วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 09:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 201

ทุกข์ซะให้เข็ด



ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

สวัสดีค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

ดีจ้ะ รู้สึกเบื่อชีวิตมั่งไหมคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อ่าว ทำไมอยู่ๆพี่น้ำถามแบบนี้

สุขที่แท้จริง says:

ถามดูเฉยๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ยังค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

งั้นทำต่อไป

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

หมูว่าแล้ว ก็แค่มันเฉยๆ แล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนุก

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ชีวิตก็มีเท่านี้แหละ ภาษาชาวบ้านนะคะ กิน ถ่าย สืบพันธ์ นอน เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ จริง

สุขที่แท้จริง says:

สุดท้าย ขี้ข้ากิเลสเหมือนเดิม การเกิดทุกครั้งก็คือทุกข์

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ก็ทำได้แค่เพียเรื่อยไป ต่อไป เราะมันทำอะไรไม่ได้นอกจากนี้

สุขที่แท้จริง says:

ถูกค่ะ ทำตามกำลังเท่าที่ทำได้ ไม่ไปกดดันตัวเอง ระวังความอยาก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ไม่แล้ว อะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ขำๆหมูน่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ความอยากมี อยู่แล้วค่ะ ทำไมหรือคะ

สุขที่แท้จริง says:

จำได้คำพูดของหมู

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ที่บอกรู้สึกลัวทำไมยังทุกข์หรือคะ

สุขที่แท้จริง says:

ยอมพี่ ยอมทุกข์ จะกดดันมันให้สุดๆ เจอแล้วเป็นไง สงสัยลืมคำพูดของตัวเองไปหมดแล้วมั๊ง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ไม่ลืมค่ะพี่ จำได้

สุขที่แท้จริง says:

เลยได้ดั่งใจ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

และรู้สึกใช่เลยค่ะ รู้สึกว่ามาถึงจุด ที่กดดันจนถอยไม่ได้ แต่ยังเพิ่งเริ่มค่ะ ยังไม่ถึงที่สุด

สุขที่แท้จริง says:

ไม่ต้องไปกดดันอะไรหรอก ทุกข์น่ะ มันมีทุกขณะจิตเลยก็ว่าได้
ขยับตัวนี่ก๋ทุกข์แล้ว ถ้าไม่ทุกข์จะขยับตัวทำไม


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ก็ นะคะ มันเมื่อย เดินก็ทุกข์และ เมื่อยเท้า

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ ไม่ว่าจะทุกข์มากหรือน้อย เราก็เรียกว่า มันคือทุกข์
สังเกตุดูนะ ยิ่งทำความเพียร ยิ่งเจอแต่ทุกข์ ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ทุกข์นะ แต่มันไม่เห็นได้ชัดขนาดนี้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ เข้าใจค่ะ ก็เมื่อก่อนทุกข์แต่ไม่รู้ทุกข์เพราะอะไร ทุกวันนี้ ทุกข์ ยังรู้ว่าเพราะใจ
เมื่อก่อนรวมกันไปหมดเลย


สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ แยกไม่เป็น

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แต่ก่อน ทุกข์ใจ ดันนึกว่าตัวเองเป็นโรค เพราะมันเจ็บ

สุขที่แท้จริง says:

พอแยกได้ ทุกข์ก็ลดน้อยลงไป ทั้งๆที่จริงแล้วมันก็ยังทุกข์ เพียงแต่พอเราแยกมันได้
จิตมันเลยไม่ไปยึดติดเหมือนเมื่อก่อน


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ แต่เผลอติดใจอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้จริงๆ ตัวตนและกิเลสมาเป็นพรวน ชอบ รัก โกรธ
เกลียด หวง น้อยใจ

สุขที่แท้จริง said (9:13 PM):

ค่ะ ติดดีก็ทุกข์ ติดสุขก็ทุกข์ หลายๆคนที่ไม่ได้เจริญสติอาจจะงงว่า ทำไมต้องทุกข์
ก็นั่นดี นี่ก็สุข ใครๆก็อยากได้ เมื่อก่อนเจอความสุขนี่ ชอบมากๆเลยนะ
แต่พอรู้แล้วว่าต่อจากสุขจะต้องเจออะไร ไม่อยากได้เลย


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เจอความบีบคั้นรุปแบบใหม่

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ตอนนี้กลัว เวลาใจเบาๆ มาก เวลาเกิดก็บอกว่ าเฮ้ย ยังเว้ยๆ ยังทุกข์อยู่อย่าเพิ่งมาเว้ย

สุขที่แท้จริง says:

พี่น่ะตะหงิดๆในใจมาหลายวันละ เออมันสุขอะไรอย่างนี้หนอ เที่ยวนี้ มีความสุขใจยาวเลย
ใจมันเบาๆตลอดเวลา เจอวันนี้เลย ถึงบางอ้อ วันนี้ทั้งวัน เรื่องเก่าๆมันตีขึ้นมา
เรื่องของคนในอดีต มันตีขึ้นมาเอง ไม่ได้ไปคิดอะไรเลย ก็ดูมันนะ
หมูจำได้ไหม ที่พี่บอกว่า เราควรเก็บสิ่งดีๆเอาไว้


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

วันนี้สภาวะมันสอน มันเอาตัวสภาวะเก่ามาสอนพี่ ในสิ่งที่ไม่ดีที่เคยเจอ
สภาวะมันถามว่า แล้วอย่างนี้ทำไมถึงจำล่ะ ทั้งๆที่พี่คิดว่าพี่ไม่ได้สนใจมันแล้ว
พี่ไม่ตอบโต้กับจิตนะ นั่งดู จิตเขาจะส่งอะไรออกมาก็นั่งดู


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ แล้วได้คำตอบไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:

ได้ค่ะ หากแม้นเรายังมีการแบ่งว่า นี่คือความรู้สึกดีๆที่จะเก็บเอาไว้ นั่นคือ เรายังติดอยู่ในฝั่งของอดีต
แม้แต่เรื่องที่ไม่ดี เราคิดว่ามันจบไปหมดแล้ว จริงๆแล้วเราก็ยังติดมันอยู่


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ปล่อย ต้อง ปล่อย ทั้งหมด..

สุขที่แท้จริง says:

ใช่เลยยยยยยยยยยย นี่แหละ สภาวะเขามาสอนในวันนี้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เหมือนเราเรียน คำตอบ วันนี้ถูกของวันนี้ แต่มีคำตอบเหนือขึ้นไปอีกเป็นชั้นๆ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ มันจะมีรายละเอียดมากขึ้น

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ธรรมมะ นี่ช่วยให้เราคลาย ออกจริงๆนะคะ

สุขที่แท้จริง says:

นี่แหละหมู ที่พี่เคยบอกกับหมูว่า ถ้าสภาวะดูวนๆ ไม่ต้องไปสนใจ มีหน้าที่คือทำอย่างต่อเนื่อง
ทำลูกเดียว ใครจะอะไรยังไงไม่ต้องไปสนใจทั้งสิ้น ทำต่อไป แล้วสภาวะเขาจะมาต่อยอดให้กับเราเอง
เหมือนช่วงนี้พี่วนๆมานานแล้วนะ ติดสุข รู้นะ แต่ไม่คิดทำอะไร รู้ว่าทำไป เด๋วสภาวะเขาบอกเอง

วันนี้สภาวะเขามาทบทวนให้ว่าเราติดอะไรอยู่
เห็นไหม เวลาจิตมันมาพูดอะไร เรามีหน้าที่คือ ตั้งสติ รู้อยู่ แล้วดู ไม่ต้องไปร่วมคุยกับจิต


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เนี่ยค่ะ เห็นแล้ว คุยเมื่อไร ทุกข์เมื่อนั้น จมเมื่อนั้น

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ ปรุงสุดๆ ฟุ้งเป็นเรื่องเป็นเราว

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ เห็นว่า มี อะไร รกๆ ขึ้นมาเป็นพรวนเลย ช่วงนี้ จิตหมูเบาๆ ทุกข์ก็มาแบบ เบาๆ วอบแวบ
แต่ว่าเห็นแล้วว่า โกรธไวมาก เหมือนน้ำกระเพื่อม

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ เราจะเห็นความโกรธ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

สติยังไม่ทัน จะออกเป็นสีหน้า น้ำเสียงไป ต้องระวังตัว อีก

สุขที่แท้จริง says:

สภาาพแวดล้อมของหมูนี่ สนามรบจริงๆเลยนะคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ใช่ค่ะ ขยับตัวนี่ เจ้ากรรมนายเวรทั้งนั้นน่ะค่ะ
คนที่สนิทสุด ก็ เป็นคนที่กระทบหมูมากสุด รักที่สุด และเกลียดที่สุด น่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ เจ้ากรรมนายเวร จะมาในรูปแบบของกิเลสที่มากระทบเรา

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ..ต้องพยายามต่อไป งั้นเด๋วหมูไป อาบน้ำแล้วเริ่มทำ แล้วมาส่งการบ้านนะคะ
เสร็จแล้วค่ะพี่ เดิน 60/30
ตอนเดินก็รู้เท้า มีความทุกข์ ตามความคิด บีบคั้น เป็น บางขณะ ความคิด ที่มันแวบมาเป็นระยะ
ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกัน มีภาพบาง คำพูดบ้าง ก็รู้ไป แล้วมีอาการเจ็บ เหมือนมดกัด
มีคัน ไม่พอใจ จากความคัน ก็รู้ไป มี จินตนาการ แบบอยากได้อะไรเหมือนฝันกลางวัน แบบนั้นน่ะค่ะ คิดว่าถ้าได้แบบนั้น แล้วจะทำอะไรบ้างให้คนที่เรารักสบาย ใจมันสนุก อยากคิด แต่ก็จับที่เท้าเดินอยู่
มันก้อไม่พอใจ แน่นๆ เพราะมันอยากไปคิดแบบสุดโต่ง นี่ก็เดินแล้วรู้ไป แล้วก็คิดไป แบบกึ่งๆ ครึ่งๆ
กลางๆ แล้วก็เปลี่ยนไปอีก หลังๆก็ฟุ้ง แต่ก็ยังรู้เท้า

พอมานั่งก็ มีมดกัด มีไป หลง คิด แล้วรู้ว่า นี่หลงไปมันคิดไม่เป็นเรื่อง แล้วก็มารู้กาย
วันนี้จับกายได้มากขึ้น มีกายเคลื่อนไหว อกเคลื่อนไหว แต่ไม่จับติด ไม่ลงไปชิด
สลับกับหลงไปคิดไร้สาระ แล้วก็คิดแล้วก็รู้อีก มารุ้กายว่ากำลังนั่งอยู่ต่อ

มีเหมือนมดไต่ มีเหมือนมันวึบ งุบลง วิบ 2 ครั้ง ก็ดูอยู่นะคะ แล้วก็เห็นมันลงไปวุบ แล้วหาย 2 ครั้ง ติด
แล้วจากนั้นก็ไม่ลงอีก ก็รู้ว่าหลงไป กะรู้ว่ากำลังนั่งอยู่สลับกัน

ตอนพิมพ์ข้อความนี่ก็ มีมดกัดแล้วหายไปอีกหลายครั้ง ตอนเดิน ลืมบอกว่า ตอนทุกข์ช่วงต้นๆ
มันเหมือนมีความทุกข์ กับความนิ่งอยู่ ปนกัน จบแล้วค่ะ

หมู:เสร็จแล้วค่ะพี่ 30/ 20

รอบนี้ก็ มีมดกัด มีเจ็บปลายนิ้วเหมือนเข็มตำ มีเท้าเย็นๆ แสบๆ
มีความทุกข์ เพราะความไม่พอใจ บีบคั้นหนัก ไม่อชบ ไม่พอใจ และอยาก ก็รู้ไป
พอหนักก็กำหนดรู้หนอช่วย มีปรามาส มีคิดอกุศล กำหนดรู้หนอ และขอขมา

แล้วก็พอมานั่งก็รู้กายนั่ง มีเห็นจิตหลงไปคิด มีร้อนผ่าวที่เท้า ก้รู้ว่านั่งกับจิตหลงไป
ผุดเป็นคำเป็นภาพที่เกิดขึ้นระว่างวันค่ะ หมดแล้วค่ะพี่

: พี่น้ำ :
แต่ละคนสภาวะไม่เหมือนกัน ของหมูนี่ ถ้าว่าตามตำรา เขาเรียกว่า พวกทุกขัง
ก็ อันนี้พี่ว่าเองนะ ทุกข์ซะให้เข็ด จะได้ไม่ต้องไปทุกข์อีกต่อไป เพราะเข้าใจมันทุกกระบวนท่า


หมู:
ค่ะ พวกทุกข์ขัง ก็ต้องมีพวก อนิจจัง กะอนัตตาด้วยจิคะ

พี่น้ำ :
ใช่ค่ะ มี พวก ก็แล้วแต่เหตุที่แต่ะละคนกระทำมา

:: หมู:
ค่ะ พวกทุกข์ขังนี่เจ็บตัวหน่อย แต่ ก็ดีที่เห็นความทุกข์และไม่อาลัย

:: พี่น้ำ :
อนิจจัง อนัตตาก็ทุกข์ค่ะ แต่ทุกข์อาจจะน้อยกว่ากัน ก็ตามเหตุที่ทำมาน่ะหมู

:: หมู:
ค่ะ สมมตินะคะ ว่าเราทำเหตุดี แล้ว ชาติหน้าได้ปฎิบัติต่ออีก
เราจะเปลี่ยนเป็นอนิจจังกะอนัตตา หรือเปล่าคะ

:: พี่น้ำ :
แหมๆๆๆ ถามถึงชาติหน้าเลยหรือ

:: หมู:
แค่อยากทราบอะค่ะ แหมก็ทำใจไว้

:: พี่น้ำ :
เอาปัจจุบันค่ะ ทำให้ดีที่สุด

:: หมู:
ทำไปเรื่อยๆไงคะ ค่ะพี่

พี่น้ำ :
ค่ะ แล้วจะได้คำตอบเองแหละค่ะ

:: หมู:
ว่าแล้ว ...ค่ะพี่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 202

ให้ทบทวนและดูสภาวะของการดับ‏


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่ 60/30
เดินก็รู้เท้า แล้วก็มีตัววิพากษ์วิจารณ์ ก็มีความทุกข์ ที่จิต มีเพราะยังไปยึดถือความคิด
เห็นว่า ตอนรู้เท้า และจิตยังปรุงแต่ง ก็จะเกิดความทุกข์ เมื่อดูแล้วเห็นความยึดมั่นและ "เรา"

เห็นทุกข์ ว่าเพราะ ไปจิตคิด แล้วไปรู้สึกเป็นตัวเป็นตน เป็น เรา เลยทุกข์ เห็นแวบเดียว
ก็ต่อด้วยปรุงอธิบายสิ่งที่เห็นยืดยาว ก็พยายามจับเท้า ไม่ฟังมัน ถ้ามากเข้าก็กำหนดรู้หนอ

ที่เห็นว่าปรุงแล้วเกิด ความทุกข์ และความทุกข์เกิด เพราะ รู้สึกว่าความ คิด นั้นทำ ให้มีตัวเรานี้
เห็น 2 - 3 ครั้ง แต่ทิ้งช่วงห่างกัน คั่นด้วยฟุ้ง บ้าง แล้วก็มีจิตหลงไป คิดแล้วเกิดมานะ
เกิดการเปรียบเทียบ มีความยินดี เกิดขึ้นเมื่อมันเปรียบเทียบว่าเราดีกว่า จากนั้นเกิดละอายใจ ไม่พอใจ
เศร้า แล้วก็ดูต่อ แล้วก็เปลี่ยอารมณ์ไปอีก ตัววิจารณ์ขึ้นมาเรื่อยๆ ตัวคิด ต่ำๆ ก็มี มีตัวปรามาสจะขึ้น
ก็กำหนดรู้หนอไป มีคัน มีเหมือนมดกัดทั้งนั่งและเดินแตไม่ชัดและไม่ถี่ นานๆทีมา

พอมานั่ง ก็ รู้กายขัยบบ้าง มีรู้น้ำหนักมือบ้าง มีเงียบและเหมือนนิ่งแต่ยังรู้สึกว่ากายเคลื่อนไหวบ้าง
มีหลงไป คิดโน่นี่แต่ยังรู้ว่านั่งอยู่ แต่ไปเพลินๆกะคิดบ้าง มีคิดภาพที่ก่อให้เกิดราคะ บ้าง ก็กำหนด
แล้วก็หมดเวลาค่ะ เด๋วอีกรอบ แล้วมาค่ะพี่

เสร็จแล้วค่ะ 40/20
ก็รอบนี้ ส่วนใหญ่ ฟุ้งซ่าน รู้เท้า มีหลงไปฟุ้ง แต่ก็ยังรู้การเดินอยู่ ก็กำหนดรุ้หนอช่วย
แล้วก็ มีตัวจะปรามาสขึ้นบ่อย ก็กำหนดรู้หนอไว้ก่อน หลายครั้งน่ะค่ะ แล้วมีมดกัด

พอมานั่ง ก็รู้ว่านั่ง + ไปเหมือนง่วงข้างใน แต่ไม่ได้ง่วงเหมือนไปนิ่งแช่ ปนรู้ตัว แต่ไม่ได้จับกาย
และก็ไปคิด ไร้สาระ จบแล้วค่ะ มีมดกัดด้วยตอนนั่งค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
หมู ... ต้องหมั่นทบทวนสภาวะนะ กลับไปอ่านสภาวะที่ผ่านๆมา ถ้ายังทบทวนเองไม่ได้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อ่าจำได้ ว่ามดกัด กะเจ้าปรามาส ปวด ตุบๆ พวกนี้จะมาพร้อมกันน่ะค่ะ
อย่างนี้เรียกว่าทบทวนได้หรือเปล่าคะ หมูก็ไม่รู้ว่าแบบไหนทบทวนได้

สุขที่แท้จริง says:

ให้ดู การดับน่ะ ว่าเวลาสภาวะพวกนี้เกิด มันดับไวขึ้นไหม แค่ให้ดู แต่อย่าไปลุ้นนะหรือไปคาดหวัง
อย่างตอนนี้ สภาวะมดกัดมี แต่ไม่นาน ปรามาสมี แต่ไม่นาน จะได้ฝึกดูจิตตัวเองไปด้วย
ดูกิเลสต่างที่เกิดขึ้น ดูการกระทบ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เวลาสภาวะพวกนี้เกิด ใช่ไหมคะ ว่าเรา มีอารมแบบไหน รับมือกะมันได้แค่ไหน ยึดติดมันไหม

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ถ้าพูดถึงปรามาสก็ยังทุกข์ แต่ละไวขึ้น มดกัดก็มาๆไปๆ
ส่วนใหญ่พอทุกข์แล้วไปดู ต่อว่าทุกข์เพราะ ไปยึด ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 203

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่ 60/28 ค่ะ
ตอนเดินก็รู้เท้า แล้วก็ฟุ้ง มัว ก้อมันมีคิดตลอด โน่นนี่ จับกายเดินไว้
ไม่ให้ไปเพลิดเพลินกะความคิดอันใดอันหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ตาม ก็ยังเห็นว่าความฟุ้ง อันมากมายนั้น
มีความเพลินคิด ตามอารมณ์อยู่แล้วโดยตัวมันเอง ก็ช่วงไหนฟุ้งมากขึ้นก็จะกำหนดรู้หนอ
แต่ไม่ค่อยได้ใช้ค่ะ เพราะมันยืนพื้น คือยังรู้เท้า และรู้ฟุ้งได้ แล้วก็ ใจจะอคติคิดปรามาส
มันกำลังจะไปออกความคิดเห็นอคติและคิดปรามาสผู้มีพระคุณก็เบรกไว้ ด้วยการอั้นไว้บ้าง
แล้วกำหนดรู้หนอไป หลายรอบค่ะ

มีเหมือนคิดเป็นภาพอกุศลขึ้นมาจำไม่ค่อยได้ ก็กำหนดรู้หนอแล้วก็ทุกข์ สักพักก็ปล่อยไป
แล้วก็มีมดกัดค่ะ มาติดกัน 2-3 ครั้ง ต่างที่แล้วก็หายไป หลังๆก็มีมาอีกประปราย มีความทุกข์ที่จิต
เพราะยังมีความไม่พอใจอันเกิดจากความเห็นว่านี่ไม่ดี ปฎิบัติไม่ดีอยู่ แต่ไม่ได้เกิดจาก ความคิด
ที่เราเป็นผู้คิด เป็นความเคยชินของจิต ที่มันจะรู้สึกแบบนั้น แล้วเรามองมัน ดังนั้น จึงเจ็บ
หรือมีความทุกข์ตามอาการที่มัน ไปยึดว่าไม่ดี ไม่ชอบแล้วก้หายไป มาแล้วก็ไป จางลง แล้วก็มาอีก

แล้วก็ มีทุกข์จากความอยาก ผสมกับ ตัวไม่พอใจค่ะ ก็เห็นจิตมันมีความอยาก จะเดิน ให้ดี ยึดของมัน
มันก็อั้น ขึ้นมาไปข้างหน้า ก็ดูมันค่ะ เห็นแบบนี้อยู่พักหนึ่ง ตอนที่ทุกข์ดูมัน แล้วสักพักมันก้อเปลี่ยนไป
ฟุ้งๆ มัวๆ ก็จับเท้าไป

พอมานั่ง ก็มีรู้กายได้นิดเดียว แล้วก็ไปหลับในค่ะ งวดนี้หลับในยาว มันเหนื่อย จบแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ของหมู ถ้าเหนื่อยมาก ก็ลดเวลาลงมาได้นะคะ
เพราะถ้าเหนื่อยมากๆ เวลาเดินจงกรม มันจะไม่อยากเดิน


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ พี่ ก็เสียดายเวลาน่ะค่ะ ไว้วันไหน มันไม่ไวค่อยลด

สุขที่แท้จริง says:

พี่เข้าใจนะคะ ยิ่งทำยิ่งเข้าใจ จะทำให้เรารู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านๆไป
เพราะเราไม่อยากจะมีชีวิตแบบเดิมๆที่เราเคยเจอมา


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ มันยังหลงอารมณ์อยู่ ก็เลยพยายามรู้มันน่ะค่ะ ถ้าทำในรูปแบบแล้วก็จะมีกำลังใจว่า
เรายังได้ปฎิบัติบนเส้นทางนี้ ยังต้องใช้เรื่องนี้เข้ามาช่วยทางใจน่ะค่ะ
ช่วงนี้สภาวะวนกลับมาปรามาสอีกครั้ง เลยต้องระวัง

สุขที่แท้จริง says:

สภาวะมันจะแบบนั้นแหละ พอได้จังหวะเราเผลอ เขาก้จะมาทดสอบ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ศีลก็ยังพร่องอยู่ ทางใจน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

หมั่นเพ่งโทษ หมั่นสำวจจิตตัวเองน่ะดีแล้วค่ะ ตรงไหนพร่อง เราจะได้ระวังมากขึ้น

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ยังรู้สึกว่าน่าติเตียน แต่ก็ระวังอยู่ค่ะ ไม่ให้มันไปกดดันตัวเองอีก เข็ดค่ะพี่
วันนี้ก็ตัวอกุศล ปรามาส แล้วก็ตัวเห็นแก่ตัว ตัวมานะ ที่คนอื่นมากระทบ ความเป็นตัวเรา แล้วไม่พอใจ
ตัวเพ่งโทษผู้อื่น ตัวหลงตัวเอง ตอนสอน เยอะไหมคะ

สุขที่แท้จริง says

กิเลส มันจะออกมาให้เห็นชัดมากขึ้น เพียงแต่เรายอมรับได้ไหมว่า เราเป็นแบบนั้นจริงๆ
รู้มํย พี่ไม่ชอบสอนใครๆเพราะอะไร


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อ่า เรื่องมานะหรือเปล่าคะ

สุขที่แท้จริง says:

ไม่ใช่ตัวพี่หรอกค่ะ เรื่องมานะ แต่คนอื่นๆน่ะค่ะ พี่ชอบแนะนำชาวบ้านมากกว่า
แบบคนที่ไม่รู้อะไรเลยน่ะ เพราะรู้สึกว่า รู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับคนเหล่านั้น
เป็นบางคนเจอสภาวะพี่ผันผวน หนีไปหมดแล้ว เพราะรับไม่ได้ แต่เขาลืมไปว่า พี่ก็คนธรรมดา

เหนื่อยใจนะหมู พี่ถึงบอกไง พี่อยากอยู่เงียบๆในแบบของพี่ ฉะนั้นพี่เลือกไปวัดต่อ
กว่าจะกลับบ้านก็สี่ทุ่ม หมูทำการบ้านแล้ว

วิบากกรรมน่ะหมู สร้างเหตุอย่างไร รับผลเช่นนั้น ทำให้คนอื่นทุกข์ใจ ก็ต้องชดใช้เขาไป
นับว่ากุศลพี่ยังมีนะ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม พี่ถึงศรัทธาจนหมดหัวใจ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

โชคดีของ ตู ( ของหมู ) ด้วยค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ ไม่แตกต่างกันหรอกค่ะ สักวันหมูเองก็จะเหมือนพี่ มีความฝันที่ชัดเจน

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ต้องคอยระวังตัวเอง กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 204

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

สวัสดีค่ะพี่น้ำ

สุขที่แท้จริง says:

ดีจ้ะ วันนี้อ่านประวัติหลวงปู่โง่น

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

คลับคล้ายคลับครา ว่าเคยได้ยินชื่อท่าน

สุขที่แท้จริง says:

ท่านบอกว่า ทุกข์ ไม่ได้มีไว้ให้หนี ให้ตั้งหลักเรียนรู้มัน เราจะไปรอดได้ก็เพราะทุกข์นี่แหละ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ งั้นเราก็มีอุปกรณ์เยอะ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะหมู ท่านเจออะไรที่หนักมากๆ แบบๆเรานี่กระจอกงอกง่อยไปทันตาเล๊ยย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อื้อหือ งั้นต้องลองว่างๆอ่านบ้าง

สุขที่แท้จริง says:

พอดีน้องที่บ้านเขาเอามาอ่าน พออ่านเท่านั้นแหละ อื้อหือไม่ธรรมดาเลย
ท่านเขียนไว้ล่วงหน้าเลยนะ ในกรณีถ้าคนอ่านอ่านแล้วคิดไม่ดีกับท่าน


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ทำไมคะ อ่านแล้วคิดไม่ดีทำไมคะ

สุขที่แท้จริง says:

ท่านบอกว่า อย่ามาคิดอะไรกับท่านแบบนั้น ท่านบอกว่า ท่านไม่ได้คิดอยากจะเป็นอหัน อรหลอะไร
เจ็บสะไม่มี ท่านมีพื้นฐานรวยมากๆ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ท่านคงรู้

สุขที่แท้จริง says:

ฝรั่งเอาท่านไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม แบบอ่านผ่านๆ คิดว่าจำไม่ผิดนะ
เมื่อก่อนท่านนับถือคริสต์ อิสลาม


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แล้วมานับพุทธได้ไงคะ

สุขที่แท้จริง says:

ท่ท่านรู้ภาษาสัตว์ โอ๊ยยยย ... เรื่องท่านยาวมากๆ
คนที่ชำนาญด้านกสิณ จะมีเรื่องราวประหลาดๆแบบนี้ทุกคนเลยนะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

น่าหนุก หวือหวาหน่อยนะคะ

สุขที่แท้จริง says:

ตอนแรกพี่คดว่าคงมีพี่ประหลาดคนเดียว พอมาอ่านเรื่องของท่าน ร้องอื้อหือเลย
เหมือนกันเลยแฮะ ท่านไม่มีปริยัติแทรกเลยนะ พูดแบบง่ายๆ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ดีนะคะ อ่านแล้วเข้าใจกันหมด

สุขที่แท้จริง says:

ขนาดได้ฌาน 4 ท่านยังไม่เรียกฌานเลย ท่านเรียกสมาธิธรรมดา
คุกขี้ไก่ท่านก็โดนขังมาแล้ว อ่านแล้วโอ้โห


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

โอ้โหพี่ ทำไม ท่านเจออะไรหลากหลายจัง

สุขที่แท้จริง says:

ทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุที่ท่านกระทำเอาไว้ในอดีตชาติน่ะหมู

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

แม้แต่เรื่องกสิณ สภาวะที่ท่านเขียนบรรยายมา ตรงกับที่พี่เห็นเลยนะ
เลยเชื่อท่านหมดใจว่า ท่านได้เตโชกสิณจริงๆ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

น่าอ่านจิงๆแฮะ เราจุดไฟได้ปะคะ

สุขที่แท้จริง says:

อะไรก็ได้หมูที่เป็นแสงสว่างน่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

โอ้โหห พี่น้ำยังทำกสินได้ปะคะ

สุขที่แท้จริง says:

แม้แต่ดวงจันทร์ที่เราเห็นก็สามารถนำมาทำเป็นกสิณได้ ยังทำได้อยู่ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เขาบอกว่า ถ้าทำกสิน ได้ ก็แบบควบคุมไฟได้

สุขที่แท้จริง says:

แล้วท่านพูดเหมือนๆกับที่พี่รู้เลย พอได้เตโชกสิณ กสิณอื่นๆจะทำได้หมด
แม้แต่ลมหายใจที่นำมาทำวาโยกสิณ แบบที่พี่นำมาใช้ทำตอนที่สมาธิพี่หายไปหมดตอนแรกๆ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

กสินมีประโยชน์ในการ ปฎิบัติ แบบต่อยอดได้ไหมคะ ต่อยอดที่จะ ให้เกิดปัญญา

สุขที่แท้จริง says:

อ่านแล้วมีกำลังใจมากๆเลยว่า เออ มีครูบาฯท่านทำมาก่อนเรานะ
ท่านไม่ได้อยากเป็นอะไร แต่ท่านไม่อยากเกิดอีกแล้ว


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ สู้เว้ย!!

สุขที่แท้จริง says:

พี่อ่านของหลวงปู่ พี่พิจรณา ชีวิตเป็นของเรา เอาความทุกข์มาเรียนรู้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ชีวิตเป็นของเรา เหมือนที่พี่น้ำบอกไงคะ ว่าเราเลือกได้

สุขที่แท้จริง says:

ใช่หมู บางที สติมันก็ไม่ทันทุกขณะ มันต้องถอยห่างออกมา พี่จะเป็นแบบนั้นแหละ
ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ พี่ แหม มันก็ยากนะคะ ทุกขณะเนี่ย

สุขที่แท้จริง says:

สักวันหนึ่ง ฝันนั้นจะเป็นจริง เพราะพี่ไปจริงๆ ไปวัดมหาธาตุ
ต่อไปนี้จะตั้งใจปฏิบัติให้คิดว่า ทำให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อนุโมทนาค่ะพี่น้ำ

สุขที่แท้จริง says:

สาธุจ้ะ ครูบาฯอยู่ใกล้ๆ ค่าใช้จ่ายก็ไม่มาก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ไว้วันไหนหมูสบโอกาส จะไปแจมด้วย

สุขที่แท้จริง says:

นี่สงกรานต์คนก้มาถาม ก้จะบอกกับเขาว่า ไปวัดมหาธาตุนี่แหละ ทุกอย่างอยู่ที่ใจของเรา
ไปที่ไหนๆก็ค่าเท่ากัน เพียงแต่เราควรเข้าใกล้ครูบาฯไว้บ้าง


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะก็ดีนะคะ ไม่เดินทางไกลมาก

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ นั่งหลับสุดสายได้สบาย ทั้งไปและกลับบ รถแอร์อีกต่างหากกก
บุญพาวาสนาส่ง ยิ่งสร้างเหตุดีมากเท่าไหร่ นับวันผลบุญกุศลหนุนนำ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ..งั้นเด๋วหมูไปอาบน้ำและลุยละค่ะ เดี๋ยวมาส่งการบ้านค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

จ้าาา ทำไป อย่าไปกังวลหรือท้อ แล้วสักวันหมูจะพบกับสุขที่แท้จริง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

สาธุ ขอบคุณสำหรับพรค่ะ อยากได้ต้องทำเอา

สุขที่แท้จริง says:

พยายามลดๆมั่งนะ น้ำลายไหลยืดน่ะ ( ความอยาก )

ไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะ 60/30 ค่ะพี่
ก็รู้เท้า ก็มีความคิด แล้วก็ดูมัน ตอนที่ดูมันก็ยังเข้าไปมีอารมณ์กะความคิดอยู่
แต่ไม่ได้ลงไปจริงจัง กะอันใดอันหนึ่ง แล้วก็มีเห็นว่า ความคิด + ไปชอบ หรือไม่ชอบ
แบบความคิด มาก่อน ชอบ ไม่ชอบ เพราะไป แบบ ไปตีความความคิด พอจะไปตีความเป็นไม่ชอบ
ก็กำลังจะทุกข์ขึ้นแวบๆ แบบแผ่วๆ ก็หายไป เพราะเรารู้ ก็เลยไม่ไป ยึดและตีความต่อ แบบ นี้ 2 ครั้ง
นะคะ ใกล้ๆกัน แล้วก็ก็เห็นอีกว่า มันจะไปหมายดี เพราะไม่เคยเห็นแบบนี้ ก็ดูอยู่

ก็เลยเห็นว่า มันก็เหนื่อยทันที ที่ไปสร้างความหมาย ขึ้นมา ไม่ว่าจะหมายว่าดีหรือไม่ดี
หรือคิดออกความเห็น มันก็จะหนัก และเหนื่อย ก็เลยดูและไม่ลงไปหมายดีต่อ แล้วก็ มีไปคิดถึง
คนที่เคยมีปัญหากันแล้วไปด่าเขา จิตตัวที่โกรธน่ะค่ะ ก็ไปด่าเขาก็กำหนดรู้หนอ 3 ครั้งแล้วละ

เดินๆไปอีก ก้อจะด่าอีกแต่คราวนี้มันปรุงเป็นภาพไม่ได้ขึ้นเป้นคำพูด เป็นภาพของความคิด แวบๆ
แล้วหายไป ก็เดินต่อ ตอนนั้นก็หยุดนะคะ เงื้อเท้าค้าง แล้วกำหนดรู้หนอ แล้วเดินตอไป

ก็มีความง่วงมาขึ้นที่จิต แล้วก็มัวขึ้นตา แต่มันครอบไม่หมด พยายามตั้งสติ สักพักใหญ่ๆก็หายไป
แล้วเด๋วก็มีมาอีก เดินๆไปหลงเพลินไปเรื่องงาน ก็มารู้สึกตัวอีกตอนนั้นก้หายมัวไปแล้ว

แล้วก็มี ความอยาก ไม่ได้เป็นความคิดแต่เห็นใจมันทะยาน อั้นๆมีแรงไปข้างหน้า
เหมือนลุ้นกะการก้าวเท้าว่าจะเดินดีไหม ก็ดูความรู้สึก ที่เกิดจากความอยากนั้น มันรนๆ ลุ้นๆ การปปฎิบัติ

สักพักก็พ้นไป เรื่องอื่นแต่ไม่ได้เห็นมันดับอะไรชัดนะคะ สภาวะอืนมันเข้าปนๆแทรกๆ
แล้วก็มีเจ็บเท้า 2-3 ครั้งติดกัน เหมือนจะมดกัด 2 ครั้งติดกันแล้วหาย จางๆ

แล้วก็มีเดินๆรู้เท้าอยู่ แล้วจิตมันก็ยังไป คิดเพลินแล้วไหลไปจะปรุงกุศลกะครูยาอาจารย์
ก็รู้แล้วรีบกำหนดรู้หนอก่อน 3 ครั้งแล้วเดินต่อ เป็นแบบนี้ ประมาณ 3 ครั้งได้ค่ะ

ความไม่พอใจก้ยังมีอยู่เมื่อเกิดแบบนี้ แต่ก็ละมันไปได้ ไม่อยู่นาน มีความกลัว กลัวปรามาสผุดขึ้นมาอีก
ก็กำหนดรู้หนอหลบังมันขึ้น แล้วเดินต่อ

พอมานั่ง ก็มีรู้ว่ากำลังนั่ง แล้วเสียวๆท่อนขา แต่ก็ยุกยิกนะคะ ไม่สงบ ขยับขาเพราะเมื่อยและมันเสียวขา
แล้วก็มีเหมือนจะไปหลับใน ไม่จับกายเคลื่อนไหวค่ะ อย่างมากคือมารู้ว่ามีกายนั่งค่ะ สลับกันไป
รู้ว่ามีกายนั่งบ้างขยับตัวบ้างเสียวขาบ้าง ตรงแถวแข้ง หลับในบ้าง
หมดแล้วค่ะ วันนี้รอบเดียวเหมือนเดิมค่ะพี่เด๋วต้องอ่านหนังสือเตรัยมสอนต่อค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ เริ่มกำหนดทันมากขึ้นนะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมม ค่ะ ก็ช่วงไหนที่มันฟุ้งมากแล้ว ก็กำหนดรู้หนอไปแล้วมาจับขาเดิน แต่มันก็เห็นจิตไปด้วย
มันไม่สามารถรู้แต่ขาเดินอย่างเดียวได้ ก็ดูๆไป แล้วพยายาม ไม่ยุ่งกะความคิดน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ความคิดก็แบบนั้นแหละ ยิ่งสนใจมาก ยิ่งแสดง
หากเราแค่ดู มันจะสลับไปมา มีคิดบ้าง ไม่คิดบ้าง บางทีก้ขึ้นมาแผ่วๆ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ไปยุ่งแล้วเหนื่อย

สุขที่แท้จริง says:

ถูกเลยค่ะ ถ้าตราบใดไม่ใช่คิดอกุศล แค่ดูพอ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 205
"ความอิจฉา มันคือยาพิษที่เกาะกินใจเราไปเรื่อยๆ"



ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
เสร็จแล้วค่ะพี่ 60/30
ตอนเดินวันนี้ มันก็มีไปคุ้ยเหตุการณ์ในอดีตมา คำพูด หรือเรื่องที่เราเคยคุยกับคนบางคน
แล้วมันก้ร้อน ร้อนจิตเบาๆก้ดูไป แล้วก็กำหนดรู้หนอ เป็นแบบนี้หลายรอบเหมือนกัน
มีตัววิพากวิจารณ์ ตัวออกความเห็น แต่ไม่ได้ยาวหรือต่อเนื่องนัก มาเรื่อยๆแซมๆ กะการเดิน
มีความ อยาก ก็ดูมัน มีฉุกรู้สึกถึงความต่างของการเป็นผู้ดูกะผู้คิด
รู้สึกว่าเป็นผู้คิด ก็เป็นตัวตน ขึ้นมา เป้นผู้ดูก็ไม่ลงไปเป็นตัวตน แต่ยังไม่ได้เป็นผู้ดูแบบเต็มร้อย
ยังคงมีการหลงไปในอารมณ์ความคิด เห็นนิดเดียวแปปเดียว แล้วตามมาด้วยความคิดอธิายต่อ
มันขึ้นมา แล้วก็ปล่อยมันไป
มีจะไปปรามาสครูบา หมายถึง มันเพลินคิด ขณะที่เรารู้เท้า แต่จริงๆแล้ว
จิตเราไปไหล หลงไปด้วยขณะที่เราก็รู้กายเคลื่อนไหว แต่ข้างในมันหลงไปเพลิน
ก็เห็นว่ามันกำลังจะไปปรุง คิดแบบมิจฉาทิฏฐิ อคติกะครู ก็กำหนดรู้หนอก่อนมันจะไปคิดแบบนี้
เป็นแบบนี้ 2 หนค่ะ ก็ทันทั้ง 2 ครั้ง ก็มีความรู้สึก เหมือนเข้าใจว่า เวลาเผลอ มันจะเป็นแบบนั้น
มันมีความเข้าใจเพียงแวบเดียว ที่เหมือนมันไม่ใช่เรา มันเป็นปกติของจิต ที่จะเป็นแบบนั้น
แล้วความเข้าใจก็หายไปอีก

ก็มีเห็นความยึด หมายถึงตัวตน ที่ไม่พอใจ เกิดจากทิฐิความคิด ว่านั่น ถูก หรือไม่ถูก มันจะเอาคำตอบ
แต่มันบางๆ ไม่ลงไปเป็นมันเต็มที่ แต่เห็นอาการ ที่มันเป็น ในนั้น ก็มีความเป็นตัวเราอยู่ด้วย แต่ไม่เต็มที่
พอเห็นแบบนั้นก็เห็นอาการที่จิตมันแน่น มันหนัก หรือเครียด หรือเปรี้ยวบางๆ ขึ้นมา
แล้วก็สภาวะมดกัดมาเรื่อยๆตอลดทั้งเดินและนั่ง เดินจะมาเยอะกว่านั่ง มาติดๆกัน หลายๆครั้ง
บางทีก็ที่เดิม บางทีก็เปลี่ยนที่
ใจกระตุกตามอาการ มีความไม่พอใจด้วย แต่เป็น ครั้งๆ แล้วหายไป มีบางครั้งที่เกิดมดกัดแล้วเฉยๆ
นอกจากนั้นก็มี เหมือนเราชาๆเย็นคล้ายเหยีบน้ำแข็งที่เท้าที่วางพื้น และตอนนั่งก้อมี
แล้วก็มีความง่วง มัว เบื่อ แต่พอเดินๆไป ก็ตั้งใจดูกายเพื่อไม่ให้ความง่วงครอบ
พอตั้งใจดู นานๆทีมันก็มารู้สึกถึงความมีกายเดิน ตอนนั้นก็มัวจะ หายไป เป็นแบบนี้ 2 ครั้ง
พอมานั่ง ก็มีรู้ท้องขยับ เอาจิตมารู้ได้บ้าง มีจิตมันหลงไปแบบมันเพลินไปในความคิด
ที่ไม่มีแก่นสาร ก็เห็นมัน เห็นบางช่วงของมัน ว่าจิตมันเสพอารมณ์ของ การหลงไป คิด
แต่ไม่ได้หลงแบบถึงขนาดลืมตัวหมด แต่เหมือนมันเข้าไป เพลินๆ เหมือนสัตว์เลี้ยงเราที่เรา
จูงมันไว้แล้วมันยื่นออกไป น่ะค่ะ จนจบค่ะ หมดแล้วค่ะ อ้อ มีคิดจะเอาแต่ของดีมาส่งการบ้านด้วย

สุขที่แท้จริง says:
เรื่องปกติค่ะ ไปกินน้ำเข้าห้องน้ำ แล้วทำต่อเลยค่ะ เดินแรกๆ ให้เดินแบบพักผ่อนอริยาบท
สบายๆไปก่อนนะคะ จะได้ไม่เครียด


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่น้ำ เด๋วมาค่ะ หมูเปิดเทปธรรมมะไปด้วยนะคะ รอบสองอะค่ะ หรือไม่ควรเปิดคะ

สุขที่แท้จริง says:
ได้ค่ะ เปิดได้ทุกรอบแหละค่ะ คือ ถ้าอยากเปิกก็เปิด ไม่อยากเปิดก็ไม่ต้องเปิด
พี่น้ำน่ะเปิดเพลงตลอดแหละ จิตมันเลยเคยชินกับเสียงดังๆ
ใครอยากดังก็ดังไป จิตมันไม่สน มันสนแต่ข้างใน แต่ถ้าเปิดธรรมะนี่ มันได้ฟังไปด้วย


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
งั้นหมูไปละค่ะ ฟังท่าน ก.

สุขที่แท้จริง says:
ฟังๆหลายๆครูบาฯน่ะดี แต่ละท่านล้วนมีเทคนิคแตกต่างกันไป อย่าไปยึดติดกับครูบาฯท่านใดท่านหนึ่ง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่ เราผ่านยุควุ่นวายแบบนี้มากี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้นะคะพี่

สุขที่แท้จริง says:
ใช่จ้ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ตกอยู่ในความหวาดกลัวไม่รุ้กี่ครั้ง

สุขที่แท้จริง says:
อาจจะหนักกว่านี้ด้วยซ้ำเพียงแต่เราระลึกไม่ได้
ใครจะเป็นยังไงเรื่องของเขา หน้าที่เราคือทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ถ้าเรามัวไปวุ่นวายตาม ชีวิตก็คงเหมือนแต่ก่อนๆที่ผ่านๆมา ทุกข์ไม่รู้จบ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่น้ำ รอบนี้ 60/30
เดินไป ฟังเทศน์ไป ก็มานะขึ้นมา มันฮึดขึ้นมา บางช่วงก็กำหนดรู้หนอไป แล้วก็จะไปคิดปรามาส
ก็กำหนดอีก แล้วก็ พึ่งรู้สึกตัวค่ะ ว่าหลงไปรอบที่แล้ว มองไม่เห็นว่ามี กูรู้ กูเก่ง มารู้สึก เพราะมานะ
ตอนที่ท่านเทศน์ว่า รู้อะไรนิดๆหน่อยๆ อย่าคิดว่าตัวเองเก่ง ยังเต็มไปด้วมิจฉาทิฐิ อวดดี ขึ้นมาทีเดียว
โอยเจ็บปวด คือมันโดนมากๆ เลยทวนไป ว่าเออเมื้อกี้มองไม่ทัน

ก็เดินๆต่อ ก็มีมดกัดขึ้นมาบ้าง มีฟุ้งบ้าง แล้วก็มีเห็นว่า ความคิดที่ขึ้นมา
เป็น ความดคิดเห็น ทำให้เราร้สึก ว่าเราดีเราปฎิบัติถูกต้อง เก่งแล้ว
โดยความคิดนั้น มันไม่ได้ขึ้นมาเป็นคำพูด แบบแต่ก่อน แต่มันแวบ เดียว แล้วเป็นความรู้สึกนั้นไปแล้ว

แล้วพอมานั่ง ก็มีหลงไป มีเหมือนไหลไป กะมารู้กายได้ เหมือนพอจะมารู้กายได้ ก็เอามารู้กายกำลังนั่ง
แล้วหลงก็หลงไป คล้ายคนหลับ แล้วก็ มีโอกาสอีกก็เอามารู้กายนั่งอีก แต่จะรู้กายได้ไม่นานค่ะ
จบตอนหลงพอดีค่ะ หมดแล้วค่ะ กิเลสนี่น่ากลัวมากๆนะคะ

สุขที่แท้จริง says:
น่ากลัวสิหมู

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ไม่รู้จะพูดยังไง หมูต้องระวังตัวเองเหมือนกัน วันนี้โดนตีแสกหน้าเลย
พอฟังธรรมแล้ว จี้ใจดำมากค่ะ เหตุใหม่ก้อมีผลด้วยใช่ไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:
มีค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อย่างถึงเหตุเก่าไม่ดี แต่เหตุใหม่พยายามทำดี ค่ะ กำลังคิดถึงตัวเองน่ะค่ะ กลัวจะหลุดจากทาง

สุขที่แท้จริง says:

ประมาทไม่ได้ค่ะ คิดว่ากูรู้ กูดี กูเก่ง นั่นแหละระวัง ต้องทันค่ะ กิเลสตัวนี้เจอกันถ้วนหน้า

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
มันประมาทจริงๆนะคะพี่ รอบแรกน่ะ หมูนึกว่าหมูเก่งเลย โดยไม่รู้ตัวว่านึกแบบนั้นน่ะค่ะ
พอฟังเทศน์ อึ้งถึงเลยเริ่มมองเห็น สยองจริงๆนะคะ มันประมาทแล้วจะติดอยู่แค่นั้น

สุขที่แท้จริง says:
ค่ะ กิเลสมันเข้าได้ทุกซอกทุกมุม จะบอกว่า ให้จำไว้ ถ้าเห็นใครเขาดีกว่าเรา อย่าเอาตัวเราไป
เปรียบเทียบกับเขา แต่จงอนุโมทนากับเขาไป และจงดูคนที่แยากว่าเรา จะได้เห็นว่า คนที่แย่กว่าเรานั้น
มีอยู่ ไม่ใช่ว่า จะมีดีกว่าเราไปหมด ความอิจฉา มันคือยาพิษที่เกาะกินใจเราไปเรื่อยๆ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่น้ำ หมูจะจำไว้ค่ะพี่ ขอบคุณมากค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
อนุโมทนาค่ะ ที่พยามทำความเพียรต่อเนื่อง แม้ว่าหมูจะเจออะไรมากมาย ก็ทำไม่เคยขาด

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
มีโอกาส มีพี่เลี้ยง มีธรรมมะให้ศึกษา และยังมีชีวิตอยู่ เป็นลาภของหมูน่ะค่ะ
บอกตัวเอง ว่า โชคดีเลยอะค่ะพี่


สุขที่แท้จริง says:
เพียรต่อไปค่ะ จนกว่าชีวิตจะสิ้นไป มันมีแค่นี้แหละชีวิต ออกจากร่างนี้ไป ไปหาร่างใหม่ต่อ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่ สลดนะคะ

สุขที่แท้จริง says:
ร่างใหม่จะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่เหตุที่เราทำไว้ในอดีตและในปัจจุบันนี้ ทุกอย่างส่งผลไปยังอนาคตหมด
สลดสิหมู ต้องกลับมาเจอสภาาพเดิมๆ เวียนวนอยู่แบบนี้ แค่เปลี่ยนร่างใหม่เท่านั้นเอง
คำว่า นิพพาน มันก็แค่บัญญัติ ฟังยังไงๆพี่ก็ไม่ซาบซึ้ง


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ละครกรรม

สุขที่แท้จริง says:
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการไม่เกิดนี่ชัดเจนกว่า เพราะเรื่องนี้เราเห็นเป็นรูปธรรมแบบชัดเจนมากๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ใช่ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
แต่นิพพานนี้เอามาเป็นรูปธรรมไม่ได้เลย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
หมูเข้าใจว่าการที่เราดับทุกข์ตรงหน้าทีละขณะ นี่เข้าใกล้ ปลายทางไปแล้วเพราะคือการละ
คือ นิพพานอะค่ะ แบบมันต้องตรงหน้า ไม่ใช่ไกลๆ รู้สึกแบบนี้แต่ก้อคงไม่ได้ทำ ให้พระธรรมผิด

สุขที่แท้จริง says:
ใช่ค่ะ เราไม่ได้ไปบิดเบือนอะไร

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่อยยังชั่ว

สุขที่แท้จริง says:
เราเพียงมองแค่ดับทุกข์ปัจจุบันให้ทันก่อน ดับตัวนี้ได้ ตัวอื่นๆย่อมดับได้
แล้วจะไปสนใจอะไรกับบัญญัติที่ไม่สามารถนำมาแสดงได้
แต่ตรงนี้แสดงได้ เห็นเด๋วนั้น รู้เด๋วนั้น ดับไปแล้ว


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
พี่คะ อดีต กะอนาคต ทางธรรมมะแล้ว จริงๆมันไม่มีปะคะ มีแต่ปัจจุบัน

สุขที่แท้จริง says:
มีสิคะ ถ้าไม่มี ก็คงไม่เหตุกับผลสิคะ
เหตุในอดีตคือผลปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ เหตุปัจจุบันคือผลที่ส่งไปอนาคต
เพียงแต่ว่า ที่เขากล่าวไว้ว่าอย่าส่งจิตออกนอกไปหาทั้งอดีตและอนาคตนั้น
มันไม่มีประโยชน์ใดๆเลย รังแต่จะส่งผลให้ฟุ้งซ่านในการปฏิบัติ

ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตของเรานั้น ทุกอย่างคือครู
เมื่อเราเคยทำผิดพลาด เราย่อมพยายามที่จะไม่ผิดพลาดอีกต่อไป


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะ จริงๆค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ทำไปค่ะ แล้วจะเข้าใจทุกอย่างมากขึ้น จำไว้นะ ชีวิตก็เท่านี้ ได้เกิดมาครบ 32 ก็บุญหัว
ยิ่งได้มารู้จักสติปัฏฐาน 4 นับว่ามีกุศลเก่าติดตัวมา ยิ่งได้มาเจริญสติด้วย ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลใดๆ
ในโลก ยิ่งกว่ารวยล้นฟ้า ให้มีเงิน มีทองมากมายแค่ไหน จะมาซื้อไปไม่ได้เลย


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 206

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่ 60/30
ก็รู้เท้า กะฟุ้งค่ะวันนี้ มันก็มีหลงไป แล้วก็มัวๆ แล้วก็มีวิพากษ์วิจารณ์
มีความคิด ที่เรามีส่วนได้ส่วนเสีย ลงไปคิดกะมัน มีความอยาก
อยากรู้ว่าตอนผ่านสภาวะด่านแรกจะเป็นไง มันแวบขึ้นมาอยาก แล้วก็ดับไป
แล้วก็มีอยากรู้เรื่องชาวบ้าน ส่ายออกไปนอกตัวไม่ค่อยยอมเข้ามารู้ตัว

มีปรามาส ไม่ทัน ก็กำหนดรูหนอแล้วขอขมาไป มาอีก 2 - 3 ครั้งก็กำหนดรู้หนอสำทับไป
แล้วขอขมา บางครั้งก็ทัน ค่ะ แต่ไม่ทัน 2 ครั้ง

แล้วก็มีมดกัด ขึ้นมาแป๊ปหนึ่งแล้วดับ บางทีมาสองครั้ง บางทีมาครั้งเดียว ทิ้งช่วงกัน
แล้วก็มีเหมือนโดนตัวอะไรกัด แต่มันตัวใหญ่กว่ามดมาติดกัน เป็นจังหวะช้าๆแล้วก้หายไป

แล้วก็เห็นว่ากายเดิน แต่ว่ามีสภาวะทางใจเร็วมาก มันป่วนเข้ามาเร็วแต่ไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรบ้าง
ตอนที่ก้าวเท้า ไปเรื่อยๆน่ะค่ะ แล้วก็เห็นว่า สภาวะที่จิตไปรู้ อารมณ์ทางใจ ตอนที่มันขึ้นมาแล้วดับไป
มันเรียกไม่ทันว่ามันคืออะไร พอดับแล้วก็ขึ้นอันใหม่ไม่มีเวลาไปเรียกหรือบรรยายมันเห็น 2 ครั้ง ค่ะ ไวๆ

แล้วก็มีความยึดติด กูเก่ง กูรู้ แต่ไม่ได้ขึ้นมาเป็นคำพูดค่ะ เป็นความรู้สึก เคลือบๆ บางๆ ตลอด
เหมือนมันคลุม อยู่เหนือความคิดอ่านเราทั้งหมด

ก็รู้สึกว่าวันนี้พิจารณา ไม่ค่อยได้ ตอนแรกๆนะคะ เหมือนกันมันมองอะไรม่ค่อยออก
ก็เลยช่วงนั้นก็มาอยู่กะเท้าแทน แต่ก็ไม่ได้อยู่แบบมีสมาธิค่ะ

พอเริ่มฟุ้งมากก็กำหนดรู้หนอๆ ตั้งสติใหม่เอาไว้ค่ะ ก็รู้หนอๆ ไปเรื่อยๆ ตอนมันเริ่มเสียหลักค่ะ
วันนี้ใส่เสื้อพี่น้ำก็เกิดความยึดอีกดีใจตอนเดิน ก็รู้มันแล้วปล่อยไป

แล้วก็พอมานั่ง ก็ตอนแรกเอาจิตมารู้ท้องแล้วอยู่ๆก็หลงไปเลยค่ะ มารู้อีกทีอ้าวเมือกี้หลงนี่หว่า
แล้วก็วันนี้ตอนนั่ง ไม่ค่อยมีสติเท่าไรค่ะมันไม่จับกาย เหมือนไปหลับ มีงุบด้วยค่ะ ตัวไปข้างหน้า

สุขที่แท้จริง says:

คงเนื่องจากงานน่ะค่ะ การมีชีวิตประจำวันจะเป็นแบบนั้นแหละ
เหนื่อยก็มามีผลต่อการปฏิบัติ พอไม่เหนื่อยก็มีผลต่อการปฏิบัติ การกระทำทุกอย่างส่งผลหมดแหละค่ะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมลืมบอกว่ามีคิดวิจาร์ณการกระทำชาวบ้านด้วยค่ะ ละก็มีตัวเปรียบเยบเขาและเรา
เราดีกว่า เขา เป็นไง อะไรแบบนี้น่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

มันจะค่อยๆดีขึ้นค่ะ ดีแล้วที่ยังรู้ว่ามันไม่ดี การเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ
เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราถ้าเห้นว่าตัวเราดีกว่าเขาเมื่อไหร่ นั่นคือ
เรากำลังตกหลุมกิเลสหลุมใหญ่เลย


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ หมูเป็นบ่อยค่ะ ทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ใช้เวลาค่ะ กำหนดทันให้กำหนด กำหนดไม่ทัน ให้รู้ลงไปว่า นี่พลาดไปแล้ว
ทำบ่อยๆ จิตเขาบันทึกไว้หมดค่ะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่ 60/ 20 ค่ะ เดิน ทำโน่นทำนี่บ้างนะคะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ ดีแล้วค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อย่างถูห้อง ไปเติมน้ำนอกหอ

สุขที่แท้จริง says:

กำหนดรุ้ไปด้วย ไม่มีอะไรตายตัวว่า จะต้องเดินแค่เดินจงกรมตามเวลาเท่านั้น
เราสามารถ นำอริยาบทเดิน ไปใช้ประโยชน์ในทางอื่นๆได้ เราตั้งเวลาไว้เลย 1 ชม
พอใกล้ๆ ค่อยมาเดินเด็มๆกับเวลาที่เหลือ เช่นอาจจะครึ่งชม


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมม ค่ะ ไม่เครียดมาก เล่าต่อนะคะ
รอบนี้ก็รู้เท้า กะเพลินคิด มันก็มีหลงเพลินไปน่ะค่ะส่วนใหญ่
แล้วก็มีเห็นได้ว่าจิตตอนเพลิน เป็นอารมณ์แบบไหน ตอนจบเพลินค่ะ

แล้วก็มีทิฐิน่ะค่ะ เห็นตัวที่มันออกความคิดเห็น ตัวนั้นจะ เป็น "เรา" น่ะค่ะ
แล้วก็มี เวทนาเจ็บๆไหล่แล้วก้หายไป

ก็มีใช้การเดิน6จังหวะมาเพื่อให้มันอยู่กะการเดินมากขึ้น ก็ตอนต้นๆก็จะนิ่งหน่อย
หลังๆชินก็ หลงไปเหมือนกัน

เช่นพอก้าวขา จิตมันก็แทนทีจะรู้จังหวะต่อเนื่อง มันแว่บไปที่ท้องก่อน แล้วกลับมาที่ขาต่อ
หรือแวบไปวิพากษวิจาร์ณ ชาวบ้าน เทียบเขาเทียบเรา หลักๆรอบนี้ก็ฟุ้งๆกะรู้เท้า

แล้วก็พอมานั่ง รอบนี้ลดเวลาลง ก็รู้ท้องได้บ้างแบบจับได้เบาๆไม่แนบ แล้วก็สลับกับจิตเผลอ
หลงไป คิดไร้สาระ เข้าไปเพลินกะความคิดที่ไม่มีแก่นสาร เหมือนความฝัน
เห็นอาการของมันว่ามันเป็นยังไง สลับกะ มารู้กาย จนจบค่ะ ตอนจบก็ลอยไปเพลิน
อ้อตอนนั่งก็มี ปลายเท้า เย็นเหมือนโดนน้ำแข็ง + ชาๆ นิดๆ แล้วก็ สลับกัขาอีกข้างเหมือนร้อนวาบๆ

สุขที่แท้จริง says:

เริ่มที่จะเรียนรู้สภาวะ ปรับเปลี่ยนด้วยตัวเองมากขึ้นนะ งานก็ได้เพิ่มด้วย อย่างน้อย บ้านสะอาดขึ้น
เข้าใจยังว่าพี่เดินที 4 ชม. เมื่อก่อนน่ะ เดินได้ยังไง


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ทำโน่นทำนี่แล้วก็กำหนดรู้ไปด้วย

สุขที่แท้จริง says:

นั่นแหละดีแล้ว เพราะมันไม่มีอะไรตายตัว ทำยังไงก็ได้ ให้รู้อยู่กับกาย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ก็เข้าใจมากขึ้นค่ะ มันก็จะรู้จิตไปด้วย

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ กาย เวทยนา จิต ธรรม มันจะแยกๆออกจากกัน เพียงแต่ตอนนี้ยังดูรวมๆ
เพราะสติเรายังไม่ทันเท่านั้นเองค่ะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เอากายเป็นเครื่องหมาย รั้งเอาไว้ ถ้าสติน้อยก็ไหลไปเพลิน ข้างใน ก็กำหนดรู้หนอ ตั้งสติใหม่

สุขที่แท้จริง says:

ถูกค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เวลาความคิดเข้ามา ถ้าสติน้อย ก็จะมีหลงไปปรุงแล้วเกิดความยึดมั่น แล้วก็รับทุกข์
เกิดเป็นเวทนาเจ็บ ปวด หรือหนัก

ถ้าสติดีขึ้นห่อย ก็ถอยออกมา แล้วไม่ลงไป เจ็บมาก หรือดับไว มาแวบๆ
แล้วก็ความคิดอะไรพวกนั้น มันมีขึ้นมาเรื่อยๆอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะไป ขยายมันต่อ หรือดูมันมาแล้วไป

สุขที่แท้จริง says:

การกำหนดรู้หนอ พอสติ สัมปชัญญะรู้ทันสภาวะที่เกิดมากขึ้น ตัวกำหนด มันจะหายไปเอง
จะเหลือแค่รู้มากขึ้น จากแค่รู้ จะกลายเป็นดูมากขึ้น


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมค่ะพี่ หมูสรุปสภาวะตอนนี้ ของหมู ข้างบนน่ะค่ะ ตอนนี้เห็นอท่านี้น่ะค่ะ
ส่วนการกำหนดรู้หนอ หมูก็ใช้ตอนเสียหลัก มาตั้งสติใหม่ แล้วก็ตอนอกุศลก็ใช้บ่อยขึ้น น่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ดูไปเรื่อยๆค่ะ ทำให้ต่อเนื่อง การทำต่อเนื่องมันก็ส่งผลให้เห็นสภาวะชัดมากขึ้น
เห็นกิเลสมากขึ้น รู้เท่าทันกิเลสมากขึ้น มันจะเป็นไปตามแต่ละสภาวะน่ะค่ะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ก็พยายามรู้ตัว เท่าที่จะทำได้น่ะค่ะ ยังไงก็ต้องทำตลอดชีวิตอยู่แล้ว

สุขที่แท้จริง says:

อนุโมทนาค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

สาธุค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

อิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่มีการกระทบ
เราควรกำหนดให้ทันทั้งความชอบใจ และความไม่ชอบใจ
ฝึกใหม่ๆก็ยากหน่อยนะหมู แต่พอทำบ่อยๆ รู้ลงไปบ่อยๆ มันจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ความชอบใจนี่ยากกว่าไม่ชอบนะคะ เพราะมันจะเพลินไป

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2010, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 207

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่น้ำ 40/20 ค่ะ
ตอนเดินรอบนี้ ก็รู้เท้าแล้วก็ฟุ้งนะคะ คือมันจะมัวๆในจิตเพลิดๆไป แต่ก็รู้เวลาจังหวะเท้ากระทบ
เหยียบพื้นค่ะ แต่ใจไหลไปในอารมณ์ แล้วก็เป็นแบบนี้สักพักก็รู้สึกว่าเพลิดเพลินไปแล้ว ก็เลย หาย

มารู้การเดินชัดขึ้น แล้วก็สักพักก็ปวดท้อง ก็เข้าห้องน้ำ ระหว่างนั้นก็พยายามจับกายไปด้วย
ช่วงแรกๆก็รู้ว่ามีกายนั่งอยู่ แล้วสักพัก ก็ไหลไปคิด อืมคิดเรื่องหนังรักที่ชอบ แล้วก็สลับกับมารู้กาย
และอารมณ์ปัจจุบัน ตัดกลับไปกลับมาค่ะไวๆ ระหว่างหนังกะกายและอารมณ์ปัจจุบัน

แล้วก็พอมาเดินต่อ ช่วงไหนฟุ้งก็กำหนดรู้หนอ มีภาพที่มันไม่ดีแต่เราไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นอกุศล
อย่างคล้ายๆภาพ จำไม่ได้เท่าไร แต่ออกโป๊ๆหน่อยมั้งคะ ก็กำหนดรู้หนอไป ใจไม่ได้ไปเกี่ยวพัน
กะมันแต่ก็กำหนดเพราะเกลัวจะสะสม แล้วก็กำหนดรู้หนอไปเวลาเสียหลักเหมือนเดิมค่ะเวลาไปฟุ้ง
แล้วก็มีหลงไปเรื่องงาน พอรู้มันก็ค่อยๆกลับมาที่กายเอง

แล้วก็พอนั่ง ก็มีมดกัดเข้ามาแต่แป๊บหนึ่งก็ไม่ได้สนใจมันเท่ารไแล้วมันก็หายไปตอนไหนไม่ได้สังเกต
แล้วก็ รู้กายนั่งแต่ไม่จับกายชัด เหมือนจิตเรามารู้กายแผ่วๆ แล้วสลับกับเห็นความคิด
เห็นความคิดลักษณะที่มันเกิดขึ้นมาว่ามันไร้สาระไม่มีแก่นสารและจิตจะเข้าไป
ก็เห็นว่าเวลาจิตมันไปตามความคิดมันไร้กำลัง ก็พอรู้แล้วก็จะไม่เข้าไปมากก็หยุดไป

แล้วก็มารู้กาย แล้วก็เห็นความคิดอีกเห็นลักาณะของจิตที่อ่อนกำลังเวลามีความคิดอีก
แล้วก็หายไป แล้วก็รู้กายอีก มันจะหลงไปอ่อรกำลังให้เห็นก่อนน่ะค่ะ เป็นแบบนี้จนจบค่ะ
มีเหมือนอุศลจะขึ้นมา ก็กำหนดรู้คิดหนอกะรู้หนอไปตอนนั่งค่ะ

แล้วก็รอบนี้ตอนเดินก็ มีความไม่พอใจ เราก็ดูลงไป มันก็เสื่อมไป มันเห็นอาการไม่พอใจ
แต่ยังไม่ลงไป แล้วมันก็กลายเป็นเหมือนมายาหายไป

คืออันนี้รอบที่ 2 ของการปฎิบัตินะคะ พี่ พิมพ์ส่งก่อนกลลัวลืมค่ะเพราะไม่ได้จดไว้
ส่วนรอบแรก นะคะ ขอพิมพ์ต่อนะคะต้องแกะลายมือหน่อย

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

รอบแรก 60/30 ค่ะ
เดินไม่ต่อเนื่อง เพราะมีคนมาคุยด้วยเป็นระยะ และมีเข้าห้องน้ำ
ก็รู้เท้ามีหลงไปเพลินคิด มีความอยาก เห็นใจมันไปข้างหน้าก็ดูมันแล้วก็คิดพิจารณา
ว่ามันเป็นยังไง ก็เห็นมันอยากจะไปให้ถึงเป้าหมาย รนๆ ไม่ได้อยากอยู่กะปัจจุบัน
แต่อยากรีบทำให้ได้ผลในอนาคต

สักพักก็เปลี่ยนไป แล้วก็มีเดินๆแล้วมีไม่พอใจดูลงไป ว่าเกิดจากอะไร
ก็รู้ว่าเกิดจากไม่พอใจสภาวะที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่มันไม่ชัด ไม่ดีอย่างที่มันอยากให้เป็น
แล้วพอดูแล้วมันก็สลายไป แล้วก็พอมีคนมาคุยด้วย ก็สติไม่ทัน

เผลอพูดถึงแม่โดยใช้คำที่ติดลบ เช่น " ถ้าแม่หน้าบาง พี่ก็ไปทำแทนแล้วกัน" หลุดไปแล้วก็ค่อยรู้สึกตัว
ก็รู้สึกแย่ รู้สึกผิด แล้วก็กังวลเรื่องการขอขมา ว่าจะขอขมายังไงกลับช่วงเล็กๆน้อยๆแบบนี้
จะหาโอกาสยังไง ก็ไม่ชอบใจ แล้วไม่ยอมรับ

ตอนนั้นมีจิตปฎิเสธ จะไม่เล่าเรื่องนี้ให้พี่น้ำฟัง มันคิดว่าจะส่งการบ้านโดย บอกแค่พูดไม่ดี
หรือแค่คิดอกุศลไปโดยจะไม่ให้รายละเอียดว่าล่วงเกินแม่ไปอีกแล้ว แล้วก็ปล่อยไปเดินต่อ

แล้วก็มีเข้าห้องน้ำแล้วเผลอเพลินคิดไปสักพัก ก็หายแล้วมารู้ตัวต่อ
พอมาเดินต่อก็รู้เท้า แล้วก็คิดโน่นคิดนี่ ไปตามปกติ มีบางช่วงที่มานะเกิด
หลังที่เราเห็นสภาวะกายเดินจิตคิดรู้อารมณ์ มานะก็เกิดขึ้นมาว่าถ้าเรารู้แบบนี้ได้แล้ว
เราต่อไปจะทำคนเดียวก็ได้โดยไม่มีพี่น้ำก็กำหนดรู้หนอ 3 ครั้งไป มันฉวยตอนเราเผลอ ขึ้นมาน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

เข้าใจค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ขอขมานะคะ

สุขที่แท้จริง says:

อโหสิค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ขอบคุณค่ะพี่
แล้วก็พอมานั่งก็มีรู้กายนั่ง เอาจิตมารู้ท้องแต่ไม่จับท้อง มีเหมือนมดกัด มันอยู่นานหน่อย
เลยเอามือลูบๆ แล้วมันก็หายไป แล้วก็มีหลงไปเพลินๆ แล้วก็มีร้อนผ่าวๆเท้า
บางทีก็เอาจิตมารู้ปัจจุบันที่กำลังนั่งอยู่และรู้ความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นในใจตอนนั้น

จบแล้วค่ะรอบแรก หมดแล้วค่ะพี่ อืมตอนนี้มันก็พอใจนะคะ มันเห็นอะไรชัดขึ้นกว่าแต่ก่อนมากค่ะ
มันก็เลยชักหลง มีความพอใจอยู่ภูมิใจ แบบประมาทยังไงไม่รู้น่ะค่ะ ยังสลัดไม่ได้ และสังเกตเห็นยากค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

กิเลสน่ะหมู มันไว ต่อให้ระวังยังไง ถ้าสติยังไม่ทัน คือ สังเกตุไหม พอตัวนี้เริ่มรู้ทันมากขึ้น ตัวอื่นมาต่อ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ มาเนียนค่ะ หลงตัวเองค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

พอตัวใหม่มา ตัวเก่าจะมาย้อนรอยซ้ำอีกที ประมาณนั้นค่ะ ถ้าใช้คำเปรียบเทียบนะ
เริ่มเข้าใจหรือยังที่พี่จะบอกประจำว่า อย่าไปคาดหวังใดๆ ให้ทำเพราะรู้ว่าต้องทำ
ทำแล้วรู้ว่ามีแต่ทางนี้แหละที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น เราจะได้ไม่ไปเครียดกับสภาวะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ เข้าใจค่ะ เพราะคาดหวัง ก็ยิ่งไกล

สุขที่แท้จริง says:

นิพพงนิพพานน่ะเลิกคุยไปเลย มีแต่ทำให้ไปเพิ่มความอยาก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ยิ่งไม่คาดหวังก็ยิ่งใกล้ บอกไม่ถูกค่ะ มันรู้สึกว่า มันต้องปลดออก

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ยิ่งปล่อย ยิ่งเห็นชัด เหมือนเราไปดักจับอะไรสักอย่าง หากเราไปจดจ้องว่าต้องจับให้ได้
เจ้าสิ่งนั้นมันรู้ตัว มันก็ยิ่งหนีเราไปไวมากขึ้น แต่ถ้าเราทำนิ่ง ทำเนียนๆไปกับมัน
สุดท้าย เราก็จะจับมันได้ กิเลสเหมือนกัน ต้องแกล้งโง่กับมัน


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ จะจงใจแกล้งก็ไม่ได้ด้วย

สุขที่แท้จริง says:

ถูกค่ะ จงใจก็ไม่ได้ แต่ให้ทำโง่เข้าไว้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แบบว่า ดูว่าอะไรหนัก ก็ปล่อยไป ชั่งมันดูไป แบบนี้นะคะ

สุขที่แท้จริง says:

ถ้าไม่ใช่อกุศล ปล่อยมันไป แต่ให้แค่รู้ ไม่ใช่ปล่อยไปเฉยๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่น้ำ รู้แล้วก็ปล่อยไปไม่ไปพะวง หรือดึงมันมาวุ่นวายต่อ เมื่ออกุศลเกิดกำหนดเพื่อให้เกิดสติ

สุขที่แท้จริง says:

ถูกค่ะ จิตจะได้บันทึกไว้ ครั้งต่อๆไป มันจะดับไวมากขึ้น

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ หมูคงต้องทวนๆกะพี่น้ำนะคะ เพราะตัวมานะ จะจูงให้หลงว่ารู้ดีแล้วน่ะค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

เรื่องปกติค่ะ ตัวนี้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

มันจะคิดว่ามันรู้ไปก่อนหน้าแล้วค่ะ แบบต้องถูกแน่ๆ ประมาณนี้ น่ากลัว
แต่ก่อนไม่เข้าใจว่าทำไม คนถึงหลงเพราะตัวนี้ ตอนนี้เพิ่งเริ่มเข้าใจ

สุขที่แท้จริง says:

มันจะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนจำตำราแม่น พูดเก่ง พอไล่สภาวะไปมา ตกม้าตาย เยอะไปค่ะ
เป็นจินตามยปัญญาแล้วไปหลงว่า เป็นปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริง
ของที่เห็นจริงน่ะ มันไม่มีคำพูดมาเจื้อยแจ้วหรอก


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ มันก็คือไอ้ตัววิพากษ์วิจารณ์ ใช่ไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ อึ้งเหมือนกัน ธรรมมะนี่

สุขที่แท้จริง says:

ความอยากนี่แหละ ที่หลายๆคนมองไม่เห็น เพราะสภาวะยิ่งเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ ความอยากยิ่งเนียน
หมูดูจากตัวเองก็ได้ แรก อยากแบบหยาบๆ เห็นเป็นน้ำลายไหลยืด


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ใช่ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

พอสภาวะเปลี่ยนไปมากขึ้น น้ำลายไม่ยืด แต่ความอยากเริ่มมาแบบเนียนๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

มาแบบความเพียร

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

กดดันตัวเอง

สุขที่แท้จริง says:

กดดันเพราะอยาก แต่ไม่รู้ว่าอยาก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ก็นึกว่าขยัน พี่คะ แล้ว อืมหมูทบทวนก่อนนะคะ
มีหลงไปเพลิน มีความไม่พอใจ มีมานะ มีความอยาก มีปรามาส
ตัวที่น็อคเอ้าท์ผู้ปฎิบัติเยอะสุด หรือตัวที่น่ากลัวสุด คือตัวไหนคะ

สุขที่แท้จริง says:

ความอยากค่ะ มานะนี่ บอกตามตรงนะ อันนี้หมายถึงตัวพี่นะ แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
มานะนี่ ถ้าไปเจอคนที่เขาเก่งกว่าก็แป่กแล้ว แต่ความอยากนี่สิ มองยากกว่า

พอดีตัวมานะของพี่มันมีน้อย พี่เลยไม่ไปรู้สึกอะไรกับมัน
คือ มองว่า รู้ก็แค่นั้น ไม่รู้ก็แค่นั้น เพราะสุดท้าย มันก็เหมือนๆกัน


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ดีจัง หมูเยอะทั้งอยาก ทั้งมานะเลย

สุขที่แท้จริง says:

รู้สึกว่า ถ้าคิดว่าตัวเองรู้น่ะหมู พี่ว่ามันเหนื่อย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ตอนนี้มานะเด่นกว่าอยาก

สุขที่แท้จริง says:

พี่เป็นคนขี้เกียจน่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ หมูจะหัดเป็นคนขี้เกียจบ้างนะคะ ขี้เกียจทางโลกเก่งมาเหมือนกัน

สุขที่แท้จริง says:

พี่ว่าแบบนี้มันสบายดี พูดแค่ควรพูด เห็นว่าไม่ควรเราก็หยุด
ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะมากเกินไป คลุกคลีมาก เริ่มมีตัวตนมาก


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมม ค่ะ ด้วยอาชีพหมูแล้ว เจอคนเป็นร้อยเลย แต่นะ เด๋วก็แก่เขาก็เลิกจ้าง

สุขที่แท้จริง says:

แล้วแต่เหตุที่ทำมาน่ะหมู กว่าพี่จะได้รับผลตรงนี้ ตั้งกี่ปีมาแล้วล่ะ
รู้มาตั้งแต่เด็ก แต่ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ เพราะวิบากกรรมมันแรงกว่า
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมเห็นไหม


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ขนาดเรารู้นะคะ ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

พี่ถึงมุ่งตรง ไม่ว่อกแว่กไง อย่างที่บอกแหละ เบื่อการเริ่มต้นใหม่
เหมือนเล่นบทเดิมๆซ้ำๆ แต่เอาฉากมาใส่ใหม่


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

มีหลงไปเพลิน มีความไม่พอใจ มีมานะ มีความอยาก มีปรามาส ....
พี่น้ำคะกิเลสมันมีนอกเหนือจากนี้ปะคะ

สุขที่แท้จริง says:

มีสิคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เหรอคะหมูเห็นวนไปมาแค่นี้

สุขที่แท้จริง says:

กิเลสมีตั้งกี่พันตัว นั่นแค่หยาบๆที่หมูเห็นน่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

โอ้โห ไอ้หยาบๆเนี่ย มันมาหลากหลายรูปแบบ หลายเวอร์ชั่น

สุขที่แท้จริง says:

ถูกทำข้อสอบทุกวันแหละหมู

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2010, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 208


งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่ 60/20
ตอนเดินก็รู้เท้า ใจมันก็ตุ่ยๆ ค่ะคือมันไม่สบาย มันทุกข์อึมครึมๆ
แต่ไม่ได้ขึ้นมาเป็นความไม่พอใจที่ชัดเจน อะไร เหมือนมันหงุดหงิดข้างใน ปนอึ้งๆ
ก็ดูไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

มีตัววิพากวิจารณ์มาซ้อนๆกัน วิจารณ์ หรือคิดเกี่ยวกับสภาวะ แล้วอีกตัวก็วิจารณตัวนั้นซ้อนกันอีกที
ดูๆไป ก็มีความอยากดี พิจารณาไป มันมีความ วุ่นวาย เหมือนมันจะต้องดี แต่ไม่ได้ขึ้นมาให้เห็นชัดเจน
มันก็อึมครึมๆค่ะ แล้วก็หลงไปเพลินคิดเรื่องหนัง ความอึมครึมก็ดับ แล้วก็พอรู้สึกตัวก็มาอึมครึมอีกก็ดูไป
เท้าก็รู้นะคะ ความไม่พอใจหลังความคิดก็มีค่ะ

พอมานั่งก็รู้ว่านั่งแต่ไม่จับกายส่วนใดชัด กะไปหลงคิดและเหมือนมันหลับในแต่ไม่ได้ถึงกะหลับ
เหมือนมันควบคุมอยู่น่ะค่ะ เหมือนมีจิตคอยระวังให้อยู่กะตัว ก็ออกก่อน 8 นาทีค่ะ
ตอนเดินก็เดิมไม่ครบอีก10นาที มันเบื่อและเมื่อยก็เลยนอนยกขา เหมือนกายบริหารแล้วรู้สึกตัวไป
บางทีก็เคาะนิ้วไป จบแล้วค่ะ

มันเครียดๆ ลืมบอกว่ามีร้อนผ่าว และก็กังวลเรื่องงาน
แต่กังวลขึ้นมาเองโดยทียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานอะไร

สุขที่แท้จริง says:

เวลาเครียด ไม่ต้องเดินมากนะคะ วิริยะมากไปก็ไม่ดีค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะหมูว่า กำลังคิดอยู่ค่ะว่าไปควบคุมมากไป พยายามมีสติมากไป

สุขที่แท้จริง says:

แล้วทำไมถึงเดินตั้งชม.ล่ะคะ ในเมื่อรู้น่ะค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ไม่รู้น่ะค่ะ พึ่งพิจารณาตอนนี้น่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

เอ ... พี่เคยบอกหมูนี่นา ถ้าเครียด หรือสภาวะไม่พร้อม ให้ทำน้อยลงได้ ปรับเวลาได้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ตอนแรกก็ไม่ถึงกะเครียดค่ะ มันอึมครึมๆ ทั้งวัน มันคิดแต่เรื่องเจริญสติทั้งวัน

สุขที่แท้จริง says:

เวลาเห็นผล มันจะเป็นแบบนั้นแหละค่ะ จ้องจะคิดแต่ธรรมะ จ้องอยากจะคุยแต่ธรรมะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แล้วมันก็ เห็นจิตมัน วุ่นวายทั้งวันน่ะค่ะพี่ มันก็เลยทุกข์ เบื่อมั้งคะ

สุขที่แท้จริง says:

มันก็เป็นมานานแล้วนี่ค่ะ เบื่อมั่ง ดีมั่ง อยากมั่ง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ก็ดูมันไป ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

พี่ถึงบอกไงคะ พอเราคิดว่าดี คิดว่ารู้ โดนแล้ว สภาวะมาทดสอบทันที รู้จริงเหรอ ดีจริงเหรอ
ครั้งต่อไป อย่าไปฝืนนะคะ ปรับเวลาได้ค่ะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

มันเหวอๆ อึ้งๆ ได้ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

พรุ่งนี้อดไปวัด เห็นรถเมล์ประกาศไม่วิ่งเข้าสนามหลวง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อ่าว กำของพวกเสื้อแดง

สุขที่แท้จริง says:

ของทุกคนค่ะ ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

นั่นสินะคะ เพื่อนหมู โทรมาหา บอกว่า มีที่ไหนปฎิบัติธรรมบ้าง
เลยแนะนำว่าให้ไปที่วัดมหาธาตุ สักเมษานะค่ะ จะพาเขาไป
เขาจะไปแก้บน

สุขที่แท้จริง says:

จะไปด้วยสาเหตุอะไร ทุกสิ่งล้วนมีเหตุทั้งนั้นแหละค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะก็ ยังดีที่เขาได้มีโอกาสปฎิบัติ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2010, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้พระไตรลักษณ์


รู้พระไตรลักษณ์ คือ รู้ลักษณะทั้ง ๓ ของรูปนาม ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
การรู้พระไตรลักษณ์นั้น แบ่งเป็น ๓ ขั้น คือ

๑. รู้พระไตรลักษณ์ขั้นปริยัติ คือ จำจากตำรา เช่น เวลาสวดทำวัตรเช้าว่า

รูปํ อนจฺจํ รูปไม่เที่ยง
เวทนา อนจฺจา เวทนาไม่เที่ยง
สญฺญา อนจฺจา สัญญาไม่เที่ยง
สงฺขารา อนจฺจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
วิญฺญาณํ อนจฺจา วิญญาณไม่เที่ยง ดังนี้เป็นต้น

การรู้พระไตรลักษณ์อย่างนี้ เป็นการรู้เพียงขั้นปริยัติเท่านั้น

๒. รู้พระไตรลักษณ์ขั้นปฏิบัติ แต่อยู่ในเกณฑ์จินตามยญาณคือ ญาณที่ ๑-๒-๓ เช่น

๑. รู้รูปนามได้ดี คือหายความข้องใจสงสัยในคำว่า รูปนามจริงๆ
เกิดขึ้นเพราะการเจริญสติปัฏฐาน เรียกว่า นามรูปปริจเฉทญาณ เช่น สิ่งที่ถูกรู้ กับจิตที่รู้ เป็นคนละอันกัน

๒.รู้เหตุปัจจัยของรูปนาม บางครั้งรูปเป็นเหตุ นามเป็นผล บางครั้งนามเป็นเหตุ รูปเป็นผลก็มี
เช่น การก้าวเดินไปก่อน แล้วสติจึงตามไปกำหนดทีหลัง หรือ ตั้งใจกำหนดก่อนแล้ว ถึงจะก้าวเดิน
เรียกว่า ปัจจยปริคคหญาณ

๓. รู้ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูปนาม เช่น

ก.พิจรณารูปนาม คือร่างกายและใจนี้ว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ คือทนอยู่ไม่ได้
เป็นอนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครๆทั้งสิ้น


ข.พิจรณากาลไกลๆ เช่น เมื่อก่อนเป็นเด็กๆ แต่เดี๋ยวนี้รูปนามนั่นแก่เฒ่าชราลงมากแล้ว
เพราะรูปนามเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเป็นอย่างนี้

ค. พิจรณาว่า รูปนามอดีตก็ดับไปในอดีต รูปนามอนาคตก็ดับไปในอนาคต รูปนามปัจจุบัน
ก็ดับไปในปัจจุบัน รูปนามอดีตจะกลับไปเป็นรูปนามอนาคตไม่ได้ รูปนามอนาคตจะกลับไป
เป็นรูปนามในอดีตไม่ได้ รูปนามปัจจุบันจะกลับไปเป็นรูปนามอดีตหรือเป็นรูปนามไม่ได้


เช่น ขณะที่เราเอาไม้เคาะกระดาน เสียงดังขึ้น เมื่อหยุดเคาะ เสียงดังก็ดับไป เสียง กับ หู เป็นรูป
ได้ยินเป็นนาม รูปกับนามนี้เกิดชั่วขณะนิดหน่อยแล้วก็ดับไปตามธรรมชาติของเขาใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
เป็นธรรมนิยาม ธรรมฐีติอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาตรัสในโลกหรือไม่ก็ตาม รูปนามย่อมเป็นไปอย่างนี้ตลอกกัลปาวสานต์
ทั้งนี้ ก็เพราะรูปนามเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง

ฆ. พิจรณา ทุกขณะที่ลมหายใจเข้าออก ทุกขณะที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นว่า
ลมเข้าและลมออกก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทำนองเดียวกันนี้


การพิจรณารูปนามเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ คือทนอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา คือบังคับบัญชาไม่ได้
อย่างนี้เรียกว่า สัมมสนญาณ

ญาณที่ ๑ คือนามรูปปริจเฉทญาณ ญาณที่ ๒ คือปัจจยปริคคหญาณ ญาณที่ ๓ คือสัมมสนญาณ
ทั้ง ๓ ญาณนี้ อยู่ในเขตของจินตามยปัญญาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การรู้พระไตรลักษณ์โดยอาการ
ดังกล่าวมานี้ จึงจัดเป็นเพียงจินตามยปัญญาเท่านั้น


รู้พระไตรลักษณ์ชั้นภาวนามยญาณ ได้แก่ เห็นความเกิดดับของรูปนามชัดเจนแจ่มแจ้ง
ปราศจากการจำตำรา ปราศจากการนึกคิดค้นเดาใดๆทั้งสิ้น เกิดขึ้นในขณะปัจจุบันเท่านั้น
เช่น

สภาวะโดยการเปรียบเทียบใหนภาพที่ชัดเจนทั้งของพม่า และของไทย ถึงแม้คำพูดจะแตกต่าง
แต่สภาวะเดียวกัน

สันตติขาด ฆนบัญญัติแตก

เมื่อโยคีบุคคลได้กำหนดพิจรณาในสังเขตธรรมรูป,นามที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าตามสภาวะที่เกิดจากเหตุปัจจัยอยู่ สันตติบัญญัติและฆนบัญญัติที่กำบังปกปิดการเกิดดับของสังเขตธรรมรูป,นามที่ขาดแตกไป
เป็นความเห็นที่บริสุทธิ์เกิดขึ้นเวลาใด เวลานั้นวิปัสสนาญาณของโยคีบุคคลก็เข้าถึงความเป็นอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นได้ หมายความว่า ผู้ที่ไม่มีการกำหนดรู้ในสังเขตธรรมที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าทุกๆระยะของจิตและรูปนั้น อย่าว่าแต่ความเกิดดับของสังเขตธรรมรูป,นามเลย แม้แต่รูปนามที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าก็ไม่รู้ไม่เห็นเสียแล้วคงรู้คงเห็นแต่บัญญัติ เช่น
เมื่อได้เห็นสีก็คงรู้คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้ ชาย หญิง เด็ก ผู้ใหญ่ สัตว์ ต้นไม้ บ้านเรือน ผ้าผ่อน
เมื่อได้ยินเสียง ก็คงรู้คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้เป็นเสียงชาย หญิง สัตว์ ดนตรี หัวเราะ ร้องไห้
เมื่อได้กลิ่น ก็คงรู้คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้ เป็นกลิ่นดอกไม้ กลิ่นของหอม กลิ่นอาหาร กลิ่นอุจจาระ
เมื่อได้รส ก็คงจะรู้คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้ รสมะขาม มะนาว ส้ม ผลไม้ พริก เกลือ น้ำตาล
เมื่อได้สัมผัสกับความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ก็คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้ น้ำแข็ง น้ำร้อน ไฟ สำลี นุ่น ไม้ มีด อิฐ หิน พอง ยุบ ร่างกาย หย่อน เบา แข็ง ตุง หนัก ยกมือ ยกขา ดังนี้เป็นต้น
นี้เป็นโดยสันตตบัญญัติและฆนบัญญัติได้กำบังปกปิดในอารมณ์ภายนอกต่างๆและอารัมมณิกวิถีจิตภายในเอาไว้นั่นเอง จึงมีความรู้ความเข้าใจไปดังนี้ เรียกว่า สันตติบัญญัติไม่ขาด ฆนะก็ไม่แตก

แต่ความเป็นจริงนั้น ขณะที่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ รูปารมณ์เก่าย่อมดับไป รูปารมณ์ใหม่เกิดขึ้น ติดต่อกันไม่ขาดสาย ผู้เห็นคงเห็นแต่รูปารมณ์ที่เกิดใหม่ตลอดระยะเวลาที่ดูอยู่ วิถีจิตที่เกิดขึ้นรับรูปารมณ์คือ การเห็นนั้นแล้ว ก็มีการเห็นเก่าดับไป การเห็นใหม่เกิดแทน ติดต่อกันโดยไม่ขาดสายเช่นกัน แต่แล้วผู้ดูอยู่ก็เห็นผิดเข้าใจไปในรูปารมณ์และการดูของตนว่า รูปารมณ์ที่ตนดูอยู่ก็ดี การเห็นของตนที่กำลังเห็นก็ดี ในนาทีแรกและนาทีหลังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคงที่อยู่เป็นปกติ ขณะได้ยิน ได้กลิ่น ได้สัมผัสอยู่ เสียงกับการได้ยินก็ดี กลิ่นกับการได้กลิ่นก็ดี รสกับการกินก็ดี เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง กับการสัมผัสก็ดี เหล่านี้มีสภาวะเช่นกันคือ เก่าดับไป ใหม่เกิดขึ้นติดต่อกันไปไม่ขาดสาย แต่แล้วก็มีการเข้าใจผิดไปว่าเป้นอันหนึ่งอันเดียวกันคงที่อยู่ปกติ การเกิดขึ้นสืบต่อกันแห่งอารมณ์ภายนอกและอารัมมณิกวิถีจิตภายในเป็นสันตติบัญญัติ การเกิดขึ้นสืบต่อเนื่องกันไปมีสภาวะไม่ขาดสายแห่งอารมณ์ภายนอกและอารัมณิกวิถีจิตภายในนั้น ซึ่งคล้ายๆกับเป็นกลุ่มเป็นกอง นี้เป็น ฆนบัญญัติ ในบัญญัติ ๒ ประการนี้ เมื่อสันตติบัญญัติปรากฏในใจ ฆนบัญญัติก็ปรากฏในในพร้อมๆกัน ดังนั้นจะเรียกรวมกันทั้งสองอย่างว่าสันตติฆนบัญญัติก็ได้
สันตติฆนบัญญัติได้กำบังปกปิดไว้ดังกล่าวนี้แหละ จึงทำให้ผู้ที่ไม่มีสติกำหนดรูป,นามที่เกิดอยู่เฉพาะหน้า ไม่มีใครได้รู้เห็นความเกิดดับที่เป็นอนิจจลักขณะได้

ฝ่ายผู้ที่ทำการกำหนดสังเขตธรรมรูป,นามที่เกิดอยู่เฉพาะหน้า โดยมีสติรู้อยู่ติดต่อกันไม่ขาดสายนั้น ย่อมรู้เห็นแทงทะลุปรุโปร่งสันตติฆนบัญญัติ ที่กำลังปกปิดการเกิดดับของสังเขตธรรมรูป,นามไปได้ โดยการกำหนดรู้เห็นวิถีจิตที่ก่อเกิดก่อนและวิถีจิตที่เกิดขึ้นทีหลังในระยะเวลาที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสกับ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง เมื่อย เจ็บ ปวด ดีใจ เสียใจ นึกถึงต่างๆเหล่านี้ขาดลงเป็นตอนๆไม่เป็นอันหนึ่งเดียวกัน ในด้านรูปนั้น ก็คงกำหนดรู้เห็นรูปที่เกิดก่อนและรูปที่เกิดหลัง ในระยะเวลาที่พองขึ้น ยุบลง หายใจเข้า หายใจออก ยกมือ ยกขา ก้าวไปข้างหน้า ถอยมาข้างหลัง ลุกขึ้น นั่งลง เหลียวซ้าย แลขวา กระพริบตา อ้าปาก เหล่านี้ขาดเป็นตอนๆ ไม่ใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การรู้เห็นในวิถีและอารมณ์ขาดเป็นตอนๆดังนี้เรียกว่า สันตติบัญญัติขา,ฆนบัญญัติแตก อนิจจลักขณะคือ ความเกิดดับไปก็ปรากฏขึ้น เป็นอันว่าวิปัสสนาญาณของผู้นั้นได้เข้าถึงอนิจจานุปัสสนาที่แท้จริง

จาก วิปัสสนาทีปนีฎีกา รจนาโดย หลวงพ่อภัททันตะ อาสภมหาเถระ


หลักการดูและเห็นทางจิต

-- ข้อที่ต้องเปรียบเทียบกันตั้งแต่ขั้นต่ำสุด คือ ขั้นที่ดูด้วยตาธรรมดา เช่น จดไว้ในกระดาษแล้วเราก็ดูด้วยตา แล้วก็เห็น มันก็เห็นตัวหนังสือที่เขียนว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ก็ดูตัวหนังสือในกระดาษแล้วก็เห็นนะ มันไม่เห็นธรรมะ เพราะมันไม่ได้ดูด้วยธรรมจักษุ มันดูด้วยตาเนื้อ ต่อเมื่อดูด้วยธรรมจักษุ จึงจะเห็นธรรม ซึ่งดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น
-- ธรรมจักษุที่จะเห็นธรรมนั้น มันต้องดูด้วยอะไร? ลองสังเกตุของตัวเองดู ในบาลีก็มีคำว่า ธัมมจักขุง จักษุสำหรับเห็นธรรม ก็คือ ปัญญา หรือเจตสิกธรรม ที่เป็นกลุ่มของปัญญานั่นแหละ ปัญญานี้มันต้องอาศัยการดูด้วยจิตที่เป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิแล้วก็น้อมไปเพื่อจะเห็น ฉะนั้น เราจะต้องทำปัญญาจักษุกันอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ดูอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็นอยู่ด้วยปัญญาจักษุ ไม่ใช่ปากว่าบริกรรม แต่ให้รู้สึกเห็น เห็นอย่างรู้สึก รู้สึกอย่างที่เห็น นับตั้งแต่ดูด้วยตา แล้วก็ดูด้วยปัญญา แล้วก็รักษาการดูนั้นไว้ด้วยปัญญา ยกตัวอย่างเรื่องที่พวกเราทำกันอยู่เป็นประจำ คือว่า เดินจงกรมนี้ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ถ้าดูที่เท้าด้วยตา มันก็คือการเห็น ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ดูด้วยตา ดูที่เท้า ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องศึกษาด้วยปัญญาก่อนจนเห็นว่า มันมีแต่ การยกหรือย่าง หรือเหยียบ เท่านั้นหนอ ไม่มีบุคคล ผู้ยก ผู้ย่าง ผู้เหยียบเลย เพราะว่าเรื่องธรรมะขั้นปัญญานั้น มันไม่ใช่ยกเท้าขึ้นมา แล้วยื่นออกไป แล้วเหยียบลง ตัวอย่างนี้ มันเป็นเรื่องสติ หรือสมาธิ
-- ยกหนอ หมายความว่า มันสักว่ามีการยกเท้า มีเท้าที่ยกขึ้นแล้วหนอ แต่ไม่มีบุคคล ที่เป็นผู้ยกหรือเป็นเจ้าของเท้านี้ ให้เขาบริกรรมสั้นมากกว่า ยกหนอ เท่านั้น ถ้าทำได้ลึกอย่างนั้น มันก็เป็นการเห็นอยู่ เห็นธรรมะอยู่ เมื่อยก ย่าง เหยียบนั่นแหละ สักว่าการยกเท้าเท่านั้นหนอ สักว่าการย่างเท้าไปเท่านั้นหนอ สักว่าการเหยียบเท้าลงเท่านั้นหนอ นี่มันลึกมาก มันเป็นหัวใจของธรรมะทั้งหมด คือว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ถ้าทำถึงที่สุดเป็นวิปัสสนา มีความหมายอย่างนี้
-- ถ้าทำในขั้นริเริ่มต้นๆ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ เป็นขั้นสติ ว่าสติอยู่ที่เท้ายกขึ้นมา ที่เท้าเสือกไป ที่เท้าหย่อนลง ก็เป็นสติเท่านั้น ยังไม่ใช่ปัญญา ยังไม่ใช่การเห็น เป็นการควบคุมด้วยสติหรือว่าการที่มีสติมั่น ผูกพันติดอยู่กับเท้าที่ยก ย่าง เหยียบนี้ อย่างนี้มันก็เป็นสมาธิ ยังไม่ใช่ตาเห็นธรรม ยังไม่ใช่เห็นในขั้นวิปัสสนา ขั้นวิปัสสนามันก็ต้องเห็นที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่แท้ที่จริงแล้ว ต้องการให้เห็นอนัตตาหรือสุญญตา ว่าไม่มีสัตว์ บัคคล ตัวตนอะไรที่ไหน ซึ่งเป็นผู้ยก ผู้ย่าง ผู้เหยียบ ตัวธรรมะแท้ เห็นด้วยปัญญา เรียกว่า วิปัสสนา
-- ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ไม่เพียงแต่ว่าเป็น สติ หรือว่าเป็นสมาธิ และไม่ได้หมายความว่า เห็นด้วยตา ความจริงการดับกิเลสตัณหานี้ ดับด้วย อนัตตา เพียง อนิจจังยังไม่ดับ ต้องให้เห็นทุกขัง เพียงทุกขัง ยังไม่ดับ ต้องเห็นอนัตตา มันจึงจะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด บรรลุมรรคผลได้ ให้เห็นว่า สังขารทั้งปวงเป็นอนัตตา สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายเป็นอนัตตา เอาปัญญาเป็นจักษุ ธรรมจักษุนี้มาดูอยู่ด้วยกันตลอดเวลาทุกอริยาบถ เมื่ออริยาบทยืนก็ยืนหนอ สักว่าการยืนหนอ ไม่มีเจ้าของตัวผู้ยืน เมื่อเดินนี้แยกเป็น ยก ย่าง เหยียบนี้ มันก็สักว่า ยก ย่าง เหยียบ ไปตามเหตุ ปัจจัยของมันเท่านั้นเองหนอ ไม่มีส่วนไหนที่จะเป็นบุคคล ตัวตนอันแท้จริง เพราะฉะนั้น ทุกๆหนอ อาจจะทำให้เป็นวิปัสสนาได้ ถ้าขั้นฉันอาหาร หยิบหนอ ยกหนอ ใส่ปากหนอ เคี้ยวหนอ กลืนหนอ นี่ก็เหมือนกันอีก สักว่ามือมันหยิบอาหารมาด้วยเหตุปัจจัยนามรูปอะไรก็ตาม ไม่มีกู ไม่มีกูผู้หยิบอาหาร ไม่มีกูผู้กินอาหาร ไม่มีผู้กลืนหนอ อร่อยหนอ ไม่มีตัวตนแห่งความอร่อย ไม่มีตัวตนแห่งบุคคลอร่อยเลย
-- จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะอาบ จะถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ ทุกอย่างแหละ ใส่คำว่า หนอ แล้ว มันเป็น สักว่า เท่านั้น หรือ เช่นนั้น เท่านั้นหนอ มันเป็นวิปัสสนาอยู่ในอริยาบถนั้นๆถึงกับว่าจะบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ในอริยาบถนั้นๆอยู่ก็ได้ เพราะว่าเป็นวิปัสสนา
-- การดูและการเห็น มันไม่ได้อยู่ที่ไหนเมื่ไร ในอริยาบถไหนมันก็เกิดบรรลุมรรคผลขึ้นได้ ในอริยาบถนั้นๆที่นั่น และเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น เราทำให้ดีๆสิ ทำให้ถูกๆ ให้ดีๆ ให้เป็ยวิปัสสนา คือ ดูและเห็น อยู่ด้วยปัญญาจักษุ ก็จะบรรลุธรรม คือ บรรลุมรรคผล
-- สรุปความว่า ขอให้ปฏิบัติถึงขั้นที่มันเป็นวิปัสสนา เช่น ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ก็ให้ถึงขั้นวิปัสสนา คือ รู้อยู่แก่ใจแจ่มชัดว่า มันสักว่า อริยาบถ ยก ย่าง เหยียบ เท่านั้นหนอ ไม่มีผู้ยก ย่าง เหยียบ สักว่า เป็นกิริยา อาการของการ ยก ย่าง เหยียบ เท่านั้นหนอ นี้เรียกว่า วิปัสสนา คือ การเห็น

รจนาโดย หลวงพ่อพุทธทาส




ภาพแบบ matrix เป็นเรื่องของสมาธิและสติ ทำงานร่วมกันในระดับหนึ่ง
สภาวะนี้สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

แต่ถ้าสมาธิและสติที่มีกำลังมากกว่านั้น จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นมากกว่านั้น
คือจะเห็นภาพหรือกิริยาของการเคลื่อนไหว ขณะนั้นๆ ขาดออกจากกันเป็นตอนๆ
ไม่เป็นสายแบบ matrix เขาเรียกว่า สันตติขาด ฆนะบัญญัติแตก
สภาวะนี้เห็นได้แค่ทางจิตทางเดียวเท่านั้น

สันตติ คือความสืบต่อของรูปนามจะขาดลง เมื่อสติ สมาธิ ปัญญาของผู้นั้นแก่กล้าสามารถ
จะรู้ความเกิดขึ้น และดับไป ของรูปนามได้ดีทีเดียว และรู้ได้เฉพาะตัวของผู้ปฏิบัติเท่านั้น
แม้คนอื่นตั้งหมื่นแสนซึ่งนั่งดูอยู่ที่นั้น ก็ไม่สามารถรู้ตามผู้นั้นได้เลย


ญาณนี้ท่านเรียกว่า อุทยพยญาณ จัดเป็นภาวนามยปัญญาแท้ แม้ญาณที่ ๕-๖-๗-๘ เป็นต้นไป
ก็จัดเป็นภาวนามยปัญญาเช่นกัน

รู้มรรค ได้แก่ ญาณที่ ๑๔

รู้ผล ได้แก่ ญาณที่ ๑๕ คือผลญาณ

รู้นิพพาน ได้แก่ ญาณที่ ๑๓-๑๔-๑๕

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 01:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สอบสภาวะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
สวัสดีค่ะพี่น้ำ เมื่อกี้หมูไปแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาดในอดีตมาค่ะ เรื่องการปฎิบัติ

สุขที่แท้จริง says:
ของใครรหรือคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
พี่น้ำลองอ่านหน่อยนะคะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
หมูจ้าจำได้ปะ

March ~ says:
จำได้ เป็นยังงัยบ้างเอ๋ย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
โอจ๊ะ สบายดี เบตละ ไม่ได้คุยกันเลย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ทำโน่นทำนี่น่ะ อนุโมทนาจ๊ะ อืม จริงๆมีเรื่องจะแก้ไข บอกเบ็ต จากที่ให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง
นานแล้วนะ แต่ปล่อยไป ไม่ได้

March ~ says:
อืม เหมือนเคยบอกแล้วนี่หน๋า เรื่องปฎิบัติ แบบสมถ ช่ายมั้ย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ใช่ แต่ไม่เหมือนเดิม

March ~ says:
ยังงัย บอกข้อมูลมาเลยค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ตอนนั้นที่ เราบอกว่า กำหนดเป้นสมะถะใช่ไหม ที่บอกไม่ใช่วิปัสสนา หมูบอกยังงี้นะ

March ~ says:
ช่าย อืมมม แล้ววว

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ว่าขึ้นอยู่กะผู้ปฎิบัติ การกำหนด โดยการใช้คำกำกับ ขวา ย่าง หนอ ซ่ายย่างหนอ รู้หนอ
พวกนี้จะช่วยให้จิตมีสมาธิ ไม่ฟุ้ง เหมือนเป็นที่ให้จิตเกาะ ทีนี้ถ้าทำต่อเนื่องๆไป
ก็สามารถขึ้นสู่วิปัสนาได้ แต่ผู้ปฎิบัตจะรู้เอง คือจะเห็น กาย เวทนา จิต และ ธรรม

March ~ says:
ก็เป็นสมถะก่อนแล้วค่อยดิ่งไปวิปัสนา

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
เราไม่เก่ง พวกหลักการน่ะเบ๊ต แต่เรา เอาจากที่เราทำ มันไม่ได้แยกกันน่ะเบ๊ต
หมายถึง ถ้าเบ๊ตจะเป็นวิปัสสนา มันก็ต้องมีสมาธิใช่ไหม
ไม่งั้นมันจะไปรู้ อารมณ์วิปัสนาได้ไง ถ้าจิตมีแต่ความฟุ้งซ่าน

March ~ says:
อืมๆ .... เราเคยฟังพระอาจารย์คเชนพูดเรื่องนี้อยู่
บางคนไปวิปัสสนาเลย บางคนเข้าสมถะก่อนแล้วไปวิปัสนา


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
คือ มันต้องมีสมาธิร่วมด้วย อยู่แล้วอะเบ๊ต แต่อะไรมาก่อนอะไร ไม่รู้นะ เพราะเราก็ไม่ได้เก่ง
อย่างถ้าเบ็ตฟุ้งซ่าน แต่สามารถดูความฟุ้งได้ นั่นก็ต้องมีกำลังของ สมถะด้วย ไม่งั้นจะไม่มีแรง

March ~ says:
ถูกกก ไม่มีแรง เลย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
คือเบ๊ตจะไหลไปตามการฟุ้งเลย

March ~ says:
ตอนนี้ ไหลมากมาย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
นั่นแหละ เบ๊ตจะแยกไม่ได้หรอก แต่เบ๊ตจะเข้าไปอินแล้วไหลๆไป

March ~ says:
โหววว เปะเลยงะ .... อินเกิ้น ไหลกระจาย แต่ได้สติ นิดๆ
และเริ่มกลับมาสู้ปัจจุบัน บ้าง!! (บ้างนะ ) หมูเข้ามาถูกเวลาทู๊กทีเลย


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ง่ะ คือหมู จะบอกว่า ถ้าจิตไม่มีสมาธิ ยังไม่มีแรง ก็ใช้คำบริกรรม ขวาย่างหนอได้ เพื่อให้จิตมีที่เกาะ
มันจะได้ทั้งสติและสมาธิจ๊ะ แล้วก็การปฎิบัตินั้น ไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว

March ~ says:
อ๋ออออ..... ค่ะ ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อือ เคลียร์นะ ถ้าเบ็ตเครียร์แล้ว หมูไปละ นะจ๊ะ ขอให้เจริญในธรรม สบายใจแล้ว


หมดแล้วค่ะพี่ แฮ่กๆ

สุขที่แท้จริง says:
แล้ว ยังไงหรือคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
เมื่อวานคุยกะพี่น้ำเลยนึกขึ้นมาได้ ก็แต่ก่อน หมูดันไปเข้าใจว่าการกำหนด ขวาย่างหนอ
พวกนี้เป็นสมถะล้วน ไม่ใช่วิปัสนา หมูก็เลยไปบอกเขาใหม่น่ะค่ะ
เลยให้พี่น้ำดูว่า มีอะไรที่หมูพูดเพี้ยนอีกไหม น่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
เพราะยึดติดกับศัพท์ คนส่วนมากจะเป็นแบบนี้กัน

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
เท่าที่ดูก็ไม่น่ามีอะไรเพี้ยนอีก ... ค่ะพี่
ตอนนั้นไม่รู้เรื่องน่ะค่ะ และก็ไม่เอาแล้วด้วย เข็ด ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด

สุขที่แท้จริง says:
คำศัพท์ ส่วนมากก่อให้เกิดปัญหาตลอดเวลา จะวิปัสนาแล้วไง จะสมถะแล้วไง
บางทีการคุยเรื่องพวกนี้ เมื่อก่อน พี่มองมันผ่านๆไปนะ
แต่พอมาเห็นว่า คนเดี๋ยวนี้ ยึดติดกับคำเรียกกันมากๆเลย เหมือนคำว่า
นามรูปเฉจญาณ
คนไม่รู้ ไปมองว่าของวิเศษ โห เอามาคุยทับคนอื่นๆ แต่กิเลสดันมองไม่เห็น
ความอยากนี่ล้นเอ่ออออกมา มานะนี่ท่วมท้น กูรู้


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ก็ดูวิเศษนะคะ แหะๆ หมูก็เคยทำๆแล้วคิดว่านามรูปปริเฉจนี่ ชั้นเห็นยังหว่า ผ่านยังหว่า สารภาพน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
เห็นไหม พี่ถึงบอกไง ใครมากางตำราสอบอารมณ์หมูน่ะ หงายผึ่งเป็นแถว
เห็นตามความเป็นจริง เข้าใจถึงเหตุที่กระทำ และผลที่ได้รับ กลับตัวกลับใจได้
ตั้งจิตไว้จะไม่ไปทำร้ายใครๆ ทำความเพียรต่อเนื่อง กลัวการเกิด
แต่คนที่คุยว่าได้นามรูปเฉจญาณ กลับไม่เห็นตรงนี้ ไอ้คนที่ไม่รู้อะไรเลย กลับเห็นตรงนี้


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อืม ...วันนี้ก็ เห็นความเลวนะคะ เลวจริงๆ มันก็คิดขึ้นมานะคะ ว่า ปฎิบัติธรรม เราหวังจะเห็นว่าเราดีขึ้น
ไม่ได้หวังจะเห็นว่าเราเลวขนาดนี้ นี่อะไร ทำไมมันมีแต่ความเลว แล้วก็มาคิดอีกว่า ถ้าดีก็ยึดอีก

สุขที่แท้จริง says:
ดีก้กิเลส เลวก็กิเลส คิดดูละกัน ดีกับเลว อันไหนละยากกว่ากัน

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ดีค่ะ เพราะเรารักมัน เลว ไม่อยาก เลว มันทุกข์

สุขที่แท้จริง says:
ใช่ นี่ไง แต่คนบางคนอาจจะบอกว่า ดีสิดี ใครๆก็อยากดี ทำไมต้องละ
คิดว่าตัวเองดีน่ะสิ มานะงี้ท่วมท้น มองไม่เห็น มานะ ทำให้เบาบางลง มันยากยิ่งกว่าที่จะขจัดความเลว


หมูเห็นท้องพองขึ้นยุบลงไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ตอนนี้ไม่นะคะ ต้องตั้งใจค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
เห็นกายเคลื่อนไหวไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
เห็นละค่ะ ตอนนี้ก็เห็นค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
เดินจงกรม รู้เท้า รู้กายที่เคลื่อนไหวได้ไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
รู้ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
อะไรเป็นตัวรู้คะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
จิตค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ท้องพองขึ้น ยุบลง ใช่ตัวเดียวกันไหมคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ไม่ค่ะ ดับไปแล้วเกิดใหม่

สุขที่แท้จริง says:
เดินจงกรม ทุกๆอริยาบทเคลื่อนไหว ตัวเดียวกันไหม

ถึงไม่ใช่งูพิกระต่ายขนฟ says:ษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็น
ไม่ค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
หมูเห็นท้องพองขึ้น ยุบลง รู้ด้วยจิต ถูกไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ใช่ค่ะ รู้อารม

สุขที่แท้จริง says:
แล้วจิตกับท้องพองขึ้น ยุบลง ตัวเดียวกันไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ไม่ค่ะ ท้องเป็นกาย เอาจิตไปรุ้ แยกกันค่ะ ก็มันเจอตอนนั่งกะเดินค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
หมูรู้ได้ไง ว่าอะไรใช่ หรือไม่ใช่

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

รุ้สึก แบบนั้นค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
เวลาเดิน หมูมองเห็นการเคลื่อนไหวของกายไปด้วย ถูกไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะใช่

สุขที่แท้จริง says:
เวลามองเห็น กับสิ่งที่ถูกเห็น ตัวเดียวกันไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ไม่นะคะ สิ่งที่ถูกเห็นแยกออกจากกันค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
สิ่งเหล่านี้ที่หมูรู้นี่ เมื่อก่อนรู้ได้ไหมคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ไม่รู้เลยค่ะ แต่ก่อนไม่รู้อะไรแบบนี้เลย

สุขที่แท้จริง says:
ท้องพองขึ้น ยุบลง หมูเคยสงสัยไหมว่า ทำไมมันถึงพองขึ้นยุบลงได้
ทั้งๆที่เมื่อก่อน หมูเคยพยายามที่จะดูมัน แต่กลับจับไม่ค่อยได้


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ก็เคยสงสัยค่ะ แต่ก้อได้คำตอบแล้วอะค่ะ พี่น้ำเคยเฉลยอะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
แล้วหมูว่า สิ่งที่รู้มาทั้งหมดนี้ มันเที่ยงไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
คือ ตอบว่า บางทีก็รู้สึก แบบนี้ บางทีก็ไม่ใช่ค่ะ แล้วแต่ ว่าตอนนั้นสติเป็นไง

สุขที่แท้จริง says:
สภาวะเที่ยงไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อ่อ ไม่ค่ะ เปลี่ยนไปค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
เห็นไหม ติดคำเรียก พอพูดอีกแบบ เกิดความไม่แน่ใจ พอพูดสภาวะตอบทันทีด้วยความมั่นใจ

งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ก็ถ้าถามสภาวะเที่ยงไหม แบบจะรู้สึกแบบนั้นติดต่อไปเรื่อยๆไหม อันนี้ ไม่เที่ยงค่ะ มันเปลี่ยน
บางทีก็จะรู้สึกว่าเออที่รู้นั้นก็ไม่รู้เลย เพราะมันเปลี่ยนไป รู้วันนี้ ใช้กะครั้งหน้า ไม่ได้แล้ว


สุขที่แท้จริง says:
นี่แหละประโยชน์ของคนที่เติบโตด้วยสภาวะ รู้แต่ไม่รู้ และไม่เคยคิดว่าตัวเองรู้อะไร
ถึงจะคิดแต่ก็คิดไม่นาน เพราะสภาวะจะแปรเปลี่ยนตลอดเวลา รู้ที่เคยคิดว่ารู้จะเปลี่ยนไป
รู้ที่ว่าเคยรู้นั้น จะรู้ละเอียดมากยิ่งๆขึ้น มันจะผิดกับคนที่เติบโตด้วยบัญญัติ

พวกนี้จะยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่ารู้อะไรและเรียกว่าอะไร แต่กิเลสกลับมองไม่เห็น
จึงก่อให้เกิดปัญหาเนืองๆ แทนที่จะก่อให้เกิดปัญญา เพราะไปยึดติดกับสิ่งที่คิดว่ารู้
แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง แม้แต่รู้ที่คิดว่ารู้มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
รู้แบบนี้ รู้โดยบัญญัติ จะทำให้ไปเพิ่มพูนกิเลสให้หนาขึ้นไปอีก
รู้ไหมว่า นามรูปปริเฉจญาณคืออะไร


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
แยกรูปแยกนามอะค่ะ ปัญญาในการแยกรูปแยกนาม ที่พี่น้ำถามเมื่อกี้ใช่ไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:
ใช่ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อ่ออ หมูไปอาบน้ำก่อนนะคะ เด๋วมาส่งการบ้านค่ะพี่ พี่น้ำจะพิมอะไรคะ

สุขที่แท้จริง says:
๒. จิตตวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของจิต คือ ยังขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิให้เกิด

๓. ทิฏฐิวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของความเห็น คือ เห็นรูปนาม
๑. นามรูปปริเฉทญาณ ญาณกำหนดจำแนกรู้นามและรูป

๔. กังขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ด้วยการผ่านพ้นความสงสัย
๒. ปัจจยปริคคหญาณ ญาณกำหนดรู้ปัจจัย ( ของนาม และรูป )
๓. สัมมาสนญาณ ญาณกำหนดรู้ด้วยการพิจรณาเห็น ( รูปนาม - สังขาร - โดย
พระไตรลักษณ์ )


มันแค่บัญญัติ ยังเป็นจินตามยปัญญา

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อ่านแล้วใจฟูนะคะ แบบอยากรู้

สุขที่แท้จริง says:
นี่ไง ที่พี่บอกว่า เพราะความไม่รู้ คนเลยไปมองว่ามันคือของวิเศษ
หลุมพรางดักกิเลส ตกม้าตาย เพราะเจ้าสภาวะ 3 ตัวแรกนี่แหละ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
เหรอคะ ก็อ่านแล้วหมูก็ยังคิดเลยว่าเป็นไงหว่า

สุขที่แท้จริง says:
ถามนะ ถ้าหมูไม่มาเจริญสติ หมูจะตอบคำถาม ที่พี่ถามไปได้ไหม

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ไม่ได้หรอกค่ะ ไม่เข้าใจคำถามหรอกค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
มันเป็นเรื่องของสติ แต่คนไม่รู้ เพราะมันมีคำว่า " ญาณ " เลยทำให้หลงสภาวะว่าได้ของวิเศษ
จากเรื่องของสติ เลยกลับกลายไปเป็นกิเลสทันที


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
จริงๆก็คือ สติที่มากขึ้น คือสติที่เพิ่มขึ้นจากการปฎิบัติ
แล้วก็เลยรู้ เห็น สิ่งเหล่านี้ที่มันมีมากะเรา แล้วเข้าใจมัน

สุขที่แท้จริง says:
viewtopic.php?f=7&t=28295&st=0&sk=t&sd=a&start=15
อ่านหน้านี่นะ อ่านหัวข้อ รู้พระไตรลักษณ์ ว่างๆค่อยอ่าน
คำตอบที่หมูตอบพี่มาน่ะ อยู่ในนั้นหมด อ่านแล้วจะทำให้เข้าใจบัญญัติมากขึ้น


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่ ได้ค่ะ งั้นหมู Add link ไว้แล้วไปอาบน้ำ ปฎิบัติ เสร็จสองรอบแล้วค่อยอ่านค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ค่ะ จงฉลาดในการปรับเปลี่ยนอริยาบทให้เข้ากับสภาวะ แต่จงโง่กับบัญญัติ
ถ้าเราไปฉลาดกับบัญญัติเมื่อไหร่ นั่นคือ กิเลสลากเอาเราไปกินทันที



16 มีค. 53 หลังจากปฏิบัติมานานแล้ว มองดูสภาวะแล้ว
คิดว่า ควรสอบอารมณ์ได้แล้ว เพราะการสอบอารมณ์ โดยใช้บัญญัตินั้น
ถ้าสติของโยคียังไม่มั่นคงหรือยังไม่มีกำลังมากพอ อาจะทำให้มานะกิเลสของโยคีนั้น
พอกพูนเพิ่มขึ้น ไปมากกว่าเดิมได้ แล้วปัญหาก็จะเกิดแก่ตัวโยคีเอง
ปฏิบัติเป็นวันที่ 211 เรื่องวันและเวลาไม่ใช่ตัววัดผลของการปฏิบัติ
ให้ดูเรื่อง สติ และกิเลส เป็นหลัก

นี่ขนาดแค่สอบโดยบัญญัติเล็กๆ โยคีเองยังยอมรับเลยว่า ใจมันฟู นั่นคือกิเลสเกิดแล้ว
เห็นไหม ต้องระวังทุกฝีก้าวเลย ในเรื่องการสอบสภาวะ




จริงๆแล้ว การสอบอารมณ์นี่ ส่วนมากครูบาฯท่านไม่ให้เปิดเผย เพราะกลัวการจำแล้วมาตอบกัน
แต่ที่เรานำมาเผยเพื่อให้หลายคนที่ค่อนข้างสนใจเรื่องเหล่านี้เยอะมากๆ เลยนำมาแบ่งปันกัน
ในรูปแบบของสภาวะที่โยคีปฏิติเอง เห็นเอง รู้ได้เอง นี่คือผลของการเจริญสติ

ส่วน " ญาณ " ที่มีการนำกล่าวมาถึงนั้น สมาธิแต่ละระดับ และสติแต่ละระดับของการรู้นั้น
แต่ละระดับจะไม่เท่ากัน จะแตกต่างกันไปตามกิเลสของแต่ละคน ถึงบอกว่า เวลาไม่ใช่ตัววัดผล
รูปแบบไม่ใช่ตัววัดผล ว่าปฏิบัติแบบนี้ต้องได้ผลอย่างแน่นอน
แต่สติ สัมปชัญญะ และกิเลสต่างหากคือตัววัดผลความก้าวหน้าของแต่ละคน

โยคีผู้นี้ เมื่อก่อน กลัวเรื่องการเพ่งมากๆ ทำให้เวลาปฏิบัติจะกังวลต่อสภาวะเนืองๆว่านี่คือ การเพ่ง
เพราะไปฟังบางสิ่งบางอย่างมา แล้วเคยลองทำมาก่อน แต่ทำแล้วไม่ได้ผล เลยทำให้ไม่กล้าที่จะทำอีก

การปฏิบัติแรกเริ่ม ต้องให้โยคีเป็นผู้เลือกแนวทางของเขาเอง ให้ทำตามกิเลสของตัวเองไปก่อน
เมื่อมีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น สมาธิย่อมเกิดมากขึ้น จิตสงบ ทำให้ตัวรู้เกิดมากขึ้น ปัญญาย่อมเกิดตาม
พอมาถึงสภาวะตรงนี้แล้ว โยคีสามารถนำทุกรูปแบบที่มีในแนวทาวทางการปฏิบัติ มาปรับเปลี่ยน
ให้เข้ากับสภาวะที่ตัวเองกำลังประสบอยู่ได้ อริยาบทสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ฟุ้งมากไป เอาสมาธิช่วย สมาธิมากไป ให้เพิ่มวิริยะ คือ การเดินจงกรมหรือกำหนดอริยบทย่อยมาช่วย
หากแม้รู้สึกว่า ขี้เกียจ ก็ให้รู้ว่าขี้เกียจ ให้ลดเวลาปฏิบัติลง เท่าที่สามารถทำได้
แม้จะเดินเพียง นิดหน่อย แล้วนั่งแค่ 1 นาที ก็ยังใช้ได้ ถือว่า นั่นคือ ช่วงเวลาช่วงนั้น
กิเลสที่เป็นอกุศลเข้าแทรกไม่ได้ นี่ได้กุศลไปแล้ว

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
อัตตา หิ อัตตโน นาโถ
นี่หมายถึง ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ที่พึ่งแห่งตนอยู่ข้างในนะ
ไม่ใช่ไปพึ่งข้างนอก พระสติ พระสัมปชัญญะ เท่านั้นนะที่เป็นที่พึ่งของเรา
ไม่ใช่ไปบอกว่า เรามีพระรัตนไตรเป็นที่พึ่ง นี่เข้าใจกันแบบผิดๆนะ
เรามีพระรัตนไตร ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจเรา ทำให้เรามุ่งมั่นกระทำแต่ความดี



หมายเหตุ

สำหรับคนที่ทำตามรูปแบบก็ไม่ได้ผิดอะไร รูปแบบมีหลากหลาย ทุกรูปแบบที่ทุกคนได้ปฏิบัติกันนั้น
ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยกระทำมาทั้งสิ้น ฉะนั้น ไม่ว่าจะทำรูปแบบไหนๆ ล้วนไม่มีผิด




รู้พระไตรลักษณ์


รู้พระไตรลักษณ์ คือ รู้ลักษณะทั้ง ๓ ของรูปนาม ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
การรู้พระไตรลักษณ์นั้น แบ่งเป็น ๓ ขั้น คือ

๑. รู้พระไตรลักษณ์ขั้นปริยัติ คือ จำจากตำรา เช่น เวลาสวดทำวัตรเช้าว่า

รูปํ อนจฺจํ รูปไม่เที่ยง
เวทนา อนจฺจา เวทนาไม่เที่ยง
สญฺญา อนจฺจา สัญญาไม่เที่ยง
สงฺขารา อนจฺจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
วิญฺญาณํ อนจฺจา วิญญาณไม่เที่ยง ดังนี้เป็นต้น

การรู้พระไตรลักษณ์อย่างนี้ เป็นการรู้เพียงขั้นปริยัติเท่านั้น

๒. รู้พระไตรลักษณ์ขั้นปฏิบัติ แต่อยู่ในเกณฑ์จินตามยญาณคือ ญาณที่ ๑-๒-๓ เช่น

๑. รู้รูปนามได้ดี คือหายความข้องใจสงสัยในคำว่า รูปนามจริงๆ
เกิดขึ้นเพราะการเจริญสติปัฏฐาน เรียกว่า นามรูปปริจเฉทญาณ เช่น สิ่งที่ถูกรู้ กับจิตที่รู้ เป็นคนละอันกัน

๒.รู้เหตุปัจจัยของรูปนาม บางครั้งรูปเป็นเหตุ นามเป็นผล บางครั้งนามเป็นเหตุ รูปเป็นผลก็มี
เช่น การก้าวเดินไปก่อน แล้วสติจึงตามไปกำหนดทีหลัง หรือ ตั้งใจกำหนดก่อนแล้ว ถึงจะก้าวเดิน
เรียกว่า ปัจจยปริคคหญาณ

๓. รู้ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของรูปนาม เช่น

ก.พิจรณารูปนาม คือร่างกายและใจนี้ว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ คือทนอยู่ไม่ได้
เป็นอนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครๆทั้งสิ้น


ข.พิจรณากาลไกลๆ เช่น เมื่อก่อนเป็นเด็กๆ แต่เดี๋ยวนี้รูปนามนั่นแก่เฒ่าชราลงมากแล้ว
เพราะรูปนามเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเป็นอย่างนี้

ค. พิจรณาว่า รูปนามอดีตก็ดับไปในอดีต รูปนามอนาคตก็ดับไปในอนาคต รูปนามปัจจุบัน
ก็ดับไปในปัจจุบัน รูปนามอดีตจะกลับไปเป็นรูปนามอนาคตไม่ได้ รูปนามอนาคตจะกลับไป
เป็นรูปนามในอดีตไม่ได้ รูปนามปัจจุบันจะกลับไปเป็นรูปนามอดีตหรือเป็นรูปนามไม่ได้


เช่น ขณะที่เราเอาไม้เคาะกระดาน เสียงดังขึ้น เมื่อหยุดเคาะ เสียงดังก็ดับไป เสียง กับ หู เป็นรูป
ได้ยินเป็นนาม รูปกับนามนี้เกิดชั่วขณะนิดหน่อยแล้วก็ดับไปตามธรรมชาติของเขาใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
เป็นธรรมนิยาม ธรรมฐีติอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาตรัสในโลกหรือไม่ก็ตาม รูปนามย่อมเป็นไปอย่างนี้ตลอกกัลปาวสานต์
ทั้งนี้ ก็เพราะรูปนามเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง

ฆ. พิจรณา ทุกขณะที่ลมหายใจเข้าออก ทุกขณะที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นว่า
ลมเข้าและลมออกก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทำนองเดียวกันนี้


การพิจรณารูปนามเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ คือทนอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา คือบังคับบัญชาไม่ได้
อย่างนี้เรียกว่า สัมมสนญาณ

ญาณที่ ๑ คือนามรูปปริจเฉทญาณ ญาณที่ ๒ คือปัจจยปริคคหญาณ ญาณที่ ๓ คือสัมมสนญาณ
ทั้ง ๓ ญาณนี้ อยู่ในเขตของจินตามยปัญญาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การรู้พระไตรลักษณ์โดยอาการ
ดังกล่าวมานี้ จึงจัดเป็นเพียงจินตามยปัญญาเท่านั้น


รู้พระไตรลักษณ์ชั้นภาวนามยญาณ ได้แก่ เห็นความเกิดดับของรูปนามชัดเจนแจ่มแจ้ง
ปราศจากการจำตำรา ปราศจากการนึกคิดค้นเดาใดๆทั้งสิ้น เกิดขึ้นในขณะปัจจุบันเท่านั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 17 มี.ค. 2010, 22:33, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 209

" ตอนนี้ใช้ความอดทนไปก่อน ต่อไปเราไม่ต้องมาอดทน"

ไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
40/30 นคะ

ก็เดินรู้เท้า ใจมันก้ยุ่งๆ ทุกข์ๆ ก็มีตัววิจารณ์ มีธรรมมะ ของครูบาขึ้นมา จากการอ่าน
แล้วก็มีปรามาส วันนี้ปรามาสเยอะมากค่ะ ก็กำหนดตอนขึ้นมา มันก็กังวล กลัววิบาก ก็กำหนดไปอีก
สักพักเด๋วก็มาอีก ก็กำหนดเรื่อยๆค่ะ บางครั้ง ปรามาสจะขึ้น จิตก็ปัดเลย แต่ครั้งเดียว
ทีเหลือก็กำหนดเอา วันนี้เอาไม่ค่อยอยู่ แล้วก็พยายามเกาะเท้า เพื่อไม่ให้ลงไปคิด ก็พอได้อยู่ค่ะ
ตอนเดินก้มีร้อนผ่าว เท้า และก็มีเหมือนแสบๆผิวแขน

พอมานั่ง ก็มีรู้กายที่นั่ง แล้วก็มีช่วงที่นิ่งเงียบลงบ้าง แต่จิตมันก็ไม่ลงไปเพราะมีตัวที่คอยดูน่ะค่ะ
เหมือนมันวิจารณ์ขึ้นมาว่าเออเงียบแล้ว ก็เลยไปลงไปเป็นสมาธิแบบแนบแน่น

สักพัก ก็เหมือนมันเข้าไป อารมณ์คล้ายเวลามันหลับในแต่ไม่ได้หลับใน คือเราก็รู้ตัวว่าเรานั่ง
และรู้ตัวว่าจิตมันเขาไป อินกะสมาธิจนจบค่ะพี่ ตอนนั่งก็มีปรามาสขึ้นมาอีกก็กำหนดไปค่ะ

แล้วก็ มีได้ทำพร้อมแตงกวา ตอนนั้นก็เดินนำ ก็รู้เท้าดีค่ะ มีสติ ตอนยกย่างวาง
แล้วก็ตอนกำหนดยืนหนอ ก็ค่อนข้างรู้ตัวแต่ระหว่างยืนหนอก็มีเป็นอกุศลขึ้นมา
ขึ้นมาเป็นคำหยบาบคายค่ะ ก็กำหนดรู้ แต่ไม่ได้กำหนดรู้หนอๆเพราะกำลังโนำแตงกวาอยู่

ตอนนั่งเอามือจับท้องแค่แป๊ปเดียวเพราะแตงกวาเสร็จแล้วตอนนั้นก็รู้ตัวค่ะ
รู้ตอนท้องขยับบ้างที่กายสัมผัสเตียงบ้าง ตอนกระพริบตาบ้าง
ส่วนระหว่างวันๆนี้มันก็ทุกข์ค่ะ จิตมันวุ่นวาย อยากได้อารมณ์ดีๆ แล้วก็มีความไม่พอใจทุกข์ มีอยากสุข
แล้วก็ต้องหาอะรไทำ โดยเฉพาะต้องอ่านธรรมมะ ไม่งั้นมัน ใจกระสับกระส่ายค่ะ หมดแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

ความสุข ใครๆอยากได้ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ อย่าไปหวังผล ดีมั่งไม่ดีมั่ง
ไตรลักษณ์มาแสดงตลอดเวลา เพียงแต่หมูยังมองไม่เห็น เห็นเมื่อไหร่ เลิกคาดหวังไปเองค่ะ

เหมือนกับคำว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม บางทีอาจจะฟังดูเหมือนเป็นเพียงคำพูด
เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เกิดๆดับๆอยู่อย่างนั้น จนกว่าจิตมันจะยอมรับจริงๆ ทีนี้แหละ เชื่อหมดหัวใจเลยค่ะ

สภาวะเขามาให้หมูทบทวนตลอดเวลา เห็นยัง ยังงง อ้อ .. ยังใช่ไหม?
เอ้า ทบทวนต่อไป เกิดๆดับๆ จนกว่าจะแจ้งออกมาจากจิตจริงๆ ที่นี้ให้ไปคิดยังไม่ยอมคิดเลย
เพราะรู้แล้วนี้ เอ้าาา .. สอบผ่านนะ เจอกิเลสตัวต่อไปที่มันละเอียดมากขึ้น นี่ ...
สภาวะเขาจะมาแบบนี้นะ ทำข้อสอบให้เราสอบอยู่ตลอดเวลา


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อ่า ค่ะพี่ ก็จะอดทนต่อไปค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ตอนนี้ใช้ความอดทนไปก่อน ต่อไปเราไม่ต้องมาอดทน แต่ทำด้วยความเข้าใจ
อาศัยความเพียรต่อเนื่องไปก่อน และตลอดไป ส่วนความอดทนน่ะ แค่แรกๆเท่านั้นแหละค่ะ
ถ้าเราสร้างเหตุไม่ดีมาเยอะ ก็เจออะไรที่หนักๆ ถ้าสร้างเหตุดีมาเยอะก็เจอไม่หนัก
กินยาทำใจให้เยอะๆไว้ค่ะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อืมม ...แง

สุขที่แท้จริง says:

ไม่ตายหรอกค่ะ ไม่มีใครตายเพราะการปฏิบัติหรอกค่ะ แต่ตายเพราะกิเลสน่ะเยอะมากๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ตายจมกองกิเลส เวลาที่เราเริ่มจะ สามารถควบคุม ไม่ให้ตัวเองหลงนานแล้วแบบหลงไปเพลิน
กะกิจกรรม ทางโลก มันก็จะมารู้จิตใจ แล้วก็เห็นความอยากสุข กะเห็นทุกข์ กะไอ้ตัวพูดมาก
ขึ้นทุกคนแบบนี้ปะคะ

สุขที่แท้จริง says:

เหมือนกันหมดแหละหมู ก็ตกอยู่ในกองกิเลสเหมือนๆกัน แตกต่างตรงที่ว่า ใครสร้างเหตุดี กับ ไม่ดี มากกว่ากันเท่านั้นเอง เพียงแต่บอกให้รู้ว่า ระวังวิบากที่คิดไม่ดีกับคนอื่นๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ฮือๆ ยากจัง ความคิด

สุขที่แท้จริง says:

พี่เองก็เป็นนะเมื่อก่อน ตอนนี้ดีขึ้น คือต้องหมั่นกำหนดบ่อยๆ รู้ลงไปบ่อยๆ นับวันสติทันมากขึ้น
มันเลยไปเกาะเกี่ยวน้อยลง


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ มันยากสุดๆเลยนะคะ ไปไม่ถูก หมายถึง มันชนกำแพงแบบพี่น้ำบอกว่า
เราจะรู้สึกทำโน่นก็ไม่ได้ แบบมีกรอบ ต้องระวังตลอดอะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ก็เพราะหมูรู้ข้อมูลจากพี่ เลยทำให้เกิดการระวังตัว ไม่เหมือนพี่น่ะ ชนมันดะ เลยคิดอกุศลได้
จริงๆแล้ว ต้องบอกว่า แทบจะไม่คิดเลยดีกว่าค่ะ เพราะระวังตลอดเวลา


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เพราะพี่น้ำ เจอเอง

สุขที่แท้จริง says:

พอไปคิดอกุศลกับเขา ชนมันดะ ผลสะท้อนกลับมา เลยทำให้เข็ด ไม่กล้าคิดอกุศลกับคนอื่นๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ เดินตามผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนก็ดี อะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ทีนี้พอหมูรู้จากพี่ว่าต้องทำยังไง มันไม่ใช่ธรรมชาติ มันเลยเหมือนกับคนถูกจัดอยู่ในกรอบ
มันไม่อิสระ แต่มันได้ผลแน่นอน


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เพราะอกุศลบางประเภทให้ผลแรง จนอาจหลุดจากเส้นทาง

สุขที่แท้จริง says:

อยากลองก็ได้นะ ไม่ห้าม สัมผัสรสชาติก็ดีเหมือนกันนะคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ม่ายยยอาวว

สุขที่แท้จริง says:

ก็เห็นพูดหลายครั้งเรื่องกรอบ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ก็ยอมรับว่ามันกลัวน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

เห็นไหม พอให้อิสระก็กลัว พอไม่อิสระก็บ่น กิเลสหนอกิเลส

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ไม่บ่นละค่ะพี่ ไว้เอาหน้าซุกหมอน ร้องอี๊ดๆแทน

สุขที่แท้จริง says:

ลองดูก็ดีนะคะ ที่เจอๆมาน่ะแค่จิ๊บๆเอง ไม่งั้นเล่าให้ใครๆเขาฟังไม่ได้นะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

โหยยย ไม่เอาอะพี ไม่ต้องเล่าหรอกค่ะ คนรอบตัวหมูเขาไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้อะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ ไม่ใช่แค่รอบๆตัวหมูหรอกค่ะ มันเป็นมาตั้งแต่ไม่มีเราแล้ว

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 210


งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

60/30 ค่ะพี่น้ำ
ตอนเดินก็ วันนี้กำหนด ตลอดค่ะ ตอนเดินสุดทางก็หายใจยาวๆ 3 ครั้ง กำหนดรู้หนอ แล้วก็ยืนหนอ
แล้วกลับตัว หายใจยาวๆ 3 ครั้งกำหนดรุ้หนออีก แล้วค่อยก้าวเท้า

ก็ช่วงต้นๆก็ยังไม่ค่อยชัดค่ะ แต่พอทำไปทำๆไปก็เริ่มอยู่กะเท้า ได้ดีขึ้น
แล้วก็จะรู้เวลา ที่มีความคิดฟุ้งซ่านเข้ามา พอฟุ้งก็กำหนดรู้หนอ ตอนนั้นใจก็จะหนัก หรือเมื่อย ค่ะ
กำหนดรู้หนอไป 3 ครั้ง แล้วก็เดินต่อ ก็มีรู้เท้า ตามคำกำหนด กับ รู้ว่าช่วงไหนที่ความคิดเข้ามา
รู้ว่าเป็นความคิดแบบไหน และเกิดอารมแบบไหนตามมา ก็เห็นว่าความคิดที่เข้ามานั้น จะเป็นความคิด
ที่กดดันตัวเอง แบบติเตียนตัวเอง น่ะค่ะ ไม่ได้ติเตียนตรงๆ แต่ไป เหมือนหมายว่าที่ผ่านมา
เดินแบบไหน ไปพะวงกะการเดินที่ผ่านมา หรือสาวะที่ห่านมา แล้วไปไม่ชอบใจอัตโนมัติค่ะ
แล้วก็ เป็นประเภทความคิด ที่ก่อให้เกิดคงามกังวล ต่างๆนาๆ ก็ละมันแต่ต้นโดยมาสนใจที่คำบริกรรม
กับเท้าค่ะ หลังๆ ก็เริ่มจดจ่อที่การเดินง่ายขึ้น และ ใจก็สบายๆผ่อนคลายค่ะ
ก็เริ่มชอบ มีความสุข ขึ้นมา บางๆ ก็รู้แต่ก็ยังสุขน่ะค่ะ เวทนานั้นมี เย็นบางจุดเหมือนน้ำแข็งมาจี้ที่ผิว

พอมานั่งก็มี รู้ว่ากายนั่งกะไป เหมือนง่วงๆในลึกๆน่ะค่ะ เหมือนไปหลับ แต่ไม่ได้หลับเต็มตัว
ก็ยังมีมารู้กายได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ค่ะ แต่ไม่ได้จับกายที่ส่วนใดชัดค่ะ
ก็มีเหมือนมดกัด เหมือนเข็มตำข้างใน หมดแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

เหนื่อยงานหรือคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ก็ไม่นะคะ ต้องลดนั่งลง ต่อไปใช่ไมคะ

สุขที่แท้จริง says:

หมือนง่วงๆในลึกๆน่ะค่ะ เหมือนไปหลับ แต่ไม่ได้หลับเต็มตัว ... เห็นมีตรงนี้
เลยถามดูน่ะค่ะ ไม่ต้องลดหรอกค่ะ เพราะกลับมารู้ที่กายได้ คือรู้ตัว จับได้ทัน คือ ยังมีสติ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่ 35/20 ค่ะ
ก็เริมต้นมันก็มีฟุ้งๆ ก็ยังคงกำหนดบริกรรมเท้า มีปรามาส 2 หนไม่ติดกัน ก็กำหนดคิดหนอรู้หนอ
ก็มีทุกข์ แล้วสักพักก็ละมันไป แล้วเดินต่อ

ก็มีความอยาก เห็นความอยากมันมาลุ้นจิต อยากก้าวต่อก้าวในการเดิน ให้ก้าวต่อไปนี้ดี
จิตก็เหนื่อย ก็เห็นแล้วก็หายไป ไม่ได้เกิดต่อกันนาน

มีความคิด ที่จะวิพากวิจาร ตอนนั้นก็บริกรรมรู้เท้าไปด้วย มันก็วิจารสภาวะที่ผ่านมา
พอเราบริกรรมที่เท้าสักพักมันก็ละไป

ก็หลักๆ ก็จะบริกรรม แล้วก็มาอยู่กะเท้า แล้วก็เห็นว่าหากเผลอไปเมื่อไร
ความคิด ต่างๆเข้าแทรก ก็จะทุกข์ทันที

พอมานั่งก็รู้กายนั่ง มีรู้กายเคลื่อนไหว ที่ท้องแต่ไม่แนบ ช่วงต้นๆ มีไปคิด แต่จำไม่ได้ว่าอะไร
ก็ยังรู้ว่ากำลังนั่งค่ะ แต่ไม่ได้ จับกายชัดเจน หมดแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

ดีแล้วค่ะที่ปรับเวลา อย่าทำเพราะความอยาก แต่ให้ทำตามกำลังของเรา
จิตจะได้ไม่ไปเครียดกับสภาวะมากเกินไป


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ น้ำ ก็จะค่อยๆปรับไปค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

อย่างนี้แหละหมู กิเลสมันยอกย้อนตลอดเวลา เหมือนเล่นไล่จับ เราต้องตั้งสติให้ดีๆ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ จริงๆแล้ว ถ้าสติดีมันจะ ไอ้พวกตัววิจาร หรือพวกความคิดที่มันทำให้ทุกข์พวกนี้
จะไม่ค่อยแทรกใช่ไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

กำ นึกว่าเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมี

สุขที่แท้จริง says:

ไม่ค่ะ มันจะมีแต่เหตุและผล ถ้าสติดีๆน่ะ สติไม่ทันเลยทำให้ทุกข์

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

พอมาบริกรรมแล้วก็เห็นความแตกต่างน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ว่าจะถาม บริกรรมยังไงหรือคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ก็แค่กำหนด ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ บางทีก็ยกหนอ ย่างนอ เหยียบหนอ รู้หนอ ยืนหนอ
ปกติใช้จิตรู้น่ะค่ะ ครั้งนี้บริกรรมตลอด

สุขที่แท้จริง says:

นั่นแหละ ถ้าสติยังไม่ทันนะ กำหนดแบบนี้ บางคนไม่ถนัด พอสติเริ่มทันมากขึ้น
จะรู้สึกเลยว่า เวลากำหนดแบบนี้ มันจะรู้สึกชัดมากๆ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

สำหรับหมู มันจะแยกได้ว่า นี้คือความผิดปกติเข้ามา จากปกติที่ไม่ได้ทุกข์
อยู่กะเท้า แล้วก็เห็นว่าอะไรมันแทรกเข้ามา แล้วเกิดอะไร

สุขที่แท้จริง says:

แล้ว ผิดปกติยังไงหรือคะ พอมากำหนดแบบนี้

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

คำว่าผิดปกติของหมูหมายถึง ปกติเวลาที่เรารู้เท้า คู่กะคำบริกรรมน่ะค่ะ เราก็จะไม่ทุกข์น่ะค่ะ
ใจก็ไม่หนัก และก็สนใจเท้า พอความคิดเข้ามาก็เฉไปและเกิดทุกข์ ตามมา
ความคิดที่แทรกเข้ามา คือความผิดปกติ

แต่พอไม่ได้กำหนดคือเหมือนเดิน ๆธรรมดา ก่อนหน้านี้ที่หน่ะค่ะ
พวกความคิดฟุ้งซ่านต่างๆมันเป็นส่วนหนึ่งกะการเดินของเรา ถึงจะรู้เท้า ก็จะมีลอยไหลไปกะความคิด
แล้วก็ทุกข์เหนื่อยน่ะค่ะ บางทีก็แยกไม่ได้หลงเป็นตัวเราไปเลย

สุขที่แท้จริง says:

ก็ใช่ไงหมู เมื่อจิตมันมารู้อยู่กับเท้าได้ ความคิดเลยไม่ชัด

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ที่พี่น้ำบอกสติยังไม่ทัน จะไม่ถนัด กำหนดแบบนี้ เพราะอะไรหรือคะ

สุขที่แท้จริง says:

หมายถึงว่า บางคน แต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะเอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆไม่ได้
ว่าทำแบบนี้ได้ คนอื่นๆก็ต้องทำได้ มันไม่ใช่แบบนั้น แต่หลักจริงๆแล้ว คือ สติ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ พอเดินระยะแรกแล้วสักพัก มาเดินระยะที่ 2 มันจะ ยิ่งชัดและเหมือนสนุกขึ้น

สุขที่แท้จริง says:

มันเพลิน พอเดินได้แล้วน่ะ แต่ไม่นานมันก็เบื่อ เพราะเริ่มชิน

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ เพลินจริงค่ะ ค่ะพี่ ช่ายย

สุขที่แท้จริง says:

เขาถึงมี 6 ระยะเพราะแบบนี้ เอาไว้เปลี่ยนอริยาบท

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ครูบาเก่งจัง

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ เดินจงกรมน่าเบื่อหน่าย มันไม่เหมือนนั่ง หลับแล้วสบายย
เขาถึงบอกไง พวกเล่นไพ่น่ะกรรมฐานดี ไม่หลับไม่นอนหลายๆคืนยังสู้ไหว


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

หมูเคยเล่น เกือบทั้งวันตอนเรียน เริ่มต้น 2 บาท จบที่ ได้มา 2 บาท

สุขที่แท้จริง says:

พี่เล่นไม่ค่อยเป็น

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ได้แค่ป๊อกน่ะค่ะ ต้องยกนิ้วชึ้นบวกด้วย เพื่อนรู้ไพ่หมูหมด

สุขที่แท้จริง says:

เล่นเหมือนกันแบบนั้น มีแต่เสียเลยเลิก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ หมูก็เสีย เลยไม่ค่อยชอบ

สุขที่แท้จริง says:

เล่นการพนันไม่เป็นหรอกพี่น่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ไปกินมากกว่า

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ พี่เองก็กินมากกว่า ดีกว่าเอาไปเสียแบบนั้น เสียดายตัง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 211

ไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะพี่ 60/30 ค่ะ
ก็บริกรรม เหมือนเดิมค่ะ มันก็ช่วงแรกๆก็จะยังฟุ้งๆ พักหนึ่งก็จะเริ่มอยู่กะเท้ามากขึ้น
แล้วก็ มีเห็นว่าตอนที่เรารู้เท้า ใจก็ยังไหลไปคิด มีเห็นภาพ แวบๆแล้วหายไป

แล้วก็ ปรามาสจะขึ้นมาตลอดการเดินเลยค่ะเป็นเรื่องที่คุยกันเมื่อวาน ก็รีบกำหนดรู้หนอๆ คิดหนอๆ
บางทีก็กำหนดอกุศลหนอขึ้นมาก่อน ก็เหนื่อยเลย สักพักก็ มาสนใจการเดินต่อได้

เพราะลองเดินระยะอื่น มันก็มาสนใจมากขึ้น จนทิ้งพวกนั้นไป
แล้วก็ มีตอนเดิน ก็มีตัวเปรียบเทียบ อายเหมือนกันไม่อยากเล่าเลยตอนนั้น
ก็เปรียบเทียบว่าคนอื่นปฎิบัติแบบนี้ เขาก็ยังดีก้าวหน้า แล้วเราปฎิบัติต่อเนื่อง ก็ยิ่งดีสิ ก็อายนะคะ

แล้วก็ไปสนใจการเดินต่อ แล้วก็ มีเหมือนมดกัด เข้ามาตอนเดิน บ้าง แต่น้อยและหายไปไว
แล้วก็มีร้อนผ่าวบ้างแต่เห็นไม่ชัดแล้วไปไว

แล้วก้อ พอมานั่งนี่ ก็รู้กายค่ะแบบท้องขยับ กายกำลังนั่งอยู่ แบบนี้ค่ะ แล้วก็ผ่านไปนานเหมือนกัน
เมื่อยก็เลยขยับเปลี่ยนท่าไปเอนหลังพิงหมอน คิดว่าแปป๊เดียวก็หมดเวลาสแล้ว เอนหลังหน่อย
แล้วดูไป ปรากฎว่า หลับค่ะ หลับไปเลย ตื่นมามึนเลยค่ะ แล้วเสียงปลุกที่ตั้งไว้ไม่ดัง จบแล้วค่ะพี่
ตื่นมาตาเหลือกเลยค่ะ เวลานี้กี่โมงแล้วหว่า

สุขที่แท้จริง says:

หลับไปนานเท่าไหร่คะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

น่าจะ ครึ่งชั่วโมงนะคะ หลับแบบนี้ทรมานแฮะ

สุขที่แท้จริง says:

อิอิ .. ยังดีแค่ครึ่งชม. เป็นพี่น่ะมากกว่าครึ่งวันอีกถ้าหลับน่ะ
เคยนะที่ห้องทำงานนี่แหละ นั่งจับพองยุบบนโซฟา ทีนี้โอภาสมันเกิด ก็นั่งดูมัน
ตอนนั้นน่าจะ 10 โมงเช้ากว่าๆน่ะ ก็นั่งดูโอภาสไปมา หลับไปตอนไหนไม่รู้
ตื่นมาอีกที เกือบ 5 โมงเย็น ดีไม่มีคนมาขอยา


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
จ๊าก แปปเดียว ปาไปจะกลับบ้านเลย

สุขที่แท้จริง says:

ที่รู้ว่าหลับ คือ ตามันจะแดง ถ้าเข้าสมาธิ ตามันจะใส นี่ความแตกต่างระหว่างหลับกับเข้าสมาธินะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

หัวจะมึนๆอะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ถ้าหลับจะเป็นแบบนั้น ถ้าสมาธิมันจะสดชื่น ไม่เมื่อย ไม่เพลีย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ พี่ อ้อ มีความอยากด้วยค่ะ พึ่งนึกออก
เนียนเข้ามาเป้นความคิดว่าจะต้องปฎิบัติให้ติดต่อยิ่งๆไป

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ดีแล้วที่ดูทัน

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ต้องบริกรรมค่ะพี่ พอไม่บริกรรมแล้ว มันจะมัวค่ะ แล้วก็ง่วง แล้วก็ฟุ้ง แล้วใจจะเหนื่อย
มีอารมโน่นี่แทรกอัตโนมัติ บริกรรมมากๆก็เบื่อ ก็เลยสลับกันบ้างน่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ทำต่ออีกรอบหรือป่ะคะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

แหะๆ มันมึนหัวอะพี่

สุขที่แท้จริง says:

ไปเดินจงกรม 15 นาที แล้ว นั่ง 5 นาทีค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ เด๋วมาค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ อย่าลืมแผ่เมตตา กรวดน้ำด้วยล่ะ

งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ได้ค่ะ
เสร็จแล้วค่ะพี่ 15/10 ค่ะ

ก็ ตอนแรกก็ฟุ้งค่ะ ก็เลยบริกรรมอีก ก็ค่อยอยู่กะเท้ารู้สึกเท้าได้ชัดขึ้น
แล้วก็มีเห้นจิตมันมีความคิด ด้วย ก็มีความยึดถือในความคิด สนใจมัน
ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา ความทุกข์ก็มีหลายแบบ ไม่เหมือนกัน มีทุกข์ไม่มาก หนักๆ มีหนัก ขมขื่น
ก็มันก็จะมารู้เท้าด้วย ความทุกข์ก็เลย เปลี่ยนไป ใจก็สบายขึ้น

ที่ทำให้ทุกข์ก็จะเป็นความคิด ที่มันไปให้ความสนใจกับการปฎิบัติ
แบบดีไม่ดี น่ะค่ะแต่ไม่ได้ขึ้นมาชัดเจนเป็นคำพวกนั้น แต่มันไปเกี่ยวพัน
แล้วไปสนใจ มันก้ทุกข์ แต่ก็ขั้นด้วยการรู้เท้าน่ะค่ะ
แล้วก็ พอนั่งก็มี รู้กายนั่ง ท้องขยับเบาๆ ขณะที่จิตก็คิดด้วย
มีความฟ้ง ที่จิตมันคิด แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีส่วนหนึ่งที่จับกายได้
ก็คือจะรู้กายขยับได้บ้าง กับคิด แต่ไม่รู้คิดอะไร แล้วก็ มีรู้กายนั่ง หมดแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

หายมึนหัวยัง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อ่อ ตอนเดินก็หายแล้วค่ะ คือดีขึ้น แต่พอมาออกจากการปฎิบัติมีนิดๆ

สุขที่แท้จริง says:

ครั้งต่อไป ถ้าเป็นแบบนี้อีก ให้เดินจงกรม แลว้นั่งต่อนึดนึงพอ สมาธิมันค้าง

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

อ่อค่ะพี่ ที่มึนหัวนี่หรือคะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 02:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 212


งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

60/27 ค่ะพี่น้ำ
60 นาที นี้ นับตั้งแต่ตอนทำกิจกรรม อาบน้ำซักผ้าไปด้วย เริ่มกำหนดตั้งแต่ตอนนั้นและต่อเนื่อง
จนอาบน้ำเสร็จ มาเดินต่อจนครบเวลาค่ะ

สำหรับตอนที่กำหนด ช่วงทำกิจกรรมก็จะยากหน่อยค่ะ เห็นว่าจะฟุ้งซ่าน ง่าย
อย่างแปรงฟันอยู่ก็จะไปคิด แล้วมีอารมณ์ฟุ้งๆ ตามการคิด หรือตอนที่ไปหยิบของก็จะแวบคิดๆ
แทรกขึ้นตลอด เป็นเรื่องเป็นราว ก็กำหนดไปให้อยู่กะมือ อยู่กะเท้า
อยู่กะการเคลื่อนไหวแล้วแต่จะทำกิจกรรมอะไรค่ะ

มีปรามาสจะขึ้นมาด้วยก็รู้ไปแต่ยังไม่ได้ขึ้นมาก็ละไป แล้วก็มีตัววิพากษ์วิจารณืค่ะ
ก็รู้และละมันไป คือไปจับที่มือที่ถูสบู่

มีหลงไป แวบๆก็กลับมารู้จับกายต่อ ก้ยังอาศับความตั้งใจ มากกว่าการเดินปกติค่ะ
ถ้าเป็นการเดินปกติจะกลับมาได้ไว แต่อันนี้ต้องตั้งใจมากขึ้น มีความอยากค่ะ อยากมีสติ

ตอนทำกิจกรรม แล้วก็มีความทุกข์ตามมาแต่ไม่นานค่ะ
แล้วพอมาต่อเนื่องเดินก็ รู้เท้า แบบไม่ได้ออกเสียงบริกรรมบ้าง
ก็มีความคิดฟุ้งเข้ามา แบบที่เป็นตัวเรา แล้วมีอารมณ์ตามมา โดยที่เราแยกมันไม่ชัดน่ะค่ะ ก็ยังรู้เท้านะคะ

แล้วก็รู้ว่าฟุ้ง แต่ว่ามันไม่แยก ก็เลยกำหนดบริกรรมเพื่อให้ชัดขึ้น ก็อยู่กะคำบริกรรมแต่ก็ยังมีไหลไปคิด
แต่ไม่ได้คิดเรื่องเดียวนาน ช่วงไหนที่บริกรรมและรู้เท้าสงบได้ดี บางครั้งก็มีเวทนา
เหมือนนำแข็งที่ส้นเท้าค่ะ 2 - 3 ครั้ง ใจก็ยังแกว่งค่ะ ไปสนใจ แบบให้ค่ามันน่ะค่ะ ว่าเอ๊ะมันดีไหม
ก็รู้แล้วก็คิดว่า มันยังไปให้ความสำคัญ จากนั้นก็ละไปค่ะ

ก็มีตัวปรามาส ค่ะ กำหนดรู้หนอๆไปค่ะ หลายหนเหมือนกันเลยขึ้นไม่ชัด
แล้วก็ มีหลงไปคิดเรื่องงานนานหน่อยค่ะ เท้าก็ยังรู้ได้ แต่ไปคิดมากกว่า

แล้วก็พอมานั่งก็รู้กายนั่งกะจิตมันไปเพลินๆๆ เหมือนหลับในแล้วมันเมามัน น่ะค่ะ ไม่จับกาย
แต่ก็ไม่ได้หลงเข้าไปแบบลืมตัว บางทีก็ออกมารู้ว่านั่ง แต่ไม่ได้จับที่กายแบบชัด จบแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

การกำหนดอริยาบทย่อย ใหม่ๆค่อนข้างจะยาก แต่ถ้าทำได้ จะได้ผลดี สภาวะจะจับได้ชัดเจน

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ก็ตอนแรกไม่รู้จะ จับที่ไหน แล้วมันก็ฟุ้งง่ายมาก

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ใหม่ๆจะเป็นแบบนั้น เพราะมันจะดูเหมือนกับว่า มันรวมๆกันไปหมด

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
เสร็จแล้วค่ะพี่ 40/15 ค่ะ
ก็รู้เท้า รอบนี้ก็เห็นจิตที่มันมีมิจฉาทิฐิน่ะค่ะ ที่มันชอบคิดเรื่องร้ายๆ คิดในแง่ลบ กะคนอื่น
มันไปจะไปคิดแง่ลบและอกุศลกะครูบา โน่น นี่ ก็เบรกไว้ โดยการกำหนดน่ะค่ะ รู้หนอๆ 3 ครั้ง
ก็ขึ้นมาหลายครั้งเหมือนกัน เด๋สขึ้น เด๋วขึ้น เบรอิกแล้ว จะขึ้นรอบใหม่อีก ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แล้วก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นต่อ

ก็มีความยึดค่ะ ยึดต่อการปฎิบัติ มาในรูบแปบของความ จะไปคิดถึงสภาวะ ที่ผ่านมาเมื่อก้าวที่ผ่านมา
แล้วไปกังวลว่ามันไม่ดี ก็เห็นใจทุกข์ แล้วมันจะไปขยายเป็นความคิด ไปดูว่าดีหรือไม่ดี
แต่ไม่ปล่อยให้ขยายค่ะ ดูมันไป ไม่ปล่อยมันย้อนไปคิด ก็ความทุกข์นั้น ก็คลายหายไป

ก็มีความอยาก ค่ะ มาเป็นความคิดเหมือนกัน ไม่ได้คิดแบบเป็นเรื่องราวแต่แทรกขึ้นมา
คล้ายๆกะ แบบข้างบนน่ะค่ะ คือมันจะไปดูว่าปฎิบัติดีหรือไม่ดี แต่อันนี้มันเหมือนมันจะดี
ในก้าวที่กำลังเดินหรือก้าวข้างหน้าที่จะถึง แต่เห็นไม่นานอะค่ะ มาแป๊ปๆ ระยะหนึ่ง

แล้วก้อ มีหลงไปคิดอดีต สักพักใหญ่ แต่ก็ยังรู้เท้าค่ะ
มี เหมือนน้ำแข็งค่ะ เวลาเหยียบลงพื้น ตอนหนอ มันก็ เย็นๆ ตรง ปลายเท้ากะส้นเท้าค่ะ แล้วก็หายไปค่ะ

พอมานั่ง ก็มีเวทนาเจ็บที่กายเป็นจังหวะ มีรู้กายว่าขยับ บ้าง มีไปคิดไร้สาระบ้าง
ก็ยังพอรู้กายได้ค่ะ ว่ากำลังนั่งอยู่ จบแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:
เรื่องปกตินะหมู พอทำแบบไหนถนัด แล้วชัด ก็เริ่มจะไปยึดมัน
แต่จริงๆแล้ว สภาวะมันเปลี่ยนตลอด เวลาสติดี สมาธิ สภาวะก็จะชัด


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะ ก็ รู้สึกเหมือนกันค่ะ ว่า มันก็เปลี่ยนไป

สุขที่แท้จริง says:
เปลี่ยนตลอดแหละค่ะ เพียงแต่ว่า เรารู้ทันมันไหม ถ้ารู้ทัน มันก็จะไม่ไปยึดรูปแบบใด รูปแบบหนึ่ง
แต่เราจะนำมาปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะ


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะเข้าใจ มากขึ้นแล้วค่ะ ก็วันนี้ตอนเดินก้คิดค่ะ ว่าไม่รู้จะไปยึดว่าดี ยังไง เพราะมันเปลี่ยน
ก่อนหน้านี้2 วัน รู้โน่นรุ้นี้ ตอนนี้ไม่รู้อีกละ ก็เลย อือ แต่แบบนี้ก็สบายดีนะคะ

สุขที่แท้จริง says:
หมูจะเรียนเดิมๆซ้ำๆ แต่เปลี่ยนรูปแบบที่มาทดสอบไปเรื่อยๆ จนกว่า หมูจะจับได้ชัดเอง
สบายดี เพราะไม่ต้องไปยึดติดกับมัน


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะ ใช่ค่ะ แต่ก็ยังมีแวบไม่พอใจนะคะ ก็ดูไป น่ะค่ะ

สุขที่แท้จริง says:
ค่ะ อีกหน่อยพอทุกข์ก็รู้ว่าเออมันทุกข์ ไม่นานมันก็หาย มันก้วางได้ไวขึ้น พอสุขก็รู้ว่าสุข
รู้ว่าเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป ก็เลยไม่ไปติดทั้งสุขและทุกข์ แต่จะดูว่า มันจะอยู่นานกี่วัน
จากคอยดู ต่อมาจะกลายเป็นแค่ดู แต่ไม่ไปคอยจดจ่อดูมันอีก


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
อืมๆ ค่ะ บางสภาวะ หมูก็ลืมนะคะ

สุขที่แท้จริง says:
เจอบ่อยๆ ถึงจะจำได้ค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
พอไปทำอีกที แล้วเจอถึงนึกได้ว่าเมื่อกี้ก็เป็นค่ะ พออกมาแล้วก็ลืมอีก

สุขที่แท้จริง says:
ดีแล้วค่ะ จะได้ทดสอบสภาวะได้ตลอด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 213


งไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

เสร็จแล้วค่ะ 60/25
60 นี่รวมตอนที่อาบน้ำ เหมือนเดิมค่ะ แล้วออกมาเดินต่อ
ก็ตอนที่ทำกิจวัตรปกติก็กำหนดยากเหมือนเดิมค่ะ ส่วนใหญ่จะฟุ้งๆ คิดโน่นี่ นี่ ก็มีความอยาก
แบบมันเป็นตัวไม่พอใจ เพราะมันอยากจะรู้ตัวดีๆ ก็ดูมัน น่ะค่ะ ดูแบบไม่ได้เข้าไป ร่วมกะมันมาก

แล้วก็ดีใจตามมาค่ะ ว่าเห็นแล้ว เห็นได้ด้วยในชีวิตปกติ แล้วก็ ไม่พอใจซ้อนมาค่ะที่ไปดีใจ ก็ดูต่อไปอีก
ก็จับที่มือ เคลื่อนไวบ้าง สลับไปค่ะ มันจะไม่นิ่งที่ใดที่หนึ่งง ก็มีตัวฟุ้งคิดๆ ตลอดค่ะ
ก็พยายามเอาจิตมารู้การเคลื่อนไหวไม่สนใจความคิด ก็มีได้บ้าง ค่ะ ความคิดก็จะไม่ได้ต่อเนื่อง
เป็นเรื่องเดียวยาวแต่ก็จะมา เป็นเรื่องโนเรื่องนี่แทรกตลอดค่ะ

ก็มีคิดอกุศล ค่ะ จะปรามาส ก็ข่มมันได้ค่ะ ยังไม่ได้ขึ้นมาชัดเจน
พอมาเดินต่อก็ไม่ได้บริกรรมออกเสียง แต่คิดในใจ

วันนี้มันก็จะไม่สงบน่ะค่ะ แต่ก็รู้เท้าได้ค่ะ มีหลงไปคิดเยอะเรื่องานหน่อย มีกังวล แล้วก้อมีความกลัวค่ะ
จิตมันสร้างภาพหลอนๆ ค่ะ พอดีคิดเพลินแล้วไปสร้างเหตุการณ์หลอนๆ ก็กลัวค่ะ
ก็ไม่อยากเล่า ให้พี่น้ำงค่ะ จะไม่เล่าด้วยคะตอนแรก ก็ไม่อยากเล่าค่ะ คิดว่าครั้งจะไม่เล่าแล้ว

แล้วก็ มีคิดสมน้ำหน้าคน ค่ะ เห็นความเดือดร้อนหรือความไม่ดีของเขาแล้ว สะใจ ขึ้นว่าสมน้ำหน้าค่ะ
ความเร็วของอารม แค่ 1 เคาะโต๊ะค่ะ มันขึ้นมาเลยค่ะ ก็กำหนดรู้หนอไปแต่ก็เสียใจค่ะ
แล้วก็ต่อด้วยไป ปรุงว่าตัวเองเหนือ กว่าหรือดีนะค่ะ ก็รู้หนออีก ก็เศร้าอีกน่ะค่ะ
แล้วก็มีปรามาสเป็นคำสบถหยาบๆค่ะ ก็กำหนดรู้หนอไปอีกก็เศร้าอีกค่ะ สักพักก็ทิ้งไปน่ะค่ะ

แล้วก็ พอมานั่ง ก็รู้ว่ากายนั่งค่ะ มีไปคิด โน่นนี่ แต่ยังไม่ได้หลงไปค่ะ ยังรู้กายอยู่บ้างค่ะ
จนจบค่ะพี่ อ้อมีความ อยาก มีความไม่พอใจค่ะ

ตอนเดิน มีความรู้สึกขึ้นมาว่าเมื่อไรจะเห็นแบบชัดๆ เปลี่ยนสภาวะแบบแยกๆเสียทีค่ะ
ก็รู้ไปค่ะ แล้วก็ เดินต่อ หมดแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:
ความอยากนี่นาหมู ดูทันไหม ยิ่งอยาก ยิ่งยาก

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
ค่ะพี่ดูทันค่ะ แต่ก็ทุกข์ตอนที่มันขึ้นมาค่ะ แล้วพอดูมัน มันก็เปลี่ยนไปค่ะ

สุขที่แท้จริง says:

ทุรนทุราย อยากรู้ อยากเห็น
มิน่า ครูบาฯรุ่นก่อนๆ ถึงไม่พูดเรื่องสภาวะให้ฟังเพราะอะไร แต่จะให้เป็นปริศนาไปศึกษาแทน


ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ ก็มันขึ้นมาแล้วก็ นึกขึ้นมาได้ว่าของแบบนี้ทำกันตลอดชีวิตค่ะ
ความไม่พอใจก็เลยเปลี่ยนไป ค่อยๆเปลี่ยนไป เป็นอย่างอื่น เด๋วหมู ไปทำอีกรอบแล้วมาส่งนะคะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ถูกเลยค่ะทำตลอดชีวิต จนกว่าจะถึงจุดสุดท้าย

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:
เสร็จแล้วค่ะพี่ 60/25 ค่ะ
ก็ตอนต้นก็ตากผ้าไปด้วยค่ะ ตอนตากผ้าก็สังเกตว่าจริงๆแล้วสภาวะก็ ซ้ำๆเหมือนตอนเดินค่ะ
หมายถึง มีพวกความ อยาก มีตัววิจาร มีปรามาส คือต้องขอขมาพี่น้ำนะคะ ไปรามาสพี่น้ำพลุ่งขึ้นมา
ตอนหยิบผ้าตาก สติไม่ทัน ขึ้นมาปุ๊ก กำหนดอกุศลหนอแล้ว มันไม่หยุดค่ะ แล้วก็กำหนดซ้ำไป
แล้วก็เสียใจน่ะค่ะ จากนั้นก็มาดูกายต่อ แล้วก็ก็จิตมันก็วนไปเสียใจเรืองที่เผลอปรามาสไป
มันก็จะปรามาสอีก คือมันไปดึงอารมตอนนั้นจะซ้ำก็เลยกำหนดไปอีกค่ะ ยังไม่ได้ซ้ำค่ะ
แล้วก็ มารู้เท้าเดินต่อหลังตากผ้าเสร็จ

ก็มีความอยากค่ะ เห็นความอยากค่ะ เห็นความทุกข์ จากการอยากค่ะ
มันเบาๆ หน่อยค่ะ แล้วหายไปเป็นสบาย แล้วก็เห็นว่า พอใจความสบายค่ะ ไปชอบ และไปยึดมันค่ะ
แล้วก็เด๋วๆก็มีความอยากอีกค่ะ ว่าอยากเห็นว่ามันเดินดีรู้ตัว ก็ดูไปค่ะแล้วมันก็
มาเป็นเรื่องคิดโน่นนี่เรื่องงานต่อค่ะก็คิดเรื่องงานที่ติดปัญหาอยู่ค่ะ นาน แต่ก็รู้เท้าไปด้วย

พอหมดเวลามานั่งต่อ ก้อรู้ท้องขยับบ้า อกขยับบ้างค่ะ ใจก็คืดไปเรื่องงานอีกค่ะ
แต่รู้กายเป็นแบกกราวน์ค่ะ อกขยับเบาๆรู้ไปเรื่อยๆค่ะ ใจก็ยังคิดค่ะ

แล้วถึงมารู้ว่าไปคิด ว่าคนอื่นค่ะ เพื่อนร่วมงานที่ไม่ให้ความร่วมมือเรา ไปคิดว่าจะทำยังไงดีถึงจะ
ทำให้แก้ไขเรื่องนี้ได้ค่ะ ก็มารู้แล้วก็เลิกมันค่ะ ก็มารู้กายที่อกขยับเบาๆบ้าง ที่กายภาพรวมบ้างค่ะ
จบแล้วค่ะ ตอนนั่งพิมพ์ก้อมีเหมือนมดกัดกะเท้าร้อนผ่าวๆค่ะ หมดแล้วค่ะพี่

สุขที่แท้จริง says:

การกำหนดอริยาบทย่อยน่ะ ต้องใช้เวลาค่ะ ใหม่ๆก็แบบนี้แหละ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่เสียใจ นะคะ

สุขที่แท้จริง says:

ไม่เป็นไรค่ะ ดีแล้วที่ได้ทำ จะได้เห็นความแตกต่าง ทำบ่อยๆสติจะดีขึ้น

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะ หมือนตอนฝึกเดินใหม่ๆค่ะ ปรามาสแหลกลาญ

สุขที่แท้จริง says:

ใช่ค่ะ จนกว่าสติจะเกิดทันน่ะค่ะ

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ค่ะพี่ ช่วงนี้พี่น้ำเก็บอารมณ์อยู่ใช่ไหมคะ

สุขที่แท้จริง says:

ไปเรื่อยๆค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 20 มี.ค. 2010, 20:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร