วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 13:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2010, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


viewtopic.php?f=2&t=33627&p=222928
อ้างคำพูด:
คุณ mes เขียน
หมาใต้บันไดบ้านผมมีศักดิ์ศีรมากกว่าเหลิมเสียอีก

เพราะมันไม่เคยด่าพระ
---------------------
ผมขอจบบทบาทหน้าที่ผมเพียงเท่านี้

เพราะนอกจากข้อสังเกตุที่น่ากังขามากมาย ที่ผมนำมาเปิดโปรง

เหลิมไม่สามารถชี้แจงได้

อีกประการหนึ่ง

ผมเกรงใจท่านผู้อ่านที่ต้องปฏิฆะไปด้วยกับคำด่าว่าพระซ้ำๆ วนเวียนเหมือนเดิม


คุณ mes ครับ ที่ผมเห็นส่วนหนึ่งก็คือ ปฏิฆะ ของคุณเองที่ด่าผม และบุคคลอื่น ๆ ด้วยจิตใจที่ขุ่นมัว และเศร้าหมอง ด้วยความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิอาจารย์ของตนท่านพุทธทาสเป็นใหญ่

ระวังจิตใจที่เศร้าหมอง ขุ่นมัว ถ้าเกิดบ่อย ๆ เป็นนิสัย และเมื่อจิตประเภทนี้ไปเกิดตอนใกล้ จุติจิต เกิด ทุคติย่อมเป็นที่หมายครับ เป็นชาติที่มีแต่ความทุกข์เป็นส่วนใหญ่ครับ การจะมาเกิดเป็นชาติมนุษย์อีกเป็นเรื่องยากนะครับ

พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์

543 อนาคตของคนจิตเศร้าหมองและผ่องใส
http://84000.org/true/543.html

ปัญหา อนาคตของผู้ตายด้วยจิตเศร้าหมองและผ่องใสจะเป็นอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากำหนดใจด้วยใจอย่างนี้แล้วย่อมรู้ชัดบุคคลบางคนที่มีใจเสื่อมเสีย แล้วว่า ถ้าบุคคลนี้พึงถึงแก่กรรมในเวลานี้ เขาพึงเกิดในนภาดุจถูกนำมาขังไว้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะจิตของเราถูกทำให้เสื่อมเสียเสียแล้ว...เพราะเหตุที่จิตเสื่อมเสีย สัตว์บางพวกในโลกนี้เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก....
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา...ย่อมรู้ชัดบุคคลบางคนในโลกนี้ ผู้มีจิตผ่องใสว่า ถ้าบุคคลผู้นี้พึงถึงแก่กรรมในเวลานี้ พึงตั้งอยู่ในครรภ์....ข้อนั้นเพราะอะไร เพราะจิตของเขาผ่องใส...”

บาลีแห่งเอกธรรม เอก. อํ. (๔๔-๔๕)
ตบ. ๒๐ : ๙-๑๐ ตท. ๒๐ : ๘
ตอ. G.S. ๑ : ๖-๗

----------------------------------------------------------------
021 มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้
http://www.84000.org/true/021.html
-------------------------------------------------------
073 คนเกิดเป็นสัตว์ได้
http://www.84000.org/true/073.html
------------------------------------------------------
074 คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก
http://www.84000.org/true/074.html
------------------------------------------------------
072 นรกมีจริงหรือ
http://84000.org/true/072.html
---------------------------------------------------


ศึกษาธรรมะบรรยายของท่านอาจารย์บุญมี ประกอบเรื่อง จุติจิต ปฏิสนธิจิต จากพระอภิธรรม ได้ที่

http://www.dharma-gateway.com/ubasok/ub ... x-page.htm

• ชีวิตภายหลังความตาย

• คนตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร

• เหตุผลในการกำหนดอิริยาบถ

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2010, 06:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อเนื่องจากเรื่อง รูปฌาน อรูปฌาน สำหรับปุถุชน ที่ยังไม่สามารถยกองค์ฌานขึ้นสู่วิปัสสนา เจริญปัญญา เพื่อพ้นจากวัฏฏะสงสารได้ ก็ไปเกิดใน พรหมโลก ตามหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฏก อรรถกถา หาใช่เฉพาะที่ อภิธรรมมูลนิธิ กล่าวไว้ที่เดียวตามที่ คุณ mes กล่าวหาไม่

และปุถุชนพรหม เหล่านี้ที่จะมาบังเกิดเป็น มนุษย์ที่เป็นโอปปาติกะ (เกิดและโตทันที ไม่อาศัยครรภ์มารดา) ในยุคสร้างโลก ซึ่งวิทยาศาสตร์ทางโลกและทิฏฐิท่านพุทธทาส ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

อัคคัญญสูตร

[๕๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยล่วง
ระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่า
สัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร
มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิต
อยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้ง
บางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญ
อยู่โดยมาก เหล่าสัตว์พากันจฺติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมาเป็นอย่างนี้ และสัตว์นั้น
ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ใน
อากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ก็แหละ
สมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนแลไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และ
ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฏ กลางวันกลาง
คืนก็ยังไม่ปรากฏ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฏ
เพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลาย ถึงซึ่งอันนับเพียงว่าสัตว์เท่า
นั้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านาน เกิด
ง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป ได้ปรากฏแก่สัตว์เหล่านั้นเหมือนนมสดที่บุคคลเคี่ยว
ให้งวด แล้วตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบน ฉะนั้นง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี
กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี ฉะนั้น มีรสอร่อยดุจรวงผึ้ง
เล็กอันหาโทษมิได้ ฉะนั้น

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ บรรทัดที่ ๑๗๐๓ - ๒๑๒๙. หน้าที่ ๗๑ - ๘๘.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=51

บทว่า โลลชาติโก ความว่า มีความโลภเป็นสภาพ. แม้ในกัลป์ถัดไปที่ล่วงไปแล้วก็มีความโลภเหมือนกัน เราเกิดอัศจรรย์จึงกล่าวว่า อมฺโภ ดังนี้.
บทว่า กิเมวิทํ ภวิสฺสติ ความว่า สีก็ดี กลิ่นก็ดี ของง้วนดินนั้นน่าชอบใจ แต่รสของง้วนดินนั้นจักเป็นอย่างไรหนอ. ผู้ที่เกิดความโลภในง้วนดินนั้นก็เอานิ้วมือจับง้วนดินนั้นมาชิมดู ครั้นเอามือจับแล้วก็เอามาไว้ที่ลิ้น.
บทว่า อจฺฉาเทสิ ความว่า ง้วนดินนั้นพอเขาเอามาวางไว้ที่ปลายลิ้นก็แผ่ซ่านไปทั่ว เส้นเอ็นรับรสอาหาร ๗,๐๐๐ เส้นเป็นของน่าชอบใจตั้งอยู่.
บทว่า ตณฺหา จสฺส โอกฺกมิ ความว่า ก็ความอยากในรสในง้วนดินนั้นก็เกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้มีความโลภนั้น.
หลายบทว่า อาลุปฺปกากรํ อุปกฺกมึสุ ปริภุญฺชิตุ ํ ความว่า เขาปั้นเป็นคำ คือแบ่งออกเป็นก้อนแล้วเริ่มที่จะบริโภค.

จนฺทิมสุริยาทิปาตุภาววณฺณนา
พระจันทร์และพระอาทิตย์ ชื่อว่า จนฺทิมสุริยา.
บทว่า ปาตุรเหสํ แปลว่าปรากฏขึ้น.
ก็บรรดาพระจันทร์และพระอาทิตย์นั้นอย่างไหนปรากฏก่อน ใครอยู่ในที่ไหน ประมาณของใครเป็นอย่างไร ใครอยู่สูง ใครหมุนเร็ว วิถีทางของพระจันทร์และพระอาทิตย์นั้นเป็นอย่างไร เที่ยวไปได้อย่างไร ทำแสงสว่างในที่มีประมาณเท่าใด.
พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองไม่ปรากฏพร้อมกัน. พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นก่อน.
ก็เมื่อรัศมีเฉพาะตัวของสัตว์เหล่านั้นได้หายไป ความมืดมนจึงได้มีขึ้น. สัตว์เหล่านั้นทั้งกลัวทั้งสะดุ้งคิดกันว่าคงจะดีหนอ ถ้าแสงสว่างปรากฏขึ้นมาดังนี้ ต่อแต่นั้นดวงอาทิตย์อันให้ความกล้าเกิดขึ้นแก่มหาชนก็ได้ตั้งขึ้น. ด้วยเหตุนั้น ดวงอาทิตย์นั้นจึงได้นามว่า สุริโย ดังนี้.


-----------------------
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=โอปปาติกะ

โอปปาติกะ สัตว์เกิดผุดขึ้น
คือ เกิดผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฏ เช่น เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น
(ข้อ ๔ ในโยนิ ๔);
บาลีว่า รวมทั้งมนุษย์บางพวก

----------------------------------------

ศึกษาเพิ่มเติมจากที่ท่านผู้รู้ รวบรวมไว้ที่

วิวัฒนาการการกำเนิดชีวิตและจักรวาล ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา
http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-90.htm

---------------------------------------

แต่สำหรับทิฏฐิของท่านพุทธทาส ผู้ที่มีทิฏฐิว่า โอปปาติกะ ตามนัยพระพุทธศาสนา ที่เป็นสัตว์และโตทันที (ไม่มีซากศพเมื่อตาย) ไม่มีจริง มีจริงคือ สภาพจิตใจของคนเรา ในสภาวะต่าง ๆ เท่านั้น ได้บิดเบือนพระสัทธรรมว่า

ปรัศนี: พรหม ที่ลงมากินง่วนดิน ติดใจกับพรหมโลกไม่ได้ กลายเป็นมนุษย์ไปนั้น เป็นพรหมพวกไหนครับ?
http://www.buddhadasa.com/FAQ/FAQ_23.html

พุทธทาส: เป็นพรหมพวกที่เมื่อกล่าวตามคัมภีร์ในพระบาลี เรียกว่า พรหมพวกอาภัสสรพรหม พรหมนี้มีปีติเป็นภักษา หมายความว่า เป็นเรื่องจิตใจ ไม่ใช่เนื้อหนัง มีแสงสว่างในตัวเอง ก็แสดงว่า เป็นเรื่องจิตใจคล้ายๆ กับว่า มันเป็นธาตุจิต ธาตุจิตใจอยู่ก่อน แล้วต่อมามันได้อาศัยวัตถุและมาเฟื่องด้วยวัตถุเป็นร่างกาย แล้วมันติดอยู่ที่นี่ มันกลับไปเป็นจิตล้วนๆ อีกไม่ได้ เท็จจริงอย่างไรไม่ยืนยัน ไม่ต้องอธิบาย แต่ว่ากล่าวตาม ตามข้อความในพระคัมภีร์ พรหมพวกนี้เขาเรียกว่า "อาภัสสรพรหม" มีคนจำผิดๆ พูดผิดๆ ไม่ตรงตามบาลีอยู่มาก ถ้าอนุญาตให้พูด จะพูดว่า จิตที่ไม่เคยเนื่องกับกาย มันก็มีอยู่แล้ว มีอยู่ก่อน ต่อมา เมื่อจิตมันเข้ามาเนื่องกับกาย และติดอยู่ในกาย จมอยู่ในกาย มันพอใจจึงได้พูดอุปมาว่า พรหมพวกนี้ ทีแรกก็อยู่ในพรหมโลกแล้วต่อมาลงมาที่โลกนี้ มากินง่วนดินเข้าไป มันอร่อยติดใจ กลับพรหมโลกไม่ได้ เพราะร่างกายมันเปลี่ยน เพราะมันเกิดร่างกายขึ้นใหม่ กลับไปพรหมโลกไม่ได้ มันจึงเป็นมนุษย์กันอยู่ที่นี่ เขาว่าอย่างนี้ ไม่ต้องถือเป็นหลักพุทธศาสนานะ เป็นความเชื่อของคนที่เขาเชื่อกัน อยู่ก่อนพระพุทธเจ้า มันจะขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ หรือไม่ขัดหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องพูดถึงนะ ไม่ได้พูดในนามพุทธศาสนานะ เอ้ามีอะไรอีก...
----------------------------------------------
จากหนังสือ ปฏิจจสมุปบาท หน้า ๒๑ ท่านพุทธทาสแสดงความเห็นว่า
ถ้าเวทนาหรือความทุกข์นั้นเต็มไปด้วยความกลัว ก็เป็นอสุรกาย, ถ้าเต็มไปด้วยความหิวดังใจจะขาด ก็คือเปรต, โง่ก็คือสัตว์เดรัจฉาน, ทุกข์พอประมาณอย่างมนุษย์ก็เป็นมนุษย์, อร่อยด้วยกามารมณ์นานาชนิด นานาระดับ ก็คือสวรรค์ชั้นต่าง ๆ กัน, และเมื่ออิ่มอยู่ด้วยสุขเวทนาหรืออทุกขมสุขเวทนา ในรูปฌาน และอรูปฌานนานาชนิด ก็คือความเป็นพรหมนานาชนิดอีกนั่นเอง, เป็นของจริงยิ่งกว่าที่กล่าวว่าจะได้ถึงต่อเมื่อเข้าโลงแล้ว, ทั้งนี้เพราะตีความหมายของคำว่า โอปปาติกะ ในพุทธศาสนาผิดไปนั่นเอง

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 77 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร