วันเวลาปัจจุบัน 19 ส.ค. 2025, 00:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 426 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 29  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 30 มี.ค. 2013, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ก็อยากเล่าเรื่องความฝันดีของstudent ตอนเย็น ได้นั่งฟังหลวงตามหาบัวในรายการเก่า2551 ก็รู้สึกดีใจที่ได้ฟังธรรมหลวงตา

พอนอนหลับก็ฝันเห็นหลวงตาบัว เหมือนไปปรากฏอยู่ที่วัดของท่าน (student ไม่มีบุญ เพราะไม่เคยไปวัดของท่านเลย และไม่เคยเห็นตัวจริงของท่าน)

หลวงตาท่านก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี แล้วพาดูสถานที่รอบวัด พาดูของเก่าแก่โบราณ แล้วก็ชี้ไปที่ควายตัวหนึ่ง บอกว่าควายตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่อายุมากแล้วนะ อายุได้ 2000 กว่าปี เรามองดูควายที่ท่าทางแข็งแรง เดินเหิน วิ่งได้ แล้วมีความสุข วิ่งเข้ามาหาเรา ก็พอดีตื่นขึ้นมาก่อน


หรือว่าชาติก่อนเราเคยเกิดในสมัยพุทธกาล ทั้งๆที่เป็นโอกาสที่จะได้พบแสงสว่างแต่เราไม่เคยสนใจใผ่ธรรม ถึงต้องกลับมาเกิดอีกต่อไปเรื่อยๆ

หรือว่าหลวงตาท่านเตือนสติให้ตั้งใจมากกว่านี้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 02 เม.ย. 2013, 01:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อคืนเกิดความฝันอีก ได้พบกับหลวงตามหาบัวอีกครั้ง จริงๆ student อยากบันทึกสิ่งที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นจึงได้เข้ามาเขียนเอาไว้ ไม่ได้สำคัญเป็นอื่น เพราะส่วนตัวยังด้อยปัญญา

หลวงตาในความฝันเนรมิตภาพขึ้นที่ก้อนเมฆให้ดู แต่จำไม่ได้ว่าเป็นภาพอะไร ในความฝัน ได้เข้าไปกราบเท้าของหลวงตา และหลวงตาได้พูดเกี่ยวกับว่า วันนี้พอแค่นี้ก่อน เกี่ยวกับญาณสมาธิ

ก็รู้สึกว่าดีใจที่ได้ฝันถึงครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์ของเมืองไทยครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 02 เม.ย. 2013, 23:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

แหม่ม....ขนาดความฝันยังเป็นคนละระดับกับผมเลย....ผมฝันแค่อยู่ในปัญญาระดับของศีลเอง..อิอิ :b13: :b13:

แต่ สองสามวันมานี้...เริ่มจะมีอริยะสัจมาแพล่ม ๆ บ้าง... :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 02 เม.ย. 2013, 23:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:

หลวงตาท่านก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี แล้วพาดูสถานที่รอบวัด พาดูของเก่าแก่โบราณ แล้วก็ชี้ไปที่ควายตัวหนึ่ง บอกว่าควายตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่อายุมากแล้วนะ อายุได้ 2000 กว่าปี เรามองดูควายที่ท่าทางแข็งแรง เดินเหิน วิ่งได้ แล้วมีความสุข วิ่งเข้ามาหาเรา ก็พอดีตื่นขึ้นมาก่อน


หรือว่าชาติก่อนเราเคยเกิดในสมัยพุทธกาล ทั้งๆที่เป็นโอกาสที่จะได้พบแสงสว่างแต่เราไม่เคยสนใจใผ่ธรรม ถึงต้องกลับมาเกิดอีกต่อไปเรื่อยๆ

หรือว่าหลวงตาท่านเตือนสติให้ตั้งใจมากกว่านี้


ไม่ต้องน้อยใจ...ผมว่า..เรา ๆ ที่อยู่ในนี้....เคยเกิดในสมัยพุทธกาลทั้งนั้น...หลวงตาก็ช่างมีมุกมาสอนนะ..อิอิ...เป็นควาย 2000 ปี ที่แข็งแรงดูมีความสุขด้วย s002 s002


โพสต์ เมื่อ: 04 เม.ย. 2013, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

แหม่ม....ขนาดความฝันยังเป็นคนละระดับกับผมเลย....ผมฝันแค่อยู่ในปัญญาระดับของศีลเอง..อิอิ :b13: :b13:

แต่ สองสามวันมานี้...เริ่มจะมีอริยะสัจมาแพล่ม ๆ บ้าง... :b12: :b12:


เล่าให้ฟังได้ไหมครับ :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 08 เม.ย. 2013, 00:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อคืน ได้กำหนดรู้กาย เป็นการกำหนดรู้อยู่ที่อุณหภูมิของร่างกาย ก็รู้สึกแปลกๆ แปลกที่ว่าปกติเราจะใช้สัญญาขันธ์เข้าไปเห็น กระดูกบ้าง แขนบ้าง ขาบ้าง แต่ครั้งนี้เป็นความรู้สึกจริงเป็นจิตเข้าไปรู้กาย ไม่ใช่สัญญาขันธ์เข้าไปเป็นตัวกลางให้จิต ดังนั้นจึงเป็นผัสสะที่เกิดจากกายวิญญาณ ไม่ใช่ผัสสะที่เกิดจากมโนวิญญาณ จริงๆเป็นผัสสะที่เกิดจากอะไรก็ได้ แต่ให้เราเข้าไปเห็นความจริงของธรรม หากเกิดจากตาก็ให้เห็นว่าแสงไม่เที่ยง ไม่ใช่ไปปรุงแต่งว่าเป็นภาพ ถ้าเป็นเสียงให้เข้าไปเห็นว่ามีการเกิดดับของเสียงไม่ใช่ไปฟังว่าเป็นเสียงอะไร ต่อวันหลังครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 08 เม.ย. 2013, 11:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

แหม่ม....ขนาดความฝันยังเป็นคนละระดับกับผมเลย....ผมฝันแค่อยู่ในปัญญาระดับของศีลเอง..อิอิ :b13: :b13:

แต่ สองสามวันมานี้...เริ่มจะมีอริยะสัจมาแพล่ม ๆ บ้าง... :b12: :b12:


เล่าให้ฟังได้ไหมครับ :b8:


แต่ก่อน..ฟันเห็นศพ...เราก็คิดแค่เขาเป็นอะไรตาย...เอ๋..จริง ๆ เขาไม่ได้ตายแบบนี่นี่นา(คนรู้จักที่ตายไปแล้วจริง ๆ)....รึเห็นคนตายไปแล้ว..ลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า...เราก็คิดแค่...ตายไปแล้วนี้นา

เห็น...แต่ไม่ได้พิจารณาให้เป็นธรรม...

คืนหนึ่ง...ฝันว่ามีคนชี้ให้ดูศาลาการเปรียญ...เราก็ดู...เสียงที่ข้างหูก็สำทับว่า...พิจารณายัง?...เราก็ว่า...โอ้ยลืม...เดียวพิจารณาละ...พอพิจารณา...จากศาลาธรรมดา ๆ ทั่วไป...กลับวิจิตรขึ้นมาทันที...ตอนนั้นมันเข้าใจธรรมะนะ...แต่พูดออกมาไม่ได้

ล่าสุด....ฝันเห็น..เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ...ที่จบจากที่เดียวกัน...พวกเราสนิทกันมากเพราะเป็นคณะที่คนเรียนไม่มาก...ในงานเลี้ยงเฮฮา...ใจก็นึกขึ้นมาว่า..ไม่ช้าเรา ๆ ก็ต้องจากกันแล้วหนอ...ทุกคนในที่นี้ต้องตายทุกคน...ความสุขแบบพี่ ๆ น้อง ๆ..จะไม่มีอีกแล้ว...คิดแค่นี้..ใจมันหนักอึ้งขึ้นมาทันที...พักหนึ่ง...ใจคิดขึ้นมาว่า...จากกันที่ไหน?...เราไม่ตาย...ที่ตายไม่ใช่เรา...มันก็แค่ร่างกาย...ที่สุด..เข้านิพพาน..เราจะได้เจอกันแบบไม่มีจาก...แค่นี้..ใจก็ชื้นขึ้นมา...โปร่งสบาย...

อิอิ..


โพสต์ เมื่อ: 10 เม.ย. 2013, 01:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
student เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

แหม่ม....ขนาดความฝันยังเป็นคนละระดับกับผมเลย....ผมฝันแค่อยู่ในปัญญาระดับของศีลเอง..อิอิ :b13: :b13:

แต่ สองสามวันมานี้...เริ่มจะมีอริยะสัจมาแพล่ม ๆ บ้าง... :b12: :b12:


เล่าให้ฟังได้ไหมครับ :b8:


แต่ก่อน..ฟันเห็นศพ...เราก็คิดแค่เขาเป็นอะไรตาย...เอ๋..จริง ๆ เขาไม่ได้ตายแบบนี่นี่นา(คนรู้จักที่ตายไปแล้วจริง ๆ)....รึเห็นคนตายไปแล้ว..ลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า...เราก็คิดแค่...ตายไปแล้วนี้นา

เห็น...แต่ไม่ได้พิจารณาให้เป็นธรรม...

คืนหนึ่ง...ฝันว่ามีคนชี้ให้ดูศาลาการเปรียญ...เราก็ดู...เสียงที่ข้างหูก็สำทับว่า...พิจารณายัง?...เราก็ว่า...โอ้ยลืม...เดียวพิจารณาละ...พอพิจารณา...จากศาลาธรรมดา ๆ ทั่วไป...กลับวิจิตรขึ้นมาทันที...ตอนนั้นมันเข้าใจธรรมะนะ...แต่พูดออกมาไม่ได้

ล่าสุด....ฝันเห็น..เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ...ที่จบจากที่เดียวกัน...พวกเราสนิทกันมากเพราะเป็นคณะที่คนเรียนไม่มาก...ในงานเลี้ยงเฮฮา...ใจก็นึกขึ้นมาว่า..ไม่ช้าเรา ๆ ก็ต้องจากกันแล้วหนอ...ทุกคนในที่นี้ต้องตายทุกคน...ความสุขแบบพี่ ๆ น้อง ๆ..จะไม่มีอีกแล้ว...คิดแค่นี้..ใจมันหนักอึ้งขึ้นมาทันที...พักหนึ่ง...ใจคิดขึ้นมาว่า...จากกันที่ไหน?...เราไม่ตาย...ที่ตายไม่ใช่เรา...มันก็แค่ร่างกาย...ที่สุด..เข้านิพพาน..เราจะได้เจอกันแบบไม่มีจาก...แค่นี้..ใจก็ชื้นขึ้นมา...โปร่งสบาย...

อิอิ..


ความเสื่อมนั้นเป็นทุกข์ ความเสื่อมลงของสังขารเป็นทุกข์ ผู้ที่มีอารมณ์ของความเบื่อในรูปอันเนื่องมาจากความเห็นในความเสื่อมลงของสังขาร ย่อมเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาภาวนา(ไม่ใช่อารมณ์ของการเสื่อมลงของลาภ เช่น เสียแฟน เสียเงิน เสียงาน แบบนี้เรียกว่าเป็นอารมณ์ของผู้ที่ยังมีกิเลสตัญหา)

วิสัยของท่านกบ อาจเป็นวิสัยที่กำหนดรู้ความเสื่อมของสังขารอยู่เนืองๆ จึงเกี่ยวพันเข้าไปในความฝันก็เป็นได้ครับ ผมอยากทำได้อย่างนี้ คือทุกวันก็พิจารณาความเสื่อมลงของสังขารแต่ส่วนตัวยอมรับว่า น้อยในการกำหนดรู้เป็นภาพว่าตนเองแก่ คนอื่นแก่ ซึ่งผมมีความรู้สึกว่า หน้าที่ผมต่อการกำหนดรู้เรื่อง ปสาทรูป5ยังไม่กระจ่าง แล้วตอนนี้ก็กำลังสนใจในเรื่องของ มหาภูติรูป4 อย่างมาก มุมมองของผมในเรื่องรูปจึงกลายเป็นความเห็นของ มหาภูติรูป4 เหมือนตัวเองปฏิเสธการมองรูปว่าเป็นร่างกาย จึงกลายเป็นข้อด้อยลงครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 10 เม.ย. 2013, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเช้า ประมาณ 5.35 น. ได้ตื่นขึ้นมานั่งสมาธิ วันนี้ตั้งใจว่าจะกำหนดรู้ ธาตุทั้ง4ที่เป็นส่วนประกอบของขันธ์5 หรือ มหาภูติรูป4 ได้แก่ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็เริ่มต้นด้วยการเอาใจจดจ่ออยู่ที่มือทับมือ เป็นการรวบรวมสมาธิ ส่วนตัวนั้น กำหนดรู้มือทับมือตั้งแต่เริ่มนั่งสมาธิใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เรามีใจจดจ่ออยู่ที่มือทับมือตลอดเวลาโดยไม่หลงไปที่อื่น เรื่องมือทับมือเพื่อนๆก็ทราบกันดีอยู่ว่า ธาตุที่กำหนดรู้ได้ง่ายก็เป็นธาตุดิน และธาตุไฟ ส่วนธาตุน้ำและธาตุลมนั้น หากมีความประสงค์ที่จะกำหนดรู้ก็ต้องกำหนดลมหายใจเข้าออก หรือ กำหนดรู้ที่โพลงปาก(น้ำลาย ที่เห็นชัดๆ)

การกำหนดรู้มือทับมือจึงเป็นการกำหนดรู้ธาตุดิน หรือ ธาตุไฟ อย่างใดอย่างหนึ่ง การกำหนดรู้นั้น ส่วนตัวจะกำหนดรู้สภาวะแข็ง อ่อน (ไม่ใช่เข้าไปเห็นเป็นรูปมือ) นั่นคือกำหนดรู้ธาตุดินนั่นเอง แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสภาวะแข็งอ่อน รู้ได้เพราะทุกข์ เพราะขันธ์5เป็นทุกข์จึงกำหนดรู้ได้ การมีใจจดจ่อจึงเห็นทุกข์ หรือสภาวะแข็งอ่อนนั่นเอง

ส่วนตัวกำหนดรู้ไปเรื่อยๆจนเกิดสมาธิขึ้น เกิดความตั้งมั่นของจิต (ยังกำหนดรู้ความแข็งอ่อนอยู่ หรือ ธาตุดิน) การที่ส่วนตัวจำแนกธรรมว่านี่ ธาตุดิน นี่ธาตุไฟ ก็เพราะความง่ายต่อการอธิบายธรรม สำหรับเพื่อนที่นั่งสมาธิ ก็จะอ่านรู้ตามได้ง่าย เห็นภาพตามชัดเจน

สำหรับเวทนาขันธ์นั้น หากไม่เกิดผัสสะขึ้น ก็ย่อมไม่เกิดเวทนา หากกำหนดรู้เวทนาขันธ์ จิตก็ไม่ได้กำหนดรู้ธาตุดิน หรือความแข็งอ่อน อันนี้ส่วนตัวสังเกตุเอง หากผิดอย่างไร ก็ขออภัยมา ณ.ที่นี้นะครับ

พอเกิดสมาธิขึ้น ความตั้งมั่นก็เกิด ปรากฏเห็นว่า ธาตุดิน ค่อยๆ ขยายออกด้านข้าง ส่วนตัวตามรู้ความขยายไป จู่ๆ ก็เกิดเป็นความคิดว่า เอ เมื่อธาตุดินขยายออกไปแบบนี้ จิตเราโดนหลอกหรือปล่าว เกิดเป็นคำถามว่า ในเมื่อธาตุดิน จิตได้เห็นเป็นการขยายตัวออกไปด้านข้าง แล้วหากเราเปลี่ยนการกำหนดรู้เป็นการกำหนดรู้ธาตุไฟ จะเกิดอะไรขึ้น

ส่วนตัวจึงเปลี่ยนการกำหนดรู้เป็น กำหนดรู้ธาตุไฟ เพื่อนๆ คงทราบอยู่ว่า ธาตุไฟคือ ความร้อนความเย็นของขันธ์ ธาตุไฟจัดเป็นรูป ไม่ใช่นาม การกำหนดรู้ธาตุไฟจึงเป็นการกำหนดรู้รูป รู้ได้อย่างไรว่าเป็นธาตุไฟ ก็เพราะว่าขันธ์เป็นทุกข์ จึงกำหนดรู้ธาตุไฟได้ (สมมุติว่ามีเหล็กร้อนแดงอยู่ห่างออกไป ทำไมเราไม่รู้สึกร้อน หรือรู้สภาวะร้อนของเหล็กได้ ในเมื่อเป็นธาตุไฟเหมือนกัน ก็เพราะทุกข์ของขันธ์เป็นทุกข์ที่มีเหตุปัจจัยครับ เป็นทุกข์ที่มีการประชุมกันของธาตุทั้ง4เพราะมีเหตุคือ อาหาร หล่อเลี้ยงให้ธาตุทั้ง4ประชุมกัน เป็นสังขารที่มีใจครอง รวมเป็นขันธ์5

ส่วนตัวรู้ถึงสมาธิที่แนบแน่นจากการกำหนดรู้ธาตุดิน(มือทับมือ) เกิดการขยายออกเพราะสภาวะจิต ก็เลยเกิดคำถามว่าจะเปลี่ยนจากกำหนดรู้ธาตุดินเป็นธาตุไฟ จิตก็เลยกำหนดรู้สภาวะร้อนเย็น(มือทับมือ)โดยยังประคองสมาธิอยู่เหมือนเดิม จริงๆสมาธิก็ไม่ได้ถูกถอนออกมาก่อน ส่วนตัวรู้ถึงความต่อเนื่องครับ ว่าสมาธิได้ต่อเนื่องไม่ได้ขาดตอน หากเปลี่ยนการกำหนดรู้มหาภูติรูป4 โดยจิตจดจ่ออยู่ที่ใดที่หนึ่ง (ในที่นี้จิตจดจ่ออยู่ที่มือทับมือ)

สิ่งที่นำความประหลาดใจคือ จิตเห็นรูปเป็นปกติ เห็นเป็นมือทับมือ(ธาตุไฟนะครับ)จิตไม่เห็นเป็นการขยายตัว ได้ประสบการณ์ของการกำหนดรู้สภาวะธรรมเพิ่มขึ้น จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง

แต่ทั้งนี้ ขั้นตอนของการปฏิบัติเป็นการปฏิบัติส่วนตัว student จึงอยากให้เพื่อนๆพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน ไม่ให้ยึดเป็นวิธีปฏิบัติ หรือนำไปปฏิบัติเป็นแนวทาง เพราะปัญญาวิมุติ หรือ เจโตวิมุติ ไม่เหมือนกันครับผม

การศึกษาก็มีต่อไป ต่อโอกาสหน้าครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 28 เม.ย. 2013, 01:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตามดู ตามรู้ ในสภาวะหนึ่ง วิญญาณขันธ์แล่นไปตามอำนาจกิเลส แม้ฟังเสียง อำนาจกิเลสก็จะแปลผลออกมา ฟังแล้วถูกใจไม่ถูกใจ เพราะอำนาจกิเลสทำให้เกิดจิตปรุงแต่ง เกิดความยึดมั่น สภาวะนี้ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ ประโยชน์ที่ว่าคือ ไม่เข้าไปรู้การเกิดดับของธรรม

ส่วนตัวนั้นพิจารณาธรรมด้วยผัสสะที่รู้ง่ายที่สุดก่อน คำว่ารู้ง่ายที่สุดคือ ธรรมอะไรเกิดขึ้นมา กำหนดรู้ธรรมนั้น แต่มีจังหวะและเวลา

เช่นเมื่อเดินไปย่านชุมชน ผัสสะที่เกิดจากตา และ หู ย่อมเป็นผัสสะที่รู้ง่ายกว่า คือ ธรรมที่เกิดขึ้นนั้นตามรู้ให้ทัน ในรัศมีการได้ยิน ไม่เข้าไปคิดว่าต้นเสียงมาจากไหน แต่เข้าไปรู้ว่าเมื่อใดที่คลื่นเสียงกระทบ เรารู้ทันการเกิดดับไหม อาศัยสติและจิตตั้งอยู่ที่นั่น ตั้งอยู่ไปก่อนเรื่อยๆ รู้เท่าทันไปเรื่อยๆจากคลื่นเสียงหนึ่งเกิดดับก็ต่ออีกคลื่นเสียงหนึ่งเกิดดับไปเรื่อยๆ คือ อารมณ์ต้องเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณ
1นามรูปปริจเฉทญาณ หมายถึง ญาณกำหนดแยกนามรูป
2นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ หมายถึง ญาณจับปัจจัยแห่งนามรูป
3สัมมสนญาณ หมายถึง ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์
4อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ หมายถึง ญาณตามเห็นความเกิดและความดับแห่งนามรูป ตั้งแต่ข้อแรกมาว่าเรารู้ไปถึงไหน

จากที่สังเกตุตัวเอง หากเป็นอารมณ์วิปัสสนา ความผ่อนคลายจะเกิดขึ้น เกิดความสงบ เกิดอารมณ์หนึ่งที่ส่วนตัวยังตอบไม่ได้ว่าเป็นอะไร มีความสุขสงบตรงกลางอก แม้ลมหายใจเข้าออก ก็ตามกำหนดรู้ทัน ในที่ชุมชน ส่วนตัวจะไม่เอาลมหายใจเข้าออกเป็นศูนย์กลางในการกำหนดรู้ เพราะความวุ่นวายของรอบข้าง แต่จะกำหนดรู้ธรรมที่เด่นที่สุดก่อนแล้วน้อมเข้ามาที่ลมหายใจเข้าออก

แต่ทั้งนี้ ส่วนตัวก็ยังไม่ไว้ใจอารมณ์นี้ ว่าเป็นกิเลส ที่อาจทำให้เราหลงและหลุดออกไปไม่ได้ ก็คงต้องหาอุบายในการกำหนดรู้ต่อไปครับ เพราะสังเกตุตัวเองติดใจในอารมณ์นี้ ปราถนาอารมณ์นี้

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 05 พ.ค. 2013, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การตื่นนอนใหม่ๆ ก็เป็นสิ่งที่วัดใจตัวเองได้ดีอีกช่วงหนึ่งเหมือนกัน เมื่อตื่นนอนใหม่ๆ ส่วนตัวนั้นจะสำรวจตัวเองก่อนว่า เรารู้หรือหลง คำว่าหลง คือการปล่อยใจเข้าไปคิด เพลิดเพลินกับความคิด โดยไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองลืมตาขึ้นมาในท่าไหน ตะแคง กำมืออยู่ หรือ แบมืออยู่ อย่างนี้เป็นต้น ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา จึงเป็นช่วงที่หนักเพราะเราต้องพยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความรู้ แต่บางทีเราเหนื่อยกับการงาน หรือตื่นขึ้นมากลางดึก หรือตื่นทั้งๆที่ฝันอยู่ ก็จะทำให้เกิดความหลงไปกับความคิดได้ง่าย ส่วนตัวจึงต้องเริ่มต้นที่หายใจเข้าออก ระหว่างนั้นก็มีสติอยู่กับตัว หักห้ามไม่ให้คิด ต่อโอกาสหน้าครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 08 พ.ค. 2013, 01:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อ2ปีก่อน ส่วนตัวได้มีความสงสัยว่า เดินจงกลมนั้นทำอย่างไร เดินแล้วกำหนดรู้อะไร จิตควรตั้งอยู่ที่ไหน เหล่านี้เป็นคำถามให้เกิดการค้นหา ส่วนตัวก็ใช้เวลาว่าง เช่น เดินในสวน ช่วงออกกำลังกายเสร็จ ก็งูๆปลาๆไป ผ่านไป2ปี ก็รู้สึกถึงความมีประโยชน์ มีความสนุก(ในเชิงธรรม)มีอะไรให้เรียนรู้เยอะแยะกับการก้าวเดิน พอๆ กับการนั่งสมาธิ เพราะเมื่อจิตตั้งมั่น ความชัดเจนเกิด แม้แต่พื้นถนนที่เดินก็เห็นชัดเจน กำหนดรู้ชัดเจน ขึ้นสู่การภาวนาเกิดดับของธรรมง่าย เช่น เวทนาขันธ์ที่เกิดดับจากจังหวะการก้าว การดู้จิตวิญญาณขันธ์ที่เคลื่อนจากซ้ายไปขวา หรือ ขวาไปซ้าย เป็นต้น

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 12 พ.ค. 2013, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งหนึ่งที่ส่วนตัวมีความมุ่งหวังคือ ความเพียรที่มีความต่อเนื่องตลอดทั้งวันเวลา มีอุบายอย่างไรในการกำหนดรู้ ส่วนตัวนั้นทุกข์นั้นคืออุบายในการกำหนดรู้ กิเลสคือตัวกีดกั้นเราไม่ให้เกิดความเพียร อริยสัจ4จึงเป็นทางสายเอกที่ส่งผลให้เกิดความเพียรทั้งวัน มีใจอยู่กับเนื้อกับตัวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ต้องมีการพิจารณาธรรม เราได้อะไรกับการกำหนดรู้ลมหายใจ ได้รู้ว่าใจอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่ ทีนี้ก็เข้าเรื่องทุกข์ เข้าเรื่องทุกข์ในสภาวะที่ใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นความทุกข์ที่ประสบเพราะความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า จิตจะแล่นไปไหนก็ตามไปรู้ จะแล่นไปตามเสียงก็ต้องวกเข้าที่โสตเรา ดูการเกิดดับของธาตุรู้ แล่นไปที่ภาพก็ตามไปรู้ ดูการเกิดดับของธาตุรู้ ธาตุรู้ของจักษุธาตุตั้งอยู่ตรงไหน ก็อยู่ที่กาย (ปสาทรูป)ไม่ได้อยู่ที่ภาพ เมื่อจิตตั้งอยู่ที่ภาพก็พิจารณาธาตุรู้ตามความเป็นจริง จะไปบังคับวิญญาณขันธ์ หรือจิตไม่ให้ไปตั้งอยู่ก็จะฝืนธรรมชาติ ส่วนตัวคิดว่าแม้จิตจะไวแค่ไหน แต่การตั้งอยู่ของจิตก็มีเวลา แต่เราอาจจะไม่ทันตามรู้เพราะความเผลอ(ไม่มีสติ)เช่นหากจิตตั้งอยู่ที่ภาพ เพราะกิเลสพาไป ความสนใจในภาพทำให้จิตตั้งอยู่ได้ทันที่เราจะเข้าไปเห็น เช่นความคิด กิเลสทำให้คิด บางทีก็เกิดความเมื่อลอย เพราะไม่ทันเข้าไปเห็นจิต หรือความเป็นใหญ่ของธรรมในเวลานั้น เช่นดื่มน้ำอัดลมก็จะเกิดความสุขจากการดื่มเพราะผลจากการสนองต่ออุปาทาน(กิเลส)หากเผลอก็ตามรู้ชิวหาธาตุไม่ทัน การตามรู้ให้ทันจึงเป็นธรรมที่แท้จริงในความคิดเห็นของผม (ต่อคำสอน)

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2013, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ความมีจิตไม่เศร้าหมอง ทำจิตให้เบิกบาน เป็นทางแห่งความรู้ เพราะความตื่น เป็นอารมณ์ที่เป็นไปเพื่อความเพียร

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2013, 03:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เงียบๆไปหลายวันก็ไม่ได้หายไปไหนแต่อย่างไรครับ ตรงกันข้าม ทุกวันนี้ล้วนแต่มีประสบการณ์ต่อธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า อาจจะเรียกว่าจับธรรมมาเป็นอารมณ์ก็ได้ครับ คือ ทุกการเคลื่อนไหวของตัวคือธรรม ธรรมที่ว่าคืออาการใดอาการหนึ่งของขันธ์5ครับ จะกำหนดรู้ทั่วตัว หรือจะกำหนดรู้เป็นจุดใดจุดหนึ่ง ก็จะเห็นชัดเจนถึงการทำงานของขันธ์5 ลองเห็นให้ลึกที่สุด เท่าที่ความสามารถของขันธ์5จะทำได้ ให้ความเห็นต่อธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เช่น ปวดขาก็คือ อาการ เข้าไปเห็นอาการปวดขา แล้วรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าอารมณ์นั้น ขึ้นอยู่กับว่า อารมณ์เราเป็นอย่างไร อาการปวดขากับอารมณ์คนละอย่างกันนะครับ อารมณ์ดีก็ปวดขาได้ อารมณ์ไม่ดีก็ปวดขาได้ อาการเดียวกัน แต่ปวดคนละเวลา ดังนั้น อารมณ์ก็ส่วนอารมณ์ อารมณ์อาจจะคิดว่าเราแย่แน่ถ้าไม่หายากิน ก็คือ อารมณ์จะเป็นตัวกำหนดการดำเนินชีวิต แต่อาการนั้น เป็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า เข้าไปรู้ความจริงแล้วสังเกตุ เรารับรู้ความจริงโดยเราไม่สามารถเข้าไปทำอะไรได้ เพราะความจริงเป็นอย่างนั้น แต่อารมณ์เรานั้น เราสามารถที่จะเข้าไปคิดพิจารณา ว่า หากเราเศร้าหมอง เราก็เข้าไปคิดพิจารณาได้ว่าอารมณ์นี้ควรแล้วหรือ แล้วหาทางออกจากอารมณ์นั้นด้วยจิตที่เป็นกุศล ซึ่งตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคนครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 426 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19, 20, 21 ... 29  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร