วันเวลาปัจจุบัน 05 ก.ย. 2025, 05:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 123 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ผมได้พยายาม หาแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งมีทั้งแบบสายวัดป่า คือ ภาวนาพุทโธอยู่กับลมหายใจ ก็เคยไปฝึกที่วัดบ้างที่บ้านบ้าง ภายหลังก็ได้มาศึกษาแนวทางยุบหนอ พองหนอ ในภาคทฤษฏีก่อน จากยุวธิกสมาคม, จากหนังสือของหลวงพ่อจรัญ จนกระทั่งผมได้ไปเข้าปฏิบัติที่วัดอัมพวัน ประมาณ 3 วัน


อ้อ เมื่อสมัยคุณยังหนุ่มๆอยู่ แต่ตอนนี้คงแก่แล้ว แล้วก็เคยปฏิบัติจริงๆ ประมาณ 3 วัน

ตดไม่ทันหายเหม็นเลยครับ คุณจะเอาอะไรนักหนา ทำไม่จริงไม่จัง การปฏิบัติธรรมเพื่อการนี้ ไม่ใช่เด็กเล่น

ขายข้าวขายแกงนะครับ แล้วก็ไม่ใช่วิธีการนอนวาดภาพก้อนเมฆให้เป็นกุ้งหอยปูปลา :b32:


เอางี้สิคุณเฉลิมศัดดิ์ ปกติกรัชกาย จะไม่รับใครเป็นศิษย์ แต่จะรับคุณเป็นคนแรกและคนสุดท้าย :b20:

คุณเรียกกรัชกายว่า อาจารย์ สิครับ แล้วจะแนะนำวิธีปฏิบัติเบื้องต้นให้ :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ก.พ. 2010, 17:50, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หมวดธรรมที่เกี่ยวกับการปฏิบัติแทบทุกหมวด จะพบความเพียรแทรกอยู่ด้วย ในชื่อใดชื่อหนึ่ง

การเน้นความสำคัญของธรรมข้อนี้ อาจพิจารณาได้จากพุทธพจน์ เช่น


“ธรรมนี้ เป็นของสำหรับผู้ปรารภความเพียร มิใช่สำหรับคนเกียจคร้าน” *(*องฺ.อฏฺฐก. 23/120/237)

“ภิกษุทั้งหลาย เรารู้ชัดถึงคุณของธรรม ๒ ประการ คือ

๑) ความเป็นผู้ไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย

๒) ความเป็นผู้ไม่ยอมถอยหลังในการบำเพ็ญเพียร

...เพราะฉะนั้นแล เธอทั้งหลาย พึงศึกษาดังนี้ว่า เราจักตั้งความเพียรอันไม่ถอยหลัง

ถึงจะเหลือแต่หนังเอ็นและกระดูก เนื้อและเลือดในสรีระจะแห้งเหือดไปก็ตามที

ยังไม่บรรลุผลที่บุคคลพึงลุถึงได้ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ

ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว ที่จะหยุดยั้งความเพียรเสีย เป็นอันไม่มี เธอทั้งหลาย

พึงศึกษาฉะนี้แล”*

(* องฺ.ทุก.20/251/674)

viewtopic.php?f=2&t=27527

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ก.พ. 2010, 17:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย สมัยที่ไม่เหมาะสำหรับบำเพ็ญเพียร มี ๕ อย่างเหล่านี้

๕ อย่างคือ อะไร ? กล่าวคือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้

๑. เป็นผู้แก่เฒ่า ถูกชราครอบงำ

๒. เป็นผู้เจ็บไข้

๓. สมัยที่มีอาหารขาดแคลน ข้าวไม่ดี หาอาหารยาก ไม่สะดวกที่จะยังชีพด้วยการหาบิณฑบาต

๔. สมัยที่มีภัย มีความกำเริบวุ่นวายในป่าดง ชาวชนบทต่างพากันขึ้นยานพาหนะผันผายไป

๕.สมัยที่สงฆ์แตกแยกกัน เมื่อสงฆ์แตกแยกแล้ว ย่อมมีการด่าว่ากัน บริภาษกัน มีการใส่ร้ายและละทิ้งกัน

และกัน

คนที่ยังไม่เลื่อมใส ก็ไม่เลื่อมใส คนบางคนที่เลื่อมใสแล้ว ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นอย่างอื่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Jane_peace_position.jpg
Jane_peace_position.jpg [ 134.64 KiB | เปิดดู 3961 ครั้ง ]
“ภิกษุทั้งหลาย สมัยที่ควรบำเพ็ญเพียร มีห้าอย่างเหล่านี้

ห้าอย่างคือ อะไร ? กล่าวคือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้

๑. ภิกษุยังหนุ่ม ยังเยาว์ มีผมดำสนิท ประกอบด้วยวัยหนุ่มอันเจริญ เป็นปฐมวัย

๒. ภิกษุเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคน้อย ฯลฯ

๓. สมัยที่อาหารพร้อมดี ข้าวดี หาอาหารได้ง่าย สะดวกที่จะยังชีพด้วยการหาบิณฑบาต

๔. สมัยที่มนุษย์ (ประชาชน) ทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน ชื่นชมต่อกัน ไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ

มองดูกันด้วยสายตาประกอบด้วยความรัก

๕. สมัยที่สงฆ์พร้อมเพรียงกัน ชื่นชมกัน ไม่วิวาทกัน มีอุเทศร่วมเป็นอันเดียวกัน เป็นอยู่ผาสุก

เมื่อสงฆ์พร้อมเพรียงกัน ก็ไม่มีการด่าว่ากัน ไม่บริภาษกัน ไม่ใส่ร้ายกัน ไม่ทอดทิ้งกัน

คนที่ยังไม่เลื่อมใส ย่อมเลื่อมใส และคนที่เลื่อมใสแล้ว ย่อมเลื่อมใสยิ่งขึ้นไป”

(องฺ.ปญฺจก.22/54/75)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจธรรมเป็นกฎธรรมชาติหรือหลักความจริงที่มีอยู่โดยธรรมดา

พระพุทธเจ้าหรือศาสดามีฐานะเป็นผู้พบหลักความจริงนั้น แล้วนำมาเปิดเผยแก่ผู้อื่น

การได้รับผลจากการปฏิบัติ เป็นเรื่องของความเป็นไปอันเที่ยงธรรมตามเหตุปัจจัยในธรรมชาติ

ศาสดามิใช่ผู้บันดาล เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงจำเป็นต้องเพียรพยายามสร้างผลสำเร็จ

ด้วยเรี่ยวแรงของตน ไม่ควรคิดหวังและอ้อนวอนขอผลที่ต้องการโดยไม่ทำ

หลักพุทธศาสนาในเรื่องนี้ จึงมีว่า


“ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา-

ความเพียร ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ตถาคตทั้งหลาย เป็นแต่ผู้บอก (ทาง) ให้”

(ขุ.ธ. 25/30/51)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขันธ์ ๕ หรือ ชีวิต เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตามกฎแห่งปฏิจจสมุปบาท

ส่วนต่างๆ สัมพันธ์กัน เนื่องอาศัยกัน เป็นปัจจัยแก่กัน จึงทำให้กระแสหรือกระบวนการนี้ดำเนินไปอย่าง

มีเหตุผล และคุมเป็นรูปร่างต่อเนื่องกัน

ในภาวะเช่นนี้ ขันธ์ ๕ หรือ ชีวิต จึงเป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ คือ

อยู่ในภาวะแห่ง อนิจจตา ไม่เที่ยง ไม่คงที่

อนัตตา ไม่มีส่วนใดที่มีตัวตนแท้จริง และไม่อาจยึดถือเอาเป็นตัวตนได้

ทุกขตา ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้น และ สลายตัวอยู่ทุกขณะ และพร้อมที่จะก่อให้เกิดความทุกข์

ได้เสมอ ในกรณีที่มีการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความไม่รู้ (ด้วยอวิชชา)

viewtopic.php?f=7&t=28157&p=167478#p167478

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 ก.พ. 2010, 18:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จนกระทั่งผมได้ไปเข้าปฏิบัติที่วัดอัมพวัน ประมาณ 3 วัน ระหว่างนั้น ก็มีพี่เลี้ยงที่วัดคอยแนะนำ หลวงพ่อจรัญก็ลงมาเทศน์ในตอนเย็น แล้วก็กลับมาฝึกที่บ้านต่ออีก

อย่างที่ผมบอกท่านนะครับอาการที่ท่านเล่ามาน่าจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติประมาณ 2 - 3 วัน

อ้างคำพูด:
คุณอายุครับ ต่อให้ผมทนนุ่งอยู่กับทุกขเวทนา แล้ว ทุกขเวทนาถูก สมาธิข่มไว้ ด้วยคำภาวนาปวดหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ถึง 3-6 ชม. หรือ ทนเดินยกหนอ ย่างให้ได้ ๑ จังหวะ จนถึง ๑๒ จังหวะ 4 ชม. ก็หาได้เกิดรูชัดตามแนวทางที่ปรากฏใน พระไตรปิฏก อรรถกถา ข้างบนไม่

คุณยังทำไม่ได้ แต่คุณคิดไปล่วงหน้าแล้ว ปฏิบัติธรรมนั้นต้องใช้ทั้งความอดทนที่ท่านนิยามว่าเป็นการทรมานตนให้ลำบาก และก็ต้องทำต่อเนื่อง และก็ต้องใช้ระยะเวลาที่แต่ละคนไม่เท่ากัน ที่บางคนเรียกว่าบ่มอินทรีย์ สรุป ไปทำมาให้ได้ก่อนดีกว่านะครับ



อ้างคำพูด:
เรียนถาม คุณอายะครับ
คุณคิดว่าแนวทาง ยุบหนอ พองหนอ เป็น วิปัสสนายานิกะ (อาศัยขณิกะสมาธิ กับ ปรมัตถ์อารมณ์)
หรือ สมถะยานิกะ (ทำสมาธิจนเกิด ฌาน แล้วยกองค์ฌาน ขึ้นสู่วิปัสสนา) วิปัสสนายนิกะ และ สมถะยานิกะ



เหมือนกับคนไม่เคยโดนไฟช็อตนะครับ ก็ได้แต่จินตนาการว่ามันคงเจ็บนิดเดียว หรือเจ็บเยอะ หรือชาอย่างเดียว ถ้าไปอ่านในตำราแล้วมาคุยกันมันไม่ได้ฟิลลิ่งนะครับ ผมขออนุญาติไม่ตอบคำถามท่านจนกว่าท่านจะตอบคำถามผมก่อน(ในเรื่องทางสายกลาง ) แล้วก็อย่าลืทนั่งให้ได้ 3 ชม แบบไม่ขยับ หรือถ้า 6 ชม อย่างที่ท่านว่าก็ยิ่งดี ผมเคยลองมาแล้วในครั้งแรกนั้นบอกได้คำเดียวว่า สุโ่ค่ย ครับ คราวนี้จะเข้าใจทุกข์ทางกายดีขึ้นว่า้มันทุกข์อย่างไรหนอ


เจริญธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 04 ก.พ. 2010, 00:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 06:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อายะเขียน
อย่างที่ผมบอกท่านนะครับอาการที่ท่านเล่ามาน่าจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติประมาณ 2 - 3 วัน

คุณยังทำไม่ได้ แต่คุณคิดไปล่วงหน้าแล้ว ปฏิบัติธรรมนั้นต้องใช้ทั้งความอดทนที่ท่านนิยามว่าเป็นการทรมานตนให้ลำบาก และก็ต้องทำต่อเนื่อง และก็ต้องใช้ระยะเวลาที่แต่ละคนไม่เท่ากัน ที่บางคนเรียกว่าบ่มอินทรีย์ สรุป ไปทำมาให้ได้ก่อนดีกว่านะครับ


คุณอายะครับ ผมศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางการยุบหนอ พองหนอ มาหลายปีครับ

ที่ผมไปปฏิบัติเป็นรูปแบบนั้น ตามสถานที่ต่าง ๆ (เข้าคอร์ส) ก็จะประมาณ 3 วัน

รวมทั้งช่วงบวชตามประเพณี 1 เดือนกับวัดแถวบ้าน ผมก็นำไปปฏิบัติด้วย (สมัยนั้นผมรู้แต่ ภาวนาพุทโธ กับ ยุบหนอ พองหนอ) เวลาเดินจงกรมผมก็เดินช้าทำได้ถึง ๖ จังหวะ แต่พระบางรูป ท่านก็เดินธรรมดา จึงเกิดความสงสัยว่า

พระท่านนั้นทำไมไม่เดินวิปัสสนาเหมือนเรา ?

เดินธรรมดาแบบนี้ ไม่เป็นวิปัสสนาแน่ ๆ ?

--------------------------------------------------------------

คุณอายะครับ หากจะให้ผมไปปฏิบัติแบบยุบหนอ พองหนอ อีก ผมคงทำไม่ได้แล้วละครับ เพราะไม่สามารถที่จะลด ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ลงได้เลย

ผมได้มาพบแนวทางอื่น ที่ผมศึกษา และ ฝึกหัดปฏิบัติแล้ว ผมมั่นใจว่า สอดคล้องกับ พระไตรปิฏก อรรถกถา (ในแนววิปัสสนายานิกะ , อิริยาบถบรรพะ )



29201.การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
viewtopic.php?f=2&t=29201

คำว่า " ปชานาติ " เป็นคำกิริยา ที่แปลว่า " รู้ชัด " เป็นการแปลไปก่อนเพื่อป้ปงกันคำพูดเยิ่นเย้อ หรือฟังไม่รื่นหูเท่านั้น ความจริงท่านให้ความหมายของศัพท์ไว้ดังนี้ " ปกาเรหิ ชานาติ ปชานาติ " แปลว่า " รู้โดยประการทั้งหลาย ชื่อว่า ปชานาติ " หมายความว่าในสิ่งที่ควรรู้นั้น มีประการอะไร ๆ ที่ควรรู้สักกี่ประการก็ตาม ก็ย่อมรู้สิ่งนั้น โดยประการทั้งหมดนั้น

ในเวลาที่เดินอยู่ ประการที่ควรรู้ในอิริยาบถเดิน มี ๓ ประการคือ
๑. โก คจฺฉติ - ใครเดิน, นี้ก็เป็นประการหนึ่งที่ควรรู้
๒. กสฺส คมนํ -- การเดินเป็นของใคร, นี้ก็เป็นประการหนึ่งที่ควรรู้
๓. กึ การณา คจฺฉติ -- เพราะเหตุไรจึงเดิน, นี้ก็เป็นประการหนึ่งที่ควรรู้
!
!

เป็นความจริงว่า พระโยคีบางท่าน ในเวลาที่เดินอยู่ ประสงค์จะกำหนดรูปเดิน แต่เพราะไม่เข้าใจว่า อะไรคือรูปเดิน รูปเดินอยู่ที่ไหน จึงกำหนดเพ่งอยู่ที่ขาทั้ง ๒ ในเวลาที่ตนก้าวเดินไป ซึ่งการปฏิบัติอย่างนี้ เป็นเครื่องแสดงว่าเขาเข้าใจว่า ขานั่นเองคือรูปเดิน ซึ่งการปฏิบัติอย่างนี้ เป็นเครื่องแสดงว่าเขาเข้าใจว่า ขานั่นเองคือรูปเดิน รูปเดินอยู่ที่ขานั่นแหละ ก็ความเข้าใจอย่างนี้เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะเหตุไร ? เพราะในเวลาที่ทรงกายอยู่ในอิริยาบถอื่นนอกจากอิริยาบถเดิน คือในเวลาที่นั่งอยู่ หรือยืนอยู่ หรือนอนอยู่ก็มีขาเหมือนกันั่นแหละ หาใช่ไม่มี แต่ในเวลานั้น หามีการเดินไม่ เพราะฉะนั้นรูปเดินจึงไม่ใช่ขาทั้ง ๒. จริงอยู่ การเดินมิได้เป็นไปได้ด้วยอาศัยขาทั้ง ๒ เพราะว่าคนขาด้วน ขาพิการ ไม่สามารถเดินได้, ถึงกระนั้น แม้ว่ามีขา แต่ถ้าหากว่าไม่มีอาการที่เดินคือที่ก้าวไปแต่ละก้าว การเดินก็ไม่มี เพราะฉะนั้น อาการหรือท่าทางที่ก้าวไปแต่ละก้าวนั่นเอง เป็นรูปเดิน รูปเดินอยู่ที่อาการหรือท่าทางที่ก้าวไปแต่ละก้าวนั่นเอง เป็นรูปเดิน รูปเดินอยู่ที่อาการหรือท่าทางที่ก้าวไปแต่ละก้าวนั่นเอง หาใช่อยู่ที่ขา หรือแม้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไม่

อนึ่ง พระโยคีบางท่าน เพราะไม่เข้าใจเกี่ยวกับลักษณะหรือการทำงานของสติสัมปชัญญะ ในเวลาที่กำหนดนามรูป จึงไม่สามารถแยกแยะได้ว่าในเวลานี้ไม่มีทั้งสติสัมปชัญญะ หรือว่ามีสติอย่างเดียว ไม่มีสัมปชัญญะ เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารเจริญสติสัมปชัญญะกำหนดรูปเดินได้อย่างถูกต้อง
เป็นความจริงว่า มีสภาวธรรมหลายอย่าง ที่คล้ายสติสัมปชัญญะ คือวิตกมีลักษณะคล้ายสติ เพราะวิตกเป็นธรรมชาติที่คิดนึก ดำริอารมณ์ เหมือนอย่างที่สติระลึกถึงอารมณ์ มีการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์นั้น ๆ เป็นลักษณะ เหมือนอย่างที่สติมีความเข้าไปตั้งไว้ที่อารมณ์ เป็นลักษณะ เพราะฉะนั้น พระโยคีบางท่านผู้ไม่สามารถแยกความต่างกันระหว่างวิตกกับสติได้อย่างชัดเจน ในเวลาที่เดินอยู่ จิตนึกถึงอารมณ์ คือบัญญัติว่ารูปเดิน นึกถึงชื่อว่า รูปเดิน ด้วยกำลังของวิตกนั่นเทียว บริกรรมอยู่ในใจว่า “ รูปเดิน รูปเดิน “ ไม่ซัดส่ายหรือฟุ้งซ่านนึกถึงอารมณ์อื่น ก็เข้าใจว่า ในเวลานั้น ตนนั้นเป็นผู้มีสติ หรือทำสติให้เกิดขึ้นได้แล้ว ความจริง เขาจะได้ชื่อว่า เป็นผู้มีสติ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ก็หาไม่ เพราะสักว่าเป็นการนึกถึงบัญญัติ นึกถึงชื่อ บริกรรมไปว่า “ รูปเดิน “ เท่านั้น มิได้สัมผัสตัวสภาวธรรมที่เป็นรูปเดินอย่างแท้จริงเลย การนึกถึงบัญญัติ นึกถึงชื่อ บริกรรมว่า “ รูปเดิน “ ไปอย่างนี้ หาชื่อว่ามีสติไม่ พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าหากว่ามีแต่การนึกอยู่ในใจ บริกรรมไปว่า “ รูปเดิน รูปเดิน “ ไม่มีความรู้สึกเข้าไปตั้งไว้คือออกไปที่อาการท่าทางที่ก้าวไปนั้นจริง ๆ แล้วไซร้ ในเวลานั้นไม่ชื่อว่ามีสติ เพราะว่า วาระนี้ ประสงค์สติที่เป็นสติปัฏฐาน อันมีความเข้าไปตั้งอยู่ที่อาการเดินนั้นเท่านั้น จริงอย่างนั้นผู้ปฏิบัติบางคน เพราะตุที่มีแต่การนึกถึงบัญญัติ นึกถึงชื่อแล้วบริกรรมไปว่า “ รูปเดิน “ อยู่ที่ใจ อย่างนี้นั่นเอง พอถูกอาจารย์สอบอารมณ์กรรมฐาน ถามว่า “ รูปเดินอยู่ที่ไหน ? “ ก็ตอบว่า “ อยู่ที่ใจ “ แทนที่จะอยู่ที่อาการหรือท่าทางที่ก้าวไปนั้น ทั้ง ๆ ที่ในเวลาที่ไม่ปฏิบัติ เมื่อจะสำคัญว่าเราเดิน ก็หาสำคัญที่ใจไม่ ที่แท้แล้ว ก็สำคัญผิดที่อาการท่าทางนั่นเทียว

อนึ่ง เพราะเหตุที่ไม่มีสติอย่างนี้ นั่นเอง ความรู้ว่าเป็นรูปเดินของเขา จึงเป็นความรู้ของสัญญา บริกรรมไปตามสัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ของสัมปชัญญะ เพราะเรียนรู้แล้วจำได้ด้วยสัญญามาก่อนว่า อาการอย่างนี้ท่าทางอย่างนี้เรียกว่า รูปเดิน แม้ว่าได้รู้อยู่บ่อย ๆ ก็เกี่ยวกับว่า ตนคอยบริกรรมเอาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเกิดปัญญา ดุจเดียวกับคนที่เจริญกสิน นึกถึงดวงกสินมีปฐวีกสินเป็นต้น บริกรรมไปว่า “ ปฐวี ปฐวี, ดิน ดิน “ เป็นต้น ฉะนั้นอย่างนี้แล ชื่อว่า ไม่มีทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ


การท่องรูปเดิน ๆ ๆ ๆ หรือ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ นั้นเป็นเพียงบัญญัติครับ

อ้างคำพูด:
เรียนถาม คุณอายะครับ
คุณคิดว่าแนวทาง ยุบหนอ พองหนอ เป็น วิปัสสนายานิกะ (อาศัยขณิกะสมาธิ กับ ปรมัตถ์อารมณ์)
หรือ สมถะยานิกะ (ทำสมาธิจนเกิด ฌาน แล้วยกองค์ฌาน ขึ้นสู่วิปัสสนา) วิปัสสนายนิกะ และ สมถะยานิกะ


เหมือนกับคนไม่เคยโดนไฟช็อตนะครับ ก็ได้แต่จินตนาการว่ามันคงเจ็บนิดเดียว หรือเจ็บเยอะ หรือชาอย่างเดียว ถ้าไปอ่านในตำราแล้วมาคุยกันมันไม่ได้ฟิลลิ่งนะครับ ผมขออนุญาติไม่ตอบคำถามท่านจนกว่าท่านจะตอบคำถามผมก่อน(ในเรื่องทางสายกลาง ) แล้วก็อย่าลืทนั่งให้ได้ 3 ชม แบบไม่ขยับ หรือถ้า 6 ชม อย่างที่ท่านว่าก็ยิ่งดี ผมเคยลองมาแล้วในครั้งแรกนั้นบอกได้คำเดียวว่า สุโ่ค่ย ครับ คราวนี้จะเข้าใจทุกข์ทางกายดีขึ้นว่า้มันทุกข์อย่างไรหนอ


ยุบหนอ พองหนอ ตัวเองเพ่งสมมุติบัญญัติอยู่แท้ ๆ แต่กลับนึกว่าตนเองถึงปรมัตถ์แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่เป็นวิปัสสนาหรอกครับ คุณอายะ

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


เอางี้สิคุณเฉลิมศัดดิ์ ปกติกรัชกาย จะไม่รับใครเป็นศิษย์ แต่จะรับคุณเป็นคนแรกและคนสุดท้าย

คุณเรียกกรัชกายว่า อาจารย์ สิครับ แล้วจะแนะนำวิธีปฏิบัติเบื้องต้นให้


คุณกรัชกายครับ คุณสมบัติของคุณไม่เหมาะสมที่จะเป็นอาจารย์ผม เลยครับ

อาจารย์ที่ดีควรมี คุณสมบัติดังนี้

http://www.abhidhamonline.org/aphi/p9/039.htm

กัลยาณมิตร

กัลยาณมิตร ในที่นี้หมายถึง อาจาริยบุคคล ผู้เจริญกัมมัฏฐานไม่ว่าจะเป็นทาง สมถะ หรือวิปัสสนา ควรมีอาจารย์เป็นผู้แนะนำชี้ทางผิดและทางถูกให้ เพราะอาจารย์ก็นับเป็นจำนวน ๑ ใน ๓ ที่โยคีบุคคลจะละเสียมิได้ คือ

อุปนิสฺสย อยู่ในสำนักอาจารย์ผู้สามารถ

อารกฺข รักษาอินทรียให้สมบูรณ์

อุปนิพทฺธ ผูกจิตไว้ในอารมณ์กัมมัฏฐาน

เหตุนี้จึงนับว่า อาจารย์เป็นบุคคลที่สำคัญยิ่ง ผู้ที่จะเข้าเป็นศิษย์ต้องพินิจพิจารณาให้จงหนัก แต่ไม่ควรวิพากย์วิจารณ์ไปในทางที่เป็นโทษ เพราะอาจารย์ทุกท่านย่อมพากเพียรเกื้อกูล ให้เป็นคุณแก่ศิษย์ด้วยความเมตตากรุณา ในวิสุทธิมัคค แสดงองค์คุณของอาจารย์ไว้ว่า

๑. ปิโย เป็นผู้มีสีล เป็นที่รัก น่าเลื่อมใส เป็นที่รักใคร่ของสรรพสัตว์ เพราะความสมบูรณ์แห่งสีล

๒. ครุ เป็นผู้มีใจคอหนักแน่น น่าเคารพยำเกรง

๓. ภาวนีโย เป็นผู้ได้ฝึกฝนอบรมตนมาแล้วด้วยดีทั้งการเรียนและการปฏิบัติ มีสีลาจารวัตรอันดีงามควรแก่การยกย่องสรรเสริญ

๔. วตฺตา เป็นผู้ที่สามารถแนะนำ ชี้แจงแสดงแนวทางแห่งการปฏิบัติได้ดี และถูกต้องด้วย

๕. วจนกฺขโม เป็นผู้ที่มีขันติอดทนพร่ำสอนศิษย์ไม่เข้าใจก็พยายามให้เข้าใจตามแนวทางแห่งการปฏิบัติ และอดทนต่อการกล่าวล่วงเกินของศิษย์และผู้อื่น ไม่หวั่นไหวต่ออิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์นั้น ๆ

๖. คมฺภีรญฺจ กถํ กตฺตา สามารถแสดงวิปัสสนาภูมิให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจได้ด้วยวิธีการที่ สอนน้อย แต่ให้ทำมาก

๗. โน ฐฏฺฐาเน นิโยชเย บอกทางที่ถูกให้

นอกจากนี้แล้วในมหาฏีกา ยังแสดงคุณสมบัติของผู้ที่ควรเป็นอาจารย์ไว้อีกดังนี้ คือ

๑. สทฺธาสมฺปนฺโน โหติ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสัทธา เชื่อต่อพระปัญญาตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ตั้งใจบำเพ็ญประโยชน์ต่อสรรพสัตว์

๒. สีลสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยสีล คือมีมารยาทอันดีงาม

๓. สุตสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยการศึกษา สามารถแสดงแนวทางแห่งการปฏิบัติได้ดี

๔. จาคสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยการบริจาค ยอมเสียสละ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ

๕. วิริยสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร ได้เคยเจริญกัมมัฏฐานมาแล้ว

๖. สติสมฺปนฺโน ถึงพร้อมแล้วด้วยสติ ไม่เผลอ ไม่ประมาท

๗. สมาธิสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยสมาธิ มีจิตตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระสับ กระส่าย

๘. ปญฺญาสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยปัญญา


-------------------------------------------------------------
ตัวอย่างของ พระวิปัสสนาจารย์ที่ดี

http://larndham.org/index.php?showtopic ... r=1&st=14&

“ที่บอกว่าดูรูปเดิน ดูตรงไหนครับ”


“ดูตรงขาครับ”


“อ้าว แล้วรูปนั่งไม่มีขาหรือไง รูปนั่งและรูปเดินเป็นคนละรูปนะครับ แต่ก็มีขาทั้งคู่ แม้รูปในอิริยาบถอื่นก็มีขาทั้งนั้น ...แล้วที่ว่าดูตรงขานะ ดูอย่างไรครับ “


“ก็ดูเวลาที่ ขาขวาย่าง ...ขาซ้ายย่าง”


“แล้วตอนดูนั้น กำหนดอย่างไร”


“ผมก็กำหนดว่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ”


“อ๋อ..ผมเข้าใจแล้วล่ะ”


ว่าแล้ว พ่อก็ชวนคุณลุงคนนั้นไปนั่งคุยเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนา สิตางศุ์จึงรีบตามไปนั่งฟังด้วย

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อนึ่ง เพราะเหตุที่ไม่มีสติอย่างนี้ นั่นเอง ความรู้ว่าเป็นรูปเดินของเขา จึงเป็นความรู้ของสัญญา บริกรรมไปตามสัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ของสัมปชัญญะ เพราะเรียนรู้แล้วจำได้ด้วยสัญญามาก่อนว่า อาการอย่างนี้ท่าทางอย่างนี้เรียกว่า รูปเดิน แม้ว่าได้รู้อยู่บ่อย ๆ ก็เกี่ยวกับว่า ตนคอยบริกรรมเอาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเกิดปัญญา ดุจเดียวกับคนที่เจริญกสิน นึกถึงดวงกสินมีปฐวีกสินเป็นต้น บริกรรมไปว่า “ ปฐวี ปฐวี, ดิน ดิน “ เป็นต้น ฉะนั้นอย่างนี้แล ชื่อว่า ไม่มีทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ

เศร้าหมองหนอท่านเหลิม คัดมาจากไหนเนี่ยมันแสดงถึงภูมิคนคอมเมนต์เลย การบริกรรมเป็นแค่เครื่องมือให้การรู้เป็นไปอย่างแนบแน่น หากผู้ใดสติดีจะทิ้งบริกรรมเสียก็ได้ ไม่ได้ผิดอะไร แต่สำหรับผู้ที่อินทรีย์ยังอ่อนการบริกรรมจะช่วยไม่ให้จิตไหลไปได้ง่ายและเมื่อไหลไปแล้วก็รู้ตัวได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างเพ่งกสินดินผมไม่เคยเพ่งของดให้ความเห็น แต่ถ้าเป็นกสินสีเช่นสีแดง เพ่งไปพร้อมบริกรรมไป สีแดงๆ ๆๆ ทำไปเรื่อยๆ จนเกิดภาพติดตาเกิดนิมิตขึ้นมาในมโนทวารเป็นสีแดงกลม จะทิ้งหรือไม่ทิ้งสุดท้ายคำบริกรรมมันก็จะหายไปเอง หรือจะลองทำพุทโธ หรือเมตตาภาวนาก็ได้ เคยไหมคับที่คำบริกรรมหายไปเองนะท่านเฉลิม




อ้างคำพูด:
หากจะให้ผมไปปฏิบัติแบบยุบหนอ พองหนอ อีก ผมคงทำไม่ได้แล้วละครับ เพราะไม่สามารถที่จะลด ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ลงได้เลย
ผม ได้มาพบแนวทางอื่น ที่ผมศึกษา และ ฝึกหัดปฏิบัติแล้ว ผมมั่นใจว่า สอดคล้องกับ พระไตรปิฏก อรรถกถา (ในแนววิปัสสนายานิกะ , อิริยาบถบรรพะ )
คุณอายะครับ หากจะให้ผมไปปฏิบัติแบบยุบหนอ พองหนอ อีก ผมคงทำไม่ได้แล้วละครับ เพราะไม่สามารถที่จะลด ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ลงได้เลย
ผม ได้มาพบแนวทางอื่น ที่ผมศึกษา และ ฝึกหัดปฏิบัติแล้ว ผมมั่นใจว่า สอดคล้องกับ พระไตรปิฏก อรรถกถา (ในแนววิปัสสนายานิกะ , อิริยาบถบรรพะ )


ถ้าไม่สามารถปฏิบัติได้กรุณาช่วยงดใช้ติ่งหูประมวลผลแกรกๆๆ ว่าการปฏิบัติแบบนี้ถูกหรือผิด ขนาดทิฐิทางสายกลางซึ่งน่าจะเข้าใจได้ยังตีความผิดเลยครับ คำถามเก่าเรื่องทางสายกลางก็ไม่ตอบ เปิดประเด็นเพิ่มเรื่อยๆ

เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 20:24
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เครื่องมือๆคือเครื่องมือ ไม่มีเครื่องมือเลยเหรอ จะพองๆยุบๆ หรือจะพุทโธ หรือจะอะไรก็แล้วแต่ เป็นเครื่องมือ(อุบาย)เหมือนพระจุฬบันถกท่าน นั่งลูบผ้าที่พระพุทธเจ้าประทานให้ พอท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านนั่งลูบผ้าอยู่อีกหรือ :b6: อย่าดุผมนะแค่แสดงความคิดเห็น :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




927411043l1.gif
927411043l1.gif [ 3.09 KiB | เปิดดู 3859 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
ยุบหนอ พองหนอ ตัวเองเพ่งสมมุติบัญญัติอยู่แท้ ๆ แต่กลับนึกว่าตนเองถึงปรมัตถ์แล้ว ทำอย่างไรก็ไม่เป็นวิปัสสนาหรอกครับ


ได้เห็นได้ยินนักธรรมะบ้านเราพูดถึง สมมุติบัญญัติ ปรมัตถ์ กันบ่อยๆ :b1:

นี่ก็ได้ยินจากท่านอาจารย์เฉลิมศักดิ์อีกแระ :b32:

หวังว่าคราวนี้ คงได้คำตอบชัดเจนจากปาก อ. เฉลิมฯ ลูกศิษย์ อ.แนบ เสียทีนะครับ

พูดดังๆชัดๆ แบบไม่ต้องเดาสุ่มไม่ต้องตีความ ยกตัวอย่างให้เห็นด้วยว่าอะไรตรงไหน คือ สมมุติหรือบัญญัติ

และอะไรตรงไหนคือปรมัตถ์ขอรับ อ.เฉลิมศักดิ์

ตัวอย่าง เช่น คน หรือ มนุษย์เนี่ย ตรงไหนเป็นสมมุติ ตรงไหนเป็นปรมัตถ์ ตอบชัดๆครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 20:24
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมมุติบัญญัติ กับปรมัตบัญญัตินี่ ก็เห็นว่ากันมาตลอด ผมก็เคยนึกเหมือนกัน เอาสมมุติบัญญัติไปประหารสมมุติบัญญัติเองไม่ได้เหรอครับ พระอรหันตบางรูปกำหนดพยัพแดดเป็นอารมณ์หยังลงกัมมัฎฐานก็บรรลุพระอรหันต์ได้ พระจุฬบันถก อาศัยความคล่ำคร่าของผ้าที่พระพุทธเจ้าประทานมาให้ แล้วหยั่งลงสู่กัมมัฎฐานบรรลุพระอรหันต์ ผ้านั้น คำภาวนา ระโชหระนัง นั้นก็เป็นสมมุติบัญญัติไม่ใช่เหรอ แต่ท่านก็เอามาใช้เป็นอารมณ์กัมมัฐานจนละสมมุติได้ การละสมมุติบัญญัตินี่ ละได้ด้วยสภาวะจิตที่ได้รับผลจากการปฎิบัติถึงระดับที่ละได้ หรือว่าละได้เลยเมื่อเราตั้งใจละครับ ผมเข้าใจว่า ละได้ เมื่อสภาวะจิตถึงระดับที่ละได้ ถ้าตั้งใจละได้เลยอาศัยเพียงแค่ว่าตั้งใจจะไม่เอาสมมุตินั้นมาจะได้เป็นวิปัสสนาโดยแท้ แล้ววิปัสสนาจะวิเศษเลิศเลออะไร? แค่ตั้งใจว่า ไม่เอาสมมุติ(ทั้งที่ต้องอาศัยสมมุติ)ก็เป็นวิปัสสนาแล้ว :b6: การที่จะยกระดับจิตได้ ก็อาศัยการปฎิบัติแล้วได้ผลการปฎิบัติ วิปัสสนาจะบังเกิดก็บังเกิดก็เพราะระดับจิตที่ได้รับผลจากการปฎิบัติ คือง่ายๆจิตได้รับผล แล้วจิตละตามธรรมชาติของการปฎิบัติ ไม่ใช่มาตั้งใจละแล้วๆ แล้วตั้งใจละไม่เอาสมมุตินี่ที่จริงก็เป็นสมมุติอีกนะนั่น อย่างไร ก็แนะนำกันบ้างนะครับ อยากรู้เหมือนกัน :b27: อย่าดุผมนะ ผมกัว


แก้ไขล่าสุดโดย สติสัมปันน์ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 11:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ของ ๒ สิ่งบนโลกนั้น ล้วน มีและไม่มี

ปุถุชนผู้ที่มิได้เรียนรู้ธรรม ย่อมเห็น คน หรือ มนุษย์เนี่ย ว่ามีตัวตน(อัตตา)
โดยไม่รู้จักหรอกว่า สมมุติบัญญัติ กับปรมัตบัญญัติ เป็นเช่นไร ส่วน

ผู้ที่เรียนรู้ธรรม ว่าโดยปรมัตถ์ ย่อมเห็น คน หรือ มนุษย์เนี่ย ว่าเป็นสิ่ง สมมุติ
เห็นถึงความไม่แน่นอน มีความแปรปวน และแตกสลายไปในที่สุด ตามความเป็นจริง

พระอริยะเจ้าจึงเห็น ไตรลักษณ์ ได้ ส่วนปุถุชนคนธรรมดาไม่สามารถเห็นได้ ตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




a599397540.gif
a599397540.gif [ 33.65 KiB | เปิดดู 3821 ครั้ง ]
"มนต์รักอสูร"

http://radio.sanook.com/music/player/%E ... %A3/49680/

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 123 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร