิพฺพานํ) ในธรรมทั้งหลายที่ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนา
.....ด้วยสามารถแห่ง"สมุจเฉทปหาน" (สมุจฺเฉทปรินิพฺพานํ)ในธรรมทั้งหลายที่ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่ง มรรค


"วิกขัมภนปหาน"(วิกฺขมฺภนปรินิพฺพานํ) คือ การปรินิพพานด้วยการข่มไว้แห่งสมาบัติ 3

"ตทังคปหาน" (ตทงฺคปรินิพฺพานํ) คือ การปรินิพพานด้วยองค์แห่งธรรมนั้น

"สมุจเฉทปหาน" (สมุจฺเฉทปรินิพฺพานํ) คือ การปรินิพพานด้วยตัดเด็ดขาด



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 01:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกประการหนึ่ง…..

ความเป็นไปแห่งจักษุนี้แลของสัมปชานบุคคลผู้นิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งจักษุอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น


ความเป็นไปแห่งหู นี้แลของสัมปชานบุคคลผู้นิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งหูอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น


ความเป็นไปแห่งจมูก นี้แลของสัมปชานบุคคลผู้นิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งจมูกอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น


ความเป็นไปแห่งลิ้น นี้แลของสัมปชานบุคคลผู้นิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งลิ้นอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น


ความเป็นไปแห่งกาย นี้แลของสัมปชานบุคคลผู้นิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งกายอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น


ความเป็นไปแห่งใจ นี้แลของสัมปชานบุคคลผู้นิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งใจอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น



ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ ของสัมปชานบุคคลนี้เป็นปรินิพพานญาณ
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น
ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด


เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความสิ้นไปแห่งความเป็นไปแห่งกิเลสและขันธ์ของบุคคลผู้รู้สึกตัว เป็นปรินิพพานญาณ


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิง.............


ความเป็นไปแห่งจักษุ..ฯลฯ..มโน นี้แลของสัมปชานบุคคลผู้นิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมสิ้นไป และความเป็นไปแห่งจักษุ..ฯลฯ..มโนอื่นย่อมไม่เกิดขึ้น



ความเป็นไปแห่งจักษุ (จกฺขุปวตฺตํ)... ฯลฯ...มโน คือ ความปรากฏเกิดขึ้นทางตา...ฯลฯ....ใจ


อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา) ได้แก่ นิพพานธาตุ มี ๒ อย่าง คือ.......
๑.สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ คือ นิพพานที่ยังมีอุปาทิเหลือ
๒.อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ คือ นิพพานที่ไม่มีอุปาทิเหลือ

ชื่อว่า "อุปาทิเสสะ" เพราะอรรถว่า อุปาทินั่นแหล่ะยังเหลืออยู่

ชื่อว่า "สอุปาทิเสสะ" เพราะอรรถว่า เป็นไปกับด้วยอุปาทิเสสะ คือขันธ์ ๕ เหลืออยู่

ชื่อว่า "อนุปาทิเสสะ" เพราะอรรถว่า ไม่มีอุปาทิเสสะในนิพพานธาตุนี้

ชื่อว่า "อุปาทิ" เพราะอรรถว่า อันบุคคลถือมั่น คือ ยึดถืออย่างแรงกล้าว่า เรา ว่าของเรา


เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 01:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาราชันย์ เขียน:

"วิกขัมภนปหาน"(วิกฺขมฺภนปรินิพฺพานํ) คือ การปรินิพพานด้วยการข่มไว้แห่งสมาบัติ 3

"ตทังคปหาน" (ตทงฺคปรินิพฺพานํ) คือ การปรินิพพานด้วยองค์แห่งธรรมนั้น

"สมุจเฉทปหาน" (สมุจฺเฉทปรินิพฺพานํ) คือ การปรินิพพานด้วยตัดเด็ดขาด


สวัสดีครับท่านมหาราชันย์

ขยายความอีกหน่อยครับท่าน :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สวัสดีครับท่านมหาราชันย์

ขยายความอีกหน่อยครับท่าน




สวัสดีครับคุณเช่นนั้น
ผมเป็นแค่นัก Copy เท่านั้น คุณเช่นนั้นอย่าพึงคาดหวังความรู้อันแตกฉานนะครับ
เพียงมีปัญญาเล็กน้อยประกอบคำอธิบายเท่านั้นครับ


Quote Tipitaka:
[๖๕] ปหานะ ๒ คือ สมุจเฉทปหานะ ๑ ปฏิปัสสัทธิปหานะ ๑ สมุจเฉทปหานะ อันเป็นโลกุตรมรรค และปฏิปัสสัทธิปหานะอันเป็นโลกุตรผลในขณะแห่งผล ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญมรรค เครื่องให้ถึงความสิ้นไป ฯ

ปหานะ ๓ คือ เนกขัมมะ เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งกาม ๑ อรูปญาณเป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป ๑ นิโรธ เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งสังขตธรรมที่เกิดขึ้นแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ๑ บุคคลผู้ได้เนกขัมมะเป็นอันละและสละกามได้แล้ว บุคคลผู้ได้อรูปญาณเป็นอันละและสละรูปได้แล้ว บุคคลผู้ได้นิโรธเป็นอันละและสละสังขารได้แล้ว ฯ

ปหานะ ๔ คือ บุคคลผู้แทงตลอดทุกขสัจ อันเป็นการแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ๑
บุคคลผู้แทงตลอดสมุทัยสัจ อันเป็นการแทงตลอดด้วยการละ ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ๑
บุคคลผู้แทงตลอดนิโรธสัจอันเป็นการแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้ง ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ๑
บุคคลผู้แทงตลอดมรรคสัจ อันเป็นการแทงตลอดด้วยการเจริญ ย่อมละกิเลสที่ควรละได้ ๑ ฯ

ปหานะ ๕ คือ วิกขัมภนปหานะ ๑
ตทังคปหานะ ๑
สมุจเฉทปหานะ ๑
ปฏิปัสสัทธิปหานะ ๑
นิสสรณปหานะ ๑
การละนิวรณ์ด้วยการข่มไว้ ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญปฐมฌาน
การละทิฐิด้วยองค์นั้นๆ ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญสมาธิอันเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส

สมุจเฉทปหานะ อันเป็นโลกุตรมรรค และปฏิปัสสัทธิปหานะอันเป็นโลกุตรผล ในขณะแห่งผล ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญมรรคเครื่องให้ถึงความสิ้นไป

และนิสสรณปหานะเป็นนิโรธ คือ นิพพาน ฯ




เช่นนั้น เขียน:
"วิกขัมภนปหาน"(วิกฺขมฺภนปรินิพฺพานํ) คือ การปรินิพพานด้วยการข่มไว้แห่งสมาบัติ 3


1.พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี อยู่เป็นสุขในทิฏฐิธรรมสุขวิหารด้วยฌานสมาบัติ 8 เพื่อข่มนิวรณ์ 5 ที่รบกวนจิตใจ ชื่อว่า "วิกขัมภนปหาน"(วิกฺขมฺภนปรินิพฺพานํ)

2.พระโสดาบัน อยู่ในผลสมาบัติคือโสดาปัตติผล
พระสกทาคามี อยู่ในผลสมาบัติคือสกทาคามีผล
และพระอนาคามี อยู่ในผลสมาบัติคืออนาคามีผล
ผลสมาบัติ 3 นี้มีนิพพานเป็นอารมณ์ และประกอบด้วยฌาน 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 ชื่อว่า "วิกขัมภนปหาน"(วิกฺขมฺภนปรินิพฺพานํ)

3.พระอนาคามี น้อมจิตไปสู่ความดับ เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เพื่อดับนิวรณ์คืออุทธัจจะ ชื่อว่า "วิกขัมภนปหาน"(วิกฺขมฺภนปรินิพฺพานํ)





เช่นนั้น เขียน:
"ตทังคปหาน" (ตทงฺคปรินิพฺพานํ) คือ การปรินิพพานด้วยองค์แห่งธรรมนั้น


พระโสดาบันประหารประหานสังโยชน์ 3 ได้หมดสิ้นด้วยโสดาปัตติมัคค ชื่อว่า"ตทังคปหาน" (ตทงฺคปรินิพฺพานํ)

พระสกทาคามีประหานสังโยชน์ 5 อย่างหยาบได้มีกามราคะและพยาบาทบางเบา ด้วยสกทาคามีมัคค ชื่อว่า"ตทังคปหาน" (ตทงฺคปรินิพฺพานํ)

พระอนาคามีประหานสังโยชน์ 5 อย่างหยาบและละเอียดได้หมดสิ้น ด้วยอนาคามีมัคค ชื่อว่า"ตทังคปหาน" (ตทงฺคปรินิพฺพานํ)





เช่นนั้น เขียน:
"สมุจเฉทปหาน" (สมุจฺเฉทปรินิพฺพานํ) คือ การปรินิพพานด้วยตัดเด็ดขาด


พระอรหันต์ประหานกิเลสสังโยชน์ 10 ได้หมดสิ้นด้วยอรหัตตมัคค ชื่อว่า "สมุจเฉทปหาน" (สมุจฺเฉทปรินิพฺพานํ)



หวังว่าคุณเช่นนั้นคงพอจะเข้าใจนะครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2009, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..... ความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่ผู้ที่มีทางไกลอันถึงแล้ว
ผู้มีความโศกปราศไปแล้ว
ผู้พ้นวิเศษแล้วในธรรมทั้งปวง
ผู้มีกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวงอันละได้แล้ว
ท่านผู้มีสติย่อมขวนขวายท่านย่อมไม่ยินดีในที่อยู่
ท่านละความห่วงใยเสีย
เหมือนหงส์สละเปือกตมไป ฉะนั้น

......ชนเหล่าใดไม่มีการสั่งสมมีโภชนะอันกำหนดแล้ว
มีสุญญตวิโมกข์และอนิมิตตวิโมกข์เป็นโคจร
คติของชนเหล่านั้น รู้ได้โดยยาก
เหมือนคติฝูงนกในอากาศ ฉะนั้น

.....ภิกษุใดมีอาสวะสิ้นแล้ว
อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้วในอาหาร
มีสุญญตวิโมกข์และอนิมิตตวิโมกข์เป็นโคจร
รอยเท้าของภิกษุนั้นไปตามได้โดยยาก
เหมือนรอยเท้าของฝูงนกในอากาศ ฉะนั้น

.....อินทรีย์ของภิกษุใดถึงความสงบระงับ
เหมือนม้าอันนายสารถีฝึกดีแล้ว
แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ย่อมรักใคร่ต่อภิกษุนั้น

.....ผู้มีมานะอันละได้แล้ว
หาอาสวะมิได้ ผู้คงที่
ภิกษุผู้มีอาสวะสิ้นแล้วมีใจเสมอด้วยแผ่นดิน ผู้คงที่
เปรียบดังเสาเขื่อน
มีวัตรดีปราศจากกิเลสเพียงดังเปือกตม ผ่องใส

.....เหมือนห้วงน้ำที่ปราศจากเปือกตม
มีน้ำใส
ย่อมไม่พิโรธ
สงสารทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้คงที่
มีอาสวะสิ้นแล้ว "



เจริญในธรรมครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร